X
    Categories: everYทดลองอ่านพันสารท

พันสารท ตอนพิเศษ #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ตอนพิเศษ 1

 

ในชีวิตของเขา แต่ไรมาไม่มีคำว่าเสียใจภายหลัง

ตอนที่ออกจากบ้านสกุลเซี่ยปีนั้น

เขาเปลี่ยนชื่อให้ตัวเองว่า ‘อู๋ซือ’ (ไร้อาจารย์)

ต่อมาการต่อสู้กับชุยโหยววั่งก็เช่นนี้

ฟ้าดินกว้างใหญ่ ไร้ประมุข ไร้บิดา ไร้อาจารย์

ฟ้าดินกว้างใหญ่ ไม่เคยมีผู้ใดฝากร่องรอยไว้ในใจเขาได้

เสิ่นเฉียวเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

แรกพบเสิ่นเฉียว สำหรับเยี่ยนอู๋ซือแล้ว อีกฝ่ายก็เป็นเพียงศิษย์ที่ภาคภูมิใจของ ‘ฉีเฟิ่งเก๋อ’ เท่านั้น

ความเสียดายจากการประมือกับฉีเฟิ่งเก๋อในปีนั้น อาจทวงคืนมาจากตัวเสิ่นเฉียวได้

แต่ไม่นานเขาก็พบว่าตนเองคิดผิดแล้ว

คนตาบอดเช่นนี้ อีกทั้งวรยุทธ์แทบสูญสิ้น แม้ว่าโยนไปบนถนน คนอื่นก็คงไม่ให้เหรียญทองแดงแม้แต่เหรียญเดียว

เจ้าสำนักเขาเสวียนตูในวันวานจบสิ้นแล้ว

เยี่ยนอู๋ซือกำลังหัวเราะอย่างเย็นชา ในใจมีความหมายเชิงชั่วร้าย

ฉีเฟิ่งเก๋อวีรบุรุษแห่งยุค สายตาในการเลือกศิษย์กลับไม่เท่าไหร่โดยแท้จริง

ในเมื่อมิอาจเห็นเป็นคู่ต่อสู้ เช่นนั้นก็ได้แต่เห็นเป็นของเล่นแล้ว

เจ้าสำนักที่มือถือสาก ปากถือศีลผู้หนึ่ง หากสองมือนั้นเต็มไปด้วยโลหิตสดของผู้บริสุทธิ์แล้ว เขายังจะรักษาความสูงส่งบริสุทธิ์แต่เดิมได้หรือไม่

คงไม่ได้เป็นแน่

เป็นเพียงความสนุกที่สามารถล่วงรู้จุดจบได้เท่านั้น เยี่ยนอู๋ซือคิดเช่นนี้

จากนั้นพลันบังเกิดความเบื่อหน่าย

แต่เขาคิดไม่ถึงว่าตนเองก็มีช่วงเวลาที่ผิดคาดเช่นกัน

คนตาบอดผู้นั้นกลับยืนหยัดครั้งแล้วครั้งเล่า

ต้องเผชิญหน้ากับการหักหลังของศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก เยี่ยนอู๋ซือมองดูสีหน้าของฝ่ายตรงข้าม เกือบคิดว่าเขาจะร้องไห้ออกมา

แต่เสิ่นเฉียวกลับมิได้ร้อง

“คนทั่วหล้าล้วนบอกว่าเจ้าเป็นคนผิด คนที่เจ้าใกล้ชิดที่สุดล้วนหักหลังเจ้า เจ้าไม่รู้สึกสิ้นหวังหรือ” เขาถามเสิ่นเฉียว

คนตาบอดผู้นั้นมิได้ตอบ เขาหันหน้าไปประจันกับฝนตกปรอยๆ นอกหน้าต่าง ดอกไม้เหี่ยวสั่นไหวท่ามกลางสายฝน

แต่เยี่ยนอู๋ซือรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามมองไม่เห็นเลย

“เบื้องหน้ามิอาจก้าว เบื้องหลังมิอาจถอย เพลงฉู่สี่ทิศ เช่นนี้ มิสู้ตายเสียให้สิ้นเรื่อง” เยี่ยนอู๋ซือกล่าวเบาๆ ขณะมองไปยังคนตาบอด “เจ้าว่าถูกหรือไม่”

“ไม่ถูก” คนตาบอดถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง ในเสียงนี้กลับแฝงความโศกเศร้าเอาไว้ “ผิดแล้วก็ยังแก้ไขได้ แต่ข้าไม่มีทางยอมตาย คงต้องทำให้ประมุขเยี่ยนผิดหวังแล้ว”

อย่างนั้นหรือ เยี่ยนอู๋ซือแค่นหัวเราะ

นั่นเป็นเพราะเจ้ายังไม่ถึงทางตันที่แท้จริง

การต่อสู้กับชุยโหยววั่งในปีนั้น กระบี่ไท่หวาของเยี่ยนอู๋ซือถูกฝ่ายตรงข้ามชิงไป หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยนำกลับคืน

หลังชุยโหยววั่งตาย กระบี่ไท่หวาจึงตกอยู่ในมือซางอิ่งสิงศิษย์ของเขา

แต่พลังยุทธ์ของเยี่ยนอู๋ซือบุกเบิกเส้นทางใหม่นานแล้ว สำหรับเขากระบี่ไท่หวาจะมีหรือไม่มีก็ได้

ทว่าซางอิ่งสิงหารู้ไม่ เพียงคิดว่าสำหรับเยี่ยนอู๋ซือแล้วการสูญเสียกระบี่คือความอัปยศอดสู จึงฝากคนส่งข่าวโดยเฉพาะ บอกว่าจะใช้กระบี่ไท่หวาแลกเปลี่ยนกับคัมภีร์สุริยัน

เยี่ยนอู๋ซือย่อมไม่มีทางทำเช่นนี้ แต่เขาผุดความคิดที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าอย่างหนึ่ง นั่นคือใช้เสิ่นเฉียว…เจ้าสำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้าในวันวานมาแลกเปลี่ยน

สำหรับเสิ่นเฉียวแล้ว เรื่องนี้มิเพียงเป็นอันตรายถึงขีดสุด แต่ยังเป็นความอัปยศถึงขีดสุดอีกด้วย เนื่องเพราะเป็นถึงเจ้าสำนักเขาเสวียนตู กลับยังมิสู้กระบี่ไท่หวาเล่มหนึ่งที่จะมีหรือไม่มีก็ได้

นิ้วมือของเยี่ยนอู๋ซือลดลงจากบนหน้าผากของเสิ่นเฉียว ลูบไล้ปลายคางของเขาเบาๆ

สีผิวขาวซีดนั้นเห็นได้ชัดว่าเจ็บป่วย ลำคอเรียวยาวดูบอบบางยิ่งคล้ายบีบเบาๆ ก็หักได้ แต่คนที่อยู่ภายใต้รูปลักษณ์เช่นนี้กลับมีความหยิ่งทะนงอันเด็ดเดี่ยว

เขาเข้าใจซางอิ่งสิง รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะทำอะไรกับเสิ่นเฉียวบ้าง

แล้วเสิ่นเฉียวเล่า…เจ้าจะทำอย่างไร

นี่คือการเลือกที่น่าสนุกยิ่งนัก

ขณะเยี่ยนอู๋ซือเปิดประตูของอารามไป๋หลง เขาก็เริ่มครุ่นคิดถึงคำตอบของคำถามข้อนี้

เสิ่นเฉียว เจ้าจะเลือกยอมจำนน หรือว่ายอมเป็นหยกแหลกลาญ

ค่ำคืนแสงจันทร์ส่อง

เสิ่นเฉียวมองดูเยี่ยนอู๋ซือและซางอิ่งสิงที่ยืนอยู่ในที่ไม่ไกลอย่างเย็นชา

ที่จริงอาจหาได้เย็นชาไม่ เพียงแต่แสงจันทร์สาดสีเงินลงบนหน้าฝ่ายตรงข้าม ทำให้ทั้งใบหน้ามีความรู้สึกเย็นเยียบอยู่บ้าง

เมื่อมองดูสีหน้าสงบของเขา ก้นบึ้งหัวใจของเยี่ยนอู๋ซือพลันบังเกิดความเสียใจเสี้ยวหนึ่ง

แต่ความเสียใจจุดนี้หาได้พอที่จะทำให้เขาเปลี่ยนแปลงความคิดไม่

“เจ้าอ่อนแอเหลือเกิน อาเฉียว” เขาก้มตัวลง เกี่ยวเส้นผมที่ตกอยู่ข้างแก้มของฝ่ายตรงข้ามไปทัดหลังหูเบาๆ อ่อนโยนเหมือนต้นหลิวพลิ้วไหวในฤดูใบไม้ผลิ “คนที่อ่อนแอไม่มีทางกลายเป็นผู้เก่งกล้า ยิ่งไม่มีคุณสมบัติเป็นคู่ต่อสู้ของข้า”

เสิ่นเฉียวเพียงแค่มองดูเขา ไม่เอ่ยคำใด

“ข้าหวังว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่ต่อได้” เยี่ยนอู๋ซือหัวเราะเบาๆ หนึ่งครั้ง “เพียงแต่…ถ้าหากเจ้ากลายเป็นเสิ่นเฉียวที่เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย ฝืนประจบเอาใจผู้อื่นก็ไม่แตกต่างกับสามัญชน แม้กระทั่งจุดเด่นจุดสุดท้ายก็ไม่มีแล้วกระมัง?”

เขาโยนกระบี่ปฐพีร่วมโศกเข้าในอ้อมอกฝ่ายตรงข้าม ก่อนตบไหล่ของเสิ่นเฉียวเบาๆ “ขอให้เจ้าโชคดี”

จากนั้นก็ลุกขึ้นและจากไป

วิชาตัวเบาของเขาสามารถย่นระยะทางได้ แต่วันนี้เขาหาได้ใช้ไม่ กลับเดินจากไปทีละก้าว

ด้านหลังถ่ายทอดเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ซางอิ่งสิงหัวเราะใส่เสิ่นเฉียว แฝงความเยาะเย้ยและดูหมิ่นเข้มข้น

ส่วนเยี่ยนอู๋ซือ…มิได้หันหน้ามาอีก

ตอนพิเศษ 2

 

พลบค่ำ ลมหิมะประสาน ท้องฟ้ามืดสนิท

ผู้สัญจรต่างหลบเข้าไปในโรงน้ำชาริมทาง พวกเขาแทบอยากจะถอยไปข้างในอีกสักหน่อย เพื่อมิให้ผิวหนังสัมผัสกับลมหนาวเสียดกระดูก

มีเพียงคนผู้หนึ่งที่ยังคงนั่งอยู่ริมทางด้วยท่าทางสงบเยือกเย็น

เถ้าแก่โรงน้ำชาเดินเข้าไปเตือนเขาด้วยความหวังดี “นายท่านผู้นี้ ลมแรงหิมะตกหนักเช่นนี้ หลบสักหน่อยจะดีกว่า!”

คนผู้นั้นส่ายหน้า ถอนหายใจหนึ่งเฮือก “ข้ากลัวว่าเขามาแล้วจะมองไม่เห็นข้า”

เถ้าแก่กล่าวด้วยความประหลาดใจ “ผู้ใดกัน”

บุรุษปราดมองดูเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “คนในใจ”

ที่แท้เป็นพวกงมงายในรัก มิน่าเส้นผมใต้หมวกคลุมศีรษะล้วนกลายเป็นสีขาวหมดแล้ว ที่แท้ก็คิดถึงภรรยา

เถ้าแก่พลันบังเกิดความเห็นใจ หางตาของเขาเหลือบมอง พบว่าในถ้วยชาที่ฝ่ายตรงข้ามถืออยู่ท่ามกลางลมหิมะกลับยังมีไอร้อนพวยพุ่งออกมา

เถ้าแก่ตกตะลึงเล็กน้อย กอปรกับแยกไม่ออกชั่วขณะว่าน้ำในถ้วยนั้นเย็นจนจับตัวเป็นน้ำแข็งพ่นควัน หรือว่าอุณหภูมิน้ำยังคงร้อนอยู่

หากเป็นอย่างหลัง…

เขาอดมิได้ที่จะมองดูฝ่ายตรงข้ามอีกแวบหนึ่ง

ใบหน้าด้านข้างใต้หมวกคลุมศีรษะกลับหล่อเหลาเหนือความคาดหมาย หาใช่คนชราอย่างที่คิดไว้ก่อนหน้าไม่

ไม่รอเถ้าแก่ตอบสนองคำใด บนเส้นทางกำลังมีม้าตัวหนึ่งวิ่งทะยานมา จากไกลสู่ใกล้

ม้าหยุดลงด้านข้างโรงน้ำชา ผู้ขี่ถอดหมวกคลุมศีรษะออก ก่อนเดินเข้ามา

เป็นนักพรตผู้หนึ่ง

ซ้ำยังเป็นนักพรตที่สง่างาม งดงามหมดจดถึงขีดสุด

เถ้าแก่คิดในใจว่าดูท่านายท่านผู้นี้คงต้องผิดหวังแล้ว

ใครจะไปรู้ว่าบุรุษผู้นั้นกลับหัวเราะขึ้นมาด้วยท่าทางยินดีอย่างยิ่ง ซ้ำยังหยิบสุราป้านเล็กออกมาจากในอกเสื้อ กวักมือให้นักพรต

“อาเฉียวรีบมา สุรานี้ข้าใช้ร่างกายอุ่นจนพอดี ดื่มขับไล่ความหนาวสักอึกเถิด!”

เถ้าแก่ “…”

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: