บทที่ 13
ครั้นข้ามสะพานมาก็เห็นจากไกลๆ ว่ามีผู้คนขวักไขว่แน่นขนัด จั่นอวิ๋นหยางเดินเลี้ยวไปมาจนมาหยุดกลางทางเดินลึกลับเส้นหนึ่งอย่างคุ้นลู่เคยทาง จากนั้นก็ปล่อยตัวเยี่ยเหมยแล้วรีบถอยออกมาสามก้าวประหนึ่งถูกไฟดูดทันที เขาลอบหายใจเข้า พยายามข่มความคิดเพ้อฝันในหัวสมองลง
“ไฉนถึงไม่อุ้มต่อเล่า” เขาเพิ่งจะวางเยี่ยเหมยลงก็มีเสียงสัพยอกดังมาจากด้านหลังของทั้งสอง
ตอนนี้เยี่ยเหมยกำลังกึ่งวิงเวียนตาลาย สมองอันสับสนอลหม่านขบคิดว่าหรือเมื่อครู่จะเป็นวิชาตัวเบาในตำนาน บุตรชายตระกูลร่ำรวยอย่างจั่นอวิ๋นหยางมีกิจการส่วนตัวอยู่ข้างนอก มีวรยุทธ์ไม่ธรรมดา ซ้ำยังเล่นหนีออกจากบ้าน เขาต้องการจะทำอะไรกันแน่ ตัวนางใช่รู้มากเกินไปแล้วหรือไม่ จะถูกคนฆ่าปิดปากหรือไม่
ขณะที่เยี่ยเหมยควบคุมความคิดไม่ได้แล้ว และเริ่มจะคิดเหลวไหลไปอีกทางอยู่นั้นเอง จั่นอวิ๋นหยางก็ปรับสีหน้าเป็นปกติและหันหน้าไปพูดกับผู้มา “เจ้าช้าเกินไปแล้ว”
เยี่ยเหมยเองก็มองเห็นบุรุษที่ลงมาจากสะพานแล้วเช่นกัน อายุและรูปร่างล้วนไล่เลี่ยกับจั่นอวิ๋นหยาง เพียงแต่เขามีใบหน้ากลมที่ชวนให้คนนึกชอบ หางตาหางคิ้วไม่ยิ้มก็ยังเหมือนยิ้ม อีกทั้งเสื้อผ้าบนตัวเขาก็แทบไม่ต่างจากที่จั่นอวิ๋นหยางสวมเมื่อเช้า ถ้ามิใช่เห็นหน้าเขาตรงๆ เยี่ยเหมยคงได้นึกว่าเป็นจั่นอวิ๋นหยางเดินมาจากสะพานแทน
กู่จวิ้นเลิกคิ้ว สายตาตรึงอยู่บนร่างเยี่ยเหมย ตอบจั่นอวิ๋นหยางโดยไม่คิด “ข้าก็แค่ปล่อยให้เจ้าได้สำราญกับความรู้สึกของการมีคนงามอยู่ในอ้อมแขนให้นานขึ้นเท่านั้นเอง จริงๆ เลย แม่นางน้อยโฉมงามนางนี้ถึงกับไม่ได้ถูกเจ้าทำเอาตกใจจนขวัญเตลิด”
“ข้าไม่ได้ขวัญอ่อนขนาดนั้น” ถ้ามิใช่เพราะขาเยี่ยเหมยอ่อนยวบ นางคงได้หมุนตัวเดินจากไปแล้ว แต่คนผู้นี้ไม่เพียงพูดจาทะลึ่งทะเล้นไร้มารยาท แววตานั้นยังทะลึ่งทะเล้นยิ่งยวดอีกเช่นกัน
ไม่รู้เหตุใดจั่นอวิ๋นหยางถึงไม่ชอบแววตาที่กู่จวิ้นประเมินมองเยี่ยเหมยเลยแม้แต่น้อย จึงขยับเท้ามายืนบังสายตาของกู่จวิ้น “พอแล้ว นางมิใช่ผู้ที่เจ้าจะกระเซ้าเย้าแหย่ได้ รีบไปทำงานเสีย”
กู่จวิ้นเห็นประกายสังหารลอดออกมาจากแววตาของจั่นอวิ๋นหยางก็หดคออย่างหวาดๆ “ก็ได้ๆ ข้ารู้ว่าเจ้ากลัวว่าแม่นางที่อุตส่าห์ถูกตาต้องใจจะถูกข้าล่อลวงไป จริงๆ เลย ถ้าเจ้ายิ้มให้มากกว่านี้ได้จะต้องเป็นที่ชื่นชอบของสาวงามได้มากกว่าข้าแน่นอน แม่นางท่านนี้…”
“ไสหัวไป!” จั่นอวิ๋นหยางแค่นเสียงเย็นพลางยกมือไล่ ตัดบทคำพูดยืดยาวของกู่จวิ้น
กู่จวิ้นหมุนตัวกลับด้วยความตกใจ ก่อนออกวิ่งเลาะเขตหมู่บ้านริมแม่น้ำไปทางซ้ายมือ เพียงไม่ถึงชั่วครู่ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนว่าเห็นท่านรองจั่นแล้วลอยมาจากประตูข้างบานเล็กของคฤหาสน์สกุลจั่น เสียงฝีเท้าเร่งรีบค่อยๆ ไกลออกไป จั่นอวิ๋นหยางจึงพ้นวิกฤติ
โครก…
ความเงียบที่แผ่ขยายระหว่างเยี่ยเหมยกับจั่นอวิ๋นหยางถูกเสียงที่ไม่เข้ากันดังขัดขึ้นมา สีหน้าซีดขาวของเยี่ยเหมยเป็นสีแดงก่ำทันควัน กุมท้องไว้ด้วยสีหน้าเก้อกระดาก พอเห็นจั่นอวิ๋นหยางมองมาก็อดจะก้มหน้ารีบร้อนอธิบายไม่ได้ “ตั้งแต่ตื่นเช้ามาจนถึงตอนนี้ ข้ายังไม่ได้กินอะไรเลย”
จั่นอวิ๋นหยางนวดหว่างคิ้ว พลันหมุนตัว “ไปกันเถอะ”
เยี่ยเหมยตกใจสะดุ้ง นิ่งงันไปครู่ใหญ่ถึงตระหนักได้ว่าเขาเรียกนาง
จั่นอวิ๋นหยางเห็นนางยืนนิ่งก็หยุดฝีเท้าลงตรงหัวมุม คล้ายว่ากำลังรอนาง
เยี่ยเหมยเห็นดังนี้จึงเดินตามไปอย่างตื่นตกใจ “ขอบคุณที่ช่วยเหลือ”
“ไม่เป็นไร เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าสตรีอย่างเจ้าอย่าไปไหนมาไหนข้างนอกคนเดียวจะดีกว่า” จั่นอวิ๋นหยางเม้มปาก เดิมควรไปพบกับกู่จวิ้นตามแผนการ ฝีเท้ากลับหลุดการควบคุม พาเยี่ยเหมยเดินออกจากตรอกไป วกไปเลี้ยวมาจนมาถึงร้านเกี๊ยวน้ำร้านหนึ่ง
“เกี๊ยวน้ำร้านนี้ไม่เลว” จั่นอวิ๋นหยางพูดกระชับได้ใจความ พลางเดินนำเข้าประตูร้านไป “เกี๊ยวน้ำสองชาม” เขาร้องสั่ง พร้อมกันนั้นก็หาโต๊ะสะอาดตรงมุมหนึ่งเดินไปนั่งลง
เจ้าของร้านกวาดตามองสองคนที่รูปโฉมไม่เลวแต่เสื้อผ้าที่สวมมิได้ดีเท่าไรนักปราดหนึ่ง ก่อนสอบถามเยี่ยเหมยที่เพิ่งก้าวเข้าประตูมาอย่างยิ้มแย้ม “แม่นางท่านนี้ ท่านกับสามีกินรสชาติอย่างไร”
พอได้ยินคำถามนี้ เยี่ยเหมยก็หน้าแดงขึ้นมาในพริบตา รีบโบกมือพลางว่า “ไม่ใช่…”
“เกี๊ยวน้ำสองชาม ไม่ต้องใส่พริก” ในใจจั่นอวิ๋นหยางเองก็อึดอัดขัดเขิน ขมวดคิ้วน้อยๆ หยุดการอธิบายของเยี่ยเหมย ลงความเห็นว่าการไม่อธิบายของตนเองเป็นเพราะไม่อยากเอาปัญหาเล็กน้อยมาใส่หัว
เพียงไม่นานเกี๊ยวน้ำร้อนควันฉุยก็มาวางตรงหน้า กลิ่นหอมฉุยของน้ำแกงกระดูกหมูกระตุ้นต่อมรับรส เยี่ยเหมยเดิมทียังอยากพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร หยิบตะเกียบมาก้มหน้าก้มตากิน
สตรีกินได้ไม่มาก เกี๊ยวน้ำก็มาเต็มชามใหญ่ เยี่ยเหมยกินไปได้ห้าหกตัวกระเพาะก็ไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว จึงเงยหน้าขึ้นมาพินิจมองจั่นอวิ๋นหยางที่เปลี่ยนเสื้อผ้าและบุคลิกลักษณะแล้วที่นั่งฝั่งตรงข้ามอย่างห้ามใจไม่ได้ ความน่าเกรงขามของเขายังอยู่ แต่ดูเรียบง่ายติดดินขึ้นมาก แม้แต่ความเร็วยามกินก็มิได้งามสง่าละมุนละม่อมเหมือนคุณชายตระกูลใหญ่
เยี่ยเหมยชะงักไปเล็กน้อย ยังคงไม่ค่อยชินกับความเงียบแบบนี้ จึงเอ่ยปากถามเขา “เหตุใดท่านรองจั่นถึงต้องหนีออกจากบ้าน” ทว่าพอถามจบก็นึกเสียใจขึ้นมา
แม้จะอยู่ในคฤหาสน์สกุลจั่นเพียงไม่นาน แต่เยี่ยเหมยใช้หัวเข่าคิดก็ยังจินตนาการได้ว่าบุตรชายสายตรงอย่างจั่นอวิ๋นหยางอยู่ในนั้นจะได้รับความโปรดปรานมากเพียงไร คำอธิบายเดียวก็คือคู่หมั้นที่รูปโฉมงามเพริศพริ้งแต่ท่าทีกลับวางอำนาจบาตรใหญ่นางนั้นบีบคั้นจนเกินไป ถามเช่นนี้เป็นการตอกย้ำซ้ำเติมคนชัดๆ!
ได้ยินดังนี้ จั่นอวิ๋นหยางกลับเพียงมองนางปราดหนึ่งด้วยความแปลกใจ ทว่ามิได้ตอบกลับและเอ่ยถามนางว่า “รถเข็นเด็กกับรถหัดเดินนั้นทำได้ประณีตแยบคายนัก ไม่ทราบว่าเจ้าเรียนมาจากที่ใด”
เช่นนี้ก็ได้ เยี่ยเหมยไม่ถามแล้ว จั่นอวิ๋นหยางช่างเป็นพวกทำอะไรไม่ปกติโดยแท้ ทั้งยังคิดคำถามได้ตรงกับสิ่งที่เยี่ยเหมยไม่ต้องการตอบพอดีอีกด้วย ทว่านางไม่ค่อยชอบโกหก ก่อนหน้านี้ที่หลอกเยี่ยหย่วนไปเป็นเพราะใส่ใจเขา แต่พอเป็นจั่นอวิ๋นหยาง นางก็ไม่อยากอธิบายอะไรมากเกินไปนัก
ยามนี้นางรู้สึกเหนื่อยใจอยู่บ้าง ถ้าจั่นอวิ๋นหยางยังจะซักไซ้ไล่เลียงเช่นนี้ต่อไปอีก นางก็ไม่อยากมีอะไรข้องแวะกับเขาอีกแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะทำให้นางมีรายรับก้อนแรกหลังทะลุมิติมาที่นี่ก็ตามที
ด้านจั่นอวิ๋นหยางที่บอกความจริงเรื่องออกจากบ้านไม่ได้ ทว่าเขาก็คิดไปไม่ถึงเรื่องหลินฟางเฟย เพียงแต่คิดเปลี่ยนเรื่องพูดตามสัญชาตญาณ ใครจะไปรู้ว่าเปลี่ยนมาพูดถูกประเด็นที่เยี่ยเหมยพยายามเลี่ยงพอดี จึงซัดเอาความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อเขาในใจเยี่ยเหมยแตกละเอียดไม่เหลือแม้แต่เศษซากอีกครั้ง
จั่นอวิ๋นหยางไม่ได้รับคำตอบก็ทำท่าทางเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงวางชามลงเหม่อมองยอดศีรษะเยี่ยเหมยอย่างห้ามใจตนเองไม่ได้ นึกถึงคำพูดส่งเดชที่ใช้ล่อหลอกเยี่ยหย่วนเมื่อก่อนหน้านี้ของนางขึ้นมา ในดวงตาก็มีแววงุนงงสับสน เป็นนานถึงได้สะบัดศีรษะ ได้สติกลับมา
ตอนนี้มิใช่เวลาให้เขามานั่งคิดเรื่องเหล่านี้ อีกทั้งอาการใจลอยเสียอากัปกิริยาของเขาก็มาได้ผิดปกติยิ่ง ทำให้แทบจะนึกว่าเยี่ยเหมยเป็นคนที่ฝ่ายตรงข้ามส่งมาทำให้เขาสับสนแล้ว
“ขอบคุณที่ท่านรองจั่นเชื่อใจให้ข้าทำรถเข็นเด็กและรถหัดเดิน และต้องขอบคุณท่านรองจั่นด้วยที่ช่วยเหลือข้าในวันนี้ มื้อนี้ข้าเลี้ยงเอง” เยี่ยเหมยล้วงเงินออกมาแล้วก็คิดจะลุกขึ้นไปจ่ายเงิน
คาดไม่ถึงว่าจั่นอวิ๋นหยางจะเร็วกว่า ชิงโยนแท่งเงินแท่งหนึ่งลงบนเตาอิฐของร้านก่อนนางพร้อมทั้งพูดว่า “ไม่ต้องทอน”
ขณะที่เจ้าของร้านกล่าวขอบคุณอย่างดีอกดีใจ เยี่ยเหมยก็เก็บถุงใส่เงินเข้าในเสื้อเรียบร้อย ถอนหายใจเฮือก นึกในใจว่ามีเงินก็ดีอย่างนี้ กินเกี๊ยวน้ำสองชามยังใช้แท่งเงินมาจ่ายได้ ต้องมีสักวันที่นางจะใจป้ำเพียงนี้ได้เช่นกัน! แต่ไม่รู้ว่าเมื่อถึงวันที่นางสามารถใช้แท่งเงินจ่ายค่าอาหารได้ นางจะยังปรายตามองเกี๊ยวน้ำของที่นี่อยู่หรือไม่…
เยี่ยเหมยนึกว่าออกจากร้านแล้วก็ควรแยกย้ายไปตามทางใครทางมันได้แล้ว คาดไม่ถึงว่าจั่นอวิ๋นหยางจะมองสีท้องฟ้าแล้วหันหน้ามาถามนาง “เจ้าจะไปที่ใด ข้าจะไปส่ง”
อย่าเข้าใจผิดเด็ดขาดว่าเขาใส่ใจนาง เพียงแต่เขาเห็นว่ามีเวลาอยู่และก็ไม่ได้มีกิจธุระอะไร ไม่อยากให้เยี่ยเหมยเจอคนชั่วมาปล้นเงินอีก จึงได้เสนอขึ้นมาเช่นนี้ตามสัญชาตญาณ
เยี่ยเหมยถูกเขาทำเอาตกใจจนสะดุ้ง ลูบหน้าน้อยๆ โดยไม่รู้ตัว แม้ไม่กี่วันมานี้จะได้กินดีขึ้นบ้าง สีหน้าดูดีขึ้นไม่น้อย แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นอ่อนนุ่มเกลี้ยงเกลา แม้หน้าตาจะนับว่าพอดูได้ แต่ไม่เพียงพอจะทำให้คนตกตะลึงในความงามเด็ดขาด แม้แต่หน้าอกหน้าใจที่ทำให้เยี่ยเหมยภาคภูมิใจอยู่บ้างนั้น เทียบกับหลินฟางเฟยที่ก่อนหน้านี้มาขวางไม่ให้จั่นอวิ๋นหยางถอนหมั้นแล้ว ระดับชั้นยังห่างไกลกันนัก
“เรื่องนี้…ข้าไม่ถ่วงเวลาท่านรองจั่นหนีออกจากบ้านจะดีกว่า”
ถ้าให้คนพบเห็นท่านกับข้าเดินไปด้วยกันแล้วถูกคิดว่าหนีตามกัน ข้าตายเป็นร้อยครั้งก็ยังไม่พอให้คนด่า
จั่นอวิ๋นหยางสังเกตเห็นอาการต่อต้านของเยี่ยเหมยก็หน้าเปลี่ยนสี สะกดกลั้นอารมณ์เป็นครู่ใหญ่กว่าจะเอ่ยปากอีกครั้ง “เช่นนั้นข้าจะให้บ่าวไปส่งเจ้าแทน” พูดจบจั่นอวิ๋นหยางก็ล้วงเหรียญอีแปะสองเหรียญมาโยนลงชามของขอทานน้อยคนหนึ่งที่ข้างถนนโดยไม่ให้เยี่ยเหมยได้ปฏิเสธ “เจ้าไปร้านขายข้าวสกุลจั่นบนถนนอวี๋ซู่ข้างหน้านั้น หาคนชื่อเยี่ยนเฟย บอกเขาว่าแม่ของเขาป่วย”
ขอทานน้อยรีบเก็บเงินแล้ววิ่งปรู๊ดออกไปทันที
เยี่ยเหมยที่อยู่ข้างๆ ปากอ้าตาค้าง คนยังดีๆ อยู่ก็ ‘ถูกทำให้ป่วย’ เสียแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าหลังคนชื่อเยี่ยนเฟยรู้เรื่องจะมีปฏิกิริยาเช่นไร
จั่นอวิ๋นหยางเวลานี้กำลังหงุดหงิดหัวเสียจนยากจะระงับ ไม่รู้สึกแม้แต่น้อยว่าพฤติกรรมของตนเองในตอนนี้คือกำลังเอาใจเยี่ยเหมย ถึงขนาดยังหาข้ออ้างให้พฤติกรรมตนเองเสียดิบดีว่า “ชิงฮุยกับเยี่ยเอ๋อร์ป่วยมาตั้งแต่เล็ก ยากจะลงเดินพื้นได้ ต้องขอบคุณที่เจ้าทำให้พวกเขาสามารถเดินในเรือนได้ ท่านพ่อข้าดีใจอย่างยิ่ง”
เยี่ยเหมยหลงคิดว่าจั่นอวิ๋นหยางรู้ ‘ความลับ’ แล้วเสียอีก แต่หลังได้ยินเขาพูดก็แจ้งใจในทันที ดูจากบ่าวไพร่คฤหาสน์สกุลจั่นกับสะใภ้ใหญ่จั่นแล้วก็พอจะมองออกได้ ถ้าตัดปัจจัยเล็กๆ ออกไป คฤหาสน์สกุลจั่นก็นับว่าเบื้องบนเบื้องล่างปรองดองกันดี จั่นอวิ๋นหยางเป็นคนเคารพผู้ใหญ่ให้ความเอ็นดูเด็ก ดังนั้นถึงได้ดีกับนางเพียงนี้ ดูท่าคนผู้นี้จะเป็นมิตรสหายที่ควรค่าแก่การคบหา
ถูกต้อง! มิตรสหาย
ถ้าจั่นอวิ๋นหยางในวันหน้าได้รู้ว่าคำพูดของตนเองในเวลานี้ได้ฝังความคิดชักนำแก่เยี่ยเหมย คาดว่าเขาคงได้นึกเสียใจแทบตาย
เพียงไม่นานก็มีคนหนุ่มชุดน้ำเงินวิ่งมาจากทางด้านหน้าพร้อมกับเหงื่อกาฬเต็มศีรษะ ไม่ได้เห็นมารดาที่ป่วยหนัก กลับมองเห็นจั่นอวิ๋นหยางอยู่ในชุดสีเขียวครามซอมซ่อ เขาก็อึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด “ท่านรอง?”
จั่นอวิ๋นหยางพยักหน้าก่อนชี้เยี่ยเหมย “แม่นางท่านนี้เป็นแขกในคฤหาสน์ เจ้าช่วยไปส่งนางที่ที่นางต้องการไปด้วย” เยี่ยนเฟยเป็นบุตรชายคนเดียวของแม่นมของจั่นอวิ๋นหยาง และนับว่าเป็นคนเดียวที่จั่นอวิ๋นหยางซึ่งปกติออกท่องอยู่ข้างนอกสามารถเรียกใช้ได้ ทั้งยังเป็นคนเก็บความลับได้ดี
เยี่ยนเฟยมีหน้าตาท่าทางซื่อๆ แต่นิสัยยังนับว่าปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ได้ พอเขาเห็นท่าทางของจั่นอวิ๋นหยางก็รู้แล้วว่าเรื่องมารดาป่วยไม่ใช่เรื่องจริง นอกจากความโล่งใจแล้วเขายังนึกเรื่องที่สองวันนี้มารดาพูดถึงขึ้นได้ด้วย ขณะพยักหน้าก็เอ่ยถามจั่นอวิ๋นหยางอย่างระมัดระวังยิ่ง “ท่านรอง ท่านจะไปที่ใดขอรับ”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า กตัญญูต่อมารดาของเจ้าให้มากก็พอ” จั่นอวิ๋นหยางทบทวนความคิดเสร็จเรียบร้อยก็ตัดสินใจวางเรื่องความคิดความอ่านที่ตนไม่เข้าใจว่าเป็นเรื่องอะไรเหล่านั้นไว้ด้านข้างก่อน รอจัดการงานเสร็จแล้วค่อยมาคิดต่อ
ด้วยเหตุนี้หลังจากเขาฝากเยี่ยเหมยไว้กับเยี่ยนเฟยแล้วจึงหมุนกายสาวเท้ายาวเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะมองเยี่ยเหมยให้เกินความจำเป็น
ประตูเมืองทิศตะวันตก
กู่จวิ้นขี่หลังม้าตัวหนึ่งและยังมีอีกตัวตามอยู่ด้านข้าง ขณะเห็นจั่นอวิ๋นหยางมาตามนัดก็อดจะพูดยิ้มๆ ไม่ได้ “ข้านึกว่าท่านรองจั่นมีสาวงามอยู่ในอ้อมแขนแล้วคงจะมาช้าไปบ้าง แต่ไฉนถึงได้มาเร็วเพียงนี้”
จั่นอวิ๋นหยางทำหน้าเข้มพลางพลิกตัวขึ้นหลังม้า ก่อนควบห้อนำหน้าออกจากประตูเมืองทิศตะวันตกไป ภายใต้ใบหน้านิ่งขรึมกลับจิตใจปั่นป่วนเนื่องจากคำพูดของกู่จวิ้น
เขารู้เพียงว่าเวลานั้นเขาจะไม่สนใจความเป็นความตายของเยี่ยเหมย หันหลังเดินจากไปเลยก็ได้ แต่ขณะที่เขามองเห็นชัดว่าคนที่ถูกชายนักเลงสองคนนั้นรังควานคือเยี่ยเหมย เขาก็ถึงกับกระโดดจากกำแพงโดยไม่ลังเล
เขาเองรู้ว่าหลังกู่จวิ้นจัดการสองคนนั้นจนหนีไป เขาสามารถปล่อยตัวเยี่ยเหมยแล้วไปจากตรงนั้นได้ ต่อให้บ่าวอารักขาที่ไล่ตามออกมาจะรู้ว่าเขาเคยอยู่ตรงนั้นก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว หากแต่เขากลับตัดใจปล่อยมือไม่ลง ตัดสินใจปล่อยคนเนื้ออ่อนหอมกรุ่นในอ้อมแขนลงไม่ได้
เขารู้ทั้งรู้ว่ากู่จวิ้นไม่มีทางปล่อยชายนักเลงสองคนนั้นไป แต่หลังฝากเยี่ยเหมยไว้กับเยี่ยนเฟยแล้ว เขาถึงกับเปลืองแรงเปลืองเวลาไปหาและจับตัวสองคนนั้นไปส่งทางการ ด้วยอิทธิพลของจั่นอวิ๋นหยาง สองคนนั้นอย่างน้อยต้องถูกโบยแล้วเนรเทศไปไกลแปดร้อยลี้ ลงทุนลงแรงใหญ่โตเช่นนี้ก็เพื่อว่าคราวหน้าเยี่ยเหมยไปคฤหาสน์สกุลจั่นอีกจะไม่ต้องถูกคนจ้องจะปล้นชิง เขาถึงกับใช้เรื่องงานบังหน้าหาประโยชน์ให้ตนเอง ให้กู่จวิ้นบอกเจ้าเมืองเซิ่งโจวว่าให้ตรวจสอบนักเลงอันธพาลในเมืองภายในระยะเวลาหนึ่งหลังจากนี้ด้วย
ขณะอยู่ในร้านเกี๊ยว เขาอดจะลอบพินิจมองเยี่ยเหมยไม่ได้ ยิ่งมองยิ่งไม่เข้าใจ เขาเคยเห็นสตรีมาไม่น้อย แต่เหตุใดถึงจำหญิงสาวชนบทนางนี้ได้แม่นอยู่เพียงผู้เดียว เป็นเพราะความสุขุมเยือกเย็นมั่นใจในตนเองและความมีสำบัดสำนวนคมคายที่แตกต่างไปจากสตรีอื่น หรือเป็นเพราะ…นางทำตัวลึกลับมากลูกไม้
น่าเสียดายที่จั่นอวิ๋นหยางไม่เคยชอบสตรีใดมาก่อน จึงไม่รู้ว่านี่คือสัญญาณอาการหวั่นไหว เขามีนิสัยสงวนท่าที ทั้งยังชอบเก็บซ่อนเรื่องต่างๆ ไว้ในใจ ใช้ความเย็นชาเคร่งขรึมแสดงต่อผู้อื่นจนเคยชิน ผู้อื่นเองก็ไม่กล้าหยอกล้อพูดคุยกับเขา ทำให้กว่าเขาจะรู้ว่าอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้หมายถึงอะไรก็อีกเป็นนานหลังจากนี้
กู่จวิ้นขี่ม้าไปบนถนนหลักมุ่งสู่ด่านชายแดนของเมืองเซิ่งโจวเคียงข้างกับเขา มองใบหน้าด้านข้างที่แข็งแกร่งเด็ดเดี่ยวของเขาแล้ว กู่จวิ้นก็อดจะถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ อายุต้นยี่สิบเหมือนกัน แต่ไฉนตนเองถึงทำตัวสุขุมลุ่มลึกไม่ได้อย่างจั่นอวิ๋นหยางกันเล่า
ขอถามหน่อยว่าใครสามารถยินยอมพร้อมใจแบกชื่อเสียงฉาวโฉ่เปลี่ยนมาอยู่ในที่ลับในเวลาที่ยังหนุ่มแน่นคึกคะนองและกำลังจะได้เป็นจิ้นซื่อเพื่อทำงานที่ไม่อาจเปิดเผยให้องค์จักรพรรดิและรัชทายาทได้บ้าง ใครที่ยังอายุน้อยแต่กลับสามารถอดทนเก็บเกียรติยศความรุ่งเรืองเป็นความลับนานหลายปีได้ ใครกันที่มีพระราชโองการแต่งตั้งตำแหน่งขุนนางขององค์จักรพรรดิอยู่กับตัว แต่กลับไม่เคยบอกต่อผู้ใด แม้แต่ถูกบิดาบังเกิดเกล้าด่าว่าไม่รัก ความก้าวหน้าก็ยังไม่เคยหลุดปากบอกแม้แต่ครึ่งคำ
การเดินทางเงียบงัน กู่จวิ้นทนบรรยากาศเงียบเหงาระหว่างคนทั้งสองไม่ไหวในที่สุด จึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้นมาอีกครั้ง “นายน้อยจั่น ก่อนกลับเมืองเซิ่งโจวคราวนี้องค์จักรพรรดิมีพระราชประสงค์จะแก้ไขชื่อเสียงให้เจ้า เหตุใดเจ้าจึงปฏิเสธ”
“ยังไม่ถึงเวลา” ปัญหานี้ใช่ว่าจั่นอวิ๋นหยางไม่เคยคิดถึง จึงตอบในทันที
จักรพรรดิรัชกาลปัจจุบันของราชวงศ์ต้าฉี่เป็นผู้ปกครองผู้ทรงเมตตาธรรม ผู้ปกครองผู้ทรงเมตตาธรรมที่จั่นอวิ๋นหยางพูดย่อมหมายถึงประเภทที่ใจดี มีความสงสารเห็นใจ ไม่ทำอะไรรุนแรง จวบจนเขาอายุถึงวัยรู้ลิขิตฟ้า ถึงเพิ่งค้นพบว่าเขาถึงกับใจดีมีเมตตาจนสร้างศัตรูแข็งแกร่งให้รัชทายาทถึงสองคน ยังดีที่เขาค้นพบความบกพร่องของตนเองทันเวลา จึงพยายามสุดชีวิตที่จะช่วยรัชทายาทกู้สถานการณ์กลับคืนมา
จั่นอวิ๋นหยางได้เข้ามาทำงานนี้ด้วยความบังเอิญ ‘พลาดสอบเตี้ยนซื่อ’ อะไรเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น อันที่จริงอาศัยแค่บรรดาความดีความชอบในไม่กี่ปีมานี้ ตำแหน่งขุนนางของจั่นอวิ๋นหยางก็เลื่อนถึงลำดับหลักขั้นสี่แล้ว เพียงพอจะข่มผู้เข้าสอบในปีเดียวกับเขาได้ทุกคน
“เช่นนั้นจะรอไปถึงเมื่อไร” กู่จวิ้นปรายตามองพลางกล่าวต่อ “คราวนี้เจ้าก็จากมาโดยไม่ลาอีกแล้ว ไม่กลัวกลับเมืองเซิ่งโจวคราวหน้าจะถูกบิดาไล่ออกมาแทนหรือ”
เรื่องของคฤหาสน์สกุลจั่นซับซ้อนอยู่บ้าง กู่จวิ้นรู้เพียงว่าจั่นอวิ๋นหยางมีความสามารถน่าตื่นตะลึงมาตั้งแต่เล็ก โยนชาติตระกูลภูมิหลังทิ้งแล้วก็ยังสามารถมีชื่อเสียงในหลายเมืองใกล้ไกลในฐานะคุณชายสุยเฟิงได้ คราวนี้นายท่านจั่นยังคิดจะใช้การเปิดเผยฐานะตัวตนของเขามาขู่ไม่ให้เขาไปจากบ้าน คิดไม่ถึงว่าจั่นอวิ๋นหยางจะไม่แยแสโดยสิ้นเชิง อีกทั้งยังบอกจะไปก็ไปเลยด้วยซ้ำ
“ทำทุกเรื่องตามใจต้องการ ไม่มีอะไรต้องละอายแก่ใจก็พอ” จั่นอวิ๋นหยางไม่ได้ตอบกู่จวิ้นตรงๆ แต่ใช้คำพูดที่เคยได้ยินจากเยี่ยเหมยมาอุดปากกู่จวิ้นแทน
หันหน้ากลับไปมองเมืองเซิ่งโจวที่ค่อยๆ ไกลออกไป เขาไม่อยากมีชีวิตสงบราบเรียบดุจสายน้ำ เดินไปตามเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้เรียบร้อย เขาถึงได้เลือกเส้นทางที่เลี้ยวลดคดเคี้ยวยิ่งกว่า แม้จะลำบากไปบ้าง แต่กลับมีชีวิตที่อัดแน่นด้วยแก่นสาร บิดายังสุขภาพแข็งแรงดีอยู่ รออีกไม่นาน เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างลงตัวเข้าที่เข้าทางค่อยกลับเมืองเซิ่งโจวไปแสดงความกตัญญูต่ออีกฝ่ายก็ยังไม่สาย
จั่นอวิ๋นหยางกำมือ รอยฟันบนนิ้วยังเห็นได้ชัดเจน ก้นบึ้งหัวใจมีความคิดรางๆ ผุดขึ้นมา ทว่าทุกอย่างล้วนต้องรอเขากลับเมืองเซิ่งโจวครั้งต่อไปถึงจะมีคำตอบแน่ชัด
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments