X
    Categories: ทดลองอ่านนิทานรักนักษัตรปีมะเส็งมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นิทานรักนักษัตรปีมะเส็ง บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 4

 เสียดายที่โชคชะตาไม่เป็นไปอย่างใจหวัง

เพราะเมื่อเดินทางไปถึงคฤหาสน์สกุลหลินที่หยางโจว พวกเขาถึงรู้ว่าหลินหรูไห่ป่วยตายแล้ว

หลินไต้อวี้มีสีหน้าเศร้าสลดตลอดเวลา นางถามสวรรค์อยู่ในใจไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วว่าตกลงเป็นผู้ใดที่กลั่นแกล้งนางอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้!

โลกใบนี้ช่างมืดมนเหลือเกิน! ตั้งแต่ทะลุมิติเข้ามาในนิทาน นางก็พบว่าเนื้อเรื่องดำเนินไปแตกต่างจากต้นฉบับอย่างสิ้นเชิง ทำให้นางจำเป็นต้องทำตัวหัวหดเพื่อให้มีชีวิตรอดในคฤหาสน์สกุลจย่า

หลินไต้อวี้เข้าใจว่าขอเพียงนางกลับมาหยางโจวได้ย่อมมีวันดีๆ ให้ผ่านสักหลายวันจนนางจัดการคฤหาสน์สกุลหลินเรียบร้อยและสร้างความน่ายำเกรงสำเร็จ…ไหนเลยจะรู้ว่าบิดาผู้อาภัพของนางจะมาด่วนจากไปเสียก่อน เช่นนี้คิดจะบีบนางให้กระโดดลงบ่อน้ำกลับแดนเซียนหรือ!

ประเด็นสำคัญอยู่ที่หลินไต้อวี้เป็นสตรี และเป็นบุตรสาวกำพร้าที่เพิ่งจะอายุเต็มสิบเอ็ดปีด้วย!

ยุคนี้ยังมีบ่าวผู้จงรักพิทักษ์นายอีกหรือ อย่าโง่งมไปหน่อยเลย นางเคยอ่านเรื่องน่ากลัวอย่างบ่าวยึดสมบัติและกลั่นแกล้งนายจนตายในหนังสือมาไม่น้อย สกุลจย่าก็เป็นตัวอย่างให้เห็นได้

หลินไต้อวี้ไม่สามารถอาศัยบิดาเพื่อสร้างความน่ายำเกรงได้อีกต่อไป แล้วสตรีอายุน้อยเช่นนางก็สามารถถูกบ่าวไพร่ล่วงเกินให้อยู่ในสภาพตายทั้งเป็นได้ง่ายมาก

นอกจากนี้สาเหตุการตายและการจัดพิธีศพของบิดายังทำให้หลินไต้อวี้รู้สึกหวาดผวามากยิ่งขึ้น

ได้ยินว่าบิดาป่วยตายไปเมื่อสามวันก่อน แต่เมื่อวานกลับทำพิธีเผาศพและเก็บเถ้ากระดูกกันเรียบร้อยแล้ว…มีอะไรผิดไปหรือไม่ พิธีศพยุคนี้ต้องยุ่งยากถึงขนาดเอาร่างฝังดินกันอย่างเดียวมิใช่หรือ หรือต่อให้ต้องเผาศพก็น่าจะคอยให้นางกลับมาถึงก่อนสิ มีที่ใดรวบรัดกันให้เสร็จแค่ในไม่กี่วันเช่นนี้ นางเป็นลูกสาวของผู้ตาย การทำพิธีศพย่อมต้องคอยนางมาเป็นผู้ทำพิธีมิใช่หรือ

แต่นี่กลับไม่มีใครยอมคอยนาง จัดการกันเองเสร็จสรรพ ทำให้นางไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้ร่ำไห้เรียกความสงสารจากบ่าวไพร่เลย

แย่แล้วๆๆๆ นางชักเริ่มระแวงแล้วสิว่าบ่าวไพร่ในคฤหาสน์สกุลหลินจะไม่ใช่คนดี

ตอนที่เพิ่งเข้าบ้านมานางเห็นบ่าวหลายคนมีท่าทางแปลกๆ ทั้งจู่ๆ พวกบ่าวที่หน้าตาไม่คุ้นก็หายตัวไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ ทำให้หลินไต้อวี้เริ่มรู้สึกไม่ไว้วางใจต่ออนาคต

“ไต้อวี้ อย่าเอาแต่นิ่งไม่พูดไม่จาสิ อยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเลย” ฉินเข่อชิงที่ติดตามอยู่ข้างกายเห็นหลินไต้อวี้เดินเข้าไปในศาลตั้งป้ายวิญญาณอย่างเงียบๆ แล้วอดรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้

“ผินผิน ไม่ต้องกลัวนะ มีข้าอยู่ด้วย” จย่าเป่าอวี้เข้าใจว่านางกำลังเสียใจจึงตามมาปลอบขวัญ

หลินไต้อวี้ส่ายหน้าช้าๆ ไม่พูดเลยสักคำ ได้แต่ลอบสบถสาบานอยู่ในใจว่าคอยให้นางกลับไปแดนเซียนเมื่อไร เรื่องแรกที่นางจะทำคือตามสืบให้รู้ว่า…ผู้ใดที่แอบเล่นงานนาง!

มารดามันเถอะ นางโมโหจนสมองใกล้จะระเบิดอยู่แล้ว!

จังหวะที่ฉินเข่อชิงกับจย่าเป่าอวี้ไม่รู้ว่าควรปลอบใจหลินไต้อวี้อย่างไร ที่นอกประตูพลันมีเสียงวุ่นวายดังมา จย่าเป่าอวี้หันไปดูก็พบว่ามีบุรุษวัยต้นสี่สิบคนหนึ่ง สวมชุดผ้าแพรชั้นดี ใบหน้าเหลี่ยม จมูกโด่ง คิ้วเรียวเป็นทรงใบหลิว ท่าทางซื่อๆ รีบส่งเสียงเรียกมาตั้งแต่ยังไม่ทันก้าวเข้าห้องว่า “คุณหนู!”

หลินไต้อวี้หันหน้าไปช้าๆ เมื่อเห็นชายผู้นั้นนางก็ควานหาสิ่งที่เกี่ยวกับเขาออกมาจากสมอง นัยน์ตาพลันแดงเรื่อขณะร้องเสียงแหบแห้ง “ท่านอาจี้!”

เสียงแผ่วหวิวแหบแห้งนั้นทำให้คนฟังรู้สึกแสบจมูก ฉินเข่อชิงที่อยู่ข้างๆ ต้องยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตา

“คุณหนู” จี้ไหวรีบเข้ามาคุกเข่าตรงหน้านาง “ข้าไม่ดีเอง ข้าดูแลนายท่านไม่ดี ทำให้คุณหนูไม่ได้พบนายท่านเป็นครั้งสุดท้าย ข้ามันสมควรตายนัก”

ทันทีที่จี้ไหวคุกเข่า บ่าวไพร่ที่ตามหลังเขามาก็คุกเข่าตามกันหมด แต่ละคนร้องห่มร้องไห้กันเสียงดังลั่น

“อาจี้…เหตุใดจึงเผาศพท่านพ่อก่อน เหตุใดจึงไม่คอยข้ากลับมาก่อน” ร่างของหลินไต้อวี้สั่นสะท้านประดุจใบไม้ในฤดูสารทแต่กลับยืนตัวตรง ไร้แววขึ้งโกรธ มีเพียงความเศร้าอาลัย น้ำตาเอ่อคลออยู่ในดวงตากระจ่างใสก่อนร่วงรินลงมาตามผิวแก้มอิ่มเอิบ ทำให้บ่าวไพร่ยิ่งคร่ำครวญตีอกชกหัวกันหนักขึ้น

“คุณหนูขอรับ นี่เป็นคำสั่งของนายท่านว่าให้นำป้ายวิญญาณของท่านไปซูโจว และช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนขึ้น ข้าจึงต้องถือวิสาสะเร่งทำการพิธีศพเพื่อคอยให้คุณหนูกลับมา แล้วจะได้นำเถ้ากระดูกของนายท่านเดินทางไปยังสุสานสกุลหลิน”

หลินไต้อวี้ฟังแล้วผงกศีรษะเล็กน้อย นางมองบ่าวไพร่ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นในลานบ้านแล้วทรุดตัวลงคุกเข่าคารวะพวกเขาอย่างเต็มพิธีการด้วยท่าทางอ่อนแรง

“ไต้อวี้ขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยส่งบิดาเดินทางช่วงสุดท้ายแทนไต้อวี้”

เสียงร่ำไห้จนแหบแห้งยิ่งทำให้น้ำตาทะลักทลายออกมามากขึ้น คำขอบคุณอย่างจริงใจของนางทำให้บ่าวที่ไม่เคยได้รับการยกย่องเชิดชูพากันร้องไห้จนตาแดงและยิ่งไม่อาจทอดทิ้งนางผู้นี้ไปที่ใดได้

“คุณหนู รีบลุกขึ้น ลุกขึ้นเถิดขอรับ อย่าทำให้พวกเราต้องอายุสั้นเลย” จี้ไหวรีบดึงตัวนางให้ลุกขึ้น

“ขอบคุณท่านอาจี้มาก” น้ำตาของหลินไต้อวี้พรั่งพรูประดุจหยาดฝน นางหอบหายใจแล้วไอออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

จี้ไหวเห็นดังนั้นจึงรีบร้องสั่ง “เสวี่ยเยี่ยน ยาของคุณหนูล่ะ ยังไม่รีบประคองคุณหนูให้กลับไปกินยาที่ห้องอีก”

เสวี่ยเยี่ยนผู้มีนิสัยเยือกเย็นเช็ดน้ำมูกน้ำตาแล้วรีบประคองหลินไต้อวี้กลับไปที่เรือนตะวันตก

“พี่เข่อชิง…” หลินไต้อวี้กวักมือเรียกฉินเข่อชิงอย่างอ่อนแรง

ฉินเข่อชิงรีบตามไป จย่าเป่าอวี้ทำท่าจะตามไปด้วยแต่กลับถูกจี้ไหวขวางเอาไว้

“คุณชายรองเป่า ในบ้านกำลังมีงานศพ เกรงว่าจะมีกลิ่นอายอัปมงคล มิสู้ให้ข้าช่วยท่านจัดหา…”

“ไม่เป็นไร น้าเขยข้ามีกลิ่นอายอัปมงคลที่ใด นอกจากนี้ท่านยังเป็นพ่อภรรยาที่ข้าไม่มีวาสนาได้กราบคารวะด้วย ข้าย่อมต้องตามไปส่งวิญญาณท่านอยู่แล้ว”

“หา?”

“นายหญิงผู้เฒ่ายกผินผิน…ไต้อวี้ให้ข้าแล้ว” จย่าเป่าอวี้ยิ้ม ท่าทางกรุ้มกริ่มจนพวกสตรีเห็นแล้วพากันหน้าแดงใจเต้น “ดังนั้นต่อจากนี้ไปเรียกข้าว่าท่านเขยก็ได้ ส่วนเรื่องที่พักช่วยจัดให้ข้าอยู่ข้างห้องของผินผินด้วย”

เขาต้องดูแลภรรยาในอนาคตของตน จะปล่อยให้บ่าวไพร่พวกนี้ทำกำเริบเสิบสานได้อย่างไร

คนที่จะแกล้งนางได้มีเพียงเขาผู้เดียวเท่านั้น!

หลินไต้อวี้ไม่รู้ว่าจะบริภาษร่างที่สุดแสนจะเปราะบางนี้อย่างไร แค่แกล้งร้องไห้ยกเดียวก็แทบจะขาดใจ ทำให้นางได้แต่นั่งพิงข้างเตียงเพื่อหอบหายใจ

“คุณหนู ผู้ใดให้ท่านเล่นเกินบทเช่นนี้”

“เจ้าว่าข้าเล่นละครเช่นนั้นหรือ” นางแสดงได้ไม่เนียนหรือ นางอุตส่าห์ทำท่าทางน่าสงสารออกไปอย่างสุดชีวิตเพื่อเรียกความสงสารจากทุกคน พวกนั้นจะไม่ได้เห็นคนตกบ่อโยนหินซ้ำ กลั่นแกล้งบุตรสาวกำพร้าน่าสงสารอย่างนาง

เสวี่ยเยี่ยนมองหลินไต้อวี้แวบหนึ่งแล้วหยิบยาลูกกลอนออกมาจากห่อผ้า ก่อนรินน้ำมาส่งให้ “ท่านแม่ข้าพูดเสมอว่าท่านพ่อเป็นคนหน้าซื่อ แต่ความจริงแล้วเป็นจิ้งจอกตัวหนึ่ง หาไม่นางคงไม่ถูกหลอกกลับมาบ้าน แค่ข้าเห็นท่านพ่อคุกเข่าก็รู้แล้วว่าเขากำลังเล่นละคร แล้วท่านก็ร้องไห้เต็มที่เหมือนกัน”

จะว่าไปในช่วงหลายปีที่คุณหนูไม่อยู่ บ่าวไพร่ในบ้านถูกสับเปลี่ยนใหม่หมด บางคนที่ไม่รู้จักคุณหนูก็ไม่ยอมรักษามารยาท แต่ลองว่าบิดาของนาง…พ่อบ้านคฤหาสน์สกุลหลินคุกเข่าแล้ว คนอื่นๆ จะไม่คุกเข่าได้หรือ

“เจ้าพูดถึงท่านอาจี้อย่างเชียวหรือ อีกเดี๋ยวข้าจะไปฟ้องเขา” หลินไต้อวี้ดื่มน้ำกลืนยา แม้จะรู้สึกแน่นหน้าอกอยู่มาก แต่ที่นี่คือบ้านของนาง ถึงอำนาจส่วนใหญ่จะไม่ได้อยู่ในมือของนางทั้งหมด แต่นางยังคงรู้สึกผ่อนคลาย แม้จะเพิ่งสูญเสียบิดาไปก็ตาม

หลินไต้อวี้ค่อนข้างรู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้ แต่ไม่มีทางเลือก เมื่อนางทะลุมิติมาตอนระหว่างเดินทางไปคฤหาสน์สกุลจย่า แม้จะมีความทรงจำเกี่ยวกับบิดาแต่ก็ไม่ได้สนิทสนมคุ้นเคย การที่นางร้องไห้เป็นเพราะต้องการช่วยท่านอาจี้และช่วยตนเอง เพื่อให้ได้รับความสงสารมากขึ้น

ท่านอาจี้เป็นคนดีมากและเป็นพวกคมในฝัก แต่กลับจงรักภักดีต่อบิดานางด้วยชีวิต ทำให้หลินไต้อวี้ไว้วางใจได้ว่าเมื่อมีท่านอาจี้คอยช่วย นางจะต้องมีวันดีๆ ให้ผ่านแน่ๆ

ดีเหลือเกิน ชีวิตของนางมีหวังแล้ว!

“ที่แท้ไต้อวี้ก็รู้จักทำเจ้าเล่ห์เป็นด้วย” ฉินเข่อชิงได้ฟังแล้วถึงเข้าใจ นางจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งฉิวกึ่งขัน

“อืม ตอนอยู่คฤหาสน์สกุลจย่า ข้าไม่เป็นตัวเองเลยจริงๆ ได้แต่ก้มศีรษะยอมเขาไปเสียทุกอย่าง แต่ที่นี่เป็นบ้านของข้า ข้าย่อมไม่ต้องทำเหมือนเดิมอีก”

“แต่ข้าได้ยินคุณชายรองเป่าบอกว่าเขาไปขอเจ้าแต่งงานกับนายหญิงผู้เฒ่าเพื่อพาข้ากลับมาหยางโจว เช่นนั้นเจ้าย่อมต้องกลับไปคฤหาสน์สกุลจย่า”

“แค่พูดส่งๆ ไปเท่านั้น”

“ต่อให้ไม่มีสัญญาแต่งงาน แต่นายท่านหลินเสียชีวิตไปแล้ว แม้เจ้าจะเป็นนายแต่ก็อายุน้อยมาก นายหญิงผู้เฒ่าย่อมต้องกลัวเรื่องบ่าวรังแกนาย และให้พาเจ้ากลับคฤหาสน์สกุลจย่าไม่ว่าจะมีเรื่องแต่งงานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่”

“คงไม่หรอกกระมัง”

“ย่อมเป็นเช่นนั้นแน่”

สีหน้ามั่นอกมั่นใจของฉินเข่อชิงทำให้หลินไต้อวี้รู้สึกถึงความหนาวเยือกที่ระเบิดขึ้นมาจากภายในร่าง ต่อให้ตีให้ตายนางก็ไม่อยากกลับไปที่คฤหาสน์สกุลจย่าอีก “น่าจะ…มีวิธีอื่นกระมัง”

“ก็มี”

“เป็นต้นว่า?” หลินไต้อวี้เริ่มมีความหวัง

“ออกบวช”

หลินไต้อวี้เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเห็นฉินเข่อชิงหลุดขำออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ทำให้นางรู้สึกเหมือนพี่สาวผู้ใจดีกำลังแกล้งอำเพื่อเย้านางเล่น

“อันที่จริงยังมีอีกวิธีหนึ่ง” เสวี่ยเยี่ยนอดเสนอแผนออกมาบ้างไม่ได้

“วิธีอะไร” หลินไต้อวี้ถามอย่างเหนื่อยหน่าย และนึกสงสัยว่าก่อนหน้านี้ตนคงวางตัวเฉยมากเกินไปเลยทำให้ใครต่อใครอยากแกล้ง แม้แต่เสวี่ยเยี่ยนที่ร่วมหัวจมท้ายมาด้วยกันก็ยังไม่ยอมปล่อยนาง

“แต่งงานกับพี่ชายข้า”

“คุณชายรองเป่าได้รับอนุญาตให้แต่งงานกับไต้อวี้แล้ว หนึ่งหญิงจะมีสองสามีได้อย่างไร” ฉินเข่อชิงกล่าวอย่างหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก

“เช่นนั้นก็บอกว่าพี่ชายข้าทำลายความบริสุทธิ์ของคุณหนู นางจึงต้องแต่งงานกับพี่ชายข้าคนเดียว” แม้เสวี่ยเยี่ยนจะทำหน้านิ่งๆ แต่ไม่ว่าใครก็ฟังออกว่านางมีเจตนานำเสนอพี่ชายคนโตของตนเองอย่างเต็มที่

“เสวี่ยเยี่ยน…” ฉินเข่อชิงตกใจกับความคิดแปลกๆ เช่นนี้ แต่กลับได้ยินคนข้างตัวเปล่งเสียงชมเชย

“เป็นวิธีที่ดี! เสวี่ยเยี่ยน เจ้านี่ฉลาดจริงๆ” เอาวิธีนี้ล่ะ แกล้งทำเป็นแต่งงานกับพี่ชายของเสวี่ยเยี่ยน เช่นนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องกลับไปรังสุนัขป่าอย่างคฤหาสน์สกุลจย่าอีก

“ไต้อวี้ บ่าวไม่อาจเทียบเคียงกับบุตรสาวนาย…”

“เฟิ่งปาหรือ…” หลินไต้อวี้ไม่สนว่าฉินเข่อชิงจะพูดกล่อมนางว่าอย่างไร เพราะนางค้นความทรงจำเกี่ยวกับจี้เฟิ่งปาออกมาได้อย่างไม่ต้องเปลืองแรงเป่าฝุ่นเรียบร้อย จี้เฟิ่งปาอายุมากกว่าหลินไต้อวี้ราวๆ เจ็ดหรือแปดปี นางจำได้ว่าก่อนที่นางจะออกจากบ้าน เขาเป็นผู้ช่วยมือดีที่คอยติดตามอยู่ข้างกายท่านอาจี้เพื่อทำบัญชี มีความสามารถทั้งบุ๋นบู๊ รูปโฉมไม่เป็นสองรองใคร แม้จะไม่หล่อเหลาเจ้าสำอางอย่างจย่าเป่าอวี้ แต่ก็เป็นบุรุษหนุ่มรูปงามติดอันดับผู้หนึ่ง

“เฟิ่งปา?” ฉินเข่อชิงหลุดปากอย่างแปลกใจ

“มีอะไรหรือ”

“เปล่า แค่รู้สึกว่าชื่อแปลกๆ”

“แปลกตรงที่ใดหรือ”

“ครอบครัวของเสวี่ยเยี่ยนมีพี่น้องเป็นบุรุษหลายคนหรือ เหตุใดจึงมีชื่อเป็นลำดับที่แปด”

เสวี่ยเยี่ยนหยุดคิด “ข้ามีพี่ชายแค่คนเดียว แต่จำได้ว่าท่านพ่อเคยเล่าให้ฟังว่าที่ตั้งชื่อว่าเฟิ่งปาเพราะหวังว่าจะมีลูกชายมากๆ เสียดายที่หลังจากท่านแม่ให้กำเนิดข้าแล้ว ร่างกายบอบช้ำจนไม่อาจคลอดน้องชายน้องสาวได้อีก”

“เช่นนั้นหรือ”

หลินไต้อวี้ลอบมองฉินเข่อชิงเมื่อรู้สึกว่าคำพูดของนางคล้ายมีเจตนาหยั่งเชิง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมาก เพราะเรื่องสำคัญที่สุดในเวลานี้คือ “เสวี่ยเยี่ยน ไปให้ห้องครัวเตรียมของอร่อยๆ ให้ทีสิ เอาอาหารดีๆ ของเจียงหนานมาเยอะๆ เลย เข้าใจหรือไม่”

ครั้งนี้นางจะต้องกินให้หมดอย่างจริงจังเพื่อเป็นรางวัลชิ้นใหญ่ให้แก่ตนเอง

“คุณหนู บ้านเรากำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ทุกอย่างต้องเรียบง่ายนะเจ้าคะ” เสวี่ยเยี่ยนถอนหายใจแรงๆ ได้แต่บอกตนเองว่าคุณหนูของนางไม่ใช่คุณหนูคนเดิมอีกต่อไปแล้ว

ทว่าคุณหนูผู้นี้ก็ดีกว่าคุณหนูคนเก่า เพราะอย่างน้อยนางก็ไม่ได้ทำหน้าอมทุกข์ตลอดเวลาจนคนที่อยู่รอบข้างพลอยรู้สึกหดหู่ไปด้วย

“คุณหนูขอรับ ในบ้านมีงานศพเลยให้พ่อครัวลาพัก ข้าต้องลงครัวทำอาหารง่ายๆ เอง เกรงว่ารสชาติอาจจะไม่ถูกปากท่าน”

ช่วงเข้าไต้เข้าไฟจี้เฟิ่งปาให้บ่าวจำนวนหนึ่งยกอาหารมาให้

ชั่วขณะนั้นหลินไต้อวี้ถึงกับตาค้าง เพราะแค่จี้เฟิ่งปาผู้นี้ยิ้มบางๆ นางก็รู้สึกเหมือนมีประกายแสงเจิดจรัสอาบร่าง ยิ่งพิศดูรูปโฉมของเขาอย่างละเอียด ยิ่งบอกได้ว่าเขาเป็นสิ่งล้ำค่าหายากในแดนมนุษย์พอๆ กับจย่าเป่าอวี้ เพราะเขามีความแข็งแกร่งแต่ไม่หยาบกระด้าง คิ้วคมดุจใบมีด นัยน์ตาสุกใสสะดุดตา โครงหน้าคมชัด เผยให้เห็นถึงเสน่ห์ของบุรุษวัยฉกรรจ์ ยิ่งได้ยินว่าเขาลงครัวได้และเห็นน้ำแกงห่านป่า เกี๊ยวน้ำกับปลาเหลืองราดน้ำปรุงรสที่เขายกมาเองกับมือ ใจนางก็ยกเขาขึ้นไปอยู่ในระดับเซียนเรียบร้อย

นางรู้สึกชื่นชม…รสมือของเขาอย่างยิ่ง

“ผินผินถูกมนตร์สะกดไปแล้วหรือ” จย่าเป่าอวี้จับปลายคางนางเพื่อบังคับให้หันหน้ามาทางเขาโดยไม่ยอมพูดจา

ทันใดนั้นแววชื่นชมในดวงตานางพลันหายวับแล้วเปลี่ยนเป็นดูหมิ่นเหยียดหยัน

จย่าเป่าอวี้หรี่ดวงตาสีดำวาวดุจศิลาลง “เป็นอะไรไป”

พอชายผู้นั้นก้าวเข้ามาในห้อง หลินไต้อวี้ก็เอาแต่จ้องมองเขาและวางมือน้อยๆ ไว้บนหน้าอก…หรืออาการจะกำเริบ! แต่ถ้าอาการจะกำเริบก็ช่วยกำเริบให้เหมือนคนป่วยหน่อยได้หรือไม่ เหตุใดถึงต้องหน้าแดงด้วยเล่า!

ชายผู้นี้รูปงามไม่เท่าเขา ฐานะก็สู้เขาไม่ได้ เป็นแค่บ่าวที่ลงครัวเป็น…เห็นได้ว่าสายตาของหลินไต้อวี้มีปัญหาถึงได้ไปสนใจคนชั้นต่ำเช่นนี้!

หลินไต้อวี้ทำเสียงจิ๊จ๊ะสองคำแล้วส่ายหน้าอย่างคิดหนัก “เหตุใดจึงต่างกันมากถึงเพียงนี้” ดูเอาเถอะ พี่ชายคนโตสกุลจี้มีสง่าดุจหยก รูปกายสูงใหญ่ ได้ทั้งบุ๋นบู๊ ดูแลที่ดิน ดูแลควบคุมหัวหน้าผู้ดูแลที่ดินทุกคนได้อย่างเหมาะสม ที่สำคัญที่สุดคือฝีมือการทำครัวของเขา!

สวรรค์! เทียบกับบุรุษไม่ได้ความที่ดีแต่เกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นหญ้า พี่จี้ของนางชนะเขาไปไม่รู้กี่ร้อยคะแนนแล้ว ความคิดนี้ทำให้หลินไต้อวี้หน้าแดงใจเต้น ก่อนตัดสินใจว่าจะต้องแต่งงานกับเขาให้ได้!

แน่ล่ะ! ของดีเลิศประเสริฐเช่นนี้ คอยให้นางหมดสิ้นอายุขัยและพาเขาไปที่แดนเซียนแล้ว เขาไม่เพียงสามารถเป็นคู่ร่วมแข่งขันชั้นยอดให้นาง แต่ยังสามารถเข้าครัวทำอาหารให้นางทุกวันได้ด้วย…คิกๆๆๆ ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ขุนเขาสายน้ำกั้นขวางไร้ทางไป หมู่บ้านไพรพุ่มสดปรากฏพลัน’ ที่แท้สิ่งพิเศษสุดก็อยู่ข้างกายนางมาตลอด!

“หลินไต้อวี้ เจ้าพูดว่าอะไรนะ!” จย่าเป่าอวี้แผดเสียงอย่างโกรธจัด ลำพังแค่นางดูหมิ่นเขาแล้วไปยกย่องจย่าหวน เขาก็อิจฉาตาร้อนมากพอแล้ว เวลานี้นางยังไปทอดไมตรีให้แก่บ่าวต่อหน้าต่อตาเขาอีก อยากให้เขาขาดใจตายให้ได้เลยใช่หรือไม่!

“คุณชายรองเป่า คุณหนูแค่ล้อเล่นเท่านั้น กินอาหารก่อนเถอะขอรับ ถ้าเย็นแล้วจะเสียรส” จี้เฟิ่งปากล่าวพลางแย้มยิ้มน้อยๆ อย่างมีมารยาท เขาตักอาหารให้คุณหนูและแขกด้วยตนเอง ก่อนตักน้ำแกงห่านป่าไปให้ฉินเข่อชิง

เมื่อฉินเข่อชิงเห็นหน้าเขา แววตาของนางพลันฉายแววตื่นตะลึงอย่างยากที่จะปิดบัง

ชายหนุ่มชะงักก่อนส่งยิ้มอบอุ่นให้อีกฝ่าย เขาหันไปตักเกี๊ยวน้ำให้หลินไต้อวี้ ทั้งท่าทางและคำพูดล้วนแสดงถึงความเอาอกเอาใจอย่างยิ่ง

“พี่จี้ อร่อยมากเลย ยังมีอีกหรือไม่” หลินไต้อวี้ถามอย่างอดไม่อยู่ เพราะข้าวแค่สองชามนี้ยังไม่อาจเติมเต็มความหิวโหยของนางได้

ต่อให้เป็นอาหารเลิศรสของคฤหาสน์สกุลจย่าแล้วจะอย่างไร พี่จี้ของนางต่างหากที่มีฝีมือเหนือใคร

“หากคุณหนูอยากกิน แค่สั่งมาคำเดียว เฟิ่งปาจะรีบจัดเตรียมให้คุณหนูทันทีเลยขอรับ”

“พี่จี้…” ฮือๆ ในที่สุดนางก็เจอกับมนุษย์ปกติแล้ว

“เรียกพี่จี้คงไม่ค่อยเหมาะกระมัง” จย่าเป่าอวี้แขวะเสียงหนัก

“ไม่เหมาะตรงที่ใด ที่นี่คือคฤหาสน์สกุลหลินไม่ใช่คฤหาสน์สกุลจย่า นายของบ้านนี้คือข้า ข้าอยากเรียกอย่างไรก็เรียกอย่างนั้น” หลินไต้อวี้ตอกกลับอย่างไม่เกรงใจและไม่ไว้ไมตรี “พี่จี้ ปลานี่อร่อยมากๆ ยังมีอีกหรือไม่”

“ข้าจะไปจัดเตรียมเดี๋ยวนี้” จี้เฟิ่งปาไม่ได้เก็บเอาคำค่อนแคะของจย่าเป่าอวี้มาเป็นอารมณ์ เขาโค้งตัวแล้วเดินจากไป

“พูดจาเสียงอ่อนเสียงหวานเช่นนี้ อยากดื่มชาให้ชุ่มคอหน่อยหรือไม่” จย่าเป่าอวี้แค่นเสียง

“วางใจเถอะ ได้คุยกับคนที่ชอบ ต่อให้พูดนานเท่าใดคอก็ไม่แห้งหรอก” หลินไต้อวี้โต้กลับอย่างไม่เกรงใจ ทำให้จย่าเป่าอวี้วางชามข้าวลงแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป หากนางก็ยังทำหน้าทะเล้นตามหลังเขาไปด้วย

“คุณหนู…” เสวี่ยเยี่ยนที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ อดถอนหายใจไม่ได้

“ถ้าเขาไม่ยั่วโทสะข้า ข้าก็ไม่ทำอะไรเขาหรอก” ถ้านางไม่ระบายความเคียดแค้นที่ได้รับจากสกุลจย่าใส่เขาบ้าง ความใจกว้างของนางคงอยู่ในระดับเดียวกับอัครเสนาบดีแล้ว

“ไต้อวี้ คุณชายรองเป่าเพียงถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจ แต่ความจริงแล้วเขาเป็นคนจิตใจดีมาก หาไม่ข้าคงไม่มีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้” ฉินเข่อชิงช่วยพูดแทนจย่าเป่าอวี้

“ข้าทราบดี ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่สนใจเขาหรอก” แม้จย่าเป่าอวี้จะเป็นคนเจ้าเล่ห์ ทำอะไรหวังผล แต่พูดกันจริงๆ แล้วเขาก็เป็นคนช่วยฉินเข่อชิง เพราะในเวลานั้นท่าทีตอบสนองของหลินไต้อวี้ยังไม่ไวเท่าเขา คิดอะไรไม่ละเอียดเท่าเขา และแรงสู้เขาไม่ได้ด้วย…

แต่หลินไต้อวี้ก็ไม่ได้เก็บเอาเรื่องนี้มาใส่ใจ อึดใจต่อมาเมื่อจี้เฟิ่งปายกปลาเหลืองราดน้ำปรุงรสมาให้ ความสนใจทั้งหมดของนางก็ไปอยู่ที่การกิน และรู้สึกเหมือนชีวิตได้รับการเติมเต็มแล้ว

ในช่วงที่นางกำลังเติมเต็มความต้องการเรื่องปากท้อง หางตาก็พลันเหลือบไปเห็นจี้เฟิ่งปากับฉินเข่อชิงแลกเปลี่ยนสายตากัน แต่พอรู้ว่าหลินไต้อวี้เห็น ทั้งสองก็รีบทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

ทั้งสองคนมองกันไปมาเช่นนี้มันหมายความว่าอะไร อย่าบอกนะว่าเป็นรักแรกพบ เช่นนี้ก็แย่สิ นางกำลังวางแผนจะใช้จี้เฟิ่งปามาเป็นโล่กันธนู แต่ลองว่าบุรุษเสน่หา สตรีมีใจแล้ว นางคงไม่อาจเอาไม้ไปไล่ตีคู่ยวนยางได้

ว่าแต่…นางจะไปหาโล่กันธนูอันใหม่ที่ใดดีนะ

เฮ้อ ช่างเถอะ เลิกคิดดีกว่า คอยให้นางกินอิ่มแล้วค่อยว่ากัน

ทว่าพอกินอิ่มหนังตาก็หย่อน ประกอบกับต้องเร่งเดินทางทั้งวันทำให้หลินไต้อวี้เข้าสู่ห้วงนิทราไปด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า คอยจนนางตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาเที่ยงของวันถัดไปแล้ว

ทันทีที่นางลืมตาก็เห็นจย่าเป่าอวี้กำลังชะโงกหน้ามามองอยู่นอกม่าน หากหลินไต้อวี้เป็นคนจิตอ่อน การถูกจ้องเช่นนี้คงทำให้ขวัญกระเจิงจนต้องเผ่นไปชนผนังด้านในแล้ว

“คุณชายรองเป่าทำอะไรอยู่น่ะ” ไม่รู้หรือไรว่าบุรุษสตรีไม่พึงใกล้ชิดกัน ยังจะวิ่งเข้ามาในห้องส่วนตัวของสตรีตามใจชอบอีก

“เจ้าไม่สบาย?”

“ท่านต่างหากที่ไม่สบาย” นี่เขาคิดจะแช่งนางใช่หรือไม่

จย่าเป่าอวี้พิศดูสีหน้าหลินไต้อวี้อย่างละเอียดพบว่าแม้สีหน้าของนางจะซีดไปบ้าง แต่ยังคงมีเลือดฝาดแดงเรื่อแลดูเย้ายวนใจอย่างสตรีที่เพิ่งตื่นนอน ไม่มีแววของความป่วยไข้เลยแม้แต่น้อย

เขาจึงเป็นฝ่ายงง “เพราะเหตุใด…”

“เอ๋?!” อย่าฉวยโอกาสตอนที่สมองนางยังไม่ตื่นดีมาพูดเรื่องอะไรที่ไม่มีหัวมีท้ายได้หรือไม่ นางขี้เกียจเดา

“แต่ไหนแต่ไรมามื้อใดที่เจ้ากินเยอะแล้วจะป่วยไม่ใช่หรือ”

หลินไต้อวี้หลับตาลงนึกดูแล้วพลันหัวเราะร่าอย่างจำได้ “ท่านเข้าใจผิดแล้ว นั่นเป็นเฉพาะตอนอยู่คฤหาสน์สกุลจย่าต่างหาก”

“เพราะเหตุใด”

“ท่านฉลาดถึงเพียงนี้ น่าจะคิดเองได้นะ” อย่าให้นางเฉลยเลย ข้อแรก เป็นเพราะนางไม่มีหลักฐาน และข้อสอง ถ้าบอกความจริงออกไปแล้ว เขาอาจรับไม่ได้

ระหว่างที่จย่าเป่าอวี้กำลังครุ่นคิด เขาก็เห็นหลินไต้อวี้ลุกขึ้นมาหวีผมจึงนึกอีกเรื่องขึ้นมาได้ “ก่อนหน้านี้บ่าวสกุลหลินต้อนรับสหายขุนนางกับแขกที่มาร่วมงานบำเพ็ญกุศลของท่านอาเขยได้ไม่เลว”

“อืม อีกสามวันต้องเคลื่อนป้ายวิญญาณแล้ว สองสามวันนี้น่าจะมีคนมากันเยอะ” ข้าหลวงตรวจการการค้าเกลือไม่เก็บผลประโยชน์ใต้โต๊ะ ยิ่งไปกว่านั้นบิดาของหลินไต้อวี้เป็นคนใจดี มีน้ำใจกว้างขวางทำให้มีคนมาร่วมงานบำเพ็ญกุศลไม่น้อย “คุณชายรองเป่า ข้าว่าท่านพักอยู่ที่นี่สักสองสามวันแล้วค่อยเดินทางกลับเถอะ”

“เหตุใดข้าต้องกลับ”

“แล้วท่านจะอยู่ทำอะไร” หลินไต้อวี้ย้อนถามอย่างหงุดหงิด

“การย้ายป้ายวิญญาณของบิดาเจ้าย่อมต้องมีคนถือธงนำวิญญาณ แม้ข้าจะเป็นบุตรชายแค่ครึ่งตัว แต่เรื่องนี้สมควรให้ข้าเป็นผู้กระทำ”

จย่าเป่าอวี้พูดด้วยสีหน้าจริงจังทำให้หลินไต้อวี้รู้สึกตาลายไปวูบหนึ่ง “นั่นเป็นแค่แผนขัดตาทัพเท่านั้น ข้ายังไม่ได้รับปากจะแต่งงานกับท่าน” ขอร้องล่ะ วันดีๆ ของนางเพิ่งจะเริ่ม สมองนางยังไม่พังถึงขั้นจะอยากกลับไปที่คฤหาสน์สกุลจย่าอีก “ยิ่งไปกว่านั้นท่านพ่อข้าเสียไปแล้ว เรื่องแต่งงานไม่มีผู้ใหญ่ช่วยจัดการ ครั้งนี้จึงไม่นับ”

“ผิดแล้ว ถึงพ่อภรรยาจะเสียไป แต่ท่านย่ายังเป็นผู้ใหญ่ให้อยู่ เจ้านึกว่าท่านย่าอนุญาตเรื่องงานแต่งแค่ส่งๆ ไปอย่างนั้นหรือ” รอยยิ้มของจย่าเป่าอวี้ฉายแววชั่วร้าย

“ข้าไม่แต่ง! ข้าจะแต่งกับพี่จี้!” แม้หลินไต้อวี้จะรู้สึกผิดเรื่องแย่งคนกับฉินเข่อชิง แต่นี่เป็นแค่แผนขัดตาทัพ ต่อให้สุดท้ายต่อให้พี่จี้กับนางต้องหย่าขาดจากกันก็ไม่เป็นไร ขอแค่นางไม่ต้องกลับไปที่คฤหาสน์สกุลจย่าอีกก็พอ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น

“เหลวไหล เขาเป็นแค่บ่าว ไหนเลยจะคู่ควรกับเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นเขายังลงครัว…”

“พูดเช่นนี้แสดงว่าท่านไม่รู้จักโลก ไม่รู้จักอะไรบ้างเลย” หลินไต้อวี้กล่าวตัดบทจย่าเป่าอวี้ด้วยรอยยิ้มเย็น

“เจ้าจะพูดอะไร”

“ขยันเรียนหนังสือให้มากกว่านี้ก่อนเถอะ อย่างน้อยท่านจะได้รู้ว่าเซ่าคังกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซย่าเคยเป็นพ่อครัว อีอิ่นอัครเสนาบดีแห่งราชวงศ์ซางได้ดีเพราะทำน้ำแกงห่านป่าและปลาราดน้ำปรุงรส จนได้รับการยกย่องเป็นปราชญ์แห่งการทำอาหาร ยังมีหยวนซวินเจียงในยุคบุกเบิกราชวงศ์โจวที่ก่อนเข้ารับราชการ เคยตกปลา ล้มวัว ขายข้าว ทำให้มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ…ผู้ใดบอกท่านว่าคนลงครัวมีแต่บ่าว หากไม่มีพ่อครัว ท่านก็ไปกินหญ้ากินดินเถอะ!”

คนที่ดูหมิ่นพ่อครัวย่อมเป็นศัตรูนาง! เพราะสำหรับหลินไต้อวี้ คนที่เก่งที่สุดในโลกคือพ่อครัว ลำดับถัดมาคือครอบครัวชาวนาและอาชีพฆ่าสัตว์ ส่วนคนที่ต่ำต้อยด้อยค่าที่สุดคือลูกเศรษฐีไร้ค่าที่ทำอะไรไม่เป็นเช่นจย่าเป่าอวี้!

“เจ้า!” จย่าเป่าอวี้ถลึงตาใส่นางจนนัยน์ตาแทบฉีกขาด

“ข้าไม่ได้พูดผิดนะ ผู้ใดใช้ให้ท่านไม่รู้จักเรียนหนังสือจนไม่รู้แม้แต่เรื่องทั่วไปเช่นนี้”

“ผู้ใดบอกว่าข้าไม่รู้” จย่าเป่าอวี้หน้าแดง

“ฮ่าๆ รู้ก็บอกว่ารู้ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ หรือถ้ารู้แต่รับไม่ได้ อย่างน้อยก็น่าจะมีความกล้ามากกว่านี้ เสียดายที่ท่านไม่มีเลยสักอย่าง”

“คัมภีร์หลุนอวี่คือตำราสอบรับราชการ เจ้าอย่ามาทำเป็นอวดเก่งต่อหน้าข้าหน่อยเลย”

“อ้อ ท่าทางจะรู้จริง แล้วอย่างไร ท่านลองถามตัวเองดูเถอะว่าท่านเคยทำอะไรที่ควรค่าให้ผู้อื่นยกย่องบ้างหรือไม่ และเมื่อใดท่านจะอาศัยกำลังของตัวเองทำมาหาเลี้ยงตนเองได้ ลูกเศรษฐีที่ทำอะไรไม่เป็นมีสิทธิ์อะไรไปหัวเราะเยาะผู้อื่น” หลินไต้อวี้ถามด้วยสีหน้าจริงจัง

จย่าเป่าอวี้ฉุดมือนาง “แม้ข้าไม่เคยทำอะไรที่ควรค่าให้ผู้อื่นยกย่อง แต่อย่างน้อยข้าก็ไม่อาจทนดูคนคุ้นเคยกันตายไปต่อหน้าต่อตา และอย่างน้อยข้าก็อยากปกป้องเจ้า!”

“แค่ท่านอยู่ให้ห่างจากข้าก็เท่ากับเป็นการปกป้องข้าอย่างดีที่สุดแล้ว”

“วันนี้มีคนมาปักธูปไหว้กันเยอะ แต่เมื่อตอนฟ้าสางข้าแอบไปเปิดดูโถเถ้ากระดูก พบว่าเถ้ากระดูกมีสีดำ”

“ท่านว่างมากเลยไปเปิดโถเถ้ากระดูกของพ่อข้า…เดี๋ยวนะ ท่านว่าอะไรนะ” ตอนแรกหลินไต้อวี้จะด่าเขาว่าเสียมารยาท แต่พอได้ยินประโยคสุดท้าย นางกลับนิ่งงันไปและต้องเอ่ยถาม “สีดำ?”

“ถึงไม่พูด เจ้าก็น่าจะรู้ว่ามันหมายความว่าอะไร พิธีศพจัดแบบแปลกๆ ทั้งที่รู้ว่าเจ้าอยู่ในระหว่างเดินทางกลับมาแต่กลับชิงเผาศพก่อน ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น” จย่าเป่าอวี้เห็นนางตะลึง ทำให้ความโกรธของเขาลดลงกว่าครึ่ง “ฉากร้องไห้ของเจ้าใช้ได้ผลกับคนคิดดี แต่กับคนคิดชั่ว ต่อให้ร้องไห้จนตาบอดก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าต้องคอยระวังและจับตามองทุกอย่าง กับครอบครัวสกุลจี้ก็ให้ระวังเอาไว้ด้วย”

“เป็นไปไม่ได้ ท่านอาจี้ไม่ใช่คนเช่นนั้น” หลินไต้อวี้กล่าวอย่างเด็ดขาดชัดเจน แต่ไม่ใช่เพราะความทรงจำในสมองอย่างเดียว หากนางมั่นใจในสายตาของตนเองอย่างมาก

“เช่นนั้นเจ้าบอกข้าหน่อยสิว่าถ้าจี้ไหวเป็นคนรอบคอบจริง ผู้ใดจะวางยาพิษบิดาเจ้าใต้หนังตาเขาได้” เรื่องทั้งหมดนี้ไม่ว่าจะมองในด้านใดก็ล้วนไม่สมเหตุสมผล ทำให้จย่าเป่าอวี้ต้องมองครอบครัวสกุลจี้เป็นผู้ต้องสงสัยเอาไว้ก่อน

“เรื่องนี้จะต้องมีบางอย่างที่ข้ายังไม่รู้ แต่ข้าจะสะสางเอง” หลินไต้อวี้ลดเสียงลง นึกชมในความละเอียดรอบคอบและการไปเปิดโถเถ้ากระดูกอย่างใจกล้าของจย่าเป่าอวี้

“เจ้าจะทำอะไรได้ เจ้าเพิ่งจะอายุเท่าไร หากคนในบ้านลุกฮือกันขึ้นมา พวกเขายังจะเห็นเจ้าเป็นคุณหนูอีกหรือ”

“มีพี่จี้อยู่ด้วย เขาต้องช่วยข้าแน่” หลินไต้อวี้มั่นใจอย่างยิ่ง และเชื่อมั่นในสัญชาตญาณที่ไม่เคยผิดพลาดของตน

จย่าเป่าอวี้คำรามเสียงต่ำอย่างหงุดหงิด “พี่จี้ๆ เจ้านึกว่าเขาเป็นเพชรจริงหรือ ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเขาเป็นมุสิกอสรพิษในรังเดียวกันหรือไม่ เจ้ายังจะทำตัวหน้าโง่ลดตัวลงไปอยากแต่งงานกับเขาอีก!”

“ใช่ ข้าอยากแต่งงานกับเขา”

“เจ้า! ข้าไม่อนุญาต เจ้าเป็นของข้า!” กล่าวจบจย่าเป่าอวี้ก็รวบตัวหลินไต้อวี้เข้ามากอด ดูเอาเถอะ นางตัวเล็กผอมบางเพียงแค่นี้ หากไม่มีใครคอยดูแลอยู่ข้างกายก็น่ากลัวว่านางคงถูกพวกบ่าวเล่นงานจนตายแน่ แล้วจะให้เขาวางใจได้อย่างไร

หลินไต้อวี้รู้สึกเจ็บจมูกที่ไปชนเข้ากับแผ่นอกที่นางไม่รู้ว่ามันผอมเกินไปหรือมีกล้ามเนื้อที่มองไม่เห็น แต่ที่แน่ๆ คือมันเจ็บเจียนตาย ซ้ำยังดิ้นไม่หลุด ทำให้นางถูกกินเต้าหู้ ไปเปล่าๆ ชนิดไม่อาจไปร้องเรียนกับผู้ใดได้

“ข้าว่านะคุณชายรองเป่า พูดกันจริงๆ คือที่ท่านสนใจข้าเพราะข้าคร้านที่จะสนใจท่าน หากข้าพูดคุยกับท่านให้มากหน่อย ท่านคงรู้สึกว่าข้าไม่น่าสนใจ เพราะฉะนั้นท่านกลับบ้านไปเถอะ” พูดกันเสียให้หมดเปลือก ต่อไปต่างฝ่ายจะได้ไม่ต้องทนทุกข์กันอีก

“เจ้าพูดพล่ามอะไร! เจ้านึกว่าข้าคิดกับเจ้า…” สุดท้ายฟันขาวๆ ของเขาต้องงับลงมาเพื่อมิให้ตนเองพูดต่อ

“หรือว่าไม่ใช่ ท่านเห็นจย่าหวนดีต่อข้าก็แสดงอาการไม่พอใจ แต่ความจริงคือท่านคิดว่าทุกคนบนโลกควรศิโรราบต่อท่าน ทว่าข้าไม่ใช่ เพราะฉะนั้นท่านจึงอยากปราบพยศข้า”

เอาเถอะ จย่าเป่าอวี้อายุยังน้อยอาจจะยังไม่เข้าใจ นางก็จะช่วยเตือนให้ด้วยเจตนาดีเพื่อปลดปล่อยจิตมารในตัวเขา ให้ทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบ “เห็นแก่ที่ท่านดีต่อข้า เรามาเป็นสหายกันดีกว่า ท่านคิดว่าเป็นอย่างไร”

จย่าเป่าอวี้กัดฟันกรอดๆ เนิ่นนานกว่าที่เขาจะระงับเพลิงโทสะที่เจียนระเบิดเอาไว้ได้ “ผู้ใดอยากได้กัน!” กล่าวจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อจากไปพร้อมปิดประตูตามหลังดังปัง

หลินไต้อวี้ยักไหล่อย่างอ่อนใจ “ไม้ผุมิอาจใช้แกะสลัก” นางทำเต็มที่แล้วจริงๆ

 

ในเมื่อจย่าเป่าอวี้ยืนกรานไม่ยอมจากไป หลินไต้อวี้ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากปล่อยให้เขาเป็นผู้ถือธงนำวิญญาณตอนเคลื่อนย้ายป้ายวิญญาณและให้เขาห่มผ้าป่านเพื่อแสดงความกตัญญูตามนางเดินทางไปที่เมืองซูโจว ให้จี้เฟิ่งปาอยู่ดูแลบ้านและที่ดินกับฉินเข่อชิง

ทั้งขาไปและขากลับใช้เวลาร่วมสองเดือนกว่า แม้จย่าเป่าอวี้จะย่ำยีใบหน้าดอกท้อด้วยการแสดงสีหน้าเย็นชาเมินเฉยต่อทุกคนที่เข้าหา ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาทอนเสน่ห์ลงอย่างมาก ทว่าหลินไต้อวี้กลับไม่ใส่ใจและมองว่าเขากำลังทำตัวเป็นเด็กๆ เพราะถ้าจะบอกว่าลูกเศรษฐีอันดับหนึ่งอย่างจย่าเป่าอวี้ไม่มีนิสัยเสียทำนองนี้เลย นางก็ไม่เชื่อเหมือนกัน

แต่สิ่งที่หลินไต้อวี้ไม่ชอบมากที่สุดคือการที่มีคนมาเล่นแง่ ทั้งยังเล่นกันอย่างยาวนาน ทว่านางก็ไม่เหลือบแลสนใจ

“คุณหนู”

“หืม?” หลินไต้อวี้หันไปมองจี้ไหวอย่างล้าๆ

พวกเขาเพิ่งกลับมาถึงบ้าน ถ้าหากทำได้หลินไต้อวี้อยากทิ้งตัวลงนอนบนเตียงยาวๆ แม้ตลอดการเดินทางจะมีการพักเท้าตามโรงเตี๊ยมบ้าง แต่การประกาศสถานภาพของตนเองไม่เป็นผลดีต่อการเดินทางระยะไกลจึงต้องใช้เรือและรถม้าเป็นระยะ

“เรื่องของนายท่านเรียบร้อยหมดแล้ว ข้ากำลังคิดว่าคุณหนูจะตามคุณชายรองเป่ากลับไปที่คฤหาสน์สกุลจย่าหรือไม่” จี้ไหวถามอย่างไม่มั่นใจ

หลินไต้อวี้กะพริบตาแล้วพลันนึกถึงคำเตือนของจย่าเป่าอวี้ ทว่ามองอย่างไรนางก็ไม่เห็นว่าท่านอาจี้จะเป็นผู้วางยาพิษสังหารบิดาของนาง แต่พอเขาถามถึงเรื่องนี้…นี่จะรีบไล่นางออกจากบ้านหรือ

“คุณหนู?”

หลินไต้อวี้นั่งลงบนตั่งผ้าแพร ตามองจ้องรองเท้าปักลายดอกไม้ที่เปื้อนฝุ่นของตนเองอยู่นานก่อนเอ่ย “ท่านอาจี้ ผู้ใดเป็นผู้วางยาพิษสังหารท่านพ่อของข้า”

จี้ไหวตะลึง เขาหลุบตาลงเหมือนไม่รู้สึกแปลกใจเพราะรู้เรื่องทุกอย่างดี เพียงแต่มันเป็นเรื่องยากที่จะบอกเล่าให้คุณหนูฟังและคิดว่าจะปล่อยให้เรื่องนี้คลุมเครือต่อไป ทว่าคุณหนูกลับสังเกตเห็น

“ท่านอาจี้ เลือกเล่ามาเฉพาะที่ท่านเล่าได้เถอะ”

จี้ไหวช้อนสายตาขึ้นมองนางแล้วยิ้มให้นางอย่างอารี “คุณหนูไปอยู่คฤหาสน์สกุลจย่าสี่ปี ดูจะเปลี่ยนไปมาก”

“แน่สิ ข้าโตแล้วนี่นา” ดีเหลือเกิน สายตาของนางยังคงดีอยู่ เพราะแววตาของท่านอาจี้ไม่มีแววโหดร้ายเหี้ยมเกรียม

“นายท่านถูกคนในวงการเดียวกันลงมือ ความจริงเรื่องทั้งหมดกำลังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ ที่ต้องรีบเผาศพเพราะไม่อยากให้คุณหนูต้องมาเห็นสภาพผิดปกติของนายท่าน”

“จริงหรือ” ฟังดูสมเหตุสมผล เมื่อบิดานางเป็นเจ้าของผลประโยชน์ต่างๆ มานาน การที่มีคนในวงการเดียวกันริษยาย่อมมีความเป็นไปได้ “แล้วเหตุใดท่านอาจี้จึงถามข้าว่าจะกลับไปคฤหาสน์สกุลจย่ากับคุณชายรองเป่าหรือไม่”

“ตอนคุณชายรองเป่ามาถึงบ้านใหม่ๆ ได้บอกเรื่องที่นายหญิงผู้เฒ่าจัดการเรื่องแต่งงานของพวกท่านสองคนให้รู้แล้ว”

หลินไต้อวี้ปิดเปลือกตาลงอย่างพูดไม่ออก คนผู้นั้นรีบประกาศเรื่องของพวกเขาสองคนตั้งแต่มาถึงคฤหาสน์สกุลหลินเลยหรือ “ท่านอาจี้ไม่ต้องไปสนใจเขา เรื่องนี้ใช่ว่าพวกเขาสั่งอย่างไรก็ต้องได้ตามนั้น”

“แต่ถ้านายหญิงผู้เฒ่าอนุญาตแล้วไม่ยอมทำตาม…”

“ท่านอาจี้ ท่านพ่อข้าเพิ่งจากไป ข้าตั้งใจไว้ทุกข์สามปี และอีกสามปีให้หลังข้าตั้งใจจะแต่งงานกับพี่จี้” หลังกล่าวจบหลินไต้อวี้สาบานได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นดวงตาเรียวรีของจี้ไหวเบิกโตเท่านี้ ทำให้นางพลอยตกใจไปด้วย

“ไม่ได้ขอรับ!” จี้ไหวตะโกนจนคอเกือบแตก

ต้องตกใจกันถึงเพียงนี้เชียวหรือ ท่านอาจี้? ทำเอาหนอนนิทราของนางตกใจจนเผ่นหนีไปหมดแล้ว

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 24 ก.ค. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

Jamsai Editor: