X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเทพสมุนไพร

ทดลองอ่าน ยอดหญิงเทพสมุนไพร เล่ม 3 ตอนที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 3

จือชิวกับจือชุนถือปิ่นเงินที่เพิ่งซื้อมาเมื่อครู่นี้ พวกนางพูดคุยหัวเราะและเปรียบเทียบกัน มองสาวใช้สองคนนี้แล้ว หลี่เมิ่งซีก็ส่ายหน้าอย่างจนใจ แค่ปิ่นเงินอันหนึ่งมิใช่หรือ ยังต้องประชันกันอยู่ครึ่งค่อนวัน นิสัยเหมือนเด็กจริงๆ นางลืมไปเสียสนิทว่าร่างกายนางในตอนนี้ยังโตไม่เท่าจือชิวด้วยซ้ำ!

เซียวจวิ้นเอามือไพล่หลังเดินตามอยู่ห่างๆ ราวกับสุนัขจิ้งจอกหางยาวตัวหนึ่ง บางครั้งเขาก็แวะดูของจุกจิกบนแผงลอยกับเซียวซย่า ทว่าความสนใจส่วนใหญ่ล้วนอยู่กับภรรยาที่อยู่ข้างหน้า ในตลาดที่วุ่นวายเช่นนี้ เขากลัวจริงๆ ว่าพวกนางจะพลัดหลงไป แต่ก็มิอาจลดศักดิ์ศรีของตนเองไปเดินข้างกายนางได้

การปฏิบัติตัวเช่นนี้ของเขาจึงเป็นไปตามกฎรัศมีสามเชียะที่จือชิวกำหนดขึ้น นายบ่าวกลุ่มนี้จึงกลายเป็นภาพที่แปลกตาในตลาดแห่งนี้

เงยหน้าเห็นด้านหน้ามีร้านขายหยกร้านหนึ่ง หลี่เมิ่งซีจึงเดินเข้าไป จือชิวกับจือชุนก็ตามเข้ามาพร้อมด้วยเสียงที่ดังเจี๊ยวจ๊าว เครื่องหยกในร้านฝีมือประณีตกว่าหยกบนแผงลอยข้างนอกมากนัก บรรจุในกล่องงดงามและวางอยู่บนชั้น ทั้งสามพิจารณาอย่างละเอียด

นี่ไม่เหมือนกับทองคำ หลี่เมิ่งซีไม่มีความชื่นชอบเครื่องหยกเป็นพิเศษ นางเพียงมองด้วยสายตาชื่นชมไปทีละชิ้นเท่านั้น

เซียวจวิ้นตามเข้ามาและนั่งลงบนเก้าอี้สานที่อยู่ข้างประตู

พ่อค้าในเมืองผิงหยางน้อยนักที่จะไม่รู้จักคุณชายรองสกุลเซียว ทันทีที่หลงจู๊เห็นเขาเข้ามาในร้านก็ตรงมาทักทายอย่างกระตือรือร้น

เซียวจวิ้นโบกมือเป็นสัญญาณให้หลงจู๊ไปยุ่งกับงานของตนเอง เขาเพียงสั่งชามาหนึ่งกาและนั่งดื่ม เซียวซย่าเอามือไพล่หลังยืนอยู่ด้านข้างเซียวจวิ้น

“สะใภ้รอง ท่านดูกำไลหยกนี้สิ เปล่งประกายแวววาวเหมาะกับท่านมาก หลงจู๊ เอาหยกอันนี้ออกมาให้พวกเราดูหน่อย”

จือชิวตาลายไปกับเครื่องหยกที่วางอยู่เต็มร้าน นางตื่นเต้นเป็นพิเศษ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเครื่องประดับศีรษะส่วนใหญ่ของสะใภ้รองนำไปจำนำหมดแล้ว ตอนนี้แม้ร้านยาอี๋ชุนเริ่มมีกำไรแล้ว ทว่าตอนนั้นจำนำของไปแบบมิอาจไถ่คืนได้ สะใภ้รองเองก็ยังไม่ได้ซื้อเครื่องประดับเพิ่มเลยสักชิ้น ยากนักที่จะมีโอกาสเลือกดูด้วยตนเอง นางจึงอยากเลือกซื้อให้สะใภ้รองสักหน่อย ลืมไปเสียสนิทว่าพวกนางออกมาไหว้พระ ไม่ได้ติดเงินมามากนัก

“ลูกค้าท่านนี้ ท่านตาแหลมจริงๆ กำไลหยกคู่นี้ทำจากหยกเหลืองซึ่งเป็นหยกเหอเถียน ที่หายาก ท่านดูฝีมือแล้วดูประกายหยกนี้สิ ตลอดถนนเส้นนี้มีแต่ร้านของพวกเราเท่านั้นที่มี ขอบอกลูกค้าอย่างไม่ปิดบังว่า เครื่องหยกในร้านเราส่วนใหญ่ล้วนมีเพียงชิ้นเดียว ท่านสามารถซื้อไปได้อย่างสบายใจ ไม่ไปซ้ำกับใครแน่นอน ควรค่าแก่การเก็บสะสมยิ่งนัก”

เห็นจือชิวถูกใจกำไลหยกเหลืองที่ดีที่สุดในร้าน หลงจู๊จึงแนะนำอย่างกระตือรือร้น เขาเห็นคุณชายรองสกุลเซียวเดินตามพวกนางเข้ามา คิดว่าคุณชายรองสกุลเซียวต้องเป็นคนจ่ายเงินแน่ มีหรือจะไม่ขายของอย่างเต็มที่ ว่ากันว่าคุณชายท่านนี้ใจป้ำมาแต่ไหนแต่ไร

รับกำไลหยกมาจากหลงจู๊แล้ว จือชิวจึงลองสวมลงบนข้อมือหลี่เมิ่งซีพลางพูด “สีนี้เหมาะกับผิวของสะใภ้รองจริงๆ พวกเราเอาอันนี้แล้วกัน”

“เจ้าลืมไปแล้วหรือ เหล่าไท่จวินมอบหยกมันแพะให้ข้าอันหนึ่งแล้ว เหมือนจะงามกว่าหยกอันนี้เสียอีก”

“ลูกค้าท่านนี้ ท่านพูดผิดเสียแล้ว ในบรรดาหยกเหอเถียน หยกเหลืองนับว่าหายากที่สุด เป็นของล้ำค่าในบรรดาหยกทั้งหลาย รองลงมาจึงเป็นหยกมันแพะ กำไลคู่นี้ ไม่ต้องพูดถึงด้านฝีมือว่าหาร้านที่สองในต้าฉีไม่ได้อีกแล้ว แค่วัตถุดิบก็หายากยิ่งแล้ว ท่านลองส่องดูกับแสงแดดสิ นี่เป็นหยกเหลืองอย่างดี หยกมันแพะจะเทียบได้อย่างไร หากท่านถูกใจจริงๆ ข้าน้อยตัดใจยอมลดราคาให้ท่านบางส่วนเลยก็ได้” หลงจู๊เห็นหลี่เมิ่งซีไม่มีเจตนาจะซื้อจึงพรรณนาถึงสรรพคุณอย่างขะมักเขม้น

“หลงจู๊ กำไลนี้ขายเท่าไร” จือชิวฟังแล้วตื่นเต้น

“เห็นว่าท่านเป็นคนตาแหลม ทั้งยังคิดจะซื้อจริงๆ ข้าน้อยคิดตามราคาต้นทุนเลยแล้วกัน ถือว่าคบหาสหาย ไม่แพงเลย ท่านจ่ายมาสามพันตำลึง กำไลนี้ย่อมเป็นของท่านแน่นอน”

สามพันตำลึง?! จือชิวลูบอกเสื้อ นึกขึ้นได้ว่านางมีเงินติดตัวแค่ห้าสิบตำลึงเท่านั้น นางแลบลิ้นออกมาแล้วเบนสายตาไปทางอื่น

เดิมหลี่เมิ่งซีก็ไม่คิดจะซื้ออยู่แล้ว ยิ่งได้ยินราคาที่สูงลิ่วเช่นนี้ นางจึงถอดกำไลส่งคืนให้หลงจู๊ ก่อนจะเอ่ยว่า “พวกเราไม่ซื้ออันนี้หรอก รบกวนท่านเก็บให้ดีเถอะ พวกเราจะดูอย่างอื่น”

“ลูกค้าท่านนี้ ท่านอย่าไปดูอย่างอื่นเลย ท่านลองดูกำไลหยกนี้อีกครั้งเถอะ ต้องเงินเท่าใดจึงจะซื้อได้” เห็นหลี่เมิ่งซีมองไปทางอื่นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย หลงจู๊ก็รับกำไลกลับมาอย่างผิดหวัง แอบเหลือบมองคุณชายรองสกุลเซียวก็เห็นเขาก้มหน้าดื่มน้ำชา ไม่ได้มองมาทางนี้เลยแม้แต่น้อย จึงเก็บกำไลหยกกลับไปอย่างไม่เต็มใจ

“สะใภ้รองดูนี่สิเจ้าคะ ค้างคาวตัวนี้อัปลักษณ์จริงๆ!”

หลี่เมิ่งซีมองตามมือของจือชุนไป เห็นหยกประดับสีเขียวเข้มลายเมฆและฝู ดวงตาพลันชะงัก นางก้าวเข้าไปช้าๆ และพิจารณาอย่างละเอียด

“หลงจู๊ ข้าอยากดูหยกประดับชิ้นนี้”

หลงจู๊เห็นพวกนางไม่ซื้อกำไลหยกเหลืองก็ผิดหวังมาก ครั้นเห็นหยกประดับที่พวกนางจะดูมีราคาไม่เท่าไร ความกระตือรือร้นก็หมดไปนานแล้ว จึงหยิบออกมายื่นส่งให้แล้วแนะนำง่ายๆ “หยกประดับชิ้นนี้แกะสลักจากหยกตู๋ซานอย่างดี เป็นสีเขียวเข้มตลอดอัน ท่านดูบริเวณที่เป็นสีขาวตรงนี้สิ ถูกแกะสลักเป็นลายเมฆอย่างประณีต สอดรับกับสีเขียวของตัวหยก ทำให้ดูงดงามยิ่งขึ้น”

หลี่เมิ่งซียื่นมือไปรับหยกประดับที่หลงจู๊ส่งให้ นางกุมไว้ในมือแล้วลูบเบาๆ ช่างเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยเหลือเกิน ชาติก่อนนางพกหยกประดับแบบนี้ติดตัวตลอด เพราะเป็นหยกที่ท่านย่าทิ้งไว้ให้ ท่านย่าเคยบอกว่าขอเพียงพกมันไว้ก็จะมีความสุขไปชั่วชีวิต

น่าเสียดาย นางทะลุมิติมาแต่วิญญาณ จำได้ว่าตอนที่อยู่ในโรงพยาบาล หยกประดับแบบนี้ยังแขวนอยู่กับคอ เห็นหยกประดับที่อยู่ตรงหน้านี้แล้ว นอกจากลายแกะสลักที่ดูไม่เรียบลื่นเหมือนกับในชาติก่อนแล้ว ไม่ว่าเป็นลวดลาย ขนาด สี หรือคุณภาพล้วนเหมือนกันทั้งสิ้น ปลายนิ้วที่ลูบหยกประดับพลันสั่นนิดๆ ความทรงจำในชาติก่อนทะลักเข้ามาดุจกระแสน้ำ

ปู่ ย่า และพ่อแม่ที่รักใคร่เอ็นดูนาง คาดว่าร่างของนางที่อยู่ที่นั่นคงตายไปแล้วกระมัง คนผมขาวส่งคนผมดำ พ่อแม่จะต้องเจ็บปวดแทบขาดใจแน่ ยังมีพวกเพื่อนสนิทของนางอีก ถ้าหากว่านางมีสุสาน เวลาถึงเทศกาลพวกเขาจะไปเยี่ยมนางที่สุสานหรือไม่

มองหยกประดับชิ้นนี้แล้ว ดวงตาของหลี่เมิ่งซีค่อยๆ พร่าเลือน

“สะใภ้รอง ค้างคาวตัวนี้อัปลักษณ์จริงๆ พวกเราดูชิ้นอื่นเถอะเจ้าค่ะ” จือชุนเห็นหลี่เมิ่งซีมองหยกประดับอย่างหม่นหมอง เงียบงันไม่พูดจา จึงพูดกับนางพลางยื่นมือออกไป หมายจะหยิบหยกประดับชิ้นนั้นคืนหลงจู๊

“หยกประดับชิ้นนี้ชื่อว่าหยกประดับลายเมฆและฝู ประกอบด้วยลายเมฆกับลายค้างคาว ลายเมฆสื่อถึงความสมปรารถนาที่ต่อเนื่องไม่สิ้นสุด ลายค้างคาวสื่อถึงโชคลาภที่มีอยู่ทุกหนแห่ง สองสิ่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของความสุขและความสมปรารถนาที่ไม่สิ้นสุด จะอัปลักษณ์ได้อย่างไร ท่านย่าเคยบอกว่าคนที่สวมหยกประดับชิ้นนี้จะมีความสุขไปชั่วชีวิต”

“ท่านย่า? คนที่บ้านเดิมของสะใภ้รองหรือเจ้าคะ บ่าวไม่เคยได้ยินสะใภ้รองพูดถึงมาก่อนเลย”

ฟังคำถามของจือชิวแล้ว มือของหลี่เมิ่งซีก็สั่นนิดๆ บ้านเดิมในชาตินี้ของนางไม่มีท่านย่าจริงๆ นั่นแหละ เมื่อครู่ใจลอยไปถึงได้เอ่ยถึงเรื่องเมื่อชาติที่แล้ว

ขณะกำลังคิดว่าจะกลบเกลื่อนอย่างไรก็ได้ยินหลงจู๊พูดว่า “ยังคงเป็นลูกค้าท่านนี้ที่รู้จักของ ท่านพูดถูกจริงๆ สวมหยกประดับนี้ก็เพื่อขอความเป็นสิริมงคลและขอให้สมปรารถนา”

“หลงจู๊ หยกประดับชิ้นนี้ราคาเท่าไร ข้าซื้อ จือชิว จ่ายเงิน”

“ฮูหยินท่านนี้ เห็นว่าท่านเป็นคนดูของเป็น ข้าน้อยคิดไม่แพงหรอก คิดท่านแค่หนึ่งร้อยตำลึงก็พอ ข้าน้อยรับรองว่าคุ้มแน่นอน ท่านรอประเดี๋ยว ข้าน้อยจะห่อให้เดี๋ยวนี้”

จือชิวแอบสะกิดหลี่เมิ่งซีแล้วพูดเสียงค่อย “สะใภ้รอง บ่าวไม่คิดว่าจะต้องมาซื้อของ จึงติดเงินมาเพียงห้าสิบตำลึง หรือเราจะลองถามหลงจู๊ดูว่าฝากไว้ก่อนได้หรือไม่ พรุ่งนี้ค่อยให้พี่ชายมาจ่ายเงิน”

หลี่เมิ่งซีขบคิดดูแล้วจึงพยักหน้า “ก็ได้”

สองคนนี้ลืมไปเสียสนิทว่าข้างหลังยังมีเทพเจ้าแห่งเงินทองตามมาด้วย และกำลังนั่งดื่มชาอยู่ตรงนั้น!

จือชิวเงยหน้าพูดกับหลงจู๊ “หลงจู๊ วันนี้พวกเรานำเงินมาไม่พอ หยกประดับชิ้นนี้ข้าถูกใจ ขอจองไว้แล้วฝากไว้ที่ท่านก่อนได้หรือไม่ พรุ่งนี้ข้าค่อยส่งคนมาจ่ายเงินและรับไป”

หลงจู๊ฟังคำพูดนี้แล้วก็ตะลึงงัน คุณชายรองสกุลเซียวนั่งอยู่ตรงนั้นมิใช่หรือ จะขาดแคลนเงินแค่นี้ได้อย่างไร แอบชำเลืองมองคุณชายรองสกุลเซียว เห็นเขากำลังก้มหน้าจิบน้ำชา

ไม่ได้มาด้วยกันหรอกหรือ! หลอกให้ข้ายุ่งหัวหมุนอยู่ตั้งนาน! เงินแค่หนึ่งร้อยตำลึงยังไม่มีปัญญาจะจ่ายเลย ดูก็รู้ว่ากอบโกยกำไรด้วยไม่ได้แน่

คิดถึงตรงนี้ก็บังเกิดความดูแคลน ทั้งเห็นว่าหยกประดับชิ้นนี้ได้กำไรไม่มากนัก หลงจู๊จึงขึ้นเสียงสูงทันใด แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “อะไรกัน! ลูกค้า ถ้าท่านไม่มีเงินก็บอกมาแต่แรกสิ! ให้ข้าน้อยปรนนิบัติท่านเลือกของอยู่ตั้งนาน สุดท้ายท่านกลับไม่มีเงินจะซื้อของเสียได้ ท่านไม่มีเงินซื้อหยกประดับนี้ ไม่แน่ว่าอีกไม่นานอาจถูกคนอื่นเลือกไปก็ได้ หากลูกค้าทุกคนเป็นเหมือนท่านหมด พวกเราคงไม่ต้องทำการค้าแล้ว!”

เสียงเอะอะโวยวายของหลงจู๊ทำให้คนในร้านต่างชะงักและหันมามอง เซียวจวิ้นที่กำลังดื่มชาได้ยินคำพูดนี้แล้วใบหน้าพลันบึ้งตึงทันที เขาวางถ้วยชากำลังจะลุกขึ้นกลับได้ยินจือชิวพูดขึ้นมาว่า “หลงจู๊ เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร ใช่ว่าพวกเราไม่มีเงินจริงๆ เสียหน่อย แค่บังเอิญวันนี้ไม่ได้นำติดตัวมาด้วยเท่านั้น ดวงตาสุนัขของเจ้าอย่าได้ดูถูกผู้อื่นเช่นนี้อีก หากโมโหขึ้นมาจริงๆ ร้านเล็กๆ ของเจ้าแห่งนี้ข้าก็ซื้อได้!”

จือชิวเห็นหลงจู๊เปลี่ยนสีหน้าไปทันทีเมื่อได้ยินว่าพวกนางไม่มีเงิน ทั้งยังเห็นลูกค้าในร้านมองมา นางจึงควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ลืมไปแล้วว่าตนอยู่ที่ใด รีบอ้าปากโต้กลับไปทันที

เซียวจวิ้นฟังคำพูดของจือชิวแล้วก็สงบลง เขายกถ้วยชาขึ้นดื่ม แล้วเฝ้าดูความครึกครื้นต่อ

หลงจู๊คิดไม่ถึงว่าจะเจอคนร้ายกาจเช่นนี้ ถูกย้อนจนใบหน้าแดงก่ำ อึกอักอยู่นาน ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “ท่านลูกค้าเป็นเทพเจ้าแห่งเงินทอง ร้านเล็กๆ ของข้าต้อนรับไม่ไหวหรอก เชิญท่านไปที่อื่นเถอะ ที่นี่คับแคบต่ำต้อย อย่าทำให้เสียสายตาของท่านเลย” หลงจู๊ไล่คนด้วยคำพูดประโยคเดียว

จือชุนเห็นว่าหลี่เมิ่งซีชอบหยกประดับชิ้นนี้จริงๆ นางจึงลอบตำหนิจือชิวว่าปากไว แอบสะกิดแขนเสื้อหลี่เมิ่งซีแล้วพูดเสียงค่อย “ในเมื่อสะใภ้รองชอบ ทั้งยังเป็นเงินไม่เท่าไร บ่าวจะไปขอให้คุณชายรองจ่ายเงินให้เจ้าค่ะ” จือชุนพูดพลางหมุนตัวจะเดินไป ทว่านางถูกจือชิวคว้าตัวไว้แล้วถลึงตาใส่

หลี่เมิ่งซีเห็นคนในร้านต่างมองมา ใบหน้าจึงอดร้อนผ่าวไม่ได้ ในใจโมโหหลงจู๊ที่ดูถูกผู้อื่น แต่อย่างไรตนเองก็ไม่ได้พกเงินออกมาจริงๆ นับว่าเป็นฝ่ายผิดก่อน ขืนโต้แย้งกันต่อไปก็มีแต่จะขายหน้า

มองหยกประดับในมือพลางคิดในใจ ช่างเถอะ ต่อให้ซื้อกลับมาก็ย้อนกลับไปในชาติก่อนไม่ได้ วางไว้ข้างกายก็ทำให้เสียใจเปล่าๆ หลี่เมิ่งซีคิดแล้วจึงวางหยกประดับลงบนโต๊ะคิดเงิน “พวกเราไปกันเถอะ!” พูดจบก็ให้จือชิวประคองเดินออกไปข้างนอก

จือชิวยังคงไม่หายโมโห นางหันกลับมาพูดกับหลงจู๊ “หลงจู๊ ทางที่ดีเจ้ารีบตรวจนับสินค้าตั้งแต่คืนนี้เถอะ พรุ่งนี้ข้าจะส่งคนมาซื้อร้านของเจ้า!”

เซียวจวิ้นที่นั่งดื่มชาอยู่ด้านข้างตะลึงงัน จากไปเช่นนี้เลยหรือ

เห็นหลงจู๊เสียมารยาทกับหลี่เมิ่งซี เดิมทีเขาก็อยากจะเข้าไปสั่งสอน แต่เห็นท่าทางร้ายกาจของจือชิวแล้ว พอคิดว่านางชอบขัดขวางเขาไม่ให้ใกล้ชิดกับหลี่เมิ่งซีอยู่เรื่อยในใจจึงมีโทสะ คิดจะกำราบนางเสียบ้าง คิดว่าหากนางทนไม่ไหวจะต้องมาขอร้องเขาแน่

ระหว่างที่รอก็เห็นว่าทั้งสามราวกับหลงลืมเขาแล้วเดินตรงออกจากร้านไป ใบหน้าพลันดำทะมึน นางไม่รู้หรือว่าเขาสามารถแบกท้องฟ้าแทนนางได้

ไฉนเวลาสำคัญจึงไม่คิดว่ามีเขาอยู่ข้างหลังนางเล่า ในใจโมโห แต่ก็ห่วงว่าสามคนจะเดินออกไปไกลจนเป็นอันตราย เขาจึงส่งสายตากับเซียวซย่า ส่วนตนเองก็ลุกขึ้นตามไป

พวกหลี่เมิ่งซีเดินออกมาด้วยความโมโห จือชุนเดินไปพลางบ่นจือชิวไปด้วย “เป็นเพราะเจ้าคนเดียว ไม่ให้ข้าไปหาคุณชายรอง ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย พวกเราจึงต้องอับอายขายหน้าเช่นนั้น หายากที่สะใภ้รองจะมีของที่ถูกใจ พลาดไปช่างน่าเสียดายจริงๆ พวกเราไม่ได้ขาดแคลนเงินจริงๆ สักหน่อย”

“ถ้าคุณชายรองจะจ่ายเงิน ป่านนี้คงจ่ายไปนานแล้ว ยังจะนั่งจิบน้ำชาดูพวกเราถูกคนอื่นรังแกอยู่เฉยๆ เช่นนี้รึ! ให้ฝากความหวังไว้ที่เขา หวงฮวาไช่เย็นหมดแล้วกระมัง!”

“เช่นนั้นก็ไม่ควรพูดว่าพรุ่งนี้จะมาซื้อร้านสิ พวกเราจะเอาอะไรมาซื้อหรือ จะว่าไปต่อให้มีเงิน ผู้อื่นเปิดร้านมาตั้งนานก็ย่อมมีภูมิหลังอยู่บ้าง ให้เงินเท่าไรก็ไม่ขายหรอก เจ้าจะทำอันใดได้”

“ซุนเฉิงองครักษ์ของรัชทายาทเคยบอกพี่ชายว่าอยู่ในผิงหยางหากพวกเรามีเรื่องอะไรขอให้บอกเขา สะใภ้รอง บ่าวไม่ชอบท่าทีของคุณชายรองที่ไม่สนใจไยดีท่าน เห็นท่านถูกรังแกแล้วยังไม่ก้าวออกมา พรุ่งนี้บ่าวจะให้พี่ชายไปขอร้องรัชทายาทให้ซื้อร้านเครื่องหยกนี้เสีย ไม่เชื่อหรอกว่าขาดคนไม่เอาไหนอย่างคุณชายรองไปจะซื้อร้านหยกไม่ได้!”

“รัชทายาท?! สะใภ้รอง พวกท่านไปรู้จักรัชทายาทตั้งแต่เมื่อไรเจ้าคะ”

หลี่เมิ่งซีไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่ตนสาบานเป็นพี่น้องกับรัชทายาท เพราะไม่อยากมีปัญหา ที่ผ่านมาจึงไม่ได้เล่าให้จือชุนฟัง เห็นนางถามถึง จือชิวตอบไม่ถูก ได้แต่มองหลี่เมิ่งซีด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ

หลี่เมิ่งซีเหลือบมองจือชิวแวบหนึ่งพลางลอบตำหนินางในใจว่าขาดความยับยั้งชั่งใจเกินไปแล้ว แค่ต้องการเอาชนะก็ถึงกับจะขอให้รัชทายาทซื้อร้านค้าให้เชียวหรือ ไม่พูดถึงว่าเรื่องเล็กแค่นี้สมควรขอร้องรัชทายาทหรือไม่เลย เอาแค่เรื่องที่ว่าข้างกายไม่มีใครรู้เรื่องเครื่องหยก ซื้อร้านกลับมาแล้วใครจะเป็นผู้ดูแลเล่า

ด้วยรู้ว่าจือชิวโมโหเพราะตนถูกรังแก ยิ่งโมโหเพราะเซียวจวิ้นไม่ยอมออกหน้า หลี่เมิ่งซีจึงไม่ได้ตำหนินางมากนัก เพียงตอบเสียงเรียบ “องครักษ์ของรัชทายาทไปซื้อยาที่ร้านยาอี๋ชุนบ่อยๆ นานวันเข้าจึงคุ้นเคยกัน วันหน้าจือชิวอย่าวู่วามเช่นนี้อีก เจอเรื่องอะไรต้องหัดสุขุมเสียบ้าง ต่อให้พวกเราซื้อร้านนั้นมาด้วยความอยากเอาชนะก็ไม่มีปัญญาจะจัดการดูแลหรอก เรื่องนี้ไว้วันหน้าค่อยพูดถึง ใช่แล้ว คุณชายรองเล่า ไฉนจึงยังไม่ออกมาอีก”

ฟังคำพูดหลี่เมิ่งซีแล้ว จือชิวก็รู้สึกว่าตนเองวู่วามเกินไปจริงๆ นางรีบผงกศีรษะรับคำ ได้ยินสะใภ้รองพูดถึงคุณชายรอง หันกลับไปมองถึงพบว่าคุณชายรองยังไม่ออกมา สามคนมองหน้ากันไปมา ทว่าไม่มีใครยอมเดินกลับไปที่ร้านหยกอีก

สุดท้ายหลี่เมิ่งซีจึงพูดว่า “ช่างเถอะ ถูกหลงจู๊ก่อกวนเช่นนี้ อารมณ์ดีๆ หายไปหมดแล้ว พวกเรารออยู่ตรงนี้แล้วกัน! ช้าเร็วคุณชายรองก็ต้องออกมาแน่ ใกล้เที่ยงแล้ว รอคุณชายรองออกมาแล้ว พวกเราก็ค่อยกลับกัน”

 

เซียวจวิ้นตามมาอย่างร้อนใจ เห็นทั้งสามรออยู่ข้างหน้าไกลออกไปก็ให้โมโหเหลือเกิน ตอนนี้จำได้แล้วหรือว่าต้องรอเขา แล้วเมื่อครู่พวกนางมัวทำอะไรอยู่ ถูกคนรังแกแล้วยังไม่รู้จักเรียกเขาอีก!

เห็นพวกนางยืนอยู่ริมถนนก็รู้ว่าคงไม่เดินออกไปไกลแล้ว เมื่อมีความมั่นใจ เซียวจวิ้นจึงตีหน้าเย็นชาทำเป็นไม่มองพวกนาง แล้วเดินตรงเข้าไปในร้านขายภาพด้านข้าง

หลี่เมิ่งซีเห็นเซียวจวิ้นไม่สนใจพวกนางก็รู้ว่าเขาโกรธ จึงเหลือบมองสองสาวใช้ เห็นพวกนางต่างก็ยืนนิ่งมองเซียวจวิ้นอยู่เช่นกัน นางจึงค้อนใส่ทั้งสองคน ยืนนิ่งอยู่ทำไมเล่า ยังไม่รีบตามไปอีก!

ทั้งสามเดินตามเซียวจวิ้นไป เมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นอยู่ข้างหลัง มุมปากพลันผุดรอยยิ้มน้อยๆ ก้าวเท้าเดินดูภาพวาดและอักษรอย่างสบายใจ

สมัยโบราณร้านขายภาพเป็นสถานที่อันสูงส่ง ผู้มาล้วนเป็นบัณฑิตและปัญญาชน ในร้านแม้มีลูกค้ามาก แต่กลับเงียบสงบยิ่ง มีลูกค้าออกความเห็นกับภาพบางภาพเป็นบางครั้ง แต่ก็สนทนากันด้วยเสียงแผ่วเบา ด้วยเกรงจะรบกวนความสงบของผู้อื่น

หลี่เมิ่งซีไม่ได้ชื่นชอบภาพวาดเป็นพิเศษ แต่กลับชอบบรรยากาศเงียบสงบเปี่ยมด้วยกลิ่นอายของปัญญาชนเช่นนี้ ทำให้นางคิดถึงวัฒนธรรมกาแฟในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด เห็นเซียวจวิ้นชมอักษรและภาพวาดบนผนังด้วยสีหน้าดื่มด่ำ ไม่เย็นชาเป็นน้ำแข็งเหมือนที่ผ่านมาแล้ว นางก็คิดไม่ถึงว่าภูเขาน้ำแข็งลูกนี้จะชอบอักษรและภาพวาดเป็นพิเศษ นางเดินตามหลังเขา ดูภาพวาดไปเรื่อยเปื่อย

เสียงพิณพลันดังขึ้น ทำลายความเงียบสงบในร้านขายภาพนี้ไป ทั้งยังเป็นบทเพลง ‘ยิ้มเย้ยยุทธจักร’ ที่หลี่เมิ่งซีคุ้นเคยเป็นอย่างดี

รัชทายาทอยู่ข้างบน?!

หลี่เมิ่งซีเหลือบมองจือชิวด้วยสายตาตั้งคำถาม จือชิวมองนางอย่างงุนงงเช่นกัน แต่เมื่อพิจารณาให้ดี นี่มิใช่ฝีมือดีดพิณของรัชทายาทแน่ ครั้นเห็นจือชิวส่ายหน้าให้นางนิดๆ จึงยิ่งแน่ใจในความคิดของตนเอง

เหมือนหินก้อนหนึ่งที่โยนลงกลางทะเลสาบ ก่อให้เกิดคลื่นน้ำชั้นแล้วชั้นเล่า บทเพลงนี้นอกจากนางกับรัชทายาทแล้วก็ไม่มีใครรู้อีก หรือจะเป็นคนที่ทะลุมิติมาเหมือนกัน ว่ากันว่าพวกที่ทะลุมิติมาล้วนชมชอบในบทเพลง ‘ยิ้มเย้ยยุทธจักร’ นี้

ความรู้สึกของการเจอสหายเก่าในต่างแดนพลันผุดขึ้น ทั้งคุ้นเคยและร้อนใจ ก่อกวนให้จิตใจนางไม่อาจสงบลงได้ ทำให้นางหมุนตัวเดินไปตามเสียงพิณอย่างเร่งร้อน

“สะใภ้รอง ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ” จือชิวเห็นดังนั้นก็รีบร้องเรียก

ได้ยินเสียงจือชิว เซียวจวิ้นจึงหันกลับมา มองตามสายตาของนางไป เขาก็เห็นหลี่เมิ่งซีเดินไปยังชั้นสองอย่างเร่งร้อน ในใจลอบตระหนก เขาไม่เคยเห็นฝีเท้านางสับสนถึงเพียงนี้มาก่อน จึงรีบหมุนตัวตามไป

หลี่เมิ่งซีเดินตามเสียงพิณมาถึงหน้าประตูประณีตบานหนึ่งบนชั้นสอง บ่าวชายข้างประตูเพิ่งจะเอ่ยว่า “ลูกค้าโปรดหยุดก่อน”

ประตูก็ถูกหลี่เมิ่งซีผลักเปิด นางทอดสายตามองเข้าไป ก็เห็นคุณชายท่าทางสุภาพสง่างามคนหนึ่งสวมชุดคลุมยาวผ้าต่วนสีฟ้านวล ผมยาวรวบเป็นหางม้าง่ายๆ ไม่ได้สวมเกี้ยว เสื้อตัวในสีขาวผมดำ ขับเน้นให้เขาดูล่องลอยยิ่งขึ้น เขานั่งขัดสมาธิอยู่หน้าพิณโบราณ สองมือลูบไล้สายพิณด้วยท่าทางเปี่ยมด้วยพลัง

มองชายหนุ่มตรงหน้าแล้ว ชั่วขณะหนึ่งที่หลี่เมิ่งซีทำอะไรไม่ถูก เสียงพิณหยุดลงกะทันหัน คุณชายผู้นั้นเงยหน้ามองมา เมื่อสบตากับหลี่เมิ่งซีแล้วตาเขาก็เป็นประกาย ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แม่นางท่านนี้ เจ้า…”

ยังพูดไม่จบ เซียวจวิ้นที่รุดตามมาข้างหลังก็ยื่นมือมาดึงหลี่เมิ่งซีออกไปด้านข้าง ก่อนที่เขาจะก้าวมาแทน

คุณชายผู้นั้นเห็นเซียวจวิ้นเดินเข้ามาก็รีบลุกขึ้นคารวะ “พี่เซียว ไม่พบกันนาน ท่านมาไฉนจึงไม่บอกสักคำเล่า น้องชายเสียมารยาทแล้ว ท่านนี้คือ…”

เซียวจวิ้นคลายมือที่จับหลี่เมิ่งซีเอาไว้ แล้วเดินขึ้นหน้า สองมือประสานเข้าด้วยกัน “ข้าก็คิดว่าผู้ใดกันที่มีอารมณ์สุนทรีย์ถึงเพียงนี้ ที่แท้เป็นน้องเถานี่เอง”

หลังทักทายกันแล้ว เห็นสายตาที่คุณชายเถามองหลี่เมิ่งซีทอประกายประหลาด เซียวจวิ้นจึงหันไปหาหลี่เมิ่งซีแล้วโอบนางเข้ามาในอ้อมกอดเบาๆ โดยไม่รู้ตัว ก่อนจะแนะนำคนทั้งสองให้รู้จักกัน “ซีเอ๋อร์ คุณชายผู้นี้คือคุณชายเถา เถาจวิ้นตงเซียนแห่งกวีที่โด่งดังในเมืองผิงหยาง น้องรัก นี่คือพี่สะใภ้ของเจ้า”

หลี่เมิ่งซีฟังแล้วก็เบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอดของเซียวจวิ้น นางก้าวช้าๆ ขึ้นไปย่อกายเล็กน้อย “หลี่เมิ่งซีคารวะคุณชายเถา บุ่มบ่ามเข้ามารบกวนแล้ว ขอคุณชายเถาโปรดอภัยด้วย เมื่อครู่ได้ยินบทเพลงของคุณชายเถาแล้วรู้สึกประทับใจ เป็นบทเพลงที่เปี่ยมด้วยปณิธานอันแรงกล้าจริงๆ เฉกเช่นคลื่นใหญ่กระทบฝั่ง กวาดล้างทุกสิ่ง ขุนเขาสายน้ำนับหมื่นลี้ข้าจะท่องไปอย่างอิสระ ฟังแล้วน่าตื่นตะลึงยิ่งนัก ไม่ทราบว่าบทเพลงนี้คุณชายแต่งเองหรือ”

ฟังเซียวจวิ้นแนะนำแล้ว ส่วนลึกของดวงตาเถาจวิ้นตงก็ฉายความผิดหวัง เห็นฮูหยินคารวะตน จึงรีบคารวะตอบ “พี่สะใภ้พูดเช่นนี้ แสดงว่าเป็นคนรู้ทำนองเหมือนกัน พี่สะใภ้ชมเกินไปแล้ว น้องชายหรือจะสามารถแต่งบทเพลงอันเยี่ยมยอดที่เปี่ยมด้วยปณิธานเช่นนี้ออกมาได้ เพลงนี้มีชื่อว่า ‘ยิ้มเย้ยยุทธจักร’ เป็นผลงานของเซียนปรุงยา ตอนที่น้องชายได้ยินครั้งแรกก็ตะลึงนึกว่าเป็นบทเพลงของเทพเซียนเสียอีก จึงขอทำนองมาแล้วฝึกบรรเลงอยู่บ่อยครั้ง ถือเป็นการผ่อนคลายจิตใจ เมื่อครู่ทำให้พี่สะใภ้ขบขันแล้ว”

ได้ยินว่าเพลงนี้เถาจวิ้นตงไม่ได้เป็นคนแต่ง หลี่เมิ่งซีจึงผิดหวังอย่างยิ่ง ผลงานของเซียนปรุงยา เซียนปรุงยาเป็นใคร ถูกเรียกขานว่าเซียนได้ ทั้งยังแต่งเพลง ‘ยิ้มเย้ยยุทธจักร’ ออกมาเช่นนี้ ไม่ต้องถามก็รู้ว่าต้องเป็นคนบ้านเดียวกับนางแน่นอน!

น่าละอายยิ่งนัก ผู้อื่นทะลุมิติมาก็ได้เป็นเซียน ทว่านางกลับต้องหดหัวอยู่ในเรือนปีกตะวันออก ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังเสียได้

เทียบกับผู้อื่นแล้วช่างน่าโมโหยิ่งนัก หลี่เมิ่งซีแอบจดจำฉายา ‘เซียนปรุงยา’ ไว้ วันหน้าให้หลี่ตู้ลองไปสืบดูและขโมยวิชาของอีกฝ่ายมาดีกว่า พวกเราก็เปิดร้านยาเหมือนกัน ผู้อื่นเป็นเซียนได้ ต่อให้เราเป็นไม่ได้ อย่างน้อยเป็นอ๋องก็ยังดี ฉายา ‘อ๋องแห่งยา’ ก็เท่ดีเหมือนกัน ถึงเวลานั้นดูซิว่านางจะเหยียบเซียวจวิ้นให้จมดินได้หรือไม่!

เห็นเซียวจวิ้นกับเถาจวิ้นตงสนทนากัน นางจึงเดินดูอักษรและภาพเขียนบนชั้นสองกับจือชิวและจือชุนที่รุดตามมาข้างหลัง

ต่างจากภาพขุนเขาและสายน้ำที่ชั้นหนึ่ง เพราะที่ชั้นสองนี้จะเน้นภาพคนที่สื่อความหมายมากกว่า ระดับศิลปะก็สูงขึ้นอีกขั้น หลี่เมิ่งซีหยุดอยู่หน้าภาพวาดสตรีภาพหนึ่ง นางไม่มีความรู้เรื่องศิลปะของภาพวาดเลยแม้แต่น้อย ทว่าภาพนี้กลับทำให้นางมิอาจก้าวขาจากไปได้

ภาพนั้นใช้เพียงสีขาวกับสีดำ ใช้เส้นสายง่ายๆ ประกอบเป็นรูปสตรีที่ยืนพิงหน้าต่างและมองออกไป นอกจากดอกเบญจมาศหนึ่งดอกที่นอกหน้าต่างแล้ว พื้นหลังก็ไม่มีอะไรอื่นอีก สีขาวดำเข้มจางสลับกันทำให้ภาพดูมีมิติชัดเจนและเป็นหนึ่งเดียว เส้นสายละเอียดไหลลื่นต่อเนื่องไม่สิ้นสุด ภาพวาดง่ายๆ นี้แสดงถึงความอ่อนแอเปราะบาง งดงามเย้ายวนของสตรีได้ดียิ่งขึ้น สะท้อนความรู้สึกเย็นชาและอ้างว้างได้เป็นอย่างดี

ขณะมองอย่างลืมตัว นางก็ได้ยินเถาจวิ้นตงเอ่ยว่า “พี่สะใภ้ก็ชอบภาพนี้หรือ”

หลี่เมิ่งซีหันกลับมาก็เห็นเถาจวิ้นตงกับเซียวจวิ้นเดินมาหยุดตรงหน้าภาพสตรีนี้เช่นกัน นางจึงหันกลับไปมองภาพแล้วพูด “ใช่ ภาพสตรีของคุณชายหน้าเย็นผู้นี้ใช้เพียงสีดำกับสีขาว ตวัดเส้นสายง่ายๆ เพียงไม่กี่เส้น ในภาพไม่มีคำว่าฤดูใบไม้ร่วงเลย แต่กลับชวนให้คนนึกถึงปลายฤดูใบไม้ร่วงที่ดอกไม้สีเหลืองโปรยปรายทั่วผืนดิน อากาศหนาวเหน็บอ้างว้าง หว่างคิ้วคนงามฉายความกลัดกลุ้ม ยิ่งทำให้คนรู้สึกหม่นหมอง ใช่ว่าไม่บั่นทอนจิตวิญญาณ ลมประจิมหอบม่านกระพือไหว นางในหอห้องผ่ายผอมกว่าดอกไม้เหลือง ข้าคิดว่าคุณชายหน้าเย็นผู้นี้ต้องเป็นยอดฝีมือด้านการวาดภาพแน่นอน น่าเสียดายที่ข้าไม่มีวาสนาได้พบ”

หลี่เมิ่งซีจับจ้องภาพสตรีตรงหน้าโดยหันหลังให้เซียวจวิ้นกับเถาจวิ้นตง ทั้งยังเอ่ยคำพูดยาวเหยียด ฉับพลันรู้สึกว่าบรรยากาศรอบด้านแข็งชะงัก ขนอ่อนบนแผ่นหลังลุกชัน นางหันกลับมาทันที กลับเห็นเซียวจวิ้นกับเถาจวิ้นตงกำลังจ้องนางอย่างตะลึงงัน

หลี่เมิ่งซีหลั่งเหงื่อเย็นอย่างห้ามไม่อยู่ นางรู้ระดับฝีมือด้านอักษรและภาพวาดของตนเองดี โดยเฉพาะการเขียนพู่กันจีน กล่าวด้วยคำพูดของจือชิวคือไม่ต่างจากไก่เขี่ยนัก ยากนักที่จะเจอภาพวาดที่ทำให้นางประทับใจ ในใจเปี่ยมด้วยอารมณ์ความรู้สึก จึงแสดงความคิดเห็นออกมาเป็นครั้งแรก

นางวิจารณ์ผิดไปหรือ!

เห็นเถาจวิ้นตงมองนาง เขากระแอมไอหลายทีก่อนจะพูด “พี่สะใภ้ไม่รู้มาก่อนหรือว่า ‘คุณชายหน้าเย็น’ ก็คือฉายาของคุณชายรองสกุลเซียว หรือที่ผู้คนเรียกขานกันว่าพญายมหน้าเย็น”

เห็นหลี่เมิ่งซีอึ้งไปเล็กน้อย เถาจวิ้นตงจึงพูดต่อ “หลี่จั้นถูกผู้คนเรียกขานว่าปีศาจอัจฉริยะ โอวหยางจู๋ซื่อจื่อของสกุลโอวหยางเป็นคนจากสกุลสูงศักดิ์ คุณชายรองสกุลเซียวที่ผู้คนตั้งฉายาว่าพญายมหน้าเย็น และผู้น้อย ซึ่งผู้คนเรียกขานรวมกันว่าสี่คุณชายแห่งผิงหยาง ในบรรดาพวกเรานี้ พี่เซียวโดดเด่นด้านอักษรและภาพวาด หลี่จั้นเชี่ยวชาญด้านความเรียง ฝีมือดีดพิณและเดินหมากของพี่โอวหยางเรียกได้ว่าเป็นที่หนึ่ง ส่วนผู้น้อยเพียงแค่ชอบบทกลอนและบทเพลงเป็นพิเศษ”

คุณชายหน้าเย็น? พญายมหน้าเย็นเย็นชาจริงๆ ด้วย อยู่ใกล้ในรัศมีสามเชียะสามารถทำให้คนหนาวตายได้ ฟังคำพูดนี้แล้วหลี่เมิ่งซีก็หันไปมองเซียวจวิ้น กลับเห็นตาหงส์ของเขาเบิกขึ้นเล็กน้อย และกำลังจับจ้องนาง มุมปากขยับนิดๆ เหมือนเจือแววขบขัน

หน็อย! หัวเราะเยาะข้ารึ! หลี่เมิ่งซีหันหน้าไปทางอื่นอย่างปั้นปึ่ง ไม่สนใจเขา!

ก่อนจะได้ยินเถาจวิ้นตงพูดต่อ “ ‘ใช่ว่าไม่บั่นทอนจิตวิญญาณ ลมประจิมหอบม่านกระพือไหว นางในหอห้องผ่ายผอมกว่าดอกไม้เหลือง’ พี่สะใภ้แค่เอ่ยออกมาอย่างไม่ตั้งใจยังได้โวหารที่ไพเราะเช่นนี้ วันนี้ผู้น้อยเพิ่งจะตระหนักถึงคำกล่าวที่ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน ไหนเลยจะกล้ารับฉายาเซียนแห่งกวีอีกเล่า โดยเฉพาะตั้งแต่เซียนปรุงยาปรากฏตัวขึ้นมา ยิ่งทำให้ผู้น้อยละอายยิ่งนัก ได้ยินน้องหลี่บอกว่าเซียนปรุงยาผู้นี้ไม่ใช่แค่ยาที่สามารถช่วยคนให้ฟื้นคืนชีพราวพระโพธิสัตว์ที่สามารถชุบชีวิตคนได้เท่านั้น ทว่าบทเพลงที่แต่งยังเป็นหนึ่งไม่มีสองในใต้หล้า เกรงว่าใต้หล้าตอนนี้คงมีเพียงอักษรกับภาพวาดของพี่เซียวและความเรียงของน้องหลี่เท่านั้นที่เทียบได้”

เก่งกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ น่าจะได้พบกันสักหน่อย

“หลี่จั้นที่คุณชายเถาพูดถึง ใช่หลี่จั้นที่เป็นที่ปรึกษาของรัชทายาทหรือไม่”

“ใช่แล้ว ความเรียงของหลี่จั้นผู้นี้อ่านแล้วคล่องปาก แพร่หลายไปทั่วท้องถนน ความสามารถน่าตื่นตะลึงจริงๆ เขาวางกลยุทธ์ที่สร้างความสงบมั่นคงให้กับบ้านเมือง ผู้คนเรียกขานว่าปีศาจอัจฉริยะ เป็นที่โปรดปรานของรัชทายาทอย่างมาก เพิ่งเข้ามาเป็นที่ปรึกษาของรัชทายาทเมื่อไม่นานมานี้เอง”

“เซียนปรุงยาผู้นี้เป็นสหายรักของหลี่จั้นหรือ ไม่เคยได้ยินชื่อคนผู้นี้มาก่อน”

“พี่สะใภ้อยู่แต่ในเรือนมิค่อยได้ออกมา ย่อมไม่รู้จักอยู่แล้ว เซียนปรุงยาผู้นี้เพิ่งปรากฏตัวเมื่อไม่กี่เดือนก่อน คนผู้นี้แซ่หลี่ ชื่อเมิ่งถาน เป็นเจ้าของร้านยาอี๋ชุน ทั้งยังเป็นน้องชายบุญธรรมของรัชทายาท คนผู้นี้ชอบท่องเที่ยวไปทั่ว ใช้ชีวิตอย่างอิสระในยุทธจักร ไปมาลึกลับยากจะคาดเดา น้องหลี่เองก็มีวาสนาได้พบเขาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”

พอคำพูดนี้ถูกเอ่ยออกมาจือชุนก็ตกใจเบิกตากลมโต อ้าปากหวอมองสะใภ้รอง ด้วยนางทราบเรื่องร้านยาอี๋ชุนแต่ไม่ทราบเรื่องรัชทายาท ก่อนจะถูกจือชิวที่มือไวคว้าตัวไว้ก่อน นางเกือบจะเผยพิรุธให้คุณชายรองเห็นเสียแล้ว

อะไรนะ?! นางกลายเป็นเซียนตั้งแต่เมื่อไร แม้แต่เรื่องที่นางสาบานเป็นพี่น้องกับรัชทายาทยังแพร่ออกไปแล้ว ตัวนางเองกลับเอาแต่ระมัดระวัง ปิดบังเรื่องนี้กระทั่งกับจือชุน!

ต่อให้หลี่เมิ่งซีสุขุมเพียงใด ชั่วขณะหนึ่งก็ดึงสติกลับมาไม่ได้ เห็นสีหน้านางแปลกไป เถาจวิ้นตงจึงถาม “พี่สะใภ้เป็นอะไรไปหรือ”

“ปรุงยาแค่ไม่เท่าไรก็ถูกเล่าลือว่าเป็นเซียนแล้วหรือ ข่าวลือเหลวไหลตามท้องถนนเช่นนี้ คุณชายเถาจะเชื่อถือง่ายๆ ได้อย่างไร”

“ซีเอ๋อร์อย่าเสียมารยาท เซียนปรุงยาใช่คนที่เจ้ากับข้าสามารถวิจารณ์ได้หรือ”

“พี่สะใภ้กล่าวผิดเสียแล้ว บทเพลง ‘ยิ้มเย้ยยุทธจักร’ ที่ดึงดูดท่านขึ้นมาข้างบนเมื่อครู่นี้ก็เป็นผลงานของเซียนปรุงยา แล้วจะเรียกว่าข่าวลือเหลวไหลได้อย่างไร”

แค่ข้าแสดงความถ่อมตนหน่อยก็ไม่ได้หรือ!

คำพูดของหลี่เมิ่งซีทำให้เซียวจวิ้นกับเถาจวิ้นตงมองนางอย่างไม่พอใจราวกับมีศัตรูคนเดียวกัน สบตากับจือชิวแล้ว หลี่เมิ่งซีจึงหุบปากอย่างรู้กาลเทศะ

เห็นทุกคนไม่พูดอะไร เถาจวิ้นตงจึงหันไปพูดกับเซียวจวิ้น “ภาพวาดของพี่เซียววางอยู่ที่นี่มาครึ่งปีแล้ว ผู้น้อยเค้นสมองขบคิดอย่างเต็มที่กลับคิดไม่ออกว่ามีคำพูดประโยคใดเหมาะสมกับความกลัดกลุ้มตรงหว่างคิ้วของคนงาม เกรงว่าจะทำลายความหมายของภาพวาดไป จึงลังเลไม่ได้จรดพู่กันเสียที ประโยคนั้นของพี่สะใภ้ที่ว่า ‘ใช่ว่าไม่บั่นทอนจิตวิญญาณ ลมประจิมหอบม่านกระพือไหว นางในหอห้องผ่ายผอมกว่าดอกไม้เหลือง’ กลอนสอดคล้องกับภาพวาด ภาพวาดสะท้อนความหมายของกลอน ช่างเข้ากันดุจสวรรค์สรรค์สร้าง พี่เซียว อีกไม่กี่วันก็ถึงเทศกาลฉงหยาง* แล้ว ภาพวาดของพี่เซียวประกอบกับบทกลอนของพี่สะใภ้จะต้องคว้ารางวัลที่หนึ่งในงานโคลงกลอนเทศกาลฉงหยางแน่นอน ถึงเวลานั้นท่านอย่าลืมพาพี่สะใภ้มาร่วมงานด้วยเล่า”

“งานโคลงกลอนเทศกาลฉงหยาง?” หลี่เมิ่งซีทวนคำอย่างไม่เข้าใจ

“แต่ละปีผู้มีความสามารถในเมืองผิงหยางมักจะอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ ทุกฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงจึงจัดงานประชันบทกลอนขึ้น โดยทั่วไปฤดูใบไม้ร่วงจะเลือกช่วงเทศกาลฉงหยาง ทุกคนนัดกันขึ้นเขาชมดอกเบญจมาศ ท่องกลอนแต่งโคลง ทำเช่นนี้ทุกปีจนกลายเป็นธรรมเนียม แต่ละปีล้วนต้องแข่งประชันเพื่อหารางวัลที่หนึ่ง น้องเถาเป็นผู้ได้รับรางวัลที่หนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ซีเอ๋อร์ไม่รู้เรื่องเลยหรือ”

เซียวจวิ้นเห็นหลี่เมิ่งซีไม่เข้าใจจึงอธิบายให้นางฟังอย่างใจเย็น แปลกใจว่าด้วยความรู้ความสามารถอย่างนางจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร สุดท้ายเขาจึงได้แต่ถามออกมาอย่างแปลกใจ

หลี่เมิ่งซีฟังแล้วก็ยิ้มประดักประเดิด “ตอนภรรยาผู้น้อยอยู่บ้านเดิม บิดาสุขภาพไม่แข็งแรงจึงมักต้องช่วยมารดาปรุงอาหารที่มีประโยชน์ให้บิดาอยู่บ่อยๆ น้อยครั้งที่จะออกจากบ้าน จึงไม่เคยได้ยินมาก่อน”

วันนี้คำว่า ‘ภรรยาผู้น้อย’ ฟังดูบาดหูเป็นพิเศษ เมื่อเหลือบเห็นสายตาของเถาจวิ้นตงแล้ว ใบหน้าของเซียวจวิ้นก็พลันแดงเป็นตับหมู สีแดงค่อยๆ ไต่ขึ้นมาบนลำคอ เขาจ้องหลี่เมิ่งซีเขม็ง ขยับริมฝีปากแต่มิได้เปล่งเสียงออกมา

เห็นสีหน้าเซียวจวิ้นแล้ว หลี่เมิ่งซีก็ย้อนคิดถึงคำพูดของตนเองเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนนางจะไม่ได้พูดอะไรผิดไปนี่นา จึงสบตาเขาอย่างเปิดเผย เผชิญหน้ากับเขา

ใครกลัวใครเล่า!

ทั้งสองจ้องตากันเนิ่นนาน เซียวจวิ้นหมุนตัวกะทันหัน ก่อนจะร้องสั่งบ่าวชายที่หน้าประตู “เอาพู่กันมา!”

ไม่นานบ่าวชายก็เอาพู่กันกับหมึกมา เซียวจวิ้นใช้พู่กันจุ่มหมึก เดินไปตรงหน้าภาพสตรี เขียนกลอนบทนั้นตรงพื%E

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

Jamsai Editor: