บทที่ 3
เมื่อได้พบเยี่ยเซิ่ง เยี่ยเหมยก็รู้สึกแปลกใจอย่างมาก เขาไปขอภรรยาที่งดงามปานหยกปานบุปผามาได้อย่างไรตั้งห้าคน
เยี่ยเซิ่งที่อายุสี่สิบมีร่างอ้วนกลม ตาเล็ก จมูกใหญ่ ริมฝีปากหนา สวมชุดผ้าไหมตัวยาวสีสด ไม่ว่ามองอย่างไรก็เหมือนพ่อค้าขายเนื้อ
พอไม่เห็นความหวาดกลัวและความอ่อนแอขี้ขลาดจากในดวงตาของเยี่ยเหมย แต่กลับสบเข้ากับนัยน์ตาที่เปิดเผยไร้กังวลคู่หนึ่งก็ทำให้เยี่ยเซิ่งงุนงงอยู่บ้าง จึงหันหน้าไปมองภรรยาที่นั่งอยู่ข้างกายรวมถึงอี๋เหนียงสามและอี๋เหนียงสี่ที่ด้านหลังนาง พลางเอ่ยถาม “เรื่องนี้มีคนรู้มากเพียงไร”
“ก่อนหน้านี้มีคนรู้แค่ข้ากับน้องหญิงไม่กี่คน แต่เมื่อคืนอาหย่วนกลับได้ยินข่าวแล้วตามมา ตอนนี้มีคนรู้เท่าไรข้าก็ไม่ทราบชัดแล้วเจ้าค่ะ” มีฐานะเป็นฮูหยินของบ้าน หนึ่งบุตรหนึ่งธิดาล้วนแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว ตำแหน่งฐานะมีความมั่นคง จึงจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้ค่อนข้างยุติธรรมเสมอมา แต่เรื่องของเยี่ยเหมยไม่เคยมีตัวอย่างมาก่อน นางจึงไม่รู้ไปชั่วขณะว่าควรจัดการอย่างไร ถึงได้มีเหตุการณ์ถ่วงน้ำเช่นเมื่อคืนเกิดขึ้น ภายหลังมาย้อนคิดดู ในใจนางอันที่จริงก็นึกเสียใจอยู่ไม่น้อย
อย่างที่คิดไว้ เยี่ยเซิ่งเพิ่งจะฟังนางพูดจบก็ตวาดออกมาทันที “ไม่เข้าท่า! เดิมทีจัดการเงียบๆ ก็จบแล้ว แต่ดันทำให้คนอื่นรู้เรื่อง พวกเราปิดปากคนในที่นี้ได้หมดหรือ ข้าก็ว่าแล้วว่าเหตุใดวันนี้มาถึงก็เห็นคนพวกนั้นมองด้วยแววตาชอบกลเพียงนั้น ไม่แน่คงจะนินทากันลับหลังว่าข้าปกครองบ้านไม่เข้มงวด ซ้ำยังใจดำอำมหิต เรื่องถ่วงน้ำเป็นการเอาชีวิตคนเชียวนะ แล้วยิ่งเป็นการจัดการลูกสาวของตนเองอีก ถ้าถูกคนเอาไปแจ้งทางการก็มีโทษฐานทำร้ายชีวิตคน ล้วนแต่โง่กันทั้งนั้น! เป็นใครที่ออกความคิดโง่ๆ นี้มา”
ฮูหยินไม่ได้ตอบ แต่เลื่อนสายตาไปที่อี๋เหนียงสาม
อี๋เหนียงสามส่งสายตาหวานให้เยี่ยเซิ่งก่อนอธิบายเจือสะอื้นทันที “ผู้น้อยอนุภรรยาก็แค่คิดถึงชื่อเสียงของนายท่านกับอนาคตของเหล่านายน้อยและคุณหนูในคฤหาสน์เท่านั้นเองเจ้าค่ะ”
หากไม่นับภรรยาเอกของเยี่ยเซิ่งที่แต่งเข้ามาด้วยฐานะเท่าเทียมกัน ในบรรดาอนุทั้งสี่คนมีเพียงอี๋เหนียงสามที่มาจากตระกูลที่ดีหน่อย ที่เหลือล้วนเป็นเขาใช้เงินซื้อตัวมา ทว่าสตรีผู้นี้กลับแท้งลูกเพราะเขาเป็นต้นเหตุ เมื่อรวมกับว่านางหน้าตาดี ปกติจึงได้รับความรักใคร่โปรดปรานจากเยี่ยเซิ่งที่สุด ด้วยเหตุนี้พอนางส่งสายตาหวานอีกทั้งทำท่าทางออดอ้อน เยี่ยเซิ่งก็ทนทำบึ้งตึงไม่ไหว “ข้าไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะเอาโทษใคร ถึงอย่างไร…นางลูกคนนี้ก็ยังไม่ตาย”
จากความรวนเรของเขาสามารถมองออกได้ว่าเยี่ยเซิ่งไม่ได้มีความทรงจำกับเยี่ยเหมยผู้เป็นบุตรสาวเสียเท่าไร แต่ไม่ว่าจะมีความทรงจำลึกซึ้งหรือไม่ เยี่ยเหมยก็ยังคงเป็นบุตรสาวของเขา เรื่องมาถึงบัดนี้ก็ย่อมต้องคิดหาวิธีแก้ปัญหา
เยี่ยเซิ่งมองเยี่ยเหมยปราดหนึ่งแล้วพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ “ครึ่งปีก่อนตอนนางลูกคนนี้ถึงวัยปักปิ่นทางตระกูลอี๋เหนียงสามใช่ช่วยเป็นสื่อจัดการหมั้นหมายให้นางหรือไม่ อี๋เหนียงสาม แจ้งให้ท่านแม่เจ้าเดินทางมาสักหน่อยและหาวันให้นางแต่งออกไป”
“นายท่านเจ้าคะ ท่านทำเช่นนี้ต้องการจะให้ตระกูลข้าอยู่ที่หมู่บ้านอู๋จยาต่อไปไม่ได้ใช่หรือไม่” ขณะพูดถึงหมู่บ้านอู๋จยา อี๋เหนียงสามก็เหลือบมองเยี่ยเหมยแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว เมื่อพบว่าสีหน้านางไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ยกยิ้มมุมปากน้อยๆ มั่นใจว่านางเด็กอ่อนแอนี่ไม่กล้าพูดอะไรเช่นกัน
ครั้นได้ยินเช่นนี้ เยี่ยเซิ่งก็เงียบไป คิดดูก็เห็นจริง ทางฝ่ายชายจะต้องรู้เรื่องนี้แล้วแน่นอน หลังเกิดเรื่องคนทางบ้านอี๋เหนียงสามยากจะวางตัวถูกจริงๆ
ดวงตาเล็กๆ ของเยี่ยเซิ่งกลอกไปมา “เช่นนั้นจะทำอย่างไร ถอนหมั้นไหนเลยจะมิต้องคืนสินสอดของหมั้นให้อีกฝ่ายไป” เขาลูบคางที่เต็มไปด้วยไขมัน สุดท้ายก็หักใจ “ช่างเถอะ ถือว่าข้าไม่มีลูกสาวคนนี้แล้วกัน”
ชีวิตคนเราก็พลิกผันอย่างหนักเช่นนี้! เยี่ยเหมยนึกในใจว่าหรือตนเองจะเป็น ‘ดาวกำพร้า’ ในตำนาน
ชาติก่อนโดดเดี่ยวเดียวดายจนตายก็ช่างเถอะ แต่ชาตินี้ได้เห็นแล้วว่ามีมารดาที่แม้จะอ่อนแอแต่กลับรักใคร่เอ็นดูตนเอง และน้องชายที่ขี้อายปากหนักอย่างที่สุดแต่ก็เป็นห่วงเป็นใยตนเองเพิ่มมา ทว่ายังไม่ทันได้เสพสุขกับการมีครอบครัวก็ถูกบิดาบังเกิดเกล้าไล่ออกจากบ้านแล้ว
ถูกต้อง หลังคิดคำนวณอย่างคนเป็นพ่อค้าแล้ว เยี่ยเซิ่งก็ตัดสินใจไล่เยี่ยเหมยออกจากบ้าน พร้อมทั้งให้อี๋เหนียงสามแจ้งคู่หมั้นของเยี่ยเหมยให้มาถอนหมั้นโดยเร็วที่สุด
อี๋เหนียงสี่เป็นสตรีอ่อนแอขี้ขลาดจึงเป็นลมไปทันที สุดท้ายยังคงเป็นฮูหยินที่ผ่อนปรน ให้เวลาเยี่ยเหมยสามวันเพื่อเก็บข้าวของ
วันรุ่งขึ้นเยี่ยเซิ่งกับฮูหยินจากไปตั้งแต่เช้าตรู่ และเพื่อกันไม่ให้อี๋เหนียงสี่ทำการขัดขวางอีก จึงให้บ่าวหญิงรูปร่างกำยำล่ำสันสองคนคุมตัวนางกลับตำบลหยางหลิ่วไปด้วยกัน อี๋เหนียงสามกลับอาสารั้งอยู่ ‘คุม’ เยี่ยเหมย พร้อมทั้งจัดการเรื่องทางด้านสกุลพานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำเอาเยี่ยเซิ่งเอ่ยปากชมนางไปหลายประโยค
เปลี่ยนวิญญาณใหม่แล้ว เยี่ยเหมยย่อมจะไม่ได้ร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตายเหมือนที่ผู้อื่นคิดไว้ และยิ่งไม่ได้โขกศีรษะร่ำร้องขอให้ใครช่วย แต่หิ้วห่อผ้าที่เมื่อวานอี๋เหนียงสี่นำมาให้เดินออกจากเรือน
ยามนี้เป็นเวลาปลายเดือนหนึ่ง ออกห่างเตียงเตาอันอบอุ่นมาอยู่ข้างนอก เยี่ยเหมยก็เริ่มทนไม่ไหว สั่นหงึกหงักไปทั้งตัว
คิดไม่ถึงว่านางยังไม่ทันก้าวออกประตูเรือนก็มีเสียงร้องตะโกนลอยมาจากด้านนอก “ไม่มีใครอยู่หรือ”
คฤหาสน์ริมบึงน้ำดำนี้มีขนาดไม่ใหญ่ หรือก็หมายความว่าผู้คุมงานจากสกุลเยี่ยจะมาพักเป็นเวลาไม่กี่วันก่อนหน้าและหลังการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง บ่าวหญิงที่คอยช่วยงานล้วนเป็นภรรยาของชาวไร่ชาวนาผู้เช่าที่ เช้านี้ฮูหยินพาบ่าวหญิงที่ตามมาจากสกุลเยี่ยกลับไป ในคฤหาสน์เวลานี้จึงเหลือเพียงเยี่ยเหมยกับอี๋เหนียงสามและบ่าวหญิงอายุราวสามสิบหนึ่งคน พร้อมทั้งบ่าวหญิงที่มาทำความสะอาดอีกไม่กี่คนเท่านั้น
เพียงไม่นานในเรือนก็มีสตรีวัยกลางคนที่มีท่าทางโอหังดุร้ายเพิ่มมาหนึ่งคน รวมถึงชายหนุ่มที่กวาดตามองไปทั่วอีกผู้หนึ่ง ขณะมองเห็นเยี่ยเหมย ดวงตาของบุรุษผู้นั้นก็สว่างวาบขึ้นมาเล็กน้อย ผิวปากเสียงดังกังวานให้นาง ทั้งยังแสยะยิ้มลามกเต็มหน้า
แม่ลูกคู่นั้นเข้าประตูมาก็ถูกเยี่ยเหมยที่หิ้วห่อผ้าใบใหญ่ไว้ทำให้ตกใจเช่นกัน แต่จากนั้นสายตาของสตรีวัยกลางคนก็เปลี่ยนไปทันที “นางหญิงใจง่ายหน้าไม่อายนี่ ทำเรื่องน่าอับอายเช่นนั้นออกมา ไม่เอาตัวเข้ากรงหมูถ่วงน้ำ แต่ยังมีหน้ามาอยู่ในบ้านต่ออีก ถ้าสกุลพานของพวกข้าไม่ได้ยินเรื่องนี้ พวกเจ้าก็คิดจะสวมเขาพานหลินของพวกข้าใช่หรือไม่ ถุย!”
สกุลพานอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านอู๋จยาห่างจากตำบลหยางหลิ่วไปราวเจ็ดแปดลี้ พานหลินก็คือคู่หมั้นที่ก่อนหน้านี้ทางบ้านอี๋เหนียงสามจัดการหมั้นหมายให้เยี่ยเหมย
สามวันก่อนพอเรื่องที่เยี่ยเหมยท้องก่อนแต่งแดงออกมา อี๋เหนียงสามก็ให้คนนำข่าวไปบอกทางบ้านให้ขอถอนหมั้นทันที หากแต่พานซานเหนียงเดิมก็มิใช่คนที่รับมือด้วยได้ง่าย ไหนเลยจะยอมให้บุตรชายสุดที่รักของตนถูกคนรังแกกันเพียงนี้ ดังนั้นถึงจะรับสินสอดที่อี๋เหนียงสามส่งคืนมาแล้ว แต่พอคิดไปคิดมาก็ยังคงพาบุตรชายมาหาถึงที่
“หลบไป!” เยี่ยเหมยลำพังแค่เห็นสองแม่ลูกนี้ ในใจก็มีเพลิงโทสะแล้ว อี๋เหนียงสี่ยอมให้อี๋เหนียงสามหาบ้านสามีพรรค์นี้ให้เยี่ยเหมยได้อย่างไรกัน ใช้หัวเข่าคิดยังรู้ว่าอี๋เหนียงสามไม่มีทางมีเจตนาดีแน่
พานซานเหนียงเคยเห็นเยี่ยเหมยถึงได้ตอบตกลงเรื่องการหมั้นหมาย นางถูกใจที่เยี่ยเหมยหน้าตาดี รูปร่างไม่เลว นิสัยก็ปวกเปียกรังแกง่าย แต่เยี่ยเหมยในตอนนี้กลับยืนเชิดหน้าหลังตรงอยู่เบื้องหน้านาง ดวงตารูปผลซิ่งที่เบิกโตและคิ้วเรียวที่ชี้ชันยิ่งเสริมให้ดูน่าเกรงขาม ทำให้พานซานเหนียงอึ้งงันอยู่กับที่ไปในพริบตา
“นางหญิงแพศยานี่! มารดาเหยียบเข้าบ้านพวกเจ้ายังกลัวเท้าจะสกปรกเลย เจ้ากลับยังมีหน้ามาตะคอกข้าอีก!” หลังนิ่งงันไปชั่วครู่ พานซานเหนียงได้สติกลับมาก็กระโดดเหยงๆ เป็นแมวถูกเหยียบหาง ชี้หน้าด่าเยี่ยเหมยออกมาอีก
“เจ้าจะหลบหรือไม่หลบ!” เยี่ยเหมยมองซ้ายมองขวาเล็กน้อย เห็นไม้กวาดไผ่อันใหญ่สำหรับกวาดลานเรือนวางอยู่ด้านข้างก็ยื่นมือไปคว้ามากวาดเข้าหน้าพานซานเหนียงทันที “สุนัขดีไม่ขวางทางเดิน ถ้าบ้านนี้ทำเท้าเจ้าสกปรกก็อย่าเหยียบเข้ามาสิ”
ครั้นไม้กวาดไผ่ถูกชูขึ้น ฝุ่นที่ติดอยู่ก็ลอยเข้าหาพานซานเหนียง อีกทั้งด้วยกลัวจะถูกกิ่งไผ่เล็กเป็นฝอยทิ่มตา พานซานเหนียงจึงได้แต่หลบไปด้านข้าง
ทว่าเยี่ยเหมยยังไม่ทันได้ก้าวออกประตู พานหลินที่ชมดูเรื่องสนุกอยู่ข้างๆ กลับยื่นมือมาจับด้ามไม้กวาดไว้ด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนจะพลันก้าวขึ้นหน้ามาแทบแนบติดตัวเยี่ยเหมย สูดหายใจลึกทีหนึ่ง “หอมจริง”
แม้แต่เยี่ยเหมยที่มาจากยุคสมัยอันเปิดกว้างก็ยังถูกเขาทำเอาขยะแขยง ขนลุกไปทั้งตัว รีบทิ้งไม้กวาดถอยหลบไปด้านข้างขณะพานหลินคิดจะจับมือนาง ก่อนถลึงตาใส่เขาอย่างดุดัน
“แม่นางน้อยอย่าหลบสิ ทำไม นอนกับคนอื่นได้ แต่ข้าที่เป็นคู่หมั้นอยากจะจับมือกลับทำถือตัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ ก็แค่เพราะเงินมิใช่หรือ นางหญิงแซ่อู๋ขายเจ้าให้คนอื่นเพราะเห็นแก่เงินได้ ตอนนี้เจ้าเป็นของมีตำหนิแล้วย่อมจะขายให้ข้าได้เช่นกัน มิสู้ตามข้ากลับไปเป็นอนุเป็นอย่างไร” ดวงตาพานหลินฉายแววหื่นกาม จับจ้องมองหน้าอกอวบอิ่มของเยี่ยเหมยไม่วางตา ท่าทางนั้นคล้ายอยากจะเอาหน้าซุกใจแทบขาด
เยี่ยเหมยใจเต้นตึก “เจ้าว่าอะไรนะ” อันที่จริงอยู่ใกล้เพียงนี้ อีกทั้งพานหลินก็จงใจพูดให้นางฟังโดยเฉพาะ นางย่อมจะได้ยินชัด เพียงแต่นางคิดไม่ถึงว่าข้อสงสัยในใจข้อนั้นจะได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นจริงเร็วขนาดนี้
“พวกเจ้ามามุงดูอะไรอยู่ตรงนี้! ยังอยากทำมาหากินอยู่บนที่นาของสกุลเยี่ยอยู่หรือไม่” เมื่อครู่อี๋เหนียงสามยังชมดูเรื่องสนุกอยู่ด้านข้าง ทว่าบัดนี้ได้ยินคำพูดของพานหลินจึงกระโดดออกมาในที่สุด หลังจากไล่เหล่าภรรยาชาวนาผู้เช่าที่ไปแล้วก็หันไปพูดกับพานซานเหนียงด้วยสีหน้าเหยียดหยัน “พานซานเหนียง ท่านไม่อยู่เฝ้าที่ดินผืนน้อยของท่านอยู่ที่บ้าน แล่นมาสกุลเยี่ยเพื่ออะไร โอ๊ะ น้องชายพานก็มาด้วย สกุลเยี่ยของพวกข้าคุยกับสกุลพานของพวกท่านรู้เรื่องกันแล้วว่านับแต่นี้ไปสองตระกูลไม่มีสัมพันธ์เกี่ยวดองกันอีก แล้ววันนี้พวกท่านมาต้องการจะทำอะไร”
อี๋เหนียงสามกำลังโมโหสกุลพานอยู่ ตอนแรกนางได้ยินคนบอกว่าสกุลพานมีที่นามากทั้งยังยอมจ่ายค่าสินสอด ถึงได้เกิดความคิดจะจับคู่เยี่ยเหมยกับพานหลิน ใครเลยจะรู้ว่าทรัพย์สินเงินทองของสกุลพานล้วนถูกพานหลินเจ้าคนสำมะเลเทเมานี่ล้างผลาญไปเกือบหมด เงินหมั้นให้มาเพียงแปดสิบตำลึง เมื่อวานซืนขณะนางให้น้องสะใภ้ไปถอนหมั้น แม้แต่เงินสามสิบตำลึงในมือตนเองก็ยังคืนกลับไปด้วย ตอนนี้พวกเขายังจะมีหน้ามาก่อความวุ่นวายอีก!
ขณะพานหลินได้พบเยี่ยเหมยเมื่อคราวก่อน นางมีท่าทางขลาดกลัวไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า พอรวมกับชุดฤดูหนาวตัวหนาทำให้มองรูปร่างทรวดทรงไม่ออก เขาจึงไม่มีความรู้สึกดีๆ อะไรให้เยี่ยเหมย แต่บัดนี้ต่างไปแล้ว เยี่ยเหมยเชิดหน้ายืดอก นัยน์ตาเจิดจ้าแวววาว ชวนให้คนตะลึงในความงามอย่างมาก เขารู้ว่ามารดาตนมีนิสัยเช่นไรจึงรีบกระโดดออกมาขวาง “พี่ใหญ่อู๋ ท่านอย่าเพิ่งไล่พวกข้า ไม่แน่เรื่องที่ข้าจะพูดอาจจะทำให้ท่านต้องเอ่ยปากชมก็เป็นได้”
“เรื่องอะไร” บ้านเดิมของอี๋เหนียงสามแซ่อู๋ นางเป็นลูกคนโต พอได้ยินคำเรียกขานของพานหลินก็นึกได้ว่าตนเองไม่อาจล่วงเกินตระกูลใหญ่ในหมู่บ้านอู๋จยา จึงทำหน้าตึงเอ่ยถาม
“ให้คุณหนูเยี่ยแต่งมาเป็นภรรยาเอกของข้าเอาตอนนี้ย่อมจะมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ ทว่านางตามข้ากลับไปเป็นอนุคอยปูเตียงพับผ้าห่มได้” ลูกตาของพานหลินมองวนเวียนอยู่ที่บั้นเอวของเยี่ยเหมย ดูคล้ายกำลังค้นคว้าว่าเหตุใดเอวของนางถึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากการตั้งครรภ์ กลับยังคงอรชรบอบบางเพียงนั้น
“อ้อ?” คราวนี้อี๋เหนียงสามไม่ทำลีลาแล้ว เอ่ยถามพานหลินอย่างสนอกสนใจทันที “เรื่องนี้ก็ใช่จะไม่ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าน้องพานจะให้สินสอดได้เท่าไร ถ้าน้อยไป ข้าก็ไม่กล้ากลับไปพูดกับนายท่าน” พอพูดถึงเงิน ดวงตาทรงเสน่ห์ของอี๋เหนียงสามก็เปล่งรัศมีชวนตะลึงออกมา
“แปดสิบตำลึงย่อมจะไม่ได้ สิบตำลึงเป็นอย่างไร ท่านดูสภาพผอมโกรกของนางเถอะ พากลับไปยังไม่รู้ต้องเปลืองอาหารขุนอีกเท่าไร มิหนำซ้ำในท้องนางก็ยังมีเด็กอยู่อีกคน ค่ายาขับเด็กเทียบหนึ่งก็หลายตำลึงอยู่เหมือนกัน” พานหลินทำไม้ทำมือประกอบคำพูด ประหนึ่งว่าการให้เยี่ยเหมยตามกลับไปด้วยเป็นเรื่องขาดทุนอย่างมาก
“ยาเทียบหนึ่งอย่างมากก็หนึ่งตำลึงเองกระมัง เด็กคนนี้แค่ขุนดีๆ ไม่กี่วันไม่เพียงจะอุ่นเตียงและมีลูกให้ได้ แต่ยังปูเตียงพับผ้าห่ม ทำงานบ้าน ปลูกผักปลูกข้าวให้ได้ด้วย จ้างชาวนาหนึ่งเดือนก็ยังต้องให้ค่าจ้างหนึ่งตำลึงเลย แปดสิบตำลึง ไม่อาจน้อยกว่านี้แม้แต่อีแปะเดียว!” อี๋เหนียงสามปรายตามองเยี่ยเหมย อารมณ์ตื่นเต้นพลุ่งพล่านอยู่บ้าง
เหตุใดนางถึงคิดไม่ถึงนะ นางเข้าใจนิสัยของนายท่านดีจนดีไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ในเมื่อเขาบอกจะไล่เยี่ยเหมยออกจากบ้านก็ไม่มีทางสนใจไยดีนางอีกเด็ดขาด
ส่วนอี๋เหนียงสี่นั้นเป็นพวกนิสัยไม่สู้คน มองข้ามไปได้โดยสิ้นเชิง ตอนนี้อนาคตของเยี่ยเหมยก็อยู่ในมือนางแล้ว ถ้านางไม่กำไว้ให้ดีก็โง่เต็มทน
เยี่ยเหมยฟังสองคนนี้ต่อรองราคากันเหมือนด้านข้างไม่มีคนอื่นอยู่ก็โมโหจนระเบิดทันที นางตวาดลั่นว่า “หุบปากเดี๋ยวนี้! ตอนนี้ข้าถูกไล่ออกจากสกุลเยี่ย ไม่ใช่คนสกุลเยี่ยอีกต่อไปแล้ว นางไม่มีอำนาจตัดสินใจการอยู่การไปของข้า” ตวาดจบก็ออกแรงผลักพานหลินที่ขวางทางอยู่ออกไป ก่อนก้มหน้าก้มตาพุ่งตัวออกนอกเรือน
พานหลินย่อมจะไม่ยอมให้คนงามเนื้ออ่อนอย่างเยี่ยเหมยหนีไป จึงยื่นมือจะขวางไว้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะพลันมีเงาร่างหนึ่งโผล่มาหน้าประตู
เยี่ยหย่วนถือท่อนไม้ปรากฏตัวต่อหน้าคนทั้งหลาย เขาปล่อยให้เยี่ยเหมยวิ่งออกไปแล้วจึงฟาดท่อนไม้ลงบนไหล่พานหลินอย่างหนัก จากนั้นก็ได้ยินพานหลินส่งเสียงร้องออกมาพลางล้มลงไปด้านข้าง ต่อจากนั้นเสียงร้องไห้ของพานซานเหนียงก็ดังตามมาทันที
เยี่ยหย่วนเองก็ถูกฉากเหตุการณ์นี้ทำเอาตกใจจนสะดุ้งเช่นกัน หากแต่ยังคงรักษาสีหน้านิ่งสงบไว้ จ้องอี๋เหนียงสามที่ตามออกมาเขม็งพลางแค่นเสียงเย็น “อี๋เหนียงสาม คนทำอะไรสวรรค์ล้วนมองเห็น ท่านระวังกรรมจะตามสนอง!” พูดจบเขาก็หันไปหาเยี่ยเหมย ครั้นดูทิศทางแน่ชัดแล้วก็วิ่งตะบึงออกมา
ทั้งๆ ที่เยี่ยหย่วนยังหนุ่มน้อยโตไม่เต็มวัย แต่แววตาเมื่อครู่นี้ของเขาก็น่ากลัวเกินไปจริงๆ ทำเอาอี๋เหนียงสามเบิกตากว้าง จับวงกบประตูตัวสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามตนเองไม่ได้ทันที
รู้หรือไม่ว่าเหตุใดอี๋เหนียงสามถึงได้เจาะจงเล่นงานเยี่ยเหมย นั่นล้วนเป็นเพราะคำพูดหนึ่งที่หญิงร่างทรงที่นางไปขอลูกเมื่อเดือนเก้าปีกลายได้พูดกับนาง
ร่างทรงที่ชื่อดังที่สุดในอำเภอผู้นั้นได้บอกนางว่า ‘คนเป็นทำอะไร คนตายล่วงรู้’ หรือก็หมายความว่าทุกเรื่องที่คนทำในโลกคนเป็น ผู้ที่อยู่ในโลกคนตายล้วนเห็นอยู่ในสายตา
ร่างทรงนับนิ้วจับยามดูก็บอกเรื่องลับจำนวนมากของนางออกมาได้ แม้แต่เรื่องที่นางแท้งเพราะอี๋เหนียงสี่ ซ้ำลูกเป็นเด็กผู้ชายก็ยังบอกได้ถูกต้อง
ร่างทรงบอกว่าสาเหตุที่นางไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกครั้งล้วนเป็นเพราะชะตาของคนที่ ‘ชิง’ มาเกิดนั้นแข็งเกินไป หากต้องการขจัดคำสาปร้ายก็ต้อง ‘เช่า’ พระโพธิสัตว์กวนอินปางประทานบุตร
ทว่าการ ‘เช่า’ นี้มิใช่การเผากระดาษเงินกระดาษทองให้พระโพธิสัตว์กวนอินปางประทานบุตร แต่ต้องใช้เงินหนึ่งร้อยเก้าสิบเก้าตำลึงวางบูชาไว้หน้าพระโพธิสัตว์กวนอินปางประทานบุตรของร่างทรงเป็นเวลาสิบวัน ถ้าอี๋เหนียงสามร่วมหอภายในเวลาสิบวันนี้จะต้องตั้งครรภ์สำเร็จได้อย่างราบรื่น แน่นอนว่าเงินเหล่านี้หาใช่ค่าตอบแทนของร่างทรงไม่ หลังครบสิบวันร่างทรงจะคืนพวกมันทั้งหมดให้อี๋เหนียงสามอย่างมิตกหล่น
เดิมทีอี๋เหนียงสามเป็นบุตรสาวคนโตในครอบครัวชาวนา ฐานะทางบ้านไม่ใคร่ดีนัก มีหนหนึ่งไปเยี่ยมญาติแล้วเกิดไปเข้าตาของเยี่ยเซิ่งเข้า จึงถูกเขารับมาเป็นอนุ
ในคฤหาสน์สกุลเยี่ยมีอาหารเสื้อผ้าให้ไม่ขัดสน หากแต่เงินรายเดือนนั้นได้จำกัด อีกทั้งเยี่ยเซิ่งก็เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว ซ้ำหลายปีมานี้นางยังต้องช่วยจุนเจือทางบ้าน เงินที่นำออกมาใช้ได้มีจำกัดอย่างมากจริงๆ แม้แต่นำเครื่องประดับผมไปจำนำตั้งมากแล้วยังหาเงินได้เพียงร้อยตำลึง ในเมื่อโอกาสวางอยู่ตรงหน้าแล้ว นางจะปล่อยหลุดมือไปได้อย่างไร อุตส่าห์หาเวลาไปปรึกษากับทางบ้านเดิมแล้ว แต่คนทางนั้นก็ไม่มีแผนการดีๆ ใดๆ เช่นกัน
คิดไม่ถึงว่าต่อมาอีกไม่กี่วันมารดานางจะลอบมาหาถึงบ้านเป็นการลับ บอกว่าขอเพียงวันที่สิบสองเดือนสิบนางส่งสาวพรหมจารีรูปร่างดีคนหนึ่งไปยังหมู่บ้านอีกฝ่าย ก็จะได้ค่าตอบแทนถึงห้าสิบตำลึง แน่นอนว่าค่าตอบแทนนี้เป็นของแม่นางผู้นั้น
อันที่จริงเงินมากถึงห้าสิบตำลึงคิดจะซื้อสาวพรหมจารีสักคนจากในหมู่บ้านอู๋จยาเป็นเวลาหนึ่งคืนก็มิใช่เรื่องยาก แต่ที่สำคัญคือหลังแบ่งเงินให้แม่นางผู้นั้นแล้วจะเหลือไม่เท่าไร ที่มารดาของอี๋เหนียงสามบอกเรื่องนี้ต่อนางก็ด้วยคิดจะเก็บค่านายหน้าสักเล็กน้อย แต่ทว่าอี๋เหนียงสามได้ฟังแล้วกลับไม่คิดจะเก็บเพียงค่านายหน้าเท่านั้น
อี๋เหนียงสามคิดหน้าคิดหลังแล้ว สายตาก็อดจะเลื่อนไปหาเยี่ยเหมยที่ ‘ชิง’ ลูกของตนมาเกิดไม่ได้ ตราบใดที่เยี่ยเหมยยังอยู่ในสกุลเยี่ยก็อาจจะขวางทางตนอยู่ตราบนั้น เช่นนั้นหลังจากนางตั้งครรภ์ได้สำเร็จราบรื่นเล่า ลูกจะจากไปอีกครั้งหรือไม่
ครั้นคิดได้เช่นนี้ อี๋เหนียงสามก็หน้ามืดตามัว ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะกำจัดเยี่ยเหมย ด้วยเหตุนี้นางจึงใช้ข้ออ้างว่าจะให้เยี่ยเหมยพบหน้าคู่หมาย หลอกอี๋เหนียงสี่กับเยี่ยเหมยได้อย่างราบรื่น หลังพาเยี่ยเหมยไปถึงหมู่บ้านอู๋จยาก็ให้คนสกุลพานมาดูตัวเยี่ยเหมยก่อน จากนั้นก็ให้คนจ่ายเงินมาดู พอเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า นางก็ยกชาที่ใส่บางอย่างเพิ่มลงไปไปให้เยี่ยเหมย ฉวยโอกาสขณะเยี่ยเหมยสลบไสลส่งนางไปให้สตรีวัยกลางคนร่างสูงใหญ่บึกบึนสองคน วันต่อมาฟ้าเพิ่งสางอีกฝ่ายก็ส่งเยี่ยเหมยที่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยและยังสลบไสลอยู่มาคืนถึงหน้าประตูสกุลอู๋
เยี่ยเหมยที่เงียบขรึมทั้งยังอ่อนแอขี้ขลาดถูกนางบงการมาจนชิน หลังเกิดเรื่องไหนเลยจะกล้าพูดอะไร ห้าสิบตำลึงย่อมจะเข้ากระเป๋าของนาง เมื่อรวมกับได้ทางบ้านเดิมช่วยหาเพิ่มก็ครบตามจำนวนที่ร่างทรงเรียกร้องพอดี
หากแต่เรื่องที่อี๋เหนียงสามคิดไม่ถึงคือต่อจากนั้นร่างทรงกลับถูกคนรับตัวไปทำพิธีที่อื่น หลังปีใหม่ถึงจะได้กลับมา แต่พอผ่านปีใหม่แค่ช้าไปไม่กี่วัน นางยังไม่ทันไปหาร่างทรงก็มีเรื่องของเยี่ยเหมยขึ้นแล้ว
นางยิ่งคิดไม่ถึงอีกว่าหลังจากเยี่ยเหมยที่ยอมให้นางขยำขยี้ได้ง่ายดายเหมือนปุยฝ้ายรอดตายจากการถูกถ่วงน้ำจะนิสัยเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้น เยี่ยหย่วนเองอยู่ดีๆ ก็พูดกับนางเช่นนั้น เหมือนว่ารู้ทุกอย่างอย่างไรอย่างนั้น!
จริงสิ ต่อมาภายหลังนางไปสืบข่าวที่หมู่บ้านอู๋จยาจนรู้ว่าเจ้าของคฤหาสน์ตรงนั้นเป็นตระกูลสูงศักดิ์มั่งคั่งในเมืองเซิ่งโจว จึงอดจะคิดไม่ได้ว่าถ้าตระกูลนั้นยอมรับก้อนเนื้อในท้องเยี่ยเหมย คงจะได้ผลประโยชน์ไม่ใช่น้อยๆ
เพียงแต่นางเพิ่งจะพูดกับมารดา ก็ถูกอีกฝ่ายด่าตอกหน้ากลับมา
“ตระกูลสูงศักดิ์มั่งคั่งในเมืองเซิ่งโจวมีหรือจะหาสามภรรยาสี่อนุไม่ได้จนต้องอยากได้เลือดเนื้อที่ยังไม่รู้ว่าเป็นหญิงหรือชายในท้องของลูกสาวชาวบ้านชนบท อีกอย่างคนออกเงินก็มีความคิดจะแต่งกับสตรีชาติตระกูลดีกว่า ถ้ารู้ว่าคืนนั้นทำให้มีมารหัวขนเพิ่มมา คนเขากระดิกนิ้วก็บดขยี้พวกเจ้าทั้งบ้านได้แล้ว”
หลังถูกด่าเปิงเช่นนี้ ไม่ต้องให้มารดาย้ำเตือน อี๋เหนียงสามเองก็อกสั่นขวัญแขวน กลัวเยี่ยเหมยจะนำเรื่องยุ่งยากอะไรมา ถึงได้พยายามคิดหาทางปิดบังเรื่องนี้
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments