บทที่ 3
ธีรดนย์ ภักดิ์โภคิน
“นายครับ เจ้าของที่ดินริมน้ำเจ้าพระยาที่เรากำลังต่อรองมาสร้างมิกซ์ยูสยืนยันราคาที่สามร้อยห้าสิบล้านครับ”
“ราคาประเมินของพวกเราอยู่ที่เท่าไหร่นะ สามร้อยยี่สิบล้าน?”
ธีรดนย์ถามกลับ เขากำลังยืนอยู่ริมผนังกระจกของห้องทำงานส่วนตัวบนชั้นสูงสุดในตึกภักดิ์โภคิน สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงสแล็กส์ ขณะที่ดวงตาสีเปลือกไม้ทอดมองกรุงเทพมหานครที่ถูกย้อมด้วยสีส้มอมแดงของแสงแดดยามเย็น ส่วนสุชาติยืนอยู่ที่ด้านหน้าโต๊ะทำงาน กำลังรายงานความคืบหน้าของงานเป็นรอบสุดท้ายในวันนี้
“ใช่ครับ”
“งั้นก็ยืนที่สามร้อยยี่สิบต่อไป แต่เร่งหน่อย ถ้าไม่ได้ก็ช่าง ฉันอยากให้ยึดกำหนดการเดิมไว้” คนเป็นเจ้านายบอกเสียงเรียบเรื่อย
ความจริงตอนนี้บริษัทของเขาได้ที่ดินครบตามแผนงานพัฒนาแลนด์มาร์กแห่งใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาภายใต้แนวคิดมิกซ์ยูสแล้ว แต่เมื่อเดือนก่อนมีข่าวใหม่เข้ามาว่าเจ้าของที่ดินติดกันอีกผืนซึ่งตอนแรกยืนยันว่าจะไม่ขายเปลี่ยนใจ เขาเห็นว่าหากได้ที่ดินผืนนี้มาก็จะสามารถขยายโครงการเดิมได้ ผลตอบแทนจากการลงทุนก็จะมากขึ้นด้วย ดังนั้นตอนนี้จึงมีการเปิดโต๊ะเจรจากัน ทว่าก็ยังมีปัญหาเรื่องราคา
“รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจมีทริปออกรอบที่สิงคโปร์ตอนปลายเดือนนี้ครับ”
“ฉันไม่ว่างนี่”
ธีรดนย์พูดแม้จะไม่รู้ว่าตอนปลายเดือนมีธุระปะปังอะไรหรือเปล่า แต่สุชาติก็เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ดีว่าเจ้านายจะไม่ไปร่วมทริปนี้
“ครับ…สัปดาห์หน้าวันเกิดคุณนีน่าด้วยครับ”
“อืม”
คราวนี้ธีรดนย์แค่ส่งเสียงในลำคอเบาๆ ทว่าก็เป็นอีกครั้งที่สุชาติรับรู้ถึงสารที่ซ่อนอยู่ว่าเจ้านายจะไม่ติดต่อกับทายาทมหาเศรษฐีลูกครึ่งฮ่องกง-ไทยรายนี้แล้ว หลังจากที่คุยๆ กันมาสามสี่เดือนและเขาก็เคยส่งดอกไม้ไปที่ฮ่องกงในนามเจ้านายสองช่อใหญ่
ปีนี้เจ้านายของสุชาติอายุสามสิบเจ็ดปีแล้ว และในทางเทคนิคต้องถือว่าโสดสนิท เพราะอย่าว่าแต่แต่งงานมีภรรยาเลย ธีรดนย์ไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนด้วยซ้ำ ที่ผ่านมาผู้หญิงในชีวิตของเขาล้วนอยู่ในฐานะ ‘คนคุย’ แถมส่วนใหญ่เขาไม่คุยนานด้วย พอผ่านไปสักพักแล้วรู้ว่าไปกันไม่ได้เขาก็จะหันไปหาคนใหม่ เป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ แต่ก็ว่าไม่ได้ เพราะนอกจากความรวยที่เป็นคุณสมบัติดึงดูดใจแล้ว ธีรดนย์ยังเป็นผู้ชายจำพวกที่ยิ่งอายุมากก็ยิ่งดูดีมีเสน่ห์ และทั้งที่ใบหน้าค่อนไปทางดุ แถมบุคลิกที่ดูเฉยชาไว้ตัว ทว่ามันกลับทำให้พวกสาวๆ เห็นว่าเป็นความท้าทายเสียอย่างนั้น
ถึงจะดูเหมือนเจ้านายเขาใช้ผู้หญิงเปลือง แต่เอาเข้าจริงผู้หญิงเหล่านั้นก็เข้ามาเอง ธีรดนย์แค่นั่งอยู่เฉยๆ และเลือกเท่านั้น เคยมีพนักงานสาวๆ แอบกระซิบถามสุชาติด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเจ้านายใหญ่จะโสดไปตลอดชีวิตไหม เรื่องนี้เขาเองก็อยากรู้เหมือนกัน
“แล้วก็เย็นวันศุกร์นี้คุณธัญมนเชิญบอสไปร่วมงานแฟชั่นโชว์ด้วยครับ”
“ฉันว่างหรือเปล่า”
“วันจัดงานเป็นช่วงค่ำวันศุกร์ ตารางบอสยังว่างครับ”
“งั้นก็ลงตารางไว้”
สุชาติก้มลงไปใช้ปากกาเขียนลงบนหน้าจอมือถือเครื่องใหญ่ของตัวเอง…ธัญมนเป็นเซเลบริตี้สาวคนดังของวงสังคมไทย นอกจากเป็นไฮโซตั้งแต่เกิดเพราะถือกำเนิดในตระกูลเก่าแก่ร่ำรวยแล้ว ปัจจุบันเธอยังเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังด้วย
ธัญมนเพิ่งเข้ามาในชีวิตของธีรดนย์เมื่อเดือนสองเดือนนี้เอง ดูท่าทางเจ้านายน่าจะเปลี่ยนคนคุยจากนีน่ามาเป็นธัญมน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะลงเอยเป็นแค่คนที่ผ่านมาเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ หรือเปล่า
“อ้อ คุณบุษขอแก้โฆษณาของบิวตี้บาร์ครับ เห็นว่าของเก่าดูเฝือและจืด บอสจะดูไหมครับ”
“เอาตามคุณน้านั่นแหละ” ธีรดนย์ไม่ต้องเสียเวลาคิด
บิวตี้บาร์เป็นร้านขายเครื่องสำอางแบบมัลติแบรนด์ มันเป็นหนึ่งในธุรกิจของเขาก็จริง แต่คนริเริ่มคือบุษบา และมันก็เป็นธุรกิจที่ทำเงินอย่างไม่น่าเชื่อ ช่วงแรกท่านเป็นคนปลุกปั้นบิวตี้บาร์ด้วยตัวเอง จนธุรกิจอยู่ตัวท่านจึงค่อยๆ ถอยห่างออกไป ปัจจุบันท่านไม่ได้มายุ่งกับงานในบริษัทไม่ว่าธุรกิจไหน ทว่าถ้าเข้ามาแล้วเจออะไรไม่เข้าตาท่านก็จะแก้ไข ซึ่งเขาก็ให้สิทธิ์ท่านเต็มที่ เพียงแต่ปกติถ้าท่านแก้งานที่ไฟนอลไปแล้วก็จะมีการส่งขึ้นมาให้เขาดูก่อน แต่ส่วนใหญ่เขาก็ไม่ค่อยได้ดูด้วยเชื่อในวิจารณญาณของผู้เป็นน้า
“แล้วนี่คุณน้าเข้าบริษัทตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อสามวันก่อนครับ…ได้ยินว่ามีคนมาขอเข้าพบคุณบุษ ผมลองเช็กดูเข้าใจว่าน่าจะเป็นนายแบบคนนั้น” สุชาติรายงาน
“คนนั้น?” คราวนี้ธีรดนย์เอี้ยวหน้าไปมอง
“คนที่งานเลี้ยงคืนนั้นครับ” เลขานุการพยักหน้ายืนยัน “เท่าที่รู้ดูเหมือนเขาจะเข้ามาเพื่อขอโทษแล้วก็อยู่ไม่นาน แต่พอคุณบุษเข้ามาก็เลยแวะเช็กงานต่างๆ ด้วย”
ดวงตาสีเปลือกไม้ของธีรดนย์หรี่ลงเล็กน้อย…เดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายมาขอโทษบุษบาเรื่องอะไร ซึ่งถ้าพูดตามมารยาทมันก็เป็นเรื่องที่สมควรกระทำ เพียงแต่ขณะเดียวกันก็เป็นการ ‘สานต่อ’ ได้เช่นกัน
“คอยดูให้หน่อยแล้วกัน ถ้ามีอะไรแบบนี้อีกก็บอกฉันด้วย”
“ได้ครับ” สุชาติรับคำ
ธีรดนย์นึกถึงบุษบา หลังจากคืนวันงานวันเกิดเขาก็ไม่ได้พบกับท่านอีกเลย ที่ว่าจะนัดกินข้าวกันก็ไม่เกิดขึ้นด้วยเพราะเขาเองมัวแต่ยุ่ง เห็นทีเดี๋ยวจะต้องนัดกันสักหน่อย แต่เรื่องนี้คงไม่ต้องใช้เลขาฯ เขาโทรไปเองได้
“อ้อ มีอีกเรื่องครับ บริษัทสถาปนิกส่งใบเสนอราคางานบ้านริมน้ำมาแล้ว ส่งพอร์ตงานกับภาพสเก็ตช์ไอเดียที่จะทำคร่าวๆ แนบมาด้วย แต่ยังส่งมาไม่ครบทุกบริษัท นายจะดูก่อนไหมครับ”
“เอาสิ” ธีรดนย์พยักหน้ารับ เห็นว่าไหนๆ ก็ว่างอยู่
พอเลขานุการได้ยินอย่างนั้นก็หยิบแท็บเลตที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานขึ้นมา หลังจากใช้เวลากดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็เงยหน้าขึ้น ยื่นมันให้เจ้านายที่เดินมายืนใกล้เขาเรียบร้อยแล้ว
ธีรดนย์กวาดสายตาดูภาพบนหน้าจอสลับกับแตะนิ้วเพื่อเลื่อนเปลี่ยนภาพ ถ้าเป็นโครงการของบริษัทก็คงจะมีคนดูแลจัดการขั้นตอนนี้ให้ แต่พอดีเขาซื้อบ้านริมน้ำหลังนี้เป็นทรัพย์สินส่วนตัว ส่วนที่จะดัดแปลงมันเป็นร้านอาหารนั้นเป็นความคิดของบุษบา เขาเลยต้องลงมาดูแลเอง
“ของ Archwin น่าสนใจดี ทั้งพอร์ตและราคา”
“งั้นผมเก็บของบริษัทนี้ไว้ก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวบริษัทที่เหลือส่งรายละเอียดมาผมจะเอามาให้นายดูอีกที”
“อืม” ธีรดนย์ส่งแท็บเลตกลับคืนให้ลูกน้อง “แล้วนี่มีอะไรอีกไหม”
“ไม่มีแล้วครับ ถ้าไม่นับที่นายต้องไปงานแต่งงานคืนนี้”
“ฉันไม่ลืมหรอก”
มุมปากของคนเป็นเจ้านายกระตุกเป็นรอยยิ้ม ค่ำคืนนี้มีงานฉลองมงคลสมรสของทายาทนักธุรกิจใหญ่ระดับประเทศ ปกติเขาค่อนข้างรำคาญงานแบบนี้ ส่วนใหญ่แล้วถ้าไม่สำคัญจริงๆ เขาก็ให้บุษบาไปแทน แต่สำหรับงานนี้เป็นงานใหญ่ นอกจากความสนิทสนมที่มีต่อครอบครัวของเจ้าบ่าวเจ้าสาวแล้ว เขายังรู้แน่ว่าจะได้เจอใครคนหนึ่งในงาน
กระพัน ภาพจินดา…พ่อบังเกิดเกล้าของเขาเอง!
พื้นที่ห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ของโรงแรมห้าดาวใจกลางกรุงเนืองแน่นไปด้วยแขกเหรื่อสมกับที่เป็นงานยักษ์ในรอบปี ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันในวงสังคมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มีคนทักทายธีรดนย์เรื่อยๆ แต่เขาก็ไม่ได้คุยสังสรรค์กับใครเป็นพิเศษ จนกระทั่งหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาทัก
“สวัสดีค่ะคุณธี”
“คุณธัญญ่า”
ชายหนุ่มค้อมศีรษะรับการทักทาย วันนี้ธัญมนยังคงแต่งตัวได้งดงามโดดเด่นสมกับเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าดังและเป็นแฟชั่นนิสต้าของวงสังคมไทย ที่สำคัญดวงตาของเธอแพรวพราวจนเห็นได้ชัด สำหรับเขาแล้วคนตรงหน้าเป็นเหมือนดอกไม้ที่บานสะพรั่งเต็มที่สมวัยปลายเลขสองของเธอ
ต้องยอมรับว่าความงามและเสน่ห์อันล้นเหลือของธัญมนดึงดูดเขา ทว่ารูปลักษณ์ภายนอกเป็นเพียงปัจจัยรองในการเลือกผู้หญิงสำหรับเขา ซึ่งนับวันก็จะยิ่งลดทอนความสำคัญลงด้วย สำหรับเขาแล้วคนตรงหน้าน่าสนใจในฐานะผู้หญิงที่เป็นทายาทตระกูลดังและมีเส้นสายมากมายมากกว่า
“วันนี้คุณบุษไม่ได้มาด้วยกันเหรอคะ” ธัญมนถาม ขณะเดียวกันก็มองคนตรงหน้าอย่างชื่นชม
ระยะเวลาสามสิบเจ็ดฝนสามสิบเจ็ดหนาวทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้าคมเข้ม ทว่าธีรดนย์ก็ไม่ได้ดูแก่หรือโทรมเลย ตรงข้ามเขากลับดูกร้าวแกร่ง ลุ่มลึก และเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ เป็นเสน่ห์ที่หาไม่ได้ในผู้ชายอายุน้อย บุคลิกที่ดูสุขุมแต่ดุดันเอาจริงเอาจังอย่างผู้ชายทรงอำนาจนั้นก็น่าเร้าใจมากทีเดียวสำหรับเธอ
“คุณน้าไปงานแต่งอีกงานครับ”
“จริงสิ วันนี้ฤกษ์ดี งานแต่งงานเยอะ” หญิงสาวพยักหน้ารับ ก่อนจะโปรยยิ้มหวาน “ฉันไม่ได้ไปงานเลี้ยงวันเกิดคุณบุษเพราะไปดูผ้าที่ฝรั่งเศส แต่ฉันก็ตั้งใจว่าจะไปอวยพรวันเกิดย้อนหลัง หวังว่าคุณบุษคงจะไม่ถือสา”
“คุณน้าไม่คิดมากหรอกครับ ขอบคุณคุณธัญญ่าด้วยที่คิดถึงคุณน้าของผม”
“คุณบุษดีกับฉันมากนะคะ ท่านเคยให้คำปรึกษาฉันหลายเรื่อง ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณท่าน…จริงสิ อีกสองสัปดาห์ฉันจะจัดงานแฟชั่นโชว์ ขอเชิญคุณกับคุณบุษด้วยนะคะ ความจริงฉันส่งบัตรเชิญไปแล้ว แต่ก็อยากจะเชิญด้วยตัวเองอีกรอบ”
“ผมยังไม่ได้คุยกับคุณน้า แต่เช็กกับเลขาฯ แล้วว่าวันนั้นผมไม่มีตารางงาน ไปร่วมงานได้ครับ ขอบคุณที่ให้เกียรติเชิญผมไปร่วมงานด้วย”
“แหม ฉันสิคะที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณคุณธีที่อุตส่าห์ให้เกียรติมาร่วมงานแฟชั่นโชว์ของฉัน” ธัญมนทิ้งสายตาเปี่ยมจริต
ธีรดนย์ยกมุมปากเป็นรอยยิ้มเล็กๆ ตอบกลับ สำหรับเขามันเป็นแพตเทิร์นบทสนทนาที่ซ้ำซากและน่าเบื่อ แต่ถ้าจะคุยกับผู้หญิงในวงสังคมนี้เขาก็คงไม่มีทางเลือกมากนัก นอกจากยอมรับพิธีกรรมนี้
ธัญมนทำท่าจะพูด แต่แล้วก็เหมือนเธอเหลือบเห็นอะไรบางอย่างเลยชะงักไป ชายหนุ่มตวัดสายตาตามไปก็พบว่าเป็นกระพันกับกฤษฎาลูกชายอีกคนของพ่อเขา ทั้งสองกำลังเดินผ่านมาแถวจุดที่เขายืนอยู่
สีหน้าของธีรดนย์ไม่เปลี่ยนสักนิดตอนที่ดึงสายตากลับมาหาธัญมน แม้เมื่อครู่จะเห็นว่าใครต่อใครแถวนี้กำลังจับจ้องมาอย่างสนใจ ซึ่งสาเหตุก็เห็นจะไม่พ้นข่าวครึกโครมเมื่อเดือนก่อนที่เขาตัดหน้าซื้อกิจการที่กระพันหมายตาเอาไว้ชนิดเรียกว่าปาดหน้าเค้กในวินาทีสุดท้าย แต่พูดตามจริงก็คงไม่มีใครแปลกใจหรือตกอกตกใจเท่าไหร่ ในเมื่อเรื่องราวความไม่ลงรอยระหว่างเขากับพ่อบังเกิดเกล้านั้นชัดเจนและเป็นข่าวมานานนับยี่สิบปีแล้ว
ในเมื่อเขาถึงขนาดเปลี่ยนนามสกุลจาก ‘ภาพจินดา’ ของพ่อมาเป็น ‘ภักดิ์โภคิน’ ของแม่ทันทีที่บรรลุนิติภาวะก็คงไม่ต้องมีใครถามอะไรอีก อันที่จริงถ้าเขาลบชื่อกระพันออกจากใบสูติบัตรได้ก็คงจะทำไปแล้ว
“จริงสิ ได้ยินมาว่าคุณเพิ่งได้บ้านริมแม่น้ำเจ้าพระยามาหลังนึง” พอธัญมนเห็นว่าชายหนุ่มนิ่ง เธอเลยต้องหาเรื่องมาเปิดบทสนทนาต่อเสียเอง เพราะก่อนหน้านี้เธอเป็นคนตั้งท่าจะพูดแล้วชะงักไป
“การข่าวคุณดีมากเลยนะครับ” อีกครั้งที่ธีรดนย์ยิ้มออกมา
“แค่ตามประสาคนที่มีเพื่อนในแวดวงอสังหาริมทรัพย์อยู่บ้างเท่านั้นเองค่ะ” หญิงสาวยิ้มรับ “แต่เพื่อนของฉันแปลกใจมากเลยนะคะ เพราะเห็นว่าบ้านนั้นถนนเข้าไม่ถึง แถมมีพวกที่มายึดพื้นที่เป็นชุมชนแออัดอยู่ใกล้ๆ ด้วย จะไล่ออกไปไม่ง่ายแน่ๆ”
“ช่วงนี้ผมทำอสังหาฯ ริมน้ำเยอะคุณคงพอทราบ อีกอย่างคุณน้าผมท่านว่าอยากทำร้านอาหารไทยเก๋ๆ ผมก็เลยซื้อบ้านหลังนั้นมา”
“แหม คุณเป็นหลานชายที่น่ารักมากเลยค่ะ”
“คุณน้าเลี้ยงผมมา ถ้าไม่มีท่านก็ไม่มีผมในวันนี้ อะไรที่ทำให้ท่านได้ผมก็จะทำครับ” ชายหนุ่มบอกเสียงเรียบเรื่อย บนใบหน้าคมเข้มยังมีรอยยิ้มเล็กๆ ฉายอยู่ ทว่าแววตาเปล่งประกายกล้า
คนทั่วไปย่อมต้องสงสัยที่เขาเลือกลงทุนกับบ้านโบราณริมน้ำหลังนั้น ต่อให้มันอยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยาและอยู่ใกล้กับธุรกิจเดิมของเขา แต่เมื่อมันไม่ติดถนน อีกทั้งสภาพแวดล้อมยังเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา ที่ดินผืนนั้นเลยดูไม่น่าสนใจในสายตาคนวงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมันก็ดีกับเขา เพราะทั้งหมดทั้งมวลทำให้เขาได้บ้านหลังนั้นมาในราคาที่ไม่แพงเลย
อย่างไรก็ตามถ้าใครมีความขยันในการสืบค้นประวัติของบ้านหลังนั้นสักหน่อยก็จะเข้าใจทันทีว่าทำไมเขาถึงเลือกซื้อมัน เหตุผลไม่ใช่แค่ทำตามความต้องการของบุษบา ทว่าบ้านหลังนั้นเป็นของภักดิ์โภคินตั้งแต่ต้นอยู่แล้วต่างหาก ถ้าไม่ใช่เพราะโดนฉ้อโกงไปเขาก็ไม่จำเป็นต้องหาทางเอามันกลับมาด้วยซ้ำ
อันที่จริงช่วงหลังมานี้ธีรดนย์ก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจพวกภาพจินดาเท่าไหร่ เพราะเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องทุ่มเทความสนใจขนาดนั้น แค่จัดการอะไรเล็กๆ น้อยๆ เมื่อถึงเวลาก็พอ ทว่าเรื่องบ้านริมน้ำนั้น ถึงแม้จะได้มันกลับมาในราคาถูก แต่ความยุ่งยากในการจะได้มันมาก็ทำให้เขาหงุดหงิดใจจนต้องหาที่ระบาย นั่นเป็นเหตุผลให้เขาไปปาดหน้าแย่งซื้อธุรกิจที่กระพันหมายตาไว้นั่นเอง
เพราะในเมื่อมันเป็นกรรมที่กระพันก่อ ธีรดนย์ก็คิดว่าเขาไม่ควรต้องรับเคราะห์คนเดียว พ่อบังเกิดเกล้าของเขาควรจะได้รับมันไปด้วยกัน!
(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 20 มีนาคม)
Comments
comments