บทที่ 2
ผมจำคุณได้
มนุษย์เกิดมาเพื่อพบกับปัญหา คนที่พร้อมเสมอเท่านั้นที่จะสามารถยืนอยู่บนโลกใบนี้อย่างปกติสุขได้ ต้องเตรียมการ ต้องวางแผน ต้องคำนวณถึงผลกระทบจากการกระทำอยู่เสมอ
ถึงแม้ว่าพิชญ์จะเป็นหนึ่งในมนุษย์ไม่กี่คนที่เตรียมตัวอย่างดีตั้งแต่ตื่นยันเข้านอน แต่สุดท้ายเขาก็หลีกหนีปัญหาไปไม่ได้อยู่ดี
พิชญ์ต้องกุมขมับเมื่อทราบข่าวอุบัติเหตุของวริษฐ์และคนขับรถส่วนตัว
เมื่อคืนทั้งคู่ไปดูงานที่ภูเก็ตให้เขา แต่ขากลับสองคนนั้นประสบอุบัติเหตุระหว่างทาง ดูจากรูปการณ์แล้วไม่น่ารอดเสียด้วยซ้ำ นับว่าโชคยังเข้าข้างเพราะคนของเขาแค่บาดเจ็บสาหัส ใช่! บาดเจ็บสาหัสก็ยังดีกว่าเสียชีวิต
“แม็ค ฉันฝากจัดการเรื่องนี้ให้ทีนะ ดูแลเรื่องค่ารักษาพยาบาลและเลือกหมอที่ดีที่สุดให้พวกเขา” พิชญ์พ่นลมหายใจออกมาอย่างหนักอกหลังจากมอบหมายงานให้บอดี้การ์ดส่วนตัว
หนุ่มฝรั่งตัวใหญ่รับคำสั่งสั้นๆ ก่อนจัดการโทรบอกลูกน้องด้วยภาษาไทยสำเนียงแปร่งๆ ที่ฟังง่ายขึ้นมากเมื่อเทียบกับสามปีก่อนตอนที่เขาเพิ่งเข้ามาทำงานให้พิชญ์
“ระหว่างนี้วริษฐ์ต้องพักรักษาตัวหลายเดือน เจ้านายควรจะมีเลขาฯ ใหม่มาช่วยดูแลงานแทนนะครับ”
“เรื่องนั้นฉันก็คิดอยู่เหมือนกัน แต่ช่างเถอะ ไว้ฉันจะจัดการเรื่องนี้เอง”
พิชญ์พยายามตัดความกังวลออกไป ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เขาผิดเองที่ไว้ใจแค่วริษฐ์คนเดียว ไม่ได้มองใครสำรองไว้เลย พอเกิดเรื่องทำให้ต้องมานั่งเครียดอยู่แบบนี้
แต่ใครกันล่ะที่เก่งและไว้ใจได้เหมือนวริษฐ์
แม็คพยักหน้าก่อนที่โทรศัพท์ในมือจะสั่นขึ้นมา เขากดรับสายเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของลูกน้อง ตอบไปสองสามคำก็รีบวางแล้วรายงานเหตุการณ์ด้านนอกให้เจ้านายทราบด้วยน้ำเสียงที่เครียดขึ้นเล็กน้อย
“นายครับ คุณแม่ของคุณกำลังจะเข้ามา…”
ผลัวะ!
ไม่ทันพูดจบ ประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดออกพร้อมด้วยสีหน้าเป็นกังวลจนเกือบจะร้องไห้ของพักตร์อุษา หญิงวัยใกล้หกสิบปีที่ยังมีเค้าความสวยชัดเจนเดินรี่เข้ามาถึงตัวชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว
“สอง ลูกปลอดภัยดีหรือเปล่า รู้ไหมว่าพ่อกับแม่เป็นห่วงมากแค่ไหนตอนเห็นข่าวว่ารถของลูกประสบอุบัติเหตุ โชคดีจริงๆ ที่ลูกแม่ไม่ได้อยู่ในนั้น ไม่เอาแล้วนะ แม่ไม่ให้สองเดินทางไปต่างจังหวัดไกลๆ ตอนกลางคืนอีกแล้ว แม่หัวใจจะวาย”
พักตร์อุษาลูบใบหน้าหล่อเหลาของลูกชายเพื่อให้มั่นใจว่าเขายังปลอดภัยดีอยู่ ขณะที่ภายในใจยังไม่อาจคลายความวิตกกังวลไปได้เลย
“ผมไม่ได้เป็นอะไรครับแม่” พิชญ์ลุกขึ้นยืนประคองมารดาไปนั่งที่เก้าอี้ ถ้าไม่ตื่นตระหนกก็คงไม่ใช่มารดาเขา ยิ่งถ้าเป็นเรื่องแบบนี้ด้วยแล้ว ไม่ต้องคิดเลยว่ามารดาจะหายจากความเครียดได้ง่ายๆ ผ่านไปเป็นเดือนก็คงหยิบเรื่องนี้เอามาพูดไม่เลิก ลูกน้องของเขาก็ต้องพลอยฟ้าพลอยฝนถูกสวดยับไปด้วย
ครั้งก่อนที่เขาป่วยเพราะโหมงานหนัก วริษฐ์ก็ถูกเรียกไปบ่นเป็นชั่วโมงๆ ถึงความสำคัญของชีวิตเขาจนเลขาฯ หนุ่มเข็ดขยาดไปเป็นปีและไม่กล้าปล่อยให้เขาป่วยหนักอีกเลย ความรักของมารดานั้นเขาพอจะเข้าใจได้ แต่เรื่องความคาดหวังที่มากจนล้นก็สร้างความอึดอัดใจให้เขามากเช่นเดียวกัน
“โชคดีจริงๆ ที่สองไม่ได้นั่งไปกับรถคันนั้นด้วย”
“ไม่มีคำว่าโชคดีกับเรื่องนี้หรอกนะครับแม่ วริษฐ์ยังเจ็บหนักอยู่โรงพยาบาล”
“แต่ชีวิตลูกสำคัญกว่าคนพวกนั้น”
“แม่ครับ” พิชญ์เรียกมารดาด้วยเสียงที่เข้มขึ้น เขาทราบดีว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่ย่อมเห็นชีวิตลูกสำคัญที่สุด แต่เขาไม่ชอบที่ท่านพูดมันออกมาอย่างหน้าตาเฉย
“เอาล่ะๆ แม่ไม่พูดแล้วก็ได้” มือเหี่ยวย่นวางบนบ่าแข็งแกร่งของลูกชาย ยิ่งเห็นว่าพิชญ์โตขึ้นมากเท่าไหร่ หัวใจของคนเป็นแม่ก็ยิ่งโหวงมากเท่านั้น “สองต้องดูแลตัวเองดีๆ นะลูก ถ้าลูกเป็นอะไรไป แม่คง…”
“ผมทราบดีครับว่าผมสำคัญกับทุกคนมากแค่ไหน” เขาพูดโดยไม่มองหน้ามารดา รู้ดีถึงความสำคัญของตัวเองเพราะใครต่อใครก็พูดย้ำอยู่เสมอ
เขาตายไม่ได้เด็ดขาด
พักตร์อุษาเลิกเซ้าซี้บุตรชายเพราะทราบดีว่ายิ่งพูดก็ยิ่งเป็นการกวนน้ำให้ขุ่น พิชญ์ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวายกวนใจ เหมือนกับพฤกษ์ผู้เป็นพี่ชายและพุฒน้องชายคนเล็กนั่นแหละ
มีลูกชายสามคน…เหมือนกันแบบที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นพี่น้องคลานตามกันมา
ดังนั้นในเมื่อบ่นกับลูกชายไม่ได้ก็ต้องจัดการกับลูกน้องนั่นแหละ
“ต่อไปนี้พวกเธอต้องดูแลลูกชายฉันให้ดีๆ ชีวิตของเขาสำคัญที่สุด จำเอาไว้ เพราะถ้าเขาเป็นอะไรไปพวกเธอก็รู้ไว้เลยว่าจากนี้จะไม่ได้อยู่อย่างสบายแน่” พักตร์อุษาบอกกับแม็คด้วยน้ำเสียงวางอำนาจ
รายหลังแม้จะตัวใหญ่กว่าแต่รู้ฤทธิ์เดชของหญิงสูงวัยผู้นี้ดี ชายหนุ่มจึงได้แต่น้อมรับด้วยใบหน้าที่ถอดสีไปกว่าครึ่ง
พิชญ์ข่มใจยอมให้มารดาใช้อำนาจกับคนของเขาต่อไปอย่างอดทน เพราะหากไม่เช่นนั้นแล้วเรื่องวันนี้คงไม่จบลงง่ายๆ ถึงอย่างไรคนของเขาก็ทราบดีว่าควรปฏิบัติกับมาดามพักตร์อุษาอย่างไรยามเมื่อเธอโมโหฉุนเฉียว
เงียบและเงียบเป็นดีที่สุด
ข่าวเรื่องเลขาฯ คนสนิทประสบอุบัติเหตุพร้อมคนขับรถส่วนตัวเป็นที่ทราบกันดีในบริษัท ทุกคนกล่าวขวัญถึงความเป็นแมวเก้าชีวิตของพิชญ์ เพราะจริงๆ แล้วเขาต้องเดินทางไปด้วยตัวเองในครั้งนี้ แต่กลับมีงานอย่างอื่นเข้ามาแทรกจนต้องเปลี่ยนแผน
พัฒน์นรีถึงกับอธิษฐานขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยให้สุดสวาทขาดใจของเธอรอดปลอยภัยจากภยันอันตราย ถึงขนาดชวนทุกคนไปถวายสังฆทานให้เจ้ากรรมนายเวรของเขา แต่มิวายถูกแขวะว่า ‘เว่อร์’ อีกตามเคย
หลังจากวันนั้นพัฒน์นรีก็ไม่ได้พบพิชญ์โดยบังเอิญอีกเลย คำถามที่ว่าเขาพักที่นั่นจริงหรือไม่จึงยังคงเป็นเรื่องคาใจมาถึงตอนนี้
เธอย้ายเข้าอยู่คอนโดฯ ใหม่ได้ราวหนึ่งสัปดาห์แล้ว ความเป็นอยู่ดีขึ้นเพราะใกล้สถานีรถไฟฟ้า หาของกินก็สะดวกสบาย ใกล้ห้างสรรพสินค้าและโรงพยาบาล ซึ่งอย่างหลังนั้นบิดาของเธอย้ำนักย้ำหนาว่าต้องมีเผื่อเจ็บป่วยเป็นอะไรขึ้นมาจะได้ไปหาหมอทันท่วงที
‘เป็นผู้หญิงตัวคนเดียวไม่มีใครดูแล หาที่พักให้มันใกล้โรงพยายาบาลจะได้หาหยูกยารักษาได้ง่าย เข้าใจมั้ยลูก’
พัฒน์นรีจำคำพูดที่สหรัฐพูดกรอกหูทุกวันได้ขึ้นใจ เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของแม่แต่ไม่ใช่ลูกสาวคนเดียวของพ่อ หลังจากแม่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตอนอายุสิบเอ็ดขวบ พ่อก็แต่งงานใหม่ มีลูกหนึ่งคนเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ความสัมพันธ์กับแม่เลี้ยงและน้องต่างมารดาไม่ได้หวือหวาแนบแน่นแต่ก็เป็นไปได้ด้วยดี และเธอยังคงได้รับความอบอุ่นจากบิดาเพราะสหรัฐยังแสดงความเป็นห่วงเป็นใยเธอในฐานะลูกอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เห็นได้จากแค่การย้ายที่พักใหม่ก็ทำให้ผู้เป็นพ่อห่วงจนเธอแทบจะรายงานสถานการณ์สดให้ฟังทุกวันว่ายังปลอดภัยดี
อันที่จริงเรียกว่าปลอดภัยมากกว่าที่พักเก่าหลายเท่าถึงจะถูก แม้จะแพงหูฉี่แต่เธอก็ได้ส่วนลดตั้งสองแสนพร้อมกับความสะดวกสบายครบครัน มากไปกว่านั้นเธอยังมีโอกาสที่จะได้ร่วมชายคากับผู้ชายในฝันตัวเป็นๆ
ถึงแม้ว่ากระทั่งตอนนี้เธอยังไม่แน่ใจว่าพิชญ์พักที่นั่นจริงๆ หรือเปล่าก็เถอะ
“เราจะไปฉลองขึ้นบ้านใหม่ของแก้มกันวันไหนดีนะ” นลินรัตน์พูดขึ้150
นมาลอยๆ ในช่วงพักกลางวัน
พัฒน์นรีหมุนเก้าอี้หันมาทางกลุ่มเพื่อนร่วมงานที่กำลังใช้ไม้เสียบลูกชิ้นจิ้มผลไม้เข้าปากคนละคำสองคำ
“ศุกร์นี้ดีไหม เหล้าจากงานเลี้ยงบริษัทครั้งที่แล้วยังเหลือ” พัฒน์นรีเสนอด้วยดวงตาเป็นประกาย เหมยลี่รีบวางไม้จิ้มลูกชิ้นแล้วเดินปรี่เข้าไปหา
“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าแกจะงกถึงขนาดเอาเหล้างานเลี้ยงบริษัทกลับบ้าน จิตใจแกทำด้วยอะไรฮะ ถึงกล้าทรยศท่านรองฯ สุดที่รักของแกได้ลงคอ”
“ชู่ ไอ้บ้าลี่ พูดเสียงดังขนาดนี้ อยากให้ฉันโดนแหกอกหรือไงฮะ ทั้งบริษัทไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวที่แอบคลั่งท่านรองฯ นะ” พัฒน์นรีอยากจะยัดผลไม้ปิดปากเพื่อนไปทั้งถุง
การวิวาทกันเล็กๆ นั้นส่งผลให้คนอื่นๆ ในแผนกหันมามองเป็นตาเดียว หัวหน้าจิรวัฒน์ถึงกับทำหน้าดุอีกด้วย แต่เพื่อนรักทั้งสองคนเป็นจุดสนใจอยู่ได้ไม่นาน เพราะอยู่ๆ บรรดาบอดี้การ์ดส่วนตัวของท่านรองประธานก็วิ่งผ่านหน้าห้องแผนกไปอย่างร้อนรน
ห้องกระจกใสซึ่งถูกออกแบบให้มองเห็นจากทั้งข้างนอกและข้างในทำให้พนักงานแผนกพัฒนาธุรกิจเห็นถึงเหตุการณ์อันผิดปกติอย่างชัดเจน และยังไม่ทันที่จะมีใครพูดอะไร กลุ่มชายเหล่านั้นก็กลับออกมาโดยมีร่างสูงที่เปล่งประกายออร่าแม้จะมีสีหน้าเคร่งเครียดเดินนำ
พัฒน์นรีเผลอมองเสี้ยวใบหน้าหล่อเหลาโดยไม่ได้ตั้งใจ จริงๆ แล้วมันคืออาการปกติของเธอยามเมื่อได้พบกับเขา เพราะแรงดึงดูดบางอย่างที่มองไม่เห็นดึงความสนใจของเธอให้หยุดอยู่ที่เขาอย่างทันทีทันใด ราวกับว่าร่างกายของเขาเป็นแม่เหล็กต่างขั้วกับตัวเธอ
ไม่ใช่สิ! ถ้าเป็นแม่เหล็กคนละขั้วจริงๆ ต่างคนต่างก็ต้องดึงดูดกันและกันสิ นี่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอยืนอยู่ตรงนี้ ไม่รู้แม้กระทั่งว่ายังมีเธอคนนี้อยู่บนโลกใบเดียวกับเขาอีกคน
“แก้ม”
เสียงเรียกแบบกระชากดึงสติสัมปชัญญะของเธอให้กลับมา หญิงสาวหันไปมองคนเรียกโดยอัตโนมัติก็เห็นว่าสีหน้าของเหมยลี่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก พัฒน์นรีสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้น เธอหันกลับไปมองทิศทางเดิมก็เห็นว่าพิชญ์ยืนหยุดอยู่ที่หน้าประตู ด้านหลังของเขาคือกลุ่มบอดี้การ์ดที่หน้าตาเคร่งขรึมพอกัน
ลมหายใจขาดห้วงไปทันทีทันใดเมื่อรับรู้ว่าสายตาของเขามองจ้องมาที่เธอ
พัฒน์นรีทำอะไรไม่ถูกจึงรีบประสานมือกันอย่างสุภาพแล้วก้มหน้าลง ตายล่ะ เธอเผลอมองหน้าเขาจนเขารู้ตัวหรือเปล่า บางทีเขาอาจไม่พอใจ
“คุณจิรวัฒน์”
เขาเรียกหัวหน้าเธอ แต่กลับจ้องหน้าเธอด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา
“ครับ”
“ปัญหาเรื่องเปิดตัวห้างสาขาใหม่ที่ภูเก็ต ผมต้องการให้คุณกับทีมช่วยกันจัดการให้เรียบร้อยก่อนวันพรุ่งนี้ ส่วนที่นัดประชุมบ่ายนี้คงต้องยกเลิกไปก่อน”
“ทราบครับท่านรองฯ ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราจะทำให้ดีที่สุดครับ” หัวหน้าแผนกพัฒนาธุรกิจรับปากอย่างแข็งขัน
หัวข้อสนทนาเพียงไม่กี่ประโยคของคนทั้งคู่ แต่คนในแผนกต่างเข้าใจเป็นอย่างดี เป็นที่ทราบกันดีว่าบริษัทกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับการเปิดตัวศูนย์การค้าสาขาใหม่ในจังหวัดภาคใต้ เพราะปัญหานี้เองที่ทำให้วริษฐ์กับคนขับรถประสบอุบัติเหตุจากการรีบรุดไปดูงาน
พิชญ์พูดอีกไม่กี่ประโยค ทุกคนจึงกล่าวคำสวัสดีเป็นการปิดบทสนทนา แต่ร่างสูงกลับยังไม่ยอมออกไป ขณะที่พัฒน์นรีกลั้นหายใจจนแทบจะหมดลมอยู่แล้วด้วยความเกร็ง
“คุณ”
เสียงเข้มดังขึ้น พัฒน์นรีเพียงแค่เหลือบตามอง เพราะไม่แน่ใจว่าพิชญ์กำลังพูดอยู่กับใคร
“คุณนั่นแหละ”
พอสิ้นสุดประโยคนั้นวัวสันหลังหวะก็เงยหน้าขึ้นทันที ราวกับว่าพิชญ์ใช้สายตาและน้ำเสียงสะกิดให้เธอรู้ตัวว่าคนที่เขาต้องการจะพูดด้วยคือเธอ
“คะ?”
พิชญ์เดินเข้ามาหยุดตรงหน้าพนักงานสาวที่ดูประหม่าเอามากๆ นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเป็นปฏิกิริยาที่เขาออกจะชาชิน ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทุกคนถึงได้ทำเหมือนกับว่าเขาเป็นยักษ์เป็นมาร
“นี่ของคุณหรือเปล่า”
ชายหนุ่มหยิบของบางอย่างในกระเป๋าเสื้อสูทยื่นให้เธอ พัฒน์นรีมองของในมือพิชญ์ด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด เพราะมันคือลิปสติกราคาสองพันกว่าบาทที่เธอเพิ่งตัดใจซื้อไปเมื่อต้นเดือน มันคงร่วงหล่นพร้อมกับข้าวของสารพัดของเธอที่หน้าลิฟต์เมื่อวันที่เจอเขา
เธอไม่ตกใจที่ลิปสติกของเธอไปอยู่กับเขา แต่ตกใจที่พิชญ์เก็บมาคืนเธอ แสดงว่าเขาจำเธอได้ตั้งแต่แรก
…อย่างนั้นหรือ
เธอช็อกจนพูดไม่ออก
“ใช่หรือเปล่า” เขาถามย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเธอไม่ตอบ มัวแต่อึ้ง
“ชะ…ชะ…ใช่ค่ะท่านรองฯ”
“ผมเก็บได้ตั้งแต่วันนั้น แต่ลืมไว้ที่รถหลายวันเลยไม่ได้คืนสักที เอาคืนไปสิ”
พัฒน์นรีกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ก่อนยื่นมืออันสั่นเทาไปรับของจากเขา “ขอบคุณค่ะ”
“ถ้าจะให้ดี เจอผมข้างนอกช่วยทักทายบ้างก็ได้นะ ทำเป็นไม่รู้จักกันน่ะ มันเสียมารยาท”
พัฒน์นรีเบิกตากว้าง ไม่คิดว่าเขาจะพูดออกมาตรงๆ แบบนี้ หญิงสาวรับรู้ได้ว่าหน้าเธอชาดิกไปทั้งแถบ และไม่แน่ใจด้วยว่าจะแสดงสีหน้าออกไปอย่างไรดี
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่คิดว่าท่านจะจำได้” เธอก้มศีรษะอย่างขอลุแก่โทษ เพราะหากว่าเขาจำเธอได้ การทำเป็นเหมือนไม่รู้จักกันที่เธอทำวันนั้นก็เสียมารยาทจริงๆ
“คุณทำงานที่นี่มาสองปีแล้ว ในขณะที่ผมก็เดินผ่านห้องนี้ทุกวัน ถ้าจำไม่ได้สิ…ถึงจะเรียกว่าแปลก ผมดูเหมือนคนความจำเลอะเลือนขนาดนั้นเลยหรือไง”
“เปล่านะคะ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
“แล้วถึงผมจะจำคุณไม่ได้ แต่คุณต้องจำผมได้แน่อยู่แล้วใช่มั้ย”
“ขอโทษค่ะ” เธอยกมือไหว้แล้วบอกขอโทษเสียงอ่อย “คือว่า…”
พิชญ์รีบโบกมือปัดไม่ให้เธอพูดต่อ พัฒน์นรีแทบจะกัดลิ้นตัวเองตายไปตรงนั้นเพราะรู้แน่แก่ใจว่าเธอได้กลายเป็นคนไร้มารยาทในสายตาผู้ชายที่เธอชื่นชอบไปเป็นที่เรียบร้อย
“คุณจิรวัฒน์ ฝากเรื่องที่บอกด้วยนะ” พิชญ์เลิกสนใจพนักงานไร้มารยาทแล้วหันไปคุยกับจิรวัฒน์ พูดกันอีกสองสามประโยคเขาก็รีบเดินออกไปพร้อมลูกน้องผู้ติดตาม
พัฒน์นรีพูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ เธอเผลอกลั้นลมหายใจโดยไม่รู้ตัวจนเกือบจะหมดลมหากว่าพิชญ์ไม่เดินออกไปจากตรงนั้นเสียก่อน ขณะที่ทุกสายตาในแผนกมองมาด้วยความสงสัยใคร่รู้
ใครจะสน ตอนนี้เธอช้ำใจจะตายอยู่แล้ว ป่านนี้พิชญ์จะมองเธอเป็นคนยังไง
(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 21 มีนาคม)
Comments
comments