everY
ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 2 บทที่ 58 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 2
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
※ เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว
มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน
การฆ่าตัวตาย และการใคร่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
※ Trigger ที่ระบุข้างต้นไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวละครหลักทั้งหมด
※ นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 58 เป็นเกียรติของผมที่ได้รับการยอมรับจากคุณ
ฟางหู่ตกใจเสียงกระแทกที่ดังมาจากกระจก เขาถามเสียงกระวนกระวาย “ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ”
ทันใดนั้นเสียงทุบก็หยุดลง เสี่ยวหลี่ที่รับหน้าที่จดบันทึกหันไปมองกระจกด้วยความรู้สึกเป็นกังวล ในขณะที่ท่าทางของซ่งรุ่ยเป็นปกติดีมาก เขาถามฟางหู่เรื่องปัญหาที่เกี่ยวข้องกับคดีต่อ
การสอบสวนที่ขาดช่วงไปเพราะมีเรื่องเล็กๆ สอดแทรกเข้ามาดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่อีกด้านหนึ่งของห้องสอบสวน ภายในห้องสังเกตการณ์เล็กแคบแห่งนั้น เสิ่นโหย่วเฉวียนถูกตำรวจสองนายล็อกแขนสองข้างและกดตัวติดผนังเพื่อบังคับให้เขาใจเย็นลง
ทว่าเสิ่นโหย่วเฉวียนจะใจเย็นได้หรือ ผมของเขายุ่งเหยิง ดวงตาแดงฉาน ริมฝีปากแห้งผาก หัวใจถูกความหวาดกลัวและความเศร้าเสียใจอย่างหนักหน่วงฉีกทึ้ง จนถึงตอนนี้เขาเพิ่งเข้าใจความนัยที่ฟั่นจยาหลัวพูดกับเขาวันนั้น
นั่นมันไม่ใช่แค่คำอุปมาอุปไมยที่แฝงไว้ด้วยอนาคตอันน่ากลัว แต่มันคือคำทำนายที่เกิดขึ้นจริง น่าสยดสยองที่สุดและถึงเป็นถึงตายที่สุด! ตอนที่ความจริงถูกเปิดเผย เขาถึงเพิ่งรู้ว่าคำทำนายนี้แม่นยำขนาดไหน!
วันนั้นฟั่นจยาหลัวแทบจะดึงหูเขาเพื่อพูดย้ำทีละคำว่า ‘คุณรู้มั้ยว่าลูกสาวของคุณไม่มีอนาคต อีกไม่นานเธอจะถูกคนใกล้ชิดที่สุดของคุณฆ่าตาย! และคนคนนี้จะแย่งเอาทุกสิ่งของบ้านสกุลเสิ่นไป!’
นกเขายึดรังนกสาลิกา นกเขายึดรังนกสาลิกาจริงๆ มันไม่ได้เป็นแค่วิธีเปรียบเปรย เหมือนซีนในสารคดี นกเขาพวกนั้นร่วมมือกันผลักลูกสาวที่กำลังรอคอยอาหารจากเขาให้ร่วงจากกิ่งสูงลงไปตายทั้งเป็น! ตอนแรกเขาเข้าใจว่าจินตนาการของภาพนี้มันสยองมากแล้ว แต่เขากลับดูเบาความโหดร้ายของมนุษย์เกินไป
คนบางคนไม่มีความเป็นมนุษย์ ความอำมหิตของพวกเขาสามารถดำเนินไปได้ถึงที่สุด เหี้ยมจนชวนรู้สึกหนาว ตอนแรกเขาเข้าใจแค่ว่าเสิ่นอวี้เหราเป็นแค่นักแย่งชิง และสิ่งที่อีกฝ่ายแย่งไปคือความรักและทรัพยากรของลูกสาว ทว่าแม้แต่ชีวิตของเสิ่นอวี้หลิงเขาก็ยังต้องการเอาไป พวกเขาไม่ยอมให้โอกาสลูกสาวเขาได้เติบโต แม้แต่สมบัติน้อยนิดที่เสิ่นโหย่วเฉวียนจะใช้เลี้ยงดูเธอ ยังถูกพวกเขามองเป็นของในกระเป๋าตัวเอง ไม่ยอมเจียดให้ลูกสาวเขาแม้แต่น้อย!
แล้วตัวเขาล่ะ ตอนที่มีโศกนาฏกรรมที่แสนเงียบเชียบนี้เกิดขึ้น ตัวเขาอยู่ที่ไหน
พอคิดมาถึงตรงนี้ เสิ่นโหย่วเฉวียนก็ร้องไห้ออกมาอย่างคนหัวใจสลาย เพราะเขาเพิ่งรู้ว่าถ้าไม่มีคำเตือนของฟั่นจยาหลัว เขาไม่มีทางเอะใจสงสัย เมื่อเรื่องทุกอย่างเกิดขึ้น เขาไม่มีทางรู้และหลงไว้ใจโจรกลุ่มนั้น เลี้ยงดูกระเพาะของพวกมัน ถึงขั้นเล่นบทผู้สมรู้ร่วมคิด เฝ้ามองลูกสาวถูกปฏิบัติอย่างเย็นชาและหมางเมินอยู่ในบ้าน
ถ้าไม่มีฟั่นจยาหลัว เขาไม่มีทางไปพิสูจน์ดีเอ็นเอ ไม่มีทางไปรับลูกสาวคนเดียว เมื่อนั้นการลักพาตัวจะเป็นไปตามแผนของหลงเฉิงเซิงทุกอย่าง เขาจะต้องยกทุกสิ่งที่ตัวเองหามาได้ให้พวกมัน ทว่าสิ่งที่ได้มากลับเป็นเมล็ดพันธุ์ของคนอื่นกับศพเล็กๆ ที่เย็นชืดไปแล้วหนึ่งศพ เขาจะถูกปิดหูปิดตาไปตลอดชีวิต จนตายก็ไม่รู้ว่าเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของเขาดับสูญไปแล้ว ในขณะที่เด็กซึ่งเขาใช้เลือดของตัวเองเลี้ยงดูจนเติบใหญ่กลับเป็นนักแย่งชิงที่เป็นสาเหตุหลักในการฆาตกรรม ครอบครัวของเขาได้พังทลายลงในฤดูร้อนอันน่าเศร้า ถ้าเขาเอาแต่ลุ่มหลงอยู่กับความยินดีที่ได้ลูกชายกลับคืนจนหลงลืมความเจ็บปวดของลูกสาว…
สุดท้าย ลูกคนเดียวของเขาจะหายไปจากสมองของเขา เหมือนเธอไม่เคยมีตัวตน
เสิ่นโหย่วเฉวียนนึกภาพต่อไม่ไหว น้ำตาไหลไม่หยุด เหมือนน้ำตามันไหลออกมารวดเดียวจนดวงตาแห้งผาก คดีถูกปิดลงอย่างราบรื่น แต่กระดูกสันหลังของเขากลับถูกความหวาดกลัวที่ตามมาทีหลังกดทับจนงอ หนักแสนหนัก แก้ไม่หาย ความหวาดผวาที่เพิ่งรู้สึกเข้าครอบคลุมจิตใจของเขา ลมหายใจหอบหนักเหมือนคนที่กำลังตกอยู่ในความสิ้นหวัง
ใบหน้าของเขาถูกไฟโทสะแผดเผาจนบิดเบี้ยว ดวงตาถูกย้อมด้วยความกลัวจนกลายเป็นสีแดงฉาน ปากส่งเสียงร้องคำรามต่ำๆ ไม่เป็นภาษา เหมือนสัตว์ป่าที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ตำรวจสองนายเกือบกดตัวเขาไว้ไม่อยู่ คุณพ่อคุณแม่เสิ่นที่ยอมรับความจริงไม่ได้เห็นลูกชายสะเทือนใจถึงขั้นนี้ก็ลืมข้อข้องใจและความอยากหลีกหนีในใจทิ้งไปทันที พวกเขารีบเข้ามาจับมือลูกชายเพื่อปลอบใจเขารอบแล้วรอบเล่า “โหย่วเฉวียน ตอนนี้นานนานปลอดภัยดีมาก ลูกได้ยินมั้ย หลานไม่เป็นไร ลูกอย่าคิดฟุ้งซ่าน นี่ไม่ใช่ความผิดของลูก นี่เป็นบาปของจงฮุ่ยลู่กับหลงเฉิงเซิง ถ้าลูกกลับไปทั้งอย่างนี้นานนานจะตกใจเอานะ!”
‘นานนาน’ สองคำนี้แตะถูกส่วนที่อ่อนนุ่มที่สุดในใจของเสิ่นโหย่วเฉวียนเบาๆ เขาฝืนหลับตาลงจนเสียงร้องไห้เปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้น ท่าทางของเขาเหมือนลูกสาวที่ร้องไห้เสียงดัง ดูพังมาก เพราะไม่ได้สนใจท่าทางของตัวเองว่าจะไม่น่าดูมากแค่ไหน เขากลัวมากแต่ก็ดีใจมาก ความเศร้าเสียใจและยินดีอย่างรุนแรงกระแทกสติของเขา ทำให้รู้สึกยากจะรับไหว
คุณพ่อเสิ่นกับคุณแม่เสิ่นสะอื้น พูดซ้ำๆ “โหย่วเฉวียน นานนานยังอยู่ หลานสบายดี ครอบครัวเรายังอยู่ดี สวรรค์ยังคุ้มครองพวกเรา!”
“ไม่ใช่สวรรค์หรอกครับ แต่เป็นฟั่นจยาหลัว” ถึงเสิ่นโหย่วเฉวียนจะกำลังสะอื้นหนัก แต่เขายังไม่ลืมเสริมอีกหนึ่งประโยค เวลานี้เขาทั้งหวาดกลัวและตื้นตันใจ ซาบซึ้งในการปรากฏตัวอย่างน่าอัศจรรย์ของคนคนนั้น และสะเทือนใจทุกประโยคที่คนคนนั้นพูด
กว่าเสิ่นโหย่วเฉวียนจะสงบสติอารมณ์ลงได้ ทางซ่งรุ่ยก็ได้คำให้การทั้งหมดของฟางหู่มาแล้ว เมื่อฟางหู่รับสารภาพ โจวย่วนก็รับสารภาพเหมือนกัน สภาพจิตใจของจงฮุ่ยลู่ย่ำแย่ที่สุด เธอรับสารภาพเป็นคนแรก ซ่งรุ่ยต้องให้ทั้งสามคนมาชี้ตัวหลงเฉิงเซิง ทำให้เขาแถต่อไม่ไหว ต้องยอมรับสารภาพ
ตอนที่ทุกคนถูกคุมตัวไปขัง จงฮุ่ยลู่เห็นเสิ่นโหย่วเฉวียนกับคุณพ่อคุณแม่เสิ่นอยู่ที่โถงทางเดิน แววตาหวาดกลัวของเธอกลับมาป่วนปั่นอีกครั้ง เธอยื่นมือออกไปหมายจะคว้าชายเสื้อของสามี แต่เขากลับเบี่ยงหลบ เธอจึงทำได้เพียงอ้อนวอน “โหย่วเฉวียน คุณช่วยดูแลเหราเหราหน่อยนะ!” พอนึกได้ว่าคำพูดของตัวเองกำกวมเกินไป เธอก็รีบเสริมต่อว่า “ไม่สิ ไม่ ไม่ ไม่ต้องดีต่อเขามากก็ได้ แค่ให้ข้าวเขากินก็พอ! โหย่วเฉวียน ถ้าคุณไม่อยากเสียเงินเลี้ยงดูเขาก็ถือว่าฉันขอร้องคุณ! ถือว่าฉันขอร้องคุณเถอะนะ!”
ตำรวจลากตัวเธอเดินไปข้างหน้า แต่หญิงสาวยังพยายามหันกลับมา ยื่นมือไขว่คว้าเพื่อขอคำมั่นจากสามี
เสิ่นโหย่วเฉวียนยิ้มเย็น “ตอนนี้คุณห่วงแต่เสิ่นอวี้เหราคนเดียว ไม่เคยคิดเลยใช่มั้ยว่านานนานจะเป็นยังไง ตอนที่คุณเห็นดีเห็นงามกับแผนลักพาตัวของหลงเฉิงเซิง คุณคิดอะไรอยู่ นานนานก็ออกมาจากท้องคุณไม่ใช่เหรอ ทำไมคุณถึงทนเห็นพวกเขาฆ่าเธอได้”
“ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าหลงเฉิงเซิงตั้งใจจะฆ่านานนาน ไม่งั้นฉันไม่มีทางเห็นด้วยเด็ดขาด! โหย่วเฉวียน คุณเชื่อฉันนะ! โหย่วเฉวียน อย่าทิ้งเหราเหรานะ!” จงฮุ่ยลู่ถูกตำรวจคุมตัวไป แต่เสียงแหลมๆ ของเธอกลับยังก้องดังอยู่นาน
ทันทีที่เธอจากไป ตำรวจหญิงก็พาเสิ่นอวี้เหรามาส่งที่กรมตำรวจ ร่างกายเขาค่อนข้างอ่อนแอแต่ไม่ได้ถูกทารุณ ถือว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้าย และในจังหวะเดียวกันนี้เอง ตำรวจได้พาเสิ่นอวี้หลิงมาด้วย เมื่อที่บ้านสกุลเสิ่นไม่มีผู้ใหญ่อยู่เลยสักคน เสิ่นโหย่วเฉวียนย่อมไม่สามารถปล่อยให้ลูกสาวอยู่กับคนรับใช้ทั้งกลุ่มได้ แม้แต่คนข้างหมอนที่ใกล้ชิดสนิทสนมที่สุดยังน่ากลัวขนาดนี้ เขายังจะเชื่อใจใครได้อีก
พอเห็นเสิ่นอวี้เหราที่ร้องไห้จนขอบตาแดง คุณพ่อเสิ่นคุณแม่เสิ่นที่จะก้าวออกไปหาตามสัญชาตญาณ ใจอยากกอด อยากหอมเขา พลันนิ่งอยู่ที่เก่า ไม่กล้าเข้าใกล้ ความรักที่พวกท่านมีต่อเด็กคนนี้ไม่ใช่ของปลอม แต่จุดเริ่มต้นของความรักกลับมาจากเพศสภาพและความคิดที่ว่า ‘บัลลังก์สกุลเสิ่นต้องมีผู้สืบทอด’ ตอนนี้ผู้สืบทอดบัลลังก์นี้กลับเป็นเมล็ดพันธุ์ของคนอื่นที่ไม่เพียงจะแย่งชิงทุกสิ่งของสกุลเสิ่น แต่ยังจะทำลายรากฐานของสกุลเสิ่นด้วย ทำให้ความรักนี้ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงขั้นเริ่มมีความรู้สึกเคียดแค้นเพิ่มเติมเข้ามา
ตอนตำรวจหญิงเอาเด็กมาส่ง พวกเขาหมุนตัวหันมามอง สีหน้าเยียบเย็นน่ากลัว เสิ่นโหย่วเฉวียนอุ้มเด็กชายไปวางไว้บนเก้าอี้ด้านข้างอย่างเบามือ แล้วอุ้มลูกสาวมาพาดไว้บนไหล่ หอมแก้มเธอแรงๆ สองครั้ง
เสิ่นอวี้หลิงไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เธอกอดคอพ่อพลางหัวเราะคิกคัก ในช่วงที่สกุลเสิ่นต้องลุยกับน้ำลึกไฟร้อน เด็กหญิงกลับได้รับการปกป้องอย่างดีมาก
เสิ่นอวี้เหรามองใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสของเสิ่นอวี้หลิงก็เม้มริมฝีปากแน่นขึ้นเรื่อยๆ แต่เขายังคงทำเหมือนเมื่อก่อนคือไม่พูดเลยสักประโยค เพียงกระโดดลงจากเก้าอี้เงียบๆ และเดินกะเผลกเข้าไปหาเสิ่นโหย่วเฉวียน ใช้มือน้อยๆ กระตุกขากางเกงของเขาอย่างระมัดระวัง แหงนใบหน้าขาวผ่องน่ารักราวหยกขึ้น น้ำตาใสกระจ่างเหมือนแก้วผลึกร่วงรินอย่างไร้สุ้มเสียง เหมือนลูกสัตว์ตัวน้อยที่เต็มไปด้วยความตื่นตกใจ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเสิ่นโหย่วเฉวียนคงวางลูกสาวลงและเปลี่ยนไปอุ้มเขาแล้ว แต่ตอนนี้เสิ่นโหย่วเฉวียนเพียงหลุบตามองเขาอยู่นานมากและค่อยๆ ถอยหลังไปหนึ่งก้าวจนหลุดจากมือของเขา การที่เด็กอายุน้อยแค่นี้รู้จักใช้ภาพลักษณ์อ่อนแอมากำจัดพี่น้องของตัวเองเพื่อให้ได้ความรักและผลประโยชน์คือสิ่งที่พ่อแม่ของเขาทิ้งไว้ให้ในสายเลือด ซึ่งบังเอิญไปเหมือนเหยี่ยวเท้าแดงที่เพิ่งฟักตัวรู้ว่าต้องฆ่านกกางเขน เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก
ถ้าตนเลี้ยงเด็กคนนี้จนโต อีกฝ่ายจะรู้จักบุญคุณหรือ จะเปลี่ยนตัวตนที่ซ่อนอยู่ในสายเลือดได้หรือ เสิ่นโหย่วเฉวียนไม่รู้คำตอบ และไม่พร้อมที่จะเสียผลประโยชน์ของลูกสาวด้วยการทำตัวเป็นคนดี เพื่ออนาคตของเสิ่นอวี้เหรา หลงเฉิงเซิงวางแผนดับอนาคตของลูกสาวเขา แค่เรื่องนี้ก็พอให้เสิ่นโหย่วเฉวียนเลิกล้มความคิดที่จะเลี้ยงดูเสิ่นอวี้เหราแล้ว
เขาโทรหาแม่ของจงฮุ่ยลู่ โชคดีที่ผู้หญิงคนนั้นมีความเมตตาและห่วงหลานมาก แม้จะรับความจริงไม่ค่อยได้ แต่ยังคงรับปากว่าจะรับหลานไป ตอนเธออุ้มเสิ่นอวี้เหราขึ้นรถ เสิ่นอวี้เหรารู้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เด็กชายหัวดีมาโดยตลอด ฉลาดเข้าขั้นน่ากลัว เสิ่นอวี้เหราจึงร้องโวยวายไม่หยุด “พ่อไม่ต้องการผมแล้วเหรอ คุณปู่คุณย่าไม่ต้องการเหราเหราแล้วเหรอ เหราเหราจะเป็นเด็กดี ทุกคนพาเหราเหรากลับไปด้วยได้มั้ย”
คุณพ่อเสิ่นกับคุณแม่เสิ่นน้ำตาไหล หันหน้าไปทางอื่น ในขณะที่เสิ่นโหย่วเฉวียนกดศีรษะของลูกสาวแนบอกของตนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และให้คนขับรถชั่วคราวออกรถ
คราวนี้เสิ่นอวี้เหราที่เอาแต่ร้องไห้เงียบๆ มาตลอด ก็ร้องไห้เสียงดังเหมือนจะขาดใจ…
คดีที่มีความเกี่ยวข้องกับเงินระดับห้าสิบล้านจึงได้รับการคลี่คลายไปในลักษณะนี้ นับตั้งแต่เสิ่นโหย่วเฉวียนเข้าแจ้งความจนเด็กได้รับความช่วยเหลือ ทั้งหมดใช้เวลาไปแค่แปดชั่วโมง เป็นสถิติใหม่ในประวัติศาสตร์ของสำนักย่อยเขตใต้ ผู้อำนวยการได้รับคำรับรองและคำชื่นชมอย่างมากจากผู้หลักผู้ใหญ่ ตอนกลับมาที่สำนักย่อย เขาเล่าด้วยใบหน้าแดงเรื่อ “สำนักย่อยของเราทำผลงานใหญ่ ทุกคนในหน่วยเฉพาะกิจจะได้รับรางวัล!”
“เย่! รางวัล!” ทุกคนไชโยโห่ร้องกันอย่างดีอกดีใจ ทว่าซ่งรุ่ยกลับเก็บกระเป๋าเอกสารของตัวเองเงียบๆ เหมือนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของบรรยากาศชื่นมื่นนี้เลย
หลังสอบปากคำฟั่นจยาหลัว เขาได้ไปรับการประเมินสภาพจิตใจ ผลออกมาว่าสุขภาพจิตของเขาดีมาก สามารถรับงานเป็นที่ปรึกษาของกรมตำรวจต่อไปได้ แต่รอยยิ้มที่อ่อนโยนลดน้อยลง ทำให้เขาเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน
ในฐานะของคนที่เคยสงสัยซ่งรุ่ย ผู้อำนวยการย่อมรู้สึกประดักประเดิด เขากระแอมก่อนบอก “ครั้งนี้ต้องลำบากด็อกเตอร์ซ่งแล้ว ถ้าไม่ได้แผนเดินบนคมกระบี่คมดาบที่ใช้นิ้วปลอมหนึ่งนิ้วทดสอบหลงเฉิงเซิงกับจงฮุ่ยลู่ของด็อกเตอร์ซ่ง ทำลายการป้องกันทางจิตของพวกเขาจนได้คำให้การมา คดีของเราคงไม่คลี่คลายเร็วแบบนี้ คดีนี้จึงเป็นผลงานของด็อกเตอร์ซ่ง”
ซ่งรุ่ยปล่อยแขนเสื้อที่ม้วนอยู่ตรงข้อศอกลงช้าๆ ริมฝีปากบางเม้มเล็กน้อย เขาพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนถอนหายใจ “ผู้อำนวยการครับ คุณชมเกินไป คุณน่าจะรู้ดีว่าคดีนี้เป็นผลงานของใคร ถ้าไม่ได้คำแนะนำจากฟั่นจยาหลัว เสิ่นโหย่วเฉวียนคงไม่ไปทำการพิสูจน์ดีเอ็นเอ ไม่พาลูกหนีไปก่อน และยิ่งไม่หลบทุกคนในบ้านมาแจ้งความ ในสามขั้นตอนนี้ ถ้าพลาดก้าวใดก้าวหนึ่งไป สิ่งที่คอยสกุลเสิ่นกับกรมตำรวจเราอาจจะเป็นการสูญเสียหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งชีวิต ต่อให้คลี่คลายคดีได้เราก็ไม่มีอะไรให้ภูมิใจ เพราะสิ่งที่พวกเราทำคือการทำข้อสอบ แต่ฟั่นจยาหลัวชิงบอกคำตอบสุดท้ายให้พวกเรารู้แล้ว เราแค่ต้องพลิกแพลงคำตอบเพื่อจับคนร้ายและช่วยเด็กออกมา ต่อให้เปลี่ยนตัวผมหรือเปลี่ยนทุกคนในทีม คดีนี้ก็น่าจะยังคลี่คลายได้ ผมคงไม่กล้าบอกว่าเป็นผลงาน แค่เหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้น”
ทุกคนที่กำลังกระโดดโลดเต้นพากันเงียบ สุดท้ายก็ทำหน้าเขินๆ จริงอยู่ที่ฟั่นจยาหลัวได้เปิดความจริงออกมาให้พวกเขาเห็นแล้ว ต่อให้เปลี่ยนคนอื่นมาทำคดีนี้ก็คลี่คลายได้ จึงไม่มีอะไรน่าดีใจ
ผู้อำนวยการกวาดตามองทุกคนแล้วมองซ่งรุ่ยด้วยแววตาลึกซึ้งแวบหนึ่งก่อนส่ายหน้า “ผมไม่คิดว่าสิ่งที่พวกคุณทำมันไม่มีค่าเลยนะ เพราะถ้าไม่มีพวกคุณ คดีนี้ไม่มีทางคลี่คลายได้ภายในแปดชั่วโมง เด็กไม่มีทางกลับมาโดยสวัสดิภาพ ด็อกเตอร์ซ่งรุ่ย ระยะนี้ดูเหมือนคุณจะไม่ค่อยมั่นใจตัวเอง แต่คุณเคยคิดหรือเปล่าว่าเพราะอะไรฟั่นจยาหลัวถึงนึกถึงคุณและแนะนำคุณให้คุณเสิ่น เพราะเขารู้ว่าคุณมีความสามารถในการทำสงครามด้านจิตวิทยาที่สุด และในคดีนี้คุณอ่านใจคนร้ายได้แบบทะลุปรุโปร่ง หาจุดอ่อนในใจของพวกเขาพบและเล่นงานได้อย่างจังภายในครั้งเดียว! แผนจิตวิทยาของคุณคือสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คลี่คลายคดีได้อย่างรวดเร็ว ผมขอโทษที่ก่อนหน้านี้ระแวงคุณ ขอให้คุณอภัยให้ด้วย และขอให้คุณร่วมงานกับพวกเราต่อไปนะ”
ดวงตาของซ่งรุ่ยเป็นประกายเล็กน้อยเหมือนโดนใจ เขาเงียบอยู่นานกว่าจะเป็นฝ่ายยื่นมือออกมาจับมือกับผู้อำนวยการ
ภาพความปรองดองนี้ทำให้คนในหน่วยสืบสวนอาชญากรรมทีมหนึ่งยิ้มอย่างชื่นชม
หลังออกจากสำนักย่อยเขตใต้ ซ่งรุ่ยขับรถไปที่มุมเปลี่ยวแห่งหนึ่ง สิ่งแรกที่เขาทำคือดึงทิชชูเปียกที่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อออกมาเช็ดมือที่จับกับผู้อำนวยการซ้ำๆ และเช็ดพวงมาลัยรถอีกหลายรอบ ก่อนหยิบมือถือมาต่อสายหาเบอร์ที่เมมไว้นานแล้วแต่กลับไม่กล้าโทรหา คนที่เป็นเหมือนสายลมเย็นรื่น แสงจันทร์สุกสว่างเหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อม เสียงหัวเราะเบาๆ ของอีกฝ่ายดังกังวานอยู่ในหูเขา ทำให้ขนอ่อนๆ ข้างแก้มของเขาลุกชัน ตัวชาแต่กลับรู้สึกรุ่มร้อน
ต่อให้เวลาผ่านไปนานแล้วแต่ฟั่นจยาหลัวยังคงมีอิทธิพลมหาศาลต่อคนรอบตัว แค่อีกฝ่ายเรียกยิ้มๆ ว่า “ด็อกเตอร์ซ่ง” คำสามคำนี้กลับมีมนตร์เสน่ห์เข้มข้นอย่างบอกไม่ถูก
ลำคอของซ่งรุ่ยพลันแห้งผาก เขาเงียบไปนานมากกว่าจะรับคำอย่างเผลอไผล “ผมเอง”
“ช่วยเด็กได้แล้วใช่มั้ยครับ” ถึงจะเป็นคำถาม แต่น้ำเสียงกลับมีความเชื่อมั่น
“ช่วยได้แล้ว” ซ่งรุ่ยดึงเนกไทออก สูดลมหายใจเข้าปอดลึกอย่างเงียบๆ “ทำไมคุณถึงให้ผมคลี่คลายคดี ผมนึกว่าคุณเกลียดผมซะอีก”
“เอ๋?” ฟั่นจยาหลัวทำเสียงเบาๆ แบบไม่ถือสาหาความ ซ่งรุ่ยนึกภาพอีกฝ่ายเอียงศีรษะก่อนชะโงกตัวเข้ามาออก แต่ดวงตาของฝ่ายนั้นจะมืดครึ้มก่อนสุกสว่างเหมือนครั้งก่อนหรือเปล่านะ
“ดูเหมือนด็อกเตอร์ซ่งจะเข้าใจอะไรผิด ผมไม่เคยเกลียดคุณเลยนะ ตรงข้ามผมกลับรู้สึกว่าด็อกเตอร์ซ่งเป็นคนพิเศษมาก ผมกำลังตั้งตารอการพบกันครั้งต่อไปของเรานะครับ” ฟั่นจยาหลัวหัวเราะเบาๆ อีกครั้ง ทำให้ซ่งรุ่ยต้องเอามือถือออกห่างจากตัวทันที เขามองหน้าจอด้วยสีหน้าแตกตื่นปนงุนงง เมื่อกี้เขารู้สึกเหมือนหูที่แนบกับมือถือถูกอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นแทงจนรู้สึกเจ็บ ให้ความรู้สึกชาๆ ร้อนผ่าวๆ
แบตฯ มือถือรั่วเหรอ แต่เขากลับไม่ได้โยนมือถือเสื่อมสภาพทิ้ง และไม่รู้ว่ายังมีเรื่องอะไรให้คุยกับฟั่นจยาหลัวอีก เขาเลยตัดสายไปอย่างแตกตื่นปนลนลาน เวลาผ่านไปนานแสนนาน เขาถึงค่อยๆ ตระหนักได้ว่าเมื่อครู่ฟั่นจยาหลัวพูดว่าอะไร ริมฝีปากบางเผลอยกสูงขึ้นเป็นรอยยิ้ม พูดเสียงเบาจนเกือบไม่ได้ยิน “เป็นเกียรติของผมที่ได้รับการยอมรับจากคุณ”
ไม่ว่าฟั่นจยาหลัวจะเป็นร่างทรงวิญญาณหรือนักต้มตุ๋นที่มีทักษะทางการพูด แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเป็นคนที่พิเศษที่สุดบนโลกใบนี้ ไม่มีใครสามารถแทนที่เขาได้ ไม่มี…
ฟั่นจยาหลัวมองหน้าจอมือถือที่ดับลง เอ่ยรับคำด้วยประโยคแบบแปลกๆ ประโยคหนึ่ง “คุณถ่อมตัวเกินไปแล้ว”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 10 พ.ย. 64