บทที่ 6
ผ่านไปอีกราวครึ่งชั่วยาม เรือไม้ก็มาจอดเทียบตีนเขาลูกหนึ่งทางขวามือ ตีนเขาอยู่ห่างจากสะพานใหญ่นั้นราวห้าลี้ มีร้านรวงเรียงติดกันเป็นแถวยาวจนมองไม่เห็นต้นทาง
ท่านสามเกานวดเอวพลางลงจากเรือ ชี้ร้านค้าร้านหนึ่งที่ด้านหน้าด้านหลังทะลุถึงกันพลางกำชับ “ตรงนั้นคือโรงเตี๊ยมของน้าชายเกาเสียง ปกติเป็นที่ฝากรถม้าของผู้ที่จะเข้าเมือง ข้าจะไม่เข้าเมืองไปด้วย จะไปพักอยู่ตรงนั้น ยามเซินพวกเราจะออกเดินทางกลับหมู่บ้าน พวกเจ้ารีบมาให้ตรงเวลา”
ที่นี่คือเมืองไว่ตงอันโด่งดังของเซิ่งโจว ตั้งอยู่นอกประตูเมืองทิศตะวันออก ภูเขาทางขวามือชื่อว่าเขาเถาฮวา อีกไม่นานพอดอกท้อทั้งเขาบานสะพรั่งจะมีงานชุมนุมดอกท้อจัดขึ้น ถึงเวลานั้นจะมีผู้คนขวักไขว่จนแม้แต่ที่ให้พักแรมยังหาได้ยาก ส่วนสำนักศึกษาปั้นซานก็อยู่ที่ไหล่เขาเถาฮวานี้ ห่างตีนเขาไปราวสามสี่ลี้
เยี่ยหย่วนตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ไปเรียนที่สำนักศึกษาปั้นซานอีก จึงก้มหน้าก้มตาสาวเท้ายาว เดินดุ่มไปทางประตูเมืองที่อยู่ไกลออกไป
เกาต้าเหอกับภรรยาเองก็มีธุระต้องทำ เห็นเยี่ยเหมยมีน้องชายแท้ๆ อยู่เป็นเพื่อนก็บอกลาเยี่ยเหมยก่อนเดินไปอีกทางหนึ่งอย่างวางใจ
ด้านหลัง เกาเสียงเพิ่งจะประคองภรรยาลงจากเรือมา เยี่ยเหมยจึงกัดฟันเดินไปหยุดข้างกายภรรยาเกาเสียงก่อนพูดอย่างรวดเร็ว “พี่สะใภ้เสียง ถ้าหมอที่เมืองเซิ่งโจวยังบอกว่าหาสาเหตุอาการคันของท่านไม่เจอเหมือนกับหมอที่ตำบลหยางหลิ่ว ท่านก็ให้หมอลองตรวจตับของท่านดูดีๆ”
ก่อนหน้านี้ภรรยาเกาเสียงเคยบอกว่าหมอล้วนแต่ตรวจหาความผิดปกติของผิวหนังนางกับการขยับตัวของทารกในท้อง แม้เยี่ยเหมยจะไม่รู้ว่าการจับชีพจรในแพทย์แผนจีนสามารถตรวจโรคได้ถึงระดับไหน แต่เอ่ยเตือนสักคำอย่างไรก็ดีกว่าหาสาเหตุของโรคไม่ได้เลย นางเพียงหวังว่าวิชาแพทย์ของหมอในเมืองเซิ่งโจวจะยอดเยี่ยมพอ
พูดจบเยี่ยเหมยก็ไม่สนใจสีหน้าท่าทางอึ้งงันของเกาเสียงและภรรยาของเขา หันหลังกลับไล่ตามเยี่ยหย่วนไปอย่างรวดเร็วราวกับบิน
“อาหย่วน ก่อนหน้านี้เจ้าเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาปั้นซาน คงเคยเข้าไปในเมืองเซิ่งโจวบ้างกระมัง รู้หรือไม่ว่าโรงรับจำนำไหนรับซื้อของด้วยราคาจริง พอข้าจำนำของแล้ว พวกเราก็ไปซื้อของกัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะซื้อพวกข้าวพวกธัญญาหารราคาสมเหตุสมผลได้จากไหน รู้หรือไม่ว่าที่ไหนมีผ้าราคาถูกแต่สวยงามทนทานขาย…”
“ท่านถามทีละอย่างได้หรือไม่!” ในที่สุดเยี่ยหย่วนก็ถูกนางทำให้รำคาญจนทนไม่ไหว จึงตะโกนเสียงดังขึ้นมา หลังตะโกนจบเขาก็พบว่าเยี่ยเหมยกำลังปิดปากหัวเราะ จึงอดโมโหเพราะความอายไม่ได้ แค่นเสียงออกมาทีหนึ่งก่อนเดินมุ่งหน้าไปต่อ ทว่าคราวนี้เขาจงใจผ่อนฝีเท้าช้าลงสองส่วน ให้เยี่ยเหมยไม่ต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังเขา
จากนอกเมืองถึงในเมืองต้องเดินอีกครึ่งชั่วยาม เยี่ยเหมยจึงใช้โอกาสอันหาได้ยากนี้ทำความเข้าใจเบื้องต้นต่อเศรษฐกิจในยุคสมัยนี้ เงินหนึ่งตำลึงเท่ากับเงินหนึ่งพวงหรือคือเท่ากับหนึ่งพันอีแปะ
แรงงานวัยฉกรรจ์คนหนึ่งในหมู่บ้านเกาจยา หนึ่งวันจะหาเงินได้สามสิบอีแปะ สามารถซื้อข้าวกล้องซึ่งคุณภาพต่ำที่สุดได้สิบห้าชั่ง แต่ถ้าใช้แลกเป็นเนื้อจะได้เพียงสามชั่ง ทว่าในเมืองเซิ่งโจวนั้นต่างออกไป แรงงานวัยฉกรรจ์หนึ่งวันสามารถหาเงินได้หกถึงเจ็ดสิบอีแปะ เยี่ยหย่วนทำงานช่วยคนเขียนจดหมาย ถ้าโชคดีอาจได้ถึงเจ็ดแปดสิบอีแปะ มิน่าเขาถึงกล้าหนีออกจากบ้าน ทั้งยังกล้าพูดว่าจะหาเลี้ยงนาง
‘รุ่ยจี้’ คือชื่อของโรงรับจำนำที่เยี่ยหย่วนแนะนำแก่เยี่ยเหมย ทว่าพอมายืนอยู่หน้าประตูโรงรับจำนำจริงๆ เยี่ยหย่วนกลับไม่ยอมเข้าไป ซ้ำยังขัดขวางเยี่ยเหมยด้วย
เยี่ยหย่วนถามขึ้นด้วยความระแวงสงสัย “ท่านมีของอะไรที่เอามาจำนำได้ ถ้าไม่มีเงินจริงๆ พวกเราก็ไปหาอี๋เหนียงให้ช่วยคิดหาวิธี ท่านไม่ต้องเอาแม้แต่เสื้อผ้าที่ใส่มาจำนำ”
คำพูดนี้ทำให้เยี่ยเหมยอบอุ่นในใจ “อาหย่วน เจ้าวางใจได้ พี่รองยังไม่ถึงขั้นจำนำเสื้อผ้าหรอก เด็กดี หลบไปหน่อย พอจำนำได้เงินมาก็จะส่งเจ้าไปสำนักศึกษาอีกครั้งได้”
“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าไม่ไป” เยี่ยหย่วนแค่นเสียงเย็น แต่กลับขยับหลบไปด้านข้างอย่างบังคับตนเองไม่ได้ “ท่านไม่เชื่อว่าข้าจะหาเลี้ยงท่านได้ใช่หรือไม่”
“เชื่อสิ น้องชายของข้าพูดอะไร ข้าก็เชื่อทั้งนั้น มีน้องชายคอยเป็นห่วงเป็นใยช่างดีโดยแท้ เพียงแต่ตอนนี้เจ้ายังเด็กอยู่ รอโตแล้วค่อยมาเลี้ยงข้าก็ยังไม่สาย” เยี่ยเหมยพูดพลางก้าวข้ามธรณีประตูไปพร้อมรอยยิ้มเบิกบาน รู้สึกจากใจจริงว่าการทะลุมิติมานี้ไม่นับว่าแย่นัก
เยี่ยหย่วนกำลังยกเท้าจะก้าวเข้าโรงรับจำนำ หูกลับได้ยินเยี่ยเหมยพูดกลั้วหัวเราะขึ้นอีกครั้งว่า “มีน้องชายคอยเป็นห่วงเป็นใยช่างดีโดยแท้” ฝีเท้าจึงซวนเซ สะดุดธรณีประตูสูงและหวิดจะล้มคะมำเข้าด้านใน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในโรงรับจำนำก็มีคนหัวเราะเยาะออกมา เยี่ยหย่วนจึงอายจนหูแดงอีกครั้ง
ผู้ที่หัวเราะเยาะเยี่ยหย่วนคือสตรีอายุยี่สิบสองนางที่อยู่ทางฝั่งขวาภายในโรงรับจำนำ พวกนางสวมเสื้อคลุมกันเปื้อนผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีเขียวคราม ในมือกอบถั่วลิสง ยืนประกบซ้ายขวาอยู่ข้างเก้าอี้ตัวหนึ่ง บนเก้าอี้มีเด็กผู้หญิงตัวอ้วนกลมอายุสองสามขวบคนหนึ่งกำลังก้มตัวฟุบกับโต๊ะด้านหน้าเก้าอี้ มือเล็กขาวผ่องอ่อนนุ่มกำลังเขี่ยถั่วลิสงบนโต๊ะไปมา
“อาหย่วน ระวังหน่อย” เยี่ยเหมยเห็นสตรีสองนางนั้นแกะถั่วลิสงโยนใส่ปากเสร็จก็ทิ้งเปลือกลงพื้น พอเห็นนางกับเยี่ยหย่วนเข้าประตูมาก็ขยับเข้าหากัน กระซิบกระซาบนินทาพวกตน ไม่มีมารยาทแม้แต่น้อยนิด นางจึงอดจะขมวดคิ้วถลึงตาใส่สตรีสองนางนั้นไม่ได้ “มองอะไรกัน ดูเด็กของบ้านพวกเจ้าให้ดี อย่าปล่อยให้นางเล่นถั่ว”
“พวกไส้แห้ง!” สตรีริมฝีปากบางทางด้านซ้ายสบถด่าเบาๆ ก่อนหันไปมองเด็กผู้หญิงแวบหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็ตะคอกใส่สตรีอีกคน “ดูคุณหนูเล็กหน่อย”
“ไส้แห้งก็ยังดีกว่าเป็นบ่าวรับใช้แล้วกัน” เยี่ยเหมยแค่นเสียงออกจมูก ก่อนเดินตรงไปยังโต๊ะกั้นที่ติดรั้วลูกกรงไว้ครึ่งหนึ่งทางด้านซ้ายมือ ยกมือล้วงในอกเสื้อ เตรียมจะหยิบหยกเขียวรูปปลาคู่ที่อาจจะเป็น ‘ค่าค้างคืน’ ชิ้นนั้นออกมา
แต่เวลานี้เองกลับพลันมีเสียงร้องด้วยความตระหนกตกใจทำอะไรไม่ถูกของบ่าวหญิงที่ว่านางไส้แห้งเมื่อครู่นี้ลอยมาจากด้านหลัง “พี่วั่น คุณหนูเล็กเป็นอะไรไปแล้ว!”
“ข้าก็ไม่รู้! ใช่กินถั่วลงไปแล้วติดคอหรือไม่” สตรีอีกคนที่อายุมากกว่าเล็กน้อยและบนศีรษะปักปิ่นเงินกุลีกุจออุ้มเด็กผู้หญิงขึ้นมาตบหลังอย่างแรง “คุณหนูเล็ก! รีบคายออกมาเจ้าค่ะ รีบคายออกมา!”
“มัวแต่ยืนดูอยู่ทำไม ยังไม่รีบไปตามหมอมาอีก ถ้าเยี่ยเอ๋อร์เป็นอะไรไป ข้าจะถลกหนังพวกเจ้า!”
ม่านประตูผ้าย้อมครามตรงกลางโรงรับจำนำถูกแหวกออก สตรีในชุดหรูหราสูงศักดิ์และบนศีรษะมีเครื่องประดับอัญมณีอยู่เต็มนางหนึ่งรีบร้อนวิ่งปราดไปยังเก้าอี้ทางขวามือ ด้านหลังนางมีสาวใช้อายุสิบเจ็ดสิบแปดที่สวมเสื้อคลุมกันเปื้อนสีชมพูตามมาสองคน ครั้นได้ยินคำสั่ง คนหนึ่งก็ยกชายกระโปรงวิ่งออกนอกประตู ส่วนอีกคนตามหลังสตรีสูงศักดิ์มาหยุดข้างเด็กผู้หญิง นางผลักพี่วั่นออกไปก่อนยกมือตบหลังเด็กแทน “พวกเจ้าสองคนดูแลคุณหนูเล็กอย่างไร แค่ชั่วครู่เดียวคุณหนูเล็กก็กลายเป็นเช่นนี้เสียแล้ว!”
เด็กผู้หญิงในเวลานี้ไหนเลยจะยังมีท่าทางเหมือนหยกเจียระไนเช่นเมื่อครู่ ลิ้นจุกปาก ผิวหนังกลายเป็นสีม่วง ตาเหลือก หายใจถี่ สองมือยิ่งดึงทึ้งคอเสื้อไหมบุนวม แสดงท่าทางทรมานเจียนสิ้นใจออกมา
“หยุดมือ! พวกเจ้าทำเช่นนี้จะทำให้นางตาย” เยี่ยเหมยก้าวกระโดดไม่กี่ก้าวไปถึงเบื้องหน้าเด็กผู้หญิง ผลักสาวใช้ที่ตบหลังนางอยู่ออกก่อนแย่งตัวเด็กมา จากนั้นก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงพื้น จับตัวเด็กคว่ำหน้าลงพาดกับเข่าข้างที่ตั้งขึ้น ก่อนจะใช้ฝ่ามือเคาะหลังนาง
“เจ้าทำอะไร!” สาวใช้ที่ถูกผลักกับหมัวมัวอีกสองคนไม่ได้ปราดมาห้าม เพียงแต่ยืนต่อว่าเยี่ยเหมยด้วยความตระหนกตกใจอยู่ที่เดิม
สตรีสูงศักดิ์นางนั้นก็ถูกเยี่ยเหมยทำเอาตกใจจนตะลึงไปเช่นกัน ครั้นเห็นเยี่ยเหมยเคาะหลังเด็กไปหลายทีถึงค่อยได้สติกลับมา ทำท่าจะยื่นมือมารั้งห้าม
แต่เวลานี้เองเด็กผู้หญิงพลันไอออกมา บนพื้นมีถั่วลิสงเปื้อนเลือดเพิ่มมาเม็ดหนึ่ง หลังไออีกสองทีก็พลันร้องไห้จ้าในที่สุด
“เรียบร้อยแล้ว” เยี่ยเหมยผ่อนลมหายใจยาว ประคองตัวเด็กวางลงบนพื้น ส่วนตนเองก็ลุกขึ้นยืนตาม คิดไม่ถึงว่าเด็กผู้หญิงจะกอดขานางไว้ เยี่ยเหมยที่เพิ่งจะยืนตรงได้พลันรู้สึกวิงเวียนศีรษะ ร่างกายโงนเงน ถ่วงให้เด็กล้มลงกับพื้นไปด้วย
โชคดีอย่างมากที่ขณะล้มลงนางนึกถึงเด็กในท้องจึงยื่นมือยันพื้นไว้โดยจิตใต้สำนึก ทำให้ล้มไม่แรง ทว่าเด็กกลับล้มแผ่ลงกับพื้นตามแรงนาง เสียงร้องไห้หวีดแหลมบาดแก้วหูจึงดังขึ้นมาอีกทันที
เห็นดังนี้สตรีสูงศักดิ์ก็ออกปากพูด “ยังไม่รีบอุ้มคุณหนูเล็กขึ้นมาอีก!”
สาวใช้และแม่นมที่ด้านข้างแย่งกันพุ่งตัวมาหาเด็ก สุดท้ายยังเป็นพี่วั่นนางนั้นใช้สะโพกใหญ่ๆ ของตนเองดันคนทั้งหลายออก ก่อนรวบตัวเด็กผู้หญิงมาโอ๋ปลอบในอ้อมแขน ทิ้งให้เยี่ยเหมยกึ่งยืนกึ่งนั่งอยู่บนพื้นคนเดียวด้วยท่าทางสติล่องลอยอยู่บ้าง
“พี่รอง ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่!” เมื่อครู่มีสตรีอยู่เยอะ เยี่ยหย่วนไม่กล้าเฉียดมาใกล้ แต่ครั้นเห็นเยี่ยเหมยหกล้ม เขาไหนเลยจะยังจำเรื่องชายหญิงแตกต่างกันได้อีก รีบพุ่งตัวมาประคองเยี่ยเหมยลุกขึ้นด้วยความเป็นกังวลทันที
“ไม่เป็นไร” เยี่ยเหมยถูนวดฝ่ามือที่เมื่อครู่ใช้ยันพื้นเล็กน้อย นางก็บอกแล้วว่าแม่นมสองคนนั้นไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ ทิ้งเปลือกถั่วไปทั่ว พอล้มใส่ก็เจ็บโดยแท้
“เมื่อครู่ต้องขอบคุณแม่นางจริงๆ ที่ให้ความช่วยเหลือทันเวลา ชุนเถา ให้รางวัล”
ตอนนี้สตรีสูงศักดิ์ได้สติกลับมาเต็มที่แล้ว นางนั่งลงริมโต๊ะอย่างช้าๆ เพิ่งจะพูดจบตรงหน้าเยี่ยเหมยก็มีแท่งเงินเล็กๆ สีขาวหิมะแท่งหนึ่งยื่นมา
“ให้เจ้า” ชุนเถาที่เมื่อครู่ถูกเยี่ยเหมยผลักไปด้านข้างเบะปากพูด บนหน้ามีแววหยิ่งยโสอยู่หลายส่วน
ชาติก่อนเยี่ยเหมยเริ่มเข้าสู่วงการพี่เลี้ยงเด็กตั้งแต่อายุสิบหก เป็นพี่เลี้ยงส่วนตัวตั้งแต่อายุยี่สิบสอง นางเคยเห็นพ่อแม่และญาติๆ มานับประเภทไม่ถ้วน เจอเหตุการณ์เช่นนี้จึงไม่ได้มีท่าทีเดือดดาลขุ่นเคืองเหมือนที่เยี่ยหย่วนแสดงออกมา เพียงแต่ปัดมือของชุนเถาออกแล้วยิ้มบางๆ พลางว่า “ไม่เป็นไร ข้าเพียงแต่ทนเห็นพวกท่านทำร้ายเด็กไม่ได้”
“สะใภ้ใหญ่จั่น ท่านหมอมาแล้วเจ้าค่ะ!” เวลานี้เองสาวใช้ที่เมื่อครู่วิ่งออกไปก็เร่งรุดนำชายชราร่างอ้วนท้วมที่มีใบหน้ากลมดิกผู้หนึ่งเดินเข้าประตูมา “โชคดีที่ท่านหมอเถียนยังอยู่ที่โรงไหมของพวกเรา”
“ได้ยินว่ามีเด็กกินอะไรเข้าไปแล้วติดคอ คนเล่า เอ๊ะ!” เถียนหนานซิงยังพูดไม่จบก็มองเห็นเด็กผู้หญิงที่ถูกแม่นมอุ้มอยู่และกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด จึงก้าวเท้าเดินไปหา ดวงตาเบิกโต “เมื่อครู่ตอนสาวใช้นางนี้ไปเรียกข้าได้บอกว่ากำลังตบหลังให้เด็กอยู่ ข้าก็คิดว่าแย่แล้ว ไม่รู้มีเด็กตั้งเท่าไรที่มีอาหารติดคอ แต่กลับถูกตบหลังจนทำให้ตาย คิดไม่ถึงว่าพวกท่านจะจับพลัดจับผลูช่วยเด็กเอาไว้ได้”
“ท่านหมอ อาหารติดคอไม่ควรตบหลังอย่างนั้นหรือ” เยี่ยหย่วนหันหน้ากลับไปมองเยี่ยเหมยแวบหนึ่งด้วยความประหลาดใจ ในดวงตามีแววสงสัยอยู่บ้าง หลังก้าวมาคารวะเถียนหนานซิงแล้วจึงเอ่ยถามอย่างเคารพนบนอบ
เถียนหนานซิงมีรูปร่างหน้าตาใจดี สัมผัสคลุกคลีและรักษาโรคให้เด็กมาเป็นเวลานาน นิสัยก็ร่าเริงเบิกบาน แม้แต่ถูกเยี่ยหย่วนเอ่ยถามเฉียบพลันก็ยังอธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทน “คนเราหายใจเข้าออกผ่านลำคอ เด็กตัวยังเล็ก ลำคอก็ยิ่งเล็ก มีสิ่งแปลกปลอมผ่านเข้าไปก็เสี่ยงจะอุดลำคออยู่แล้ว ถ้าตบหลังด้วยกำลังแรงจนทำให้สิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปลึกไม่ได้ย้อนกลับออกมา เด็กก็จะมีอันตราย ข้าเห็นตัวอย่างมามาก แค่ไม่กี่อึดใจเด็กก็ยากจะช่วยไว้ได้แล้ว แต่เด็กคนนี้กลับโชคดีนัก”
“อ้อ…ขอบคุณท่านหมอที่ช่วยคลายข้อสงสัย” เยี่ยหย่วนลากเสียงยาว จงใจปรายตามองสตรีสูงศักดิ์นางนั้นแวบหนึ่งก่อนจะถอยกลับไปยืนข้างเยี่ยเหมยอีกครั้ง
เถียนหนานซิงเองก็จับแขนเด็กมาตรวจชีพจรเสร็จเรียบร้อย พยักหน้าก่อนว่า “ใช้ได้ ไม่เป็นไรแล้ว ข้าบอกให้นำถั่วลิสงกับผลเหอเถาให้นางกินนิดเดียว ไม่ได้ให้นางกินทั้งลูก ต่อไปต้องระวังหน่อย”
“ลำบากท่านหมอเถียนแล้ว ชุนหลัน ไปส่งท่านหมอเถิด” สตรีสูงศักดิ์ไม่ได้อธิบายอะไร โบกมือส่งสายตาให้สาวใช้ที่เพิ่งเข้าประตูมายังไม่หายหอบ
เถียนหนานซิงเพิ่งจะเดินออกประตูไป สตรีสูงศักดิ์ก็ดึงปิ่นมุกเกลี้ยงเกลามันวาวอันหนึ่งบนศีรษะลงมายื่นให้เยี่ยเหมยเองกับมือ “แม่นางท่านนี้ เมื่อครู่สาวใช้บ้านข้าเสียมารยาทไป เยี่ยเอ๋อร์ลูกสาวคนเล็กของข้าได้แม่นางช่วยไว้จึงพ้นจากอันตราย มิเช่นนั้นก็ไม่อยากจะคิดถึงผลลัพธ์เลย ของขวัญขอบคุณนี้ไม่เพียงพอจะแสดงความซาบซึ้งใจของข้าได้แม้แต่เศษเสี้ยว ขอแม่นางอย่าได้รังเกียจ”
แม้สตรีสูงศักดิ์ปากจะพูดจาน่าฟัง กิริยาท่าทางก็ดูระมัดระวังให้ความเคารพ แต่เยี่ยเหมยที่ยืนเผชิญหน้ากับนางกลับยังคงมองเห็นแววดูแคลนจากในดวงตาของนางได้ ทว่าสตรีชาติกำเนิดสูงนางหนึ่งสามารถเอ่ยปากขอบคุณคนที่มีท่าทางเหมือนขอทานคนหนึ่งได้เพื่อบุตรสาว ในยุคสมัยนี้ถือว่าหาได้ยากแล้ว
เยี่ยเหมยยื่นมือไปรับปิ่นนั้นมาเสียบแทนปิ่นไม้สลักลายบนศีรษะ ก่อนยกยิ้มมุมปาก “เช่นนั้นถ้าข้าปฏิเสธก็เป็นการไม่เคารพแล้ว ทว่าต้องขอพูดตามตรง ที่เมื่อครู่นี้ท่านหมอบอกให้นำถั่วลิสงกับผลเหอเถาให้เด็กกิน นั่นเป็นการบำรุงเถี่ยกับซิน แต่อันที่จริงเด็กวัยนี้ควรต้องเน้นบำรุงไก้ ให้กินของเสริมสร้างกระดูกอย่างพวกน้ำแกงต้มกระดูก ถั่วเหลือง เต้าหู้ให้มาก”
รับของผู้อื่นมาแล้ว เยี่ยเหมยก็รู้สึกว่าต้องพูดอะไรสักหน่อย เด็กคนนี้สองขวบได้แล้วกระมัง ดูเหมือนจะยังเดินไม่ได้ ถ้ายังอุ้มอยู่ตลอดเช่นนี้คงได้เป็นง่อยกันพอดี
ใครเลยจะรู้ว่าเยี่ยเหมยเพิ่งจะพูดจบ พี่วั่นที่อุ้มเด็กอยู่จะเบ้ปากพึมพำเบาๆ “มีของดีอะไรที่สกุลจั่นไม่มีบ้าง กลับจะให้เด็กไปแทะกระดูก? เต้าหู้เป็นของราคาถูกที่ชาวบ้านสามัญชนกินกัน คุณหนูเล็กสูงศักดิ์เช่นนี้ไหนเลยจะเอาเข้าปากลง”
“หุบปาก! ชุนเถา อุ้มคุณหนูเล็กมา พวกเรากลับคฤหาสน์ ชุนหลัน กลับไปเดี๋ยวบอกหยางหมัวมัวด้วยว่าแม่นมสองคนนี้ไม่เหมาะสมจะให้ดูแลคุณหนูเล็กแล้ว ขายออกไปเสียทั้งสองคน!” สตรีสูงศักดิ์สีหน้าเข้มขึ้น กล่าวจบก็พยักหน้าให้เยี่ยเหมยน้อยๆ ก่อนหมุนตัวเดินออกจากโรงรับจำนำพร้อมกับชุนหลันที่เพิ่งเข้าประตูมา
ชุนเถาเดินตามอยู่ด้านหลังสตรีสูงศักดิ์ ทำยืดคอแค่นเสียงออกจมูกข่ม แม่นมทั้งสองคนมีท่าทางดั่งเสียบุพการี แต่ด้วยรู้นิสัยใจคอของสตรีสูงศักดิ์ดี จึงได้แต่เดินหน้าสลดตามหลังไป
“ข้าก็บอกแล้วมิใช่หรือว่าไส้แห้งก็ยังดีกว่าเป็นบ่าวรับใช้ผู้อื่น” เยี่ยเหมยเห็นแม่นมทั้งสองกำลังจะก้าวข้ามธรณีประตูก็พลันพูดขึ้นอย่างเย็นเยียบ เห็นเพียงฝีเท้าสตรีทั้งสองชะงักไป ตัวหวิดจะพุ่งล้ม นางก็อดจะปิดปากหัวเราะไม่ได้
“อาหย่วน พี่รองแก้แค้นให้เจ้าแล้วนะ”
“พี่รอง ท่านรู้วิธีช่วยชีวิตเด็กคนนั้นได้อย่างไร” เยี่ยหย่วนไม่สนใจเยี่ยเหมย แต่จ้องตาของนางตรงๆ พลางเอ่ยถาม เยี่ยหย่วนที่ยังอายุไม่เต็มสิบสามมีความสูงเท่าเยี่ยเหมยแล้ว บนใบหน้าอ่อนเยาว์กลับมีคำว่า ‘สงสัย’ เขียนอยู่เต็ม
“เจ้าไม่รู้หรือ” เยี่ยเหมยใจกระตุกวาบ นึกขึ้นได้ว่าที่นี่มิใช่สถานที่ที่เหมาะแก่การคุย หลังย้อนถามเสร็จก็พลันเบี่ยงประเด็น “แค่เห็นสาวใช้สองคนนั้นผลัดกันอุ้มเด็กก็รู้สึกเหนื่อยแทนแล้ว ในเมื่อเดินไม่ได้ก็เอารถเข็นเด็กมาเข็นสิ ถ้าไม่ได้จริงๆ ถนนในเมืองออกจะเรียบขนาดนี้ ใช้รถหัดเดินมาให้เด็กเดินเองก็ได้”
“รถอะไร” ความสนใจของเยี่ยหย่วนถูกเบนออกไปชั่วคราวอย่างที่คิดไว้ แต่ก็ยิ่งงุนงงสนเท่ห์กว่าเก่า “รถเข็นเด็กกับรถหัดเดินที่ท่านว่าคืออะไรกัน ไฉนข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“ไม่เคยได้ยินได้อย่างไร ครอบครัวที่มีลูกก็มีกันทั้งนั้น” เยี่ยเหมยจ้องมองนายบ่าวไม่กี่คนที่จากไปไกลแล้ว ในใจกำลังนึกถึงเด็กผู้หญิงตัวขาวจ้ำม่ำเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบคนนั้นจึงใจลอยไปชั่วขณะ เผลอหลุดปากพูดเรื่องในหัวออกมา หารู้ไม่ว่ากลายเป็นทำให้คนในโรงรับจำนำจำนวนมากกว่าเก่าข้องใจ
“ก่อนข้าจะมาเป็นหลงจู๊โรงรับจำนำรุ่ยจี้แห่งเมืองเซิ่งโจวเคยตระเวนไปทั่วสารทิศ สามารถนับได้ว่ามีประสบการณ์ความรู้กว้างขวาง แต่ก็ไม่เคยได้ยินหรือได้เห็นรถอะไรที่แม่นางน้อยพูดถึงเช่นกัน”
ก่อนหน้านี้ในโรงรับจำนำรุ่ยจี้มีเพียงลูกจ้างเล็กๆ คนหนึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะกั้น ถั่วลิสงที่เด็กผู้หญิงกินก่อนหน้านี้เป็นของที่ทางร้านมีไว้ให้แขกที่เป็นบุคคลใหญ่โต ตอนที่ถั่วติดคอเด็กผู้หญิง ลูกจ้างก็ตกใจแทบแย่ ตาลีตาเหลือกเปิดประตูข้างในออกไปเรียกหลงจู๊ที่อยู่เรือนด้านหลังให้ออกมา
ขณะหลงจู๊มาถึงก็ได้เห็นเยี่ยเหมยแสดงฝีมือช่วยเด็กพอดี ถ้ามิใช่ได้เห็นด้านสุขุม ใจเย็น มีความรับผิดชอบของเยี่ยเหมยมาก่อน หลงจู๊ท่านนี้ก็ไม่มีทางเอ่ยปากพูดคุยกับแม่นางน้อยที่สวมชุดเก่าขาดนางหนึ่ง
“รถเข็นเด็กคือรถคันเล็กที่สามารถวางเด็กไว้ข้างในแล้วผู้ใหญ่ก็เข็นเดินได้ ส่วนรถหัดเดินก็สามารถวางเด็กไว้ข้างในแล้วให้เด็กก้าวสองเท้าเดินเองได้อิสระ ไม่ต้องให้ผู้ใหญ่คอยอุ้มอยู่ตลอด” เยี่ยเหมยอธิบายพร้อมกับทำท่าประกอบอย่างตั้งอกตั้งใจ
จะอย่างไรเยี่ยหย่วนก็ยังเด็ก เคยได้ยินได้เห็นอะไรมาไม่มาก ทว่าถ้าเป็นของที่แม้แต่หลงจู๊ที่ดูฉลาดเฉียบแหลม สายตากว้างไกลยังไม่เคยเห็น เยี่ยเหมยก็คิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็นหนทางหาเงินก็เป็นได้
“มีรถเช่นนี้ด้วยหรือ” หลงจู๊ฟังอยู่ครู่ใหญ่ก็ยังมีสีหน้างุนงง จึงเอียงศีรษะมองไปยังมุมทางขวามือ “หลายปีมานี้ข้าอยู่แต่ที่เมืองเซิ่งโจวโดยตลอด กลับเป็นนายน้อยที่เดินทางไปเล่าเรียนอยู่ข้างนอก ไม่ทราบเคยเห็นของเช่นนี้หรือไม่ขอรับ”
“ไม่เคย”
เสียงทุ้มต่ำนุ่มหูของบุรุษดังลอยมา เยี่ยเหมยมองไปตามเสียงถึงได้พบว่ามีประตูลับบานหนึ่งซ่อนอยู่ตรงมุมที่ไม่สะดุดตา เงาร่างสูงในชุดแพรตัวยาวสีนิลร่างหนึ่งเอนตัวพิงวงกบประตู ตัวเขาสูงจนเกือบเท่าประตูข้างบานเล็กบานนั้น เขามีคิ้วดาบพาดเฉียง ดวงตาเจิดจ้าเป็นประกาย จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง เมื่อรวมกันก็กลายเป็นใบหน้าที่หล่อเหลา น่าเสียดายที่ริมฝีปากบางที่เม้มอยู่นั้นกลับให้ความรู้สึกเคร่งขรึมเย็นชา
“ของที่เจ้าพูดทำออกมาได้จริงๆ ใช่หรือไม่” ขณะเยี่ยเหมยยังถูกบุคลิกลักษณะของชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่า ‘นายน้อย’ ทำให้หลงใหลอยู่นั้นเอง เขาก็เดินมายกชายชุดลงนั่งบนเก้าอี้ตัวที่เด็กผู้หญิงนั่งอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ท่าทางดูงามสง่าสบายๆ อย่างยิ่ง จากนั้นเขาก็เลื่อนสายตาไปขมวดคิ้วให้คนหนุ่มที่ด้านหลังหลงจู๊ “ยกเก้าอี้ให้แขก”
“หา? ขอรับ” ลูกจ้างตะลึงไป ก่อนจะรีบทำตามคำสั่งโดยไม่รู้ตัว แต่ทว่าลูกจ้างกลับไม่รู้จักคุณชายที่เดินออกมาจากประตูข้างบานเล็ก
จะว่าไปคุณชายท่านนี้เพิ่งเข้าร้านมาได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม แต่พอได้ยินว่าเขามา หลงจู๊ก็เชื้อเชิญให้เขาไปเรือนด้านหลังอย่างเคารพนบนอบแล้ว เพียงไม่นานสะใภ้ใหญ่ของสกุลจั่นก็พาคนกลุ่มหนึ่งเดินพรึ่บเข้ามา หลังปล่อยบุตรสาวกับแม่นมสองคนไว้ในโถงแล้วก็ตามเข้าไปที่เรือนด้านหลัง
ลูกจ้างเดิมคิดจะขวาง แต่ในเมืองเซิ่งโจวมีใครกล้าขวางสะใภ้ใหญ่จั่นท่านนี้บ้างเล่า นางมีบิดาที่เป็นเจ้าเมืองเซิ่งโจวหนุนหลังอยู่ มิหนำซ้ำเห็นสะใภ้ใหญ่จั่นมีสีหน้าท่าทางเหมือนมาหาเรื่องคน ใครเลยจะกล้าเข้าไปแหย่หนวดเสือ
เรื่องที่ทำให้คนคิดไม่ถึงคือสะใภ้ใหญ่จั่นเดินวนรอบเรือนด้านหลังแล้วไม่พบคนจึงฮึดฮัดจากไป แต่คุณชายท่านนี้กลับเดินออกมาจากประตูข้างบานเล็กของโรงรับจำนำ
ลูกจ้างกำลังบ่นว่าแปลกอยู่ในใจ แต่กลับย้ายเก้าอี้สองตัวมาวางลงข้างเยี่ยเหมยสองพี่น้องได้อย่างคล่องแคล่ว หลังวางเรียบร้อยถึงได้เกาศีรษะมองไปทางผู้เป็นหัวหน้าอย่างความรู้สึกช้า ในใจลอบคิดว่าแย่แล้ว เมื่อครู่เขาได้ยินคำสั่งของคุณชายท่านนี้ก็จัดการทันทีโดยไม่ได้ถามความเห็นของหลงจู๊ก่อน
ยังดีที่หลงจู๊ไม่มีท่าทีจะเอาผิดตน เพียงแต่โบกมือบอกให้เขาไปอยู่ด้านข้าง
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments