everY
ทดลองอ่าน Nights ยามดาราสิ้นสูญ เล่ม 1 บทที่ 2 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Nights ยามดาราสิ้นสูญ เล่ม 1
ผู้เขียน : 木苏里 (Mu Su Li)
แปลโดย : Luna
ผลงานเรื่อง : 黑天 (Hei Tian)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
ประสบการณ์เฉียดตาย บาดแผลทางใจในวัยเด็ก
มีการกล่าวถึงอาการบาดเจ็บเรื้
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 2 ของขวัญปลอบใจ
พระเจ้ากล่าวว่าโลกนี้ไม่อาจได้ดั่งใจมนุษย์ไปเสียหมด วันแรกที่พระองค์ลืมตาขึ้นในความเวิ้งว้างก็ได้เจอกับเรื่องเหลือเชื่อ – ‘ดินแดนแห่งความว่างเปล่า’ โดยเอสเธอร์
ฉับพลันนั้นฉู่ซือก็รู้สึกตกใจเมื่อเห็นใบหน้านั้นขยับเข้ามาใกล้จอ ม่านตาของเขาหดลงชั่วขณะ แขนเสื้อเชิ้ตถูกพับขึ้นสองทบเผยให้เห็นท่อนแขนครึ่งหนึ่ง กล้ามเนื้อเรียวหดเกร็งอย่างเห็นได้ชัด พริบตาเดียวก็คลายลงอีกครั้ง
ต่อให้เขาจัดการกับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว สีหน้ากลับมาเป็นปกติ ทว่าไม้ถูพื้นที่อยู่ข้างๆ ก็สังเกตเห็นแล้ว
เขาเพิ่งรู้จักกับฉู่ซือได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ย่อมพูดไม่ได้ว่ารู้จักนิสัยใจคอของอีกฝ่าย ฉะนั้นจึงไม่รู้ว่าปฏิกิริยาตอบสนองของฉู่ซือคือตั้งป้อมระแวงหรือตื่นเกร็ง หรือเป็นอย่างอื่นกันแน่…เอาเป็นว่าไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็เหมือนจะยิ่งทำให้เขาตื่นตระหนก
เขาจับประเด็นคำว่า ‘ไม่ได้รับข้อความตอบกลับ’ ได้เต็มหู ดังนั้นจึงกดเสียงลงต่ำถามฉู่ซืออย่างระมัดระวัง
“นี่ก็คือผู้ก่อการร้าย…ที่คุณพูดถึงคนนั้นเหรอ”
ฉู่ซือกลับไม่ตอบ ดวงตาของเขาจ้องหน้าจอไม่กะพริบ ราวกับกำลังมองสิงโตตัวหนึ่งที่เดินเอ้อระเหยอยู่ใกล้ๆ นิ้วเรียวเลื่อนไปที่ปุ่มสีแดงแล้วกดเบาๆ ทีหนึ่ง บอกอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ฉันตอบไปแล้ว”
ไม้ถูพื้น “หา?”
เขาอ้าปากอย่างตกตะลึงครู่หนึ่ง จนกระทั่งได้ยินเสียงของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในจอหัวเราะทีหนึ่ง ถึงนึกขึ้นได้ว่าฉู่ซือไม่ได้พูดกับเขา แต่เสียงถูกส่งไปยังอีกด้านของจอ
ชายคนนั้นตอบอืม ยักคิ้วแล้วถามอีกว่า “ตอบว่าอะไรล่ะ”
อีกฝ่ายพูดจาเหมือนคร้านจะอ้าปาก เสียงถูกกดอยู่ในลำคอ ฟังแล้วทุ้มต่ำและดูเรื่อยเฉื่อย
อาจเพราะภาพเหมารวมของ ‘เรือนจำอวกาศ’ ในสายตาผู้คนดูชั่วร้ายเกินไป หรืออาจเพราะคำบรรยายก่อนหน้านี้ของฉู่ซือชวนให้หวาดผวา ผู้ชายคนนี้มีรูปลักษณ์ที่ห่างจากคำว่า ‘ชั่วช้าสามานย์’ เป็นโยชน์ พูดจาก็ปกติดี ไม้ถูพื้นฟังแล้วกลับรู้สึกตระหนกเล็กน้อย
เขาบีบนิ้วตัวเองโดยไม่รู้ตัว หันไปรอคำตอบจากฉู่ซือ ลางสังหรณ์บอกเขาว่าฉู่ซือไม่มีทางพูดอะไรที่อีกฝ่ายฟังแล้วรู้สึกดีแน่
“ลืมแล้ว เยอะเหมือนกัน แนะนำว่าได้รับแล้วก็ไปอ่านเอง” ฉู่ซือบอกโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน
ไม้ถูพื้น “…” ไม่รู้เพราะอะไรเขาถึงรู้สึกว่าคนคนนี้โกหกหน้าตาย
ฉู่ซือนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวเสริมด้วยท่าทีเรียบนิ่ง “จะว่าไปดูเหมือนแม้กระทั่งคลื่นสัญญาณอวกาศก็ยังอ้อมผ่านนายไป บางทีอาจต้องรออีกยี่สิบเจ็ดปีถึงจะได้รับ นั่นก็ไม่แน่”
พูดประโยคนี้จบอีกด้านของจอก็ส่งเสียง ‘ตึ๊ง’ ดังชัดเสียงหนึ่ง
ผู้ชายคนนั้นหยัดกายขึ้นเล็กน้อย คลำเครื่องสื่อสารเครื่องหนึ่งออกมาแล้วเอียงหน้ามอง มือหนึ่งยังคงจับขอบหน้าจอ อีกมือถือเครื่องสื่อสารแล้วปัดสองที
เขามองแค่แวบเดียวก็หัวเราะ ชูเครื่องสื่อสารขึ้นมาส่ายตรงหน้าจอ “เครื่องหมายจบประโยคอันเดียว เยอะเหมือนกันว่างั้น?”
ไม้ถูพื้น “…”
ฉู่ซือที่ถูกเปิดโปงไม่ยี่หระ “ความหมายแฝงก็เยอะพอสมควร”
ชายหนุ่มถาม “อย่างเช่น?”
ฉู่ซือตอบ “อย่างเช่นขอให้นายกลับคุกในเร็ววัน”
“…” ไม้ถูพื้นครุ่นคิดก่อนค่อยๆ หดตัวจากบริเวณหน้าจอลงไปที่พื้น สถานการณ์แบบนี้เขาไม่ค่อยอยากเปิดเผยหน้าตาสักเท่าไหร่ เขายังอยากมีชีวิตนานกว่านี้
สองคนที่อยู่หน้าและหลังจอ คนหนึ่งค้ำหน้าจอ อีกคนค้ำแผงปฏิบัติการ ต่างคนต่างโน้มตัวไปข้างหน้า หลุบสายตาลงเหมือนกัน อิริยาบถเรื่อยเฉื่อยและผ่อนคลาย ดูแล้วเหมือนเพื่อนเก่าคู่หนึ่งที่กำลังสนทนาย้อนอดีต
ทว่าวิธีการสนทนาย้อนอดีตนี้…ทำให้ไม้ถูพื้นฟังแล้วถึงกับหน้าเขียวซีด
ไม้ถูพื้นแข้งขาอ่อนแรงอยู่ใต้โต๊ะครู่หนึ่ง แล้วก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย…ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นใช้ความพยายามเท่าไหร่ถึงตามมาจนเจอ ยืนจับกล้องวงจรปิดคุยอยู่นานสองนานกลับไม่มีท่าทีเข้าใกล้คฤหาสน์แม้แต่น้อย
เขาขบคิดครู่หนึ่งก็คิดไม่ตก แล้วก็อดชะโงกตัวแอบมองไม่ได้
บนหน้าจอชายคนนั้นยืนตัวตรงแล้วใช้ฟันกัดปลายถุงมือสีดำข้างหนึ่งพร้อมกับถอดถุงมืออีกข้าง เขาเอียงหน้าเล็กน้อย หลุบสายตาชำเลืองด้วยหางตาพลางพูดเสียงอู้อี้
“นายจะไม่มาดูฉันหน่อยเหรอ ถือโอกาสที่ฉันยังไม่หักกล้องวงจรปิด”
ฉู่ซือยักคิ้ว “ไม่” พูดจบเขาก็กดปุ่มพาวเวอร์บนแผงปฏิบัติการ
“ปิดระบบการมอนิเตอร์นอกป่า เข้าสู่โหมดประหยัดพลังงาน”
สิ้นเสียงอิเล็กทรอนิกส์แข็งทื่อ ในเวลาเดียวกันจอขนาดเล็กใหญ่บนผนังก็มืดลงพร้อมกับภาพที่หายไป
“ปิดแล้ว?! ทำไมคุณ…” ไม้ถูพื้นกระตุกมุมปาก ชี้ไปที่จอเหล่านั้น “ทิ้งเขาไว้ที่นั่นแบบนี้เลยเหรอ”
ฉู่ซือยื่นมือไปหยิบเครื่องสื่อสารบนแผงปฏิบัติการแล้วยัดเข้าไปในกระเป๋ากางเกงพลางบอกว่า “ฉันแค่จะประหยัดไฟ”
“…ถ้าต้องเลือกระหว่างจ่ายไฟกับจ่ายชีวิต ผมขอเลือกจ่ายไฟ”
“น่าเสียดาย บ้านนี้เป็นของฉัน”
ฉู่ซือพูดพร้อมกับเดินไปข้างตู้เก็บของที่ติดผนัง เปิดตู้สองตู้ทางมุมขวาล่างอย่างคล่องแคล่ว
ไม้ถูพื้นยังปอดแหกเล็กน้อย เขาลูบข้อเท้าเงียบๆ แล้วเอ่ยว่า “บอกตรงๆ ผมเข่าอ่อนนิดหน่อย คุณจะปิดแล้วไม่สนใจเขาจริงเหรอ คนที่ไม่ตอบข้อความก็ระเบิดดาวได้ ปล่อยเขาไว้แบบนี้จะดีเหรอ ผมรู้สึกว่าพวกเรากำลังรนหาที่ตาย…”
ฉู่ซือทำหูทวนลม ยังคงเลือกเฟ้นในตู้เก็บของไปมาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อค้นของออกมาได้ส่วนหนึ่งก็วางไว้บนแคปซูลแช่แข็งเครื่องที่ตั้งอยู่ข้างๆ
ต่อหน้าผู้เป็นเจ้าของ ไม้ถูพื้นไม่สะดวกใจแสดงท่าทีอยากรู้อยากเห็นเรื่องตู้เก็บของเหล่านี้มากเกินควร เพียงแค่เหลือบมองเหมือนไม่ตั้งใจอยู่หลายครั้ง…
สิ่งของที่ฉู่ซือค้นออกมาคือหูฟังตัดเสียงรบกวนกล่องหนึ่งกับถุงมือคู่หนึ่ง
เขาสวมถุงมือ หิ้วกล่องโลหะกล่องหนึ่งออกมาจากมุม ดูจากขนาดของกล่องแล้วน้ำหนักไม่เบาแน่นอน ทว่าเมื่ออยู่ในมือเขากลับดูเหมือนน้ำหนักเบา
“นี่อะไร” ไม้ถูพื้นกะพริบตาปริบๆ
“ของโบราณที่ปกติไม่มีประโยชน์ใช้สอยอะไร…” ฉู่ซือใช้นิ้วโป้งดันข้างตัวล็อก กล่องส่งเสียงแกร๊กก่อนเปิดออกอัตโนมัติ เผยให้เห็นอุปกรณ์สีเงินแผงหนึ่ง “กล่องเครื่องมือ”
“…” ไม้ถูพื้นทอดถอนใจ “กล่องเครื่องมือของคุณนี่อย่างกับกล่องใส่รหัสสุดหรูเลย ต่างกับใบที่ผมใช้ประจำเหมือนไม่ใช่ของประเภทเดียวกันเลย”
ฉู่ซือชะงักไปครู่หนึ่ง เหลือบตามองอีกฝ่าย “ใบที่นายใช้ประจำเหรอ”
ไม้ถูพื้นตอบอืม เกาหัวแกรกๆ “เมื่อกี้มีแต่เรื่องวุ่นๆ ผมเลยไม่ทันได้บอก ผมเป็นช่างเทคนิคซ่อมบำรุงสมรรถนะยานบิน”
ฉู่ซือพยักหน้าเข้าใจ ก่อนหันตำแหน่งกล่องอย่างไม่ลังเลแล้วเลื่อนไปตรงหน้าไม้ถูพื้น “งั้นก็พอดีเลย”
ไม้ถูพื้นมึนตึ้บ “คุณจะทำอะไร”
ฉู่ซือบุ้ยคางไปทางแคปซูลแช่แข็งเครื่องที่อยู่ข้างเขา “แกะตัวฐานออก”
“…?”
ตั้งแต่เจอฉู่ซือ ไม้ถูพื้นรู้สึกว่าตัวเองมีสีหน้ามึนงงบ่อยขึ้นเรื่อยๆ
“ทำไมต้องแกะตัวฐานออกด้วยล่ะ มันทำอะไรผิด” ไม้ถูพื้นถาม
ฉู่ซือกัดปลายถุงมือข้างหนึ่งแล้วถอดออก ก่อนจะถอดถุงมืออีกข้าง อธิบายเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ
“ใต้ฐานของแคปซูลแช่แข็งทุกเครื่องจะมีเครื่องแปลงอากาศติดตั้งอยู่ สามเครื่อง พอใช้พอดี”
ไม้ถูพื้นกวาดตามองฉู่ซือแวบหนึ่ง ชั่วขณะหนึ่งเขารู้สึกคุ้นตากับกิริยาของผู้ชายคนนี้ แต่ไม่ทันได้พิจารณาก็ถูกความคิดเห็นของฉู่ซือเรียกความสนใจไป
“ผมเคยถอดชิ้นส่วนยานบิน ไม่เคยแตะของพวกนี้ ถ้าคุณทำเป็นล่ะก็ ทางที่ดี…”
เขาพูดยังไม่ทันจบก็ถูกฉู่ซือตัดบท “ฉันทำไม่เป็น”
ไม้ถูพื้น “งั้นคุณเอากล่องเครื่องมือออกมาคือ?”
“ว่าจะลองดู เผื่อถอดออกมาได้น่ะ” ฉู่ซือตอบอย่างสบายอารมณ์
ไม้ถูพื้น “…” เขาเข้าใจกระจ่างแล้ว คนตรงหน้าก็คือพวกพูดจาเลอะเทอะหน้าตาย แถมท่าทางยังน่ากลัวอีก
โชคยังดี ถูกแช่แข็งมาสี่สิบเจ็ดปี เร่ร่อนมาอีกสามปี ฝีมือของเขายังไม่ได้ถดถอยเสียทีเดียว แม้แคปซูลแช่แข็งจะเป็นระบบอัจฉริยะทั้งหมด ทว่ายังมีช่องสำหรับงานซ่อมแซมโดยมนุษย์อยู่บริเวณมุม
อันที่จริงความเร็วในการถอดชิ้นส่วนทั้งเครื่องถือว่าเร็วมาก ไม้ถูพื้นค้นอยู่ไม่กี่นาทีก็เจอช่องทาง พริบตาเดียวก็แกะตัวฐานของแคปซูลแช่แข็งออกเป็นเจ็ดแปดส่วน ไม้ถูพื้นเล็กที่ไม่ได้ส่งเสียงสักครั้งตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ก็นั่งเงียบๆ อยู่อีกทาง คอยยื่นเครื่องมือให้เขาอย่างคล่องแคล่วสลับกับมองฉู่ซือตาแป๋วแวบหนึ่งเป็นระยะ
ฉู่ซือเหมือนจะไว้ใจให้ไม้ถูพื้นงัดแงะแคปซูลแช่แข็งมาก เขาไม่ได้เฝ้าจับตาดูอีกฝ่าย แต่หิ้วกระเป๋าทรงกระบอกสีดำใบหนึ่งออกจากตู้อีกใบที่เขาเพิ่งเปิดออก
“เสร็จแล้ว” จู่ๆ ไม้ถูพื้นก็ส่งเสียง เขาแบมือออก บนฝ่ามือมีกล่องสีดำขนาดเท่าหินกรวดสามกล่อง มีท่อเรียวเล็กต่ออยู่บนนั้น
“ลำบากนายแล้ว” ฉู่ซือยื่นมือไปหยิบมากล่องหนึ่ง เหน็บเครื่องแปลงอากาศขนาดจิ๋วนั้นไว้บนหลังหูด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติ ท่อเล็กๆ ขดงอแขวนติดกับกระดูกอ่อนหูพอดี ส่วนปลายยื่นออกมาข้างใบหน้า
เครื่องแปลงอากาศถูกเชื่อมต่อกับแบตเตอรี่ เสียงวึ้งเบาๆ ดังขึ้นข้างหู แล้วก็เริ่มทำงานอย่างขะมักเขม้นอยู่ข้างใบหน้า
ไม้ถูพื้นเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายหิ้วกระเป๋าทรงกระบอกที่ดูมีน้ำหนักไม่เบานั้น แล้วหยิบหูฟังตัดเสียงรบกวนคู่หนึ่งจากกล่องที่วางอยู่ข้างๆ
“คุณจะไปทำอะไร” ไม้ถูพื้นมีสีหน้างุนงง
ฉู่ซือก้าวขาไปทางนอกประตูพลางตอบโดยไม่หันมามอง “ไปปลอบผู้ก่อการร้ายคนนั้น”
“…แล้วที่คุณหิ้วอยู่นั่นคืออะไร ของปลอบขวัญเหรอ”
ขาข้างหนึ่งของฉู่ซือก้าวพ้นประตูแล้ว เขาหันกลับมาคลี่ยิ้ม “เครื่องยิงจรวดไทป์ R-72”
ไม้ถูพื้น “…” แม่งเถอะ นายปลอบใจชาวบ้านเขาด้วยจรวดเนี่ยนะ!
“อย่ามองฉันด้วยสีหน้าแบบนั้น เวลาอารมณ์ดีก็จะใช้อย่างอื่น” ตอนที่ฉู่ซือถือเครื่องยิงจรวดออกนอกประตูนั้นดูผ่อนคลายราวกับเพิ่งดื่มชายามบ่ายเสร็จแล้วเตรียมตัวพาสุนัขออกไปเดินเล่นอย่างไรอย่างนั้น
ไม้ถูพื้นไม่เชื่อเขาเท่าไหร่ “อย่างเช่น?”
“จรวดนำวิถีน้ำหนักเบา PA” ฉู่ซือตอบด้วยท่าทางหย่อนอารมณ์
ไม้ถูพื้นอดถามไม่ได้ “ต่างกันตรงไหนเหรอ”
ฉู่ซือยกมือขึ้นกดปุ่มเปิดปิดนอกห้องเก็บของพร้อมตอบ “วิถียิงสง่ากว่า ดูแล้วละมุนกว่า”
“คุณกำลังพูดถึงจรวด PA ที่ระเบิดป่าสนซีดาร์ดำให้ราบเป็นหน้ากลองได้จริงๆ เหรอ…”
“อืม”
ไม้ถูพื้นตบหน้าตัวเองไปฉาดหนึ่ง เชื่อนายก็บ้าแล้ว! ขืนยังเชื่อคำพูดพล่อยๆ ของพ่อเจ้าประคุณทูนหัวนี่อีก ฉันก็คือไอ้หน้าโง่!
เดิมทีเขาวางแผนอย่างดี…ในเมื่อฉู่ซือจะไปท้าทายคนเดนตายนั่นให้ได้เขาก็จะไม่ห้าม เพราะอย่างไรเขาก็ไม่รนหาที่ตาย!
ทว่าเขาเพิ่งหดตัวกลับไปหลบข้างแคปซูลแช่แข็งก็ได้ยินเสียงอิเล็กทรอนิกส์ไร้อารมณ์ดังขึ้นในห้องเก็บของ
“ระบบปิดตายในห้องทำงาน เริ่มการใช้งานฟังก์ชันทำลายตัวเองเมื่อสัมผัส นับเวลาถอยหลังสิบวินาที สิบ…”
“นี่มันอะไรอีก!” ไม้ถูพื้นตะลึงพรึงเพริด
เสียงของฉู่ซือไกลออกไปเรื่อยๆ ตามฝีเท้าของเขา “ฉันค่อนข้างขี้ระแวง ไม่ค่อยไว้ใจให้คนแปลกหน้าช่วยเฝ้าบ้าน วางใจได้ ถ้านายระวังหน่อยห้องนั้นก็ไม่ระเบิดหรอก”
ไม้ถูพื้นดีดตัวสปริงขึ้นจากพื้น คว้าตัวไม้ถูพื้นเล็กที่ผอมกะหร่องได้ก็วิ่งออกนอกประตู ยังไม่ลืมกล่องที่บรรจุหูฟังตัดเสียงรบกวนนั้นด้วย
“ไม่ๆๆๆ ผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมจะออกไปรนหาที่ตายกับคุณ ผมไม่เฝ้าบ้านแล้ว!!!”
เมื่อคนร่างเล็กร่างใหญ่พากันเบียดเสียดออกมาได้ ประตูใหญ่ด้านหลังก็ปิดตายอัตโนมัติแล้ว
ไม้ถูพื้นก้าวยาวๆ ขึ้นบันไดด้วยสีหน้าบูดบึ้ง เมื่อไล่ตามไปถึงหน้าประตูคฤหาสน์ ฉู่ซือกำลังหยิบแว่นตาอันหนึ่งจากตู้ลิ้นชักข้างประตู
“นายก็ไปเหรอ” ฉู่ซือติดเลนส์ป้องกันสายตาแล้วเดินขึ้นบันไดนอกประตูไปทางระเบียงชั้นสาม
ตลอดขั้นตอนเขาไม่รีบร้อน เหมือนไม่กังวลเลยสักนิดว่าผู้ก่อการร้ายคนนั้นจะขุ่นข้องหมองใจจนก่อเหตุรุนแรง
ไม้ถูพื้นสวมเครื่องแปลงอากาศให้ตัวเองกับไม้ถูพื้นเล็ก หน้าสลดราวกับบุพการีตาย “ไปสิ ขืนไม่ไปแล้วคุณอารมณ์เสียขึ้นมาแล้วระเบิดผมจะทำยังไง”
“ประทานโทษ ฉันแค่ไม่ชอบเห็นคนอื่นนอนเฉยๆ โดยเฉพาะเวลาที่ฉันต้องลุกไปทำงาน” ฉู่ซือยืนนิ่งอยู่บนระเบียง เปิดกระเป๋าทรงกระบอกสีดำของเครื่องยิงจรวดพลางตอบอย่างสบายๆ ไปด้วย
คนคนนี้เป็นวายร้ายอย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ ทุกครั้งที่พ่นวาจาแฝงนัยข่มขู่ก็จะเติมคำเสริมอย่าง ‘ประทานโทษ’ ‘รบกวน’ ‘น่าเสียดาย’ ‘ขอโทษที’ ไว้หน้าประโยค แต่ท่าทางกลับดูสุภาพเรียบร้อย บางครั้งใบหน้าก็เปื้อนยิ้ม เหมือนเขารู้สึกจากใจว่าการข่มขู่คนอื่นเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม
เมื่อก่อนพวกสูงวัยในกองอำนวยการความมั่นคงก็มักถูกเขายั่วโมโหจนแทบกระอักเลือด กระทืบเท้าในห้องประชุมเป็นประจำ จนทำให้คาร์ลผู้ช่วยของเขาทนดูไม่ไหว บางครั้งก็อดถามไม่ได้ว่า ‘พวกเขาเคยกลั่นแกล้งคุณหรือครับ’
ฉู่ซือมักจะตอบกลับว่า ‘ใครจะรู้ล่ะ นายไม่รู้สึกหรือว่าแววตาของพวกเขาดูร้อนตัวไปหน่อย ไม่แน่อาจจะแอบทำเรื่องแย่ๆ ลับหลังฉันก็ได้’
น้ำเสียงนั้นฟังดูทีเล่นทีจริง ทำให้คนฟังไม่แน่ใจว่าเขากำลังพูดเล่นหรือพูดจริง ฉะนั้นคาร์ลที่ได้ยินคำตอบลักษณะนี้อยู่หลายครั้งจึงรู้ตัวแล้วไม่เคยถามอีก
“โอเคๆๆ ตั้งแต่นี้ไปคุณว่าไงก็ว่าตามนั้น” ไม้ถูพื้นถูกฉู่ซือทั้งข่มขู่และข่มขวัญ ได้แต่แสดงความภักดีด้วยสีหน้าเหมือนกินยาเบื่อหนูมา
มองจากตำแหน่งของพวกเขาจะเห็นบริเวณที่ห่างจากกำแพงสวนของคฤหาสน์ประมาณห้าสิบถึงหกสิบเมตร เงาร่างสีดำที่มีรูปร่างปราดเปรียวกำลังยืนอยู่บริเวณหัวมุมพรมแดนระหว่างป่าสนซีดาร์ดำกับพื้นดิน ข้างเท้ามีวัตถุปริศนากองซ้อนอยู่ นอกนั้นก็มีแต่ความว่างเปล่า
“โธ่เอ๊ย! เต็นท์ของฉัน!” ไม้ถูพื้นชี้ไปทางวัตถุกองนั้นแล้วร้องออกมาเสียงหนึ่ง
พูดจบเขาจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ ตรงที่เขาชี้ไปมีนักโทษแหกคุกคนหนึ่งยืนอยู่
ด้วยเหตุนี้เขาจึงหุบปากอย่างรวดเร็ว เก็บนิ้วของตัวเองกลับมาเงียบๆ จากนั้นจับตัวไม้ถูพื้นเล็กให้นั่งยองแล้วซ่อนหน้าตัวเองไว้
ฉู่ซือพูดด้วยความเสียดาย “นายคงต้องบอกลาเต็นท์ของนายแล้วล่ะ”
เสียงของเขาไม่ดัง แต่โสตประสาทของเงาร่างสีดำนั้นกลับดีเยี่ยม หลังจากจับเสียงพูดที่คุ้นเคยได้ก็เงยหน้าขึ้น สายตาจับจ้องไปที่ฉู่ซืออย่างแม่นยำ
“ผู้บัญชาการที่รักของฉัน ในที่สุดนายก็ทนไม่ไหวจนต้องออกมาแล้ว” เขายกเท้าเหยียบกล้องวงจรปิดที่นูนขึ้นจากพื้นเล็กน้อย หัวเข่าที่งอลงนิดๆ กลับยิ่งทำให้ขาดูเรียวยาว ชายหนุ่มเงยหน้า เผยให้เห็นบุคลิกไม่สนใจโลก น้ำเสียงเวลาพูดเจือรอยยิ้มเล็กๆ เพียงแต่เห็นไม่ชัดว่ารอยยิ้มนั้นบ่งบอกถึงอะไร
“ซ่าเอ้อ หยาง ไม่เจอกันนาน” ฉู่ซือถึงกับยกมือซ้ายขึ้นให้อีกฝ่ายเหมือนกำลังทักทายจริงๆ
“ไม่เจอกันนาน ถ้าตอนเรียกฉันตัดนามสกุลออกด้วย ฉันจะดีใจกว่านี้” ซ่าเอ้อหรี่ตามองฉู่ซือราวกับกำลังพินิจอะไรบางอย่างด้วยความจริงจัง ผ่านไปครู่หนึ่งจู่ๆ เขาก็พูดพลางหัวเราะ “จริงสิ ฉันคิดถึงนายมากเลย”
ไม้ถูพื้น “…”
ตามหลักแล้วหัวหน้าในหน่วยงานรัฐบาลกับนักโทษแหกคุกของเรือนจำอวกาศ ดูอย่างไรก็เป็นศัตรูกันไม่ใช่เหรอ ทำไมนักโทษคนนี้คำก็ ‘ที่รัก’ สองคำก็ ‘คิดถึงนายมาก’ จงใจสินะ น่าจะจงใจใช่ไหม
จู่ๆ ไม้ถูพื้นก็เริ่มวิตก แอบชำเลืองมองฉู่ซือแวบหนึ่ง แต่จากมุมสายตาของเขากลับเห็นแค่คางของฉู่ซือ ไม่เห็นสีหน้าของอีกฝ่าย
รูปแบบที่ฉู่ซือพูดคุยกับซ่าเอ้อเหมือนคุ้นเคยกันมานาน อีกทั้งดูปรับตัวได้ดีมาก ฉู่ซือไม่ได้แย้งคำว่า ‘ฉันคิดถึงนายมาก’ ซ้ำยังตอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
เขาว่า “ถ้านายยังอยู่ในคุก ฉันอาจจะลองคิดถึงนายดูก็ได้”
เท้าของไม้ถูพื้นลื่นไถล หวิดร่วงลงจากขอบระเบียง
ซ่าเอ้อเหมือนจะชินกับคำตอบลักษณะนี้แล้วและไม่สนใจนัก เขายักไหล่ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ พร้อมถามฉู่ซือด้วยสีหน้าจริงจัง
“พื้นที่ใหญ่ขนาดนี้มีแค่นายคนเดียว ไม่รู้สึกเบื่อเหรอ ที่รัก มาตกลงกันหน่อย แบ่งฉันสักซีกเป็นไง”
ไม้ถูพื้น “…” ตรงนี้ยังมีคนเป็นๆ อยู่คนหนึ่งนายไม่เห็นหรือไง
ฉู่ซือยักไหล่ “น่าเสียดาย ฉันไม่ได้รู้สึกเบื่ออะไร”
“งั้นเปลี่ยนเหตุผล คลื่นสัญญาณอวกาศไม่ค่อยชอบหน้าฉันเท่าไหร่ กีดขวางเวลาฉันส่งข้อความถึงนาย”
ฉู่ซือบอก “ขอบคุณฟ้าดิน ช่วยคืนความสงบให้ฉันได้พอดี”
ซ่าเอ้อหัวเราะ “งั้นเปลี่ยนอีกเหตุผล ฉันชอบคฤหาสน์หลังนี้มาก”
ฉู่ซือเองก็หัวเราะ “ขอเตือนนายว่าอย่าโลภอยากได้อสังหาฯ ของคนอื่นเขา”
ในที่สุดซ่าเอ้อก็เลิกอ้อมค้อม เขากางแขนออกด้วยท่าทางหย่อนอารมณ์ “ฉันไม่มีเงินติดตัว ไม่มีบ้านให้กลับ อัตคัดยากจน แถมยังใกล้อดตายแล้วด้วย” เขาพูดพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งแตก ก่อนเสริมอีกประโยค “คนที่นั่งยองข้างๆ นายดูตัวกำลังดี ถ้าเพิ่มเครื่องปรุงสักกำมือ…”
ไม้ถูพื้นโศกเศร้าราวกับสูญเสียพ่อแม่ “…” โอ๊ย…ทีตอนนี้นายดันมองเห็นฉันแล้วเรอะ
เขาลนลานหันไปถามฉู่ซือ “เขาล้อเล่นใช่ไหม”
ฉู่ซือชายตามองแวบหนึ่งก่อนตอบ “ก็ไม่แน่”
ไม้ถูพื้นหันขวับจะวิ่งลงบันไดหนีเอาชีวิตรอด แต่ถูกฉู่ซือขยับเท้าขวางไว้
“ผมรู้สึกว่าเหมือนเขาจะประสาทกลับ” ไม้ถูพื้นบอกด้วยท่าทางเหมือนคอเกร็งๆ
ฉู่ซือทำท่าว่าสมควรเป็นตามนั้นอยู่แล้ว “ไม่งั้นจะมีเรือนจำอวกาศไว้ทำไม”
น่าแปลก เศษเสี้ยวดาวเคราะห์ที่ถูกเกราะคุ้มกันของเสามังกรโอบอุ้มไว้ยังมีลมพัดโชยเบาๆ วูบหนึ่งผ่านด้านหลังของทั้งสองไป จนไม้ถูพื้นขนลุกเกรียวทั่วแผ่นหลัง
พุ่มไม้ในสวนด้านหลังของคฤหาสน์ถูกลมพัดจนดังแซกซ่า แต่พวกฉู่ซือกลับไม่ได้สังเกตเห็น
มีคนประสาทกลับอยู่ตรงหน้าคนหนึ่ง ใครยังจะกล้าแบ่งสมาธิไปสังเกตที่อื่น
“ที่รัก นายพิจารณาว่าไง” ซ่าเอ้อถาม ราวกับเขาเป็นคนมีเหตุผลเสียเต็มประดา
ฉู่ซือพูดตรงๆ “ในเมื่อนายเปิดเผยจุดอ่อนของตัวเองแบบนี้ ถ้าฉันปฏิเสธอีกก็ดูจะโหดร้ายไปหน่อย”
นิ้วเรียวของซ่าเอ้อเกี่ยวกับขอบหน้ากากออกซิเจน ปล่อยแขนสบายๆ อยู่ข้างลำตัว ทุกครั้งที่ฉู่ซือเอ่ยปากพูด เขาก็จะแสดงให้เห็นว่าตนเองมีความอดทนเป็นอย่างดี ชั่วขณะนั้นเขาดูเหมือนสัตว์ป่าที่เพิ่งล่าเหยื่อมา ดูหย่อนอารมณ์ ถึงขั้นทำให้คนเกิดภาพลวงตาว่า ‘ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้อันตรายขนาดนั้น’
ฉู่ซือพูดโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน “บอกตามตรงฉันเตรียมของขวัญไว้ให้นายชิ้นหนึ่ง”
ซ่าเอ้อรู้สึกลิงโลดขึ้นมาบ้าง เขาเหยียดร่างยืนตรง “ของขวัญ? ของขวัญอะไร”
ไม้ถูพื้นที่นั่งยองอยู่บนพื้นครางหงิงไปเสียงหนึ่งก่อนยกมือปิดตา
ซ่าเอ้อคลี่ยิ้มแล้วถอยหลังหนึ่งก้าว กางแขนออก เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเรื่อยเฉื่อยไม่เปลี่ยน “มาเลย ฉันหลับตาลงแล้ว”
ฉู่ซือยกมือขวาขึ้น พาดเครื่องยิงจรวดไทป์ R-72 ที่ตั้งใจเตรียมมาไว้กับราวระเบียงสวยประณีต เล็งเป้าอย่างคล่องแคล่วเฉียบขาดแล้วยิง
ลูกจรวดพุ่งออกไปราวกับไฮยีน่าที่หลุดจากพันธนาการ ระเบิดกระจายพร่างพราวทั่วฟ้า
ผืนดินบริเวณนั้นอยู่ตรงพรมแดนอยู่แล้วจึงค่อนข้างเปราะบาง เมื่อถูกจรวดระเบิดก็ร้าวทันที ผืนดินประมาณสิบกว่าตารางเมตรทลายแยกออกจากเศษเสี้ยวดาวเคราะห์พร้อมกับเต็นท์ของไม้ถูพื้นที่ถูกทิ้งไว้กองนั้น
“ตามที่นายขอ แบ่งนายซีกหนึ่ง ไม่ต้องขอบใจ” ฉู่ซือว่า
ซ่าเอ้อยืนอยู่บนผืนดินแหว่งๆ นั้น ดูแล้วเหมือนวาฬบนเกาะร้าง
ทว่าฉู่ซือยังไม่ทันปลดเครื่องยิงจรวดลงแล้วยั่วโทสะเขาอีกสักสองประโยค เสียงดังสนั่นหวั่นไหวดุจฟ้าถล่มก็ดังขึ้น
เศษเสี้ยวดาวเคราะห์ทั้งผืนสั่นสะเทือน ไม้ถูพื้นทั้งใหญ่และเล็กทรุดลงไปคุกเข่าที่พื้น
ท่ามกลางแผ่นดินที่สั่นไหวไม้ถูพื้นกอดเจ้าตัวเล็กไว้ในอ้อมอกอย่างหวาดกลัว เขาร้องโวยวาย “นี่คุณยิงอีกลูกเรอะ! แน่ใจนะว่าไม่ได้ยิงผิดทาง!”
ฉู่ซือกลับลากตัวไม้ถูพื้นมาที่ขอบระเบียง “ไม่ใช่ฉัน!” พูดจบก็ถีบทั้งสองคนลงจากระเบียง ส่วนตัวเองก็กระโดดตามลงไปด้วย
“งั้นยังมีใครอีก! แม่ง นี่ชั้นสามนะว้อย…!!!”
ถึงจะเป็นชั้นสามแต่พริบตาเดียวก็ร่วงลงถึงพื้น
ท่ามกลางความชุลมุนมีวัตถุถูกโยนเข้ามากลางอากาศ พร้อมกับความรู้สึกเจ็บปลาบและอาการฉีกขาดที่บอกไม่ถูกว่าเป็นไฟฟ้าสถิตหรืออะไรอย่างอื่น เหมือนถูกฟาดด้วยแส้ผ่านอากาศ
เมื่อแผ่นหลังแตะพื้นฉู่ซือป้องกันศีรษะโดยอัตโนมัติ ทว่านั่นยากจะต้านทานแรงกระแทกที่รุนแรงจนทำให้สมองของเขากระทบกระเทือน สมองจึงขาวโพลนไปชั่วขณะ
“ฉันรับนายไว้ได้แล้ว” เสียงหนึ่งลอยเข้าโสตประสาท
“ใคร!” ฉู่ซือหมุนกายพลิกลงจากด้านข้างตามความเคยชินแล้วกึ่งคุกเข่าที่พื้น กวาดตามองไปรอบหนึ่งอย่างว่องไว
พวกเขาอยู่ที่บริเวณลานส่วนหน้า ข้างๆ เขานอกจากไม้ถูพื้นเล็กใหญ่ที่ล้มลุกคลุกคลานก็ไม่มีใครอื่นอีก
“ใครอะไร! เสียงระเบิดเมื่อกี้คืออะไร! ผมรู้สึกเหมือนถูกอะไรตีเลย!” ไม้ถูพื้นแทบกลิ้งขลุกๆ ไปติดมุมกำแพง แผ่นหลังของเขาพิงชิดกับกำแพง กอดไม้ถูพื้นเล็กแน่นสุดชีวิตแล้วขดตัวไปหลบมุม
“เมื่อกี้มีคนพูดกับฉันประโยคหนึ่ง” ฉู่ซือเองก็ขยับร่างไปข้างกำแพงด้วย
“ผมเหรอ ผมเอาแต่ร้องลูกเดียวเลยนะ!” ไม้ถูพื้นตอบพลางมองไปรอบๆ ด้วยสายตาหลุกหลิกหวาดหวั่น
ฉู่ซือย่นคิ้ว “ไม่ใช่นายหรอก”
น้ำเสียงนั้นฟังไม่ชัดเจนในความสลัวคลุมเครือ แต่น่าจะเป็นเด็กหนุ่ม ไม่เคยได้ยินเสียงมาก่อน แต่ก็ดันคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
ยังไม่ทันที่เขาจะครุ่นคิด เสียงลมดังหวีดหวิวก็ลอยมากับอากาศอีกครั้ง
“สวรรค์…” ไม้ถูพื้นแหงนหน้าขึ้นตะลึงตาค้าง
กรงเล็บเหล็กสีเงินขนาดใหญ่สามอันเหวี่ยงผ่านอากาศเข้ามา ทุกตารางนิ้วที่กรงเล็บแหวกผ่านอากาศล้วนส่งเสียงเปรี๊ยะปร๊ะเบาๆ ฟังแล้วชวนขนลุก
ทว่าพริบตาเดียวไม้ถูพื้นก็ตั้งสติได้ว่าอาการขนลุกชันไม่ใช่เพราะหวาดกลัว แต่เป็นเพราะไฟฟ้าสถิต
พวกเขามองกรงเล็บนั้นตกถึงพื้นดังสนั่น พร้อมกับแรงสะเทือนทั่วเศษเสี้ยวดาวเคราะห์ แรงสั่นรุนแรงจนพวกเขานั่งไม่ติด แทบจะกลายเป็นลูกแก้วบนจานกลม
กรงเล็บลากไปตามขอบของเศษเสี้ยวดาวเคราะห์แล้วอ้อมลงไปใต้ฐาน
ขอเกี่ยวปลายแหลมของกรงเล็บโลหะเกี่ยวอยู่บนก้อนหินและหน้าผา เสียงกระทบดังเสียดแก้วหู
เศษเสี้ยวดาวเคราะห์ถูกกรงเล็บสามอันเกี่ยวแน่น
ไม้ถูพื้นถูกแรงสั่นสะเทือนเหวี่ยงไปกระแทกกำแพงหลายครั้งอย่างต้านทานไม่ได้ เขาร้องโหวกเหวกด้วยใบหน้าบวมช้ำท่ามกลางเสียงดังปึงปัง
“นี่มันตัวอะไรเนี่ย!!!”
เสียงรบกวนปะปนกันมากเกินไป เขาต้องใช้วิธีตะโกนถึงทำให้ฉู่ซือได้ยิน
“ผู้ก่อการร้ายชื่อหยางอะไรนั่นทนคุณไม่ไหวเลยก่อจลาจลแล้วเรอะ!!!”
“หุบปาก!” ฉู่ซือขู่
สิ้นเสียงเขาวัตถุสีเงินขนาดใหญ่ก็ค่อยๆ ผุดลอยบนอากาศ มันประกอบจากวัตถุทรงกลมแบนขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันหลายชิ้น มองผิวเผินละม้ายคล้ายกับแมงมุมเหล็กหลายตัวที่เกาะกลุ่มกัน
ส่วนกรงเล็บสามอันนั้นก็ห้อยลงมาจาก ‘แมงมุมเหล็ก’ ตัวนั้น
วินาทีที่มันปรากฏตัวฉู่ซือก็หน้าเปลี่ยนสีทันที “เรือนจำอวกาศ?”
“ว่าไงนะ!!! เรือนจำอวกาศระเบิดพวกเราทำไม!”
วัตถุที่มีขนาดใหญ่กว่าป่าสนซีดาร์ดำทั้งผืนเท่าหนึ่ง ไม่ใช่อื่นใด หากแต่เป็นเรือนจำอวกาศที่ใช้สำหรับเนรเทศบุคคลอันตรายซึ่งเดิมทีซ่าเอ้อ หยางก็ควรอยู่ในนั้น
คนทั้งดาวต่างรู้จักเรือนจำอวกาศและรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร แต่น่ากลัวว่ายังไม่เคยมีใครได้แหงนมองมันจากองศานี้และด้วยสถานการณ์เช่นนี้
ใครมันจะคาดคิดว่าวันหนึ่งศูนย์รวมเหล่าวายร้ายจะลอยมาเหนือศีรษะตัวเอง!
ทว่าฉู่ซือกลับรู้จักวัตถุขนาดมหึมานี้เป็นอย่างดี…
กรงเล็บสามอันนั้นดูไม่ใหญ่ แต่กลับแข็งแกร่งทนทานจนน่าตะลึง เนื่องจากโถงโดยสารทรงกลมที่ประกอบเป็นเรือนจำอวกาศเหล่านั้นถูกเชื่อมประสานกันด้วยวัสดุชนิดนี้ ตรึงเกี่ยวกันอยู่ท่ามกลางอวกาศมาหลายร้อยปี อัตราการสึกหรอยังไม่ถึงสิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ
ถ้าวัตถุลักษณะนี้ต้องการพยุงเศษเสี้ยวดาวเคราะห์ เรียกได้ว่าง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ
มิหนำซ้ำขอเกี่ยวบนปลายกรงเล็บเป็นแบบกลวง โครงสร้างด้านในประณีตและซับซ้อน เมื่อจับเป้าหมายได้สำเร็จแล้วสามารถสร้างสนามพลังงานขั้นสูงขึ้นมาได้
วึ้ง
เสียงที่ทำให้คนฟังตัวสั่นดังมาจากใต้ฐานของเศษเสี้ยวดาวเคราะห์ สนามพลังงานที่มีแรงผลักมหาศาลประกอบเป็นรูปเป็นร่างแล้ว มาพร้อมกับพลังที่ไม่มีอะไรต้านได้ บวกกับแรงดึงของกรงเล็บยกเศษเสี้ยวดาวเคราะห์ขึ้นสู่ด้านบน
ชั่วขณะนั้นพวกฉู่ซือที่อยู่บนนั้นแทบทนไม่ไหว
ผลจากแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงทำให้กำแพงลานคฤหาสน์ที่รกร้างมาห้าสิบปีพังทลายลง ฝุ่นที่ฟุ้งตลบไม่ได้กระจายออกไปและไม่ได้ร่วงสู่พื้น แต่ฟุ้งกระจายขึ้นสู่ด้านบน ซากกำแพงดังกึกๆ สั่นไม่หยุด
“ผมรู้สึกแย่มากเลย! เหมือนถูกคนจิกผมหิ้วขึ้นฟ้า!!” ไม้ถูพื้นตะโกนเสียงดัง “พวกเราจะหนีกันรอดไหม!!”
“สงสัยจะไม่รอด…” ฉู่ซือตอบแบบนั้น แต่กลับไม่มีความคิดจะนั่งรอความตาย
เขาถอยเพื่อหลบฝุ่นที่ตลบอบอวล นิ่วหน้าไอไปหลายครั้ง กวาดตามองไปรอบๆ อย่างรวดเร็วท่ามกลางความชุลมุน
ใช่แล้ว! ยังมีส่วนที่แบ่งให้ซ่าเอ้อผืนนั้น!
“ทางนี้!” ฉู่ซือตะโกนกับไม้ถูพื้น ก่อนกระโดดข้ามกองซากกำแพงถล่มพุ่งไปทางชายขอบ
วินาทีนั้นโกลาหลเกินไปจนทำให้เขาแทบแยกไม่ได้ว่าตัวเองผลักไม้ถูพื้นเล็กใหญ่ไปกี่ครั้ง แล้วถูกคนอื่นฉุดกระชากลากถูไปกี่ครั้ง เขาถึงขั้นเห็นไม่ชัดด้วยซ้ำว่าคนที่ดึงเขาคือใคร ก็ทั้งวิ่งทั้งกลิ้งกระโดดข้ามรอยแยกนั้นไปแตะลงที่พื้นดินอีกส่วน
“เอาเครื่องยิงจรวดของนายมาให้ฉัน…” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นข้างหู
ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ ฉู่ซือก็ยกเครื่องยิงจรวดไทป์ R-72 ของเขาขึ้นมาทันที “หุบปาก!”
ด่าเสร็จเขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าคนที่พูดว่าขอยืมเครื่องยิงจรวดคือซ่าเอ้อ หยาง
เพียงแต่ในวินาทีนั้นมือเขาเร็วกว่าสมอง วินาทีที่ตั้งสติได้ก็หันลำกล้องไปอีกทิศทางหนึ่งแล้ว
เครื่องยิงจรวดไทป์ R-72 รุ่นใหม่ล่าสุด พลังระเบิดเป็นที่น่าตะลึง มีฟังก์ชันเสริมอย่างคุณสมบัติแยกสสาร รุ่นที่แพงที่สุดสามารถยิงติดกันได้ถึงสิบลูก
บึ้ม…บึ้ม…บึ้ม
เสียงระเบิดดังสนั่นกึกก้อง ลูกหนึ่งต่อด้วยอีกลูกหนึ่ง พริบตาเดียวก็ยิงออกไปแล้วเก้าลูก
ไม้ถูพื้นที่ล้มฟุบอยู่บนพื้นวิญญาณยังไม่ทันกลับเข้าร่างก็สะดุ้งกับเสียงระเบิดที่เหมือนฟ้าถล่มดินทลายนี้จนปัสสาวะราด
เขาสงสัยว่าฉู่ซือใช้เวลาเพียงสั้นๆ แถมไม่เล็งเป้าให้แม่นยำด้วยซ้ำ แต่จรวดกลับระเบิดตามแนวได้มาตรฐาน เศษเสี้ยวดาวเคราะห์ร้าวออกจากกันอีกครั้งแล้วแยกตัวออกมาตามแนวเส้นนั้น
อีกด้านของแนวเส้นถูกกรงเล็บของเรือนจำอวกาศเกี่ยวไว้ทั้งผืน มีป่าสนซีดาร์ดำรวมถึงคฤหาสน์ที่พวกเขาเพิ่งอยู่เมื่อครู่ ฝั่งนี้ของแนวเส้นคือเสามังกรที่ยังคงเปล่งแสงสีฟ้า
เศษเสี้ยวผืนดินที่มีเสามังกรหลุดจากขอเกี่ยวแล้วลอยย้อนกลับลงมา ระหว่างทางก็ชนกับเศษเสี้ยวผืนดินที่พวกเขายืนอยู่ ก่อนประสานกันเป็นเศษเสี้ยวผืนดินที่มีขนาดใหญ่ขึ้นอีกนิด
แต่ก็คนละความหมายกับคำว่า ‘ใหญ่’ ในความเป็นจริง
บวกลบคูณหารด้านหน้าด้านหลัง คะเนด้วยสายตาไม่เกินสี่สิบตารางเมตร ซึ่งร่างของพวกเขาที่ยืนอยู่หรือไม่ก็ทรุดกองอยู่ที่พื้นบนเศษเสี้ยวดาวเคราะห์นี้จนดูกลายเป็นฝูง…วาฬบนเกาะร้าง
ฉู่ซือถือเครื่องยิงจรวดที่ยิงจนหมดแล้ว แหงนหน้ามองผืนดินที่ถูกเรือนจำอวกาศคว้าไว้ผืนนั้น กล่าวด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์
“บ้านฉัน แล้วก็ลูกน้องฉัน” พูดจบเขาก็หลุบตาลงมองไปรอบๆ…
เยี่ยมเหลือเกิน พื้นที่เท่ารูหนู มีคนระดับหัวหน้าของกองอำนวยการความมั่นคงอย่างเขา มีผู้ก่อการร้ายอย่างซ่าเอ้อ หยาง ซ้ำยังมีไม้ถูพื้นหนึ่งแถมหนึ่งอีกคู่ สามัคคีปรองดอง สุขสันต์กลมเกลียว
หัวหน้าฉู่ที่เสียทั้งบ้านเสียทั้งกำลังคนอารมณ์ไม่ดีเลยสักนิด เขาเบนสายตาไปจ้องซ่าเอ้อ หยางแล้วยกมือชี้ขึ้นไปยังเรือนจำอวกาศที่มาโจมตีกะทันหัน
“นายควรอธิบายหน่อยไหม”
ซ่าเอ้อเงยหน้าขึ้น ขยับปลายลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม หรี่ตามองใต้ฐานของวัตถุขนาดใหญ่โตนั้น ครู่หนึ่งก็หันไปมองฉู่ซือที่อยู่ตรงข้าม ยกมือขึ้นแตะโหนกคิ้วอย่างหย่อนอารมณ์ ทำท่าทำความเคารพที่ดูนักเลงเอามากๆ
เขาพูดลากเสียง “เรียนหัวหน้า เรือนจำอวกาศเหมือนนายจะเป็นคนคุมนะ นี่นอนจนสติเบลอไปแล้วเหรอ”
ฉู่ซือ “…” สติเบลอบ้านแกสิ
แน่อยู่แล้วว่าเขาไม่ได้นอนจนเบลอ!
เพราะเดิมทีเรือนจำอวกาศอยู่ใต้การบังคับบัญชาของเขา เขาจึงเห็นปัญหาได้ในทันที…
ซ่าเอ้อ หยางหนีออกมาแล้ว ทางเรือนจำอวกาศน่าจะประกาศจับเขาทั่วเอกภพถึงจะถูก เครื่องควบคุมบนแขนของเขายังไม่ได้ถูกทำลาย เรือนจำอวกาศสามารถค้นหาพิกัดได้แม่นยำระดับเซนติเมตร ทั้งยังสามารถทำให้ร่างกายเขาตกอยู่ในภาวะช็อกได้โดยตรงในระยะที่เครื่องควบคุมแผ่รังสีถึง
ทว่าตอนนี้เรือนจำอวกาศวาร์ปมา กรงเล็บที่หย่อนลงมาไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ซ่าเอ้อ ความผิดพลาดลักษณะนี้หากอยู่ในสถานการณ์ปกติก็หนักพอให้คณะบริหารเรือนจำลาออกทั้งคณะแล้ว
สิ่งที่เป็นปัญหายิ่งกว่านั้นคือเครื่องสื่อสารของฉู่ซือไม่ได้ปิดอยู่ ช่องสัญญาณสื่อสารของเขาอยู่ในรายชื่อยืนยันตัวตนของเรือนจำ ทั้งยังเป็นตำแหน่งผู้มีอำนาจสูงสุดด้วย
ขณะโจมตีตำแหน่งของเขาที่ปรากฏบนจอแผนที่ดาวของเรือนจำอวกาศจะเป็นเครื่องหมายสีแดงที่สะดุดตาที่สุด ต่อให้พวกผู้ดูแลกลุ่มนั้นตาบอดแค่ไหนก็ไม่มีทางปล่อยให้กรงเล็บพุ่งไปทางเหนือศีรษะของผู้บังคับบัญชาได้
นั่นคือการก่อกบฏชัดๆ
เมื่อรวมหลายจุดที่ไม่ชอบมาพากลเข้าด้วยกัน ฉู่ซือก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นลูกไม้พิเรนทร์ของซ่าเอ้อ
“อย่าจ้องฉันด้วยตาสวยๆ แบบนั้น ที่รัก” ซ่าเอ้อชูมือทั้งสองข้างขึ้น “ฉันอธิบายไม่ได้จริงๆ”
“ถ้าวันไหนสมองฉันถูกยิง อาจเลือกที่จะเชื่อนายสักครั้งก็ได้” ฉู่ซือตอกกลับอย่างไม่เกรงใจ
ซ่าเอ้อหัวเราะเสียงหนึ่ง “พวกเรารู้จักกันนานจนเลี้ยงเจ้าตัวเล็กคนหนึ่งให้โตเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว นายก็ยังไม่ไว้หน้ากันเลย ฉันเสียใจนะ”
นายเสียใจกับผีน่ะสิ
ฉู่ซืออ้าปากก็สวนทันที “ต่อให้นานจนเลี้ยงไอ้ตัวเล็กให้เป็นเถ้ากระดูกได้ ฉันก็ยังเป็นแบบนี้”
ไม้ถูพื้น “…” นี่มันการเปรียบเทียบผีบ้าอะไรวะเนี่ย!
“ขอเตือนด้วยมิตรภาพ ถ้านายมีเวลาใจร้ายกับฉัน สู้ดูบ้านกับลูกน้องนายหน่อยไหม” ซ่าเอ้อยังคงอยู่ในท่ายกมือทั้งสองข้างขึ้น ยอมจำนนด้วยท่าทียียวนกวนโทโส “เพราะกว่านายจะมีโอกาสเจอพวกเขาอีกที อาจจะเป็นอีกห้าสิบปีให้หลังแล้วก็ได้”
เรือนจำอวกาศสีขาวเงินเก็บเศษเสี้ยวดาวเคราะห์นั้นขึ้นสูงมากแล้ว ‘ท้องแมงมุม’ บริเวณใต้ฐานเปิดทางออกช่องหนึ่ง กำลังจะกลืนมันเข้าไปต่อหน้าต่อตา
ตัวเครื่องส่วนนอกของเรือนจำอวกาศเปล่งแสงสีฟ้าเป็นวง ไล่จากหัวจรดท้ายราวกับเกลียวคลื่น…นั่นหมายถึงว่ากำลังเริ่มวาร์ป
นี่ไม่ใช่เรื่องที่กำลังคนแค่สองสามคนจะขัดขวางได้
ฉู่ซือเดาจุดประสงค์การกระทำนี้ของเรือนจำอวกาศไม่ได้ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ถือได้ว่าทำให้ใจชื้น…
นั่นคือไม่ว่าคนที่ดูแลควบคุมเรือนจำอวกาศในเวลานี้เป็นใครหรือกำลังวางแผนทำอะไร เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาพวกนั้นก็ยังไม่ได้รับอันตรายร้ายแรง เพราะไม่ว่ากับใคร แคปซูลแช่แข็งก็ไม่ใช่ขยะ ต่อให้แคปซูลนั้นจะถูกใช้งานอยู่ หรือต่อให้การเปิดแคปซูลจากด้านนอกนั้นจะยากเย็นแสนเข็ญก็ตาม
แต่ว่าบ้าน…
ฉู่ซือหน้าสลดทันที ตอนออกจากห้องเก็บของเขาเปิดสวิตช์ฟังก์ชันทำลายตัวเองไปแล้ว
ข้อดีคือไม่ต้องกลัวจะถูกใครงัดประตู ข้อเสียคือ…ใกล้จะระเบิดแล้ว
เป็นดังคาด ระหว่างที่ประตูของ ‘ท้องแมงมุม’ ปิดลงอีกครั้งก็มีเสียงดังสนั่นกึกก้องขึ้นทันที
แม้กระทั่งซ่าเอ้อยังหันไปมองด้วยความแปลกใจ แล้วก็เห็นเรือนจำอวกาศพร้อมคลื่นแสงสีฟ้าที่กำลังจะวาร์ปสั่นกระตุก ส่วนท้องมีควันดำลอยโขมง ดูแล้วสภาพมอมแมมทุลักทุเลทีเดียว
จู่ๆ ซ่าเอ้อก็ยิ้มจนตาหยี ท่าทางผ่อนคลายสบายอารมณ์ “เรียนหัวหน้า ฉันล่ะชอบนิสัย ‘ตัวเองแขนขาดข้างหนึ่ง ก็จะตัดต้นขาคนอื่นด้วย’ ของนายจริงๆ”
ไม่รู้ว่าการระเบิดนั้นกระทบอุปกรณ์อะไรเข้าหรือไม่ กรงเล็บที่เรือนจำอวกาศเก็บกลับไปแล้วกลับห้อยลงมาใหม่อีกข้างหนึ่ง
สนามพลังงานระดับสูงเริ่มไม่เสถียร ส่งเสียงเปรี๊ยะปร๊ะ
สสารล่องหนที่เกิดจากเสามังกรมีแรงดึงดูดกับเจ้าสิ่งนั้นอย่างต้านทานไม่อยู่ พริบตาเดียวก็ดูดเข้ามาแล้วราวกับมีมือใหญ่ล่องหนข้างหนึ่งดึงกรงเล็บนั้นไว้แล้วลากมาทางเหนือศีรษะของทุกคน
วึ้ง
แม้แต่ฉู่ซือยังรู้สึกชาที่หนังศีรษะ พลันถอยห่างออกมาระยะหนึ่งทันที
ต่อให้เขามีปฏิกิริยาว่องไว บริเวณขอบหน้าผากก็ยังมีเลือดซิบ สนามพลังงานถูกสสารล่องหนส่วนนอกกั้นไว้ส่วนหนึ่ง ส่วนเล็กน้อยที่เหลือนั้นก็ยังทำอันตรายกับคนได้
แต่ขณะที่ฉู่ซือยกหลังมือขึ้นปาดบริเวณขอบหน้าผากอยู่นั้น กรงเล็บที่ส่ายไปมาอยู่สองทีก็ถูกมือข้างหนึ่งคว้าไว้
คว้าไว้…ด้วยมือเปล่า
แขนที่จับมันข้างนั้นยาวและเพรียว เส้นเลือดที่ปูดโปนกับกระดูกกลับเผยให้เห็นถึงเรี่ยวแรงที่ไม่อาจสลัดหลุดได้
นั่นคือมือของซ่าเอ้อ
ฉู่ซือที่กำลังปวดศีรษะจากการรบกวนของสนามพลังงานมองไปด้วยสายตาฉงน ปฏิกิริยาแรกไม่ใช่ ‘สมน้ำหน้า’ แต่เป็น ‘น่าเสียดาย’
เมื่อมือสวยๆ ข้างนั้นสัมผัสผิวโลหะด้านนอกของกรงเล็บก็ส่งเสียงเปรี๊ยะปร๊ะราวกับน้ำหยดลงในหม้อน้ำมันเดือดๆ ลำพังแค่ฟังก็รู้สึกถึงเนื้อหนังที่ฉีกขาด เจ็บถึงขั้วหัวใจ
ทว่าซ่าเอ้อกลับเพียงสูดปากไปเสียงหนึ่ง ทั้งยังทำแค่พอเป็นพิธีเท่านั้น
เขาสะบัดข้อมือแล้วเหวี่ยงกรงเล็บที่จับไว้ไปทางเสามังกรบนพื้นที่มีขนาดสูงกว่าคนเล็กน้อย ก่อนสะบัดมือแล้วเอ่ยขึ้น
“หัวหน้าที่รักของฉันแบ่งที่ดินผืนกว้างขวางขนาดนี้มาให้ทั้งที ยังไงก็ควรมีของขวัญตอบแทนกันหน่อย”
เจ้าอันธพาลนี่ยังจงใจเน้นเสียงหนักที่คำว่า ‘กว้างขวาง’ กลัวคนอื่นจะฟังไม่ออกว่าเขากำลังประชด
โลหะที่เคลื่อนไหวได้อย่างโซ่กรงเล็บถูกเหวี่ยงไปพันรอบเสามังกรหลายรอบ และถูกพลังงานขั้วบวกที่เสามังกรปล่อยออกมาดูดแน่นราวกับผูกเป็นเงื่อนตาย
โซ่กรงเล็บทั้งเส้นถูกเสามังกรจนหลอมเป็นเนื้อเดียว จากล่างขึ้นบน พริบตาเดียวก็ลามไปถึงส่วนที่เชื่อมต่อกับเรือนจำอวกาศ
เวลานี้เรือนจำอวกาศวาร์ปสำเร็จไปแล้วครึ่งส่วน หายลับไปในทะเลดาว ไม่มีทางที่จะหยุดกะทันหันเพราะอุบัติเหตุแค่นี้ มิฉะนั้นจะถูกแยกเป็นสองส่วน ถูกบดเป็นผุยผงในอวกาศ ก่อนจะมลายหายไป
บึ้ม…บึ้ม…บึ้ม
เปลวไฟจากระเบิดพุ่งออกจากเคบินกลมด้านหน้าติดต่อกันหลายลูก
ตัวเชื่อมประสานระหว่างเคบินกลมขนาดเล็กสองเครื่องทั้งด้านหน้าและด้านหลังถูกระเบิดเป็นผุยผงในชั่วพริบตา วินาทีที่ขาดออกจากกัน ตัวเรือนจำอวกาศทั้งหมดก็วาร์ปสำเร็จ ไม่เหลือร่องรอย ทิ้งไว้เพียงเคบินกลมสุดท้ายที่เชื่อมกับโซ่กรงเล็บ
ซ่าเอ้อชูมือข้างที่มีแผลเหวอะหวะ แล้วพึมพำประโยคหนึ่ง “น่าตื่นเต้นดี”
เมื่อพูดจบเขาก็เอียงหน้าคลี่ยิ้มให้ฉู่ซือ ชี้ไปที่กรงเล็บกับเคบินกลมของเรือนจำอวกาศที่ถูกมัดอยู่ด้านบน
“ที่รัก ฉันให้ว่าวนายตัวหนึ่ง”
ฉู่ซือ “…”
ไม้ถูพื้น “…” ว่าวบ้านแม่นายสิ!
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 19 มี.ค. 66