บทที่สอง
เทือกเขาหุบปีศาจที่อยู่ทางตะวันตกของจงหยวน มีลักษณะภูมิประเทศสูงต่ำขรุขระเต็มไปด้วยอันตราย แต่กลับซุกซ่อนแดนสุขาวดีในโลกมนุษย์ไว้แห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนี้มีชื่อเรียกว่า ‘หุบเขาหมื่นบุปผา’ และอูมู่ฉินก็คือประมุขของหุบเขาหมื่นบุปผา
ในหุบเขาหมื่นบุปผามีสี่ฤดูที่แบ่งแยกกันอย่างชัดเจน ฤดูใบไม้ผลิดารดาษไปด้วยบุปผานานาพรรณ ฤดูร้อนปุยเมฆบางเบา ฤดูใบไม้ร่วงอาบย้อมไปด้วยใบเฟิงแดง ฤดูหนาวทุกแห่งถูกแต่งแต้มด้วยสีเงินยวง มีดินฟ้าอากาศที่พิเศษไม่เหมือนที่ใดและได้รับการปกป้องโดยธรรมชาติจากลักษณะทำเลที่ตั้ง ทำให้ที่นี่อยู่ห่างไกลจากเรื่องราวโลกภายนอก
ประชากรในหุบเขาที่อาศัยอยู่ที่นี่ต่างมีความถนัดของตน ทำในสิ่งที่ตนอยากทำ เรียนรู้ในสิ่งที่ตนรัก ไม่ถูกผูกมัดด้วยพิธีรีตองและประเพณีนิยม ใช้ชีวิตอย่างสง่างามตามอำเภอใจของตน
ปฐมาจารย์ของหุบเขาหมื่นบุปผาตอนก่อตั้งสำนักได้กำหนดกฎระเบียบไว้ข้อหนึ่ง ผู้เข้ารับตำแหน่งประมุขหุบเขาจะต้องเป็นสตรีที่งามหยาดเยิ้มล่มบ้านล่มเมือง ส่วนวรยุทธ์นั้นไม่จำเป็นต้องดีมาก วรยุทธ์สูงส่งก็มอบให้ผู้คุมกฎทั้งสี่ เสือดาว จิ้งจอก งู อินทรีไปตั้งอกตั้งใจฝึกฝนก็พอแล้ว
ตอนอูมู่ฉินอายุห้าขวบก็ถูกอาจารย์ผู้เป็นประมุขหุบเขาคัดเลือกออกมา เริ่มรับการอบรมสั่งสอนในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งประมุข ที่เรียกว่าอบรมสั่งสอนก็คือให้นางไปเล่นสนุกอยู่ในเทือกเขาหุบปีศาจที่สูงชะโงกเงื้อมและเต็มไปด้วยอันตราย
ทุกวันนางจะเที่ยวกระโดดโลดเต้นอยู่ในป่าเขาราววานรตัวหนึ่ง ปีนป่ายและห้อยโหน ฝูงวานรกลายเป็นสหายที่ดีของนาง ฝูงสุนัขป่ามีไมตรีจิตมิตรภาพต่อนางมาก พยัคฆ์และเสือดาวภายใต้การให้อาหารและเลี้ยงดูของนางก็หดกรงเล็บให้กับนาง กลายเป็นสัตว์เลี้ยงที่คอยประจบออดอ้อน
นางพาสหายคนอื่นๆ ที่ร่วมฝึกฝนด้วยกันเล่นจากยอดเขาลูกนี้ไปถึงหุบเหวด้านโน้น เล่นจากลำธารสายนี้ไปถึงน้ำตกสายโน้น เล่นสนุกกระทั่งนางอายุแปดขวบ วันหนึ่งอาจารย์ก็เรียกนางเข้ามาในห้อง
“ป่าเขาในละแวกใกล้เคียงเจ้าคุ้นเคยหมดแล้วหรือ” อาจารย์ถาม
อูมู่ฉินพยักหน้าแรงๆ ตอบด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ “คุ้นเคยดีเจ้าค่ะ” อย่าว่าแต่คุ้นเคย แม้แต่สัตว์ป่าที่มองดูแล้วรูปร่างหน้าตาเหมือนกันหมด นางยังแยกแยะได้ว่าตัวใดเป็นตัวใด
“ดีมาก ตอนนี้เจ้าไปเลือกคนมาสี่คน พรุ่งนี้ให้พวกเขาลงจากเขาไปเที่ยวเล่นกับเจ้า”
ดวงตาคู่งามของอูมู่ฉินเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้นดีใจ ในที่สุดนางก็สามารถเลือกผู้คุ้มกฎของตนได้แล้ว ที่อาจารย์ให้นางร่วมกิน นอน เล่นกับเหล่าสหาย นอกจากเพื่อบ่มเพาะความเข้าใจรู้ใจกันแล้ว ยังเพื่อให้นางได้เรียนรู้ที่จะแยกแยะข้อดีข้อเสียของสหายแต่ละคน รวมทั้งเข้าใจถึงอุปนิสัยของพวกเขา และนางก็มีคนที่อยู่ในใจอยู่แล้ว จึงรีบไปหาสหายสี่คน พามาอยู่เบื้องหน้าอาจารย์
อาจารย์ถาม “ตอนนี้เจ้าพูดซิ เพราะอะไรจึงเลือกสี่คนนี้”
อูมู่ฉินเริ่มวิเคราะห์ เนื่องจากนางเล่นอยู่ในป่าเขามาสามปีแล้ว จำนวนครั้งที่เจอสัตว์ป่ากินคน แมลงพิษ หรืองูพิษในป่าจึงไม่น้อย นอกจากอาศัยปฏิภาณไหวพริบของนางเองแล้ว ก็ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากสหายในการหลบหลีกจากอันตราย ถ้านางจะหาคนลงจากเขาไปด้วยกัน ไม่เพียงต้องหาคนที่เฉลียวฉลาดพึ่งพาได้ ยังต้องมีความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อนาง คิดเพื่อนางในทุกเรื่อง อีกทั้งคู่ควรแก่การเชื่อถือไว้วางใจ
อาจารย์ผงกศีรษะด้วยความพอใจ บอกนางพรุ่งนี้ลงจากเขาได้ ให้นางไปเตรียมตัว กำหนดเวลาไว้หนึ่งปี ครั้นแล้วอูมู่ฉินก็พาสหายสี่คนไปจัดเก็บสัมภาระ วันถัดมาทุกคนก็หอบหิ้วสัมภาระลงจากเขาไปผจญภัยด้วยความตื่นเต้นฮึกเหิม
หนึ่งปีให้หลัง อูมู่ฉินเก้าขวบแล้ว ได้กลับมาถึงหุบเขาหมื่นบุปผาเข้าคารวะอาจารย์
“สนุกหรือไม่” อาจารย์ถาม
“สนุกก็สนุกอยู่เจ้าค่ะ แต่คนที่ด้านล่างภูเขาเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อนมาก” คนตัวน้อยทำปากยื่น ดูเหมือนจะได้รับความไม่เป็นธรรมมาไม่น้อย
อาจารย์เลิกคิ้ว ถามด้วยความสนอกสนใจ “พวกเขาเจ้าเล่ห์อย่างไรหรือ”
ตอนอยู่ด้านล่างภูเขาอูมู่ฉินได้รับความแค้นใจไม่น้อย ครั้นแล้วก็เริ่มระบายความคับแค้นใจให้อาจารย์ฟัง บ่นว่าไม่หยุดปาก นางบอกคนที่ด้านล่างภูเขาคำพูดกับการกระทำไม่เหมือนกัน พูดอย่างหนึ่งทำอีกอย่างหนึ่ง ละโมบโลภมาก ทำร้ายผู้อื่น โกหกหลอกลวงผู้อื่นต่างๆ นานา นางพูดจนนางหิว ตอนไปกินข้าวก็พูด หลังจากกินอิ่มแล้วก็ยังพูด พูดจนเหนื่อยแล้วอยากนอน แม้แต่ตอนละเมอก็ยังบ่นว่า นอนอิ่มแล้วตื่นขึ้นมาก็ยังพูดต่อ
พูดต่อเนื่องกันอยู่ห้าวันถึงได้หมดเรื่องที่นางต้องการจะบ่น
ตั้งแต่ต้นจนจบอาจารย์ก็รับฟังนางอย่างมีน้ำอดน้ำทน ทั้งไม่ขัดจังหวะ ปล่อยให้นางพูดจนหมดไส้หมดพุง อาจารย์เพียงยิ้มแล้วฟังนางเงียบๆ
“พูดหมดแล้ว?”
“อืม พูดหมดแล้ว” อูมู่ฉินสีหน้าเต็มไปด้วยความอัดอั้นตันใจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม รออาจารย์มาโอบกอดนางอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน ปลอบโยนนาง บอกนางว่าลำบากแล้ว ทว่าอาจารย์กลับโยนคำพูดมาให้นางประโยคหนึ่ง
“นั่นเป็นเพราะเจ้าโง่เขลา ไม่มีประสบการณ์”
อูมู่ฉินตะลึงงัน
“สัตว์ป่าบนเขามีที่กินคน เป็นพิษต่อคน มีที่ดุร้าย แสนเชื่อง เจ้าเล่ห์ รวมทั้งโหดเหี้ยม คนที่ด้านล่างภูเขาก็เช่นกัน มีคนดี คนเลว คนเจ้าเล่ห์ คนจิตใจดี เจ้าไม่เคยบ่นว่าจิ้งจอกปลิ้นปล้อน เพราะเจ้ารู้มันคือจิ้งจอก นั่นเป็นสัญชาตญาณโดยธรรมชาติ เจ้ารู้จักหลบหลีกงูพิษ เพราะเจ้ารู้ว่ามันมีพิษ นั่นเป็นอาวุธของมัน ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงไม่เคยบ่นว่าสัตว์ป่า เพราะเหตุใดพอเปลี่ยนเป็นคนที่ด้านล่างภูเขา เจ้าก็บ่นว่าไปหมด ไม่ว่าอะไรก็ไม่รู้จักไม่เข้าใจแล้ว”
อูมู่ฉินถูกดุว่าจนสีหน้างงงัน อาจารย์ไม่เพียงไม่ปลอบโยนนาง ยังเริ่มยกความผิดนางขึ้นมากล่าวเป็นข้อๆ
“เพราะเจ้าโง่เขลา ดังนั้นเจ้าจึงมองไม่ออก เจ้าไม่มีประสบการณ์ ดังนั้นจึงได้รับความไม่เป็นธรรม ถ้าเจ้าเฉลียวฉลาดแล้ว มีประสบการณ์แล้ว พวกเขาก็ไม่มีทางทำร้ายเจ้าได้ เจ้าเสียใจ แสดงว่าหัวใจของเจ้าไม่แข็งแกร่งพอ ถ้าคนโง่เขลา รูปร่างหน้าตาสวยงามจะมีประโยชน์อันใด ก็ได้แต่ให้คนหลอกใช้ หรือไม่ก็ไปเป็นชิ้นเนื้อต้องห้าม ของบุรุษ”
อาจารย์พูดสั่งสอนไม่หยุด ทำให้นางฟังจนปากอ้าตาค้าง ทึ่มทื่อไปเลย
“อาจารย์ อะไรคือชิ้นเนื้อต้องห้าม” นางเพิ่งจะเก้าขวบ คำศัพท์ที่ลึกซึ้งเข้าใจยากเกินไปนางไม่เข้าใจ แต่สัญชาตญาณบอกว่าศัพท์คำนี้สำคัญมาก
อาจารย์มุมปากกระตุกไหว ยื่นมือมาหยิกแก้มนาง “อาจารย์พูดกับเจ้าตั้งมากมาย เจ้ากลับสนใจเพียงชิ้นเนื้อต้องห้ามคำนี้!”
“อาจารย์อย่าหยิกหน้า ข้าเจ็บ” นางทำท่าน่าสงสาร ใช้ดวงตาบริสุทธิ์น่ารักดั่งลูกกวางน้อยมองอาจารย์
“ฮึ อย่ามาทำเป็นน่าสงสาร สตรีที่กลายเป็นสมบัติส่วนตัวพวกนั้นจึงจะน่าสงสารอย่างแท้จริง”
อาจารย์ปล่อยแก้มนุ่มนิ่มน้อยๆ ของนาง แล้วเริ่มยกความผิดนางขึ้นมากล่าวเป็นข้อๆ ต่อไม่หยุด การยกความผิดขึ้นมากล่าวนี้ไม่ใช่จะยุติได้ในเวลาอันสั้น นางบ่นว่ากับอาจารย์มาห้าวัน ก็ต้องแบกรับการ ‘ตอบแทน’ จากอาจารย์ห้าวัน
หลังจากอูมู่ฉินถูกตำหนิจนอ่อนเปลี้ยมาห้าวัน ก็รู้สึกมึนงงสมองบวมโต ในหูมีเสียงหึ่งๆ พอเห็นอาจารย์ตั้งท่าจะเปิดปาก นางก็ประสาทตึงเครียดไปหมด
“อย่างไร กลัวถูกอาจารย์ตำหนิ?”
นางหดคอ พยักหน้าหงึกหงัก กลัวอาจารย์จะบ่นนางอีก นางไม่เคยถูกอาจารย์ตำหนินานเพียงนี้มาก่อน เรียกได้ว่าโหดร้ายต่อจิตใจอย่างยิ่ง
“ตอนนี้เจ้าเข้าใจถึงความน่ากลัวของคำพูดแล้วกระมัง ตอนนั้นเจ้าบ่นว่ากับอาจารย์อยู่ห้าวัน อาจารย์แม้แต่หัวคิ้วยังไม่ได้ขยับเข้าหากันแม้แต่น้อย เจ้าต้องจำไว้ คำพูดแม้จะไร้รูป กลับทำร้ายคนได้อย่างไม่เห็นร่องรอย บ่นว่ามากแล้วก็จะกลายเป็นผีขี้บ่น เจ้าต้องฟังมากดูมากทำมากพูดให้น้อย คนที่มีประสบการณ์มีภาระหน้าที่ต้องรับผิดชอบจะไม่เสียแรงไปกับการบ่นว่า ประสบการณ์เจ้ายังไม่พอ ลงจากเขาไปฝึกฝนเพิ่มเติม!”
ครั้นแล้วอาจารย์ก็เตะนางลงจากเขาไปอีก หากมองไม่ออกไม่เข้าใจถึงจิตใจคนที่น่าหวาดกลัวและอันตราย เช่นนั้นก็ฝึกไปจนกว่าจะมองออก ได้รับความไม่เป็นธรรมแล้วรู้สึกเสียใจ เช่นนั้นก็ฝึกไปจนกว่าจะไม่กลัวความเสียใจ ด้วยเหตุนี้อูมู่ฉินจึงพาผู้คุมกฎน้อยสี่คนลงจากเขาไปหาประสบการณ์อีกครั้ง
ภายใต้การฝึกฝนหล่อหลอมของอาจารย์ อูมู่ฉินฝึกฝนจนอายุสิบห้าเข้าพิธีปักปิ่น อาจารย์จึงได้มอบตำแหน่งประมุขหุบเขาให้นางอย่างเป็นทางการ และผู้คุมกฎน้อยทั้งสี่ที่ลงจากเขาด้วยกันในตอนนั้นก็เติบใหญ่เป็นหนุ่มสาวรูปงามแล้ว วรยุทธ์ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นอีกขั้น และได้เข้าสืบทอดตำแหน่งผู้คุมกฎทั้งสี่อย่างเป็นทางการ
หลังจากนางขึ้นสืบทอดตำแหน่ง อาจารย์ก็บอกว่าในที่สุดตนก็สามารถปลดภาระหนักลงไปหาชายในดวงใจ เป็นเพื่อนเขาไปท่องเที่ยวทั่วทุกสารทิศได้แล้ว
“อาจารย์ ศิษย์เพิ่งอายุสิบห้า ท่านก็ไม่อยู่สั่งสอนแล้วหรือ ทิ้งศิษย์ที่อายุยังน้อย ไปเที่ยวเอ้อระเหยอย่างมีความสุขกับชายในดวงใจ ท่านไม่รู้สึกผิดต่อมโนธรรมบ้างหรือ” อูมู่ฉินอาลัยอาวรณ์อาจารย์ เห็นว่าอาจารย์ทอดทิ้งนาง
อาจารย์กลับหัวเราะอย่างเปี่ยมเสน่ห์ชวนลุ่มหลง ไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย “ดีชั่วอาจารย์ก็อยู่เป็นเพื่อนเจ้ามาสิบห้าปี นี่นับว่าเพียงพอแล้ว ความสาวของสตรีสั้นนัก อาจารย์จะมอบสิบห้าปีถัดไปให้กับชายที่รัก”
“อาจารย์ วรยุทธ์ที่สืบทอดจากปฐมาจารย์ที่เราฝึกจะทำให้รูปโฉมภายนอกไม่แก่เฒ่า ท่านกำลังหลอกข้า”
“รู้ว่าอาจารย์หลอกเจ้า แล้วยังไม่รู้จักดูทิศทางลมแสร้งทำเป็นโง่งม”
“อาจารย์ ท่านเห็นบุรุษดีกว่าศิษย์”
“คำพูดไร้สาระกล่าวให้น้อยหน่อย ตำแหน่งประมุขหุบเขาเป็นของเจ้าแล้ว ถ้าเจ้าไม่พอใจ ก็ไปเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งสักคนมาฝึกฝน หรือไม่ เจ้าก็ให้กำเนิดผู้สืบทอดออกมาสักคนก็ได้”
“อาจารย์ เป็นอาจารย์หนึ่งวัน เป็นมารดาชั่วชีวิต…” ในเมื่อใช้เหตุผลเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ ก็ได้แต่ใช้อารมณ์ความรู้สึกมาสร้างความหวั่นไหว นัยน์ตางามจนบรรยายไม่ถูกคู่นั้นมีหยาดน้ำตาเม็ดโตผุดขึ้นมาสองหยดทันที
“อย่ามาใช้วิธีนี้ อาจารย์ของเจ้ามีความตั้งใจที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ไม่ถูกน้ำตาแค่สองหยดเท่านี้ทำให้สั่นคลอนได้ง่ายดาย เช่นนี้อย่าเหนื่อยเลย อาจารย์ไปแล้ว เจ้าดูแลตนเองให้ดี”
หลังจากสะกิดปลายเท้าด้วยวิชาตัวเบา เรือนร่างสง่างามพลันโผนทะยานออกไปดุจเทพเซียน ชั่วพริบตาเดียวก็หายลับไปในป่าเขา อาจารย์ผู้เลอโฉมซึ่งกลายเป็นอดีตประมุขหุบเขาไปแล้วได้ทอดทิ้งลูกศิษย์ไปหาชายคนรัก มุ่งไปสู่อนาคตอันสวยงามของการเป็นคู่รักที่ไม่ว่าผู้ใดต่างก็อิจฉา
อูมู่ฉินเหม่อมองป่าเขากว้างใหญ่ไพศาลไม่เห็นจุดสิ้นสุด ใบหน้าเปียกชุ่ม นางร้องไห้ออกมาจริงๆ แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ลิ้มรสการพลัดพรากแยกจาก
“อาจารย์…” นางร่ำไห้ร้องเรียกอยู่กลางป่าเขา ในหุบเขาเต็มไปด้วยเสียงก้องสะท้อนของนาง
“ฉินเอ๋อร์ เข้มแข็งหน่อย แยกจากกันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต มีแยกจากจึงจะมีพบเจอ ดุจดั่งฤดูกาลทั้งสี่ที่หมุนเวียนเปลี่ยนไป ฤดูใบไม้ผลิจากไปฤดูใบไม้ร่วงย่างกรายมาถึง มีเกิดมีตาย อาจารย์มีเวลาว่างจะกลับมาเยี่ยมเจ้า อวยพรให้อาจารย์เถิด…”
การถ่ายทอดเสียงพันลี้ของอาจารย์นุ่มนวลละมุนละไมดุจสายลมในฤดูใบไม้ผลิโลมลูบกิ่งหลิว โลมไล้หัวใจของนาง
หยดน้ำตาที่นางหลั่งออกมาถูกสายลมพัดกระจาย จางหายไปในอากาศ ดุจเดียวกับเงาร่างของอาจารย์ที่ค่อยๆ หายลับไปท่ามกลางท้องฟ้าและพื้นปฐพี หาไม่พบร่องรอย แต่คำพูดสุดท้ายก่อนจากไปของอาจารย์กลับยังคงอยู่ในใจของนาง
อาจารย์แม้จะจากไปแล้วก็ยังไม่ลืมสั่งสอนนาง ให้นางได้ลิ้มรสชาติของการแยกจาก ฝึกฝนหล่อหลอมจิตใจนางให้เข้มแข็ง
นางเข้าใจ อาจารย์ต้องการให้นางเห็นการพลัดพรากแยกจากเป็นเรื่องธรรมดา ยกขึ้นได้วางลงได้ นางยืนอยู่ที่ริมเขาเป็นเวลาเนิ่นนาน ปลอบประโลมความโศกเศร้าในใจตน หลังจากกลับคืนสู่ความสงบดังเดิม มุมปากก็มีรอยยิ้มผุดขึ้น นางเป็นประมุขคนใหม่ของหุบเขาหมื่นบุปผา นับแต่นี้ไปมีเรื่องให้ยุ่งมากมายแล้ว
หลังจากเป็นประมุขหุบเขาได้หนึ่งปี ยามนี้อูมู่ฉินก็อายุสิบหกแล้ว ไม่เพียงรูปร่างสูงขึ้น เส้นโค้งเส้นเว้าบนร่างกายก็มีความเป็นอิสตรีมากขึ้น อุปนิสัยก็สุขุมมากขึ้น มีผู้คุมกฎทั้งสี่และผู้อาวุโสทั้งหลายคอยให้ความช่วยเหลือ ทำให้นางดำรงตำแหน่งได้อย่างราบรื่น มีแต่ความสงบสุข ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล
ทุกวันอูมู่ฉินจะใช้เวลาไปกับการอ่านบันทึกเรื่องราวความรักระหว่างชายหญิงและรับฟังเรื่องราวการทะเลาะเบาะแว้งในยุทธภพที่ผู้คุมกฎอินทรีรวบรวมมา แต่ระยะนี้มีสามเรื่องที่กระตุ้นความสนอกสนใจของนางอย่างมาก
เรื่องแรก ฮ่องเต้ผู้สูงวัยประชวรอยู่บนแท่นบรรทม
เรื่องที่สอง ไป่หลี่ซีองค์รัชทายาทหายตัวไป
เรื่องที่สาม แม่ทัพซือถูที่อยู่เฝ้ารักษาชายแดนถูกค้นเจอหลักฐานสมคบกับข้าศึกทรยศบ้านเมืองและถูกจับขังคุก
สามเรื่องนี้เกิดขึ้นติดๆ กัน ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชสำนักทั้งหมด เดิมท้องฟ้าอยู่สูง ฮ่องเต้อยู่ไกล ใต้หล้าสับสนวุ่นวายก็เห็นกันจนชินชาไม่ใช่เรื่องแปลก เรื่องการแย่งชิงอำนาจผลประโยชน์ที่น่าเบื่อพวกนี้หุบเขาหมื่นบุปผาแต่ไรมาก็เห็นเป็นเพียงเรื่องซุบซิบยามว่างช่วงดื่มน้ำชาหลังอาหาร ทว่าเรื่องที่แม่ทัพซือถูถูกจับขังคุก กลับก่อกวนความสงบสุขในหุบเขาหมื่นบุปผาไม่น้อย
“แม่ทัพซือถูถูกใส่ความ!” อูหวั่นเซียง ผู้คุมกฎอินทรีที่รับหน้าที่รวบรวมข่าวในยุทธภพตบโต๊ะด้วยความเดือดดาล เพลิงโทสะทำให้สองแก้มนางแดงฉาน เพิ่มความงามเพริศพริ้งยิ่งขึ้น
“ระวังมือของเจ้า อย่าออกแรงมากเกินไป” อูมู่ฉินเตือนด้วยความปวดใจ
“มือของข้าไม่เป็นไร!” อูหวั่นเซียงพูดด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น
“ข้ารู้มือของเจ้าไม่เป็นไร แต่โต๊ะของข้าเป็น นี่เป็นโต๊ะไม้มะเกลือที่นายช่างเจียงเพิ่งทำเสร็จเมื่อวาน สวยงามยิ่ง”
นายช่างเจียงเป็นช่างไม้ผู้หนึ่ง ของที่เขาทำล้วนประณีตงดงาม ทั้งเป็นผู้มีความสามารถด้านการแกะสลัก โต๊ะไม้มะเกลือตัวนี้แกะลายดอกไม้และนกได้ราวกับมีชีวิต อูมู่ฉินเห็นแล้วชอบ ลูบไล้ไม่วางมือ
อูหวั่นเซียงกล่าวอย่างไม่พอใจ “ท่านประมุขได้ฟังข้าพูดหรือไม่ แม่ทัพซือถูถูกใส่ความ!”
“ข้ากำลังฟัง ข้าฟังอยู่ ข้าเชื่อเจ้า ไม่ต้องตื่นตระหนก”
“ข้าจะไม่ตื่นตระหนกได้อย่างไร เขาถูกจับขังคุก ไม่รอไต่สวนอีกครั้งก็ตัดสินโทษ พรุ่งนี้จะคุมตัวไปเมืองหลวง ตัดศีรษะต่อหน้าราษฎรแล้ว!” อูหวั่นเซียงกำหมัด จะตบโต๊ะอีกแต่ถูกประมุขถลึงตาใส่ ทำได้เพียงเปลี่ยนไปตบเสาไม้ที่อยู่ข้างๆ แทน ทำให้เสาไม้ยุบลงไปทันที
อูมู่ฉินตวัดตามองเสาไม้แวบหนึ่ง แล้วหยิบถั่วลันเตามาแกะกิน ถั่วลันเตาในช่วงนี้เมล็ดอวบอิ่มรสชาติดี ปกตินางกินมันเป็นของกินเล่น
ไม่แปลกที่ศิษย์พี่อูหวั่นเซียงจะเดือดดาลเช่นนั้น เพราะนางชอบแม่ทัพซือถูผู้เปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขามและน่าเลื่อมใสผู้นั้น
ทุกครั้งเวลาศิษย์พี่รวบรวมข่าวสาร ขอเพียงเป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่ทัพซือถู ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดเขาสร้างความดีความชอบในการทำศึก หรือเล็กขนาดเขากินข้าวไปแล้วกี่ชาม ไปห้องปลดทุกข์มากี่ครั้ง ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ศิษย์พี่ล้วนไม่ปล่อยผ่าน กระทั่งบรรพบุรุษแปดชั่วคนของเขาก็ตรวจสอบมาทั้งหมด
เมื่อใดที่ท่านฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของคนผู้หนึ่งมาอย่างละเอียดจนพูดได้ชัดเจน ก็ย่อมมองออกถึงลักษณะนิสัยของคนผู้นั้น เขาทำเรื่องอะไร ไม่ทำเรื่องอะไร มีหลักการอะไร ไม่แตะต้องสิ่งต้องห้ามอันใด ล้วนคาดเดาออกมาได้
บอกซือถูหรานสมคบข้าศึกทรยศต่อบ้านเมือง ก็ไม่ต่างอะไรกับบอกว่าดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก เหลือเชื่อเกินไป แม่ทัพซือถูเป็นบุรุษที่อาจหาญ ทว่าเวลานี้ถูกใส่ความ จะไม่ให้อูหวั่นเซียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้เมื่อนางเพิ่งจะได้รับข่าวก็รีบวิ่งมาตบโต๊ะกับท่านประมุขทันที
“ท่านประมุข คนดีอายุไม่ยืนยาว ตัวหายนะอยู่นานนับพันปี เราไม่อาจปล่อยให้เขาตาย จะทำให้หัวใจของคนในใต้หล้าต้องเจ็บปวดด้วยความผิดหวัง”
“ทำให้หัวใจของเจ้าต้องเจ็บปวดด้วยความผิดหวังกระมัง” อูมู่ฉินล้อนาง
อูหวั่นเซียงหน้าไม่แดงลมหายใจไม่สับสนยกปลายคางขึ้นยอมรับ “ไม่ผิด เขาเข้าคุก ข้าเสียใจ ข้าจะต้องช่วยเขา!”
ผู้คุมกฎอีกสามคนบ้างก็ส่ายหน้ามองค้อน บ้างก็แอบหัวเราะรอชม บ้างก็แสดงท่าทีอย่างไรก็ได้ อูมู่ฉินคิดไปคิดมา ศิษย์พี่พูดถูก ซือถูหรานผู้นี้ไม่สมควรตาย และนางในฐานะประมุขหุบเขาก็ไม่ควรว่างมากเช่นนี้ ครานี้มีเรื่องมาให้นางได้ทำพอดี
ครั้นแล้วอูมู่ฉินก็สั่งการผู้คุมกฎจิ้งจอก “ไปเชิญผู้อาวุโสทั้งหลายมาปรึกษาหารือกัน”
“ได้เลย มีเรื่องให้ทำแล้ว” ผู้คุมกฎจิ้งจอกยิ้มแล้วลุกขึ้นมา ตอนเดินผ่านผู้คุมกฎอินทรีก็ตบๆ บ่านาง แล้วไปหาผู้อาวุโสทั้งหลายด้วยท่าทางเบิกบานใจ
อูมู่ฉินกับสี่ผู้คุมกฎรวมทั้งผู้อาวุโสทั้งหลายประชุมลับกันอยู่หนึ่งวัน ร่างแผนการชิงตัวนักโทษออกมา
แผนชิงตัวนักโทษครั้งนี้เป็นผลงานชิ้นแรกที่อูมู่ฉินจะทำตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งประมุขมา แต่นางไม่ใช่ประมุขหุบเขาคนแรกที่ทำเรื่องแบบนี้ นับแต่ปฐมาจารย์ก่อตั้งสำนักหุบเขาหมื่นบุปผา ประมุขแต่ละยุคในอดีตมากน้อยล้วนเคยปล้นคุกชิงตัวนักโทษกันมาแล้ว เพียงเพราะโลกนี้ไม่เคยขาดแคลนคดีที่ต้องโทษอย่างไม่เป็นธรรม
ในหุบเขาหมื่นบุปผามีช่างหยกที่ถูกกดขี่ประทุษร้าย มีนักกวีที่เปี่ยมไปด้วยความปราดเปรื่องแต่กลับต้องระเหเร่ร่อนอยู่ตามถนน มีหญิงปักผ้าที่ถูกข่มเหงและกดขี่ ยังมีนักวาดภาพ ช่างตีเหล็ก หมอตำแย ที่ปรึกษาการทหาร ช่างแกะสลัก หมอ เป็นต้น บุคคลที่มีความสามารถในทุกสาขาอาชีพที่พึงมีก็มีครบ ขอเพียงประมุขหุบเขาเห็นว่าคนผู้นั้นไม่สมควรตาย ก็จะนำพากองกำลังจำนวนมากปิดหน้าปลอมแปลงโฉม ลงจากเขาไปชิงตัวคน
วันนี้อูมู่ฉินพากำลังคนมาดักซุ่มอยู่ละแวกใกล้เคียงเนินสยบวิญญาณ สิบปีก่อน ที่นี่เดิมเป็นสุสานที่ฝังศพรวมกันแห่งหนึ่ง เนื่องจากมีกลิ่นอายความเยียบเย็นน่าสะพรึงกลัวมากเกินไป และมีคำเล่าลือว่าถูกผีหลอกกันอย่างมากมาย ขุนนางท้องถิ่นได้เชิญนักพรตฝีมือเลิศล้ำท่านหนึ่งมาทำพิธีร่ายอาคมและตั้งป้ายศิลาแผ่นหนึ่งที่บนเนิน ป้ายศิลาแผ่นนี้สลักตัวอักษรใหญ่ไว้สามคำ ‘เนินสยบวิญญาณ’ นับแต่นั้นที่แห่งนี้จึงมีชื่อว่าเนินสยบวิญญาณตามป้าย
“เจ้าแน่ใจว่าพวกเขาจะต้องผ่านมาทางนี้?”
“พวกเขาแยกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งไปทางน้ำอย่างเปิดเผย อีกกลุ่มหนึ่งลอบมาทางบกอย่างลับๆ เพราะพวกเขากลัวว่าระหว่างทางจะมีคนมาชิงตัวนักโทษ ดังนั้นจึงให้ซือถูตัวปลอมไปทางน้ำ แต่พวกเขาหลอกข้าไม่ได้ ข้าอูหวั่นเซียงมีตาวิเศษที่มองทะลุแม้แต่ปัญหาเล็กน้อย ซือถูหรานตัวจริงถูกพวกเขาคุมตัวมาทางถนนสายนี้”
ผู้คุมกฎเสือดาวถามผู้คุมกฎอินทรีด้วยความอยากรู้ “เจ้าแยกแยะซือถูหรานตัวจริงกับตัวปลอมได้อย่างไร”
“ข้าวางหนอนพิษคล้องใจไว้ในตัวเขา ต่อให้เขากลายเป็นเถ้าถ่านข้าก็จำได้”
อูมู่ฉินฟังแล้วเบิกตากว้าง ผู้คุมกฎงูหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ผู้คุมกฎเสือดาวทำตาปะหลับปะเหลือก ผู้คุมกฎจิ้งจอกกลับยกนิ้วหัวแม่มือให้นาง
อูหวั่นเซียงผู้คุมกฎอินทรีเป็นชนเผ่าเหมียว ชาวเหมียวเชี่ยวชาญการใช้หนอนพิษ หนอนพิษคล้องใจเป็นหนอนพิษฝาแฝดสองตัว เอาหนอนพิษตัวหนึ่งใส่ไว้ในตัวเป้าหมาย อีกตัวหนึ่งไว้ที่ตัวผู้ใช้หนอนพิษ หนอนพิษฝาแฝดสามารถสัมผัสรับรู้ถึงกันและกันได้ การเคลื่อนไหวของคนที่ถูกใส่หนอนพิษไว้ในตัวจะไม่มีวันหนีพ้นจากคนที่ใช้หนอนพิษไปได้ นั่นก็หมายความว่าคนที่ใช้หนอนพิษสามารถตามติดอีกฝ่ายดุจดวงวิญญาณที่ไม่แตกสลาย สุดหล้าฟ้าเขียวก็หาตัวเขาพบ
ผู้คุมกฎจิ้งจอกถามด้วยความอยากรู้ “เจ้าลากเขาขึ้นเตียงไปแล้ว?”
อูหวั่นเซียงสีหน้าขรึมเย็น “กำลังจะลงมือ คนก็ถูกจับเสียก่อน ช้าไปก้าวหนึ่ง!”
วุ่นวายกันมาเป็นนาน ที่อูหวั่นเซียงแค้นใจก็คือเรื่องนี้เอง เนื้อหอมหวานที่กำลังจะเข้าปากถูกชิงไปแล้ว นี่ต่างหากที่เป็นสาเหตุให้นางคลุ้มคลั่ง
อูหวั่นเซียงเป็นคนใจกล้าบ้าบิ่น รักแรงเกลียดแรง บุรุษในหุบเขาที่หลงใหลในตัวนางมีมากมาย แต่อูหวั่นเซียงไม่พึงใจแม้แต่คนเดียว ส่วนผู้คุมกฎเสือดาวกับผู้คุมกฎงูแม้จะเป็นบุรุษรูปงามไร้ผู้เทียมทาน แต่สำหรับอูหวั่นเซียงแล้ว นางกับพวกเขาสนิทสนมกันจนไม่ต่างอะไรกับพี่น้อง มีเพียงซือถูหรานที่หลั่งเลือดสู้รบในสมรภูมิ อาบโลหิตสังหารศัตรูจึงจะถูกใจนาง
อูมู่ฉินเผยสีหน้าว่าเข้าใจ พลางตบอกเอ่ยขึ้น “วางใจเถิด ข้าจะช่วยเจ้าชิงชิ้นเนื้อต้องห้ามกลับคืนมา”
‘ชิ้นเนื้อต้องห้าม’ คำนี้นางรู้จักตอนอายุเก้าขวบโดยอาจารย์ของตน
ผู้คุมกฎเสือดาวถามด้วยสีหน้าเรียบขรึม “ท่านประมุข นี่เรามาช่วยคน หรือผลักคนลงขุมไฟนรกกันแน่”
ผู้คุมกฎงูยิ้มชั่วร้าย “นี่เรียกว่าโชคดีได้ใจหญิงงาม ไม่เพียงช่วยชีวิตน้อยๆ ของตนไว้ได้ ยังได้โอบกอดหญิงงามอีกด้วย”
ผู้คุมกฎจิ้งจอกยิ่งยั่วเย้า “เป็นการช่วยคน และได้ตัวคน ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว”
ทุกคนหัวเราะจนไหล่สั่น คาดเดาว่าเมื่อถึงเวลานั้นหากมิใช่ลมตะวันออกดับลมตะวันตก ก็ย่อมต้องเป็นลมตะวันตกพัดดับลมตะวันออก แม้สิ่งที่กำลังรอพวกเขาอยู่คือการเข่นฆ่าสังหารที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต พวกเขาก็ยังคงพูดคุยกระเซ้าเย้าแหย่กันอย่างไม่สะทกสะท้านไร้ข้อห้ามใดๆ เพราะตั้งแต่เด็กพวกเขาก็เป็นเช่นนี้
เวลานี้ผู้สอดแนมที่ส่งตัวไปได้กลับมาแล้ว
“เรียนท่านประมุข ขบวนนำส่งตัวนักโทษปรากฏขึ้นแล้วขอรับ”
อูมู่ฉินเก็บสีหน้าล้อเล่น เปลี่ยนเป็นท่าทางเคร่งขรึมน่าเกรงขามของผู้เป็นประมุข ในดวงตาคู่งามเปล่งประกายเจิดจ้าด้วยความเบิกบานใจเพราะได้ออกมาล่าสัตว์ คนอื่นๆ ก็ถูไม้ถูมือไม่ต่างจากนาง รอคอยด้วยดวงตาที่เปล่งประกายแวววาว
ตีขุนนางสุนัข ชิงตัวผู้ถูกกลั่นแกล้ง ภารกิจนี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก!
อูมู่ฉินมองไปข้างหน้า กองกำลังขบวนหนึ่งค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น มุมปากนางหยักโค้งเป็นรอยยิ้มงดงาม ชูมือขึ้น แล้วโบกลงเป็นสัญญาณให้บุกเข้าโจมตี ฉับพลันนั้นกำลังคนที่ดักซุ่มอยู่ทุกทิศทางก็บุกเข้าหาเป้าหมายด้วยความรวดเร็วดุจพยัคฆ์ เสือดาว และสุนัขป่า
ภารกิจในการช่วยคนเปิดฉากอย่างเป็นทางการแล้ว
บุรุษท่าทางหยาบกระด้างแต่งกายแบบคนหาฟืนผู้หนึ่งกำลังเดินไปตามเส้นทางบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คนเช่นปกติ เขาแบกลูกธนูและคันศรไว้บนหลัง มือหิ้วสัตว์ป่าที่ล่ามาได้ สวมเสื้อสีเทาผ้าเนื้อหยาบมีรอยปะ เท้าสวมรองเท้าหญ้าเก่าๆ ที่เต็มไปด้วยดินโคลน ผิวตากแดดจนคล้ำเกรียม ไว้หนวดเคราเต็มหน้า
ไม่ว่าผู้ใดเมื่อเห็นเขาก็จะรู้สึกว่าเขาเป็นคนหยาบกระด้าง ไม่มีทางเอาเขาไปคิดโยงกับรัชทายาทองค์ปัจจุบันไป่หลี่ซีที่รูปโฉมงดงามสุภาพเรียบร้อย
เขาก็คือองค์รัชทายาทที่หายตัวไปเมื่อครึ่งเดือนก่อน ฐานะในเวลานี้คือหม่าเฉวียน อายุสิบแปดปี ไร้บิดามารดา อาศัยอยู่ในกระท่อมมุงหญ้าคาที่ฝั่งตะวันตกของหมู่บ้านเซ่อจิ่งตามลำพัง มีที่นาเช่าทำอยู่แปลงหนึ่ง ปกติทุกวันก็จะไปทำไร่ไถนา บางครั้งบางคราวก็ไปล่าสัตว์มาขายแลกเงิน นิสัยซื่อๆ รักสันโดษ เป็นคนไม่ค่อยพูด
บนใบหน้าที่หล่อเหลามากพอให้หญิงสาวเทใจให้ยามนี้ถูกหนวดเคราปิดคลุมไว้หมดสิ้น ในสายตาของคนในหมู่บ้าน เขาเป็นคนแปลกประหลาด เพราะเขาอาศัยอยู่ข้างสุสาน ที่นั่นบรรยากาศค่อนข้างเยียบเย็นน่าสะพรึงกลัว ปกติคนในหมู่บ้านไม่กรายใกล้ แต่สำหรับไป่หลี่ซีแล้วกลับเป็นสิ่งที่เขาต้องการพอดี
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าหม่าเฉวียนผู้นี้ไป่หลี่ซีเป็นคนสร้างขึ้นมา โดยให้ลูกน้องของเขาเป็นตัวแสดง อาศัยอยู่ในหมู่บ้านมาเป็นเวลาห้าปีแล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อแผนการใหญ่ในวันนี้ เขาจะได้เข้ามาสวมบทบาทนี้อย่างราบรื่น อำพรางร่องรอย ไม่ให้ผู้ใดรู้ว่าเขาอยู่ที่ใด
เขาเป็นพระโอรสของฮองเฮาองค์ก่อนซึ่งสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ส่วนโต้วฮองเฮาองค์ปัจจุบันเป็นฮองเฮาองค์ต่อมา โต้วซื่อ สมคบกับพระประยูรญาติสร้างอิทธิพล ลอบแก่งแย่งช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทกับเขาอย่างลับๆ มานาน ฮ่องเต้ชราประชวรหนัก ยิ่งทำให้การแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทเปิดเผยชัดเจนมากขึ้น ทั้งสองฝ่ายเจ้าไปข้ามา ต่อสู้กันอย่างดุเดือด
เพื่อแผนการนี้ไป่หลี่ซีเตรียมการมาหลายปี การหายตัวไปเป็นเพียงการเริ่มต้นดำเนินการตามแผนเท่านั้น
เขามาถึงข้างผนังหินผาแห่งหนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่ารอบด้านไม่มีคน เงาร่างก็พลันพุ่งถลันไปอย่างรวดเร็ว ผลุบเข้าไปในถ้ำที่ซ่อนเร้นอยู่ถ้ำหนึ่ง ในนั้นมีคนรอเขาอยู่ก่อนแล้ว
พอเห็นเขา หยวนเจี๋ยก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งทันที “รัชทายาท”
“ช่วยคนมาได้หรือไม่”
“คนช่วยได้แล้ว แต่ไม่ใช่คนของเราเป็นคนช่วย”
“อะไรนะ” ลูกตาดำสนิทคมกริบคู่นั้นของไป่หลี่ซีพลันนิ่งขรึมราวหุบเหวลึก อานุภาพกดข่มคุกคามคนแผ่คลุมออกมาทั่วร่าง หยวนเจี๋ยหวั่นหวาดจนร้องแย่แล้วอยู่ในใจ ยิ่งก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม
“เรื่องเป็นมาอย่างไร เล่ามาให้ละเอียด”
หยวนเจี๋ยเล่าเรื่องที่ซือถูหรานถูกคนลึกลับกลุ่มหนึ่งชิงตัวไปอย่างละเอียด แม่ทัพซือถูเป็นคนของรัชทายาท พวกเขารับคำสั่งจากรัชทายาทให้ดักซุ่มอยู่ข้างทาง วางแผนจะชิงตัวคนมา ผู้ใดเลยจะคาดคิดว่ามีคนมือไม้ว่องไวยิ่งกว่าพวกเขา ชิงตัวคนตรงเนินสยบวิญญาณได้แล้วหนีไป
“คนกลุ่มนี้ลึกลับซับซ้อน แนวทางวรยุทธ์แปลกประหลาด ทั้งปิดหน้ากันทุกคน ตรวจไม่พบว่าเป็นคนกลุ่มไหน แต่ผู้น้อยแน่ใจพวกเขาไม่ใช่คนของฮองเฮา เพราะยามต่อสู้พวกเขาหาได้ยั้งมือไว้ไมตรี สังหารอย่างเหี้ยมโหดยิ่ง”
ไป่หลี่ซีสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่ยังคงเงียบขรึม ซือถูหรานเป็นแม่ทัพคนสำคัญในแผนการของเขา ขาดซือถูหรานไป แผนการของเขาย่อมมีโอกาสผิดพลาดสูงขึ้น
“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป สืบหาต่อไป ต้องเอาตัวซือถูหรานกลับมาให้ได้”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หยวนเจี๋ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลังจากทูลลาองค์รัชทายาท เงาร่างก็โผนทะยาน หายลับไปในป่า
ไป่หลี่ซีคว้าสัตว์ที่ล่ามาได้เดินออกจากปากถ้ำ เหลียวซ้ายแลขวา เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนจึงเดินไปยังทิศทางที่จะกลับกระท่อม เวลานี้ท้องฟ้ามืดแล้ว แต่เส้นทางนี้เขาเดินจนชำนาญ ต่อให้หลับตาก็เดินถูก
พอเดินเข้ามาในลานบ้าน เขาก็พบสิ่งผิดปกติทันที…มีคนบุกรุกเข้ามาในบ้าน นัยน์ตาทั้งสองของเขาหรี่ลงเล็กน้อย มีประกายจิตสังหารผุดขึ้น เขาวางสัตว์ที่ล่ามาได้ลง ลอบโคจรพลังลมปราณและก้าวช้าๆ เข้าไปในบ้าน
หลังเปิดประตูเข้าไป เขากวาดตามองไปทั่วๆ รอบหนึ่งก็อดตะลึงงันไปไม่ได้ บนโต๊ะมีเปลือกผลไม้ทิ้งอยู่ ทั้งยังมีเสียงหายใจสม่ำเสมอดังมาจากในห้องนอน คนผู้นี้ไม่ได้ปิดบังเสียงแม้แต่น้อย ถ้าเป็นคนร้าย เป็นไปไม่ได้ที่จะทิ้งร่องรอยไว้มากมายเช่นนี้
เขาเดินเข้าไปในห้องนอนอย่างไร้สุ้มเสียง พบว่าบนเตียงมีหญิงสาวผู้หนึ่งนอนอยู่ เขาย่นหัวคิ้ว อาศัยแสงจันทร์เพ่งพินิจดู เป็นแม่นางน้อยเยาว์วัยผู้หนึ่ง เพียงแต่ทั่วร่างนางสกปรกมอมแมม ดวงหน้าน้อยก็ดำเลอะเทอะ กำลังนอนหงายกางแข้งกางขาหลับสบายอยู่บนเตียงของเขา
ประสาทสัมผัสทั้งหกของเขาสัมผัสไม่ได้ถึงกลิ่นอายอื่นใดที่น่าสงสัย มีเพียงกลิ่นอายของนาง แสดงว่าในบ้านนอกจากนางแล้วไม่มีผู้อื่น
เขาสลายจิตสังหารลง ขมวดหัวคิ้วมองนาง ก่อนจะใช้มือผลักหัวไหล่ของนาง
“นี่ ตื่น!”
อูมู่ฉินถูกรบกวนการนอน นางลืมตาขึ้นมาช้าๆ เห็นใบหน้าหยาบกระด้างของบุรุษกำลังเขม้นตามองอยู่ ก็ไม่ตื่นตระหนกหวาดกลัว ยังคงนอนอยู่เช่นนั้น
“พี่หม่าเฉวียน” เสียงของนางเหนื่อยหน่ายเจือความง่วงงุน หนังตาเพียงลืมขึ้นมาครึ่งเดียว
ไป่หลี่ซีวางหน้าขรึม “เจ้าเป็นผู้ใด ข้าไม่รู้จักเจ้า”
“ข้าชื่อมู่เอ๋อร์ หนีมาตั้งหลายวัน เหนื่อยยิ่งนัก ท่านให้ข้านอนสักประเดี๋ยว ฟ้าสว่างแล้วก็จะไป…” ช่วงท้ายไม่มีเสียงแล้ว ดูท่าทางจะหลับไปอีกแล้ว
ไป่หลี่ซีขยับหัวคิ้วเข้าหากันอีกครั้ง หนี? เขาจ้องมองนาง แม้จะรู้สึกไม่พอใจหญิงสาวที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาผู้นี้ แต่เขาก็ไม่ได้ปลุกนางอีก
เขาซุกซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านเซ่อจิ่ง นอกจากคนสนิทไม่กี่คนแล้วก็ไม่มีผู้ใดรู้ หญิงสาวผู้นี้ดูไม่เหมือนคนร้าย แต่เขาก็ไม่กล้าเชื่อง่ายๆ ว่านางเป็นหญิงสาวที่ประสบภัย แม้นางจะดูซอมซ่อยิ่ง แต่เขาที่แต่ไรมารอบคอบระมัดระวังยังคงไม่กล้าประมาทเลินเล่อ
ไม่ว่านางจะน่าสงสัยหรือไม่ เขาตัดสินใจคอยเฝ้าจับตาดูการเปลี่ยนแปลงเงียบๆ ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าเขาพบสิ่งใดน่าสงสัย เขาก็สังหารนางได้ทันที แต่ถ้าเป็นหญิงสาวที่ประสบภัยมาจริง เขาก็ไม่อยากให้นางกลายเป็นวิญญาณอาฆาตผูกพยาบาท
เขายืนมองนางต่ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไปเงียบๆ สละเตียงให้กับนาง
เช้าวันรุ่งขึ้นอูมู่ฉินถูกเสียงผ่าฟืนที่ด้านนอกทำให้ตกใจตื่น นางลุกพรวดพราดขึ้นมานั่ง เบิกตากว้างมองห้องที่โกโรโกโสและอึ้งตะลึงไปชั่วขณะ หลังจากนั้นจึงนึกได้ว่าตนมาอยู่ที่กระท่อมมุงหญ้าคาหลังนี้ได้อย่างไร
พวกนางแม้จะช่วยซือถูหรานมาได้โดยราบรื่น แต่คิดไม่ถึงว่าระหว่างทางจะมีตันไหวชิงโผล่ออกมาอีกคน
พูดถึงตันไหวชิง คนผู้นี้คือยอดฝีมือนามกระเดื่องในยุทธภพ ฝ่ามือสยบมังกรของบ้านสกุลตันเป็นที่รู้จักทั่วยุทธภพ ตันไหวชิงที่อายุเพียงสิบเก้าปีเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าเป็นผู้มีฝีมือไม่ธรรมดา และเป็นผู้สืบทอดฝ่ามือสยบมังกร
ขุนนางทหารที่ควบคุมนำส่งตัวซือถูหรานล้วนไม่ใช่ขุนนางทหารธรรมดา แต่เป็นยอดฝีมือของราชสำนักปลอมตัวมา เพื่อจะช่วยซือถูหราน ผู้คุมกฎทั้งสี่ได้เข้าต่อกรกับยอดฝีมือของราชสำนักเหล่านี้ ซึ่งก็พอรับมือได้ แต่จู่ๆ ก็มีตันไหวชิงเพิ่มมาอีกคน จึงรุนแรงขึ้นมาทันที
ทั้งสองคนประมือกันเป็นครั้งแรก อูมู่ฉินก็พบว่าคนแซ่ตันฉลาดเฉียบแหลมยิ่ง รับมือไม่ง่าย
ดังคำกล่าวที่ว่าจับโจรต้องจับหัวหน้าก่อน ตันไหวชิงไม่ไปชิงตัวซือถูหราน แต่พุ่งเป้าหมายมาที่นาง ผู้ใดก็ไม่จับ จะจับแต่เพียงนาง เห็นได้ชัดว่าเขามองออกว่านางเป็นผู้นำ
เพื่อให้ผู้คุมกฎทั้งสี่คอยคุ้มกันซือถูหราน สิ่งที่ทำมาทั้งหมดจะได้ไม่สูญเปล่า นางจึงหลอกล่อตันไหวชิงออกไป นางหนีไปตลอดทาง แม้นางจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน
นางเติบโตอยู่ในหุบเขาตั้งแต่เล็ก เชี่ยวชาญการใช้สภาพทำเลของป่าเขาในการหลบซ่อนตัว ตันไหวชิงแม้จะมีวรยุทธ์สูง แต่นางมีข้อได้เปรียบของตน หลังจากซ่อนตัวอยู่ในเขตภูเขาไม่ดื่มไม่กินไม่นอนมาหลายวัน นางก็ลอบเข้ามาในกระท่อมหลังนี้ กินผลไม้แก้หิวอย่างไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น ถึงที่สุดกำลังกายก็ทานไม่ไหว ล้มตัวลงได้ก็หลับไปทันที
หลังจากหลับไปตื่นหนึ่ง กำลังวังชาก็กลับคืนมาดังเดิม นางลงจากเตียงเดินออกมานอกห้อง ก่อนจะไปตามเสียงผ่าฟืน พอเห็นอ่างน้ำก็ตรงรี่เข้าไปตักน้ำมาดื่ม
น้ำในอ่างน้ำเย็นชื่นใจยิ่ง นางตักดื่มไปห้าชามถึงดับกระหายได้ จากนั้นก็เดินไปทางลานด้านหลัง เห็นบุรุษผู้หนึ่งกำลังผ่าฟืนอยู่ที่นั่น
นางรู้คนผู้นี้ชื่อหม่าเฉวียน และนางก็หาได้บุกเข้ามาในบ้านของเขาส่งเดช หากแต่จงใจเลือกเขา
หม่าเฉวียนไปไหนมาไหนตามลำพัง ในบ้านมีเขาเพียงคนเดียว ปกติก็อาศัยอยู่ในกระท่อมมุงหญ้าคาที่ข้างสุสาน ไม่ไปมาหาสู่กับคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน เป็นคนนิ่งขรึมพูดน้อย ดังนั้นนางจึงไม่ต้องกลัวว่าเขาจะแพร่งพรายร่องรอยของตนออกไป
เมื่อวานแม้เขาจะปลุกนางตื่นขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไล่นางไป น่าจะเป็นคนที่คบค้าได้ นางมองเนื้อตัวที่สกปรกมอมแมมของตน สภาพเหมือนคนไม่มีบ้านให้กลับอย่างยิ่ง ครั้นแล้วก็ปั้นหน้าเคร่งขรึม เดินออกไปอย่างระแวดระวัง
“พี่ชาย” นางเรียกขึ้นเบาๆ
เพียงเห็นหม่าเฉวียนหยุดงานที่กำลังทำอยู่ หันหน้ามามองนาง และในที่สุดนางก็เห็นรูปร่างหน้าตาของบุรุษผู้นี้ได้ชัดเจนแล้ว…
ฮ่าๆ ไม่ผิดจากที่คนในหมู่บ้านบรรยายไว้ คล้ายหมีดำตัวหนึ่ง
( ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 เม.ย 62 )
Comments
comments