ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 2
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
※ เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว
มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน
การฆ่าตัวตาย และการใคร่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
※ Trigger ที่ระบุข้างต้นไม่ได้เกิดขึ้นกับตัวละครหลักทั้งหมด
※ นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆ
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 60 ชะตาที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
ฟั่นจยาหลัวถือขนมปังหนึ่งถุงกลับไปที่คอนโดฯ มูนไลต์เบย์การ์เด้น เขาเดินขึ้นบันไดไปทีละก้าวๆ ชั้นหนึ่งในตอนกลางวันแตกต่างกับตอนกลางคืนโดยสิ้นเชิง เหมือนสัตว์ป่าที่กำลังหลับใหล มันเงียบอย่างน่าประหลาดใจ ความน่ากลัวที่แฝงอยู่ในห้องพักตามชั้นสี่ ชั้นห้า และชั้นสิบสี่ล้วนหายไป เพราะแสงตะวันจัดจ้าได้ลบล้างพวกมันไปจนหมด
แต่ที่ชั้นสิบเจ็ดกลับแตกต่างออกไป เพราะผู้หญิงสวมเครื่องแบบตำรวจสองนายกำลังสอบถามเจ้าบ้านหญิงที่อาศัยอยู่ที่ชั้นนี้ หญิงสาวที่สวมแว่นตาคนหนึ่งกันลูกชายของเจ้าบ้านหญิงไว้ด้านหลัง เธอลูบรอยช้ำบนแขนของเขาอย่างระมัดระวังและปวดใจ
เจ้าบ้านหญิงชั้นสิบเจ็ดส่งเสียงดังมาก ท่าทางดุร้ายอย่างที่สุด เธอเอาแต่พูดซ้ำไปซ้ำมาแค่ประโยคเดียวว่า “ฉันตีลูกชายฉันแล้วจะทำไม ผิดกฎหมายหรือไง เขาไม่เชื่อฟัง หรือจะไม่ให้ฉันสอนเขา?”
หญิงที่สวมแว่นโต้กลับอย่างเดือดดาล “อย่างคุณนี่เรียกว่าสอนเหรอ แบบนี้มันคือการทารุณต่างหาก! หยางหยางมีแผลไปโรงเรียนทุกวัน วันนี้ยิ่งหนัก หลังของเขาเขียวไปหมด หมอบอกว่าเขาถูกตีจนอวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บ! นี่รายงานผลการตรวจร่างกาย คุณเบิกตาดู! คนที่ทำกับลูกแท้ๆ เหมือนเป็นคู่อาฆาตแบบคุณยังเป็นแม่ได้อีกเหรอ ถ้าฉันไม่แจ้งความจับคุณ ไม่ช้าก็เร็ว หยางหยางต้องถูกคุณตีตาย! คุณตำรวจคะ พวกคุณห้ามปล่อยเธอเด็ดขาดนะคะ!”
ฟั่นจยาหลัวยืนอยู่ตรงบันได มองภาพนี้ด้วยแววตาอ่อนแสง เขารู้จักหนึ่งในตำรวจหญิงสองนายนั้น เธอคือเลี่ยวฟาง ตำรวจหญิงคนสวยประจำหน่วยสืบสวน สังกัดสำนักย่อยเขตใต้
เลี่ยวฟางเป็นคนทำงานเด็ดขาด เธอไม่พูดมากก็จับแม่ของเด็กใส่กุญแจมือ ให้เพื่อนพาตัวไปกรมตำรวจ ส่วนตัวเองอยู่คอยพ่อเด็ก หญิงสาวคนที่สวมแว่นเป็นครูที่โรงเรียน อีกเดี๋ยวยังมีคลาสอีกหลายคลาสที่ต้องสอน จึงขอตัวลาไปก่อน
ตอนพาเด็กน้อยเดินเข้าประตู เลี่ยวฟางกวาดตามองไปรอบๆ ตามความเคยชิน และเห็นเงาร่างสูงโปร่งยืนอยู่ตรงบันไดมืดๆ ดวงตาสีดำสนิทลึกล้ำคู่นั้นคือสิ่งที่เธอยากจะลืมลง
“คุณฟั่น คุณกลับมาแล้ว! เมื่อกี้ฉันยังคิดอยู่เลยว่าวันนี้จะเจอคุณหรือเปล่า” น้ำเสียงของเลี่ยวฟางประหลาดใจมาก
“อืม ไม่เจอกันนานเลยนะครับ” ฟั่นจยาหลัวเดินช้าๆ มาที่หน้าประตู เขาหลุบตามองเด็กชายที่มีสีหน้าไม่สู้ดี แต่กลับมองเขาอย่างกระตือรือร้นด้วยดวงตากลมโตสุกใส เด็กชายผอมลงทุกวัน แก้มตอบลึก แขนและขาเหลือแค่หนังหุ้มกระดูกดูเปราะบางมาก เวลาเดินก็เหมือนกระดูกจะหลุดออกมาตลอดเวลา และบนหนังหุ้มโครงกระดูกนั้นมีรอยแผลที่ดูเจ็บและน่าเกลียดเพิ่มมากขึ้นทุกวัน เห็นได้ว่าการใช้ความรุนแรงภายในครอบครัวนี้มีการยกระดับขึ้น
เลี่ยวฟางรับรู้ได้ถึงสายตาของเขา เธอจึงวางมือลงศีรษะของเด็กชายเบาๆ “คุณฟั่นคะ คุณอยู่ชั้นสิบแปดน่าจะพอรู้เรื่องในบ้านเขาใช่มั้ยคะ แม่เขาเป็นพวกนิยมความรุนแรง ตีเขา ด่าเขาทุกวัน ไม่ให้ข้าวเขากินด้วย น่าสงสารมาก”
“อย่าพูดจาแบบนี้ต่อหน้าเด็กสิครับ” ฟั่นจยาหลัวส่งขนมปังในมือไปให้ และใช้นิ้วชี้แตะเบาๆ ที่หัวคิ้วของเด็กชายซึ่งมีกลิ่นอายความตายลอยวนอยู่
เด็กชายรับขนมปังไปทันที ดวงตากลมโตของเขาเปล่งประกายยินดีอย่างน่าอัศจรรย์ เปลวไฟแห่งชีวิตของเขาดับลงไปแล้ว แต่เปลวไฟแห่งดวงวิญญาณยังคงรุ่งโรจน์ด้วยความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่อย่างแรงกล้า กับความหวังว่าจะได้รับขนมปังในทุกๆ วัน มันถึงพยายามรักษาความลุกเรืองไว้
เลี่ยวฟางปิดปากด้วยสีหน้ารู้สึกผิด พูดเสียงเบา “ขอโทษค่ะ ขอโทษ ฉันเผลอไป คุณฟั่นเป็นคนละเอียดดีจริงๆ ฉันจะไปเอานมมาให้หยางหยาง พอกินขนมปังเสร็จก็จะกล่อมเขาเข้านอน สภาพร่างกายของเขาแย่มาก หมอบอกว่าอวัยวะภายในของเขาได้รับบาดเจ็บในระดับที่แตกต่างกัน”
ฟั่นจยาหลัวไม่พูดเลยสักคำ เอาแต่ยืนมองเลี่ยวฟางที่ค้นหานมผงไปทั่วอยู่ตรงประตูอย่างเงียบๆ พอเด็กน้อยหรือเด็กชายสวี่อี้หยางได้ขนมปังมาก็กินคำเล็กๆ ในบ้านไม่มีผู้ใหญ่ เขาจึงสามารถดื่มด่ำกับอาหารอร่อยได้ตามสบาย ไม่ต้องห่วงว่าแม่จะโผล่ออกมาจากมุมใดมุมหนึ่งแล้วแย่งเอาทุกสิ่งของเขาไป
ฟั่นจยาหลัวหลุบตามองเด็กชาย ในดวงตามีประกายมืดมนวาดผ่าน
เลี่ยวฟางหานมผงไม่เจอเลยเทน้ำร้อนหนึ่งแก้วมาให้สวี่อี้หยางดื่ม เสร็จสรรพก็กล่อมเขาเข้านอน เธออยากกอดเด็กน้อยที่น่าสงสารคนนี้มาก แต่ความรุนแรงที่ได้รับมาตลอดระยะเวลาหลายปีได้ทิ้งบาดแผลเรื้อรัง ซึ่งส่งผลให้เขาตั้งป้อมปฏิเสธสัมผัสจากทุกคน รวมไปถึงปฏิเสธที่จะพูดด้วย เขากำลังค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นหุ่นไม้ที่ไร้แรงต่อต้านและไม่สามารถพูดอธิบายได้
สวี่อี้หยางวิ่งหนีไปทั่ว ไม่ยอมเข้าไปนอนในห้อง แถมปีนเก้าอี้ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง
เลี่ยวฟางพูดกับเขาอีกครั้ง “หยางหยางลงมา อยากได้อะไรบอกน้า น้าจะช่วยหา แบบนี้มันอันตรายนะ” เธอไม่กล้าแตะตัวเด็ก เพราะพอแตะถูกเขา เด็กชายจะมีสีหน้าตื่นตระหนกและอ้าปากเหมือนกำลังกรีดร้อง ถึงเขาจะไม่ได้เปล่งเสียงออกมา แต่ท่าทางหวาดผวาและทรมานของเขายังคงทำให้คนที่เห็นรู้สึกปวดใจ
เลี่ยวฟางร้อนใจจนเหงื่อตก แต่ฟั่นจยาหลัวกลับหยิบทิชชูหนึ่งห่อออกมาจากเป้อย่างไม่เร็วไม่ช้า เขาใช้ทิชชูเก็บเศษขนมปังที่ร่วงลงพื้นจนสะอาดสะอ้าน ใส่มันลงถังขยะ จัดเก็บให้เรียบร้อยเตรียมเอาออกไปข้างนอก
พอเห็นพื้นกลับมาสะอาดเหมือนเดิม สวี่อี้หยางก็กระโดดลงจากเก้าอี้ เดินตามหลังฟั่นจยาหลัวมาช้าๆ มองเขาด้วยดวงตาเป็นประกาย เมื่อกี้เด็กชายตั้งใจหาผ้าขี้ริ้วแต่หาไม่เจอ
ฟั่นจยาหลัวสั่งเสียงอ่อนโยน “ไปนอนเถอะ”
สวี่อี้หยางพยักหน้าอย่างว่าง่าย เดินเข้าไปในห้องนอน เลี่ยวฟางถูกพฤติกรรมแปลกๆ ของเขาทำเอาสำลักและเผลอมองตาค้าง เธอรู้อยู่แล้วว่าบนโลกนี้ไม่มีคนที่ฟั่นจยาหลัวเอาไม่อยู่!
ฟั่นจยาหลัวหันมามองเธอ อธิบายเสียงนุ่ม “แม่เขาไม่ให้ขโมยของกิน”
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง! ไม่ให้เด็กกินของของคนอื่น แต่กลับปล่อยให้แกหิวอยู่ทุกวัน บนโลกนี้มีแม่แบบนี้ด้วยเหรอ” เลี่ยวฟางส่ายหน้า ถอนหายใจ “คุณฟั่นคะ ฉันรู้ว่าคุณเป็นคนดีคนหนึ่ง คุณพอจะช่วยดูแลเด็กให้หน่อยได้หรือเปล่าคะ”
ฟั่นจยาหลัวถือขยะเดินไปที่ประตู พร้อมให้คำตอบแบบเหนือคาด “ผมดูให้ไม่ได้”
“เอ๋? ทำไมล่ะคะ” เลี่ยวฟางพูดเสียงร้อนรน “คุณอยู่ใกล้แค่นี้เอง น่าจะพอมีเวลามาดูได้ ไม่ยุ่งยากมากหรอกค่ะ”
ฟั่นจยาหลัวเดินเข้าไปในโถงทางเดินมืดๆ เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาเป็นเงาตะคุ่ม ทว่าดวงตาลึกล้ำกลับฉายประกายหม่นๆ “ตอนที่คุณขอให้คนช่วยดูแลเด็กคนนี้ ดูเหมือนคุณจะลืมไปแล้วหรือเปล่าว่าในบ้านยังมีพ่ออีกคน”
เลี่ยวฟางทำหน้ายี้ “ถ้าพ่อเขาพึ่งได้ฉันคงไม่วานคุณหรอกค่ะ จริงอยู่ว่าคนที่ใช้ความรุนแรงคือแม่เขา แต่พ่อเขาก็เอาแต่คอยมองอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย มีความผิดเหมือนกัน ถ้าพึ่งพ่อแม่ไม่ได้แบบนี้ คงต้องให้คนดีมีน้ำใจอย่างพวกคุณช่วย”
ฟั่นจยาหลัวสั่นศีรษะอีกครั้ง ดวงตาหลุบตาลงเพื่อซ่อนประกายในดวงตา “ขอโทษที ผมช่วยเขาไม่ได้”
เลี่ยวฟางร้อนใจ “ไม่นะคะคุณฟั่น ทำไมคุณถึงช่วยเขาไม่ได้ล่ะ แค่มาดูเขาสักแวบหนึ่งทุกวันมันไม่น่าจะยุ่งยากสำหรับคุณไม่ใช่เหรอ ขนาดคดีเรียกค่าไถ่ห้าสิบล้านที่พวกเราเพิ่งปิดไปคุณยังรู้เลย คุณพูดประโยคเดียวก็ช่วยลูกสาวของคุณเสิ่นได้ แล้วทำไมถึงช่วยสวี่อี้หยางไม่ได้ล่ะ แค่คุณยินดี คุณต้องช่วยเขาได้แน่ ฉันรู้ว่าคุณทำได้”
ฟั่นจยาหลัวเดินช้าๆ ไปทางประตูมืดๆ เหมือนเดินเข้าไปในหลุมลึกที่เป็นปริศนา พูดเสียงเนิบว่า “ผมถามคุณหน่อย ถ้าคุณเห็นรถไฟหนึ่งขบวนวิ่งตรงไปข้างหน้า และเส้นทางที่มันกำลังวิ่งไปมีคนยืนอยู่ห้าคน แต่ทางแยกด้านข้างมีคนยืนอยู่แค่คนเดียว ตอนนั้นเบรกของรถไฟเสีย ใกล้จะชนเต็มที ข้างตัวคุณมีคันบังคับทิศทางอันหนึ่ง แค่ผลักเบาๆ ก็สามารถเปลี่ยนเส้นทางการวิ่งของรถไฟได้ คุณจะเลือกทางไหน จะชนห้าคนหรือชนคนเดียว เพราะอะไร”
น้ำเสียงของเขาเฉยเมย เหมือนดังมาจากมิติอื่น
เลี่ยวฟางรีบก้าวตามไปสองก้าว เอ่ยด้วยน้ำเสียงลังเล “ฉันต้องผลักคันบังคับทิศทางให้ชนคนคนเดียวอยู่แล้ว ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือกแบบนั้น การใช้ชีวิตของคนหนึ่งคนมาแลกกับชีวิตของคนห้าคน ย่อมคุ้มค่ามากกว่า”
ฟั่นจยาหลัวเดินขึ้นบันไดช้าๆ เสียงทุ้มต่ำดังแว่วมา “แล้วคุณเคยคิดหรือเปล่าว่าห้าคนนั้นดันไปเล่นอยู่ตรงรางรถไฟ การถูกชนคือชะตาของพวกเขา ส่วนอีกคนเดินอยู่บนถนนดีๆ การกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพคือชะตาของเขา แต่เพราะการผลักคันบังคับทิศทางของคุณ ทำให้คนที่ไม่ควรตายต้องตาย ทำให้คนที่ไม่ควรอยู่ได้มีชีวิตอยู่ คุณรู้สึกว่ามันแฟร์มั้ย แบบนี้มันคุ้มแล้วหรือ”
เลี่ยวฟางเหมือนจะเริ่มมองเห็นอะไรบางอย่าง และสิ่งนั้นได้กลายเป็นเครื่องพันธนาการวิญญาณ ล็อกเธอไว้กับที่ ทำได้เพียงมองเงาร่างสูงโปร่งนั้นเดินเลี้ยวไปตรงมุมตาค้าง
น้ำเสียงว่างเปล่าเหมือนฝนเย็นๆ ที่สาดซัดหลังคา มันมีความอ่อนใจระคนอ้างว้าง “ส่วนผม จะขออยู่ให้ห่างจากคันบังคับ แล้วปล่อยให้โชคชะตาเป็นคนเลือก เพราะเวลาอยู่เบื้องหน้าโชคชะตา เราทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน ไม่มีสูงต่ำรวยจน ไม่มีใครมีค่า ไม่มีใครไร้ค่า เวลาที่คุณคิดจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตา สิ่งที่คุณจะต้องยอมรับไม่ใช่แค่ความเป็นความตายของคนคนเดียวหรือคนห้าคน แต่เป็นน้ำหนักของโลกกฎแห่งกรรมทั้งหมด คุณเข้าใจมั้ยว่ามันหมายความว่ายังไง นั่นคือสิ่งที่คุณไม่มีวันเผชิญหน้าด้วยได้ เพราะมันจะกระแทกคุณจนแหลกเป็นผุยผง ถ้าการเอาแต่พูดพล่ามสามารถช่วยหนึ่งชีวิตได้จริง ผมไม่ต้องพูดไม่หยุดเลยหรือ น่าเสียดายมากที่บางครั้งโชคชะตาไม่ใช่สิ่งที่ใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือดีดสายของโชคชะตาเบาๆ และคอยเฝ้ามองการคืนตัวเล็กน้อยของมันอย่างระมัดระวัง ผมไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่คุณคิดหรอกนะ
…คอยดูคุณพ่อคนนั้นไว้ให้ดีเถอะ”
หลังทิ้งวลีนี้ เสียงของชายหนุ่มก็หายไปในอากาศ เลี่ยวฟางรีบตามไป เธอเงยหน้าขึ้นมองบันไดมืดๆ ถามด้วยน้ำเสียงหวั่นๆ ว่า “คุณฟั่นคะ ที่คุณพูดเมื่อกี้มันหมายความว่ายังไง พ่อเขามีปัญหาเหมือนกันเหรอ คุณช่วยสวี่อี้หยางไม่ได้ แล้วจะปล่อยให้เขาถูกทารุณแบบนี้อีกเหรอคะ ชะตาของเขาเปลี่ยนไม่ได้เหรอ”
ถึงจะถามแบบนี้ แต่เลี่ยวฟางกลับรู้ดีว่าต่อให้การถูกทารุณเป็นเรื่องจริง แต่คนทำคือแม่ของเด็ก ศาลย่อมพิจารณาโทษสถานเบาให้ และไม่มีทางแยกเด็กจากแม่ เมื่อแม่ถูกปล่อยตัว เธอจะต้องเอาความโกรธแค้นทั้งหมดมาลงที่ตัวเด็กแน่นอน เธอไม่มีทางควบคุมความรุนแรง ตรงข้าม เธอจะยกระดับมันให้สูงขึ้น
เลี่ยวฟางเคยทำคดีแบบนี้มาหลายคดี แต่เด็กที่เธอช่วยได้และมีชีวิตใหม่จริงๆ มีแค่ไม่กี่คน หลายคนกลับตกอยู่สภาพแย่หนักกว่าเดิม เธอไม่มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงความจริงนี้ ทำได้เพียงฝากความหวังไว้ที่คุณฟั่น แต่ข้อความที่คุณฟั่นบอกมาเป็นนัยๆ กลับทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจกว่าเดิม
คนที่แม้แต่ฟั่นจยาหลัวยังช่วยไม่ได้จะเป็นอย่างไรต่อไป เลี่ยวฟางบีบราวบันไดแน่น หัวใจหนาวเยือก
เวลาก่อนพลบค่ำ ในที่สุดพ่อของเด็กก็กลับมา ท่าทางเขาสุภาพมาก คำพูดคำจาเป็นผู้ดีแบบคนชั้นกลางค่อนไปทางสูง เขาเอาข้าวกล่องมาให้เลี่ยวฟางกับลูกชาย และยังซื้อของบำรุงมาให้เด็กอีกกองพะเนิน พร้อมขอรับผิดแทนภรรยาด้วยความเสียใจ
“เธอเป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง ผมเพิ่งรู้วันนี้ เป็นความผิดของผม งานผมยุ่งมาก ไม่มีเวลาสังเกตเรื่องของเธอกับลูก” เขาขยุ้มผมตัวเองอย่างรู้สึกผิดมาก
เลี่ยวฟางไม่รู้ว่าควรพูดยังไงดี ทำได้เพียงขอให้คุณพ่อคนนี้ดูแลลูกดีๆ เธอมองออกว่าอีกฝ่ายเสียใจจริงๆ ไม่ได้เสแสร้ง สวี่อี้หยางมีปฏิกิริยาต่อสัมผัสของพ่อค่อนข้างน้อย ตอนพ่อตบศีรษะของเขา เด็กชายไม่ได้เลี่ยงหลบ เพียงทำตัวแข็งแวบหนึ่งก่อนกินอาหารต่อ
เลี่ยวฟางสบายใจขึ้น เธอบอกลาสองพ่อลูกที่ตึกหนึ่ง แต่กลับยังไม่ได้จากไป หญิงสาวเงยหน้ามองชั้นบนสุดนิ่งๆ สมองเหมือนมีรถไฟขบวนหนึ่งกำลังวิ่งไปตามรางที่ทอดยาวสุดสายตา คนหนึ่งคนกับคนห้าคนกำลังยืนอยู่บนสองฟากฝั่งของโชคชะตา เฝ้าคอยการปะทะที่อาจจะมาเร็วหรือช้า ณ ช่วงเวลาหนึ่ง โชคชะตาจะพาพวกเขาไปทั้งหมด แต่เธอกลับผลักคันบังคับทิศทาง ตัดสินความเป็นความตายของพวกเขา!
หัวใจเลี่ยวฟางสั่นสะท้านขึ้นมาทันที ตอนนี้เองที่เธอเพิ่งตระหนักถึงความน่ากลัวอย่างร้ายแรง คนที่ตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นเมื่อกี้คือตัวเธอหรือ ทำไมเธอถึงได้อาจหาญสำคัญตัวได้ขนาดนี้ เธอมีสิทธิ์อะไรไปตัดสินว่าชีวิตของคนห้าคนมีค่ากว่าชีวิตคนหนึ่งคน หรือทุกคนบนโลกล้วนมีช่วงเวลาหลงลืมตนได้แบบนี้เหมือนกัน? เข้าใจว่าตนมีค่ามากกว่าคนอื่น?
เหมือนมีแค่ฟั่นจยาหลัวคนเดียวที่มีสติตื่นรู้อยู่ตลอดและใช้ชีวิตเพียงลำพัง เลี่ยวฟางก้มศีรษะเดินไปจากที่นั่นทีละก้าวๆ โดยไม่รู้เลยว่าเหนือศีรษะของตัวเองมีไอสีดำที่มองไม่เห็นหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ตลบม้วนและยึดครองคอนโดฯ แห่งนี้
เพื่อรักษารูปลักษณ์ให้ดูดีที่สุด ฟั่นจยาหลัวจึงนอนหลับไปถึงห้าวันเต็มๆ ก่อนจะตื่นขึ้นเพราะเสียงเรียกเข้าของมือถือ เฉาเสี่ยวเฟิงบอกเขาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่าตนจัดการงานเฟ้นหาเจินเหรินเรียบร้อยแล้ว วันนี้เวลาหนึ่งทุ่มจะเริ่มถ่ายทำอย่างเป็นทางการ ต้องผ่านรอบออดิชันเข้าไปในรอบแรก แล้วจึงจะเป็นรอบตัดสิน
“การรายงานตัวรอบออดิชันเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่ฉันใช้เส้นของบริษัทสเตลล่าร์ช่วยแทรกนายเข้าไปในกลุ่มหนึ่ง หัวข้อของซีซั่นนี้คือผู้สื่อวิญญาณ เหมาะกับนายพอดี” เฉาเสี่ยวเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจมาก “เงินหนึ่งล้านต้องเป็นของนายแน่นอน!”
“อืม ผมจะไปถึงสถานีตอนหกโมงตรง” ฟั่นจยาหลัวดูเวลาในมือถือ พบว่าเวลาเหลืออยู่ไม่มาก เขาจึงลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำ หยดน้ำสีดำไหลตามผิวขาวซีดของเขา ดูเหมือนว่าร่างกายเขาจะยืดหยุ่นมากกว่าเดิม เส้นโค้งทุกเส้นงดงามราวกับผลงานของพระเจ้า ลวดลายปริศนาเปล่งประกายสีเทาขาวบนตัวของเขาก่อนค่อยๆ เลือนหายไป
เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงสแล็กส์สีเดียวกันที่ตัดเย็บอย่างประณีต เดินลงบันไดไปช้าๆ บังเอิญเจอกับสวี่อี้หยางที่เลิกเรียนกลับบ้านมาพอดี
ดูเหมือนเด็กน้อยจะอ้วนขึ้นนิดหน่อย รอยช้ำบนตัวเลือนหายไปมาก บ่งบอกว่าเขาได้รับการดูแลจากพ่ออย่างดี เมื่อเห็นฟั่นจยาหลัว ดวงตาของเขาพลันเปล่งประกาย แต่กลับเม้มปากน้อยๆ ท่าทางเหมือนไม่รู้ว่าควรทักทายอย่างไร
ฟั่นจยาหลัวยืนมองเขาอยู่ที่บันไดเป็นเวลานาน ดวงตาฉายแววย้อนแย้ง เสียงลมที่พัดดังหวีดหวิวเข้ามาในตึกเหมือนเสียงรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็วสูง เตรียมจะพุ่งชนสิ่งกีดขวางทุกอย่าง เกิดเสียงปังดังสนั่น เมื่อหน้าต่างของบ้านหลังหนึ่งถูกลมพัดอย่างแรง
ฟั่นจยาหลัวออกเดินพร้อมเสียงดังสนั่นนั้น เขาเดินเข้าไปหาเด็กชายช้าๆ ใช้ปลายนิ้วแตะหัวคิ้วอีกฝ่ายเบาๆ กระซิบเสียงเบาจนเกือบไม่ได้ยินว่า “อยู่ห่างพ่อเธอไว้”
เด็กชายมองฟั่นจยาหลัวด้วยอาการอ้าปากค้าง เหมือนคำพูดของอีกฝ่ายเป็นสิ่งที่ทำความเข้าใจได้ยาก ทำไมต้องออกห่างจากพ่อ พ่อไม่เคยตีเขา ไม่เคยด่าเขา แถมยังเอาของกลับมาให้เขากิน ดีกว่าแม่เขามาก
ฟั่นจยาหลัวดึงปลายนิ้วกลับมา ถอนหายใจเบาๆ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 15 พ.ย. 64
Comments
comments
No tags for this post.