บทที่ 10
เวลาสามวันผ่านไปในชั่วพริบตา รถเข็นเด็กและรถหัดเดินทำเสร็จเรียบร้อย เยี่ยเหมยก็รีบร้อนอยากไปส่งของที่เมืองเซิ่งโจว จึงไปหาภรรยาต้าเหอ บอกว่าต้องการยืมเรือที่บ้านท่ามสามเกา เมื่อไปหยิบหมูสามชั้นชิ้นหนึ่งมาแล้วก็ตามภรรยาต้าเหอออกจากบ้านไปด้วยกันทันที
ขณะที่เดินอยู่เยี่ยเหมยรู้สึกได้ว่ามีชาวหมู่บ้านจำนวนมากพากันซุบซิบนินทานาง พอนางมองไป คนเหล่านั้นก็จะยิ้มให้นางอย่างมีเจตนาดี แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยแววอยากรู้อยากเห็น
ครั้นนางมาถึงบ้านท่านสามเกา มองเห็นภรรยาเกาเสียงก็เอ่ยถาม “พี่สะใภ้เสียง ท่านช่วยดูทีว่าวันนี้เสื้อผ้าข้าขาดเป็นรูหรืออะไร เหตุใดแววตาที่คนเหล่านั้นมองข้าถึงได้ชอบกลนัก”
ไม่กี่วันมานี้ภรรยาเกาเสียงพักผ่อนอยู่กับบ้านตามคำแนะนำของหมอ แม้จะยังมีเกาตามตัวอยู่เป็นระยะ แต่ก็ดูกระปรี้กระเปร่าดี ครั้นมองเห็นเยี่ยเหมยแต่ไกลๆ ก็รีบเดินมาต้อนรับ
นางได้ยินเยี่ยเหมยถามเช่นนี้ก็อดจะหัวเราะพรืดออกมาไม่ได้ “ต่อให้เสื้อผ้าเจ้าขาดรุ่งริ่งก็ยังไม่เหมือนเป็นหญิงชนบทในสายตาของพวกเราชาวหมู่บ้านอยู่ดี อีกทั้งเจ้าก็ดูมีน้ำมีนวลเพียงนี้ ผู้อื่นมองเจ้านานหน่อยก็เป็นเรื่องปกติยิ่ง ทว่าที่พวกนางมองเจ้านานก็มิใช่เพราะสาเหตุนี้เสียทั้งหมด เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าช่วยชีวิตซื่อฮวาไว้อย่างไร คนในหมู่บ้านกำลังลือกันว่าเจ้าเป็นเซียนจิ้งจอกกลับชาติมาเกิด บ้างก็ว่าเป็นเทพธิดาลงมาจากสวรรค์ มิเช่นนั้นเหตุใดแค่เป่าลมทีเดียวก็ช่วยชีวิตซื่อฮวาไว้ได้แล้ว”
ครั้นได้ยินดังนี้ เยี่ยเหมยก็มีสีหน้าอึ้งไปเล็กน้อย “มีเรื่องมหัศจรรย์เพียงนั้นที่ใดกัน พวกท่านแค่ไม่รู้เท่านั้นเองว่ายังมีวิธีการช่วยคนจมน้ำเช่นนี้อยู่ด้วย อีกอย่างก็เป็นโชคดีของซื่อฮวาเช่นกันที่ข้าเคยอ่านเจอวิธีการนี้จากในตำราโบราณเล่มหนึ่ง ทั้งเวลายังประจวบเหมาะ มิเช่นนั้นซื่อฮวาก็คงไม่รอดแล้ว”
ภรรยาเกาเสียงไม่สนใจคำถ่อมตัวของเยี่ยเหมย เชิญนางเข้าบ้านด้วยท่าทีสนิทสนมอบอุ่น “อาสะใภ้ต้าเหอ ท่านมีธุระอะไรก็ไปคุยกับพ่อสามีข้าในห้องใหญ่เถิด ข้ากับนางจะไปคุยกันที่ห้องข้าเสียหน่อย”
ภรรยาเกาเสียงพอจะมีหน้ามีตาในหมู่บ้านเกาจยาอยู่บ้าง ภรรยาต้าเหอยินดีจะให้เยี่ยเหมยคบหากับนาง จึงเดินไปหาท่านสามเกาที่ห้องใหญ่เพื่อพูดเรื่องขอยืมเรือด้วยความวางใจ
ภรรยาเกาเสียงมีพ่อสามีที่เป็นซิ่วไฉอยู่ในบ้านจึงได้เรียนหนังสืออยู่สองปี ยามพูดยามจาจึงสุภาพเรียบร้อยกว่าเหล่าสตรีในหมู่บ้านมาก ในสายตานาง เยี่ยเหมยเองก็เป็นผู้ที่มีท่าทางการเจรจาไม่หยาบช้าเช่นกัน แล้วไหนจะมีไมตรีที่อีกฝ่ายเตือนนางเรื่องบ่อเกิดโรคเมื่อก่อนหน้านี้อยู่อีก เพราะฉะนั้นการคบหากับเยี่ยเหมยจึงเป็นเรื่องที่มาจากใจจริงของนางยิ่ง
