X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเทพสมุนไพร

ทดลองอ่าน ยอดหญิงเทพสมุนไพร เล่ม 4 บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 8

 สองวันนี้นายหญิงใหญ่ไม่ได้ไปคารวะที่เรือนโซ่วสี่เลย หนึ่งเพราะป่วยจริง สองเพราะเรื่องที่อารามชิงซินทำให้นางร้อนตัว เกรงว่าเหล่าไท่จวินถามแล้วจะตอบไม่ได้จึงได้แต่อ้างว่าป่วยและหลบหน้า รอให้เรื่องของหลี่เมิ่งซีถูกเปิดโปงออกมา นางจะได้ปัดความรับผิดชอบด้วยการอ้างว่าป่วยจึงไม่ได้จัดการเรื่องภายในเรือน แล้วค่อยออกหน้าแก้ไขเรื่องนี้

จื่อเยวี่ยถือชามยาเดินเข้ามาอย่างระวัง “นายหญิงใหญ่ ยาต้มเสร็จแล้ว ท่านดื่มตอนร้อนๆ เถอะเจ้าค่ะ”

จื่อเยวี่ยพูดพลางวางยาลง นางก้าวเข้าไปประคองนายหญิงใหญ่ เอาหมอนอิงหนุนไว้ด้านหลัง มองใบหน้าไร้สีเลือดของนายหญิงใหญ่แล้ว จื่อเยวี่ยก็ลอบถอนหายใจ ครั้งนี้คุณชายรองกับสะใภ้รองทรมานนายหญิงใหญ่ไม่น้อยเลยจริงๆ จนนางแทบแบกรับไม่ไหวอยู่แล้ว

ดื่มยาเสร็จและบ้วนปาก จื่อเยวี่ยก็ยกผลไม้เชื่อมเข้ามาอีกจานหนึ่ง นายหญิงใหญ่หยิบชิ้นหนึ่งใส่ปากแล้วพูด “สองวันนี้คุณชายรองเป็นอย่างไรบ้าง หงจูไม่ส่งคนมารายงานเลยรึ เด็กคนนี้ปกติละเอียดรอบคอบ ไฉนจึงไร้ระเบียบมากขึ้นทุกวัน เดี๋ยวเจ้าส่งสาวใช้ไปดูสักหน่อย สั่งสาวใช้พวกนั้นด้วยว่าให้ปรนนิบัติให้ดี”

ฟังคำพูดนายหญิงใหญ่แล้ว จื่อเยวี่ยก็มือสั่นนิดๆ จานผลไม้เชื่อมเกือบตกลงบนพื้น นางรีบหันหลังไปวางจาน แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบน้ำตรงริมฝีปากให้นายหญิงใหญ่พลางพูด “เมื่อครู่หงจูส่งคนมา บ่าวเห็นว่ากว่าท่านจะหลับได้นั้นไม่ง่ายเลย จึงไม่ได้ปลุกท่านและให้คนกลับไปแล้ว นายหญิงใหญ่วางใจเถอะเจ้าค่ะ คุณชายรองสบายดี ทั้งยังส่งคนมาบอกว่าให้ท่านพักรักษาตัวให้ดี ไม่ต้องเป็นกังวลเจ้าค่ะ”

“จวิ้นเอ๋อร์ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว สองวันนี้ข้าไม่สบายใจเลยจริงๆ จวิ้นเอ๋อร์อกตัญญูเพียงใดก็ยังเป็นเนื้อที่หลุดออกมาจากร่างกายข้า ตีกระดูกหักยังรู้สึกถึงเส้นเอ็น แม้เขาบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยข้าก็ยังปวดใจ ไม่รู้เมื่อไรเขาจึงจะเข้าใจหัวอกของข้า”

จื่อเยวี่ยฟังแล้วหน้าซีดเล็กน้อย นางหมุนตัวไปหาผ้าผืนบางจากในตู้มาเปลี่ยนให้นายหญิงใหญ่ จัดการเรียบร้อยแล้วจึงเอ่ยว่า “นายหญิงใหญ่อย่าได้คิดมากเป็นอันขาด คุณชายรองแค่ลุ่มหลงไปชั่วขณะเท่านั้น ถึงอย่างไร…”

ระหว่างพูดก็เห็นเป่าจูเดินเข้ามา นายหญิงใหญ่เห็นแล้วถามว่า “ทางอารามชิงซินเป็นอย่างไรบ้าง วันนี้มีคนไปเยี่ยมสะใภ้รองอีกหรือไม่”

“เรียนนายหญิงใหญ่ ตอนคุณชายสามไปคารวะที่เรือนโซ่วสี่ ขอร้องเหล่าไท่จวินว่าสะใภ้รองไม่ชินกับอาหารในอารามชิงซิน ต้องการให้หวังอี๋เหนียงทำอาหารส่งไปให้ เหล่าไท่จวินอนุญาตแล้ว ตอนเช้าหวังอี๋เหนียงนำอาหารไปส่งแล้ว เนื่องจากมีคำสั่งของเหล่าไท่จวินอยู่ บ่าวหญิงที่เฝ้าประตูจึงไม่กล้าขวางเจ้าค่ะ”

“อะไรนะ!” ฟังคำพูดนี้แล้วนายหญิงใหญ่ก็นั่งตัวตรงทันใด นางศีรษะวิงเวียน ร่างกายโงนเงนเกือบจะล้มลง

จื่อเยวี่ยรีบเข้าไปประคองนายหญิงใหญ่ นางเหลือบมองเป่าจูอย่างไม่พอใจแล้วพูดว่า “ก็แค่เอาอาหารไปส่งให้มื้อหนึ่ง นายหญิงใหญ่อย่าโมโหเลยเจ้าค่ะ ร่างกายท่านทนรับความสะเทือนใจไม่ไหวอีกแล้วนะเจ้าคะ”

“ข้ายังไม่บอบบางถึงเพียงนั้น!” นายหญิงใหญ่พูดจบก็หันไปมองเป่าจูที่มีท่าทางตื่นกลัวแล้วถาม “คุณชายสามพูดเรื่องที่เขาไปอารามชิงซินแล้ว ยังพูดอะไรกับเหล่าไท่จวินอีกบ้าง”

“เรียนนายหญิงใหญ่ ได้ยินซื่อฮว่าบอกว่านอกจากขอให้หวังอี๋เหนียงคอยส่งอาหารให้แล้ว คุณชายสามไม่ได้พูดเรื่องอื่น กลับเป็นเหล่าไท่จวินที่สั่งสอนเขา บอกว่าการไปพบพี่สะใภ้ที่อารามชิงซินโดยพลการไม่เหมาะสม สั่งห้ามคุณชายสามไม่ให้ไปที่นั่นอีกเด็ดขาดเจ้าค่ะ”

ฟังคำพูดเป่าจูแล้วนายหญิงใหญ่พรูลมหายใจยาว นางเอนกายกลับลงไป ครุ่นคิดอยู่นานจึงเผยรอยยิ้มเย็น พูดอย่างโหดเหี้ยม “ดี เช่นนี้ยิ่งดี สองวันนี้ข้ายังคิดอยู่ว่าถ้าสะใภ้รองตายอยู่ในอารามชิงซิน ต่อให้จัดการเรียบร้อยเพียงใดก็หนีไม่พ้นถูกเหล่าไท่จวินสงสัย จำต้องเปลืองวาจาอีกไม่น้อย ทั้งยังต้องมีบ่าวตายอีกหลายคน คุณชายสามทำเช่นนี้ช่วยเหลือเราได้พอดี อาหารพวกเราไม่ได้เป็นคนทำ กินแล้วตายจะโทษพวกเราไม่ได้ เป่าจู ไปสั่งข้ารับใช้ในอารามชิงซินให้วางยาถ่ายในน้ำที่สะใภ้รองกินดื่ม พอสะใภ้รองป่วยก็ให้คนเฝ้าประตูเฝ้าไว้ให้ดี ห้ามให้ข่าวหลุดออกไปแม้แต่น้อย ถ้าหวังอี๋เหนียงไปอีก ให้คนตรวจสอบและตามเข้าไปด้วย แม้แต่กระดาษชิ้นเดียวก็ห้ามนำเข้าไป ยิ่งไม่อนุญาตให้พวกนางพูดคุยกัน” นายหญิงใหญ่พูดจบ ดวงตาทอประกายอำมหิต

เป่าจูเห็นแล้วอดตัวสั่นไม่ได้ นางรีบผงกศีรษะรับคำแล้วหมุนตัวเดินออกไป

เป่าจูเพิ่งออกไป สาวใช้ก็มารายงานว่าแม่นางซิ่วมา

นายหญิงใหญ่ฟังแล้วเอ่ยว่า “รีบเชิญเข้ามา”

ไม่นานจางซิ่วก็ให้ปิงซินประคองเดินเข้ามา ไม่พบกันหลายวันจางซิ่วดูอิดโรยไปมาก จนกระทั่งตอนนี้นางยังไม่เชื่อว่าคนที่พี่ชายชอบคือพี่สะใภ้ เรื่องนี้ราวกับความฝันอย่างไรอย่างนั้น

เดินช้าๆ ไปหน้าเตียงท่านน้าและคารวะ จื่อเยวี่ยยกเก้าอี้กลมมาให้ จางซิ่วนั่งลงแล้ว นายหญิงใหญ่จึงเห็นว่าสองตาของนางบวมแดง ลอบถอนใจว่าล้วนเป็นเพราะจวิ้นเอ๋อร์ ไม่รอให้จางซิ่วพูดอะไร นายหญิงใหญ่ก็ปลอบโยน “ซิ่วเอ๋อร์ลำบากแล้ว เรื่องทุกอย่างต้องปล่อยวางเสียบ้าง ซิ่วเอ๋อร์อ่อนโยนใจกว้าง นานวันเข้าจวิ้นเอ๋อร์จะต้องเห็นความดีของเจ้าแน่ บุรุษล้วนเป็นเช่นนี้ ชอบของแปลกใหม่และตื่นเต้น แต่นานวันเข้าก็จะเบื่อไปเอง ในอดีตน้าเขยเจ้ากับจางอี๋ไท่ก็รักกันจะเป็นจะตาย ตอนนี้มิใช่เฉยชากันไปหรอกหรือ”

“ท่านน้าพูดถูก ซิ่วเอ๋อร์ก็ไม่เชื่อว่าพี่ชายจะเปลี่ยนใจ พี่ชายแค่หลงพี่สะใภ้ไปชั่วขณะเท่านั้น พอรู้สึกเบื่อแล้วย่อมเปลี่ยนใจเอง เพียงแต่ซิ่วเอ๋อร์คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ทั้งที่ไม่เห็นว่าพี่ชายจะรู้สึกอะไรกับพี่สะใภ้ แต่พี่ชายกลับจะสละตำแหน่งประมุขสกุลเพื่อนาง! ภาษิตว่าหญิงงามเป็นต้นเหตุแห่งหายนะนั้นไม่ผิดเลยจริงๆ พี่สะใภ้ก็ช่างใจดำโดยแท้ ปล่อยให้พี่ชายทำให้คฤหาสน์ทั้งหลังไม่สงบสุขเพราะนาง กลายเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ ไม่กตัญญู ไม่มีเมตตา และไม่มีคุณธรรมก็เพราะนาง” จางซิ่วพูดจบ ดวงตาฉายความเคียดแค้นลึกๆ

ฟังคำพูดสุดท้ายของจางซิ่วแล้ว นายหญิงใหญ่ก็แค้นจนกัดฟัน นางพูดอย่างโหดเหี้ยม “รอให้เขารู้สึกเบื่ออย่างนั้นหรือ เกรงว่าสะใภ้รองจะไม่มีคำว่า ‘หลังจากนี้’ อีกแล้วล่ะ!”

ได้ยินดังนั้นจางซิ่วพลันตระหนก ก่อนจะดีใจแทบบ้า นางใช้มือกดหน้าอกข่มความตื่นเต้นในใจไว้ แล้วแสร้งพูดด้วยท่าทางที่น่าสงสาร “ท่านน้าอย่าพูดเช่นนี้เลย หากพี่สะใภ้เป็นอะไรไปจริง เกรงว่าพี่ชาย…” จางซิ่วพูดถึงตรงนี้ก็สะอื้น

นายหญิงใหญ่มองจางซิ่วแล้วถอนหายใจ “ซิ่วเอ๋อร์ดีทุกอย่าง เพียงแต่ใจอ่อนเกินไป มีแต่ความปรารถนาดีให้จวิ้นเอ๋อร์ ภาษิตว่าโรคร้ายแรงย่อมต้องรักษาด้วยยาฤทธิ์แรง เก็บนางจิ้งจอกนั่นไว้ถึงอย่างไรก็เป็นหายนะ จวิ้นเอ๋อร์แค่ยังคิดไม่ได้ชั่วคราวเท่านั้น เวลาผ่านไปนานเข้า เขาจะต้องเข้าใจความทุ่มเทของข้าแน่ เรื่องนี้ซิ่วเอ๋อร์รู้ไว้ในใจก็พอ วันหน้าหากมีโอกาสเจ้าก็คอยเตือนสติจวิ้นเอ๋อร์ให้มากหน่อย จวิ้นเอ๋อร์จะต้องกลับตัวกลับใจได้แน่นอน”

“ซิ่วเอ๋อร์จะทำตามคำสั่งของท่านน้าเจ้าค่ะ” พูดถึงขั้นนี้ จางซิ่วรู้ดีว่าท่านน้าได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะกำจัดหลี่เมิ่งซี นอกจากตื่นเต้นแล้วนางก็ไม่กล้าพูดมากอีก เพียงรีบผงกศีรษะรับคำ ก่อนจะนึกถึงจุดประสงค์ที่มาในวันนี้ได้ ขอบตานางแดงเรื่อขณะเอ่ยว่า “ท่านน้า ซิ่วเอ๋อร์มาวันนี้เพราะอยากขอร้องให้ท่านน้าไป…”

จางซิ่วพูดถึงตรงนี้ก็สะอื้นไห้ รีบใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดดวงตา นายหญิงใหญ่เห็นเช่นนั้นก็ตกใจ นางรีบถามว่า “ซิ่วเอ๋อร์มีอะไรก็พูดมาเถอะ น้าจะจัดการให้เจ้าเอง”

“ท่านน้า สองวันนี้พี่ชายไม่ยอมพบซิ่วเอ๋อร์เลย ซิ่วเอ๋อร์เข้าใจว่าพี่ชายอารมณ์ไม่ดีจึงไม่อยากพบใคร เดิมทีก็ไม่อยากรบกวนพี่ชาย เพียงแต่ซิ่วเอ๋อร์ได้ยินสาวใช้ในเรือนเซียวเซียงบอกว่าตั้งแต่พี่ชายฟื้นขึ้นมาเมื่อวันก่อนก็ยังไม่กินข้าวไม่ดื่มน้ำเลย ตอนนี้ ตอนนี้…ซิ่วเอ๋อร์ไม่ได้พบพี่ชายจึงมิอาจเกลี้ยกล่อมเขาได้ แต่ซิ่วเอ๋อร์เป็นห่วงจริงๆ ว่าพี่ชายจะเป็นอะไรไป จึงอยากเชิญท่านน้าไปโน้มน้าวพี่ชายหน่อย ให้เขากินอะไรลงไปบ้าง อย่าได้คิดไม่ตกเช่นนี้”

“อะไรนะ! สองวันแล้วจวิ้นเอ๋อร์ยังไม่กินอะไรเลย? เมื่อครู่นี้บอกว่าเขาสบายดีมิใช่หรือ!” นายหญิงใหญ่พูดพลางหันไปมองจื่อเยวี่ย

จื่อเยวี่ยได้ยินแล้วหน้าซีดขาวทันใด นางคุกเข่าลงแล้วตอบว่า “ขอนายหญิงใหญ่โปรดอภัยด้วย บ่าวโกหกเจ้าค่ะ วันก่อนตอนนายหญิงใหญ่หมดสติ เหล่าไท่จวินเรียกตัวบ่าวไปพบและสอบถามอาการของท่าน ตั้งใจกำชับบ่าวว่ากลัวท่านรู้อาการของคุณชายรองแล้วจะเป็นกังวล ดังนั้นจึงให้บ่าวปิดบังไว้ บอกให้ท่านพักผ่อนให้ดี ท่านจะได้รีบกลับมาจัดการเรื่องภายในเรือนได้โดยเร็ว บ่าวเห็นว่าคฤหาสน์แห่งนี้ถูกคุณชายรองกับสะใภ้รองก่อเรื่องจนวุ่นวายไปหมดแล้ว หากท่านเป็นอะไรไปอีกฟ้าคงถล่มลงมาแน่ บ่าวจึงฟังคำสั่งของเหล่าไท่จวิน ปิดท่านมาตลอดเจ้าค่ะ”

“ตอนนี้จวิ้นเอ๋อร์เป็นเช่นไรบ้าง” นายหญิงใหญ่ฟังแล้วไหนเลยจะมีแก่ใจเอาผิดจื่อเยวี่ยที่ปิดบังอีก นางเอ่ยถามอย่างร้อนใจ

จื่อเยวี่ยเห็นแล้วไม่กล้าปิดบังอีก รีบโขกศีรษะตอบ “เมื่อเช้าหงจูส่งคนมาบอกว่าตั้งแต่สะใภ้รองไปอารามชิงซิน คุณชายรองก็ไม่กินไม่ดื่มอะไรเลย ไม่ว่าจะโน้มน้าวอย่างไรคุณชายรองก็ไม่ยอมกินไม่ยอมดื่ม ภายหลังแม้แต่ยาก็ไม่กินด้วย เมื่อวานอี๋เหนียงทั้งหลายคุกเข่าอยู่นอกประตูตลอดบ่าย คุณชายรองก็ไม่ยอมพบใครทั้งนั้น เช้าวันนี้คุณชายรองเอาแต่นอน เวลาที่ตื่นก็น้อยลง เวลานอนกลับมากขึ้น ตื่นแล้วก็ไม่พูดไม่จาเอาแต่นอนนิ่งเหม่อมองเพดาน บ่าวเองก็เป็นกังวล แต่ได้ยินหงจูบอกว่ารายงานเหล่าไท่จวินแล้วเจ้าค่ะ…”

นายหญิงใหญ่ได้ยินว่าเซียวจวิ้นเวลาตื่นน้อย เวลานอนมาก ไม่รอให้จื่อเยวี่ยพูดจบ นางก็ตกใจจนใบหน้าซีดขาว เอ่ยปากขัดคำพูดนาง “จวิ้นเอ๋อร์เป็นถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังจะปิดบัง เจ้า เจ้า…”

ชี้หน้าจื่อเยวี่ยด้วยนิ้วสั่นเทา นายหญิงใหญ่พูดอะไรไม่ออกอีก นางมีบุตรชายเพียงคนเดียว หากเขาเป็นอะไรไปจริงย่อมเท่ากับเอาชีวิตของนางไปด้วย

จางซิ่วเห็นแล้วรีบปลอบโยน “ท่านน้า ท่านอย่าตำหนิจื่อเยวี่ยเลย จื่อเยวี่ยเองก็ทำตามคำสั่งของเหล่าไท่จวิน นางปรารถนาดีต่อท่านนะเจ้าคะ”

นานครู่ใหญ่นายหญิงใหญ่จึงสงบสติอารมณ์ได้ “ยังจะคุกเข่าอยู่ทำไม รีบลุกขึ้นเตรียมตัวเถอะ ไปที่เรือนเซียวเซียง!”

 

กล่าวได้ว่าบรรยากาศในเรือนเซียวเซียงนั้นหม่นหมองยิ่งนัก อี๋เหนียงทั้งสามของเซียวจวิ้นกับหงจูและคนอื่นๆ รออยู่ในห้องโถง วันนี้เซียวจวิ้นตื่นมาแค่ครั้งเดียวและหลับไปอีก แม้แต่ชุ่ยอี๋เหนียงที่ปกติชอบทำตัวเป็นจุดเด่นเวลานี้ยังหดหู่ ท่าทางห่อเหี่ยวราวมะเขือต้องน้ำค้างแข็ง รู้สึกเหมือนฟ้ากำลังจะถล่มลงมา สองตาจ้องบานประตูห้องทิศตะวันออกเขม็ง หมอกับเหล่าไท่จวินอยู่ข้างใน ไม่รู้ว่าเหล่าไท่จวินเชิญหมอมาแล้วจะช่วยชีวิตคุณชายรองได้หรือไม่

หมอตรวจชีพจรให้คุณชายรองเสร็จแล้วก็วางมือคุณชายรองกลับลงบนเตียง กำลังจะพูดก็ได้ยินเหล่าไท่จวินถามว่า “หมอจาง ชีพจรของจวิ้นเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง มีอันตรายหรือไม่”

“เหล่าไท่จวิน ข้าตรวจพบว่าชีพจรของคุณชายรองจมและเต้นอ่อนแรง อวัยวะภายในอ่อนแอ หากยังไม่บำรุงรักษา เกรงว่า…” หมอพูดพลางส่ายหน้า พึมพำกับตนเอง “ประหลาดนัก สองวันก่อนตอนข้ามาตรวจ คุณชายรองก็ไม่ได้เป็นอะไรมากมิใช่หรือ ค่อยๆ บำรุงร่างกายก็ดีขึ้นได้แล้ว นี่แค่ไม่กี่วันเท่านั้นกลับทรุดลงอย่างรวดเร็ว สองวันนี้คุณชายรองกินยาอะไรลงไปหรือไม่”

“ไม่ปิดบังท่านหมอ ตั้งแต่จวิ้นเอ๋อร์ฟื้นขึ้นมาวันก่อน จนบัดนี้ยังไม่กินข้าวไม่ดื่มน้ำเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยา”

“นี่อย่างไร คนปกติไม่กินไม่ดื่มไม่กี่วันก็หิวตายแล้ว ไม่ต้องพูดถึงคุณชายรองที่มีบาดแผลอยู่ ยิ่งเป็นช่วงที่ต้องบำรุงร่างกายด้วยแล้ว คุณชายรองทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการฆ่าตัวตาย คิดจะฟื้นฟูร่างกายไม่จำเป็นต้องมียาวิเศษอะไรหรอก แค่กินข้าวก็พอ”

หมอพูดจบ เห็นเหล่าไท่จวินไม่พูดจา เขาจึงถอนหายใจเอ่ยว่า “เหล่าไท่จวินให้คุณชายรองกินโจ๊กเหลวก่อน ไว้กินข้าวได้แล้ว ข้าค่อยสั่งยารักษาม้ามกับกระเพาะให้ คุณชายรองต้องฟื้นฟูร่างกายจนกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แน่”

เหล่าไท่จวินฟังแล้วพยักหน้ารับ ในความคิดนางหมอพูดไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย ครั้งนี้เซียวจวิ้นไม่ได้ป่วยหนักอะไร แต่เป็นเพราะความหิวทั้งนั้น ต้องเป็นเพราะหลานคนนี้ดื้อดึงจะใช้การอดอาหารมาแสดงความไม่พอใจของเขากระมัง

เห็นเหล่าไท่จวินพยักหน้า หมอกำชับเรื่องที่ต้องระวังอีกเล็กน้อย ก่อนจะสั่งยาให้สองเทียบ บำรุงร่างกายให้คุณชายรองสักระยะก่อน แล้วค่อยใช้ยาอีกเทียบ สุดท้ายก็เปลี่ยนยาที่มือของคุณชายรอง เสร็จแล้วจึงลุกขึ้นขอตัว

ส่งหมอกลับไปแล้ว เหล่าไท่จวินจึงเรียกพวกหงจูเข้ามา กำลังจะเอ่ยปาก สาวใช้ก็เข้ามารายงานว่านายหญิงใหญ่มา

เหล่าไท่จวินฟังแล้วรีบให้คนเชิญเข้ามา เพิ่งจะพูดจบนายหญิงใหญ่ก็ให้จางซิ่วกับจื่อเยวี่ยประคองเดินเข้ามา

เหล่าไท่จวินเห็นจางซิ่วแล้วมุ่นคิ้ว แต่เห็นท่าทางอ่อนแอของนายหญิงใหญ่จึงไม่ได้พูดอะไร

นายหญิงใหญ่เข้ามาคารวะเหล่าไท่จวิน หงจูยกเก้าอี้มาวางไว้ที่ข้างเตียงของเซียวจวิ้น นายหญิงใหญ่นั่งลง

ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรชายแท้ๆ แม้จะไม่พอใจเซียวจวิ้นเพียงใด แต่พอเห็นเขานอนหน้าซีดอยู่บนเตียง สองตาปิดแน่นสนิท ไม่ต่างจากคนที่ตายไปแล้วครึ่งหนึ่งสักเท่าไร ตั้งแต่มือไปถึงแขนที่เดิมทีบวมอยู่แล้วก็ยิ่งบวมมากกว่าเดิม นายหญิงใหญ่คว้ามือบุตรชายขึ้นมา น้ำตาไหลรินดุจสายฝนอย่างห้ามไม่อยู่ “ไฉนแค่ไม่กี่วันจวิ้นเอ๋อร์จึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า ข้าไปทำกรรมไว้ชาติใดกันแน่…”

“ลูกสะใภ้อย่าเสียใจไปเลย เมื่อครู่หมอมาดูแล้ว จวิ้นเอ๋อร์ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่ไม่ได้กินอาหารหลายวันถึงได้เป็นเช่นนี้ ลูกสะใภ้ก็เหมือนกัน ร่างกายไม่แข็งแรงก็ควรพักผ่อนอยู่ในห้องให้ดี จะออกมาทำไมเล่า ทรมานตนเองเช่นนี้ หากทิ้งโรคเรื้อรังเอาไว้ย่อมไม่ดีแน่”

“ลูกไม่วางใจอาการของจวิ้นเอ๋อร์จริงๆ นี่เจ้าคะ”

เหล่าไท่จวินถอนหายใจ นึกถึงคำพูดของหมอจึงหันไปสั่งหงจู “สั่งให้คนไปต้มโจ๊กมา เอาน้ำเยอะหน่อย”

หงจูรีบรับคำ ปากขยับเล็กน้อยเหมือนจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ข่มกลั้นไว้แล้วหันหลังเดินออกไป

ไม่นานหงจูก็นำสาวใช้คนหนึ่งถือถาดเงินเดินเข้ามา บนถาดเป็นโจ๊กชามหนึ่งและเครื่องเคียงสองอย่าง หงจูเดินไปตรงหน้าเหล่าไท่จวินพูดว่า “เรียนเหล่าไท่จวิน โจ๊กทำเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”

เหล่าไท่จวินมองโจ๊กและพยักหน้า “ประคองคุณชายรองขึ้นมา ป้อนเขากินโจ๊ก”

หงจูรับคำ รีบเดินไปที่ข้างเตียงกับหงซิ่ง

จื่อเยวี่ยประคองนายหญิงใหญ่ลุกขึ้น สละพื้นที่ข้างเตียงให้ สาวใช้คนหนึ่งรีบก้าวเข้ามาย้ายเก้าอี้ของนายหญิงใหญ่ไปไว้ด้านข้าง แล้วปรนนิบัตินายหญิงใหญ่นั่งลงอีกครั้ง

หงจูกับหงซิ่งร้องเรียกอยู่นาน ในที่สุดคุณชายรองก็ลืมตา สองตาไม่เปล่งประกายเฉกเช่นยามปกติ เขามองหงจูกับหงซิ่งอย่างเลื่อนลอย

เห็นคุณชายรองตื่นแล้ว หงจูจึงรีบบอกว่า “คุณชายรอง เหล่าไท่จวินกับนายหญิงใหญ่มาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ”

นานทีเดียวกว่าเซียวจวิ้นจะเข้าใจ เขาขยับศีรษะเป็นการบอกว่ารับรู้แล้ว ก่อนจะให้หงจูประคองเขาขึ้นมา

หงจู หงซิ่งวุ่นวายอยู่นานกว่าจะประคองคุณชายรองขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงได้ แล้ววางหมอนอิงไว้ด้านหลัง

เซียวจวิ้นนั่งดีแล้ว ดวงตาก็กวาดมองไปทั่วรอบหนึ่ง สุดท้ายสายตาจึงหยุดที่เหล่าไท่จวิน อ้าปากอยู่นาน ในที่สุดก็เปล่งเสียงแหบพร่าออกมาได้ “จวิ้นเอ๋อร์อกตัญญู ทำให้ท่านย่ากับมารดาเป็นห่วงแล้ว”

เห็นริมฝีปากแห้งแตกของหลานชายอ้าแล้วหุบ เปล่งเสียงที่เบาเหมือนเสียงยุงออกมา เหล่าไท่จวินก็อดหลั่งน้ำตาไม่ได้ นางพูดเสียงสะอื้น “จวิ้นเอ๋อร์เป็นบุรุษจะขาดความรับผิดชอบเช่นนี้ได้อย่างไร ใจดำถึงขั้นเฝ้าดูข้ากับมารดาเจ้าเสียใจ เฝ้าดูมารดาที่กำลังป่วยเป็นกังวลเพราะเจ้า…”

นายหญิงใหญ่ฟังแล้วร้องไห้ออกมา จางซิ่วที่อยู่ด้านข้างปาดน้ำตาเช่นกัน หงจู หงซิ่งขอบตาแดงเรื่อ แม้แต่เหล่าไท่จวินเองยังพูดต่อไม่ได้ นางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา ซื่อฮว่าที่อยู่ด้านข้างรีบปลอบโยนเสียงค่อย

เซียวจวิ้นยามนี้แม้แต่เรี่ยวแรงที่จะพูดยังแทบไม่มี ฟังคำพูดท่านย่าแล้วเขาอ้าปากอยู่นานจึงเปล่งคำพูดหนึ่งออกมาจากลำคอได้ “จวิ้นเอ๋อร์อกตัญญู…”

คำพูดต่อจากนั้นก็ได้ยินไม่ชัดเจนแล้ว

เห็นเซียวจวิ้นเป็นเช่นนี้ เหล่าไท่จวินรู้ว่าเขาไม่มีเรี่ยวแรงจึงไม่ตำหนิเขาอีก เพียงพูดว่า “เมื่อครู่หมอมาตรวจดูแล้ว จวิ้นเอ๋อร์แค่ไม่ได้กินข้าวมาหลายวัน ร่างกายถึงได้อ่อนแอเช่นนี้ หงจูเพิ่งต้มโจ๊กเหลวมา จวิ้นเอ๋อร์กินสักหน่อยเถอะ พอท้องมีอาหารคนย่อมมีแรง”

ฟังคำพูดเหล่าไท่จวินแล้ว เซียวจวิ้นก็ส่ายหน้า

เหล่าไท่จวินเห็นเช่นนั้นก็พูดเสียงเฉียบ “หากจวิ้นเอ๋อร์ยังดันทุรังไม่ยอมกินอาหารเช่นนี้ต่อไป ต่อให้ร่างกายทำจากเหล็กก็ทนไม่ไหวหรอก หงจู ปรนนิบัติคุณชายรองกินโจ๊ก”

ได้ยินน้ำเสียงยืนกรานไม่ยอมให้ปฏิเสธของเหล่าไท่จวินแล้ว หงจูเข้าใจว่าเหล่าไท่จวินต้องการให้นางใช้กำลังบังคับ แม้จะไม่อยากทำ แต่ในเมื่อคุณชายรองเป็นเช่นนี้ คงได้แต่ใช้วิธีนี้แล้ว ขืนปล่อยให้คุณชายรองเอาแต่ใจตนเองต่อไปก็มีแต่ตายเท่านั้น

หงจูรีบรับคำ หันไปรับชามที่สาวใช้ส่งมาให้ แล้วให้หงซิ่งประคองคุณชายรอง ก่อนจะเริ่มบังคับป้อนโจ๊กทีละคำ แม้เซียวจวิ้นจะไม่อยากกินเพียงใด แต่จนใจที่ทั่วร่างไร้เรี่ยวแรงจึงถูกสาวใช้สองคนบังคับป้อนโจ๊กลงไปจนหมดชาม เห็นคุณชายรองกินโจ๊กแล้ว ทุกคนต่างวางใจ กินโจ๊กได้ก็ดี

หงจูหันไปส่งชามเปล่าให้สาวใช้รุ่นเล็ก นางยื่นมือไปรับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดคราบโจ๊กที่ติดปากคุณชายรอง ระหว่างที่เช็ดก็เห็นคุณชายรองขยับตัวกะทันหัน เขาอ้าปากและอาเจียนโจ๊กที่เพิ่งกินเข้าไปออกมาจนหมด การอาเจียนอย่างรุนแรงนี้ทำให้คุณชายรองตัวเกร็งไปหมด สุดท้ายทั้งที่ไม่มีอะไรออกมาแล้วก็ยังอาเจียนแห้งๆ อยู่นาน ทำเอาหงจูกับหงซิ่งตกใจ ไม่สนใจว่าร่างกายตนเองจะเปื้อนอาเจียนไปทั้งตัว รีบประคองคุณชายรองและใช้มือลูบหลัง พลางร้องอย่างตื่นตกใจ “คุณชายรอง คุณชายรอง ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่เจ้าคะ!”

นานครู่ใหญ่ ในที่สุดเซียวจวิ้นก็หยุดอาเจียน ก่อนจะล้มลงบนเตียงอย่างหมดแรงและหอบหายใจ ใบหน้าซีดเผือดราวกับผี

เหล่าไท่จวินที่เพิ่งจะโล่งอกพลันรู้สึกตกใจ เดิมทีคิดว่าเซียวจวิ้นแค่เอาแต่ใจอดอาหารเพื่อเอาชนะเท่านั้น ตอนนี้ถึงเข้าใจว่าเขากินอะไรไม่ลงจริงๆ

หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป สิ่งที่รอเขาอยู่คงมีเพียงคำเดียว…ตาย!

เซียวจวิ้นหยุดอาเจียนแล้ว ในห้องพลันเงียบสนิท เหล่าไท่จวินใบหน้าไร้สีเลือด ไม่ง่ายเลยกว่าที่นางจะตั้งสติได้ แล้วร้องตะโกนไปที่ประตู “ใครก็ได้ รีบไปเรียนนายท่านใหญ่ เชิญหมอหลวงหลี่มา เร็วเข้า!”

เหล่าไท่จวินที่ปกติสุขุมเยือกเย็นยามนี้เสียงสั่นเล็กน้อย มีบ่าวหญิงสูงวัยรับคำและวิ่งออกไป

“จวิ้นเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป ไฉนจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้!” ในที่สุดนายหญิงใหญ่ก็ได้สติ นางลืมฐานะของตนเองแล้วร้องเสียงดังออกมา ก่อนจะลุกขึ้นโผไปที่ข้างเตียง มีจื่อเยวี่ยกับจางซิ่วช่วยประคองไว้ ปลอบโยนนางด้วยความตื่นตระหนก

หลังเสียงหวีดร้องของนายหญิงใหญ่ ทุกคนเหมือนได้สติกลับคืนมา ชั่วขณะนั้นวุ่นวายกันไปหมด

เหล่าไท่จวินที่เพิ่งสงบสติอารมณ์ได้ทนไม่ไหว อ้าปากตะโกนว่า “หุบปากให้หมด!”

เสียงตะโกนของเหล่าไท่จวินราวสูบเอาอากาศออกไปหมดในชั่วพริบตา ทำให้คนหายใจไม่ออก ไม่เคยเห็นเหล่าไท่จวินโมโหถึงเพียงนี้มาก่อน ทุกคนในห้องตกใจจนเงียบกริบ ไหนเลยจะกล้าเปล่งเสียงอีก

เห็นว่าในที่สุดทุกคนก็สงบลงแล้ว เหล่าไท่จวินเหลือบมองนายหญิงใหญ่ เดิมทีอยากตำหนินาง แต่เห็นท่าทางของนางแล้ว ทั้งยังเห็นว่าในห้องเต็มไปด้วยข้ารับใช้ สุดท้ายจึงอดกลั้นเอาไว้

ตอนนี้นายหญิงใหญ่ตั้งสติได้แล้ว เห็นสายตาตำหนิของเหล่าไท่จวินก็รู้ว่าตนเองเสียกิริยาไป แม้ในใจจะยังเป็นห่วง แต่ก็ไม่กล้าก้าวเข้าไปอีก เพียงให้จื่อเยวี่ยประคองนั่งลงที่เดิม ไม่พูดอะไรอีก

เมื่อนายหญิงใหญ่นั่งลงแล้ว เหล่าไท่จวินจึงสั่งว่า “ใครก็ได้ ทำความสะอาดร่างกายคุณชายรอง หงจู หงซิ่ง พวกเจ้าก็ออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย”

เหล่าไท่จวินพูดจบก็ให้ซื่อฮว่าประคองลุกจากตั่งนุ่ม เซียวซย่ากับเซียวเหิงที่ทราบข่าวเข้ามาย้ายคุณชายรองจากเตียงไปที่ตั่งนุ่ม สาวใช้ยกน้ำเข้ามาและเริ่มทำความสะอาด

เซียวอวิ้นที่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ประคองเหล่าไท่จวินที่ลุกขึ้นไปนั่งลงบนเก้าอี้แล้วเอ่ยว่า “ท่านย่า เห็นทีพี่รองจะกินอะไรไม่ลงจริงๆ แม้จะตามหมอหลวงหลี่มาแล้ว แต่กว่าหมอหลวงหลี่จะออกจากวังก็ต้องใช้เวลา ร้านยาอี๋ชุนอยู่ใกล้กับคฤหาสน์เรา ยาที่นั่นเป็นหนึ่งในใต้หล้า ท่านย่าไปเชิญหลงจู๊ที่ร้านยาอี๋ชุนมาก่อนดีกว่า วิชาแพทย์ของเขาแม้จะไม่เท่าเซียนปรุงยา แต่ก็มีชื่อเสียงอยู่มาก ให้เขามาตรวจดูที่นี่ ถึงอย่างไรก็ดีกว่ารอเฉยๆ”

ฟังคำเซียวอวิ้นแล้ว เหล่าไท่จวินก็พยักหน้า “อวิ้นเอ๋อร์พูดถูก ให้หมอหลวงหลี่ตรวจรักษาจนชิน พอร้อนใจจึงลืมร้านยาอี๋ชุนไป ยาของร้านยาอี๋ชุนยอดเยี่ยม สองปีมานี้ก็โด่งดังในต้าฉีมากด้วย เด็กๆ!”

เซียวอวิ้นได้ยินเหล่าไท่จวินเรียกคนจึงรีบพูดว่า “ท่านย่า ช้าก่อน อวิ้นเอ๋อร์ได้ยินมาว่าร้านยาอี๋ชุนไม่คบหาสมาคมกับผู้สูงศักดิ์มาแต่ไหนแต่ไร หนึ่งปีมานี้ แม้บิดาจะพยายามอยู่หลายครั้ง แต่กลับมิอาจคบหากับร้านยาอี๋ชุนได้ ไปซื้อยายังพอได้ แต่หากจะเชิญคนย่อมมิอาจส่งข้ารับใช้ไปส่งเดช ต้องหาคนที่พอมีฐานะหน่อย ถึงอย่างไรตอนนี้อำนาจของร้านยาอี๋ชุนก็ไม่ด้อยไปกว่าเรา”

“อวิ้นเอ๋อร์พูดถูก ได้ ให้พ่อบ้านเต๋อเดินทางไปด้วยตนเองก็แล้วกัน!”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

Jamsai Editor: