บทที่ 7
เยี่ยเหมยไม่อาจไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นพวก ‘คลั่งไคล้เสียง’ แม้จะรู้สึกว่าชายหนุ่มดูเย็นชา แต่เสียงของเขาทุ้มนุ่ม จัดอยู่ระดับชั้นเลิศ ได้ยินเสียงเช่นนี้นางก็แทบเสียความสามารถในการพิจารณาไตร่ตรอง พยักหน้าอย่างปราศจากความลังเล “ย่อมทำได้แน่นอน”
ได้ยินเช่นนี้ ชายหนุ่มก็ยกมุมปากน้อยๆ “ไม่ทราบว่าของสองอย่างที่เจ้าพูดมาต้องใช้เวลาทำเท่าไร”
“อย่างมากห้าวัน” เยี่ยเหมยคิดดูแล้วเห็นว่าของทั้งสองอย่างไม่ได้ซับซ้อน ถ้าหาช่างไม้ฝีมือดีมาได้สักคนก็อาจทำเสร็จได้ภายในเวลาเพียงสามวัน แต่เพื่อความแน่นอนปลอดภัย นางจึงบวกเพิ่มไปอีกสองวัน
อันที่จริงเวลานี้เยี่ยเหมยระงับความเบิกบานยินดีในใจไม่อยู่แล้ว มันจึงหลุดออกมาผ่านน้ำเสียง ควรต้องรู้ว่าคนผู้นี้เป็น ‘นายน้อย’ ของหลงจู๊ ซักถามละเอียดเช่นนี้จะต้องเพราะอยากสั่งทำให้เด็กในบ้านแน่นอน กิจการยังไม่ทันเปิดอย่างเป็นทางการก็มีรายการสั่งจองแล้ว ช่างโชคดีเสียนี่กระไร! นางคิดคำนวณในใจอย่างรวดเร็วว่าควรบอกราคาเท่าไรดี
อาจเพราะประกายวิบวับในดวงตานางฉายชัดเกินไป อีกฝ่ายจึงพลันเปลี่ยนประเด็น “เมื่อครู่บ่าวของสกุลจั่นด่าเจ้าว่าไส้แห้ง เหตุใดเจ้าถึงยังช่วยคุณหนูเล็กของพวกนั้นอีก”
“หะ…หา?” เยี่ยเหมยที่นึกว่าจะเข้าสู่ขั้นตอนบอกราคามึนงงไปทันที ปากเผยอค้าง มองใบหน้าเย็นชาขรึมเคร่งของบุรุษ มองเข้าไปในนัยน์ตาล้ำลึกที่มีแววกังวลสงสัยของเขา ครู่ใหญ่ถึงตอบกลับไป “ท่านก็พูดอยู่ว่าเป็นบ่าวที่ด่าข้า แล้วเกี่ยวอะไรกับเด็กด้วยเล่า จะให้ข้ามองดูเด็กที่เป็นผู้บริสุทธิ์ต้องตายไปเพราะเหตุนี้อยู่เฉยๆ ข้ากลับเอาชนะจิตสำนึกรู้ผิดชอบไม่ได้”
“เจ้าไม่กลัวว่าถ้าเกิดช่วยไม่ทัน เด็กคนนั้นยังคงจะตายเช่นเดิม ถึงเวลานั้นเจ้าจะทำอย่างไร” แววตาชายหนุ่มเข้มขึ้น สายตาที่มองเยี่ยเหมยเคร่งขรึมจริงจัง เหมือนว่ากำลังรอคอยคำตอบที่มีความสำคัญต่อเขาอย่างไร้ใดเทียม
“ภายใต้สถานการณ์พรรค์นั้น ถ้ารอข้ากังวลเสร็จค่อยลงมือช่วย มีหรือจะยังช่วยเด็กไว้ได้ ข้าจึงทำได้เพียงทำตามใจต้องการ ถึงแม้หลังจากนั้นต้องถูกคนประณามกล่าวโทษ แต่อย่างน้อยก็ไม่มีอะไรต้องละอายแก่ใจ”
เดิมทีเยี่ยเหมยไม่ได้คิดจะพูดมากเพียงนี้ แต่ถูกเขากระตุ้นเตือนก็รู้สึกว่าการกระทำก่อนหน้านี้ของตนเองหุนหันเอาแต่อารมณ์เกินไป ผู้ที่ในท้องมีทารกอยู่แต่ยังวู่วามเพียงนั้น ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร
“ทำตามใจต้องการ ไม่มีอะไรต้องละอายแก่ใจ…” เมื่อได้ยินคำตอบของเยี่ยเหมยแล้ว อีกฝ่ายก็จมอยู่ในภวังค์ความคิด
เยี่ยเหมยเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าดวงอาทิตย์ขึ้นสูงแล้ว นางยังมีสิ่งที่ต้องทำอีกกองใหญ่จะมัวเสียเวลาไม่ได้แล้ว เดิมทีนางคิดจะล้วงเอาหยกเขียวรูปปลาคู่ออกมา แต่พอมองเห็นปิ่นไม้ที่ถืออยู่ก็ได้ความคิด ดึงปิ่นมุกบนศีรษะลงมา ก่อนยื่นไปเบื้องหน้าหลงจู๊ของโรงรับจำนำ “หลงจู๊ใช่หรือไม่ รบกวนดูปิ่นนี้ทีว่าจะได้ราคาเท่าไร”
“นี่มิใช่ของขวัญขอบคุณจากสะใภ้ใหญ่จั่นหรอกหรือ” หลงจู๊ยื่นมือไปรับมาก่อนพูดพึมพำ
“นางให้ข้าแล้วก็เป็นของข้า อีกทั้งสิ่งของไม่มีชีวิต คนสิถึงมีชีวิต ข้าไม่มีข้าวจะกินอยู่แล้ว จะให้แทะไข่มุกนี้แทนหรือไร” เยี่ยเหมยยิ้มน้อยๆ รู้สึกว่าตนเองกลับสู่ภาวะปกติแล้ว เมื่อครู่นางหวิดจะถูกเสียงของผู้เป็นคุณชายทำให้หลงใหลจนลืมจุดประสงค์เดิม จึงแลบลิ้นก่อนเอ่ยเร่ง “หลงจู๊ รบกวนท่านเร็วหน่อย”
“ลุงหู ปิ่นของสะใภ้ใหญ่จั่นที่คุณภาพแย่ที่สุดยังมีราคาเกินสิบตำลึง ในเมื่อเป็นของเก่า ท่านก็ให้ราคาสิบตำลึงแก่…แม่นางท่านนี้แล้วกัน” เวลานี้สีหน้าของเขากลับมาเย็นชาเหมือนเก่าแล้ว กวาดตามองการแต่งกายที่มีสีสันเรียบง่ายสบายตาของเยี่ยเหมยปราดหนึ่ง ในดวงตาวาบแววระแวงสงสัย
“สิบตำลึง?!” เยี่ยเหมยได้ยินก็ดีดลูกคิดในใจทันที เงินหนึ่งตำลึงเทียบเป็นเงินสมัยนี้เท่ากับหนึ่งพันอีแปะ เช่นนั้นสิบตำลึงก็เท่ากับหนึ่งหมื่นอีแปะ! คิดไม่ถึงว่าตนเองจะเหยียบลงบนเส้นทางเศรษฐีเงินหมื่นเร็วขนาดนี้
“อื้ม นอกจากนี้ข้าจะจ่ายค่ามัดจำให้เจ้าอีกห้าตำลึง เจ้ามีเวลาสามวันในการทำรถเข็นเด็กและรถหัดเดินให้เสร็จแล้วส่งไปยังคฤหาสน์สกุลจั่นทางทิศใต้ของเมือง เช่นนี้เป็นอย่างไร” เขาท่องประโยคว่า ‘สิ่งของไม่มีชีวิต คนสิมีชีวิต’ นั้นอยู่ในใจ พลางมุมปากยกขึ้นน้อยๆ เสียงยิ่งนุ่มหูกว่าเดิม
การค้าชุดแรกที่เพิ่งจะบินจากไปอย่างไร้ปรานีติดปีกบินกลับมาอีกครั้ง อีกทั้งเสียงบอกราคานี้ก็ตรงกับใจนางพอดิบพอดี ทำให้นางได้ยินแล้วคันยุบยิบในใจ
เยี่ยเหมยพยักหน้าหงึกหงักด้วยความตื่นเต้นพลุ่งพล่าน “ได้เลย เพียงแต่เวลาเพียงสามวันอาจจะทำได้แค่ใช้งานได้ ไม่อาจทำให้วิจิตรบรรจง” ดูจากเสื้อผ้าอาภรณ์และบุคลิกท่าทางสง่างามของคุณชายหนุ่ม ฐานะทางบ้านจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ด้วยฐานะเช่นนี้ ถ้าเกิดคนในบ้านเขาไม่ถูกใจของก็ได้ไม่คุ้มเสียแล้ว ต้องพูดกันให้เข้าใจก่อนถึงจะใช้ได้
“แค่ใช้งานได้ก็พอ” เขากลับไม่มีความเห็นขัดข้อง
คำตอบนี้ทำให้เยี่ยเหมยดีใจ รอยยิ้มงามสดใสบนใบหน้าอย่างไรก็ปิดไม่อยู่ “ตกลง ข้าจะทำให้คุณชายกับฮูหยินพอใจได้แน่นอน”
ได้ยินเช่นนี้เขาก็ขมวดคิ้ว สุดท้ายยังคงไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ขณะเยี่ยเหมยรับเงินและเตรียมจะจากไปพร้อมกับเยี่ยหย่วน เขากลับพลันเสริมขึ้นอีกประโยค “วิงเวียนศีรษะก็เป็นอาการป่วย แม่นางอย่าได้ละเลย”
คำพูดนี้ทำให้เยี่ยเหมยที่เพิ่งจะก้าวข้ามธรณีประตูร่างไหวเอนได้สำเร็จ ทั้งยังหวิดจะหกล้ม นางจึงหันหน้ากลับไปอย่างเข่นเขี้ยว “ขอบคุณคุณชายมากที่เตือน ข้าจะดูแลตนเองให้ดี” นี่มันจงใจชัดๆ คิดไม่ถึงว่าคนที่ดูหล่อเหลาเย็นชาผู้หนึ่งจะถึงกับชอบเห็นคนขายหน้า!
ถ้ารู้ว่าตอนนี้ในใจเยี่ยเหมยคิดอะไร จั่นอวิ๋นหยางจะต้องมีสีหน้าไม่อยากเชื่อแน่นอน!
มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าขณะเห็นร่างผ่ายผอมบอบบางของเยี่ยเหมยถูกเด็กอายุราวสองขวบอย่างเยี่ยเอ๋อร์ถ่วงจนล้มลงกับพื้น เขาเกือบจะยั้งเท้าตนเองไม่อยู่ หวิดจะพุ่งออกไปประคองนาง ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยนี้แม้แต่เขาเองก็ยังอธิบายสาเหตุไม่ได้ คำเตือนด้วยน้ำเสียงอบอุ่นนั้นอันที่จริงเป็นถ้อยคำที่เขาทนเก็บไว้ตั้งแต่ได้เห็นนางแล้ว
“นายน้อย ของที่ท่านต้องการในคลังเก็บของไม่มีชิ้นใดที่คล้ายกันเลยขอรับ ไม่ทราบว่านายน้อยรีบหรือไม่ ผู้น้อยสามารถย้ายสินค้ามาจากเมืองอื่น และก็สามารถสั่งทำใหม่ตามแบบที่นายน้อยวาดได้เช่นกัน” ลุงหูที่ยืนอยู่ด้านหลังจั่นอวิ๋นหยางอย่างเคารพนบนอบมาโดยตลอดเห็นว่าในโรงรับจำนำไม่มีคนนอกแล้ว จึงเอ่ยถึงเรื่องที่ก่อนหน้านี้ถูกขัดจังหวะกับอีกฝ่าย
ครั้นจั่นอวิ๋นหยางได้ยินก็ส่ายหน้า “ไม่ต้อง หยกลายปลาคู่เป็นของที่มีเฉพาะสกุลจั่น เรื่องนี้มีคนรู้มากเกินไป ข้าไม่อยากให้ใครรู้ว่าข้ามีความสัมพันธ์กับรุ่ยจี้ ถ้ามิใช่กลัวว่าจะมีใครนำมาจำนำจนดึงดูดความสนใจของท่านพ่อกับพี่ใหญ่ของข้า ข้าก็คงไม่มาที่รุ่ยจี้ให้ท่านรู้ฐานะของข้าหรอก”
ลุงหูเองก็ถอนหายใจเบาๆ ตามไปด้วย “นั่นสิขอรับ ใครจะไปรู้ว่าโรงรับจำนำรุ่ยจี้ที่มีสาขาทั่วทั้งอาณาจักรต้าฉี่อันที่จริงจะเป็นกิจการส่วนพระองค์ขององค์หญิงใหญ่ในรัชกาลปัจจุบัน ทั้งยังมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าคุณชายสุยเฟิงผู้โด่งดังแห่งเมืองเซิ่งโจวจะเป็นท่านรองของบ้าน ‘คหบดีจั่น’ แห่งเซิ่งโจว”
จั่นอวิ๋นหยางลูบแขนเสื้อ ลุกขึ้นยืนก่อนยิ้มเยาะตนเอง “โชคดีที่ไม่เคยป่าวประกาศนามบิดา มิเช่นนั้นหลังสอบตกไหนเลยจะไม่ทำให้ ‘คหบดีจั่น’ กลายเป็นตัวตลกให้คนหัวเราะเยาะ!”
“นายน้อยโปรดเดินระวัง” ลุงหูส่งจั่นอวิ๋นหยางออกนอกประตูใหญ่โรงรับจำนำอย่างเคารพนบนอบแล้วกลับมีคำพูดหนึ่งติดอยู่ในใจโดยตลอด อย่างไรก็ไม่ได้พูดออกมา ลุงหูคิดในใจว่าถ้าคุณชายสุยเฟิงตกยากจนต้องออกพเนจรเร่ร่อนจริงๆ องค์หญิงใหญ่มีหรือจะมอบของแสดงฐานะในการควบคุมดูแลรุ่ยจี้ให้เขา
จั่นอวิ๋นหยางเดินทอดอารมณ์ไปบนถนน ตามหลังเยี่ยเหมยสองพี่น้องไปอย่างไม่กระโตกกระตาก เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนเองเกิดเป็นอะไรขึ้นมาถึงได้อยากรู้นักว่าเยี่ยเหมยเชื่อฟังคำเขา ไปหาหมอขอยาที่โรงหมอซึ่งอยู่ไม่ไกลหรือไม่ จะอย่างไรข้างกายนางก็มีหนุ่มน้อยตามอยู่คนเดียว ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาอีก…
“ท่านบ้าไปแล้วหรือ” ดีที่เด็กยังไม่โตเต็มวัยอย่างเยี่ยหย่วนสามารถอดทนจนออกจากโรงจำนำ เดินมาถึงที่เปลี่ยวถึงค่อยสะบัดมือระเบิดอารมณ์ออกมา “ลูกของผู้อื่นถูกถั่วติดคอก็ย่อมมีหมอมาช่วยเอง ท่านแล่นไปอวดความสามารถอะไร ถ้าเกิด…ถ้าเกิด…อีกอย่าง ที่คนเขามีเงินมากขนาดจ้างแม่นางสิบคนแปดคนมาอุ้มลูกเดินได้มันเกี่ยวอะไรกับท่าน จู่ๆ ไปรับเงินเขามา ถึงเวลาถ้าทำของออกมาไม่ได้ ข้าจะดูซิว่าท่านจะชี้แจงกับคนเขาอย่างไร”
เยี่ยหย่วนร้อนใจจนใบหน้าลำคอแดงก่ำ เยี่ยเหมยกลับกำลังอารมณ์ดี ดวงตารูปเมล็ดซิ่งโค้งขึ้น หยิกสองแก้มป่องๆ ของเขา “เอาล่ะๆ พี่รองรู้ว่าอาหย่วนเป็นห่วง แต่ตอนนี้เรื่องมิใช่กำลังดำเนินไปในทิศทางที่ดีหรือไร ส่วนคำชี้แจงอะไรที่เจ้าว่า…ขอถามว่าเมื่อครู่เจ้าได้ยินข้าบอกชื่อแซ่และที่อยู่ของพวกเราออกไปหรือไม่”
เยี่ยหย่วนเพิ่งจะหลบมือก่อกวนของนางได้ก็ได้ยินนางพูดเหมือนว่าจะเบี้ยวผู้อื่น จึงกระโดดถอยหลังออกมาสามก้าว ใช้นิ้วที่สั่นระริกชี้นาง เป็นครึ่งค่อนวันกว่าจะเค้นเสียงออกมาได้ “สุภาพบุรุษต้องมีความน่าเชื่อถือ ท่าน…ถึงกับหลอกต้มคน!”
เยี่ยเหมยถูกการตอบสนองของเขาทำให้ขบขัน จึงเอียงศีรษะพยักหน้า จงใจพูดว่า “เจ้าบอกว่าสุภาพบุรุษต้องมีความน่าเชื่อถือ ข้าไม่ใช่สุภาพบุรุษ จะเชื่อถือได้หรือไม่เกี่ยวอะไรกันด้วย”
เห็นสีหน้าท่าทางเหมือนถูกโจมตีอย่างหนักของเยี่ยหย่วนแล้ว เยี่ยเหมยก็ตัดสินใจจะละเว้นเขาสักครั้ง ตบบ่าเขาเบาๆ กำลังคิดจะเย้าเยี่ยหย่วนอีกประโยคว่า ‘ซื่อตรงเกินไปจะเหนื่อยกับชีวิต’ กลับพลันมีเสียงพูดแผ่วเบาดังมาจากด้านหลัง…
“แม่นางตั้งใจจะหลอกผู้แซ่จั่นจริงๆ หรือ”
ไม่ว่าดูอย่างไรจั่นอวิ๋นหยางก็เห็นว่าเยี่ยเหมยไม่เหมือนคนพรรค์นั้น ทว่าเยี่ยหย่วนก็พูดมีเหตุผลนัก หรือว่าตนเองจะสายตาแย่จริงๆ คิดถึงตรงนี้สีหน้าจั่นอวิ๋นหยางก็ไม่สู้ดีแล้ว เขาไม่ทำเป็นอมพะนำอีก ส่งเสียงพูดออกมาด้วยความไม่พอใจทันที
เยี่ยหย่วนคิดไม่ถึงว่าเจ้าทุกข์จะเดินตามหลังพวกตนมา จึงตกใจจนสั่นไปทั้งตัว ทว่าแม้เขาจะกลัว แต่กลับยังคงกางสองมือเอาตัวบังเยี่ยเหมย “คุณชายท่านนี้ พี่สาวของข้ามิได้มีเจตนาจะหลอกท่าน พวกเราจะคืนเงินให้ท่านเดี๋ยวนี้” พูดจบก็หันมาแบมือไปทางเยี่ยเหมย
เยี่ยเหมยเห็นดังนั้นก็ตีฝ่ามือเขาดังเพียะ ก่อนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เอาล่ะๆ พี่รองหลอกคน แต่คนที่โดนหลอกคือเจ้า รถสองคันนั้นเดี๋ยวกลับไปวาดแบบกับหาช่างไม้ฝีมือดีสักคนก็ทำออกมาได้แน่นอน เจ้าวางใจได้เลย”
จากนั้นเยี่ยเหมยก็หันมาทางอีกฝ่าย “คุณชายจั่น ท่านคงมิใช่ตามมาเพื่อจะทวงเงินกลับไปกระมัง” ลำพังเห็นการแต่งกายของจั่นอวิ๋นหยางกับสะใภ้ใหญ่จั่นเมื่อก่อนหน้านี้ เยี่ยเหมยก็รู้แล้วว่าสองคนนี้มิใช่คนที่สนใจเศษเงินเพียงเท่านี้แน่ ดังนั้นนางจึงไม่คิดว่าเขาจะไล่ตามมาเพื่อเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้
“แน่นอน…ว่าไม่ใช่” จั่นอวิ๋นหยางเองก็อธิบายได้ไม่ชัดเช่นกันว่าตามมาด้วยเหตุใด จึงเพียงแต่พินิจมองร่างผ่ายผอมอ่อนแอของเยี่ยเหมยอีกครั้ง
เขามีความรู้สึกคุ้นเคยอันน่าแปลกใจต่อเยี่ยเหมย ราวกับเคยพบเจอกันมาก่อน ทว่านัยน์ตาสุกใสเป็นประกายที่ทอแววมั่นใจในตนเองคู่นั้น ตามหลักแล้วแค่เขาได้เห็นก็ไม่มีทางลืมเด็ดขาด แต่เขาเค้นสมองแล้วกลับยังนึกไม่ออกว่าเคยเห็นเยี่ยเหมยที่ไหน
“แม่นางบ้านอยู่ที่ใด ก่อนหน้านี้เจ้ากับข้าเคยพบกันหรือไม่” สุดท้ายจั่นอวิ๋นหยางก็อดไม่ไหวเอ่ยถามออกมา
รูปแบบการตีสนิทที่ไร้ชั้นเชิงเพียงนี้ดันเป็นของคุณชายผู้สูงศักดิ์ร่ำรวย เยี่ยเหมยจึงไม่รู้ว่าควรตอบสนองอย่างไรแล้ว
กลับเป็นเยี่ยหย่วนที่แม้จะอายุเพียงใกล้สิบสาม แต่ก็รู้ความอย่างมาก จึงเอาตัวบังเยี่ยเหมยไว้ด้านหลังอย่างมิดชิดกว่าเก่า “ชื่อเสียงของสตรีเป็นเรื่องใหญ่หลวง คุณชายระวังวาจาด้วย”
“ในเมื่อคุณชายท่านนี้เป็นคนท้องที่ เช่นนั้นข้าบอกท่านก็ได้ว่าข้าเพิ่งเคยมาเมืองเซิ่งโจวเป็นครั้งแรก เมื่อก่อนอยู่แต่ในบ้านที่ตำบลหยางหลิ่วในอำเภอฉีเซี่ยนไม่เคยออกไปไหน” นางสืบประวัติของเยี่ยเหมยคนก่อนมาจนปรุโปร่งก่อนแล้ว เป็นไปได้อย่างไรที่จะรู้จักคนเมืองเซิ่งโจว
“อืม เช่นนั้นก็เป็นผู้แซ่จั่นดูผิดไป” จั่นอวิ๋นหยางตอบกลับ พลางเอามือไพล่หลังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน
ถนนนี้เป็นของทุกคน ผู้อื่นยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับมิได้หมายความว่าเยี่ยเหมยจะไม่ขยับตามไปด้วย นางยิ้มและโบกมือ “คุณชายจั่น ท่านค่อยๆ ยืนไป พวกข้าขอตัวไปก่อนละ คำสัญญามีค่าดั่งทอง หายอมให้ความตกยากทำลายได้ไม่ อีกสามวันพวกข้าจะนำรถเข็นเด็กไปส่งที่คฤหาสน์สกุลจั่นทางทิศใต้ของเมืองแน่นอน” เยี่ยเหมยรู้สึกว่าคนเราใกล้ชาดเปื้อนแดง ใกล้หมึกเปรอะดำ จริงๆ ตอนอยู่ที่หมู่บ้านเกาจยา คุยกับภรรยาต้าเหอ นางเป็นเหมือนหญิงชนบททั่วไป แต่พออยู่กับเยี่ยหย่วน นางถึงกับสำบัดสำนวนเป็นแล้ว
หารู้ไม่ว่าทั้งเยี่ยหย่วนทั้งจั่นอวิ๋นหยางต่างก็ซาบซึ้งสะเทือนใจอย่างมากต่อคำพูดของนาง
หลังสองพี่น้องเดินจากมาไกลแล้ว เยี่ยหย่วนก็พลันรั้งตัวเยี่ยเหมยให้หยุด
“เจ้า…เจ้าไม่ใช่พี่รองของข้า!” กลางวันแสกๆ แต่เยี่ยหย่วนกลับรู้สึกเย็นสันหลังวาบ
ยังจำได้ว่ากลางคืนไม่กี่วันก่อนแม้เขาจะใช้เรื่องผีสางเทพยดามาปกป้องเยี่ยเหมย แต่ในใจกลับคิดว่า ‘ปัญญาชนไม่พูดเหลวไหลเรื่องเหนือธรรมชาติ’ ทว่าเวลานี้เห็นเยี่ยเหมยที่เชิดหน้ายืดอก ท่าทางดูกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาที่ตรงหน้า เขากลับขนลุกซู่ขึ้นมา
เยี่ยเหมยตกใจ แววตาของเยี่ยหย่วนแสดงชัดว่ามองอะไรออกแล้ว ยังดีที่สถานที่ที่คนทั้งสองอยู่เป็นตรอกเปลี่ยว นอกจากลมหนาวที่พัดมาเป็นครั้งคราวก็ไม่มีอะไรอื่น นางสำรวมใจ จินตนาการถึงท่าทางอ่อนแอขี้ขลาดของเจ้าของร่างเดิม ก่อนจะก้มหน้าลงพูดเจือสะอื้น “อาหย่วน ไฉนเจ้าจึงพูดเช่นนี้”
“พี่รองของข้าไม่ได้ใจกล้าเท่าเจ้า พี่รองของข้าไม่กล้าเงยหน้าพูดจา พี่รองของข้าเจอเรื่องอะไรก็รู้จักแต่ร้องไห้ พี่รองของข้าไม่มีทางช่วยคน พี่รองของข้าไม่มีทางทำรถอะไรเป็น พี่รองของข้ายิ่งวาดภาพไม่เป็น พูดจาคมคายไม่เป็น…” เยี่ยหย่วนยิ่งพูดยิ่งหนักแน่น แววตาที่จ้องเยี่ยเหมยยิ่งคมปลาบ
เยี่ยเหมยคิดไม่ถึงว่าจะแสดงพิรุธมากขนาดนี้จึงจนคำพูดไปชั่วขณะ จะอธิบายอย่างไรดี หรือต้องบอกหนุ่มน้อยตรงหน้านี้ว่าพี่สาวแท้ๆ ของเขาสิ้นใจไปตอนถูกถ่วงน้ำแล้ว บัดนี้ข้างในร่างของพี่สาวของเขามีวิญญาณใหม่ที่มาจากต่างภพ? อย่าว่าแต่เยี่ยหย่วนจะรับได้หรือไม่เลย แม้แต่เยี่ยเหมยเองก็ยังรู้สึกพิกล
ในสมองมีความคิดสารพัดวาบผ่าน ด้วยอารามเร่งรีบเยี่ยเหมยได้แต่หยิบมุกเดิมที่เคยพูดมาเอาตัวรอดอีกครั้ง ทำมือเป็นท่า ‘หยุด’ ใส่เยี่ยหย่วน จากนั้นก็พูดเสียงเข้มก่อนเขาจะสติแตกไป “อาหย่วน ข้าคือพี่รองของเจ้าจริงๆ ทว่ามีเพียงคนที่เคยตายที่รู้ว่าความตายมีรสชาติเช่นไร หลังตายสามารถมองเห็นอะไร ประสบพบเจออะไร”
ขณะพูดถึงตรงนี้ เยี่ยเหมยก็มองออกชัดเจนว่าสีหน้าของเยี่ยหย่วนปรากฏแววผ่อนคลายลง จึงยิ่งแต่งเรื่องได้ลื่นปาก “ข้าเคยบอกท่านแม่แล้วว่าอันที่จริงข้าตายไปแล้ว เพียงแต่ยมทูตหัววัวหน้าม้าสงสารที่ข้าตายอย่างไม่เป็นธรรมจึงส่งข้ากลับมาโลกมนุษย์อีกครั้ง หากแต่ข้าไม่ได้บอกท่านแม่ว่าก่อนยมทูตหัววัวหน้าม้าจะส่งข้ากลับมาได้ยัดบางอย่างเข้าในความทรงจำของข้า ขณะยัดย่อมเบียดความทรงจำส่วนหนึ่งออกไป ดังนั้นข้าถึงได้หลงๆ ลืมๆ บางอย่างไปบ้าง”
แม้เยี่ยหย่วนจะเคยเรียนพวกปรัชญาเมธีมาหลายปี แต่จะอย่างไรก็ยังเป็นแค่เด็ก ขณะพูดแววตาเยี่ยเหมยจริงใจไร้ใดเทียม…อย่างน้อยก็จริงใจในสายตาของเยี่ยหย่วน ด้วยเหตุนี้ความกังวลสงสัยในใจเขาจึงถูกคำพูดไม่กี่ประโยคนี้ ‘กวาด’ ทิ้งไป “จริงหรือ”
“จริงแท้ยิ่งกว่าทองเสียอีก!” เยี่ยเหมยทำท่าสาบาน
อันที่จริงในใจเยี่ยหย่วนรู้สึกว่าพี่รองในตอนนี้ดีกว่าพี่รองในสมัยก่อนมากเหลือเกิน ดังนั้นต่อให้คำอธิบายของเยี่ยเหมยไม่ได้เรื่องเพียงไร เขาก็ยังจะเลือกเชื่ออยู่ดี
พอถูกดวงตารูปเมล็ดซิ่งที่เปล่งประกายวิบวับของเยี่ยเหมยจ้องมองอย่างตั้งอกตั้งใจ หน้าเยี่ยหย่วนก็กลายเป็นสีแดงก่ำอย่างรวดเร็ว หมุนตัวเดินออกจากตรอกไป “ท่านมิใช่จะซื้อผ้าหรือไร ตรอกทางนี้มีร้านผ้าอยู่ร้านหนึ่ง ได้ยินว่าสินค้าครบครัน ราคาก็ไม่เลว”
“อ้อ ไปสิ”
นี่คือผ่านด่านแล้วใช่หรือไม่
เยี่ยเหมยยิ้มจนดวงตางามโค้งขึ้น ยกชายกระโปรงเดินตามไปด้วยอารมณ์ลิงโลด
หลังเงาร่างสองพี่น้องหายลับไป ประตูที่ด้านหลังจุดที่เยี่ยเหมยยืนอยู่ก่อนหน้านี้ก็เปิดออกอย่างเงียบเชียบ จั่นอวิ๋นหยางปรากฏตัวยืนอยู่ข้างประตูประหนึ่งภูตผีเทวดา กระซิบพูดเสียงเบาว่า “เคยตายมาครั้งหนึ่งก็ปรุโปร่งเช่นนี้แล้ว? แค่เรื่องหลอกเด็กเท่านั้นกระมัง”
สายตาของเขาทอดมองไปไกล ทั้งๆ ที่มองไม่เห็นเงาหลังเล็กบอบบางของเยี่ยเหมยแล้ว แต่จั่นอวิ๋นหยางกลับรู้สึกเหมือนสามารถมองเห็นแววมีชีวิตชีวามั่นใจในตนเองในดวงตารูปเมล็ดซิ่งที่โค้งขึ้นของนางได้ รู้สึกว่าทั้งตัวคนพลอยผ่อนคลายลงมากตามไปด้วย
เขาเดินตามสองพี่น้องต่อไป ออกท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศมาหลายปี เขาชมตนเองได้เต็มปากว่ามีประสบการณ์ความรู้กว้างขวาง นี่กลับเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่ามีเรื่องแปลกใหม่ควรค่าแก่การให้ความสนใจจริงๆ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments