ตอนที่ 4
หลี่เมิ่งซีตื่นเช้ามาก ช่วยไม่ได้จริงๆ ยุคโบราณไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีทั้งทีวี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิ่งบันเทิงอื่นๆ ยามกลางคืนนางจึงเข้านอนแต่หัวค่ำ
หงจู หงอวี้ปรนนิบัติหลี่เมิ่งซีล้างหน้าสวมเสื้อผ้า ก่อนที่นางจะไปยังห้องครัวเล็กเพื่อทำโจ๊กซังจวี๋ให้เซียวจวิ้น ทั้งยังทำขนมแปลกๆ อีกเล็กน้อยสำหรับกินเล่นตอนกลางวัน นางสั่งหงอวี้ว่ารอให้คุณชายรองตื่น แล้วสั่งให้ตั้งสำรับจึงค่อยยกไป ก่อนจะให้หงจูประคองไปเรือนโซ่วสี่เพื่อคารวะผู้อาวุโส
แม้เมื่อวานเหล่าไท่จวินจะบอกแล้วว่าคุณชายรองไม่แข็งแรง ให้หลี่เมิ่งซีปรนนิบัติคุณชายรองให้ดีก็พอ สองสามวันนี้ไม่ต้องมาคารวะ แต่นางไม่เชื่ออย่างนั้น อีกทั้งเมื่อคืนเซียวจวิ้นก็ไม่ได้ค้างคืนอยู่ที่ห้อง ย่อมไม่ต้องให้นางปรนนิบัติอยู่แล้ว ช้าเร็วเหล่าไท่จวินย่อมต้องรู้เรื่องนี้ หากรู้ว่าวันนี้นางไม่ต้องปรนนิบัติคุณชายรอง ทั้งยังไม่มาคารวะ เหล่าไท่จวินจะต้องตำหนินางแน่ ดังนั้นหลี่เมิ่งซีจึงมาแต่เช้า
ตอนมาถึงเรือนโซ่วสี่ นายท่านใหญ่กับนายหญิงใหญ่ชุยซื่อมาถึงแล้ว หลี่เมิ่งซีเห็นคุณชายใหญ่เซียวชิงกับสะใภ้ใหญ่จางซื่อยังไม่มาก็วางใจ อย่างน้อยนางไม่ได้มาถึงเป็นคนสุดท้าย หลังจากคารวะเหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่แล้ว นางจึงค่อยนั่งลงตามคำสั่งของเหล่าไท่จวิน
“วันนี้จวิ้นเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง บอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าไม่ต้องมา ให้ปรนนิบัติจวิ้นเอ๋อร์ให้ดี แล้วเหตุใดจึงมาอีกแล้วเล่า” เหล่าไท่จวินรอให้หลี่เมิ่งซีนั่งลงแล้วค่อยถาม
“เรียนเหล่าไท่จวิน วันนี้คุณชายรองดีขึ้นมากแล้ว แต่เนื่องจากร่างกายไม่แข็งแรง ไม่อาจมาคารวะท่านได้ด้วยตนเอง จึงสั่งให้หลานมาที่นี่แต่เช้า แสดงความกตัญญูต่อเหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่แทนคุณชายรองเจ้าค่ะ” หลี่เมิ่งซีเงยหน้าเล็กน้อย ตอบเสียงแผ่วเบาเนิบช้า
ในความคิดของหลี่เมิ่งซี พิษของเซียวจวิ้นถูกถอนไปแล้ว วันนี้อาการต้องดีกว่าเมื่อวานแน่ แม้เรื่องที่เซียวจวิ้นไม่ได้นอนที่ห้องนางเมื่อคืน ช้าเร็วเหล่าไท่จวินจะต้องรู้แน่ แต่ที่วันนี้นางพูดเช่นนี้ เพราะวันหน้าต่อให้เหล่าไท่จวินรู้ว่านางโกหกก็คงไม่ตำหนินางมากนัก มีแต่จะคิดว่านางรู้กาลเทศะ ช่วยคุณชายรองปกปิด วันหน้าคงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก แต่หากนางพูดตามจริงก็เท่ากับฟ้องเรื่องเซียวจวิ้นต่อหน้าพ่อแม่สามีตั้งแต่วันที่สองของการแต่งงาน เหล่าไท่จวินที่รักหลานชาย แม้ในใจไม่อยากลงโทษเพียงใด แต่หากไม่ลงโทษก็ไม่อาจชี้แจงกับสะใภ้หมาดๆ เช่นนางได้ เหล่าไท่จวินจะต้องลำบากใจเป็นแน่ ดังนั้นหลี่เมิ่งซีจึงโกหก
ระหว่างพูด คุณชายใหญ่เซียวชิงกับสะใภ้ใหญ่จางซื่อก็เข้ามา หลี่เมิ่งซีลุกขึ้น รอจนพวกเขาคารวะเหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ นายหญิงใหญ่เสร็จแล้ว นางจึงค่อยเข้ามาทักทายพวกเขา ทั้งสองเห็นหลี่เมิ่งซีอยู่ที่นี่ต่างก็ตะลึงงัน
“น้องรองหายดีแล้วหรือ ไยวันนี้เจ้าจึงมาที่นี่แล้วเล่า” คุณชายใหญ่มองหลี่เมิ่งซีพลางถาม
“คุณชายรองดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณคุณชาย…”
หลี่เมิ่งซียังพูดไม่ทันจบ สาวใช้ก็เข้ามารายงานอย่างเร่งร้อน “เหล่าไท่จวิน! เหล่าไท่จวิน! แย่แล้วเจ้าค่ะ!” สาวใช้คนหนึ่งวิ่งหน้าเริดเข้ามาและคุกเข่าลงบนพื้น
“อะไรแย่แล้ว เช้าตรู่เช่นนี้ กลับไม่มีระเบียบแม้แต่น้อย ใครก็ได้ ตบปาก!” เหล่าไท่จวินเห็นเช่นนั้นก็โมโห
“บ่าวสมควรตาย เพียงแต่เมื่อครู่นี้บ่าวได้ยินหงอวี้มาแจ้งข่าวว่าตอนเช้าคุณชายรองหมดสติไปอีกแล้ว ด้วยความร้อนใจจึงพูดผิดไป บ่าวยินดีรับผิดเจ้าค่ะ”
ทุกคนในห้องโถงหันมามองหลี่เมิ่งซีอย่างพร้อมเพรียง นางตกใจจนเหงื่อเย็นไหลทั่วตัว นางไม่เหมาะกับการโกหกจริงๆ เพิ่งจะโกหกไปได้ครึ่งเดียวเท่านั้น ความก็แตกเสียแล้ว
“หลานอกตัญญู เมื่อครู่นี้หลานโกหก ขอเหล่าไท่จวินโปรดลงโทษด้วย” หลี่เมิ่งซีก้าวไปข้างหน้าพลางคุกเข่าลงกับพื้น ในใจสงสัยเหลือเกินว่าคุณชายรองหมดสติไปอีกครั้งได้อย่างไร แต่ในใจย่อมรู้ดีว่ายามนี้ควรยอมรับเสียว่าตนเองโกหก
“ซีเอ๋อร์ นี่มันเรื่องอันใดกัน ไหนเจ้าว่าจวิ้นเอ๋อร์ดีขึ้นมากแล้วมิใช่หรือ เหตุใดจึงเป็นลมไปอีกแล้วเล่า” น้ำเสียงของเหล่าไท่จวินเฉียบขาดขึ้นมา
“เรียนเหล่าไท่จวิน เมื่อวาน…เมื่อวานคุณชายรองอยู่กับหลี่อี๋เหนียงเจ้าค่ะ ตอนเช้าก่อนหลานจะมาที่นี่ยังไม่ได้พบคุณชายรองเลย ที่บอกว่าคุณชายรองดีขึ้นมากแล้วเป็นเพียงการคาดเดาของหลานเองเท่านั้น ขอเหล่าไท่จวินโปรดลงโทษด้วยเจ้าค่ะ”
ได้ยินเช่นนั้น ทุกคนในห้องโถงต่างตะลึงงัน
คุณชายรองช่างเหลวไหลจริงๆ ไยจึงไปเรือนของอนุตั้งแต่วันที่สองของการแต่งงาน! นี่มิเท่ากับตบหน้าสะใภ้รองที่เป็นภรรยาเอกหรอกหรือ แล้ววันหน้าจะให้ข้ารับใช้ในคฤหาสน์มองสะใภ้รองผู้นี้อย่างไร
เซียวชิงเหลือบมองหลี่เมิ่งซีด้วยความเห็นใจ แม้จะอยากพูดอะไรบ้าง แต่ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ควรเป็นเขาที่ออกหน้า
“เหลวไหล!” นายท่านใหญ่โมโหจนตบโต๊ะและลุกขึ้นยืน
“ซีเอ๋อร์ลุกขึ้นก่อนเถอะ ไปดูอาการจวิ้นเอ๋อร์ก่อน กลับมาค่อยว่ากัน!” เหล่าไท่จวินเอ่ยปากในที่สุด ทุกคนถึงนึกขึ้นได้ว่าคุณชายรองยังหมดสติอยู่ คนกลุ่มใหญ่จึงห้อมล้อมเหล่าไท่จวินมุ่งหน้าไปยังเรือนของหลี่อี๋เหนียงอย่างร้อนใจ
ยามนี้เรือนของหลี่อี๋เหนียงวุ่นวายโกลาหลไปหมด เซียวจวิ้นนอนสลบไสลอยู่บนเตียง หลี่อี๋เหนียงนั่งอยู่ข้างเตียงอย่างประหม่าร้อนใจ มือกำผ้าเช็ดหน้าแน่น บิดแล้วบิดอีก จิตใจว้าวุ่นไปหมด เหตุใดคุณชายรองจึงโรคกำเริบอีกแล้ว นางรู้ว่าโทษทัณฑ์ครั้งนี้ตนหนีไม่พ้นแน่ หวังเพียงคุณชายรองจะไม่เป็นอะไร และเหล่าไท่จวินอย่าไล่นางออกจากคฤหาสน์นี้เป็นพอ
หลี่อี๋เหนียงก็ไม่เข้าใจเช่นกัน เมื่อคืนก่อนนอนคุณชายรองยังดีๆ อยู่ เช้าวันนี้ไฉนจึงเป็นเช่นนี้ ความยินดีที่เอาชนะสะใภ้รองได้เมื่อวานหายไปสิ้น ด้านหนึ่งสั่งสาวใช้ไปเชิญหมอ อีกด้านหนึ่งส่งคนไปเรียนเหล่าไท่จวิน ทั้งยังส่งสาวใช้ประจำตัวไป๋จวี๋ไปหาสะใภ้รอง อยากขอร้องให้นางรับตัวคุณชายรองไปที่เรือนกลางก่อน แบบนี้เหล่าไท่จวินจะได้ไม่ต้องเห็นคุณชายรองอยู่ที่เรือนของนาง นางจะได้ไม่ต้องถูกลงโทษหนักเกินไปนัก สุดท้ายไป๋จวี๋บอกว่าสะใภ้รองไปคารวะเหล่าไท่จวินแต่เช้าแล้ว ครั้นคิดว่าไม่รู้สะใภ้รองจะพูดจาว่าร้ายนางต่อหน้าเหล่าไท่จวินเช่นไรบ้าง นางก็ยิ่งรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนพรมตะปู ใบหน้านางซีดเผือดทันใด ทั้งทำอะไรไม่ถูก และไม่เหลือไหวพริบเฉกเช่นยามปกติอีกต่อไป
หลี่เมิ่งซีประคองนายหญิงใหญ่เดินตามเหล่าไท่จวินเข้ามาในห้อง ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ เข้าก็ตกใจ อำพันทะเล! ดวงตากวาดมองห้องของหลี่อี๋เหนียงอย่างรวดเร็ว และพบหงซินเจียวกระถางหนึ่งที่ใต้หน้าต่างตามคาด
หลี่อี๋เหนียงคือคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังหรือ ตามหลักแล้ว หลี่อี๋เหนียงเป็นอนุ ถือเป็นสมบัติของเซียวจวิ้น ทุกสิ่งทุกอย่างของนางล้วนมาจากเขา เซียวจวิ้นดีนางดี เซียวจวิ้นตายนางดับสูญ นางเป็นคนที่ไม่น่าจะทำร้ายเซียวจวิ้นมากที่สุด แต่ถ้าไม่ใช่นาง แล้วจะอธิบายได้อย่างไรว่าทั้งที่ถูกพิษจากอำพันทะเลกับหงซินเจียวเหมือนกัน แต่ทำไมมีแต่เซียวจวิ้นเท่านั้นที่ถูกพิษ หลี่อี๋เหนียงกลับไม่เป็นอะไร หรือว่าหลี่อี๋เหนียงจะถูกคนข้างนอกที่หมายจะปองร้ายเซียวจวิ้นส่งเข้ามา เห็นทีคงต้องรีบตรวจสอบความเป็นมาของหงซินเจียวเสียแล้ว ทั้งต้องสืบเบื้องหลังของหลี่อี๋เหนียงให้กระจ่างแจ้ง
แต่ไม่ว่าใครคิดปองร้ายเซียวจวิ้น ยามนี้หลี่เมิ่งซีก็ปล่อยให้เขาตายไม่ได้ทั้งนั้น ดูแล้วอนุของเซียวจวิ้นล้วนไม่ธรรมดา ยามนี้เซียวจวิ้นต้องอยู่ข้างกายนางถึงจะปลอดภัยที่สุด แต่ต้องทำอย่างไรจึงจะรั้งเซียวจวิ้นให้อยู่ข้างกายนางได้ก่อนที่นางจะตรวจสอบความเป็นมาของหงซินเจียวและเบื้องหลังของอนุของเขาจนกระจ่างแจ้ง หลี่เมิ่งซีบิดผ้าเช็ดหน้าผ้าไหมในมือแน่น ใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว
เหล่าไท่จวินเข้ามาแล้วก็ปราดไปที่หน้าเตียง ครั้นเห็นหลานรักนอนหน้าซีดเผือดอยู่บนเตียง ไม่มีความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเหมือนเมื่อวาน แต่กลับดูเหมือนคนหมดทางรอดเช่นเมื่อหลายวันก่อน ในใจพลันตระหนก หรือว่าหลานคนนี้ของนางจะหมดทางรอดจริงๆ เสียแล้ว
“ทำไมยังไม่ตามหมอมาอีก!” เหล่าไท่จวินกุมมือเซียวจวิ้นพลางตวาด
“อนุส่งคนไปเชิญหมอแล้วเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวก็มา” หลี่อี๋เหนียงคุกเข่าบนพื้นตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ
เหล่าไท่จวินถึงได้สังเกตเห็นหลี่อี๋เหนียงที่คุกเข่าอยู่บนพื้น จึงชี้หน้านางแล้วร้องด่า
“นางตัวดี! มีใบหน้างดงามยั่วเย้า แต่กลับไม่ตั้งใจปรนนิบัติคุณชายรองของเจ้า วันๆ ดีแต่ชักจูงคุณชายรองให้ออกนอกลู่นอกทาง วันนี้หากจวิ้นเอ๋อร์เป็นอะไรไป ข้าจะถลกหนังเจ้าออกมาเป็นคนแรก ใครก็ได้ ลากตัวนางออกไป ตบปากยี่สิบทีและเอาไปขังไว้!”
บ่าวหญิงสูงวัยสองคนเข้ามา คนหนึ่งเข้ามาจับหลี่อี๋เหนียงไว้ อีกคนตบปากหลี่อี๋เหนียงดังเพียะๆ บ่าวหญิงสูงวัยพวกนี้ล้วนเป็นคนฉลาด เห็นว่าวันนี้เหล่าไท่จวินโมโหแล้วจริงๆ มีหรือจะไม่ออกแรงอย่างเต็มที่ ถือเป็นการประจบเอาใจเหล่าไท่จวินด้วย เพียงไม่กี่ทีหลี่อี๋เหนียงก็ถูกตบจนปากบวม จมูกกับปากมีเลือดไหลออกมา
เซียวจวิ้นตื่นเพราะเสียงดังเพียะๆ กับเสียงหวีดร้องของหลี่อี๋เหนียง เห็นหลี่อี๋เหนียงถูกตบจนมีสภาพเช่นนั้นก็พลันปวดใจ “ท่านย่า โรคของจวิ้นเอ๋อร์ไม่เกี่ยวอันใดกับหลี่อี๋เหนียง ท่านย่าโปรดละเว้นนางเถิดขอรับ!”
เหล่าไท่จวินได้ยินหลานชายปกป้องหลี่อี๋เหนียง ไฟในใจก็ยิ่งลุกโหม สั่งบ่าวหญิงว่า “ตบอีก! ตบให้แรงๆ!”
เซียวจวิ้นเห็นเหล่าไท่จวินโมโหจริงๆ แล้ว ทั้งเหลือบเห็นบิดามารดายืนหน้าบึ้งอยู่หลังเหล่าไท่จวินด้วย เขาจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก เพียงมองหลี่อี๋เหนียงด้วยความสงสารเท่านั้น
เหล่าไท่จวินรอให้บ่าวหญิงตบปากจนเสร็จ กระทั่งลากตัวหลี่อี๋เหนียงออกไปแล้ว จึงค่อยชี้อี๋เหนียงอีกสามคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นและสั่งสอน “ต่อไปปรนนิบัติคุณชายรองของพวกเจ้าให้ดี อย่าเอาแต่ยั่วยวนปั่นหัวคุณชายรองหรือใช้อุบายอันใด หากคุณชายรองเป็นอะไรไป ระวังหนังของพวกเจ้าให้ดี!”
สั่งสอนเสร็จแล้วเหล่าไท่จวินจึงหันไปเรียกบ่าวชายเข้ามา ใช้ตั่งนุ่มหามเซียวจวิ้นกลับเรือนกลาง ทุกคนก็ตามไปที่เรือนกลางด้วย
เวลานี้สาวใช้เข้ามารายงานว่าหมอมาแล้ว รออยู่ข้างนอก เหล่าไท่จวินรีบไล่ทุกคนในห้องออกไป เหลือไว้เพียงนางกับนายท่านใหญ่ แล้วค่อยเรียกหมอเข้ามา
หมอที่มายังคงเป็นหมอหลี่คนเดียวกับเมื่อวาน เห็นเขาจับชีพจรไปพลางมุ่นคิ้วไปพลาง ที่แท้ในใจของหมอหลี่กำลังสงสัย ไฉนเมื่อวานยังดีๆ อยู่ วันนี้กลับเป็นเช่นนี้เสียแล้ว โรคนี้เมื่อวานหายดีอย่างแปลกประหลาด วันนี้ก็กำเริบขึ้นอีกครั้งอย่างแปลกประหลาด เขาไม่พูดอะไรอยู่นาน เอาแต่ส่ายหัวเพียงอย่างเดียว
ตามหลักแล้ว เซียวจวิ้นถูกพิษที่ออกฤทธิ์ช้า สูดกลิ่นหอมคืนเดียวเดิมทีก็ไม่ควรเป็นอะไร แต่แย่ตรงที่พิษของเซียวจวิ้นได้เข้าสู่กระดูกแล้ว หลี่เมิ่งซีถอนพิษให้เขาได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ยังต้องใช้เวลาอีกเดือนกว่าจึงจะกำจัดพิษได้หมดสิ้น แต่เมื่อคืนเขาถูกพิษแบบเดิมเข้าไปอีก จึงเหมือนคนที่เป็นโรคลมหนาว เวลาใกล้หายกลับถูกความเย็นจนกลับมาเป็นใหม่อีกครั้ง เมื่อโรคย้อนกลับมาอาการจะรุนแรงกว่าตอนแรก นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้หมอส่ายศีรษะ เขารู้สึกว่าอาการของเซียวจวิ้นร้ายแรงยิ่งกว่าสองสามวันก่อนเสียอีก ใจคิดว่าหมดทางรอดแน่แล้ว ควรเตรียมงานรอได้ แต่ถึงอย่างไรคนยิ่งแก่ยิ่งเจ้าเล่ห์ ม้ายิ่งแก่ยิ่งไม่ซื่อ คำพูดนี้หมอหลี่จึงไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ
เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่เห็นหมอแสดงท่าทีเช่นนี้ หัวใจก็หนาวเยือกไปกว่าครึ่ง นายท่านใหญ่ฝืนใจถามว่า “ท่านหมอ อาการของจวิ้นเอ๋อร์ ร้ายแรงหรือไม่”
“ผู้น้อยความรู้ตื้นเขิน ตรวจหาสาเหตุโรคของคุณชายไม่พบจริงๆ ชีพจรแผ่วเหมือนเมื่อสองสามวันก่อน เพียงแต่วันนี้อาการหนักกว่า ผู้น้อยไร้ความสามารถจริงๆ นายท่านเชิญผู้มีความสามารถท่านอื่นมาดูเถอะขอรับ!” พูดจบก็ไม่รอให้นายท่านใหญ่รั้งตัวไว้ เก็บของเสร็จก็รีบร้อนเดินออกไปทันที ราวกับเกรงว่าหากช้าไปจะมีภูตผีไล่ตามหลังมาเสียอย่างนั้น
เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่เห็นท่าทางของหมอแล้ว หัวใจทั้งสองพลันจมลงสู่ก้นเหว จวิ้นเอ๋อร์หมดทางเยียวยาแล้วจริงๆ หรือ สกุลเซียวของข้าจะไม่มีลูกหลานสายตรง การสืบทอดเชื้อสายจะขาดสะบั้นนับแต่นี้ไปจริงๆ หรือ
ที่แท้ประมุขคนก่อนของสกุลเซียว เซียวเหล่าไท่เหยียมีบุตรชายสองคน นายท่านใหญ่เซียวเฉินเกิดจากเหล่าไท่จวินซั่งกวนซื่อ นายท่านรองเซียวจื้อเกิดจากอนุ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองหยางโจว เป็นขุนนางลำดับหลักขั้นสาม ชีวิตนี้นายท่านใหญ่มีเซียวจวิ้นเป็นบุตรชายสายตรงเพียงคนเดียวเท่านั้น แม้นายท่านรองเองก็มีบุตรชายสายตรงเช่นกัน แต่นายท่านรองหาได้เกิดจากเหล่าไท่จวินไม่ นางจึงยอมรับเซียวจวิ้นเป็นหลานสายตรงเพียงคนเดียวเท่านั้น กำหนดตำแหน่งประมุขของสกุลให้เขาตั้งแต่เกิด ด้วยเป็นหลานสายตรงที่เกิดจากบุตรชายคนโต เหล่าไท่จวินจึงประคบประหงมเซียวจวิ้นยิ่งกว่าอะไร ตอนนี้เห็นหมอเอาแต่ส่ายหน้า ทำให้นางดูแก่ชราลงไปหลายปี ราวกับขาดหลักยึดเหนี่ยวทางจิตใจไป
นั่งเหม่ออยู่ตรงนั้นเนิ่นนานกว่าที่เหล่าไท่จวินจะเรียกสาวใช้เข้ามา สั่งให้ปรนนิบัติคุณชายรองให้ดี ก่อนจะไปที่ห้องโถงหลักกับนายท่านใหญ่
ทุกคนรออยู่ในห้องโถง แม้แต่เซียวอวิ้นที่ได้ยินว่าพี่รองป่วยก็รีบรุดมา
นายหญิงใหญ่ได้ยินนายท่านใหญ่เอ่ยทวนคำพูดของหมอก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น “ลูกชายที่อาภัพของข้า! เมื่อวานหายดีแล้วมิใช่หรือ นายท่านใหญ่รีบคิดหาวิธีเถอะ จะปล่อยจวิ้นเอ๋อร์ทิ้งไว้เช่นนี้ไม่ได้ ไปขอร้องพระชายาจิ้งเฟยอีกครั้งเถอะ!”
หลี่เมิ่งซีเองก็ร้อนใจเช่นกัน นางรู้ว่าพิษนี้หากกำเริบขึ้นอีกครั้ง อาการจะหนักกว่าเก่า แต่ก็ไม่อาจบอกต่อหน้าทุกคนได้ว่าเซียวจวิ้นถูกพิษ แต่นางก็ต้องถอนพิษให้เขา ผ้าเช็ดหน้าในมือถูกนางบิดแล้วบิดอีก อยากก้าวออกไป แต่ก็รู้สึกเป็นการไม่เหมาะสม ดวงหน้าเล็กสะกดกลั้นอารมณ์จนแดงก่ำ ร้อนใจยิ่งนัก
เหล่าไท่จวินนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ตรงนั้น ฟังคำพูดของนายหญิงใหญ่แล้ว จึงคิดถึงเรื่องแต่งงานเสริมมงคลขึ้นมาได้ สายตาเลื่อนไปยังหลี่เมิ่งซี เห็นอีกฝ่ายทำท่าร้อนใจเหมือนมีอะไรจะพูดจึงเอ่ยถาม “ซีเอ๋อร์ เป็นอะไรไป เจ้ามีอะไรหรือไม่”
หลี่เมิ่งซีก้าวเร็วๆ ขึ้นมา แล้วคุกเข่าลงกับพื้น “หลานไม่กล้าพูดเจ้าค่ะ เหล่าไท่จวินโปรดลงโทษด้วย คำพูดเหล่านี้หากหลานพูดออกไปเกรงว่าจะไม่งาม ไม่พูดก็เกรงว่าจะเป็นผลเสียต่อสุขภาพของคุณชายรอง”
“พูดมา เรื่องอะไร!” เหล่าไท่จวินพอได้ยินว่าเกี่ยวกับสุขภาพของเซียวจวิ้นก็ผุดลุกขึ้นทันใด ท่าทางกระตือรือร้นขึ้นมา ทุกคนต่างหันมามองอย่างพร้อมเพรียง
“หลาน หลาน…” หลี่เมิ่งซีอึกๆ อักๆ พูดไม่ออก
“เรื่องอะไรก็เจ้าพูดออกมาเถอะ ข้าไม่ตำหนิเจ้าหรอก!” เหล่าไท่จวินเห็นหลี่เมิ่งซีพูดไม่ออกก็ร้อนใจเข้าจริงๆ จึงขึ้นเสียงสูง
“เรื่องใดจะสำคัญไปกว่าร่างกายของจวิ้นเอ๋อร์ ลูกสะใภ้รีบพูดมาเถอะ!” นายท่านใหญ่ร้อนใจตามไปด้วยและออกคำสั่ง
“ก่อนหลานจะออกเรือน มารดาที่บ้านเดิมได้ยินมาว่าคุณชายรองป่วยจึงเคยให้หมอมาดูดวงชะตาของหลาน หมอดูบอกว่าคุณชายรองเปี่ยมด้วยบุญบารมี เรื่องร้ายต้องกลับกลายเป็นดีแน่ บอกมารดาว่าไม่ต้องกังวล เพียงแต่…เพียงแต่…”
“เพียงแต่อะไร!” เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่ถามพร้อมกัน
“เพียงแต่ระหว่างการแต่งงานเสริมมงคล คุณชายรอง…คุณชายรองต้องพักอยู่ในเรือนกลางเป็นเวลาครึ่งเดือนเต็มเจ้าค่ะ” หลี่เมิ่งซีพูดจบก็แนบศีรษะไปกับพื้น ใบหน้าของนางแดงปลั่ง
เวลาครึ่งเดือน น่าจะเพียงพอให้นางตรวจสอบและแก้ไขเรื่องทุกอย่างได้แล้วกระมัง
ยามนี้ทุกคนเห็นหลี่เมิ่งซีหน้าแดง ต่างก็ล้วนคิดว่านางเขินอาย ไหนเลยจะรู้ว่านางกำลังกลั้นหัวเราะและตื่นเต้น จังหวะที่เหล่าไท่จวินร้องเรียกนางนั้น ความคิดพลันบังเกิด ในที่สุดก็ทำให้นางคิดอุบายเหนือชั้นออกมาได้ หลี่เมิ่งซีลอบชมตนเองว่าช่างมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ จึงกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ
ตามหลักแล้ว คำพูดนี้หากอยู่ในยุคปัจจุบันย่อมไม่มีใครเชื่อ แต่ความบังเอิญอยู่ที่ตอนหลี่เมิ่งซีเอ่ยคำพูดนี้ เซียวจวิ้นเป็นโรคที่รักษาไม่ได้จริงๆ อีกทั้งแม้แต่หมอหลวงยังจนปัญญา เขาป่วยด้วยอาการประหลาด ที่สำคัญที่สุดคือหลังแต่งงานเสริมมงคลแล้ว โรคของเซียวจวิ้นกลับหายดีอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อคืนบังเอิญด้วยเซียวจวิ้นไม่ได้อยู่ในเรือนของหลี่เมิ่งซี เขาจึงล้มป่วยอีกครั้งอย่างไร้สาเหตุ ครั้งนี้หมอไม่ได้จ่ายยาด้วยซ้ำก็จากไปแล้ว ตามหลักสกุลเซียวเป็นสกุลสูงศักดิ์ในต้าฉี แค่กระทืบเท้าเล็กน้อย เมืองผิงหยางก็สั่นสะเทือน แค่กระแอมไอ เมืองผิงหยางก็เป็นหวัด คนทั่วไปใครจะกล้าเสียมารยาทเช่นนี้ ทว่ากลับหมอทำเช่นนี้ บอกได้เพียงว่าเขาจนปัญญาแล้วจริงๆ เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้คนในห้องรวมถึงเหล่าไท่จวินและนายท่านใหญ่ต่างก็เชื่อคำพูดเหลวไหลของหลี่เมิ่งซี นี่เรียกว่าไท่กงตกปลา ผู้สมัครใจติดเบ็ดเอง
“เหลวไหล! ในเมื่อหมอดูเคยบอกไว้ว่าจวิ้นเอ๋อร์ต้องอยู่ในเรือนกลางครึ่งเดือน แล้วเหตุใดเมื่อคืนเจ้ายังปล่อยให้จวิ้นเอ๋อร์ไปที่เรือนหลี่อี๋เหนียงอีก นางคนแพศยา คิดจะฆ่าจวิ้นเอ๋อร์ให้ตายหรือไร!”
คนที่ไม่เชื่อคำพูดนี้ก็มีเหมือนกัน คนผู้นั้นก็คือนายหญิงใหญ่ชุยซื่อ นางคิดว่าเป็นเพราะหลี่เมิ่งซีมัดใจของจวิ้นเอ๋อร์เอาไว้ไม่ได้จึงได้ใช้อุบายนี้ อาศัยประโยชน์จากอาการป่วยของจวิ้นเอ๋อร์และความรักหลานของเหล่าไท่จวิน ใช้เรื่องราวลึกลับนี้มาผูกจวิ้นเอ๋อร์ให้อยู่ที่เรือนตน ในใจคิดว่า ตอนนี้จวิ้นเอ๋อร์เป็นตายยังไม่รู้ เจ้าเป็นภรรยาของเขา ไม่คิดว่าจะช่วยเขาอย่างไร ยังจะมาแก่งแย่งชิงดีในเวลานี้อีกหรือ นางรู้สึกชิงชังหลี่เมิ่งซีมากกว่าเดิม แต่นางก็ไม่อาจอธิบายอาการเดี๋ยวดีเดี๋ยวหายของจวิ้นเอ๋อร์ได้เช่นกัน จึงได้แต่คาดคั้นหลี่เมิ่งซีไปเช่นนี้ หวังให้นางหาเหตุผลมาชี้แจงไม่ได้ คำโกหกย่อมจะถูกเปิดโปงออกมาเอง
หลี่เมิ่งซีฟังวาจาคาดคั้นของนายหญิงใหญ่แล้วจึงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตากระจ่างกลอกไปมานิดๆ มองเพียงเหล่าไท่จวิน ริมฝีปากแดงเผยอออก “เดิมทีหลานก็ไม่เชื่อหรอกเจ้าค่ะ คำพูดเหลวไหลของหมอดูเดิมทีมิอาจยึดถือเป็นจริงจังได้อยู่แล้ว โลกนี้จะมีเรื่องบังเอิญถึงเพียงนี้ได้อย่างไร อีกทั้งเรื่องนี้ยังกระทบต่อชื่อเสียงของหลาน ดังนั้นที่ผ่านมาหลานจึงไม่กล้าพูด ตั้งแต่หลานแต่งเข้าสกุลเซียวก็หวังอยู่เสมอว่าคุณชายรองจะหายดี อีกทั้งคุณชายรองก็เป็นสามีของหลาน หลานเคารพนับถือยังแทบไม่ทัน ไหนเลยจะกล้าปองร้าย เมื่อวานหลานไม่ได้ต้องการให้คุณชายรองไปเรือนของหลี่อี๋เหนียง แต่เป็นคุณชายรองเองที่ดึงดัน หลานไม่กล้าห้าม ขอเหล่าไท่จวินโปรดวินิจฉัยด้วยเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับเหมือนแฝงความอึดอัดคับข้องใจไว้มากมาย คล้ายมีแรงต้านอย่างหนึ่งที่มองไม่เห็น นางจึงโต้กลับนายหญิงใหญ่ได้อย่างอ่อนโยน
“ท่านย่า บิดา มารดา บางทีน้องสะใภ้อาจเป็นบุคคลที่อุปถัมภ์น้องรองได้จริงๆ ก็เป็นได้ ในเมื่อตอนนี้ไม่มีหนทางอื่นก็ลองดูก่อนเถอะขอรับ” คุณชายใหญ่เซียวชิงเหลือบมองน้องสะใภ้ด้วยความสงสาร แล้วเสนอกับเหล่าไท่จวิน
คุณชายสามกลับมองพี่สะใภ้รองด้วยสีหน้าซับซ้อน โดยไม่เอ่ยอะไร
นายท่านใหญ่ขึงตาใส่นายหญิงใหญ่ทีหนึ่ง มองลูกสะใภ้คนนี้และคิดในใจ ลูกสะใภ้คนนี้ดีทุกอย่าง แต่ไฉนจึงมัดใจจวิ้นเอ๋อร์ไม่ได้นะ คืนวันที่สองของการแต่งงานก็ปล่อยให้จวิ้นเอ๋อร์ไปค้างคืนกับอนุเสียแล้ว ไม่พูดถึงความไม่เหมาะสม เอาแค่เรื่องหน้าตาก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควรแล้ว! ในใจเขารู้สึกโมโหลูกชายอยู่แล้ว แต่ลูกชายตนเองถึงอย่างไรย่อมดีที่สุด อีกทั้งตอนนี้ลูกชายก็ป่วยอยู่ เป็นตายยังไม่รู้ ทำให้เขาโทษลูกสะใภ้คนนี้ว่าไร้ความสามารถ สุดท้ายยังต้องให้เขาที่เป็นพ่อช่วยออกหน้า มัดตัวลูกชายไว้ที่เรือนของนาง ช่างน่าขายหน้าจริงๆ!
คิดเช่นนี้แล้ว จึงพูดกับนายหญิงใหญ่ “สั่งจวิ้นเอ๋อร์ว่าภายในเวลาครึ่งเดือนห้ามออกจากเรือนกลาง บอกอี๋เหนียงสี่คนนั้นด้วยว่าในเวลาครึ่งเดือนนี้ ใครกล้ายุยงคุณชายรองให้ออกจากเรือนกลางอีก จะถูกขับออกจากคฤหาสน์สกุลเซียว!”
“เจ้าค่ะ ข้าภรรยาจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” นายหญิงใหญ่เห็นนายท่านใหญ่ไม่พอใจก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก เพียงรับคำอย่างนอบน้อม
“ทุกคนกลับไปเถอะ อย่ามัวมาอยู่ตรงนี้เลย รบกวนจวิ้นเอ๋อร์พักผ่อน สองวันนี้ซีเอ๋อร์ไม่ต้องไปคารวะที่เรือนหลักแล้ว ปรนนิบัติจวิ้นเอ๋อร์อยู่ในเรือนให้ดีก็พอ”
เหล่าไท่จวินกลับคิดไปไกลยิ่งกว่า นางเห็นหลี่เมิ่งซีหน้าแดง ด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังกลั้นหัวเราะ นางย่อมคิดเชื่อมโยงไปถึงการร่วมหอ คืนวันเข้าหอตามหลักแล้วด้วยสภาพร่างกายของจวิ้นเอ๋อร์ ไม่อาจทำเรื่องลมฝนเช่นนั้นได้ ทว่าทั้งสองกลับปฏิบัติตามธรรมเนียมโจวกง แล้วจริงๆ อีกทั้งโรคของจวิ้นเอ๋อร์ยังหายดีอย่างน่าประหลาด บางทีซีเอ๋อร์อาจฟังคำพูดของมารดากับหมอดูมา เป็นฝ่ายลงมือตอนที่จวิ้นเอ๋อร์สลบไสลกระมัง มีเพียงการทำเช่นนี้เท่านั้นจึงจะช่วยชีวิตจวิ้นเอ๋อร์ได้ คิดเช่นนี้แล้วย่อมเข้าใจได้ว่าเหตุใดจวิ้นเอ๋อร์จึงไปเรือนอนุในคืนวันที่สองของการแต่งงาน โลกนี้นอกจากสตรีในหอโคมเขียวแล้ว สตรีที่ไหนยังจะกล้าเป็นฝ่ายลงมือในเรื่องนี้อีกเล่า บุรุษที่ไหนล้วนยอมรับสตรีเช่นนี้ไม่ได้ทั้งนั้น
ลำบากหลานสะใภ้ผู้นี้แล้วจริงๆ ครั้นคิดว่าเมื่อเช้าหลี่เมิ่งซียังช่วยจวิ้นเอ๋อร์ปกปิด คิดเผื่อหลานชายคนนี้ของตนอยู่เสมอ ในใจก็ยิ่งรักใคร่สงสารหลี่เมิ่งซีมากขึ้นอีกหลายส่วน
เหล่าไท่จวินเห็นหลี่เมิ่งซีใบหน้าแดงปลั่ง ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่านางเขินอายยากจะรับไหวจึงทึกทักไปเองว่าทั้งสองต้องร่วมหอกันเท่านั้นถึงจะช่วยชีวิตหลานชายของตนได้ ดังที่กล่าวกันว่าเมื่อป่วยหนักย่อมเสาะแสวงหาทางรักษาไปทั่ว ถึงอย่างไรหมอก็ไม่แม้แต่จะจ่ายยาให้ด้วยซ้ำ ย่อมมิอาจปล่อยให้จวิ้นเอ๋อร์เสียเวลาไปเรื่อยๆ เช่นนี้ มิสู้ลองทำตามวิธีของซีเอ๋อร์ ถือเป็นการลองดูครั้งสุดท้ายแล้วกัน
เรื่องดำเนินมาถึงบัดนี้จวิ้นเอ๋อร์เป็นตายยังไม่รู้ เรื่องนี้เชื่อว่ามีหนทางย่อมดีกว่าเชื่อว่าไม่มีหนทาง ด้วยเหตุนี้นางจึงไล่ทุกคนออกไป เปิดพื้นที่ให้สองสามีภรรยา
หากหลี่เมิ่งซีล่วงรู้ความคิดของเหล่าไท่จวิน นางจะต้องเอาศีรษะโขกกำแพงเป็นแน่ และคงคิดว่า
บรรพบุรุษข้า! หน้าของหลานสะใภ้ยังไม่หนาถึงเพียงนั้นนะเจ้าคะ!
“ตอนเช้าคุณชายรองกินโจ๊กไปหรือยัง” หลี่เมิ่งซีกลับเข้าไปในห้องนอน เห็นหงจู หงอวี้เฝ้าอยู่ข้างเตียง จึงเอ่ยถาม
“ยกโจ๊กเข้ามาแล้วเจ้าค่ะ แต่คุณชายรองบอกว่าไม่อยากกิน อาหารเย็นหมดแล้วจึงให้ยกออกไป” หงจูตอบ
หลี่เมิ่งซีคิดแล้วก็สั่งว่า “หงอวี้อยู่ดูแลคุณชายรองที่นี่ หงจูไปห้องครัวกับข้า ทำน้ำแกงเผ็ดร้อน สักชามมาให้คุณชายรองดื่มเพื่อกระตุ้นความอยากอาหาร”
หงจูลังเลครู่หนึ่ง อยากพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ประคองสะใภ้รองเดินไปที่ห้องครัว
หงอวี้ก็คิดเหมือนหงจู เหตุใดสะใภ้รองผู้นี้จึงเลอะเลือนเช่นนี้ เห็นอยู่แล้วว่าคุณชายรองกินอะไรไม่ลง ยังไม่คิดหาวิธีรักษาโรคให้คุณชายรองอีก ยังจะวิ่งไปห้องครัวเพื่อทำอาหาร ราวกับว่าคุณชายรองไม่ได้เป็นอะไรเสียอย่างนั้น ยามนี้ต้องให้คุณชายรองกินยาต่างหาก! ในความคิดหงอวี้ สะใภ้รองผู้นี้นอกจากทำอาหารแล้ว อย่างอื่นล้วนทำไม่เป็น แต่นางเห็นหงจูไม่พูดอะไรจึงหุบปากเสีย
เมิ่งซีให้หงจูประคองมาที่ห้องครัวเล็ก ใช้หูหลัวปัว หั่นฝอย หน่อไม้หั่นฝอย เห็ดหูหนูดำหั่นฝอย และใบไห่ถังทำน้ำแกงเผ็ดร้อนชามหนึ่ง ใช้น้ำส้มเก่า ขิงสด พริกป่น และเครื่องเทศอื่นๆ ปรุงรส ทั้งยังเพิ่มไข่ไก่เข้าไปหนึ่งฟอง ชิมดูแล้วพบว่ารสชาติดีมาก มองอย่างไรก็เป็นแค่น้ำแกงเผ็ดร้อนธรรมดาชามหนึ่ง ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่านี่จะเป็นยาถอนพิษชั้นดี
หลี่เมิ่งซีใช้พริกไทยแทนพริกแห้ง หนึ่งเพราะกลัวพริกแห้งจะกัดลำไส้เกินไป ตอนนี้กระเพาะของเซียวจวิ้นอ่อนแอเกินไป ไม่เหมาะที่จะกินพริกแห้ง สองเพราะพริกไทยสามารถกระตุ้นต่อมรับรสได้อย่างเต็มที่ เพิ่มความอยากอาหารให้เซียวจวิ้นได้ ตอนนี้ยังบอกเซียวจวิ้นไม่ได้ว่านี่เป็นยาถอนพิษชั้นดี แต่ต้องทำให้เขาดื่มเสียก่อน ด้วยเกรงว่าเซียวจวิ้นไม่อยากอาหารและจะไม่ยอมกิน น้ำแกงชามนี้หลี่เมิ่งซีจึงทุ่มเทอย่างเต็มที่ นางสั่งให้สาวใช้ตักขึ้นมา วางช้อนลงไป และให้หงจูประคองกลับห้องนอน
เซียวจวิ้นยังคงนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง หงอวี้นั่งอยู่ข้างเตียงอย่างกลัดกลุ้ม ในห้องเงียบสนิท
สั่งหงจูให้ตักน้ำแกงออกมาใส่ถ้วยเล็กแล้ว หลี่เมิ่งซีก็นั่งลงข้างเตียง ใช้มือเขย่าปลุกเซียวจวิ้นและร้องเรียกเสียงเบา “คุณชายรอง ข้าภรรยาได้ยินว่าตอนเช้าคุณชายรองยังไม่ได้กินอาหารจึงเข้าครัวทำน้ำแกงเผ็ดร้อนด้วยตนเอง ช่วยเพิ่มความอยากอาหารได้ คุณชายรองรีบลุกขึ้นมากินตอนร้อนๆ เถอะเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่หิว ตอนนี้ไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น ยกออกไปเถอะ!” เขย่าอยู่นานเซียวจวิ้นก็ตื่น แต่เขายังไม่ลืมตา เพียงพูดอย่างสะลึมสะลือ
หงจูหมุนตัวจะยกน้ำแกงออกไป แต่หลี่เมิ่งซีกลับใช้สายตาห้ามอีกฝ่ายไว้ นางหันกลับไปสั่งหงอวี้ที่ยืนอยู่ด้านข้าง “ประคองคุณชายรองขึ้นมา”
หงอวี้ก้าวเข้ามาช่วยสะใภ้รองประคองคุณชายรองขึ้นมา เซียวจวิ้นดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่งด้วยไม่อยากลุกขึ้น แต่จนใจที่ร่างกายอ่อนแอเกินไป ทั้งหลี่เมิ่งซีเองก็ยืนกราน เขาจึงได้แต่ลุกขึ้นนั่ง หลี่เมิ่งซีส่งสายตาให้หงอวี้ประคองคุณชายรองไปที่หัวเตียง หยิบหมอนอิงมาหนุนไว้ข้างหลัง ตัวนางก็นั่งลงที่ข้างเตียง รับน้ำแกงจากมือหงจูแล้วตักขึ้นมาช้อนหนึ่ง เป่าก่อนจึงค่อยยื่นไปที่ปากเขา
เซียวจวิ้นส่ายหน้า เขาเกลียดความเผด็จการของหลี่เมิ่งซี เดิมทีก็ไม่รู้สึกอยากอาหารอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งไม่อยากกิน จึงปิดปากยืนกรานไม่กิน หงอวี้เห็นแล้วก็ส่ายหน้าอย่างจนใจ
“คิดว่าเมื่อคืนคุณชายรองคงถูกลมเย็นเข้า ถึงได้รู้สึกง่วงงุน ข้าภรรยาทำน้ำแกงเผ็ดร้อนมาให้ ถึงอย่างไรคุณชายรองก็ควรกินบ้าง เหงื่อออกแล้วย่อมรู้สึกดีขึ้น” พูดพลางใช้ช้อนง้างปากเซียวจวิ้นและกรอกน้ำแกงลงไป
หงอวี้รีบก้าวเข้าไปเช็ดน้ำแกงที่ไหลออกมาจากปากคุณชายรอง ใจคิดว่าสะใภ้รองผู้นี้ดูภายนอกอ่อนแอบอบบาง แต่กลับจัดการเรื่องราวต่างๆ อย่างเผด็จการ กับคุณชายรองยังกล้าใช้ไม้แข็งเช่นนี้ เป็นเจ้านายที่รับมือได้ไม่ง่ายนัก วันหน้าต้องระวังรอบคอบมากกว่าเดิมแล้ว
เซียวจวิ้นในใจรังเกียจยิ่งนัก แต่จนใจที่ร่างกายไร้เรี่ยวแรง แม้แต่จะพูดเสียงดังยังไม่มีแรง ไหนเลยจะต้านทานความเผด็จการของหลี่เมิ่งซีได้ เขาลอบคิดในใจ พยัคฆ์ตกที่ราบถูกสุนัขรังแก* โดยแท้ ในใจก็นึกเกลียดหลี่เมิ่งซีไปแล้ว เห็นนางทำท่าไม่ยอมเลิกราหากไม่บรรลุเป้าหมาย เกรงว่าหากยื้อกันเช่นนี้ต่อไปจะเสียหน้าต่อหน้าสาวใช้ได้ เขาจึงโอนอ่อนตามนางด้วยความจนใจ
คงเพราะดื่มน้ำแกงคำแรกเข้าไปแล้ว ตัวน้ำแกงก็ไปกระตุ้นต่อมรับรส พอหลี่เมิ่งซีป้อนคำที่สอง เซียวจวิ้นจึงดื่มอย่างว่าง่าย เพียงไม่นานก็ป้อนน้ำแกงถ้วยหนึ่งจนหมด หลี่เมิ่งซีส่งถ้วยเปล่าให้หงจูพลางส่งสัญญาณให้นางไปตักเพิ่มมาอีกถ้วย
เซียวจวิ้นส่ายหน้าทำท่าจะเอนกายลง แต่กลับถูกหลี่เมิ่งซีคว้าตัวไว้ “คุณชายรองดื่มน้ำแกงตอนร้อนๆ เถอะเจ้าค่ะ ดื่มอีกสักถ้วย เหงื่อออกแล้ว ตัวจะได้เบาขึ้น”
เซียวจวิ้นจนปัญญา เขาฝืนใจดื่มอีกถ้วย หลังจากนั้นไม่ว่าพูดอย่างไรก็ไม่ยอมดื่มอีก
หลี่เมิ่งซีเห็นเขาดื่มไปสองถ้วยก็คิดว่าน่าจะพอแล้ว นางจึงไม่ได้โน้มน้าวอีก เพียงสั่งให้ยกน้ำแกงออกไป แล้วช่วยหงอวี้ประคองเซียวจวิ้นนอนลง ทั้งยังสั่งให้หงจูเพิ่มผ้าห่มให้คุณชายรองอีกผืน ช่วยเหน็บชายผ้าห่มให้ดี ครั้นเห็นเซียวจวิ้นปิดตาหลับไปแล้ว นางจึงหมุนตัวเดินออกจากห้อง เข้ามาในห้องโถง
นอกจากหลี่อี๋เหนียงแล้ว อี๋เหนียงคนอื่นๆ ล้วนรออยู่ข้างนอก นางสั่งตั้งสำรับ แล้วให้อี๋เหนียงทั้งหลายปรนนิบัติกินอาหาร
“เช้าวันนี้พอเข้าไปในห้องของหลี่อี๋เหนียงก็มีกลิ่นหอมประหลาดโชยมาปะทะจมูก หอมมากทีเดียว เหมือนเคยได้กลิ่นจากที่ใดมาก่อน แต่ข้าคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ไม่รู้ว่าเป็นกลิ่นหอมของอะไร” คิดถึงอำพันทะเลในห้องของหลี่อี๋เหนียงแล้ว หลี่เมิ่งซีกินอาหารพลางเอ่ยถามด้วยท่าทีราวกับไม่มีอะไร
“สะใภ้รองไม่รู้อะไร นั่นคืออำพันทะเลเจ้าค่ะ” หวังอี๋เหนียงคีบกับข้าวให้หลี่เมิ่งซีพลางพูด
“อ้อ ข้านึกออกแล้ว คืนวันแต่งงาน ในห้องหอก็จุดอำพันทะเลเช่นกัน ตอนนั้นได้ยินหงจูบอกว่าเป็นของที่พระชายาจิ้งเฟยในวังประทานให้ ข้านี่ความจำแย่นัก รู้สึกเพียงกลิ่นนี้หอม เหมือนว่าเคยได้กลิ่นที่ใดมาก่อน แต่พริบตาเดียวก็นึกไม่ออกเสียแล้ว” หลี่เมิ่งซีตบหน้าผากตนเอง
คนที่มาจากสกุลใหญ่แต่ละคนล้วนเฉลียวฉลาด หวังอี๋เหนียงได้ยินหลี่เมิ่งซีพูดเช่นนี้ ไหนเลยจะคิดตามไม่ได้ นายหญิงคนใหม่ผู้นี้มีหรือจะไม่รู้ว่าเครื่องหอมที่จุดอยู่ในห้องของหลี่อี๋เหนียงคืออะไร นางกำลังรอจังหวะกระมัง ของที่ทางวังหลวงประทานให้คุณชายรอง มีอย่างใดบ้างที่ฐานะอย่างอี๋เหนียงคู่ควรที่จะใช้
แม้ปกติหลี่อี๋เหนียงซึ่งเป็นคนโปรดจะไม่เคยทำดีกับหวังอี๋เหนียง แต่วันนี้เห็นนางถูกลงโทษอย่างหนัก ในใจหวังอี๋เหนียงก็อดสงสารไม่ได้ หลี่อี๋เหนียงยั่วยวนคุณชายรองให้ไปอยู่กับนางตั้งแต่คืนแรกที่สะใภ้รองแต่งเข้ามา แม้เป็นการหักหน้าสะใภ้รองก็จริง แต่เหล่าไท่จวินได้ลงโทษไปแล้ว ตอนนี้เห็นหลี่เมิ่งซียังจะจับผิดหลี่อี๋เหนียง ทำทีราวกับต้องการจะตีสุนัขตกน้ำ จึงลอบคิดในใจว่าสะใภ้รองผู้นี้ออกจะเจ้าคิดเจ้าแค้นและชั่วร้ายเกินไปหน่อย
ถึงอย่างไรหวังอี๋เหนียงก็เป็นคนจิตใจดี คิดถึงเหตุการณ์เช้าวันนี้ตอนอยู่ต่อหน้าเหล่าไท่จวิน คิดว่าสะใภ้รองใช้อุบายรั้งตัวคุณชายรองให้อยู่ที่เรือนกลางถึงครึ่งเดือนแล้ว ยามเผชิญหน้ากับนายหญิงเช่นนี้ หวังอี๋เหนียงที่เป็นอี๋เหนียงเหมือนกันย่อมอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความรู้สึกกระต่ายตายจิ้งจอกอาลัย นางจึงก้าวออกไปชี้แจงแทนหลี่อี๋เหนียง
“สะใภ้รองยังไม่รู้อะไร อำพันทะเลเป็นของประทานจากวังหลวง ตามหลักแล้วอี๋เหนียงไม่มีโอกาสได้ใช้ แต่คุณชายรองชอบกลิ่นหอมชนิดต่างๆ จนเป็นนิสัย โดยเฉพาะกลิ่นอำพันทะเล ตั้งแต่ทางวังหลวงประทานอำพันทะเลมาให้ เรือนแห่งนี้ก็มีข้อกำหนดที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรว่าคุณชายรองค้างที่ใดให้จุดอำพันทะเลที่นั่นตอนกลางคืนเจ้าค่ะ”
“อ้อ!” หลี่เมิ่งซีเข้าใจแล้วว่าใช้อำพันทะเลกับหงซินเจียวในช่วงเวลาเดียวกัน ทำไมจึงมีแต่เซียวจวิ้นเท่านั้นที่ถูกพิษ แต่หลี่อี๋เหนียงกลับไม่เป็นอะไร เซียวจวิ้นใช้เครื่องหอมต่อเนื่องทุกวัน สะสมมานานจนพิษเข้าสู่กระดูก หลี่อี๋เหนียงใช้เป็นครั้งคราวเท่านั้น แม้จะถูกพิษเหมือนกัน แต่เป็นการถูกพิษเพียงเล็กน้อย ภายนอกยังคงดูไม่ออก นางไม่ใจดีพอจนถึงขั้นถอนพิษให้หลี่อี๋เหนียง ถึงอย่างไรถูกพิษแค่นี้ก็ไม่ได้ทำให้คนตาย เพียงแต่เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมตัดหลี่อี๋เหนียงออกจากการเป็นผู้ต้องสงสัยไปได้ แล้วผู้วางยาพิษจะเป็นใครเล่า
หลี่เมิ่งซีขมวดคิ้วมุ่น กินอาหารไปพลางครุ่นคิดไปพลาง จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้น นางเห็นแววดูแคลนในสายตาของจางอี๋เหนียงอย่างชัดเจน หลี่เมิ่งซีก้มหน้าอีกครั้ง กินอาหารเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อี๋เหนียงที่ไม่เจียมตัวพวกนี้ วันหน้าค่อยๆ จัดการแล้วกัน
หลี่เมิ่งซีกินอาหารโดยมีเหล่าอี๋เหนียงปรนนิบัติ บ้วนปากเสร็จก็โบกมือให้สาวใช้ยกอาหารออกไป บอกตามตรงนางไม่ชินสักนิดกับการมีอี๋เหนียงคอยปรนนิบัติเช่นนี้ แต่นี่เป็นธรรมเนียม นางเข้าใจดีว่าในคฤหาสน์หลังใหญ่เช่นนี้ จะทำตัวเป็นคนดีส่งเดชไม่ได้ เซียวจวิ้นไม่ชอบนาง วันนี้หากนางไม่ตั้งกฎเกณฑ์นี้ขึ้นมา พรุ่งนี้อี๋เหนียงเหล่านี้จะต้องปีนขึ้นมาถ่ายบนหัวนางแน่
ดังนั้นแม้การกินอาหารภายใต้สายตาของอี๋เหนียงทั้งหลายจะทำให้นางรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว แต่ภายนอกยังคงต้องกินอาหารมื้อนี้ไปอย่างสุขุม ใจคิดว่ารอไว้วันหน้ากำราบอี๋เหนียงเหล่านี้ได้เมื่อใด นางจะต้องยกเลิกธรรมเนียมนี้ไปเสีย!
(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 21 มีนาคม)
Comments
comments