X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเทพสมุนไพร

ทดลองอ่าน ยอดหญิงเทพสมุนไพร เล่ม 3 ตอนที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 4

 ภรรยาข้าหลี่เมิ่งซี

 

มีการลงชื่อเช่นนี้ด้วยหรือ!

มิต่างจากการปิดป้ายบนศีรษะนาง หลี่เมิ่งซีเห็นแล้วจึงลอบโมโห มองเซียวจวิ้นอย่างไม่พอใจ

เห็นสายตากรุ่นโกรธคู่นั้นแล้ว เป็นครั้งแรกที่นางแสดงอารมณ์ที่ต่างออกไปต่อหน้าเขา ทำให้เซียวจวิ้นอารมณ์ดีอย่างมาก มุมปากยกขึ้นน้อยๆ ฉีกยิ้มจางๆ ให้นาง

ต้องยอมรับว่ารอยยิ้มของเซียวจวิ้นทำให้คนคลั่งไคล้ตายได้ หลี่เมิ่งซีจิตใจว้าวุ่น ไม่กล้าเอาความเรื่อง ‘สิทธิ์ในชื่อ’ ของตนอีก เพียงหันไปมองภาพวาดบนผนัง

คุณชายรองสกุลเซียวผู้นี้แต่งภรรยานานแล้ว อีกทั้งเรื่องการแต่งงานเสริมมงคลก็กลายเป็นเรื่องที่ถูกเล่าลือในเมืองผิงหยาง บัดนี้เขากลับใช้คำว่า ‘ภรรยา’ กับ ‘ภรรยาผู้น้อย’ คนหนึ่ง คุณชายรองสกุลเซียวผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่ ภาพนี้ยังจะนำไปแสดงในงานโคลงกลอนเทศกาลฉงหยางได้อีกหรือ เถาจวิ้นตงเหลือบมองบริเวณที่เซียวจวิ้นลงชื่อ จากนั้นก็มองเขาอย่างเคลือบแคลง

คุณชายรองสกุลเซียวผู้นี้ยามอยู่ในแวดวงการค้าไม่เคยไว้หน้าผู้ใด ผู้คนล้วนเรียกขานว่าพญายมหน้าเย็น ตอนนี้คงไม่คิดจะทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรม ยกภรรยาผู้น้อยขึ้นข่มภรรยาเอกกระมัง! กำลังจะเอ่ยปากเตือนสติ เหลือบเห็นแผ่นหลังของหลี่เมิ่งซีแล้วจึงหุบปากลง

ทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรมเพื่อสตรีที่เปี่ยมด้วยความสามารถและพรสวรรค์ รูปโฉมงดงามไม่มีใครเหมือนเช่นนี้สักครั้งก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว

เถาจวิ้นตงคิดไปมากมายโดยที่ไม่รู้ว่า ‘ภรรยาผู้น้อย’ ตรงหน้านี้ก็คือ ‘ภรรยาเอก’ จริงๆ ของเซียวจวิ้น

เงียบไปครู่ใหญ่ เถาจวิ้นตงจึงกระแอมไอเอ่ยว่า “พี่เซียวมาวันนี้ช่างบังเอิญยิ่งนัก ข้ากับน้องรักหลี่จั้นนัดกันไว้วันนี้ว่าจะหารือเรื่องงานโคลงกลอนเทศกาลฉงหยาง ดูเวลา น้องหลี่น่าจะใกล้มาถึงแล้ว หลายวันก่อนน้องหลี่ยังบ่นถึงพี่เซียวอยู่เลย บอกว่าตั้งแต่ท่านหายดีก็ไม่ค่อยออกจากบ้าน นัดท่านหลายครั้งล้วนคลาดกันไปทุกที เชื้อเชิญมิสู้พบกันโดยบังเอิญ วันนี้พี่เซียวอย่าเพิ่งไปเลย ประเดี๋ยวน้องชายจะส่งคนไปเชิญพี่โอวหยางมาด้วย วันนี้พวกเราสี่พี่น้องไม่เมาไม่เลิกรา”

หลี่จั้นจะมา?! หลี่เมิ่งซีที่หันหลังชื่นชมภาพวาดบนผนังอยู่ฟังคำพูดของเถาจวิ้นตงแล้ว ร่างกายก็สั่นสะท้าน

แม้ตอนนี้นางแต่งกายเป็นสตรี แต่หากพบหน้ากันจริง จะรับรองได้หรือว่าหลี่จั้นจะแยกแยะไม่ได้ว่านางคือเจ้าของร้านยาอี๋ชุน

แม้วันนี้จะแยกแยะไม่ได้ แต่นานวันเข้า หากย้อนคิดดูหลี่จั้นจะไม่สงสัยหรือ

เหลือบมองจือชิวแวบหนึ่ง เห็นนางกำลังมองตนอย่างทำอะไรไม่ถูก หน้าผากของหลี่เมิ่งซีก็มีเหงื่อเย็นผุดซึมออกมา

จือชุนเห็นหลี่เมิ่งซีมีสีหน้าผิดปกติจึงเอ่ยถาม “สะใภ้รอง ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ”

คำพูดของจือชุนทำให้เซียวจวิ้นกับเถาจวิ้นตงหันไปมองหลี่เมิ่งซีพร้อมกัน

เห็นทั้งสองมองมา หลี่เมิ่งซีจึงเกิดความคิดในใจ ใช้มือนวดขมับพลางพูดเสียงค่อย “คุณชายรอง คงเพราะออกมานาน ภรรยาผู้น้อยรู้สึกเวียนศีรษะ”

“ซีเอ๋อร์เหนื่อยแล้วหรือ”

“ภรรยาผู้น้อยอยากขอตัวก่อน คุณชายรองกับคุณชายเถาโปรดอภัยด้วย” หลี่เมิ่งซีพูดจบก็ย่อกายให้ทั้งสอง เห็นเซียวจวิ้นมองนาง ไม่รอให้เขาพยักหน้า นางก็ให้จือชิวประคองแล้วเดินไปที่ประตูช้าๆ นางกังวลจริงๆ ว่าสองคนนี้จะไม่ยอมให้นางจากไป

เซียวจวิ้นมองหลี่เมิ่งซีอย่างเป็นห่วง พวกเขาออกมานานแล้วจริงๆ

ฟังคำพูดของเถาจวิ้นตง เดิมทีก็ไม่อยากพบหลี่จั้นอยู่แล้ว เซียวจวิ้นกำลังคิดว่าจะบ่ายเบี่ยงอย่างไรดี เห็นหลี่เมิ่งซีเป็นเช่นนี้จึงรีบประสานมือกับเถาจวิ้นตง “ไม่ปิดบังน้องรัก ฮูหยินป่วยมานานและเพิ่งหายดี ร่างกายยังคงอ่อนแออยู่ ทั้งออกมานานแล้ว คิดว่าแรงกายคงมีไม่พอเสียแล้ว น้องชายเชื้อเชิญด้วยไมตรี พี่ชายขอรับไว้ด้วยใจ แต่วันนี้ต้องขอตัวก่อน เราพี่น้องยังมีเวลาสนทนากันอีกมาก”

ได้ยินคำพูดเซียวจวิ้นแล้ว เถาจวิ้นตงก็ผิดหวังอย่างมาก เขามองแผ่นหลังของหลี่เมิ่งซีแล้ว แวบแรกที่เห็นนางเขาตกตะลึงในความงาม กิริยาวาจาสูงสง่าของนางทำให้เขารู้สึกเลื่อมใส ครั้นเห็นนางเป็นเช่นนี้จึงกลืนคำพูดที่จะตำหนิเซียวจวิ้นว่าเห็นสตรีดีกว่าสหายกลับลงไป แล้วพยักหน้าอย่างจนใจ “วันนี้ปล่อยพี่เซียวไปชั่วคราว วันหน้าท่านกับข้าต้องเมากันสักครั้งเล่า”

“ได้!” เซียวจวิ้นรับคำ ก่อนจะหมุนตัวไล่ตามหลี่เมิ่งซีไป เถาจวิ้นตงก็ตามออกมาส่งด้วย

หลี่เมิ่งซีให้จือชิวประคอง สามนายบ่าวออกมาจากประตู มองไปไกลๆ เห็นเซียวซย่าเตรียมรถม้าไว้ริมถนนฝั่งตรงข้ามแล้ว นางก็ก้าวลงจากบันไดช้าๆ แล้วเดินไปที่รถม้า

พลันรู้สึกว่าจือชิวบีบมือแน่นและพูดเสียงค่อย “สะใภ้รอง คุณชายหลี่มาแล้ว พวกเรา…” จือชิวพูดด้วยใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย

มองตามสายตาของจือชิวไปนางก็เห็นหลี่จั้นควบม้าเร็วมุ่งหน้ามายังร้านขายภาพ เขาหยุดข้างทางและลงจากม้า ก่อนจะส่งเชือกบังเหียนในมือให้บ่าวชายข้างกาย จัดเสื้อผ้าและหมวกให้ดี จากนั้นจึงเดินตรงมาทางนี้

หลี่เมิ่งซีตบมือจือชิวเบาๆ บอกให้นางสุขุม ก่อนที่นางจะเหยียดกายตรงแล้วให้จือชิวประคอง นางหันหน้าไปทางหลี่จั้นและเดินต่อไปยังรถม้า

ขณะใกล้จะผ่านข้างกายหลี่จั้นไปพลันเห็นเขาประสานมือ ทำเอาจือชิวตกใจจนวิญญาณหลุดลอย กำลังจะหลุดพูดอะไรก็ได้ยินหลี่จั้นพูดว่า “พี่เซียว ไม่พบกันนาน เชื้อเชิญมิสู้พบกันโดยบังเอิญจริงๆ!”

เห็นหลี่จั้นทักทายเซียวจวิ้นที่ตามออกมา จือชิวจึงใช้มือซ้ายกดหน้าอก ลอบพ่นลมหายใจ สองนายบ่าวค่อยๆ เดินผ่านข้างกายหลี่จั้นไป เสียงทักทายของเซียวจวิ้นดังขึ้นข้างหลัง “น้องหลี่ ไม่พบกันนาน…”

หลังคารวะเซียวจวิ้นแล้ว หลี่จั้นพลันตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง คนที่เดินผ่านเขาไปเมื่อครู่นี้ให้ความรู้สึกที่คุ้นเคย เขาหันกลับไปทันใด ทว่าเห็นเพียงหลี่เมิ่งซีกับจือชิวที่ขึ้นรถม้าไปแล้ว ม่านรถทิ้งตัวลงช้าๆ

เห็นหลี่จั้นมองรถม้าของหลี่เมิ่งซีอย่างเหม่อลอย เซียวจวิ้นก็โกรธอย่างไร้สาเหตุ เอ่ยปากเรียกเขา หลังพูดคุยสนทนากับเขาและเถาจวิ้นตงอีกครู่หนึ่ง จึงค่อยก้าวเท้าเดินไปยังม้า

รถม้าเคลื่อนตัวช้าๆ จือชิวยกมือกดหน้าอกพลางพูดว่า “บ่าวตกใจแทบตาย!”

พอรถม้าเคลื่อนตัว จือชิวก็เลิกมุมม่านด้านหนึ่งขึ้น หลี่เมิ่งซีมองออกไปข้างนอก เห็นเซียวจวิ้นประสานมืออำลาพวกหลี่จั้นจากบนหลังม้า หลี่จั้นกำลังมองมายังรถม้าที่แล่นจากไปอย่างครุ่นคิด

เซียวจวิ้นขี่ม้าอยู่ข้างๆ รถม้า บังหน้าต่างไว้ด้วยท่าทางคล้ายเจตนาและไม่เจตนา

“สะใภ้รอง…” จือชิวเห็นหลี่จั้นมองมาเช่นนี้จึงร้องเรียกหลี่เมิ่งซีอย่างเป็นกังวล

“สะใภ้รองกับจือชิวรู้จักคนผู้นี้หรือ ใช่แล้ว สะใภ้รองสาบานเป็นพี่น้องกับรัชทายาทได้อย่างไร” จือชุนเห็นจือชิวทำหน้าประหลาด นางจึงอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้

หลี่เมิ่งซีแตะนิ้วบนริมฝีปาก ส่ายหน้าให้จือชุนเป็นสัญญาณว่าค่อยคุยเรื่องนี้ทีหลัง สองสาวใช้หุบปากอย่างรู้กาลเทศะ

รถม้าออกห่างจากวัดจิ้งอวิ๋นแล้ว หลี่เมิ่งซีเห็นจือชิวกับจือชุนนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าประหม่า นางคิดถึงเรื่องเสี่ยงเซียมซีจึงถามว่า “เดินเที่ยวอยู่นาน ลืมถามพวกเจ้าว่าตีความเซียมซีเป็นอย่างไรบ้าง ดีหรือไม่”

ได้ยินหลี่เมิ่งซีถาม จือชุนก็ตื่นเต้นขึ้นมา นางตอบว่า “สะใภ้รองไม่พูดก็ลืมไปแล้วจริงๆ บ่าวได้เซียมซีกลางเจ้าค่ะ บอกว่าขอเพียงไม่เปลี่ยนแปลงความคิดเดิมก็จะราบรื่นปลอดภัย ทุกเรื่องขอเพียงรอโอกาสมาถึงก็จะโชคดี”

หลี่เมิ่งซีฟังแล้วมุ่นคิ้ว ไฉนจึงเหมือนกับเซียมซีของนางเลย ล้วนเป็นคำว่า ‘รอ’ คงมิใช่เซียมซีหลอกคนที่เขียนคำทำนายเหมือนๆ หมดหรอกกระมัง! คิดเช่นนี้แล้วจึงไม่พูดอะไร

จือชิวยังคงตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่นี้อยู่ สติยังไม่กลับมา ไหนเลยจะมีอารมณ์พูดต่อจากจือชุนได้อีก

จือชุนเห็นทั้งสองไม่พูดจา นางจึงทำปากยื่นพูดอย่างไม่พอใจ “เซียมซีที่จือชิวได้เป็นเซียมซีกลางค่อนไปดี ดีกว่าของบ่าวมากเจ้าค่ะ”

“แล้วคำว่า ‘ป่วยไข้ได้ยาดีกลับแข็งแรง’ หมายความว่าอย่างไร”

“ซือฟู่บอกว่าเนื้อหาในเซียมซีของจือชิวคือ ‘ฤดูวสันต์หมู่มวลดอกไม้ผลิบาน โชคลาภมงคลมาเยือน’ ประโยคสุดท้ายหมายถึงทุกเรื่องหากได้พบผู้สูงศักดิ์ล้วนเป็นมงคล สะใภ้รอง บ่าวรู้สึกว่าเซียมซีนี้แม่นยำทีเดียว บ้านจือชิวประสบเคราะห์ร้าย ถูกบังคับให้ขายตัวเป็นบ่าว ตั้งแต่ได้พบกับสะใภ้รอง ทุกอย่างก็ดีขึ้น”

จือชิวฟังคำพูดของจือชุนแล้วผงกศีรษะ “บ่าวก็รู้สึกว่าเซียมซีนี้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ตอนนี้ที่บิดากับพี่ชายบ่าวมีชีวิตที่ดี ล้วนเป็นเพราะได้สะใภ้รองสนับสนุน บิดาของบ่าวมักบอกว่าบุญคุณใหญ่หลวงของสะใภ้รอง พวกเราสกุลหลี่จะไม่มีวันลืม ชาติหน้าต่อให้เป็นวัวเป็นม้าก็ต้องตอบแทน เซียมซีของสะใภ้รองตีความได้ว่าอย่างไรเจ้าคะ”

“เซียมซีที่ข้าได้ก็เป็นเซียมซีกลางค่อนไปดีเหมือนกัน ไม่ต่างจากจือชุนมากนัก ต้าซือเตือนข้าว่าเรื่องทุกอย่างอย่าใจร้อนเกินไป รอให้ถึงเวลาก่อน”

“เช่นนั้นความหมายของจิ้งอวิ๋นต้าซือก็คือ…พวกเราอย่าเพิ่งรีบออกจากคฤหาสน์สกุลเซียวหรือเจ้าคะ” จือชุนพูดต่อ

หลี่เมิ่งซีค้อนควัก “ต้าซือจะรู้ได้อย่างไรว่าเราจะออกจากคฤหาสน์สกุลเซียว ใครบอกว่าเซียมซีนี้หมายถึงเรื่องนี้กันเล่า”

“สะใภ้รองไม่ได้เสี่ยงเซียมซีเพื่อถามเรื่องนี้โดยเฉพาะหรือเจ้าคะ”

หลี่เมิ่งซีอึ้งไป เรื่องนี้นางก็ตอบไม่ถูกจริงๆ ว่าตนเองเสี่ยงเซียมซีด้วยเหตุใด จึงนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ

พูดถึงคฤหาสน์สกุลเซียว จิตใจที่ผ่อนคลายของทั้งสามก็กลับมาหนักอึ้งอีกครั้ง ในรถม้าพลันเงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงม้าย่ำไปบนพื้นหินดังกึกๆ กับเสียงตะโกนของคนขับรถม้าดังมาเป็นระยะ

ระหว่างที่เงียบงันรถม้าก็หยุดลง จือชิวเลิกมุมหนึ่งของม่านรถขึ้นเบาๆ แล้วมองออกไปข้างนอก ที่แท้ก็ถึงคฤหาสน์สกุลเซียวโดยไม่รู้ตัว เข้ามาถึงประตูชั้นในแล้ว เซียวจวิ้นก็ลงจากม้า เขากำลังพูดอะไรบางอย่างกับเป่าจู

เห็นเซียวจวิ้นหันกลับมามองรถม้า จือชิวจึงปล่อยม่านลง

ไม่นานก็ได้ยินเซียวซย่าเดินมาที่หน้ารถแล้วพูดผ่านม่าน “เรียนสะใภ้รอง นายหญิงใหญ่มีธุระต้องการเชิญคุณชายรองไปเรือนหยั่งซิน คุณชายรองสั่งให้บ่าวส่งสะใภ้รองกลับเรือนเซียวเซียงก่อนขอรับ”

สามคนในรถม้ามองหน้ากันไปมา จือชิว จือชุนใบหน้าแดงก่ำ เห็นพวกนางกำลังจะพูด หลี่เมิ่งซีจึงแตะนิ้วบนริมฝีปากให้พวกนางเงียบเสีย แล้วส่งเสียงออกไปนอกรถว่า “ข้ารู้แล้ว พวกเราไปเถอะ”

สิ้นเสียงของหลี่เมิ่งซี คนขับรถม้าก็ส่งเสียง รถม้าจึงเคลื่อนตัวช้าๆ อีกครั้ง มุ่งตรงไปยังเรือนเซียวเซียง

 

หลี่เมิ่งซีเอนกายลงบนตั่งนุ่มอย่างอ่อนเพลีย ด้วยรู้สึกเหนื่อยแล้วจริงๆ นางยื่นมือไปรับน้ำชาที่จือซย่าส่งให้ จิบคำหนึ่งแล้วจึงพรูลมหายใจยาว วุ่นวายตลอดช่วงเช้า รู้สึกหิวแล้วจริงๆ ขณะกำลังจะบอกให้ยกสำรับ นางก็ได้ยินจือชุนพูด “แม่นางซิ่วผู้นี้เหลวไหลขึ้นทุกวัน มีความสำรวมเยี่ยงกุลสตรีเสียที่ไหน สะใภ้รองยังไม่ทัน…ยังไม่ทันทำอะไรก็บุกมารังแกกันถึงที่เสียแล้ว แย่งตัวคุณชายรองไปต่อหน้าข้ารับใช้มากมาย”

จือชุนอยากพูดว่า ‘สะใภ้รองยังไม่ทันถูกหย่า แม่นางซิ่วก็บุกมารังแกถึงที่’ แต่ยับยั้งไว้ทันจึงเปลี่ยนคำพูดเสีย นางอดกลั้นมาตลอดทาง ในที่สุดก็ได้บ่นออกมายาวเหยียด

จือชิวเห็นด้วย “นั่นสิ สะใภ้รองกับคุณชายรองไปไหว้พระด้วยกัน เดิมทีคุณชายรองควรส่งท่านกลับมา จะเชิญคนก็ควรมาเชิญที่เรือนเซียวเซียงสิ เป็นเรื่องใหญ่เช่นมารดาเสียก็ว่าไปอย่าง มีใครไปดักรอที่ประตูชั้นในแบบนี้บ้าง เชิญคุณชายรองต่อหน้าข้ารับใช้มากมายเช่นนั้น ถือเป็นการหักหน้าสะใภ้รองยิ่งนัก เช่นนี้จะต่างอะไรกับการขวางทางและปล้นชิง! ลองให้เหล่าไท่จวินตัดสินดูว่าทำแบบนี้ชอบด้วยเหตุผลหรือไม่”

คุณชายรองกับสะใภ้รองไปไหว้พระด้วยกัน ทำให้ความตึงเครียดระหว่างทั้งสองผ่อนคลายลงอย่างคาดไม่ถึง เรื่องนี้จือชุนรู้สึกดีใจมาตลอดทาง นางคิดเสมอว่าสะใภ้รองกับคุณชายรองเป็นเพราะยังอ่อนเยาว์เจ้าอารมณ์ ไม่มีใครยอมใคร ถึงได้ขัดแย้งกันเช่นนี้ บัดนี้มีการเริ่มต้นที่ดีแล้ว สถานการณ์ย่อมค่อยๆ ดีขึ้นเองได้แน่ คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเข้ามาในคฤหาสน์ คุณชายรองจะถูกนายหญิงใหญ่เรียกตัวไปเช่นนี้เสียแล้ว

ถึงจะบอกว่ามีธุระ ทว่ากระทั่งผียังรู้ว่าเป็นเรื่องอะไร นายหญิงใหญ่เป็นถึงประมุขหญิงของบ้านกลับทำเรื่องเช่นนี้!

ราวกับถูกน้ำเย็นราดรดศีรษะ หัวใจของจือชุนที่เพิ่งจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาพลันเฉาลงทันใด นางลอบคิดว่า ไม่ต้องไปพูดถึงสตรีของคุณชายรองที่มีอยู่เต็มเรือนหรอก แค่มีแม่นางซิ่วคอยก่อกวนเช่นนี้ ชีวิตนี้สะใภ้รองกับคุณชายรองก็อย่าหวังจะปรองดองกันได้เลย!

“คฤหาสน์นี้คนมากปากเยอะ วันหน้าอย่าพูดจาส่งเดชอีก คุณชายรองถูกนายหญิงใหญ่ตามตัวไป เรื่องทุกอย่างยึดความกตัญญูเป็นที่หนึ่ง เรื่องนี้เรามิอาจขัดขวางได้ มีข้ารับใช้เบิกตาดูอยู่ทั่ว เกิดเรื่องขึ้นมาพวกเราก็มีแต่จะเสียหน้าเท่านั้น!”

หลี่เมิ่งซีไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ ฟังเสียงบ่นของทั้งสองแล้ว แม้จะรู้ว่าพวกนางหวังดี แต่ก็เกรงว่าทั้งสองจะบังเกิดความแค้นกับจางซิ่ว พูดอะไรออกไปโดยไม่คิดจนวาจาชักนำภัยมาสู่ตัว ด้วยสถานการณ์ของนางในคฤหาสน์สกุลเซียว หากสาวใช้สองคนนี้ก่อเรื่องขึ้นมา ไม่แน่ว่านางจะปกป้องพวกนางได้ ดังนั้นจึงห้ามปรามทั้งสองอย่างจริงจัง

จือชุนกับจือชิวเห็นหลี่เมิ่งซีมีสีหน้าเคร่งเครียด แม้จะไม่พอใจเพียงใด แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก พวกนางรีบก้มหน้ารับคำ “บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ”

เห็นสาวใช้ทั้งสองยืนเงียบอยู่ตรงนั้น หลี่เมิ่งซีเองก็รู้ว่าเมื่อครู่นางพูดแรงไปสักหน่อย ในใจย่อมรู้สึกสงสาร คิดถึงเรื่องร้านยาแล้วจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ใช่แล้ว ได้ยินคุณชายเถาคุยกับคุณชายรองวันนี้ ข้ารู้สึกว่าร้านยาอี๋ชุนมีชื่อเสียงไม่ธรรมดาในเมืองผิงหยางเลย คงจะดึงดูดความสนใจของคุณชายรองเข้าแล้วกระมัง”

“แน่นอนเจ้าค่ะ บ่าวได้ยินพี่ชายบอกว่าเบื้องหลังร้านยาอี๋ชุนของเรามีรัชทายาทคอยสนับสนุน รวมเข้ากับยาลูกกลอนที่สะใภ้รองเป็นคนปรุงเอง ตอนนี้ก็แทบจะเป็นร้านยาที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของเมืองผิงหยางแล้ว แม้แต่พวกขุนนางและชนชั้นสูงยังไปขอร้องพี่ชายของบ่าวอยู่บ่อยๆ”

ได้ยินหลี่เมิ่งซีถามถึงร้านยาอี๋ชุน จือชิวพลันกระตือรือร้น ลืมเรื่องเมื่อครู่นี้ไปสนิท ยามนี้กำลังเล่าอย่างตื่นเต้น

ได้ยินจือชิวพูดถึงรัชทายาท หลี่เมิ่งซีก็เหลือบมองจือชุนแวบหนึ่ง ด้วยเกรงว่าในใจของเด็กคนนี้จะเกิดความเหินห่าง นางจึงเล่าเรื่องที่ตนสาบานเป็นพี่น้องกับรัชทายาทให้ฟังคร่าวๆ สุดท้ายก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “โบราณว่าโชคเคราะห์มาด้วยกัน ร้านยาอี๋ชุนมีชื่อเสียงโด่งดังย่อมเป็นเรื่องดี แต่ไม้ใหญ่ย่อมดึงดูดลม เกรงว่าวันหน้าคงมิใช่แหล่งพักพิงที่ดีแล้ว”

“สะใภ้รอง!”

ฟังคำหลี่เมิ่งซีแล้ว จือชิวพลันร้องเสียงแหลม นางกลัวจริงๆ ว่านับแต่นี้ไป สะใภ้รองจะปิดร้านยาอี๋ชุนจริงๆ ที่นั่นเป็นหยาดเหงื่อแรงงานของพี่ชายกับบิดาเชียวนะ!

 

เห็นท่าทางตื่นตระหนกของจือชิวแล้ว หลี่เมิ่งซีก็ขมวดคิ้ว เด็กคนนี้ชักจะวู่วามขึ้นทุกวันแล้ว ตอนเช้าพอโมโหก็พูดจาวางโตถึงขั้นจะซื้อร้านค้ากลับมา ตอนนี้ตนยังพูดไม่จบ นางก็ร้อนใจเสียแล้ว ต่อให้หวังดีก็ต้องดูด้วยว่าสถานที่เป็นที่ไหน และมีใครอยู่บ้าง

ในคฤหาสน์หลังใหญ่เช่นนี้ ร้ายกาจสักหน่อยนั้นได้ แต่ก็ต้องมีความสุขุมด้วย หาไม่แล้วเกรงว่าตายอย่างไรยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ คิดถึงตรงนี้หลี่เมิ่งซีก็หยุดพูด นั่งมองจือชิวนิ่งๆ

จือชิวถูกหลี่เมิ่งซีจ้องจนขนลุก นางก้มหน้าพูดอึกอัก “บ่าว บ่าวคิดว่าสะใภ้รองจะปิดร้านยา จึงร้อนใจไปหน่อยเจ้าค่ะ”

เห็นจือชิวสำนึกผิด หลี่เมิ่งซีจึงพูดต่อ “ข้ายังพูดไม่ทันจบ เจ้าก็ร้อนใจเสียแล้ว ไม่มีความสุขุมแม้แต่น้อย อยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ นิสัยที่ไม่ควรทำที่สุดก็คือนิสัยเช่นนี้ เจ้าเป็นสาวใช้รุ่นใหญ่ของข้า ทุกคนต่างจับตาดูเจ้าอยู่ เจอปัญหาอะไรก็ต้องสุขุมเยือกเย็นเข้าไว้” น้ำเสียงของหลี่เมิ่งซีราบเรียบเนิบช้า ทว่ากลับแฝงความยืนกรานไม่ให้ขัดขืน

จือชิวฟังแล้วก็รู้ว่าสะใภ้รองโกรธ หลังจากใคร่ครวญให้ดี หลายวันมานี้เป็นเพราะสะใภ้รองไม่สนใจอะไรเลย นางจึงร้อนใจและวู่วามไปเล็กน้อย จือชิวรีบคุกเข่าลงทันใด “บ่าวผิดไปแล้ว วันหน้าบ่าวจะระวังมากขึ้น สะใภ้รองอย่าโกรธบ่าวเลยนะเจ้าคะ”

เห็นจือชิวทำเช่นนี้ หลี่เมิ่งซีจึงถอนใจเฮือกหนึ่ง “เจ้าลุกขึ้นเถอะ ข้าทำแบบนี้ก็ด้วยหวังดีต่อเจ้า ภาษิตว่าหายนะเกิดจากปาก อยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้ ข้าเองยังไม่แน่ว่าจะปกป้องตนเองได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเจ้าเลย พวกเจ้าสี่คนติดตามข้าตั้งแต่เข้ามาในคฤหาสน์ ข้าไม่อยากให้พวกเจ้าเป็นอะไรไปทั้งนั้น วันหน้าเมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาต้องหัดสุขุมเยือกเย็น เรียนรู้ที่จะปกป้องตนเองถึงจะดี”

จือชิวกับจือชุนรีบรับคำ จือชุนดึงจือชิวขึ้นมา สองสาวใช้ยืนอยู่ด้านข้างอย่างระมัดระวัง

มองทั้งสองแล้ว หลี่เมิ่งซีจึงพูดต่อคำพูดเมื่อครู่นี้ “ข้ากำลังคิดถึงภาษิตที่ว่ากระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง* พวกเราไม่อาจพึ่งแต่ร้านยาเพียงร้านเดียว ตอนแรกข้าให้หลี่ตู้รับเด็กกำพร้ามาฝึกหัด เจ้าไปดูซิว่าอบรมสั่งสอนไปถึงไหนแล้ว”

“ประเดี๋ยวบ่าวจะส่งคนไปเจ้าค่ะ” ได้ยินหลี่เมิ่งซีพูดเช่นนี้ จือชิวจึงรีบรับคำ

“ช่วงนี้เกรงว่าข้าคงไม่สะดวกจะออกไป ทางที่ดีพรุ่งนี้เจ้าจงไปด้วยตนเอง หารือกับหลี่ตู้ดูว่าสามารถคัดคนหัวไวที่ไว้ใจได้จากกลุ่มเด็กกำพร้า แล้วเปิดร้านสาขาที่นอกเมืองผิงหยางสักร้านสองร้านได้หรือไม่ ทำเลที่ตั้งของร้านสาขานี้พยายามหลีกเลี่ยงให้ไกลจากกิจการของสกุลเซียว หากเงินไม่พอ ให้ลองเปิดหนึ่งร้านดูก่อน รอจนเงินหมุนพอแล้วค่อยคิดอ่านกันใหม่”

“สะใภ้รองไม่พูด พี่ชายกับท่านพ่อของบ่าวก็กำลังคิดเรื่องนี้อยู่เจ้าค่ะ หลายวันก่อนยังพูดกับบ่าวอยู่เลย บอกว่าตอนนี้ร้านยาอี๋ชุนมีรายรับมหาศาล พื้นที่ตรงนั้นมิอาจขยายออกไปได้อีก มีเงินก็ได้แต่เก็บไว้นิ่งๆ จึงอยากหาซื้อที่ดินดีๆ นอกเมืองผิงหยางสักสองแห่งเพื่อเปิดร้านสาขา ให้บ่าวมาถามความเห็นของท่าน บ่าวเห็นหมู่นี้ท่านอารมณ์ไม่ดีจึงไม่กล้าเอ่ยถึง เพียงบอกพี่ชายว่าไม่ต้องร้อนใจ คิดว่าวันหน้าค่อยนำมาเรียนท่านก็ได้ คิดไม่ถึงว่าสะใภ้รองจะเป็นฝ่ายเอ่ยออกมาก่อน”

จือชิวพูดถึงตรงนี้ก็เหลือบมองหลี่เมิ่งซีอย่างระวัง เห็นนางไม่พูดอะไรจึงพูดต่อ “แม้ปกติสะใภ้รองจะไม่ได้ก้าวออกจากประตู ไม่ได้ออกไปไหนก็จริง ทว่าท่านมีพรสวรรค์ในการทำการค้าจริงๆ นะเจ้าคะ ความคิดเช่นนี้บ่าวคิดหัวแทบแตกก็คิดไม่ออก พรุ่งนี้บ่าวจะไปแต่เช้า ได้ยินพี่ชายบอกว่าด้วยกำลังของพวกเราตอนนี้ เปิดสามร้านก็ไม่เป็นปัญหา ตอนนี้ใกล้สิ้นเดือนแล้ว สองวันนี้ร้านยาอี๋ชุนจะส่งบัญชีมาให้ท่านตรวจดูเจ้าค่ะ”

น่าละอายยิ่งนัก ชาติก่อนบนท้องถนนล้วนเต็มไปด้วยร้านค้าปลีกแบบลูกโซ่ ซึ่งทุกร้านจะมีชื่อและการบริหารที่เป็นรูปแบบเดียวกัน ไม่คิดเลยว่าพอมาที่นี่จะกลับกลายเป็นพรสวรรค์ไปเสียได้ หลี่เมิ่งซีได้ยินจือชิวชมตน ใบหน้าพลันร้อนผ่าวอย่างอดไม่ได้ นางฟังแล้วก็รู้สึกละอายใจ

ช่วงนี้ตนเองคงเศร้าซึมจริงๆ ลำบากสาวใช้พวกนี้ไม่น้อยเลย ตอนนี้นางอารมณ์ดีแล้ว ได้ยินจือชิวพูดถึงจึงรู้สึกละอาย ขณะกำลังจะพูดอะไร จือชุนที่เงียบมาตลอดเหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงถามอย่างระมัดระวัง “สะใภ้รอง บ่าวไม่เข้าใจ เปิดร้านสาขาอีกสองร้านก็ใช้ชื่อร้านยาอี๋ชุนเหมือนกัน ดึงดูดความสนใจเหมือนกัน แล้วจะเป็นแหล่งพักพิงที่ดีได้อย่างไรเจ้าคะ”

หลี่เมิ่งซีฟังแล้วก็ตอบ “การค้าถ้าจะทำต้องทำให้ใหญ่ไปเลย หรือไม่ก็เปิดแบบเล็กๆ แต่ที่ไม่ควรกระทำที่สุดคืออย่างพวกเรา ฟังดูแล้วชื่อเสียงโด่งดังมาก แต่อันที่จริงกลับไม่มีกำลังอะไรเลย หากไม่มีรัชทายาทช่วยสนับสนุน ไม่แน่เท้าของสกุลเซียวข้างเดียวก็ขยี้พวกเราได้แล้ว อาศัยตอนนี้ที่ยังมีรัชทายาทช่วยเหลืออยู่ เปิดอีกร้านสองร้านลองโยนก้อนหินถามทางดูก่อน ร้านสาขานี้ไม่ขายยาแบบชั้นสอง แต่จะขายเพียงยาธรรมดาทั่วไปแบบชั้นหนึ่งเท่านั้น เช่นนี้ย่อมไม่โดดเด่นเกินไปนัก”

หลี่เมิ่งซีพูดถึงตรงนี้ก็หยิบชาขึ้นจิบคำหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “หากเปิดแล้วกิจการไม่ดี ย่อมไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คน ออกจากคฤหาสน์แล้วย่อมไปพักที่ร้านสาขาได้ หากเปิดแล้วกิจการดี พวกเราก็ขยายให้ใหญ่เสียเลย ทำตามแนวทางนี้แล้วให้ร้านยาอี๋ชุนเป็นเช่นดอกไม้ที่ผลิบานไปทั่วผืนดินต้าฉี รอให้ร้านยาอี๋ชุนมีกำลังพอจะงัดข้อกับสกุลเซียวแล้ว ค่อยใช้บารมีของร้านยาอี๋ชุนบีบให้คุณชายรองยินยอมหย่า พวกเราก็สามารถออกจากคฤหาสน์สกุลเซียวได้อย่างเปิดเผย”

“ผลิบานไปทั่วผืนดิน!”

“ยินยอมหย่า?”

หลี่เมิ่งซีเพิ่งจะพูดจบ สาวใช้สองคนก็เอ่ยถามพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย หลี่เมิ่งซีกุมหน้าผาก ที่นี่ไม่ใช่ยุคโบราณในโลกที่นางจากมาสักหน่อย เห็นทีต้าฉีจะไม่มีคำว่า ‘ยินยอมหย่า’ จริงๆ

ขบคิดอยู่นาน ไม่รู้จะอธิบายกับสาวใช้สองคนอย่างไร เกรงว่าพวกนางจะหาว่าความคิดตนน่าตื่นตกใจอีก กระแอมไอแล้วจึงพูดกลบเกลื่อน “ยินยอมหย่าก็คือให้คุณชายรองเขียนหนังสือหย่าให้ข้าด้วยตัวเอง”

“สะใภ้รอง ท่านคิดจะ…จะให้คุณชายรอง…” จือชุนฟังคำพูดหลี่เมิ่งซีแล้วก็เบิกตาโต ท่าทางไม่อยากเชื่อ นางถามรอบหนึ่งอย่างไม่แน่ใจนัก

เห็นท่าทางของจือชุนแล้วจิตใจของหลี่เมิ่งซีพลันหดหู่ จึงหันไปมองจือชิว นางเกลียดเซียวจวิ้นเป็นที่สุด น่าจะสนับสนุนให้ตนหย่ากับเขากระมัง!

มองไปทางจือชิวแล้ว ก็เห็นนางปากอ้าตาค้างเช่นเดียวกัน ไม่ด้อยไปกว่าจือชุนเลย

ลอบถอนหายใจในใจ เห็นทีความคิดของสตรียุคโบราณที่ว่าบุรุษเป็นใหญ่สตรีต่ำต้อย สตรีต้องมีสามีเพียงคนเดียวจะเป็นความคิดที่ฝังแน่นอยู่ในหัว มิอาจเปลี่ยนแปลงความคิดได้ในวันสองวัน จือชิวสนับสนุนนางถึงเพียงนี้ กล่าวได้ว่าบุคคลข้างกายนางที่เกลียดเซียวจวิ้นที่สุดก็คือจือชิว แต่พอดูจากสีหน้าของอีกฝ่ายแล้ว เห็นทีคงยินดีให้ตนอาศัยอยู่ในคฤหาสน์สกุลเซียวต่อไปในนามของสะใภ้รองยังดีกว่าถูกหย่า หากคิดจะทำให้เด็กสองคนนี้ยอมรับความคิดของตน ยังคงต้องใช้เวลาอีกมาก!

หลี่เมิ่งซีคิดถึงตรงนี้จึงกลืนคำพูดที่หมายโน้มน้าวทั้งสองกลับลงไป นางพูดต่อโดยไม่สนใจจือชุน “เรื่องนี้ตกลงตามนี้ จือชิวไปบอกหลี่ตู้ ไม่ต้องรีบร้อนเปิดหลายสาขา ลองเปิดดูสักร้านสองร้านก่อน คลำทางดูว่าเป็นอย่างไร รอให้มั่นคงแล้วค่อยว่ากันใหม่ หากมีเงินพอ ทางที่ดีหาซื้อบ้านพักสักหลังไว้ด้วย วันหน้าที่พวกเราออกไปแล้ว ย่อมไม่อาจพักอยู่ในร้านยาตลอดไปได้”

“เจ้าค่ะ พรุ่งนี้บ่าวจะออกไปแต่เช้า บ้านพักของสะใภ้รองอยากได้ทิวทัศน์ดีหรือเข้าออกสะดวกเจ้าคะ”

“ทางที่ดีขอให้ได้ทั้งสองอย่าง วันหน้ายามที่ปรุงยาจะได้ส่งออกไปได้อย่างสะดวก” หลี่เมิ่งซีเปลี่ยนเรื่องพูดไป “เดินเที่ยวมาตลอดช่วงเช้า ข้ารู้สึกหิวแล้วจริงๆ ตั้งสำรับเถอะ”

จือชิวกับจือชุนเหลือบมองสะใภ้รองแวบหนึ่ง สะใภ้รองผู้นี้ช่างละโมบจริงๆ

 

( ติดตามตอนต่อไปวันที่ 23 เม. 62 )

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

Jamsai Editor: