บทที่ 8
เยี่ยเหมยที่กลายเป็น ‘เศรษฐีเงินหมื่น’ สามารถจับจ่ายใช้สอยได้ตามสบายในที่สุด ขอแค่เป็นของกินของใช้ แม้จะไม่กล้าซื้อที่ดีที่แพง แต่นางไม่มีทางปฏิบัติกับตนเองและลูกอย่างไม่เป็นธรรม อีกทั้งเหล่าดอกไม้สกุลเกาที่แสนสดใสไม่กี่ดอกนั้นก็ต้องการการบำรุงดีๆ
เพิ่งจะต้นเดือนสอง เมืองเซิ่งโจวที่อยู่ค่อนมาทางใต้ของภาคเหนือในฤดูนี้ไม่มีของสดใหม่อะไรคงอยู่ได้ เยี่ยเหมยจึงถอดใจจากธัญญาหารและเนื้อปลาที่สามารถหาซื้อได้ในตำบลหยางหลิ่ว ซื้อมาเพียงผักผลไม้สดจำนวนหนึ่งเพื่อเพิ่มสารอาหาร เสื้อผ้าซื้อมาสามสีอย่างละสองพับด้วยการแนะนำของเจ้าของร้าน ส่วนของใช้ย่อมไม่พ้นไปจากเครื่องนอน นางรู้สึกว่าผ้าห่มบนเตียงเตาทั้งแข็งทั้งเป็นก้อนด้วยไม่รู้ใช้มานานเท่าไรแล้ว เพื่อความสบายจึงซื้อผ้าห่มยัดปุยฝ้ายมาสองผืน
สกุลเยี่ยอยู่ในตำบลหยางหลิ่วก็นับว่ามีฐานะ เยี่ยเซิ่งตระหนี่กับบุตรสาว แต่กับบุตรชายกลับนับว่ายังใจกว้าง ด้วยเหตุนี้แม้จะรู้สึกว่าเยี่ยเหมยตื่นเต้นกระตือรือร้นกับการซื้อเกินไปหน่อย เยี่ยหย่วนกลับไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่พอได้ยินเยี่ยเหมยพูดว่าจะไปจ่ายค่ากินอยู่ให้เขาที่สำนักศึกษาปั้นซานก็ซอยเท้าวิ่งหนีทันที “ข้าจะไปช่วยคนที่สำนักศึกษาคัดลอกหนังสือสักครู่ แล้วจะรีบตามไปให้ถึงก่อนเวลาเรือออก”
เยี่ยเหมยยังไม่ทันพูดอะไร เยี่ยหย่วนก็วิ่งหายวับไปแล้ว ไม่คิดถึงเลยว่าพี่สาวของตนเพิ่งมาเมืองเซิ่งโจวครั้งแรก เดี๋ยวก็ได้ทำคนหายกันพอดี
หากเปลี่ยนเป็นเยี่ยเหมยคนก่อน ถึงจะไม่ถูกทิ้งไว้ก็น่าจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน ทว่าเยี่ยเหมยในตอนนี้สุขุมเยือกเย็นขึ้นมาก นั่งอยู่ในร้านอาหารต่ออีกครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ เดินไปทางประตูเมืองตะวันออก เดินไปพลางก็นับเงินที่ใช้วันนี้ไปพลาง
ถ้าไม่นับก็ไม่รู้ว่าเพียงไม่ถึงครึ่งวันก็ใช้จ่ายไปสี่ตำลึงกว่าๆ แล้ว นี่ขนาดยังไม่ได้ซื้อไข่ไก่ ไข่เป็ด และเนื้อปลาที่นางต้องการอย่างเร่งด่วนเลย หลังจากหายตกตะลึงแล้ว นางยิ่งตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องทำสินค้าของคุณชายผู้นั้นออกมาให้ดี ด้วยเหตุนี้จึงใช้เงินห้าตำลึงซื้อพู่กันคุณภาพดีหนึ่งด้ามและกระดาษเนื้อหยาบอีกหนึ่งโหล
หลังออกมาจากร้านเครื่องเขียน เยี่ยเหมยก็วิงเวียนตาลายขึ้นมาอีก นางคว้าจับวงกบประตูข้างตัวไว้ด้วยอารามร้อนใจ เพียงแต่ไม่ได้รู้สึกถึงสัมผัสของไม้อย่างที่คิดไว้ ทว่าข้อมือกลับถูกมือใหญ่อุ่นร้อนข้างหนึ่งจับประคองไว้ ริมโสตได้ยินเสียงบุรุษทุ้มนุ่มนั้นดังขึ้น “ระวัง!”
“คุณชายจั่น?!” โลกจะแคบเกินไปแล้ว รวมถึงตอนนี้ด้วย วันนี้บังเอิญเจอจั่นอวิ๋นหยางมาสามครั้ง ในใจเยี่ยเหมยเกิดความตื่นตัวระแวดระวังขึ้นมา จึงสะบัดมือถอยหลังไปสองก้าว “บังเอิญเพียงนี้เชียว?”
จั่นอวิ๋นหยางกำมือแน่นก่อนจะคลายมืออีกครั้งโดยไม่พูดอะไร เพียงแต่ชี้โรงหมอที่อยู่ด้านข้าง “แม่นางไปให้หมอตรวจดูก่อนจะดีกว่า ถ้าเงินมีไม่พอ…”
“ไม่ต้องๆ” ชาติก่อนเยี่ยเหมยเป็นเด็กกำพร้า ต้องพึ่งพาตนเองทุกเรื่อง เบื้องหน้าดูเหมือนอ่อนหวานนุ่มนวล แต่อันที่จริงยึดถือหลักการอย่างที่สุด ไม่เคยคิดจะเป็นหนี้น้ำใจใคร ที่ก่อนหน้านี้รับเงินของจั่นอวิ๋นหยางมาก็เพราะเป็นเงินค่าสินค้า แต่นางไม่คิดจะมีความข้องเกี่ยวใดๆ นอกเหนือจากนี้กับเขาแม้แต่น้อย
ทว่านางเองก็รู้ว่าร่างนี้ขี้โรคอ่อนแอ จำต้องไปหาหมอ หลังก้มหน้ากล่าวขอบคุณแล้วจึงหมุนตัวเดินไปทางโรงหมอแห่งนั้นทันที
หลังออกจากโรงหมอ เยี่ยเหมยไม่อาจไม่ดีใจกับตนเองที่เด็กคนนี้มีพลังชีวิตกล้าแข็ง ตามคำของหมอบอกว่าร่างกายนี้ของนางได้รับการบำรุงไม่เพียงพออย่างรุนแรง ไม่นานมานี้ถูกความเย็น ปราณเย็นยังสะสมอยู่ในร่างกาย ถ้าประสบเหตุไม่คาดฝันอะไรอีก ไม่แม่ก็ลูกมิแคล้วต้องตาย ยังดีที่นางมาหาหมอทันเวลา อีกทั้งหมอที่หาก็เป็นมือเทพด้านนรีเวช เขาเขียนใบสั่งยาบำรุงครรภ์มาให้สามเทียบ หลังฟังคำแนะนำเยี่ยเหมยก็สบายใจขึ้นมาก
เยี่ยเหมยมองดูรอบๆ ไม่พบเห็นเงาของจั่นอวิ๋นหยางก็ผ่อนลมหายใจโล่งอกทันที จากนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา บางทีอาจเป็นเพียงเรื่องบังเอิญจริงๆ คุณชายจั่นแค่เห็นก็รู้ว่ามิใช่ผู้ที่ชาวบ้านธรรมดาจะเกาะแกะข้องแวะด้วยได้ อีกอย่างเขายังมีภรรยาที่สูงส่งงดงามอย่างสะใภ้ใหญ่จั่นอยู่ทั้งคน จะมาถูกตาต้องใจบุปผาดอกน้อยอย่างตนเองได้อย่างไร นางจะคิดเข้าข้างตนเองเกินไปหน่อยแล้วจริงๆ
อันที่จริงเยี่ยเหมยไม่ได้คิดเข้าข้างตนเองสักนิด จั่นอวิ๋นหยางตั้งใจจะตามไปดูแลนางในโรงหมอด้วย เพียงแต่เพิ่งจะยกเท้าก็ถูกคนรั้งตัวไว้พอดี
“นายน้อยจั่น เจ้ามาทำอะไรตรงนี้” ด้านข้างโรงหมอเป็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ปากประตูโรงเตี๊ยมมีบุรุษหน้าเด็กผู้หนึ่งยืนอยู่ เขามองมายังจั่นอวิ๋นหยางด้วยความประหลาดใจ “จัดการเรื่องในบ้านเรียบร้อยแล้ว?”
คราวนี้จั่นอวิ๋นหยางถึงค่อยได้สติกลับมาประหนึ่งว่าได้คนคลายมนตร์สะกดให้ หางตาเหลือบเห็นเยี่ยเหมยเดินเข้าห้องตรวจคนไข้แล้วจึงนวดหว่างคิ้วน้อยๆ ก่อนหมุนตัวเดินไปหาบุรุษหน้าเด็ก “กู่จวิ้น ข้าเคยบอกแล้วว่ามาเมืองเซิ่งโจวต้องระมัดระวังทุกเรื่อง เจ้า…”
“เอาน่าๆ ก็ข้าดีใจที่เจอเจ้านี่นา” กู่จวิ้นมองไปรอบๆ รอบหนึ่งก่อนกะพริบตา “วางใจเถอะ ยังไม่มีใครสังเกตเห็นความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับข้า ยิ่งกว่านั้นพวกเราก็เป็นแค่คนสองคนที่ไม่ได้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก มีอะไรน่าระวังกัน”
จั่นอวิ๋นหยางก้าวเท้ายาวยิ่ง คล้ายว่าต้องการจะสลัดท่าทีใจลอยที่เกิดจากสตรีแปลกหน้าเมื่อครู่นี้ทิ้งไปให้หมด เดินตามกันเข้าห้องในโรงเตี๊ยมกับกู่จวิ้น
กู่จวิ้นถอนหายใจเบาๆ อยู่ด้านหลังเขา “เฮ้อ เจ้าเสแสร้งต่อไปเถอะ”
กู่จวิ้นไม่โมโหอะไรจั่นอวิ๋นหยางแล้ว เดิมทีขณะเพิ่งรู้จักกันยังเห็นว่าอายุเท่าๆ กันเลยมีความคิดแข่งขัน แต่ยิ่งอยู่ด้วยกันนานวันก็ยิ่งเข้าใจกันมากขึ้น เขาจึงไม่สนใจจะเอาตัวขึ้นไปเทียบกับอีกฝ่ายอีก ปล่อยให้จั่นอวิ๋นหยางกลายเป็น ‘ลูกบ้านอื่น’ ในคำพูดของบิดาไปตามสบาย
ตัวของจั่นอวิ๋นหยางคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด บิดาคือคหบดีจั่นผู้มั่งคั่งที่สุดในเมืองเซิ่งโจว มารดาเป็นสตรีทรงความรู้ความสามารถจากตระกูลบัณฑิต มีชาติกำเนิดดีนั้นช่างเถอะ แต่เขายังดันเป็นอัจฉริยะด้วย สามขวบอ่านออกเขียนได้ ห้าขวบเข้าเรียนในสำนักศึกษา แปดขวบท่องสี่ตำราห้าคัมภีร์ได้คล่องปาก ถ้ามิใช่เพราะซิ่วไฉสิบขวบชวนให้โลกตะลึงเกินไป จึงถูกอาจารย์ใหญ่แห่งสำนักศึกษาปั้นซานผู้เป็นอาจารย์ของเขาห้ามไว้จนไม่อาจไปสอบ บางทีอาจจะไม่ใช่ได้ชื่อว่าเป็นซิ่วไฉตอนอายุสิบสองแล้ว
อาจเป็นเพราะตอนต้นของชีวิตราบรื่นไร้อุปสรรค จึงกลายเป็นสร้างนิสัยประหลาดชอบท้าทายสิ่งใหม่ให้จั่นอวิ๋นหยาง เขาไม่ชอบให้คนพูดว่าเขาเป็นบุตรชายของคหบดีจั่น จึงสร้างภาพพจน์ตนเองเป็นคุณชายสุยเฟิงหนอนหนังสือผู้ไร้อำนาจอิทธิพล แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ชื่อของคุณชายสุยเฟิงก็ยังโด่งดังขึ้นทุกวันจนถึงขั้นเป็นที่รู้จักทุกหัวระแหง
แม้ว่าระหว่างนั้นมารดาได้สิ้นใจจากไป หญิงรู้ใจก็แต่งงานออกเรือน ในสายตาผู้อื่นเห็นว่าเป็นเรื่องที่เพียงพอจะเปลี่ยนแปลงท่าทีในชีวิตคนเราได้ แต่เขาก็เพียงลอบประกอบพิธีเซ่นไหว้มารดาเงียบๆ แล้วเลือกใช้ชีวิตบนเส้นทางที่ท้าทายกว่าเดิมต่อไป เพื่อการนี้ยังยินยอมสละเกียรติยศความมั่งคั่งที่กองอยู่ตรงหน้า ทำให้คนคิดว่าเขาล่วงเกินผู้มีตำแหน่งมีอำนาจจนไม่อาจเข้าสอบ
นับตั้งแต่นั้นเบื้องหน้าเขาทำเป็นว่าออกท่องใต้หล้า เบื้องหลังกลับทำงานสังเกตการณ์สภาพความเป็นอยู่ของราษฎรแทนองค์จักรพรรดิและคอยร้องทุกข์แทนราษฎร ที่น่าแค้นใจกว่านั้นคือโชคของคนผู้นี้ช่างดีเกินไปโดยแท้ ออกท่องใต้หล้ากลับยังไปพบเจออาจารย์ที่มีวรยุทธ์สูงส่งจนได้ร่ำเรียนวิชายุทธ์สุดวิเศษ ถ้าเขาจะแสดงฝีมือจริงๆ ตำแหน่งจ้วงหยวนฝ่ายบู๊อาจจะถูกเขาคว้าไปได้ง่ายๆ อีกเช่นกัน
เดิมทีคราวนี้องค์จักรพรรดิคิดจะหาข้ออ้างให้เขากลับบ้านเกิดพร้อมตำแหน่งขุนนาง แต่เขาก็ไม่รู้เกิดนึกอะไรขึ้นมา จะรอไปอีกพักหนึ่งให้ได้ ตอนนี้พอใจแล้วกระมัง จึงถูกองค์จักรพรรดิโยนทิ้งมาให้องค์รัชทายาทแล้ว
อัครมเหสีสวรรคตไปนานแล้ว รัชทายาทล้วนแต่ปราศจากอำนาจไม่ว่าจะจากตระกูลพระมารดาหรือตระกูลชายา จึงยิ่งถูกองค์ชายสามผู้มีอำนาจกล้าแข็งบีบจนต้องไปอยู่ไกลถึงชายแดน ต้องสร้างความดีความชอบในการศึกให้ได้ถึงจะสามารถทำให้ฐานะรัชทายาทมั่นคง หรือแม้แต่กดหัวองค์ชายสาม
จั่นอวิ๋นหยางกับกู่จวิ้นได้รับคำสั่งให้รวบรวมเสบียงอาหารในสามเมืองหน้าด่านชายแดนให้รัชทายาท เมืองเซิ่งโจวเป็นบ้านเกิดของจั่นอวิ๋นหยาง รัชทายาทใส่ใจผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทที่แสนเยือกเย็น ทั้งยังฉลาดเจ้าแผนการผู้นี้เป็นพิเศษ จึงให้เขามารับและคุมเสบียงไปส่ง
ทว่าชื่อจั่นอวิ๋นหยางโด่งดังในเมืองเซิ่งโจวเกินไป ดังนั้นผู้ที่ออกหน้าคุมส่งเสบียงจึงยังคงเป็นผู้บัญชาการลำดับรองขั้นห้าอย่างกู่จวิ้น ส่วนเขาก็สามารถถือโอกาสอันหาได้ยากนี้กลับไปเยี่ยมบ้าน เพียงแต่เรื่องที่กู่จวิ้นคิดไม่ตกคือเวลานี้เหตุใดเขาจึงไม่กลับบ้านแต่กลับมาหาตนเอง
กู่จวิ้นที่คิดเข้าข้างตนเองคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าจั่นอวิ๋นหยางเดิมทีคิดจะกลับคฤหาสน์ เพียงแต่ได้พบเยี่ยเหมยเข้าเลยเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน เดินมาถึงที่นี่แทน
“เจ้าเมืองอวี๋กลั่นแกล้งเจ้าบ้างหรือไม่” จั่นอวิ๋นหยางขมวดคิ้วมองการเปลี่ยนแปลงของสีหน้ากู่จวิ้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร เขากระแอมไอหนักๆ สองทีเพื่อดึงความคิดของกู่จวิ้นกลับมา ก่อนเปลี่ยนมาถามเรื่องเป็นการเป็นงาน
“นายน้อยจั่น เจ้าอย่าลืมว่าหนึ่งชั่วยามก่อนเจ้ากับข้าเพิ่งจะเข้าประตูเมืองเซิ่งโจวมา ข้ายังไม่ทันไปจวนว่าการเจ้าเมืองเลย” กู่จวิ้นสูดหายใจเย็นเยียบ เขารู้ว่าจั่นอวิ๋นหยางทำงานได้มีประสิทธิภาพอย่างที่สุดมาแต่ไหนแต่ไร แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องรีบร้อนเพียงนี้เลย มาเมืองเซิ่งโจวคราวนี้มีเวลาให้ตระเตรียมตั้งหลายวัน
“เจ้าก็รู้เหมือนกันหรือว่าผ่านมาหนึ่งชั่วยามแล้ว” จั่นอวิ๋นหยางกวาดตามองกู่จวิ้นอย่างเดียดฉันท์ปราดหนึ่ง “ก่อนหน้านี้ข้าพูดกับเจ้าแล้วว่าเจ้าเมืองอวี๋ผู้นั้นโลภมากเห็นแก่ได้ ทั้งยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ ถ้าเจ้าไปหาจะต้อง…”
แม้จั่นอวิ๋นหยางจะดูคร่ำครึและเคร่งครัดจนแปลกจากคนทั่วไป แต่อันที่จริงเป็นคนจัดการเรื่องราวได้มีน้ำอดน้ำทนยิ่งยวด เขาร่ายสอนกู่จวิ้นว่าจะเจรจากับเจ้าเมืองอวี๋อย่างไร พร้อมทั้งกำชับกำชาเรื่องที่ต้องระวังในการทำงานที่เมืองเซิ่งโจวอีกมากมายเสร็จถึงได้ลุกขึ้นเดินลงข้างล่าง เตรียมจะกลับคฤหาสน์สกุลจั่นทางทิศใต้ของเมือง
ครั้นลงมาถึงชั้นล่าง สายตาก็เลื่อนไปมองทางโรงหมอ หยุดฝีเท้าอยู่เป็นนานถึงค่อยหมุนกายเดินจากไปโดยไม่ลังเลอีก
เขาเป็นคนที่ควบคุมตนเองได้ดี ถึงจะมีหลุดการควบคุมไปชั่วครู่ แต่ก็ยังดึงตนเองกลับสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว ความเป็นห่วงเป็นใยที่มีต่อเยี่ยเหมย เขาได้ข้อสรุปว่าเป็นความสนใจที่เกิดขึ้นมาชั่วขณะ แต่ในเมื่อยามนี้มีเรื่องเป็นการเป็นงานต้องทำ เช่นนั้นความสนใจก็วางเอาไว้ก่อนได้
ต้นยามเซิน เยี่ยเหมยที่ถูกจั่นอวิ๋นหยางวางทิ้งไว้ด้านข้างมานั่งดูทิวทัศน์อยู่ภายในโรงเตี๊ยมที่นัดแนะกันไว้แล้ว
เยี่ยหย่วนวิ่งมาพร้อมกับเหงื่อกาฬเต็มศีรษะ หลังมองเห็นนางก็ผ่อนลมหายใจโล่งอกเฮือกใหญ่ หน้าเรื่อแดง เกาศีรษะก่อนว่า “ข้า…ขอโทษ ข้าลืมไปว่าท่านไม่เคยมาเมืองเซิ่งโจว”
“ไม่เป็นไร ข้าเดินกลับตามทางเดิม ไม่นานก็ออกมาได้แล้ว” เยี่ยเหมยเทน้ำให้เขาถ้วยหนึ่งอย่างเอาใจใส่ นางเอ็นดูเยี่ยหย่วนอย่างที่สุด เด็กที่ยังโตไม่เต็มวัยคนหนึ่งงอนนาง แต่ขณะเดียวกันก็ยังเป็นห่วงเป็นใยนาง ไม่อึดอัดบ้างหรือไร
ขณะสองพี่น้องคุยกัน เกาเสียงก็ประคองภรรยาเดินมาทางนี้ทีละก้าว ฝ่ายหลังแย้มยิ้มซาบซึ้งให้เยี่ยเหมยแต่ไกล “ต้องขอบใจน้องสาวสกุลเยี่ยมากที่เตือน หมอที่โรงหมอหุยชุนเขียนใบสั่งยาให้ข้าแล้ว!”
แม้ว่าคนสกุลเกาจะปิดบังภรรยาเกาเสียงเรื่องที่นางอาจจะตายทั้งกลม แต่นางก็มิใช่คนโง่ หมอจากตำบลหยางหลิ่วไม่กล้าแม้แต่จะเขียนใบสั่งยา นางไหนเลยจะไม่กังวลได้ แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว มีหมอกล้าเขียนใบสั่งยาก็เป็นการรับรองว่าอย่างน้อยคนเขาก็มั่นใจในโรคของนางอยู่บ้าง
“เขียนใบสั่งยาแล้ว! เป็นเรื่องจริงหรือ” ผู้ที่ส่งเสียงอุทานนำมาคือท่านสามเกาที่เพิ่งเดินออกมาจากเรือนหลังร้าน หนวดเคราสีดอกเลาสั่นระริก ดูท่าทางตื่นเต้นพลุ่งพล่านอย่างยิ่ง
เวลานี้เกาเสียงเองก็ตื่นเต้นเป็นที่สุดเช่นกัน หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นมานานคลายออก พยักหน้าหงึกหงักพลางกล่าวว่า “จริงสิขอรับ วันนี้ข้ากับภรรยาเดินเข้าโรงหมอสามแห่งที่อยู่ติดกัน แต่หมอล้วนพูดไม่ต่างกับหมอจากตำบลหยางหลิ่ว บอกว่าพวกเราให้ภรรยากินดื่มแย่ ให้กลับไปดูแลอาหารการกินของนาง จนกระทั่งไปถึงโรงหมอหุยชุนซึ่งเป็นแห่งที่สี่ เดิมทีหมอที่ประจำอยู่ก็พูดไม่ต่างกับหมอก่อนหน้านี้ พวกข้าจึงได้แต่เดินกลับออกมา หากแต่ภรรยานึกถึงคำของน้องสาวสกุลเยี่ยก่อนเข้าเมืองขึ้นได้ ก็เลยถามเพิ่มไปอีกประโยค”
พูดถึงตรงนี้เกาเสียงก็มองเยี่ยเหมยด้วยความซาบซึ้งใจ ก่อนพูดต่อไปว่า “หมอผู้นั้นมีท่าทางไม่พอใจอย่างมาก ไล่พวกข้าไปไม่ขาดเสียง แต่พอดีว่ามีหมอแซ่เถียนเดินกลับเข้ามาจากด้านนอก มองเห็นหมอผู้นั้นมีสีหน้าท่าทางโมโหขุ่นเคือง จึงเอ่ยถามหมอผู้นั้นสองสามประโยค จากนั้นก็พาข้ากับภรรยาไปที่โถงด้านหลัง ตรวจดูได้ครู่ใหญ่ท่านหมอเถียนก็พลันกระโดดโลดเต้นพูดว่า ‘ปัญหามาจากตับจริงๆ ถึงกับเป็นการอุดตัน’ จะอย่างไรข้าเองก็ฟังไม่เข้าใจ หลังจากท่านหมอเถียนใจเย็นลงก็ซักถามรายละเอียดอีกมากมายถึงค่อยจับพู่กันเขียนใบสั่งยาให้ภรรยา บอกว่าให้กินยาห้าวันแล้วกลับไปตรวจอีกครั้ง”
“เป็นภาวะน้ำดีอุดตันในตับขณะตั้งครรภ์จริงๆ?!” เยี่ยเหมยไม่รู้จริงๆ ว่าควรพูดว่าตนเองบังเอิญเดาถูกพอดีหรือควรพูดว่าตนเองปากไม่เป็นมงคลถึงกับบอกได้ตรงจุด ไม่รู้เหมือนกันว่าผลลัพธ์นี้เป็นโชคดีหรือโชคร้ายของภรรยาเกาเสียงกันแน่
“โรคนี้มีชื่อด้วยหรือ ไฉนข้าจึงไม่ได้ยินท่านหมอเถียนเอ่ยถึง” อาจเป็นเพราะมีหมอเขียนใบสั่งยาให้แล้ว ภรรยาเกาเสียงจึงมีชีวิตชีวาขึ้นมา นึกถึงความรู้สึกรอดชีวิตจากความตายของตนเองขณะหมอเขียนใบสั่งยา ภรรยาเกาเสียงก็แทบจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ถึงกับสะบัดมือสามีที่จับประคองมาตลอดออก ก้าวไปจูงเยี่ยเหมยเดินไปยังเรือไม้ที่จอดอยู่ริมฝั่ง
“ชื่อนี้ข้าตั้งขึ้นมามั่วๆ ท่านอย่าเก็บไปใส่ใจ” เยี่ยเหมยหัวเราะไม่หยุดด้วยอารามร้อนตัว พลางจ้องหน้าท้องของภรรยาเกาเสียงพลางเปลี่ยนประเด็นไปว่า “พี่สะใภ้เสียง ท้องท่านใหญ่ขนาดนี้คงมิใช่เป็นเด็กแฝดกระมัง ท่านหมอได้บอกความเป็นไปได้นี้กับท่านหรือไม่”
“มิใช่หรอก ถ้าเป็นท้องแฝด หมอก็ตรวจรู้ตั้งแต่สามเดือนแล้ว กลับเป็นเจ้าเองเถิด ได้หาหมอให้ตรวจดูหรือไม่ บึงน้ำดำหลังหมู่บ้านน้ำเย็นเกินไป อย่าปล่อยทิ้งไว้จนเป็นโรคเรื้อรังเสียล่ะ”
บึงน้ำดำที่ภรรยาเกาเสียงเอ่ยถึงเป็นเขตแบ่งระหว่างหมู่บ้านเกาจยากับหมู่บ้านของเยี่ยเซิ่ง วันนั้นที่เยี่ยหย่วนลากเยี่ยเหมยออกจากคฤหาสน์สกุลเยี่ยมาด้วยความโกรธขึ้ง อันที่จริงก็มิได้ไปไหนไกลนัก เพียงแต่ห่างจากตำบลหยางหลิ่วมากขึ้นเท่านั้น
เยี่ยเหมยไม่เคยคิดว่าจะมาหยุดที่หมู่บ้านเกาจยา และยิ่งอยู่พักชั่วคราวเนื่องจากครอบครัวต้าเหอ หากแต่ดูสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว นางไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้จริงๆ
“วันนี้ข้าได้ไปหาหมอและได้ยาบำรุงครรภ์มาแล้ว พี่สะใภ้เสียง ระยะนี้ท่านตากแดดให้มากหน่อย แล้วก็กินพวกไข่แดงกับผักปวยเล้งบ้าง…”
สตรีสามนางรวมตัวกัน สองสตรีมีครรภ์รวมกับภรรยาต้าเหอที่กลับมาทีหลัง ต่างก็คุยกันครื้นเครงถูกคอ
ภรรยาต้าเหอถ่ายทอดเรื่องสิ่งควรเลี่ยงระหว่างตั้งครรภ์จากผู้เฒ่าผู้แก่ให้สตรีมีครรภ์ทั้งสอง เยี่ยเหมยเองก็ใช้โอกาสนี้กรอกวิธีเลี้ยงเด็กตามวิทยาศาสตร์ให้ภรรยาเกาเสียง โดยเฉพาะสิ่งที่ต้องระวังเกี่ยวกับภาวะน้ำดีอุดตันในตับขณะตั้งครรภ์ รวมถึงการบำรุงรักษาสุขภาพตนเองและวิธีการจัดการกับอันตรายที่เด็กอาจเผชิญ
ชาติก่อนเยี่ยเหมยโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หลังจากบรรลุนิติภาวะก็อาศัยการเป็นพี่เลี้ยงเด็กหาเลี้ยงชีพ ต่อมาเพื่อให้ได้เงินเดือนสูงขึ้น นางได้เน้นรับงานดูแลเด็กเล็กโดยเฉพาะ เพื่อการนี้ยังแล่นไปเข้าอบรมพี่เลี้ยงเด็กระดับสูงเป็นพิเศษ สามารถพูดได้เลยว่ามีความเชี่ยวชาญในการดูแลทารกแรกเกิดรวมถึงเด็กวัยก่อนเข้าเรียนอย่างที่สุด
ในร่างกายมีวิญญาณของคนในยุคหลังอยู่ ถึงแม้ชาติก่อนนางจะน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้าง แต่เวลาพูดจาก็มีระเบียบแบบแผน สง่าผ่าเผย ในสายตาคนหมู่บ้านเกาจยาจึงรู้สึกเพียงว่าเยี่ยเหมยแทบไม่ต่างอะไรกับคุณหนูตระกูลใหญ่ ฟังคำที่นางพูดออกมาแล้ว ภรรยาต้าเหอและภรรยาเกาเสียงก็พยักหน้าไม่หยุด
เยี่ยหย่วนน่าจะยังรู้สึกผิดอยู่บ้างที่เมื่อครู่ลืมว่าเยี่ยเหมยมาเมืองเซิ่งโจวครั้งแรกก็ทิ้งนางวิ่งหนีไป แต่เขาดันมีนิสัยปากแข็ง เมื่อกลับมาสายตาจึงเอาแต่มองไปทางเยี่ยเหมย ทว่ากลับไม่ยอมวางมาดลงเอ่ยขอโทษ เยี่ยเหมยเองก็ไม่ได้ใส่ใจ เพียงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทางของเขา หลังจากขึ้นเรือก็คุยเรื่องเด็กกับสตรีอีกสองคนต่อ
ขามาทุกคนอารมณ์หนักอึ้ง ทว่าขากลับต่างก็ได้สิ่งที่ตนเองต้องการแล้ว อาจเป็นเพราะอารมณ์ดี เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ครั้นมองเห็นควันไฟจากหมู่บ้านเกาจยาได้ไกลๆ พวกเยี่ยเหมยทั้งสามคนถึงค่อยๆ หยุดเสียงลง ไม่กี่คนบนเรือก็ล้วนมิใช่คนชอบถามจู้จี้ ไม่มีใครถามว่าเหตุใดเยี่ยหย่วนไปเมืองเซิ่งโจวแล้วแต่ยังกลับมาอีก ครั้นได้ยินว่าเยี่ยหย่วนคิดจะมาอยู่กับเยี่ยเหมย นึกถึงเงินสองตำลึงที่รับมาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าอย่างไรเกาต้าเหอก็ไม่ยอมให้เยี่ยหย่วนไปพักที่บ้านท่านสามเกา เขาที่มีร่างสูงใหญ่กำยำจึงทั้งฉุดทั้งลากอีกฝ่ายกลับบ้านไปด้วยกัน
ตอนแยกบ้านเกาต้าเหอได้ห้องใหญ่ที่เชื่อมกับห้องบิดามารดามาหนึ่งห้องและห้องข้างอีกสองห้อง ต่อมาเขาต่อเติมห้องเล็กต่อจากห้องข้างเพิ่มอีกสองห้อง ห้องหนึ่งใช้ทำกับข้าว อีกห้องไว้เก็บของ ก่อนหน้านี้เกาต้าเหอสามีภรรยานอนที่ห้องใหญ่กับเกาอู่ฮวาบุตรสาวคนเล็ก เกาเอ้อร์ฮวากับน้องสาวสองคนนอนกันห้องหนึ่ง ส่วนเยี่ยเหมยกับเกาจินฮวาก็นอนด้วยกันอีกห้อง พอเยี่ยหย่วนมาอยู่ด้วยก็ย่อมต้องหาห้องให้เขา
บุตรสาวสกุลเกาทั้งห้าคน เกาจินฮวามีอายุเท่ากับเยี่ยเหมยคือล้วนอายุสิบหก กำลังรอออกเรือน เกาเอ้อร์ฮวาอายุสิบสี่ เกาซานฮวาอายุสิบสอง เกาซื่อฮวาอายุแปดขวบ เกาอู่ฮวาอายุหกขวบ
ครั้นเห็นว่าในบ้านมีพี่ชายที่ขี้อายปากหนักเพิ่มมาอีกคน ดอกไม้ไม่กี่ดอกที่อายุค่อนข้างน้อยก็ตื่นเต้นดีใจยิ่ง แม้แต่เสียงตะเบ็งด่ากราดของภรรยาเสี่ยวเหอที่ด้านนอกก็ยังถูกปาทิ้งไปสุดขอบฟ้า ล้อมวงรอบโต๊ะเตี้ยบนเตียงเตา กินขนมที่เยี่ยเหมยซื้อมา มองดูบิดามารดาและเยี่ยเหมยหารือกันเรื่องจัดสรรห้อง
เดิมทีเกาต้าเหอสามีภรรยาคิดจะยกห้องใหญ่ของพวกเขาให้เยี่ยหย่วน แม้จะบอกว่าคนชนบทเตียงใหญ่ใจกว้าง แต่เยี่ยเหมยก็ทนให้สามีภรรยาทั้งสองไปนอนเบียดกับบุตรสาวไม่ได้ หลังไตร่ตรองดูแล้วเยี่ยเหมยก็ตัดสินใจให้เกาจินฮวาย้ายไปห้องนอนของน้องอีกสามคน แล้วให้เยี่ยหย่วนนอนห้องเดียวกับนาง เช่นนี้นางก็สามารถจ่ายค่าเช่า พักอาศัยอยู่ได้อย่างสบายใจ
เกาต้าเหอสามีภรรยาได้แต่ยอมประนีประนอมตามการยืนกรานของเยี่ยเหมยและการยอมรับความคิดนี้ของเยี่ยหย่วน ในหมู่บ้านสกุลเกา ครอบครัวที่มีห้องน้อยหรือมีฟืนไฟไม่พอยังเบียดกันอยู่บนเตียงเดียวทั้งเด็กทั้งคนชราเลย แต่ด้านเยี่ยเหมยกับเยี่ยหย่วน แค่แขวนมู่ลี่ฟางไว้ตรงกลางเตียงเตาขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่ไปครึ่งห้องก็เท่ากับได้ห้องสองห้องแล้ว
หลังจากคุยปัญหาเรื่องที่อยู่กันเสร็จเรียบร้อย เยี่ยเหมยก็ถามภรรยาต้าเหอว่าหมู่บ้านเกาจยามีช่างไม้ฝีมือดีหรือไม่
คิดไม่ถึงว่าคำถามนี้ที่เพิ่งจะถามออกไป ภรรยาต้าเหอก็จ้องเยี่ยเหมยด้วยท่าทางกรุ่นโกรธเล็กน้อย “อาเหมย เจ้าอยู่บ้านพวกเรามาตั้งหลายวันแล้ว ไม่เคยเห็นเลยหรือว่าท่านอาต้าเหอของเจ้าทำงานอะไร”
พูดตามตรง ยามเยี่ยเหมยพักอยู่ในบ้านสกุลเกาได้สัมผัสถึงความสงบอันหาได้ยาก ถ้าไม่นั่งรำลึกอดีตก็นั่งเป็นห่วงอนาคต ไม่ได้มีแก่ใจไปสังเกตอย่างอื่นโดยสิ้นเชิง อีกอย่างเกาต้าเหอก็เป็นคนขยัน มักไม่ค่อยอยู่บ้าน นางไหนเลยจะรู้ว่าเขาทำงานอะไร ทว่าก็บังเอิญโดยแท้ที่เกาต้าเหอเป็นช่างไม้มือต้นๆ ของหมู่บ้านเกาจยา
เยี่ยเหมยใช้พู่กันที่อ่อนนิ่มไม่ใคร่ถนัด จึงวาดออกมาได้ไม่เป็นรูปเป็นร่างอย่างยิ่ง นางจึงได้แต่ทำท่าทางประกอบคำอธิบายให้เกาต้าเหอ ต่อมาเยี่ยหย่วนได้ยินแล้วนึกสนใจ ด้านหนึ่งใช้สายตาเหยียดหยามดูถูกมองเยี่ยเหมย ด้านหนึ่งก็แย่งกระดาษพู่กันมาวาดรูปรถเข็นเด็กและรถหัดเดินตามคำบรรยายของนาง คราวนี้เกาต้าเหอถึงพลันแจ้งใจ พยักหน้าหงึกหงักบอกว่าสามารถทำได้
ถึงเกาต้าเหอจะดูกลุ้มใจอยู่บ้าง แต่ฝีมือกลับดีกว่าที่เยี่ยเหมยคาดไว้ หลังถามขนาดแน่ชัดแล้ว วันรุ่งขึ้นพอเลือกไม้ดีมาได้ก็เริ่มลงมือทำงานทันที
สมัยโบราณไม่มีตะปู ล้วนอาศัยการเข้าเดือยไม้ยึดกันเอาไว้ เยี่ยเหมยไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ ทำได้เพียงพยายามอธิบายให้เกาต้าเหอเข้าใจว่ามีข้อต่อตรงไหนของรถเข็นเด็กที่ต้องขยับหมุนได้บ้าง เดิมทีนางยังห่วงว่าล้อจะเป็นปัญหาแก้ยาก แต่ต่อจากนั้นนางก็พบว่าไม่อาจดูถูกสติปัญญาของคนโบราณได้จริงๆ
เกาต้าเหอทำไม้ทรงกระบอกออกมาท่อนหนึ่ง หุ้มหนังลงไปสองสามชั้น คว้านเนื้อไม้ตรงกลางออกแล้วใส่แหวนเพลาเข้าไป ล้อรถกันสะเทือนที่สวยงามและใช้งานได้จริงก็ปรากฏต่อหน้านาง
เยี่ยเหมยพักอยู่ที่บ้านสกุลเกาไม่ได้ไปที่ไหนทั้งสิ้น คอยช่วยงานเกาต้าเหอในส่วนที่พอจะทำได้ พวกลวดเหล็กที่ใช้ทำรถเข็นเด็กและรถหัดเดินล้วนเป็นเกาต้าเหอจัดการคนเดียว
เยี่ยเหมยไม่ได้ล้มเลิกความตั้งใจที่จะเกลี้ยกล่อมให้เยี่ยหย่วนกลับไปเรียนต่อในสำนักศึกษา น่าเสียดายที่เด็กคนนี้บทจะดื้อขึ้นมาก็ไม่ต่างอะไรจากโคกระบือ ส่วนเยี่ยเหมยก็เป็นคนที่สีซอให้เขาฟัง
สามวันที่ทำรถ แม้เยี่ยเหมยจะยังไม่ได้ให้เงินค่าแรงแก่เกาต้าเหอ แต่กลับถือโอกาสขณะเกาเอ้อร์ฮวาไปขายแผ่นรองรองเท้าที่ตำบลหยางหลิ่ววานให้นางช่วยซื้อขาหลังหมูกลับมาทั้งขา
กระดูกนำมาต้มน้ำแกง เนื้อก็บ้างตุ๋นบ้างย่าง สามารถเห็นอาหารที่มีเนื้อสัตว์ได้ทุกวัน อีกทั้งไม่ว่าภรรยาต้าเหอจะพูดอย่างไร เยี่ยเหมยก็ยังยืนกรานให้หนึ่งวันกินสามมื้อ ถ้าเริ่มเถียงกันรุนแรงขึ้น นางก็จะยกลูกในท้องกับเกาซื่อฮวาและเกาอู่ฮวาที่ผ่ายผอมอ่อนแอมาอ้าง
ภรรยาต้าเหอกลัวจะเป็นการเอาเปรียบนางกับเยี่ยหย่วน จึงยอมให้นางผลาญเงินเช่นนี้ต่อไป แต่ลอบกำชับบุตรสาวทั้งห้าว่าเวลากินเนื้อให้บันยะบันยังบ้าง
ทว่าเรื่องนี้หักห้ามกันได้ด้วยหรือ พอเห็นใบหน้าของเหล่าบุตรสาวที่ผอมโกรกมีสีเลือดขึ้นมาแล้ว ภรรยาต้าเหอก็ไม่มีอะไรจะเถียงเยี่ยเหมยได้ ได้แต่กำชับเกาต้าเหอตอนกลางคืนว่าให้ทำงานให้เร็วให้ดีขึ้น
“สำเร็จแล้ว!” เสียงไชโยโห่ร้องจากในลานบ้านครึ่งแถบอันแคบเล็กดังลอยไปไกล เยี่ยหย่วนเข็นเกาอู่ฮวาเดินวนกลับไปกลับมาอยู่ในลานบ้าน ทำเอาเด็กส่งเสียงหัวเราะใสปานกระดิ่งเงินออกมาด้วยความชอบใจ
ภรรยาเสี่ยวเหออุ้มบุตรชายคนเล็กยืนหลบข้างประตูมองดูฉากเหตุการณ์นี้ กำแท่งเงินในแขนเสื้อ ตัดสินใจเชื่อฟังคำสั่งของคนผู้นั้น จัดการให้เสียงหัวเราะเบิกบานนี้และกลิ่นหอมของเนื้อหายไปเสียให้หมด!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 21 พ.ค. 62
Comments
comments