ชาติก่อนเยี่ยเหมยยุ่งง่วนแต่กับการหาเลี้ยงชีพ ไม่เคยมีเพื่อนสนิท ทว่าถ้าไม่ติดขัดอะไรนางเองก็อยากมีเพื่อนที่พูดคุยได้สักสองสามคน ภรรยาต้าเหอดีต่อนางยิ่ง แต่ก็ยังมีความเคารพบางๆ ต่อนางอยู่ อีกทั้งคุยกับนางได้เพียงเรื่องจุกจิกทั่วไปในหมู่บ้านเท่านั้น และตัวเยี่ยเหมยเองก็ไม่ค่อยชอบฟัง กลับเป็นนางกับภรรยาเกาเสียงที่ยิ่งคุยยิ่งถูกคอกัน ครั้นภรรยาต้าเหอคุยกับท่านสามเกาเสร็จจนมาเรียกนาง ทั้งสองคนก็มีท่าทางอาลัยอาวรณ์กันอย่างมาก
ก่อนส่งเยี่ยเหมยออกจากห้อง ภรรยาเกาเสียงพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงก้าวมากระซิบริมหูอีกฝ่าย “อาเหมย เมื่อวานซืนในหมู่บ้านมีสตรีแปลกหน้าเข้าไปในบ้านพี่เสี่ยวเหออยู่เป็นนานสองนาน คนอื่นคิดว่าเป็นญาติของพี่สะใภ้เสี่ยวเหอ แต่ข้ากลับได้ยินคนคุยกับพ่อสามีว่าสตรีนางนั้นเข้าหมู่บ้านมาเพื่อสืบเรื่องเจ้า จะใช่เกี่ยวข้องกับเด็กในท้องเจ้าหรือไม่”
เยี่ยเหมยนิ่งงันไปเพียงเล็กน้อยก็ได้สติกลับมาทันที ยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนว่า “คงไม่ใช่หรอก ผู้อื่นไม่รู้ว่าพ่อของเด็กในท้องข้าเป็นใคร แต่ข้าจะไม่รู้เชียวหรือ เขาเป็นกำพร้าทั้งยังป่วยตายไปแล้ว จะมีญาติมาจากที่ไหนได้” เยี่ยเหมยรู้ว่าหมู่บ้านเกาจยามีเพียงบ้านหัวหน้าหมู่บ้านที่รู้ความเป็นมาของนาง นางจึงเตรียมคำโกหกเอาไว้นานแล้วเพื่อให้บรรดาชาวหมู่บ้านไม่มีเรื่องให้เอาไปพูดกันได้
คราวนี้เป็นภรรยาเกาเสียงที่นิ่งงันไปบ้าง นางรู้เพียงว่าเยี่ยเหมยเป็นบุตรสาวตระกูลใหญ่ในตำบลหยางหลิ่ว แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงถูกถ่วงน้ำ แม้สุดท้ายไม่ตายแต่ก็ถูกไล่ออกจากบ้าน
ถ้าเป็นตามคำบอกของเยี่ยเหมยก็นับว่ามีเหตุผล มีนายท่านบ้านใดบ้างที่ยินดีให้บุตรสาวแต่งกับคนเป็นกำพร้า ที่บอกว่าป่วยตาย ดีไม่ดีจะเป็นฝีมือของนายท่านผู้ร่ำรวยนั่นกระมัง
ภรรยาเกาเสียงได้ยินเยี่ยเหมยบอกเรื่องชาติกำเนิดของตนออกมาตามจริง แต่บังเอิญว่าภรรยาเกาเสียงมิได้ชอบพูดจาเหลวไหลเรื่อยเปื่อยเหมือนเหล่าสตรีที่ข้างนอก จึงเชื่อไปเจ็ดแปดส่วนทันที กล่าวขอโทษต่อเยี่ยเหมยด้วยสีหน้าเห็นใจ “ขอโทษด้วย ทำให้เจ้าต้องเศร้าเสียใจแล้ว เฮ้อ…เจ้าตั้งท้องอยู่ยังจะเข้าเมืองอีก ทำอะไรต้องระมัดระวังให้มาก”
ได้ยินเช่นนี้เยี่ยเหมยก็ให้อบอุ่นในใจ ประคองภรรยาเกาเสียงไปนั่งลงบนเตียงเตาอีกครั้งก่อนกำชับ “ท่านเองก็ต้องฟังคำของหมอ บำรุงรักษาตัวให้ดี ในบ้านก็มิได้ขัดสน ฉะนั้นหาหยูกยาบำรุงเลือดลมมากินบ้าง”
หลังออกจากบ้านท่านสามเกา ระหว่างทางกลับภรรยาต้าเหอได้บอกกับเยี่ยเหมยอย่างลำบากใจอยู่บ้างว่าวันพรุ่งในหมู่บ้านมีพิธีเซ่นไหว้เพื่อการเพาะปลูกฤดูใบไม้ผลิ ปีที่ผ่านๆ มาล้วนขอให้อาจารย์จากหมู่บ้านข้างๆ มาช่วยเขียนและอ่านคำเซ่นไหว้ แต่ปีนี้อาจารย์ท่านนั้นมีธุระต้องกลับบ้านเกิด ท่านสามเกาจึงอยากขอให้เยี่ยหย่วนมาช่วยงานนี้โดยมีค่าตอบแทนให้หนึ่งตำลึง
“นี่เป็นเรื่องดียิ่ง อาสะใภ้ต้าเหอจะลำบากใจทำไมกัน” ฟังจากที่ภรรยาต้าเหอพูด คำกล่าวเซ่นไหว้ปีที่ผ่านๆ มาล้วนแต่นำของเก่ามาแก้ไขปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น อีกก้าวเดียวเยี่ยหย่วนก็จะได้เป็นซิ่วไฉแล้ว ไม่แน่ว่าจะไม่สามารถทำได้
“อาหย่วนเรียนที่สำนักศึกษาปั้นซานเชียวนะ เขาจะยอมหรือ อีกทั้งวันพรุ่งเจ้าก็จะเข้าเมือง อาหย่วนจะต้องตามไปด้วยแน่นอน”
วันที่เยี่ยเหมยจะเข้าเมืองเป็นวันที่ได้นัดกับผู้อื่นไว้แล้ว ส่วนวันพิธีเซ่นไหว้ในหมู่บ้านก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่แปลกที่ภรรยาต้าเหอจะลำบากใจ
ไม่กี่วันมานี้เยี่ยเหมยเห็นเยี่ยหย่วนพอว่างก็จะถือตำรารวมข้อสอบเก่าที่คัดลอกด้วยลายมือของคุณชายสุยเฟิงเล่มนั้นนั่งใจลอย นางเห็นก็ให้ปวดใจยิ่งนัก ตัดสินใจแน่วแน่ว่าหลังจากส่งรถเข็นเด็กกับรถหัดเดินแล้วจะไปสำนักศึกษาปั้นซานสักเที่ยว หากแต่นางเองก็รู้ถึงความดื้อดึงของเยี่ยหย่วน ถ้าเขาเข้าเมืองไปกับนางกลับจะขัดขวางไปทุกเรื่องแทน ใช้เรื่องนี้มาทำให้เขารั้งอยู่ในหมู่บ้านก็เป็นความคิดที่ไม่เลว
ครั้นคิดได้เช่นนี้ เยี่ยเหมยก็ให้ภรรยาต้าเหอย้อนกลับไปบ้านหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อแจ้งว่าเยี่ยหย่วนจะช่วยงานวันพรุ่งนี้ทันที หลังตัวนางกลับถึงที่พักก็หาตัวเยี่ยหย่วนมาบอกกล่าวเรื่องนี้
“พรุ่งนี้ข้าจะเข้าเมืองด้วยเช่นกัน” เยี่ยหย่วนไม่ได้บอกว่าจะเข้าเมืองไปทำอะไร ดวงตาจ้องมองรถเข็นเด็กกับรถหัดเดินที่มีผ้าฝ้ายเนื้อหยาบคลุมไว้พลางขมวดคิ้วเข้ม
“ลูกเอ๋ย ท่านน้าอยากเข้าเมืองไปเรียนหนังสือ หรือว่าอยากหาเงินหนึ่งตำลึงให้เจ้ากันหนอ” เยี่ยเหมยเองก็มิได้พูดกับเขาตรงๆ ลูบหน้าท้องที่ยังแบนราบพลางถามยิ้มๆ
“ก็ได้ๆ วันพรุ่งอาสะใภ้ต้าเหอก็จะเข้าเมืองเช่นกัน ข้าไม่อยากไปกับพวกท่านหรอก แต่ละคนพูดมากกันทั้งนั้น”
เยี่ยหย่วนพลันลุกขึ้นเดินหนีไปที่อื่น ทิ้งเยี่ยเหมยที่ปิดปากหวิดจะหลุดหัวเราะออกมาเอาไว้ น้องชายที่ขี้อายปากหนักช่างน่าสนุกโดยแท้
เกาจินฮวาบุตรสาวคนโตของเกาต้าเหออายุเต็มสิบห้าไปเมื่อฤดูหนาวปีกลาย สามีภรรยาจึงจะไปแจ้งเรื่องนี้ต่อญาติห่างๆ ทางตระกูลเดิมของภรรยาต้าเหอเพื่อให้ช่วยจัดเตรียม บ้านฝ่ายชายอยู่ที่นอกเมืองฝั่งตะวันออกของเมืองเซิ่งโจว ไม่ไกลจากเขาเถาฮวา ภรรยาต้าเหอจะไปบ้านว่าที่ลูกเขย แต่นางไม่วางใจจะให้เยี่ยเหมยไปส่งสินค้าที่คฤหาสน์สกุลจั่นทางทิศใต้ของเมืองคนเดียว จึงให้เกาต้าเหอใช้ไม้คานหาบรถสองคันนั้นไปเป็นเพื่อนอีกฝ่าย
เดิมทีเยี่ยเหมยนึกว่าต้องถามคนว่าคฤหาสน์สกุลจั่นทางทิศใต้ของเมืองอยู่ตรงไหน ใครเลยจะรู้ว่าพอเกาต้าเหอพานางเดินมาทางใต้ของเมือง นางก็มองเห็นซุ้มประตูสูงตระหง่านที่ด้านบนมีอักษรเขียนว่า ‘คฤหาสน์สกุลจั่นเขตใต้’ แล้ว นางมองดูจนปากน้อยๆ เผยออ้า คิดในใจว่าที่แท้คฤหาสน์สกุลจั่นทางทิศใต้ของเมืองแทบจะยึดครองพื้นที่ทางใต้ของเมืองไปครึ่งแถบ กำแพงอิฐเขียวสูงสองช่วงตัวคนกั้นถนนหนทางอันคึกคักจอแจไว้ภายนอกโดยสมบูรณ์
เดินเลาะกำแพงอิฐเขียวมาได้อย่างน้อยเกือบหนึ่งเค่อถึงมาถึงที่ว่างกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง บนที่ว่างมีซุ้มประตูขนาดใหญ่ยักษ์อีกซุ้มหนึ่ง ด้านบนเขียนไว้ว่า ‘คฤหาสน์สกุลจั่น’
“น้องสาวสกุลเยี่ย คฤหาสน์สกุลจั่นที่เจ้าว่าคือที่นี่หรือ” ปกติเกาต้าเหอเป็นคนงานชั่วคราวอยู่ที่ตำบลหยวนทง จึงนับว่าหูตากว้างไกลอยู่บ้าง เวลานี้เห็นว่าแม้แต่ซุ้มประตูยังมีถึงสองซุ้ม โอ่อ่าน่าตกตะลึงเพียงนี้ หัวใจก็เต้นไม่เป็นส่ำขึ้นมาทันที
“น่าจะ…ใช่กระมัง” เยี่ยเหมยปิดปากลง ในใจก็ชักไม่แน่ใจอยู่บ้างแล้วเช่นกัน หากแต่รับเงินคนเขามาแล้ว จะดีจะชั่วก็ควรเข้าประตูไปถามดูสักหน่อย เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็ก้าวเท้าเดินเข้าซุ้มประตู มุ่งหน้าไปยังประตูแดงบานใหญ่ที่ปิดสนิทอยู่
“ออกไปๆ มองไม่เห็นหรือว่าที่นี่คือที่ไหน ถ้ามาขอเงินจงรีบไสหัวไปโดยเร็ว ถ้ามาขายของก็ไปร้องบอกที่ประตูหลัง”
เยี่ยเหมยกับเกาต้าเหอยังไม่ทันเข้าไปใกล้ก็มีคนหนุ่มอายุสิบแปดสิบเก้าคนหนึ่งโผล่ออกมาจากห้องบ่าวเฝ้าประตูที่ด้านข้างประตูแดง โบกมือเหมือนไล่หมาแมวด้วยสีหน้าสุดรำคาญ
จะตำหนิที่ผู้อื่นรำคาญก็ไม่ได้ ในเมื่อสิ่งที่บ่าวเฝ้าประตูคนหนึ่งสวมใส่แม้จะเป็นเสื้อบุนวมผ้าทอละเอียดสีเขียวครามเข้มเหมือนกัน แต่ของเขากลับสะอาดสะอ้านไม่มีรอยปะชุนแม้แต่รอยเดียว
เกาต้าเหอหยุดฝีเท้าด้วยความตกใจ ก่อนจะร้องเรียกอีกฝ่ายอย่างเป็นกังวล
ถึงแม้เยี่ยเหมยจะไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ประสบการณ์ชีวิตสองชาติได้บอกนางว่าถ้าอยากได้เงินก็ต้องหน้าหนาเข้าไว้! นางจึงยิ้มให้บ่าวเฝ้าประตูหนุ่มผู้นั้น
“พี่ชาย พวกข้ามาส่งสินค้า สามวันก่อนคุณชายของพวกท่านสั่งสินค้าของข้าเอาไว้ และบอกให้พวกข้านำมาส่งที่คฤหาสน์สกุลจั่น”
แม้เยี่ยเหมยจะตัวผอม แต่รูปโฉมหน้าตากลับไม่เลว ใบหน้าเล็กๆ ขาวผ่องอ่อนนุ่มประกอบกับดวงตารูปเมล็ดซิ่งที่สุกใสเป็นประกาย ไม่มีแววต่ำต้อยหรือยโสโอหัง ทั้งตัวคนก็งดงามชวนมองอย่างยิ่ง
ครั้นมองเห็นรอยยิ้มนาง บ่าวเฝ้าประตูหนุ่มก็หน้าแดง ไม่สะดวกใจจะพูดถ้อยคำหยาบคายใจร้ายต่ออีก น้ำเสียงเองก็นุ่มนวลลงมาก “ส่งสินค้า? พวกข้ามีนายน้อยสามท่าน เป็นท่านใดที่สั่ง”
เป็นท่านใดนั้นเยี่ยเหมยก็บอกไม่ถูก ได้แต่ยกมือทำท่าทางประกอบ “คุณชายจั่นท่านนั้นมิได้บอกชื่อเสียงเรียงนาม ทว่าเขาสูงประมาณนี้ หน้าตาหล่อเหลา บุคลิกลักษณะเย็นชาอยู่บ้าง อ้อ เขาสวมชุดตัวยาวสีนิลปักลายใบไผ่ ของที่เขาสั่งไว้เป็นของใช้ของเด็ก อาจจะสั่งให้คุณหนูคุณชายน้อยของพวกท่าน”
“ไม่รู้แม้แต่ซื่อแซ่ เจ้ายังจะมาส่งสินค้าอะไร” บ่าวเฝ้าประตูกล่าวขัดขึ้นมาทันที “ของที่คุณหนูคุณชายน้อยของพวกข้ากินใช้ไม่มีอย่างไหนที่ไม่ดีไม่ประณีต เป็นไปได้หรือที่จะใช้ของที่พวกเจ้าทำ ไปๆๆๆ ถ้ายังไม่ไปอีก ข้าจะเรียกคนมาตีพวกเจ้า!”
“เจ้าพูดจาเช่นนี้ได้อย่างไร” เยี่ยเหมยโกรธแล้ว ทำท่าทางจะปราดไปคุยกับบ่าวเฝ้าประตูหนุ่มให้รู้เรื่อง
เกาต้าเหอตกใจจนสะดุ้ง ยกมือหนึ่งขวางหน้าเยี่ยเหมย “ไม่แน่เจ้าอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ พวกเราลองไปถามดูก่อนว่าทางใต้ของเมืองยังมีครอบครัวแซ่จั่นอื่นอีกหรือไม่” ครอบครัวระดับนี้ไหนเลยจะใช่ระดับที่ครอบครัวชาวนาอย่างตนเองสามารถข้องแวะด้วยได้ ในใจเกาต้าเหอก็คิดเห็นเหมือนกับบ่าวเฝ้าประตู ไม่เชื่อว่าเยี่ยเหมยจะเคยติดต่อกับเจ้านายท่านใดของบ้านนี้โดยสิ้นเชิง
“หยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว! มีใครในเมืองเซิ่งโจวไม่รู้จักตระกูลคหบดีจั่นที่ครอบครองพื้นที่ทางใต้ของเมืองทั้งหมดบ้าง ครอบครัวแซ่จั่นครอบครัวอื่นย่อมจะมี แต่ไม่มีทางอยู่ทางใต้ของเมือง” บ่าวเฝ้าประตูหนุ่มเชิดหน้า รู้สึกภาคภูมิใจอย่างมากที่ตนเองเป็นบ่าวของบ้านคหบดีจั่น
“ช่างเถอะ” เยี่ยเหมยถลึงตาใส่บ่าวเฝ้าประตู ไม่คิดจะเดินเข้าไปข้างในต่ออีก “ข้าได้เงินมัดจำมาแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่ขาดทุน มิใช่ข้าไม่มาส่งตามเวลานัด แต่เป็นเพราะพอข้ามาถึงกลับเข้าประตูไปไม่ได้” พอพูดเช่นนี้ เยี่ยเหมยก็รู้สึกว่าความละอายในใจหายไปเป็นปลิดทิ้ง หันหลังกลับเตรียมจะจากไป
ทว่าเวลานี้เองประตูเล็กบานหนึ่งข้างประตูแดงบานใหญ่กลับถูกคนดึงเปิดดังเอี๊ยดอ๊าดจากด้านใน บ่าวเฝ้าประตูอีกคนที่อยู่ในเครื่องแบบเดียวกัน แต่ดูจะเพิ่งอายุสิบสี่สิบห้าเดินนำออกมาก่อนค้อมตัวน้อยๆ “พี่ชุนหลัน ระวังธรณีประตูด้วย ท่านหมอเถียน ระวังธรณีประตูด้วย”
“พอแล้ว เสี่ยวซื่อ ทำงานในเรือนสะใภ้ใหญ่ ขอเพียงตนเองตั้งใจเอาการเอางานก็ไม่ต้องให้ใครดูแลเป็นพิเศษ ประจบข้าไปก็ไม่มีประโยชน์” คนยังไม่ทันออกมา เสียงใสเสนาะกลับลอยนำออกมาก่อน ต่อจากนั้นเยี่ยเหมยก็เห็นคนคุ้นตาสองคน
สองคนนี้นางเคยบังเอิญเจอที่โรงรับจำนำ คนหนึ่งคือสาวใช้ข้างกายสะใภ้ใหญ่จั่น นามว่าชุนหลัน อีกคนคือเถียนหนานซิง หมอที่ตรวจอาการจั่นเยี่ยเอ๋อร์ในวันนั้น
“แม่นางส่งเท่านี้ก็พอ ข้าจะพยายามรักษาอาการป่วยของคุณชายน้อยอย่างสุดความสามารถ กลับเป็นร่างกายของคุณหนูเล็กที่ไม่ควรปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป มิเช่นนั้นนานเข้าเกรงว่านางจะเป็นเหมือนกับพี่ชาย และพอถึงอายุห้าหกขวบจะยิ่งร้ายแรงกว่าเดิม” ไม่นานมานี้เถียนหนานซิงเพิ่งจะถูกเงินก้อนโตของสกุลจั่นขุดตัวมาอยู่ที่เมืองเซิ่งโจว ก่อนหน้านี้ตรวจจั่นเยี่ยเอ๋อร์ วันนี้ก็มาตรวจอาการจั่นชิงฮุยหลานชายคนโตของสกุลจั่นถึงคฤหาสน์ เพียงแต่ผลการตรวจรักษากลับไม่เป็นที่น่าพอใจ
“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่พบว่าคุณหนูเล็กมีอาการโรคเหมือนกับคุณชายน้อยถึงได้เจาะจงขอให้ใต้เท้าเจ้าเมืองเชิญท่านหมอเถียนมาเมืองเซิ่งโจว หวังว่าท่านหมอเถียนจะสามารถรักษาคุณชายน้อยและคุณหนูเล็กให้หายเป็นปกติได้ ถึงเวลานั้นสกุลจั่นรวมถึงใต้เท้าเจ้าเมืองจะขอบคุณท่านหมออย่างงามแน่นอนเจ้าค่ะ”
ไม่เสียแรงที่ชุนหลันเป็นถึงสาวใช้ที่สะใภ้ใหญ่จั่นให้ความสำคัญที่สุด คำพูดคำจาทั้งประจบประแจงทั้งแสดงศักดาบารมีไปพร้อมกัน นำกำลังทรัพย์และอำนาจอิทธิพลของฝ่ายตนเองออกมาแสดงต่อหน้าเถียนหนานซิงอย่างเต็มที่ในคราเดียว
เถียนหนานซิงเองก็รู้ว่าสกุลจั่นมีอำนาจอิทธิพลมาก หากแต่อาการป่วยบางอย่างไม่สามารถรักษาหายได้ในเวลาเพียงชั่วสั้นๆ รอยยิ้มเมตตาการุณย์ที่ดูคล้ายพระสังกัจจายน์บนหน้าเขากลายเป็นรอยยิ้มขื่น “คุณหนูเล็กของพวกเจ้าจนถึงบัดนี้ยังพูดไม่ค่อยได้ ฟันก็ยังขึ้นไม่ครบ อายุสองขวบกว่าแล้วกระหม่อมกลับยังไม่ปิด ทั้งยังผมบางเพียงนั้นอีก ทว่าอาการที่พวกเจ้าบอกข้าเหล่านี้เป็นเพียงระยะเริ่มต้นของโรค ข้ายังพอจะพยายามรักษาดูได้ แต่อาการของคุณชายน้อยของพวกเจ้ากลับทำให้ข้าลำบากใจอยู่บ้าง ขอแม่นางช่วยพูดกับสะใภ้ใหญ่จั่นด้วย”
“เรื่องนี้…” คุณชายน้อยของตนเป็นหลานชายคนโตในรุ่นเดียวกันของสกุลจั่น สามารถกล่าวได้ว่าเป็นศูนย์รวมความรักใคร่โปรดปรานจากทุกคน บัดนี้ท่านรองใกล้จะแต่งงานแล้ว อีกไม่กี่ปีท่านสามก็จะเริ่มหาคู่ครองได้แล้วเช่นกัน ถ้าคุณชายน้อยของตนรักษาไม่หาย เป็นหลานชายคนโตของสกุลจั่นไปจะมีความหมายอะไร
ครั้นส่งท่านหมอเถียนกลับไปแล้ว ชุนหลันก็กลุ้มใจด้วยไม่รู้จะกลับไปชี้แจงกับสะใภ้ใหญ่อย่างไรดี บางอย่างท่านหมอพูดกับนางได้ แต่นางกลับไม่อาจรายงานเจ้านายตามตรง ระหว่างที่ลำบากใจอยู่นั้นเองก็ได้ยินคนร้องเรียกนางอยู่ไม่ไกล…
“แม่นางชุนหลัน”
เยี่ยเหมยได้ยินบทสนทนาระหว่างท่านหมอเถียนกับชุนหลันเมื่อครู่นี้ชัดเจน หมอในยุคสมัยนี้อาจจะไม่รู้สาเหตุอาการโรคของจั่นเยี่ยเอ๋อร์ แต่เยี่ยเหมยที่มาจากต่างภพกลับรู้ดี จั่นเยี่ยเอ๋อร์แค่มีอาการโรคขาดแคลเซียม ฟังจากที่ท่านหมอเถียนพูด จั่นเยี่ยเอ๋อร์ยังมีพี่ชายอีกคน มิหนำซ้ำยังอาการหนักกว่าด้วย สำหรับคนที่รักงานของตนเองในชาติก่อนอย่างมากคนหนึ่ง เยี่ยเหมยรู้สึกว่าตนไม่อาจวางตัวอยู่วงนอกได้
“เจ้าคือ…” ชุนหลันหันหน้ามาเห็นเยี่ยเหมย ไม่แน่ใจอยู่เพียงประเดี๋ยวเดียวก็นึกออก “เจ้าคือแม่นางที่ช่วยคุณหนูเล็กของพวกข้าไว้วันนั้น!”
นางจำเยี่ยเหมยได้ค่อนข้างแม่น ไม่ใช่แค่รูปโฉมงดงาม แต่ยังวางตัวได้พอเหมาะพอควร มีความสุขุมเยือกเย็น โดยเฉพาะนัยน์ตาที่สุกใสเป็นประกายเปี่ยมความมั่นใจในตนเองคู่นั้น มันมักทำให้คนมองข้ามการแต่งกายของนางไป
“ลำบากแม่นางชุนหลันที่ยังอุตส่าห์จำข้าได้ สามารถมาคุยกันสักหน่อยได้หรือไม่” ในสมองเยี่ยเหมยก็ยุ่งเหยิงสับสนอยู่บ้าง นางจัดเรียงเรื่องที่เกิดในโรงรับจำนำวันนั้นอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็เข้าใจว่าสะใภ้ใหญ่จั่นกับ ‘นายน้อย’ ท่านนั้นน่าจะรู้จักกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นสามีภรรยาหรือมีความสัมพันธ์ใดต่อกันเท่านั้น
ชุนหลันประเมินมองเยี่ยเหมยและเกาต้าเหอที่ด้านหลังนางแวบหนึ่ง ก่อนหันหน้าไปพูดบางอย่างเสียงเบากับเสี่ยวซื่อที่เฝ้าประตูข้างบานเล็กอยู่ จากนั้นก็เดินไปคุยกับเยี่ยเหมยตรงเชิงกำแพงห่างประตูไม่ไกล “แม่นางต้องการคุยเรื่องอะไรก็กล่าวมาได้เลย”
เวลานี้เยี่ยเหมยนึกขอบคุณเหลือเกินที่คนที่ออกมาส่งท่านหมอเถียนมิใช่ชุนเถาที่มองไม่เห็นหัวผู้อื่น แต่เป็นชุนหลันที่รู้การควรการไม่ควร นางจึงไม่อ้อมค้อมเช่นกัน “ข้ามีแซ่ว่าเยี่ย แม่นางชุนหลันเรียกข้าว่าแม่นางเยี่ยก็ได้ ขอพูดกับแม่นางชุนหลันอย่างไม่ปิดบัง บ้านข้าเคยมีตำรับยาที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ เป็นตำรับยาสำหรับรักษาโรคหายากในเด็กโดยเฉพาะ ตอนอยู่ที่โรงรับจำนำก่อนหน้านี้ข้าก็รู้สึกแล้วว่าอาการโรคของคุณหนูเล็กของเจ้าคล้ายกับอาการโรคที่เขียนอยู่ในตำรับยา เพียงแต่เห็นว่าเป็นผู้มั่งมีจึงไม่กล้าพูดอะไร แต่เมื่อครู่ข้าบังเอิญได้ยินคำสนทนาของเจ้ากับท่านหมอ อาการโรคที่ว่ามาเหมือนกับระยะเริ่มต้นของโรคที่บรรยายอยู่ในตำรับยานั้นมิมีผิดเพี้ยน ข้าถึงได้ออกปากเรียกเจ้าไว้”
“อ้อ?” ชุนหลันประเมินมองเยี่ยเหมยรอบหนึ่งด้วยท่าทางระแวงสงสัย มิได้เชื่อคำของเยี่ยเหมยในทันที ก่อนจะเอ่ยปากถามว่า “แม่นางเยี่ยบอกข้าได้หรือไม่ว่าอาการร้ายแรงของโรคนี้เป็นอย่างไร”
“โรคนี้ระยะต้นเพียงแต่มีเหงื่อออกมากและตกใจร้องไห้ตอนกลางคืน มือเท้ากระตุก หงุดหงิดเบื่ออาหาร ระยะกลางร่างกายจะอ่อนแอป่วยง่าย โตช้ากว่าเด็กคนอื่น ส่วนเด็กที่เป็นหนักบ้างสองขาผิดรูป บ้างกะโหลกศีรษะเป็นเหลี่ยมไม่กลม บ้างซี่โครงเป็นปุ่มปม บ้างอกโป่งนูนเป็นอกไก่ ขอแค่มีอาการใดอาการหนึ่งที่ว่ามาก็ยากจะเยียวยา…”
“ว่าอะไรนะ!” เยี่ยเหมยยังพูดไม่ทันขาดคำดี ชุนหลันก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างหนัก จับมือข้างหนึ่งของนางไว้อย่างเสียกิริยา “เช่นนั้นเด็กที่เป็นหนักยังรักษาหายได้อยู่หรือไม่”
เยี่ยเหมยเห็นชุนหลันมีการตอบสนองเช่นนี้ก็รู้ว่านางพูดตรงกับอาการบางอย่างของคุณชายน้อยเข้าแล้ว ถ้าเป็นชาติก่อนของนาง ขาดแคลเซียมถึงขั้นร้ายแรงยังสามารถใช้วิทยาการขั้นสูงช่วยเร่งบำรุงแคลเซียมให้ดีขึ้นได้ แต่ในยุคสมัยนี้ไม่มียาตะวันตกและการให้ยาทางเส้นเลือด จึงเหลือแค่การใช้อาหารช่วยเยียวยารักษาแล้ว เพียงแต่นางแปลกใจยิ่งว่าเหตุใดคฤหาสน์สกุลจั่นที่มั่งคั่งร่ำรวยปานนี้ถึงมีเด็กขาดแคลเซียมอย่างรุนแรงถึงสองคน
“แม่นางเยี่ย ถ้าท่านรักษาคุณชายน้อยกับคุณหนูเล็กให้หายดีได้ ไม่เพียงบ่าวจะซาบซึ้งในบุญคุณของท่านเป็นอย่างยิ่ง ท่านใหญ่กับฮูหยินของพวกข้าก็จะตอบแทนท่านอย่างงามแน่นอน” ชุนหลันเห็นเยี่ยเหมยลังเลก็คิดว่านางกำลังลำบากใจ จึงรีบเปลี่ยนคำเรียกขานทั้งยังเอ่ยขอร้องด้วยเสียงที่อ่อนลง ถึงขนาดรับปากจะตบรางวัลอย่างหนักอย่างไม่เสียดาย
เรื่องซาบซึ้งบุญคุณอะไรนั้นเยี่ยเหมยไม่สนใจนัก กลับเป็นคำว่า ‘จะตอบแทนท่านอย่างงาม’ ที่ตรงใจนางอย่างยิ่ง บัดนี้นางตั้งท้องลูกอยู่ ต่อให้อยากทำให้ครอบครัวร่ำรวยขึ้นก็ต้องรอแตงสุกหล่นจากขั้วแล้ว หากแต่ทุกคนล้วนรู้ดีว่าการตั้งครรภ์ให้กำเนิดบุตรเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองเงินทองอย่างที่สุด นางไม่อยากให้ตนเองกับลูกต้องลำบากก็จะต้องหาเงินก้อนใหญ่ไว้เผื่อใช้ให้ได้ การรักษาคุณชายน้อยและคุณหนูเล็กของคฤหาสน์สกุลจั่นให้หายจึงเป็นทางลัดที่เร็วที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
“แม่นางเยี่ย!” ชุนหลันไม่ได้คำตอบจากเยี่ยเหมยเสียที จึงอดจะออกแรงบีบมือแน่นขึ้นไม่ได้
“เรื่องนี้…จำต้องเห็นอาการของคนป่วยก่อนถึงจะบอกได้” เยี่ยเหมยเองเอ่ยตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ไป แต่หลังจากนั้นก็ถามอีกคำถามด้วยความสงสัย “ไม่ทราบว่าในคฤหาสน์มีคุณหนูคุณชายอยู่กี่ท่าน”
ตอนที่ ‘นายน้อย’ เมื่อวันนั้นสั่งสินค้าก็บอกอยู่ชัดๆ ว่าเป็นคฤหาสน์สกุลจั่น บัดนี้ยังได้เห็นสาวใช้ของสะใภ้ใหญ่จั่นอีก อันที่จริงในใจเยี่ยเหมยก็มีคำตอบอยู่แล้ว ทว่าไม่รู้เหตุใดนางถึงหงุดหงิดในใจอยู่บ้าง เจ้าว่าพวกเจ้าสองคนใช้โรงรับจำนำเป็นที่เล่นซ่อนหากันนั้นดีจริงๆ หรือ หรือว่าโรงรับจำนำจะเป็นกิจการที่ ‘นายน้อย’ ซื้อลับหลังภรรยา ดังนั้นถึงได้หลบซ่อน
“ในคฤหาสน์มีเพียงสะใภ้ใหญ่ของพวกข้าที่มีบุตรชายและบุตรสาวอย่างละหนึ่ง เหตุใดแม่นางเยี่ยจึงถามเช่นนี้” ชุนหลันงันไปเล็กน้อย แต่ก็ยังคงตอบคำถามตามตรง
เยี่ยเหมยแจ้งใจแล้ว ทว่าในเมื่อ ‘นายน้อย’ ท่านนั้นหลบนายหญิง นางก็ไม่สะดวกใจจะเปิดโปงผู้อื่น ชี้คานหาบที่เกาต้าเหอหาบอยู่พลางว่า “ที่บ้านข้ากำลังทำของเล่นเด็กอยู่ สองวันก่อนมีคุณชายท่านหนึ่งมาสั่งให้พี่ชายรีบทำรถมาสองคัน และได้ทิ้งเงินมัดจำกับที่อยู่เอาไว้ แต่ใครเลยจะรู้ว่าวันนี้ขณะนำมาส่ง พี่ชายที่เฝ้าประตูกลับบอกว่าไม่ใช่ของของที่นี่ ข้าก็เลยถามดูด้วยอยากทำความเข้าใจว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่”
ชุนหลันตอบรับในลำคอเสียงหนึ่งก่อนหันกลับไปถามบ่าวเฝ้าประตูหนุ่มคนนั้นสองสามประโยค บ่าวเฝ้าประตูหนุ่มเห็นเยี่ยเหมยคุยกับชุนหลันอยู่เป็นนาน ซ้ำชุนหลันยังมีท่าทางเอาใจอีกฝ่าย เขาก็หวั่นใจอยู่นานแล้ว จึงบอกเล่าคำพูดของเยี่ยเหมยก่อนหน้านี้ออกมาหมดเปลือก
หลังจากชุนหลันทำท่าเหมือนครุ่นคิดเสร็จก็ตำหนิเขาไปหลายประโยคก่อนเดินกลับมาหาเยี่ยเหมย ใบหน้ามีแววไม่ค่อยแน่ใจ “ท่านที่แม่นางเยี่ยพูดไม่เหมือนกับท่านใหญ่ของพวกข้า กลับเหมือนท่านรองที่เพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วัน แต่ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อวันนี้แม่นางเยี่ยมาแล้วก็ตามข้าไปพบสะใภ้ใหญ่สักหน่อยเถิด ของที่แม่นางเยี่ยนำมาส่ง ไม่ว่าเป็นของที่ท่านรองสั่งหรือไม่ก็นำไปให้สะใภ้ใหญ่ดูด้วยกัน”
ถ้าจะพบสะใภ้ใหญ่ก็ต้องเข้าไปที่เรือนด้านหลังของคฤหาสน์สกุลจั่น อย่าว่าแต่ชาวนาอย่างเกาต้าเหอเลย แม้แต่บ่าวชายอารักขาที่เรือนด้านหน้าก็ยังไม่สามารถเข้าไปได้ง่ายๆ ชุนหลันบอกกฎระเบียบนี้ให้เยี่ยเหมยฟังอย่างอ้อมค้อม ซึ่งก็สบกับใจของเยี่ยเหมยพอดี ตอนนี้อะไรยังไม่แน่ไม่นอน นางเองก็ไม่อยากให้มีคนรู้เรื่องเพิ่มขึ้น
เยี่ยเหมยใคร่ครวญเพียงประเดี๋ยวเดียวก็นัดแนะกับเกาต้าเหอว่าหลังตนเองทำธุระที่คฤหาสน์สกุลจั่นเสร็จ จะไปเดินในตัวเมืองอีกหน่อย ให้เกาต้าเหอไปรอที่บ้านว่าที่ลูกเขย ถ้ายามเซินยังไม่เห็นนางกลับไปค่อยมาถามบ่าวเฝ้าประตูคฤหาสน์สกุลจั่นดู
บ่าวเฝ้าประตูหนุ่มคนนั้นใจคอไม่ดี ได้ยินคำสั่งของชุนหลันไหนเลยจะกล้าดูดาย หลังจากกล่าวประจบเกาต้าเหอไปสองสามประโยคก็ยื่นมือไปรับของบนบ่าเขามา
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments