X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเทพสมุนไพร

ทดลองอ่าน ยอดหญิงเทพสมุนไพร เล่ม 4 บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 5

 แม้แต่เหล่าไท่จวินที่ได้ฟังคำพูดนี้แล้วยังอดหนาวสะท้านไม่ได้ ความไร้มารยาทครั้งแล้วครั้งเล่าของหลี่เมิ่งซีบีบให้เหล่าไท่จวินที่สุขุมคลุ้มคลั่งแล้ว ดังนั้นจึงไม่สนใจว่าเซียวจวิ้นเพิ่งฟื้นจะลงทัณฑ์หลี่เมิ่งซีต่อหน้าทุกคนให้ได้ เมื่อครู่ตอนนายหญิงใหญ่พูดนางก็ไม่ได้ห้าม เดิมทีนางตั้งใจให้เป็นเช่นนี้เหมือนกัน หมายข่มความยโสของหลี่เมิ่งซีลงเสีย ยามนี้เห็นเซียวจวิ้นเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าวันนี้หากแตะต้องหลี่เมิ่งซีจริงๆ นางคงต้องสูญเสียหลานชายคนนี้ไปแน่

ตอนนี้เหล่าไท่จวินสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ตรึกตรองครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “จวิ้นเอ๋อร์อย่าเสียมารยาทกับมารดา ยังไม่ขอขมามารดาเจ้าอีกหรือ”

เหล่าไท่จวินพูดจบก็เห็นเซียวจวิ้นทำราวกับไม่ได้ยินยังคงนั่งดื้อรั้นอยู่ที่เดิม ร่างกายโงนเงนเล็กน้อย แต่กลับไม่มีทีท่าจะขอขมา นางจึงพูดต่อ “มารดาเจ้าพูดไม่ผิด ตราบใดที่ซีเอ๋อร์ยังไม่ถูกหย่า นางก็ยังเป็นสะใภ้สกุลเซียวของข้า ขนบธรรมเนียมของนักปราชญ์จะไม่เคารพได้อย่างไร เห็นแก่ที่ซีเอ๋อร์มีบุญคุณต่อสกุลเซียว ครั้งนี้จึงไม่เอาความ ในเมื่อจวิ้นเอ๋อร์ตัดสินใจหย่าภรรยาแล้ว ซีเอ๋อร์อยู่ในเรือนปีกตะวันออกต่อไปย่อมไม่เหมาะ นับแต่วันนี้ไปให้นางไปอยู่ที่อารามชิงซิน”

“ท่านย่า…”

“จวิ้นเอ๋อร์อย่าเพิ่งร้อนใจ ฟังย่าพูดให้จบก่อน ย่ารู้ความในใจของเจ้าดี ให้ซีเอ๋อร์ไปอยู่อารามชิงซินเป็นแค่การจัดการชั่วคราวเท่านั้น รอให้แผลของจวิ้นเอ๋อร์หายดีก่อน แล้วเจ้าเขียนหนังสือหย่าได้แล้ว ย่าย่อมปล่อยนางเป็นอิสระ!”

“เหล่าไท่จวินจะใจอ่อนไม่ได้นะเจ้าคะ นางดูหมิ่นผู้อาวุโสต่อหน้าทุกคน จะละเว้นนางง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร ภาษิตว่าไม่มีกฎเกณฑ์ย่อมไม่เป็นระเบียบ เรื่องนี้หากแพร่ออกไป วันหน้าลูกสะใภ้จะควบคุมข้ารับใช้ได้อย่างไร!”

ฟังนายหญิงใหญ่พูดแล้ว เหล่าไท่จวินลอบถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ ไฉนลูกสะใภ้ผู้นี้จึงเลอะเลือนเช่นนี้เล่า ตอนนี้ยังมองสถานการณ์ไม่ออกอีกหรือ จวิ้นเอ๋อร์เป็นเช่นนี้แล้ว เหตุใดนางจึงยังไม่ยอมถอยให้อีก ต้องบีบให้จวิ้นเอ๋อร์ตายจริงๆ หรือ นางถึงจะพอใจ!

เหล่าไท่จวินไม่สนใจนายหญิงใหญ่ เพียงพูดกับเซียวจวิ้น “จวิ้นเอ๋อร์ยังไม่รีบขอขมามารดาเจ้าอีก!”

เห็นท่านย่าละเว้นหลี่เมิ่งซีแล้ว เซียวจวิ้นจึงขยับตัว รู้สึกสองขาของตนอ่อนแรง ขยับเท่าไรก็ขยับไม่ได้เสียที เขาจึงนั่งอยู่ที่เดิมและพูดเสียงเย็น “ลูกอกตัญญู ทำให้มารดาโกรธ ขอมารดาโปรดอภัยด้วย”

“จวิ้นเอ๋อร์…”

ระหว่างที่พูด บ่าวหญิงสูงวัยสองคนที่รับคำสั่งให้ออกไปตามคนก็เข้ามารายงานว่าพาสะใภ้รองมาแล้ว ยามนี้รออยู่ที่นอกประตู

เหล่าไท่จวินฟังแล้วเอ่ยว่า “ให้เข้ามา”

ไม่นานก็เห็นหลี่เมิ่งซีที่ต้องให้จือซย่าประคองเดินเข้ามาช้าๆ ทันทีที่เข้าประตูมา สายตาของทุกคนในห้องก็พุ่งไปรวมที่นาง แต่ภายใต้สายตาของทุกคน นางยังเป็นเฉกเช่นยามปกติ ใบหน้าเรียบเฉยเหมือนบ่อน้ำเก่าที่ไร้คลื่น ก้าวช้าๆ ไปข้างหน้า ราวกับมองไม่เห็นนายหญิงใหญ่อย่างไรอย่างนั้น เพียงย่อกายให้เหล่าไท่จวินน้อยๆ แล้วเอ่ยถามเสียงค่อย “ไม่ทราบว่าเหล่าไท่จวินเรียกตัวเมิ่งซีมาพบให้ได้เช่นนี้ มีอะไรจะสั่งหรือเจ้าคะ”

นายหญิงใหญ่เห็นหลี่เมิ่งซีไม่เพียงไม่คารวะนาง ทั้งยังแกล้งโง่แกล้งเซ่อราวกับสกุลเซียวไม่กล้าแตะต้องแม้แต่ขนเส้นเดียวของนางอย่างนั้นแหละถึงได้หยิ่งผยองเช่นนี้ ในใจนายหญิงใหญ่โมโหยิ่งนัก อ้าปากจะต่อว่ากลับเห็นสายตาห้ามปรามของเหล่าไท่จวินเข้าเสียก่อน นายหญิงใหญ่จึงกัดฟันกลืนคำพูดที่มาถึงปากแล้วกลับลงไป ใบหน้าซีดขาวบึ้งตึง นั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่พูดจา

ไม่เชื่อหรอกว่าหลี่เมิ่งซีจะไม่รู้ว่าตนโกรธ เห็นสีหน้าเรียบเฉยของนางแล้ว โทสะในใจของเหล่าไท่จวินพลันถาโถมเช่นกัน ทว่านอกจากความโกรธแล้วยังลอบเลื่อมใสในความสุขุมไม่หวั่นไหวแม้ยามเผชิญหน้ากับอันตรายของนาง เหมือนเห็นเงาของตนเองสมัยสาวๆ มองหาในคฤหาสน์สกุลเซียวแห่งนี้ก็ไม่มีคนที่สองอีกแล้ว นับเป็นผู้ช่วยที่ดีของจวิ้นเอ๋อร์จริงๆ น่าเสียดายยิ่งนัก

จ้องตากับหลี่เมิ่งซีอยู่นาน เหล่าไท่จวินก็ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “ที่ตามซีเอ๋อร์มามิใช่เรื่องอื่นใด เนื่องจากฐานะลูกอนุของซีเอ๋อร์ขัดต่อคำสอนของบรรพบุรุษ สองสามวันก่อนซีเอ๋อร์ขอหย่าด้วยตนเอง ด้วยเห็นว่าจวิ้นเอ๋อร์ยังหมดสติอยู่ ข้าจึงมิได้รับคำ วันนี้จวิ้นเอ๋อร์ฟื้นแล้ว ทั้งตกลงมอบหนังสือหย่าให้เจ้า เพียงแต่มือของจวิ้นเอ๋อร์มีแผลเขียนหนังสือไม่สะดวก จึงต้องลำบากเจ้าไปพักในอารามชิงซินสักระยะหนึ่ง รอให้แผลที่มือจวิ้นเอ๋อร์หายดีจนสามารถเขียนหนังสือหย่าได้แล้ว ย่อมต้องปล่อยซีเอ๋อร์ออกจากคฤหาสน์แน่นอน”

หนังสือหย่าที่เฝ้ารอมาสองปี ในที่สุดก็จะมาอยู่ในมือแล้ว ฟังคำเหล่าไท่จวิน หัวใจหลี่เมิ่งซีก็เต้นรัว นางกัดฟันฝืนข่มหัวใจที่เต้นตึกตัก สูดหายใจลึกและเอ่ยว่า “เมิ่งซีขอบคุณเหล่าไท่จวิน คุณชายรองที่สนับสนุน”

ได้ยินน้ำเสียงเบิกบานของหลี่เมิ่งซีแล้ว เหล่าไท่จวินก็นิ่วหน้าเอ่ยว่า “ดี เด็กๆ พาสะใภ้รองไปอารามชิงซิน”

“ท่านย่า ซีเอ๋อร์…” เซียวจวิ้นที่จ้องมองหลี่เมิ่งซีอยู่ตลอดเห็นท่านย่าส่งนางไปอารามชิงซิน เขาก็คิดถึงความเย็นเยียบในอารามชิงซิน มองหลี่เมิ่งซีที่อ่อนแอเช่นนี้ หัวใจก็หดเกร็ง ก่อนจะร้องออกมาตามสัญชาตญาณ

ได้ยินเสียงเซียวจวิ้น หลี่เมิ่งซีจึงเงยหน้ามองไป เห็นใบหน้าซีดเผือดของเขา มองแววตาหม่นหมองของเขาแล้ว นางก็อดรู้สึกขมขื่นใจไม่ได้ เขาเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่พวกเขาสองคนถูกกำหนดแล้วว่าไร้วาสนาต่อกัน

ข่มความเศร้าสลดในใจแล้วเอ่ยถามอย่างเป็นธรรมชาติ “คุณชายรองมีอะไรจะสั่งหรือ”

ครั้นเห็นความเศร้าวูบขึ้นในดวงตานาง ร่างกายของเซียวจวิ้นก็สะท้านน้อยๆ ได้ยินหลี่เมิ่งซีถามมา เขาจึงเบนสายตาออกไปพูดกับเหล่าไท่จวิน “ท่านย่า แผลของจวิ้นเอ๋อร์ไม่หนัก เขียนหนังสือได้ไม่มีปัญหา จวิ้นเอ๋อร์จะเขียนหนังสือหย่าเดี๋ยวนี้ ขอท่านย่าโปรดปล่อยให้ซีเอ๋อร์พาสาวใช้ออกจากคฤหาสน์อย่างปลอดภัยด้วยเถอะขอรับ”

เซียวจวิ้นพูดจบ ไม่รอให้เหล่าไท่จวินตอบ เขาก็พูดกับหงจูว่า “หงจู เตรียมหมึกกับพู่กัน”

หงจูที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นได้ยินคุณชายรองเรียกตนกะทันหันก็สั่นสะท้าน รีบรับคำแล้วหมุนตัวเดินออกไป

เซียวจวิ้นออกแรงใช้มือซ้ายยกมือขวาที่ยังบวมและชาอยู่ขึ้นมา เริ่มแกะผ้าพันแผลที่มือออกอย่างเงอะงะ ทำเอาหงซิ่งตกใจรีบเข้าไปกดมือเขาไว้ไม่ยอมปล่อยพลางเอ่ยปากขอร้อง “บ่าวขอร้องคุณชายรองอย่าทำเช่นนี้เลยเจ้าค่ะ ร่างกายจะแย่เอาได้ บ่าวขอร้องท่านเถอะ ไม่ต้องรีบร้อนถึงเพียงนี้ รออีกสองวันให้แผลของคุณชายรองหายดีค่อยเขียนก็ยังไม่สายนะเจ้าคะ”

แม้เซียวจวิ้นจะเป็นบุรุษสูงเจ็ดเชียะ แต่หลังจากหมดสติไปสองวันโดยไม่ได้กินข้าวกินน้ำเลย ร่างกายย่อมทนไม่ไหว เขาเพิ่งฟื้นขึ้นมา ทั้งยังถูกเหล่าไท่จวินกับนายหญิงใหญ่บีบคั้น เรี่ยวแรงจึงถูกสูบไปหมดแล้ว บัดนี้ถูกสาวใช้คนหนึ่งกดมือไว้จนขยับไม่ได้ แม้อยากจะผลักหงซิ่งออกเพียงใด แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรงพอจะทำเช่นนั้น

เดิมทีหลี่เมิ่งซีไม่ต้องไปอารามชิงซินก็ได้ แต่เพราะนางหักหน้าเหล่าไท่จวินต่อหน้าข้ารับใช้ แม้จะละเว้นนางไม่ลงโทษด้วยกฎบ้าน แต่ย่อมไม่อาจปล่อยให้นางอยู่อย่างสบาย ด้วยเหตุนี้จึงส่งนางเข้าอารามชิงซิน หวังกำราบนางสักหน่อย ครั้นเห็นว่าเพื่อไม่ให้นางต้องเข้าไปอยู่ในอารามชิงซิน เซียวจวิ้นไม่สนใจแผลที่มือจะเขียนหนังสือหย่าให้ได้ เหล่าไท่จวินจึงถอนหายใจ “จวิ้นเอ๋อร์วางใจเถอะ ฐานะของซีเอ๋อร์อยู่ในเรือนปีกตะวันออกไม่เหมาะ ไปอยู่อารามชิงซินก็เพื่อความเหมาะสมเท่านั้น ข้าจะให้นางพาสาวใช้ประจำตัวไปด้วยและจัดหาข้ารับใช้ปรนนิบัติอย่างดี ไม่ทำให้ซีเอ๋อร์ลำบากหรอก”

เหล่าไท่จวินพูดกับเซียวจวิ้นจบก็หันไปสั่งบ่าวหญิงสูงวัยด้านข้าง “ใครก็ได้ รีบพาสะใภ้รองไปอารามชิงซินเดี๋ยวนี้!”

ที่ไม่ให้เซียวจวิ้นเขียนหนังสือหย่าและปล่อยหลี่เมิ่งซีจากไปในเวลานี้ เพราะเหล่าไท่จวินมีความคิดเห็นแก่ตัวอยู่ ตราบใดที่แผลของเซียวจวิ้นยังไม่หายดี หลี่เมิ่งซีย่อมมิอาจไปจากคฤหาสน์สกุลเซียวได้ เหล่าไท่จวินผู้นี้แม้จะตัดสินใจหย่าหลี่เมิ่งซีแล้วก็ยังจะใช้ประโยชน์จากนางให้มากที่สุด

หากหลี่เมิ่งซีล่วงรู้ความคิดของเหล่าไท่จวินจะต้องกระทืบนางให้แบนแน่นอน และต้องคิดว่า ตอนนี้ข้าเป็นถึงเจ้าของร้านยาอี๋ชุนที่โด่งดังแล้ว ใครกลัวเจ้ากันเล่า!

ฟังคำพูดเหล่าไท่จวินแล้ว หลี่เมิ่งซีอึ้งไป เซียวจวิ้นร้อนใจจะเขียนหนังสือหย่าเช่นนี้ก็เพื่อมิให้นางต้องเข้าไปลำบากในอารามชิงซินหรือ คิดเช่นนี้แล้วนางก็เงยหน้ามองเซียวจวิ้น เห็นเขากำลังมองนางอย่างเป็นกังวล ในใจพลันว้าวุ่น หลบสายตาเขา แล้วก็เลื่อนมองไปยังแขนขวาที่แข็งทื่อข้างนั้น สภาพแบบนั้นจะเขียนหนังสือได้อย่างไร นางผลักบ่าวหญิงสูงวัยสองคนที่กระโจนเข้ามาราวเสือหิวออก แล้วจ้องพวกนางด้วยสายตาเยียบเย็น

บ่าวหญิงสูงวัยสองคนอดถอยไปก้าวหนึ่งไม่ได้ หันไปมองเหล่าไท่จวิน หลี่เมิ่งซีก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว ย่อกายให้เหล่าไท่จวินเล็กน้อย “หลี่เมิ่งซีน้อมรับคำสั่งของเหล่าไท่จวิน จะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”

พูดจบก็ไม่มองทุกคนอีก นางเพียงยืดอกและให้จือซย่าประคองเดินออกไปช้าๆ บ่าวหญิงสูงวัยสองคนตามอยู่ข้างหลัง

“ซีเอ๋อร์…”

ได้ยินเสียงเรียกของเซียวจวิ้น หลี่เมิ่งซีชะงักเท้าครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเดินออกไปอย่างมั่นคง

นายหญิงใหญ่ที่ใบหน้าซีดขาวมองแผ่นหลังของหลี่เมิ่งซี ดวงตาฉายความอำมหิต ทุกคนที่ขัดขวางการขึ้นเป็นประมุขสกุลของจวิ้นเอ๋อร์ล้วนต้องตาย!

 

อารามชิงซินตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของคฤหาสน์สกุลเซียว มีประตูบานเล็กเชื่อมต่อกับคฤหาสน์สกุลเซียว แม้จะตั้งอยู่นอกคฤหาสน์ แต่ที่ดินยังคงเป็นของคฤหาสน์สกุลเซียว เนื่องจากคนสกุลเซียวเห็นว่าการตั้งอารามในคฤหาสน์ไม่เป็นมงคลจึงสร้างแยกออกมาเป็นเอกเทศ

อารามชิงซินไม่ต้อนรับคนนอก ธูปเทียนในอารามล้วนได้คฤหาสน์สกุลเซียวเป็นผู้สนับสนุน เป็นสถานที่ไหว้พระของคนสกุลเซียวโดยเฉพาะ อารามแห่งนี้เป็นเรือนที่มีประตูสามชั้น ในเรือนตกแต่งด้วยภูเขาหินต้นไม้ และดอกไม้ใบหญ้า ระเบียงทางเดินยาวเชื่อมต่อเรือนทั้งหมด ด้านหน้าเป็นโถงสวดมนต์ ฝั่งตะวันออกและตะวันตกเป็นห้องพัก

ปกติอารามชิงซินดูแลปกครองโดยนักบวชหญิงนามอวิ๋นเชี่ยน แต่ไรมาภรรยาและอนุของสกุลเซียวที่ถูกหย่า หากบ้านเดิมไม่มีอำนาจและไม่รับกลับไปก็ล้วนถูกส่งตัวมาบำเพ็ญเพียรที่นี่ทั้งสิ้น เทียบกับความเอะอะจอแจในคฤหาสน์สกุลเซียวแล้ว ที่นี่กลับดูเงียบสงบและวังเวงเป็นพิเศษ เบื้องหลังตะเกียงและพระพุทธรูปโบราณเหล่านั้นไม่รู้เป็นค่ำคืนที่อ้างว้างและยาวนานเพียงใด

เนื่องจากหลี่เมิ่งซียังมีฐานะเป็นสะใภ้รองอยู่ ทั้งยังมีคำสั่งจากเหล่าไท่จวิน อวิ๋นเชี่ยนจึงไม่กล้าละเลย สละห้องพักฝั่งตะวันออกของตนให้พวกนางสามนายบ่าวพักอาศัย

จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว อวิ๋นเชี่ยนก็ตอบคำถามของหลี่เมิ่งซี แนะนำที่นี่อย่างละเอียด เห็นหลี่เมิ่งซีไม่พูดอะไรมากจึงส่งบ่าวหญิงสูงวัยสองสามคนมาปรนนิบัติ แล้วนางก็ออกไป

เช้าวันต่อมา หลี่เมิ่งซีจุดธูปในโถงสวดมนต์และไหว้พระโพธิสัตว์เสร็จแล้วก็กลับมาที่ห้องพักฝั่งตะวันออก จือตงเก็บกวาดห้องอยู่ เห็นจือซย่าประคองสะใภ้รองเข้ามาก็ตาแดง จือตงขยับปากเล็กน้อยแต่กลับไม่ได้เปล่งเสียงออกมา เอาแต่ก้มหน้าเช็ดโต๊ะต่อ

หลี่เมิ่งซีไม่ได้สังเกตความผิดปกติของจือตง นั่งลงบนเก้าอี้กลม เงยหน้าขึ้นมาก็ยังเห็นจือตงเช็ดโต๊ะไม่เลิก สกปรกถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ดูเหมือนตั้งแต่พวกนางเข้ามาในห้อง จือตงก็เอาแต่เช็ดโต๊ะอยู่อย่างนั้น หลี่เมิ่งซีจึงเอ่ยปากพูดกับจือตง “อย่าเช็ดอีกเลย ของที่นี่อาจเทียบกับที่เรือนเซียวเซียงไม่ได้ก็จริง แต่กลับเป็นสถานที่ที่สะอาดที่สุดในคฤหาสน์สกุลเซียวแล้ว สวดมนต์มาตลอดช่วงเช้าข้าหิวแล้ว ตั้งสำรับเถอะ”

“สะใภ้รอง…” ฟังคำพูดของสะใภ้รองแล้ว จือตงก็เงยหน้าขึ้นมา เพิ่งจะร้องเรียกได้คำเดียวก็พูดอะไรไม่ออกอีก น้ำตาพรั่งพรูออกมา

หลี่เมิ่งซีกับจือซย่าตกใจ จือซย่าอดถามไม่ได้ “เจ้าเป็นอะไรแต่เช้า ใครทำให้เจ้าโมโหหรือ เจ้าทำท่าเช่นนี้จะไม่ให้สะใภ้รองกินข้าวแล้วหรือไร”

“บ่าวไม่ดีเองเจ้าค่ะ เมื่อครู่ทรายเข้าตาบ่าว สะใภ้รองอย่าได้เก็บมาใส่ใจเป็นอันขาด”

ได้ยินจือตงพูดเช่นนั้น หลี่เมิ่งซีก็รู้ว่านางมีเรื่องในใจ เห็นนางไม่พูดก็ไม่คาดคั้นอีก เพียงเอ่ยเสียงเรียบว่า “ตั้งสำรับเถอะ!”

เห็นจือตงยืนนิ่งไม่ขยับ หลี่เมิ่งซีไม่สร้างความลำบากใจให้นาง เพียงส่งสายตาให้จือซย่าไปบอกกับห้องครัว

ครั้นเห็นจือซย่าจะเดินออกไป จือตงจึงรีบพูด “เมื่อครู่ตอนสะใภ้รองไปไหว้พระ อาหารส่งมาแล้วเจ้าค่ะ”

“ส่งมาแล้ว?! อยู่ไหนเล่า สะใภ้รองพูดตั้งนานแล้ว ยังไม่รีบยกเข้ามาอีก!”

“สะใภ้รอง ท่านดูสิเจ้าคะ ข้าวแบบนั้นจะกินได้หรือเจ้าคะ”

ได้ยินจือตงพูดเช่นนั้น หลี่เมิ่งซีกับจือซย่ามองตามสายตาของจือตงไปที่ข้างหน้าต่าง เหลือบมองแวบหนึ่ง แม้หลี่เมิ่งซีจะสุขุมเพียงใด ริมฝีปากก็อดสั่นไม่ได้

นี่ใช่อาหารสำหรับคนกินเสียที่ไหน โจ๊กเหนียวข้นชามใหญ่ ข้างในมีใบผักปนอยู่ ดูแล้วมิต่างจากของเหลือทิ้ง กับหมั่นโถวแข็งโป๊กอีกสองลูก ดูแล้วน่าจะใช้ทุบหัวคนตายได้ หลี่เมิ่งซีถึงขั้นสงสัยว่านั่นเป็นของปลอมที่ใช้สำหรับถ่ายหนังในยุคปัจจุบันหรือไม่ หัวไช้เท้าดองสีดำจานหนึ่งถูกหั่นเป็นก้อนๆ แต่ละก้อนล้วนใหญ่มาก ทำให้คนเห็นแล้วทำใจกินไม่ได้

แน่นอนว่าทำให้นางกินไม่ลงจริงๆ

“นี่มันอาหารหมูชัดๆ! สะใภ้รอง ท่านโปรดรอสักครู่ บ่าวจะไปถามอาจารย์อวิ๋นเชี่ยนให้ชัดเจน”

จือซย่าพูดพลางเดินออกไปข้างนอก ยังไม่ถึงประตูก็ถูกหลี่เมิ่งซีร้องเรียกไว้ “กลับมา!”

“สะใภ้รอง…”

“ดีร้ายอย่างไรข้าก็ยังไม่ถูกหย่า คนที่นี่ไม่มีความกล้าเช่นนี้หรอก จะต้องมีคนสั่งการแน่ ไม่แน่อาจกำลังรอให้พวกเราไปหาจะได้หักหน้าพวกเรา พวกเจ้าใจเย็นๆ ก่อนเถอะ”

จือซย่าฟังแล้วย้อนกลับมา ยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าเป็นกังวล เห็นหลี่เมิ่งซีนั่งเงียบจึงถอนหายใจ “เมื่อวานสะใภ้รองไม่น่าแข็งข้อกับเหล่าไท่จวินเช่นนั้นเลย มิเช่นนั้นคงไม่ต้องลำบากเช่นนี้”

“ไม่แข็งข้อกับนาง แล้วจะออกจากคฤหาสน์นี้ได้หรือ ภาษิตว่าคนเราจะประสบความสำเร็จต้องพยายามอย่างไม่ย่อท้อ”

“แต่ว่า…แต่ว่าถึงอย่างไรพวกเราอยู่ในคฤหาสน์สกุลเซียวก็ไร้กำลัง เมื่อวานได้ยินบ่าวหญิงที่มาพาตัวพวกเราไปบอกว่าเหล่าไท่จวินโมโหจนสั่งให้นำกฎบ้านออกมาแล้ว ไม่รู้เหตุใดจึงไม่ได้ใช้กฎบ้าน แต่ส่งพวกเรามาสำนึกผิดที่นี่แทน”

“ข้าให้หลี่ตู้พาคนมารออยู่นอกคฤหาสน์แล้วมิใช่หรือ หากเหล่าไท่จวินใช้กฎบ้าน จือตงจะไปรับพวกเขาเข้ามาในคฤหาสน์ทันที แสดงป้ายของร้านยาอี๋ชุนและพาคนจากไปด้วยกำลัง เป็นเพราะนางไม่ใช้กฎบ้าน ข้าจึงยอมถอยให้ก้าวหนึ่ง สามารถออกจากคฤหาสน์สกุลเซียวโดยสันติได้ย่อมดีที่สุด อย่างน้อยครึ่งชีวิตที่เหลือก็ไม่ต้องถูกสกุลเซียวตามรังควานอีก ขอเพียงได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ ตอนนี้ลำบากหน่อยก็คุ้มค่า”

ฟังคำพูดของสะใภ้รองแล้ว จือซย่าก็ส่ายหน้า นางถอนหายใจแล้วพูดเสียงเศร้า “ความตั้งใจจะออกจากคฤหาสน์ของสะใภ้รอง บ่าวทราบดีเจ้าค่ะ เพียงแต่ตามความเห็นของบ่าว คุณชายรองมีใจต่อท่าน หากต้องพรากจากกันเช่นนี้ ในใจบ่าวยังรู้สึกเสียใจแทนคุณชายรองกับท่าน”

“ก็เพราะรู้ว่าคุณชายรองมีใจให้ ต่อให้ต้องเปิดเผยฐานะเจ้าของร้านยาอี๋ชุนและสารภาพความจริงทั้งหมดกับเหล่าไท่จวินเพื่อแลกกับการจากไปในครั้งนี้ข้าก็ยินดี ข้ากับคุณชายรองถูกกำหนดไว้แล้วว่าไม่มีวาสนาร่วมกัน หากยังเสียเวลาต่อไป จนข้าเกิดหวั่นไหวขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าคงเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ”

“สะใภ้รอง…”

“พระพุทธองค์กล่าวว่ามนุษย์มีชีวิตอยู่ในโลกเหมือนอยู่ท่ามกลางดงหนาม หากจิตไม่ฟุ้งซ่าน กายย่อมไม่เคลื่อนไหว เมื่อไม่เคลื่อนไหวย่อมไม่เจ็บ หากจิตฟุ้งซ่าน กายย่อมเคลื่อนไหว เมื่อนั้นย่อมเจ็บปวดทั้งกายใจ สัมผัสถึงความทุกข์ในโลกนี้ เป็นเพราะคุณชายรองจิตฟุ้งซ่านถึงได้เป็นทุกข์ เจ้าอยากให้ข้าเป็นทุกข์เหมือนเขาหรือ”

“สะใภ้รองพูดถูก เพียงแต่สองปีมานี้…”

“ไปเอา ‘คัมภีร์รวมบทกวีจื่อเยี่ย’ มา”

แม้จะบอกว่าหากจิตไม่ฟุ้งซ่านย่อมไม่เจ็บ แต่ไฉนเวลานางเอ่ยคำพูดพวกนี้หัวใจจึงเจ็บแปลบเล่า เห็นจือซย่ายังจะพูดต่อ หลี่เมิ่งซีก็รีบเปลี่ยนเรื่องคุย นางไม่อยากเผชิญหน้ากับเรื่องพวกนี้เลยจริงๆ

ได้ยินสะใภ้รองบอกว่าจะเอาหนังสือ จือซย่าถึงนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้นำหนังสือมาด้วย นางรีบพูด “เมื่อวานมีบ่าวหญิงสองคนจับตาดูอยู่ เร่งให้ออกไปยิ่งนัก บ่าวจึงเอาแต่ของใช้ในชีวิตประจำวันของสะใภ้รองมา ของอย่างอื่นล้วนไม่ได้นำมาด้วย บ่าวกำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่พอดี”

หลี่เมิ่งซีฟังแล้วขบคิด ก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าวคงกินไม่ได้แล้วล่ะ เจ้ากับจือตงไปที่เรือนเซียวเซียงตอนนี้เลย ไปหาหงจูและเอาของที่เหลืออยู่มาให้หมด ที่สำคัญที่สุดคือเอานกพิราบในสวนด้านหลังมาด้วย จะได้ติดต่อกับจือชิวและหลี่ตู้ได้สะดวก หากเกิดอะไรขึ้นอย่างน้อยก็สามารถรับมือได้ แล้วถือโอกาสนี้ติดต่อข้ารับใช้ที่หลี่ตู้ส่งเข้ามาในคฤหาสน์ด้วย ให้พวกนางคิดหาหนทางส่งอาหารมาให้พวกเราทุกวัน ไม่ว่าอย่างไรย่อมไม่อาจปล่อยให้ตนเองลำบาก”

เห็นจือซย่า จือตงออกไปแล้ว เนื่องจากไม่มีอะไรทำจริงๆ หลี่เมิ่งซีจึงไปยืม ‘คัมภีร์เหตุและผลของกรรมในสามภพ’ จากอวิ๋นเชี่ยนมาอ่าน ระหว่างอ่านตำรา จือซย่ากับจือตงเดินเข้ามาด้วยความโมโห

“เกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว”

“สะใภ้รองไม่รู้อะไร…” จือตงปากไว แต่พูดไปได้ครึ่งหนึ่งก็ถูกจือซย่าขึงตาใส่และเงียบไป

หลี่เมิ่งซีเห็นดังนั้นจึงวางหนังสือและมองจือซย่า

เห็นสายตาของสะใภ้รองแล้ว จือซย่าจึงก้มหน้าอย่างร้อนตัว นานครู่ใหญ่ค่อยพูดว่า “บ่าวทำตามคำสั่งของสะใภ้รองไปที่เรือนเซียวเซียงกับจือตง คิดไม่ถึงว่าพอถึงหน้าประตู บ่าวหญิงสูงวัยที่เฝ้าประตูจะเข้ามาขวาง บอกว่านายหญิงใหญ่มีคำสั่งห้ามไม่ให้พวกเราออกจากที่นี่ พวกเราบอกว่าแค่ไปเอาของเท่านั้น หากไม่วางใจสามารถส่งคนตามมาได้ แต่บ่าวหญิงสูงวัยผู้นั้นพูดอย่างไรก็ไม่ยอม ปากยังเอ่ยวาจาไม่น่าฟัง…”

ให้ตาย นี่มิใช่การกักบริเวณหรอกรึ หากเป็นเช่นนี้จริง ข้าที่ติดต่อกับภายนอกไม่ได้ เช่นนั้นมิต้องปล่อยให้ผู้อื่นฆ่าแกงตามอำเภอใจเลยหรือ!

หลี่เมิ่งซีฟังแล้วลุกพรวดทันใด ย่ำเท้าไปมาในห้อง นี่เป็นเรื่องที่นางคาดไม่ถึง เมื่อวานเหล่าไท่จวินไม่ได้บอกว่าจะจำกัดพื้นที่ของนางด้วย อีกอย่างนางเป็นแค่สตรีอ่อนแอคนหนึ่งจะวิ่งหนีไปได้หรือ จะว่าไปถ้ากลัวนางหนี กักบริเวณนางแค่คนเดียวก็พอ ไม่จำเป็นต้องควบคุมกระทั่งสาวใช้สองคนนี้ด้วย คิดจะทำอะไรกันแน่

ด้วยนิสัยของเหล่าไท่จวินไม่จำเป็นต้องทำเรื่องเช่นนี้ ต้องเป็นนายหญิงใหญ่ที่แอบลงมือลับหลังแน่ นางคิดจะทำอะไร ไม่กลัวเรื่องนี้จะรู้ถึงหูเหล่าไท่จวินหรือ

พอคิดว่าใช้วิธีกักขังพวกนางไว้ในอารามชิงซินแล้วหาโอกาสลงมือ ถึงเวลานั้นไม้กลายเป็นเรือ ไปแล้ว เหล่าไท่จวินจะทำอะไรนายหญิงใหญ่ได้ แต่งเข้าคฤหาสน์สกุลเซียวมาสองปี ความแค้นตลอดสองปีมานี้ทำให้นายหญิงใหญ่ต้องการกำจัดนางให้ได้ โดยเฉพาะตอนนี้ นางกลายเป็นก้อนหินขวางทางการก้าวขึ้นเป็นประมุขสกุลของเซียวจวิ้น สายตาคลุ้มคลั่งของนายหญิงใหญ่พลันผุดขึ้นตรงหน้า หน้าผากของหลี่เมิ่งซีมีเหงื่อเย็นซึมออกมาบางๆ

หลี่เมิ่งซีหยุดเดิน นางมองจือซย่ากับจือตงแล้วพูด “สองวันนี้พวกเจ้าอย่าอยู่เฉย ไปเดินดูให้ทั่วอาราม หนึ่งเพื่อค้นหาอย่างลับๆ ว่านอกจากประตูใหญ่แล้วยังมีทางออกอื่นอีกหรือไม่ สองคือหาหนทางติดสินบนคนในนี้ ต้องหาคนที่สามารถเข้าออกที่นี่ได้อย่างอิสระ ไม่ต้องเสียดายเงินแทนข้า ให้พวกนางออกไปส่งข่าวกับเป่าจู้ที่เฝ้าประตู หาหนทางติดต่อกับหลี่ตู้และจือชิวให้ได้ อีกอย่างลองสืบดูว่าเรื่องนี้เหล่าไท่จวินทราบเรื่องด้วยหรือไม่”

“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”

จือซย่า จือตงรับคำเดินออกไป ถึงหน้าประตู จือซย่าพลันนึกขึ้นได้ว่าสะใภ้รองยังไม่ได้กินอาหารเช้า นางจึงหันกลับมาถาม “อาหารเช้าของสะใภ้รอง?”

“ไปจัดการเรื่องพวกนี้ก่อนเถอะ เอาอาหารพวกนั้นไปเททิ้งด้วย อดมื้อสองมื้อไม่ทำให้หิวตายหรอก แต่หากถูกขังอยู่ที่นี่จริงต้องไม่รอดแน่ อ้อ ใช่แล้ว พวกเจ้าสองคนจำไว้ว่าไปเรือนอื่นแล้วห้ามแตะต้องอาหารและน้ำเป็นอันขาด ต่อไปนี้อาหารและน้ำที่กินต้องผ่านการตรวจสอบจากข้าก่อน เข้าใจหรือไม่”

“สะใภ้รอง…”

“จำไว้ว่าพวกเราถูกขังอยู่ที่นี่ ไม่มีใครช่วยพวกเราได้ หากตายก็คือตายเปล่า”

จือซย่า จือตงขอบตาแดงเรื่อ รีบรับคำและหมุนตัวก้าวออกไปโดยเร็ว

 

เซียวอวิ้นเดินออกมาจากห้องของพี่รอง พอออกจากประตูชั้นในก็เห็นหงจูถูมืออยู่ เดินกลับไปกลับมาเหมือนแมลงวันหัวขาด มองปราดเดียวก็รู้ว่ากำลังมีปัญหา

เซียวอวิ้นเห็นแล้วโบกพัด ก้าวเท้าเดินเข้าไปช้าๆ ขวางตรงหน้าหงจู

หงจูที่กำลังก้มหน้าคิดอะไรอยู่เกือบชนถูกเขา นางตกใจสะดุ้ง ครั้นเห็นว่าเป็นคุณชายสามจึงรีบเข้าไปย่อกาย “คารวะคุณชายสาม บ่าวตกใจแทบแย่เจ้าค่ะ”

“คิดอะไรถึงได้เหม่อลอยเช่นนี้”

ได้ยินคุณชายสามถามถึง หงจูตาเป็นประกายทันที นางคุกเข่าลงอ้อนวอน “บ่าวขอให้คุณชายสามช่วยสะใภ้รองด้วยเจ้าค่ะ!”

เซียวอวิ้นได้ยินว่าพี่สะใภ้รองเกิดเรื่อง ดวงตาก็เบิกโตทันที เขาถามว่า “เกิดอะไรขึ้น เจ้าลุกขึ้นก่อน ค่อยๆ พูดเถอะ คุกเข่าอยู่หน้าประตูเช่นนี้ พวกข้ารับใช้เห็นเข้าจะคิดว่าเกิดอะไรขึ้น”

หงจูฟังแล้วรีบขอบคุณ ลุกขึ้นปัดฝุ่นตามตัว ก่อนจะยืนเล่าว่า “เมื่อวานสะใภ้รองถูกเหล่าไท่จวินส่งไปอารามชิงซิน เช้าวันนี้คุณชายรองตื่นมาก็สั่งให้บ่าวไปอารามชิงซินดูว่าสะใภ้รองอยู่ที่นั่นคุ้นเคยแล้วหรือยัง ถูกรังแกหรือไม่ ขาดเหลืออะไรบ้าง แล้วให้บ่าวส่งไปให้ คิดไม่ถึงว่าบ่าวไปถึงที่นั่นแล้ว คนเฝ้าประตูจะถูกนายหญิงใหญ่เปลี่ยนทั้งหมด พอได้ยินว่าบ่าวจะไปหาสะใภ้รอง พูดอย่างไรก็ไม่ให้เข้าไป บอกว่าเป็นคำสั่งของนายหญิงใหญ่ ต้องการให้สะใภ้รองอยู่ในอารามเงียบๆ ห้ามคนนอกรบกวน”

“ข้าก็นึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก อารามชิงซินเป็นสถานที่ไหว้พระของบ้านเราอยู่แล้ว ของกินของใช้ที่นั่นระดับยังสูงกว่าของอี๋เหนียงเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่อาหารสามมื้ออาจจะจืดชืดไปสักหน่อย พี่สะใภ้รองนิสัยเรียบง่ายคิดว่าคงปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว เมื่อวานข้ากลับมาได้ยินเรื่องของพี่สะใภ้รองแล้ว ทั้งยังไปขอร้องเหล่าไท่จวินแล้วด้วย เหล่าไท่จวินบอกว่าแค่ให้พี่สะใภ้รองไปพักผ่อนเงียบๆ ที่นั่นไม่กี่วัน สั่งข้ารับใช้แล้วว่าไม่ให้ละเลย หงจูอย่าตื่นตกใจไปเลย”

“คุณชายสามพูดมีเหตุผล เดิมทีบ่าวก็คิดเช่นนี้ แต่คำสั่งของเจ้านายมิกล้าขัดขืน บ่าวจึงอยากไปดูด้วยตนเอง คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะมิใช่เช่นนั้นเลย เห็นท่าทีแข็งกร้าวของบ่าวหญิงพวกนั้นแล้ว บ่าวเดาว่าสะใภ้รองอยู่ข้างในต้องไม่สบายแน่ เกรงว่าจะส่งข่าวออกมาไม่ได้ บ่าวขอบังอาจพูดนอกเรื่องต่อหน้าคุณชายสาม สองปีมานี้คนที่มีตาล้วนเห็นว่านายหญิงใหญ่เกลียดชังสะใภ้รองเพราะคุณหนูซิ่ว สะใภ้รองเองก็มิใช่คนที่ยอมจำนน โชคดีที่มีเหล่าไท่จวินคอยปกป้อง บัดนี้เนื่องจากฐานะลูกอนุทำให้สูญเสียความโปรดปรานจากเหล่าไท่จวินไป แล้วนายหญิงใหญ่จะยอมละเว้นสะใภ้รองง่ายๆ ได้อย่างไรเจ้าคะ เหล่าไท่จวินมีคำสั่งแล้วก็จริง แต่ผู้ดูแลจัดการเรื่องในเรือนคือนายหญิงใหญ่ หากลอบกลั่นแกล้งอย่างลับๆ ใครจะกล้าปากมากพูดออกไป บ่าวขอร้องคุณชายสามหาหนทางพาบ่าวไปเยี่ยมสะใภ้รองหน่อยเถอะเจ้าค่ะ หากนางอยู่ในนั้นเป็นอะไรไปจริงๆ ไม่พูดถึงว่าเคยเป็นนายบ่าวกันมา บ่าวจึงรู้สึกสงสารเลย แค่ทางคุณชายรองบ่าวก็ไม่อาจชี้แจงได้แล้วเจ้าค่ะ”

“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก เรื่องนี้ให้พี่รองบอกเหล่าไท่จวินตรงๆ ก็ได้ อารามชิงซินมีแต่สตรี ข้าไปเยี่ยมพี่สะใภ้รองถึงอย่างไรก็ไม่เหมาะสม เรื่องนี้หากแพร่ออกไปจะกระทบต่อชื่อเสียงของพี่สะใภ้รองได้”

“คุณชายสามพูดมีเหตุผล ใช่ว่าบ่าวไม่รู้กฎธรรมเนียม แต่หากไม่จำเป็นจริงๆ บ่าวคงไม่ใช้วิธีการที่แย่ที่สุดเช่นนี้ ตั้งแต่คุณชายรองฟื้นขึ้นมาเมื่อวานและถูกบังคับให้หย่าสะใภ้รอง จนบัดนี้ยังไม่ยอมดื่มน้ำหรือกินข้าวเลย วันนี้แม้แต่ยาก็ไม่กินด้วย เช้าวันนี้อาการแย่กว่าเมื่อวานเสียอีก แม้แต่นั่งยังนั่งไม่ได้ ได้แต่นอนอยู่บนเตียง จ้องเพดานอย่างเหม่อลอย คุณชายรองเป็นห่วงสะใภ้รองยิ่งนัก หากบอกเรื่องนี้กับคุณชายรอง เกรงว่าอาการจะทรุดลงกว่าเดิม”

เซียวอวิ้นฟังคำพูดหงจูแล้ว คิดถึงดวงตาไร้ประกายและใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังของพี่รอง ยังหลงเหลือความมีชีวิตชีวาอยู่ที่ไหนเล่า ดูเหมือนคนที่ตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็คิดถึงตอนที่นายหญิงใหญ่กลั่นแกล้งพวกเขาแม่ลูก ด้วยนิสัยใจคอของนายหญิงใหญ่ นางสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้จริงๆ เขาจึงเชื่อคำพูดของหงจู ก้มหน้าขบคิดแล้วเอ่ยว่า “ไป ข้าจะพาเจ้าไปอารามชิงซิน!”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

Jamsai Editor: