บทที่ 5
ระยะ (ต้อง) ห่าง
ก่อนหน้านี้พัฒน์นรีคิดว่าพิชญ์เป็นมนุษย์ที่เกิดคนละดวงดาวกับเธอ หรือไม่ก็เป็นอะไรที่ไกลจากตัวเธอมากๆ จนเหมือนอยู่กันคนละฟากฟ้า แต่การได้เป็นเลขาฯ ของเขาแบบงงๆ มาหนึ่งสัปดาห์ก็ทำให้เธอได้เห็นว่าพิชญ์เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
ใช่! มนุษย์ธรรมดาแต่อาจจะเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปนิดหน่อย
พิชญ์ทำงานเก่ง เป็นผู้บริหารหนุ่มไฟแรงที่กรรมการบริษัททุกคนให้การยอมรับและยำเกรง สังเกตได้จากเวลาประชุมฝ่ายบริหารพิชญ์จะเป็นคนเดียวที่ดูผ่อนคลายในขณะที่คนอื่นนั่งตัวเกร็งไม่กระดิกแม้แต่นิดเดียว เท่าที่เห็นไม่มีใครแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์หรือดูแคลนเลยแม้ว่าพิชญ์จะอายุยังน้อยถ้าเทียบกับตำแหน่งงานของเขา
ถึงคนอื่นจะมองว่าพิชญ์ต้องได้ตำแหน่งรองประธานบริษัทอยู่แล้วเพราะเป็นทายาท แต่คนใกล้ตัวต่างรู้ดีว่าต่อให้เป็นทายาทก็ไม่อาจก้าวหน้าได้เร็วขนาดนี้ นั่นเพราะว่าเขาเก่งอย่างที่บอก ไม่ว่าปัญหาอะไรก็สามารถจัดการได้ง่ายๆ อย่างที่คนทั่วไปอาจจะต้องคิดแล้วคิดอีกจนหัวหมุน นั่นแหละคือสิ่งที่เขาดูเหนือกว่าคนอื่น
นอกจากนั้นพิชญ์ก็มีวิถีชีวิตเหมือนคนทั่วไป เขาดื่มกาแฟดำวันละสองแก้วคือเช้ากับเที่ยง อาหารกลางวันมักจะถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดหากว่ามีงานอื่นมาแทรก บางครั้งก็ลากยาวไปรวบเอามื้อเย็นทีเดียวเพราะโดยมากในหนึ่งสัปดาห์เขามีนัดรับประทานมื้อเย็นกับลูกค้าเป็นประจำ เว้นวันพุธและศุกร์ที่เขาแจ้งไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ขอรับนัดใครเพราะมีกิจกรรมกับกลุ่มเพื่อน
เธอสงสัยเหมือนกันว่ากิจกรรมที่ว่าคืออะไร แล้วเพื่อนของเขาเป็นคนประเภทไหน เดาไม่ถูกเลยจริงๆ
“เมื่อเช้าคุณรจเรขเสนอโครงการค่ะ”
“คุณอ่านหรือยัง”
“อ่านแล้วค่ะ”
คำตอบอย่างมั่นอกมั่นใจนั้นทำให้พิชญ์ชะงัก เขาเลื่อนสายตาจากแฟ้มเอกสารเสนอเซ็นขึ้นมามองคนพูด ใบหน้าอ่อนเยาว์ยิ้มละไม เขาเคยคิดว่าวริษฐ์คือเลขาฯ ที่ดีที่สุดของเขาอย่างที่ใครก็ไม่สามารถแทนได้ แต่จากการทำงานร่วมกับพัฒน์นรีมาหนึ่งสัปดาห์นั้นเปลี่ยนความคิดของเขาเรื่องนี้ไปไม่น้อย
“ฝ่ายประชาสัมพันธ์เสนอให้มีการจัดประกวดร้องเพลง เต้นคัฟเวอร์เหมือนทุกปีค่ะ แต่เพิ่มกิจกรรมแสดงความสามารถพิเศษ เริ่มออดิชั่นก่อนวันงานสองสัปดาห์ ศิลปินที่มาเปิดงานคือมาร์ค ธิติวัฒน์” พัฒน์นรียิ้มออกมา ดวงตาแวววาวเมื่อกล่าวถึงศิลปินหนุ่มที่กำลังมีกระแสดีมากในช่วงนี้
“ดาราใหม่เหรอ” พิชญ์เหลือบมองสีหน้าของเลขาฯ ที่ดูจะปลื้มปริ่มดาราหนุ่มอย่างออกนอกหน้า
“เป็นพระเอกละครตอนเย็นน่ะค่ะ ดังมากเลยนะคะ เด็กน่าจะชอบ”
“ไม่ใช่แค่เด็กมั้ง…ที่ชอบ” พิชญ์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยไม่จริงจังเท่าใดนัก แต่นั่นทำให้คนฟังถึงกับนิ่วหน้าด้วยความไม่เข้าใจ
“ท่านรองฯ หมายความว่ายังไงคะ”
“ก็ไม่ใช่แค่เด็กที่ชอบดาราคนนี้ แต่คงจะเป็นผู้ใหญ่บางคนแถวนี้ด้วย”
รอยย่นบนหัวคิ้วของพัฒน์นรีขยับเข้าหากันอีกนิด ก่อนจะคลายออกเมื่อเข้าใจสิ่งที่เจ้านายบอกแบบอ้อมๆ
“อ้อ! นี่ท่านรองฯ กำลังเหน็บฉันใช่มั้ยคะเนี่ย” เธอหรี่ตามองเขา ไม่อยากเชื่อว่าชายหนุ่มจะมีมุมแบบนี้เหมือนกัน
พิชญ์ยังคงพิจารณาใบหน้าหล่อเหลาของนักแสดงหนุ่มที่แนบมาในเอกสารโครงการ “ระหว่างผมกับหมอนี่…คุณคิดว่าใครหล่อกว่ากัน”
“ท่านรองฯ หล่อกว่าอยู่แล้วค่ะ” พัฒน์นรีตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด แววตาเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ แต่ขณะที่กำลังเปรียบเทียบความหล่อของดาราหนุ่มกับพิชญ์อยู่นั้น รู้ตัวอีกทีก็เห็นดวงตาคมของคนตรงหน้ามองมาที่เธอไม่กะพริบ สีหน้ามั่นอกมั่นใจของหญิงสาวเจื่อนลงจนแทบจืดสนิท “คือว่า…ฉันหมายถึง…”
พิชญ์เองก็กระอักกระอ่วนไม่แพ้กัน โดยปกติเขาไม่ค่อยอินกับคำชมสักเท่าไหร่ ด้วยเพราะถูกฉาบคำพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่คำชมจากหญิงสาวให้ความรู้สึกแปลกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
อยู่ๆ หน้าเขาก็เห่อร้อนขึ้นมา
“อืม มันแน่อยู่แล้ว”
“ค่ะ” พัฒน์นรีแอบพ่นลมหายใจออกมา นึกโมโหตัวเองที่พูดออกไปแบบนั้น เธอรู้ว่าพิชญ์แค่ถามโดยไม่ได้ต้องการคำตอบอะไร แต่การที่เธอตอบว่าเขาหล่อกว่าพระเอกละครแบบไม่ต้องคิดนั้น คนฉลาดๆ ก็ต้องมองออกว่าเธอ…คิดอะไรเกินเลย
ไม่มั้ง เขาคงไม่รู้หรอก
พิชญ์ชวนวกกลับมาคุยเรื่องงานอีกครั้ง พัฒน์นรีค่อยโล่งใจ ต่อไปเธอคงต้องระวังกิริยาวาจาให้มาก เพราะถ้าหากเรื่องที่เธอเป็นเอฟซีเขาถูกจับได้ ไม่รู้เลยว่าเธอจะมองหน้าเขาต่อไปได้อย่างไร
“วันนี้ผมมีนัดใช่มั้ย”
พิชญ์ถามหลังจากคุยงานเรื่องอื่นๆ เรียบร้อยแล้ว พัฒน์นรีไม่ต้องเปิดบันทึกดูก็จำได้แม่นยำว่าเขามีนัดที่ไหน เวลาใด กับใครในแต่ละวันจึงสามารถรายงานได้อย่างคล่องแคล่ว
“คุณฉัตรปกรณ์ เวลาหนึ่งทุ่มตรงที่ซิกซ์คอร์เนอร์ค่ะ”
พิชญ์คิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า ศูนย์การค้าของเขายังมีโครงการขยายสาขาออกไปในจังหวัดที่เป็นเมืองเศรษฐกิจอีกหลายจังหวัด ฉัตรปกรณ์เป็นฝ่ายประสานงานของบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ครั้งนี้คงหวังกรุยทางเพื่อให้วันเปิดซองประมูลเป็นไปอย่างราบรื่น
“เอาล่ะ ไม่มีอะไรแล้ว ไปทำงานของคุณเถอะ”
พัฒน์นรีค้อมศีรษะให้อย่างนอบน้อม แต่บางอย่างที่ติดอยู่ในใจเธอมาหลายวันทำให้เธอลังเลที่จะหันหลังกลับออกไป
“มีอะไรอีกเหรอ”
“คือว่า…”
พิชญ์รอให้อีกฝ่ายพูดพลางเปิดเอกสารแล้วจรดปากกาลงในตำแหน่งที่อยู่เหนือชื่อของตัวเองไปด้วย
“ท่านรองฯ จะให้ฉันไปด้วยมั้ยคะ”
คำถามนั้นทำให้รองประธานหนุ่มเงยหน้าขึ้น ชายหนุ่มวางปากกาแล้วมองเลขาฯ สาวอย่างไม่เข้าใจ ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าเธอต้องการจะบอกอะไร
“ไปไหน”
“ก็ตามท่านไปคุยงานวันนี้ด้วยไงคะ”
วูบหนึ่งที่ความไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหล่อเหลา แต่เขาก็ตีหน้าขรึมได้ในวินาทีต่อมา
“ไม่เป็นไร ผมคิดว่าผมไปเองดีกว่า”
“แต่ว่าในฐานะเลขาฯ ฉันต้องตามท่านรองฯ ไปทุกที่ไม่ใช่หรือคะ ฉันคิดว่าในเมื่อได้ก้าวขึ้นมาทำงานในตำแหน่งนี้แล้วก็อยากจะทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ที่สุด เอาเป็นว่าเย็นนี้ฉันยินดีจะติดตามท่านไปเพื่อความสะดวกของท่านนะคะ”
“คุณพัฒน์นรี” เสียงเข้มหยุดทุกคำพูดของเธอได้ในทันที พัฒน์นรีใจกระตูกวูบเมื่อแววตาจากดวงตาคมฉายชัดมาที่เธอ “ผมยอมรับนะว่าคุณทำงานเลขาฯ ได้ดีกว่าที่ผมคิดเอาไว้มาก แต่สิ่งที่คุณควรเรียนรู้ไว้อีกข้อ…คือผมไม่ชอบพูดซ้ำ”
การตำหนิอย่างตรงไปตรงมานั้นทำให้พัฒน์นรีพูดไม่ออก เธอเม้มปากเพื่อระงับอารมณ์ทั้งหมดทั้งมวลที่กดดันอยู่ภายใน มันเป็นความรู้สึกคล้ายถูกผู้ใหญ่ตำหนิยามเมื่อพูดอะไรไม่เข้าท่าและต้องหุบไปเลยเดี๋ยวนั้น
“ค่ะ”
“แล้วอีกข้อที่ผมคงต้องบอกให้คุณเข้าใจ” พิชญ์คิดว่าพูดแล้วก็ต้องพูดให้จบ พัฒน์นรีทำงานดี เขาไม่อยากปล่อยให้เธอทำอะไรที่อาจจะทำให้เขาต้องเลิกจ้างเธอเหมือนกับที่เคยเลิกจ้างปรัญดา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่เกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นซ้ำรอย อย่างน้อย…ก็กันไว้ดีกว่าแก้ “ผมไม่อยากให้คุณคิดอะไรเกินเลย…มากไปกว่าเรื่องงาน”
ดวงตากลมที่หลุบต่ำลงในคราแรกตวัดมองคนพูด เธอฉลาดพอที่จะเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะบอกในทันที หรือไม่ก็เป็นเพราะเธอมีชะนักติดหลังอยู่แล้วเป็นทุนเดิม
จริงอยู่ว่าเธอไม่ได้มองพิชญ์เป็นเพียงเจ้านายคนหนึ่ง แต่ชื่นชอบเขาเป็นการส่วนตัวเพราะความหล่อมีเสน่ห์เกินห้ามใจ แต่เธอก็รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ไม่เคยคิดหวังอะไรลมๆ แล้งๆ อย่างที่เขากล่าวหาเลยสักนิด
“ฉันเข้าใจค่ะ แต่ขออธิบายเจตนาให้ท่านทราบก่อนที่จะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้นะคะ” เป็นธรรมดาที่ความโกรธมักจะนำมาซึ่งความกล้าอย่างไม่เคยมีมาก่อน อยู่ๆ เธอก็ไม่เห็นว่าเขาเป็นเจ้านายหนุ่มผู้น่าเกรงขามอีกต่อไป “ที่ฉันถามไปแบบนั้นเพราะเห็นว่าคุณวริษฐ์ทำหน้าที่นี้เมื่อท่านต้องออกไปติดต่องานข้างนอก ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะท่านเห็นว่าฉันยังใหม่หรือเพราะว่าฉันเป็นผู้หญิงเลยมองว่าเชื่องช้าเกะกะเป็นภาระ ท่านจึงไม่เรียกใช้ในเรื่องนี้ ฉันก็แค่อยากแสดงให้ท่านเห็นว่าฉันสามารถทำหน้าที่เลขาฯ ได้ทุกอย่างเหมือนที่คุณวริษฐ์เคยทำ มันอาจจะไม่ได้ดีเท่า แต่ก็จะพยายาม เพราะไม่อยากรู้สึกว่าทำงานไม่คุ้มเงินเดือน ถ้าหากมันกลายเป็นว่าทำให้ท่านไม่พอใจก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ”
พัฒน์นรีโค้งศีรษะให้เขา ถึงแม้จะอยากสะบัดหน้าหนีออกจากห้อง แต่เพราะคำว่าเจ้านายกับลูกจ้างค้ำคออยู่ เธอจึงรอแค่ว่าเขาจะพูดอะไรอีก แต่ทุกอย่างกลับมีแต่ความเงียบงัน
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ขอตัวนะคะ” พัฒน์นรีเดินออกจากห้องไปโดยไม่มองหน้าพิชญ์อีก
คนอะไร มองโลกในแง่ลบ ไม่เคยเห็นใครดีเลย
ได้! ไม่อยากให้ติดสอยห้อยตามไปเหมือนเลขาฯ คู่ใจก็ดี เราจะได้สบาย เอาเวลาไปเดินเล่นใช้เงินให้สะใจไปเลย
“ที่มานั่งทำหน้าบูดแบบนี้เพราะเสียใจที่ท่านรองฯ ไม่หิ้วแกไปไหนมาไหนด้วยอย่างที่หวังไว้ใช่มั้ย”
เหมยลี่ใช้ตะเกียบชี้หน้าเพื่อนสาวที่เพิ่งบ่นเจ้านายให้ฟังพร้อมกับคำสรรเสริญเป็นชุด
“ผิดหวังบ้าอะไรล่ะฮะ ฉันโกรธจนควันแทบจะออกหูอยู่แล้ว อุตส่าห์ปลื้มมาเป็นปีๆ นี่แหละนะคนเรา ยิ่งใกล้ก็ยิ่งเห็นธาตุแท้ ฉันไม่ชอบเขาแล้ว พอ เลิก”
“โอ้โห! แม่นาง ตัดพ้อเขาได้นะ เขาเป็นเจ้านายนะยะ แล้วแกเองก็เป็นพนักงานธรรมดาที่ฟลุกได้เป็นเลขาฯ ไม่รู้จะได้เป็นสักกี่เดือน เดี๋ยวคนของเขากลับมา แกก็ต้องระเห็จออกมาเป็นคนอื่นคนไกลเหมือนเดิม อย่าให้มันมากไป”
พัฒน์นรีทำหน้าคว่ำ ถึงเธอจะชอบพิชญ์มาก แต่ก็เป็นการชอบแบบแฟนคลับหลงรักดารา ไม่ได้ชอบที่ตัวตนของเขาหรือหวังอะไรมากไปกว่านั้น พอถูกเขามองในแง่ร้ายมันก็อดที่จะโกรธไม่ได้จริงๆ
“ฉันรู้น่า ไม่ต้องมาพูดตอกย้ำความต่ำต้อยของฉันได้มั้ย” จากที่โกรธแค่เจ้านายก็แทบจะพานโกรธเพื่อนอีกคน
แต่พอเริ่มมีสติคิดตามที่เพื่อนพูด เธอคิดว่าก็มีส่วนจริง เธอจะโกรธพิชญ์เป็นฟืนเป็นไฟด้วยเรื่องแค่นี้ไม่ถูก แม้แต่ที่แสดงกิริยาออกไปต่อหน้าเขาแบบนั้นก็ด้วย เขาเป็นเจ้านาย เป็นคนจ่ายเงินเดือนให้เธอ เธอไม่มีสิทธิ์พูดประชดประชันหรือใช้อารมณ์อย่างที่แสดงออกไปวันนี้ เขาไม่ไล่เธอออกจากบริษัทก็ดีตั้งเท่าไหร่
แล้วอะไรกันที่ทำให้เธอกล้าหาญปานนั้น ถ้าไม่ได้เกิดจากความรู้สึกส่วนตัว เพราะหากว่าคนที่พูดกับเธอวันนี้ไม่ใช่พิชญ์แต่เป็นเจ้านายคนอื่น เธอก็คงไม่มีความรู้สึกถึงเพียงนี้
“ฉันผิดเองแหละ” พัฒน์นรียอมรับออกมาง่ายๆ ในที่สุด ควันของเนื้อย่างลอยขึ้นมาปะทะจมูกจนเธออดใจหยิบใส่ปากไม่ได้ทั้งๆ ที่เครียดมากอยู่แท้ๆ
เหมยลี่มองหน้าเพื่อนแล้วได้แต่กลอกตาไปมา
“จากที่แกเล่าให้ฉันฟัง ฉันอดคิดไม่ได้เลยว่าแกรอดออกมานั่งเล่าเรื่องทั้งหมดได้ยังไง ระวังไว้เถอะ วันจันทร์อาจมีซองขาววางอยู่ที่โต๊ะนะจ๊ะ”
“บ้าสิ ปากอัปมงคลนะไอ้ลี่” พัฒน์นรีแทบแหกอกเพื่อน “คอนโดฯ ฉันต้องผ่อนอีกสามสิบปีนะ ฉันจะถูกไล่ออกไม่ได้เด็ดขาด”
“รู้แบบนี้ก็หัดเจียมตัวเสียบ้าง หรือไม่ มื้อนี้ให้ฉันเลี้ยงแก”
“เกี่ยวอะไรด้วย ทำไมต้องเลี้ยง”
“ก็เลี้ยงส่งแกไง”
“ไอ้บ้า”
เหมยลี่หัวเราะออกมาเมื่อเห็นอาการตาถลนของเพื่อน คำว่าถูกไล่ออกเป็นคำหยาบที่สุดในพจนานุกรมของพัฒน์นรี
“แต่แปลกนะ ฉันคิดว่าแกอยู่ใกล้เขา อาการหลงรูปที่เป็นอยู่จะหนักขึ้นเสียอีก”
“ไอ้เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกมันก็น่าหลงอยู่หรอก แต่เย็นชาเป็นน้ำแข็งขั้วโลกขนาดนั้น ฉันขอถอยกลับไปอยู่ในจุดเดิมดีกว่า”
“เอาน่า ตำแหน่งที่แกทำใครๆ ก็อยากเป็นทั้งนั้นแหละ เงินเดือนดี ทำงานใกล้หูใกล้ตาเจ้านาย โอกาสก้าวหน้าก็มีสูง”เหมยลี่ให้กำลังใจ แต่ถ้าให้เธอไปเป็นเลขาฯ ของพิชญ์คงต้องขอบายดีกว่า กลัวจะหัวระเบิดตายก่อนได้ใช้เงินเดือน
“เฮ้อ! พูดแล้วก็อยากตบปากตัวเอง ทำไมฉันต้องบ้าบอไปงัดข้อกับเขาแบบนั้นด้วยนะ งานดีๆ สมัยนี้หายากจะตายชัก เกิดซวยโดนไล่ออกขึ้นมาทำไง โอ๊ย! ทุกขลาภจริงๆ ได้เป็นเลขาฯ เขาทั้งที แต่ทำอะไรผิดนิดพานซวยจะถูกไล่ออก” พัฒน์นรีอยากจะตบปากพล่อยๆ ของตัวเองนัก “ถ้าฉันรอดใบเชิญออกครั้งนี้ไปได้ ฉันสาบานเลยว่าจะสงบปากสงบคำ ท่านรองฯ จะด่าจะว่าอะไร ฉันจะพูดแต่คำว่า ‘ค่ะ’ อย่างเดียวเลย”
“ใช่! ทำงานไม่ต้องคิดเอาหน้า แต่เลียตั้งแต่หน้าประตูบริษัทเข้าไปเลย ด่าอะไรมาตอบไปแค่ว่า ‘แจ๋วครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน’ ”
พัฒน์นรีตวัดสายตามองเพื่อน คิดตามแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ “แบบนี้มันยิ่งกว่าเอาหน้าอีกไม่ใช่เหรอ”
“แหม…พูดก็พูดเถอะ ปากท้องสำคัญกว่าศักดิ์ศรีนี่ยะ” เหมยลี่ใช้มือสะบัดผมหยักศกของตัวเองไปด้านหลังแล้วเก๊กหน้าสวย “เพื่อโบนัสแล้ว ฉันพร้อมจะทำทุกอย่าง”
“จ้า เพื่อนรัก สอนฉันได้ดีมาก” พัฒน์นรีปล่อยลมหายใจออกมา การได้พูดคุยกับเพื่อนช่วยปลดปล่อยความเครียดของเธอให้ทุเลาลงได้ “แต่ลับหลังขอบ่นหน่อยเถอะ ผู้ชายอะไร ฉันอุตส่าห์หลงรักมาเป็นปีๆ ได้โอกาสมาทำงานเป็นเลขาฯ ก็คิดว่าจะได้เห็นหน้าหล่อๆ นั่นยิ้มสักครั้ง นี่กลับทำหน้ายักษ์ตลอด ขี้บ่นก็ปานนั้น จนฉันอดคิดไม่ได้ว่าเวลาอยู่บนเตียงเขาทำไปบ่นไปหรือเปล่า”
“เซี้ยว!” เหมยลี่ทำตาโต ก่อนที่สองเพื่อนซี้จะหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ จากนั้นบทสนทนาก็เป็นการวิเคราะห์อย่างสัปดน
ความบันเทิงของมนุษย์เงินเดือนก็คือการเม้าท์เพื่อนร่วมงาน แต่ความบันเทิงที่มากกว่านั้นก็คือการนินทาเจ้านายนั่นแหละ
พัฒน์นรีแยกย้ายกับเหมยลี่ตอนสามทุ่มเศษเข้าไปแล้ว เนื่องจากวันพรุ่งนี้เป็นวันหยุด เธอเลยเถลไถลได้มากหน่อย แต่ถึงแม้จะปรับทุกข์กับเพื่อนจนไม่มีอะไรจะปรับแล้ว พัฒน์นรีก็อดรู้สึกไม่ได้ว่ามีบางอย่างติดค้างอยู่ในใจเธอ
“ไม่น่าพูดอะไรออกไปมากมายแบบนั้นเลยจริงๆ แก้มเอ๊ย! ทีนี้จะสู้หน้าท่านรองฯ ได้ยังไง ฉันควรจะยิ้มให้ท่านรองฯ ได้ชื่นใจทุกวัน แต่อยู่ๆ ก็มาดึงดราม่าซะงั้น ผีอะไรเข้าสิงแกวะเนี่ย”
เธอบ่นกับตัวเองเป็นรอบที่ร้อยนับตั้งแต่แยกกับเพื่อนที่ร้านเนื้อย่าง ใบหน้างอง้ำควานหาคีย์การ์ดในกระเป๋าอย่างเซ็งๆ แต่ไม่ทันได้หาของเจอ โทรศัพท์ก็แผดเสียงขึ้นจนเธอตกใจ และยิ่งตกใจหนักมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าคนที่โทรมาเป็นใคร
‘รองประธานพิชญ์’
ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอนั้นทำให้พัฒน์นรีเข่าอ่อน เอาจริงๆ เธอมีเบอร์เขาไว้ในโทรศัพท์แต่ไม่เคยโทรไปและเขาก็ไม่เคยโทรมาเลยสักครั้ง เธอและพิชญ์คุยกันเฉพาะในเวลางานเท่านั้นจริงๆ และถึงแม้ว่าเขามีธุระก็มักจะโทรเข้าเบอร์บริษัทที่ต่อสายตรงมายังโต๊ะเธอในเวลางานเสมอ ไม่เคยโทรหลังห้าโมงเย็นสักครั้งเดียว
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโทรมา
หรือเขาจะโทรมาบอกว่าวันจันทร์นี้เธอไม่ต้องมาทำงานแล้ว
“ไม่น่ะ”
เสียงโทรศัพท์ยังคงแผดร้อง พัฒน์นรีกลั้นใจกดรับแล้วกรอกเสียงสั่นๆ ลงไป
“สวัสดีค่ะ”
“คุณพัฒน์นรี มารับผมเดี๋ยวนี้เลยนะ ที่ซิกซ์คอร์เนอร์ ห้องวีไอพี ชั้นสอง มาให้ถึงตัวผมให้ได้ แล้วก็มาให้เร็วที่สุดด้วย”
คำพูดจำนวนมากหลั่งไหลมาจากปลายสายก่อนสัญญาณจะขาดหายไป เธอรู้สึกได้ว่าพิชญ์กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ นอกจากเนื้อความที่ดูน่าเป็นห่วงแล้วน้ำเสียงเขาก็ไม่สู้ดีเอาเสียเลย
ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา หญิงสาวรีบหมุนตัววิ่งไปที่ริมถนนแล้วโบกเรียกแท็กซี่อย่างร้อนรน อะไรไม่รู้ผลักดันให้เธอต้องไปพบเขาให้ทันเวลา
ด้วยระยะทางที่ค่อนข้างไกลจากที่หมายทำให้กว่าพัฒน์นรีจะมาถึงก็ผ่านไปแล้วเกือบยี่สิบนาที
ซิกซ์คอร์เนอร์เป็นร้านอาหารกึ่งบาร์สำหรับผู้ใหญ่ พัฒน์นรีไม่เคยมาที่นี่ แต่พอจะรู้จักผ่านการพูดคุยของพวกผู้ชายในบริษัทว่านอกจากเหล้าและอาหารแล้ว ยังมีบางอย่างที่น่าสนใจไปกว่านั้น
เธอยื่นบัตรประชาชนให้การ์ดด้านหน้าตรวจแล้วรีบเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว บรรยากาศด้านในหรูหราแต่แสงสลัวจนมองแทบไม่เห็นอะไร กว่าจะปรับสายตาได้ก็ทำเอามะงุมมะงาหราอยู่นาน ดวงตากลมกวาดมองไปรอบๆ ก่อนเดินตรงไปหาพนักงานที่เคาน์เตอร์
“สวัสดีค่ะ ห้องวีไอพีไปทางไหนคะ”
พนักงานสาวไม่ตอบในทันทีแต่มองมาที่เธออย่างประเมิน พัฒน์นรีหงุดหงิดอยู่ครามครัน ยิ่งช้าก็ยิ่งเสียเวลาไปกันใหญ่ ไม่รู้ว่าเจ้านายเธอจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรแล้วบ้าง
“ว่าไงคะ ห้องวีไอพีอยู่ทางไหน”
“ติดต่อห้องวีไอพีห้องไหนคะ ถ้าติดต่อเองก็ชำระเงินล่วงหน้าค่ะ”
พัฒน์นรีแทบจะกลั้นใจตาย เธอติดต่อพิชญ์ไม่ได้อีกเลยนับจากที่เขาวางสายไป แล้วไม่รู้ด้วยว่าห้องวีไอพีของที่นี่มีกี่ห้อง เลขห้องอะไรบ้าง คงมีแค่หนทางเดียวที่เธอจะสามารถขึ้นไปข้างบนได้
“เท่าไหร่คะน้อง พี่จองห้องนึง”
พนักงานชายในชุดยูนิฟอร์มพาเธอขึ้นมายังส่วนของห้องจัดเลี้ยงแบบวีไอพี เธอเดินตามขณะที่สายตาก็สอดส่องหาห้องที่คิดว่าจะเป็นห้องที่พิชญ์อยู่ แม้ว่าในใจลึกๆ เธอจะเสียดายเงินค่าห้องมากจนแทบจะหันหลังกลับแล้วก็ตาม
‘หนึ่งหมื่นสองพันบาทค่ะ’
เธอรูดบัตรชำระค่าเช่าด้วยมืออันสั่นเทา ทำไมเธอต้องมาเสียเงินมากมายขนาดนี้ให้กับผู้ชายที่ถึงแม้ว่าเธอจะแอบปลื้มเขาอยู่ แต่เธอไม่ใช่สายเปย์ที่จะจ่ายไปโดยไม่รู้ว่าจะได้อะไรกลับมาไหม
“ปล่อย”
เสียงห้าวห้วนเล็ดลอดออกมาจากห้องหนึ่งด้านขวามืออย่างแผ่วเบา แต่เพราะตั้งใจฟังอยู่แล้วเธอจึงได้ยิน พัฒน์นรีชะลอฝีเท้าลงจนเสียงเอะอะจากภายในชัดเจนขึ้น ในเสี้ยววินาทีหญิงสาวตัดสินใจดึงประตูบานนั้นให้เปิดออก
ห้องไม่ได้ล็อก แต่ภาพที่เห็นทำให้เธอช็อกไปเลย
“ท่านรองฯ”
หญิงสาวแต่งกายด้วยผ้าน้อยชิ้นถึงสองคนพยายามทำอะไรบางอย่างบนร่างกายของพิชญ์ซึ่งขณะนี้อยู่ในสภาพที่ร่างท่อนบนเปลือยเปล่า บอกตามตรงว่าหญิงใสๆ ห่างไกลเรื่องเพศอย่างเธอค่อนข้างจะตกใจจนเข้าขั้นช็อกจริงๆ อยู่ๆ ท้องไส้ก็ปั่นป่วน เหมือนกับว่าลูกชายที่เธอเฝ้าทะนุถนอมมานานกำลังถูกทำให้แปดเปื้อนมัวหมอง
หรือว่า…เขาเต็มใจจะมัวหมอง
“เอ่อ คือว่าฉัน…ขอตัวนะคะ” เธอหมุนตัวหันหลัง แต่เสียงเรียกอันแหบพร่าก็ทำให้เธอต้องชะงักฝีเท้า
“พัฒน์นรี พาผมออกไป”
ความโกลาหลย่อมๆ เกิดขึ้นในห้องอาหารวีไอพี จริงๆ แล้วมันเกือบกลายเป็นการวิวาทครั้งใหญ่ ถ้าหากว่าพัฒน์นรีไม่ควักเงินจากกระเป๋าของพิชญ์ให้สองสาวดาวยั่วนั่นไปจนหมด ยิ่งไปกว่านั้นกว่าเธอจะพาตัวเจ้านายหนุ่มออกมาจากตรงนั้นได้ก็เล่นเอาเหนื่อยหอบ ไม่ใช่แค่ร่างที่หนักเหมือนยักษ์ แต่ข้าวของของเขาที่กระจัดกระจายไปทั่ว เธอก็รีบหอบมาถือไว้ด้วยความรวดเร็ว
เรียกว่าเธอไม่เคยเหน็ดเหนื่อยกับอะไรแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ
“ทำไมคุณถึงได้มีสภาพแบบนี้ล่ะคะ”
พัตน์นรีถามคนที่นอนหลับตาพิงเบาะรถแท็กซี่อย่างหมดแรง ขณะเดียวกันเธอก็ติดกระดุมเสื้อเชิ้ตให้เขาโดยที่พยายามไม่มองแผงหน้าอกเปลือยให้ใจสั่น เพราะแค่ปลายนิ้วเรียวสัมผัสลงบนผิวเนื้อของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจก็ทำให้เธอแทบจะเก็บอาการไม่อยู่
คุณพระคุณเจ้า ทำไมกลิ่นผู้ชายผสมแอลกอฮอล์ถึงได้เย้ายวนขนาดนี้นะ
พัฒน์นรีแทบจะอาราธนาศีลให้ธรรมะอยู่กับตัวจะได้ไม่ใจแตกไปเสียก่อน ทว่าเอาเข้าจริงกลับไม่ใช่เพราะธรรมะที่ทำให้เธอหยุดคิดฟุ้งซ่าน แต่เป็นคำตอบของเขาต่างหาก
“ผมถูกวางยา”
“อะไรนะคะ” ความหวั่นไหวหายไปกลายเป็นความตกใจเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว เธอพินิจใบหน้าหล่อเหลานั่นอีกครั้ง เหงื่อที่ชื้นตรงไรผมและใบหน้าซีดเซียวยืนยันในสิ่งที่เขาบอก
แต่พิชญ์ไม่น่าจะพลาดท่าให้กับเรื่องแบบนี้ได้ ที่สำคัญปกติเขามีบอดี้การ์ด
“เกิดขึ้นได้ยังไงคะ”
หลายอึดใจตั้งแต่เธอโยนคำถามไป ทว่าอีกฝ่ายยังคงเงียบงัน อาจเป็นเพราะฤทธิ์ยายังรุนแรงอยู่จึงทำให้เขาไม่มีสติที่จะตอบคำถาม ชายหนุ่มขยับริมฝีปากพูดบางอย่างที่เธอได้ยินชัดเจนเต็มสองหู
“ขอบคุณคุณมากนะ ขอบคุณที่มา” พิชญ์พูดแค่นั้นก็ทิ้งศีรษะลงบนบ่าของเธอ
พัฒน์นรีเกร็งจนปวดร้าวไปหมด ยิ่งยามเมื่อลมหายใจอุ่นเป่ารดต้นคอก็ชวนให้สติกระเจิง สาบานได้ว่าตั้งแต่แตกเนื้อสาวมาเธอไม่เคยใกล้ชายใดมากเท่านี้มาก่อนเลย ซ้ำยังเป็นชายที่เธอวางไว้บนหิ้งมาตลอดสองปี
มันไม่เหมือนเรื่องจริงเลย มันคล้ายกับความฝันมากกว่า ถ้าบอกว่าเธอฝันไป เธอก็เชื่อหมดใจเลย
แต่เดี๋ยวนะ! นี่ไม่ใช่เวลามาหื่น ฉันควรตกใจมากกว่าไม่ใช่หรือที่มีคนมาทำร้ายเขา
พัฒน์นรีปลุกพิชญ์ให้ได้สติ เขาลืมตาขึ้นอย่างยากเย็นแต่ก็รับรู้ว่าตอนนี้แท็กซี่พากลับมาถึงที่พักแล้ว ชายหนุ่มพยายามหยัดกายให้ยืนบนพื้นโลกที่เสมือนเอนเอียงตลอดเวลาได้โดยอาศัยร่างเล็กที่สูงเพียงแค่ไหล่เป็นหลักยึด พัฒน์นรีพยายามดันตัวเขาให้เดินไปข้างหน้าขณะที่แขนอีกข้างก็กอดสูทของเขาเอาไว้แน่น
เพนต์เฮ้าส์ของพิชญ์อยู่ชั้นบนสุด มีลิฟต์ส่วนตัวที่เชื่อมจากที่จอดรถของเขา แต่พัฒน์นรีไม่สามารถพยุงร่างที่หนักขนาดนี้อ้อมไปยังลานจอดรถได้ เธอจึงต้องพาเขาขึ้นลิฟต์ส่วนกลาง แม้ว่าจุดที่ตั้งของลิฟต์จะห่างจากห้องเขามากโข
และแม้จะยากลำบากเหมือนแบกเสาปูนขึ้นภูเขาสูงชัน แต่สุดท้ายเธอก็สามารถพิชิตภารกิจสำเร็จจนได้
“ท่านรองฯ ล้างหน้าหน่อยมั้ยคะ” พัฒน์นรียืนมองคนที่นั่งกุมขมับอยู่บนโซฟาหรูหรา
ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นได้ครู่เดียวก็ทิ้งตัวแบ็บกับพนักพิง ปากก็สั่งพึมพำ “ช่วยเอาผ้าชุบน้ำให้ที”
คำสั่งของเขาทำให้เลขาฯ สาวเผลอย่นจมูกใส่
สั่งเก่ง!
แม้จะค่อนขอดอยู่ในใจ แต่ขาของเธอก็เดินไปหยิบของที่เขาสั่งโดยไม่อิดออด ไม่นานผ้าขนหนูสีขาวสะอาดกับอ่างบรรจุน้ำอุ่นก็วางลงตรงหน้าเขา
“ได้แล้วค่ะ”
พิชญ์ย่นคิ้ว รู้สึกทรมานในร่างกาย ตอนนี้แขนขาเขาเหมือนหนักขึ้นเป็นสิบเท่า ขยับแทบไม่ได้เลย พัฒน์นรีเห็นแบบนั้นจึงนั่งคุกเขากับพื้นแล้วจัดการหยิบผ้ามาชุบน้ำอุ่น บิดจนหมาดก่อนจะวางซับไปที่แก้มสาก
“เช็ดหน้าเช็ดตาแล้วท่านรองฯ นอนพักก่อนนะคะ ตอนนี้ยาคงออกฤทธิ์มาก ดูจากอาการของคุณแล้วคงจะเป็นยานอนหลับ”
พิชญ์พยักหน้าช้าๆ เขาลืมตาขึ้นมองก็เห็นแววตาของเลขาฯ สาวที่มองมาด้วยความห่วงใยอย่างจริงใจไร้สิ่งเคลือบแฝง ความรู้สึกอุ่นใจจึงเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“คุณอยู่กับผมก่อนได้มั้ย”
คำขอร้องง่ายๆ ของเขาทำให้พัฒน์นรีนิ่งไป ถึงเธอจะชอบเขามาก แต่ถ้าจะให้มาอยู่ด้วยทั้งคืนในห้องสองต่อสองแบบนี้มันก็…
“ท่านรองฯ ไม่กลัวหรือคะว่า…”
“อยู่ก่อนนะ”
แม้ว่าน้ำเสียงออดอ้อนและแววตาของเขาจะทำให้ใจอ่อนยวบยาบเพียงใด แต่ความเป็นกุลสตรีที่ยึดมั่นมายี่สิบกว่าปีก็มากพอ ซ้ำเมื่อกลางวันเขาเพิ่งกล่าวหาว่าเธอคิดจะเคลมเขา เรื่องอะไรจะไปยอม…
“ได้สิคะ คุณนอนเถอะ ไม่ต้องกลัวอะไรนะคะ”
เธอกลายเป็นคุณแม่ทูนหัวผู้พิทักษ์เด็กชายพิชญ์ไปเลย ชายหนุ่มหลับตาลง พัฒน์นรีมองใบหน้าหล่อเหลาที่หลับตาพริ้มอย่างไม่อาจละสายตาได้
ตามท้องเรื่องเธอควรถอดเสื้อเชิ้ตเขาออกแล้วเปลี่ยนชุดนอนสบายๆ ให้ แต่เนื่องจากกลัวว่าเลือดกำเดาจะทะลักออกมาเสียก่อนหากต้องเห็นแผงหน้าอกของเขาอย่างเต็มตา ฉะนั้นปล่อยให้เขาหลับไปในสภาพนี้แหละดีแล้ว
“ไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถอะครับเจ้านาย”
การผสานเสียงกันอย่างพร้อมเพรียงนั้นทำให้พัฒน์นรีสะดุ้งตื่น ดวงตากลมโตปะทะกับแสงยามเช้าจนต้องหรี่ตาลงอีกครั้ง
เมื่อคืนเธอนั่งเฝ้าเขาจนเผลอหลับไปบนเก้าอี้นวม แต่ไหงมาตื่นบนเตียงกว้างที่ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย เธอค่อยๆ ก้าวลงจากเตียง กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก็เดาได้ว่านี่คงเป็นห้องนอนของพิชญ์ แม้ว่าจะไม่มีรูปที่ฝาผนังแต่บรรยากาศรอบๆ ก็บ่งบอกถึงความเป็นเขาได้ชัดเจนมากพอ
ฉันมานอนในห้องนี้ได้ยังไง
คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก พัฒน์นรีจึงพาร่างสะโหลสะเหลเดินออกมานอกห้อง สิ่งที่เห็นคือแม็คกับอลันคุกเข่าอยู่กับพื้น ขณะที่พิชญ์สวมชุดไปรเวตยืนจิบกาแฟด้วยท่าทางแสนเย็นชา ไม่ใช่แค่โกรธลูกน้องทั้งสองคน แต่ปั้นหน้าไม่ถูกเพราะอับอายที่ตกอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้แบบนั้นต่อหน้าลูกน้องรวมถึงเลขาฯ คนใหม่อย่างพัฒน์นรี ต่อไปนี้จะเรียกความนับถืออะไรกลับมาได้อีก
“ฉันไล่พวกนายออก”
“เจ้านาย พวกเราผิดไปแล้ว เจ้านายอย่าทำแบบนั้นเลยครับ” แม็คหน้าซีดเผือดไปอีก ขณะที่อลันก้มหน้างุดอย่างขวัญเสีย
พัฒน์นรีรู้สึกเหมือนตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางหมู่มาเฟียที่กำลังจะสำเร็จโทษกันอย่างไรอย่างนั้น เธออยากจะหายตัวไป แต่ทุกคนกลับรับรู้ถึงการมีตัวตนของเธอเสียก่อน
“คุณพัฒน์นรีตื่นแล้วเหรอ” พิชญ์วางแก้วกาแฟลงแล้วหันมามองคนที่เพิ่งตื่น
พัฒน์นรีกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ยกมือลูบผมเผ้าของตัวเองเพื่อหวังให้สภาพดีขึ้น แต่ก็คิดว่าคงไม่ หน้าตาเธอตอนปกติก็ย่ำแย่มากพอแล้ว ในสภาพเพิ่งตื่นนอนไม่ต้องพูดถึงเลย ต้องตื่นมาท่ามกลางผู้ชายหล่อจัดอย่างพิชญ์และลูกน้องของเขาที่ดูดีเกินมาตรฐานชายทั่วไปอย่างแม็คกับอลันทำให้เธอรู้สึกผิดกับตัวเองที่ตื่นมาตอนนี้
“ฉันขอโทษนะคะ เผลอหลับไปตอนไหนไม่ทราบ”
“คุณไม่ต้องขอโทษผมหรอก ผมต่างหากที่ต้องขอโทษที่รบกวนคุณ ผมจะจ่ายค่าล่วงเวลาให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“รับไว้เถอะ ต่อไปนี้ผมคงต้องรบกวนคุณเวลาไปพบลูกค้าข้างนอก” ประโยคหลังนั้นพิชญ์กดเสียงลงแล้วหันไปมองคนที่คุกเข่าอยู่กับพื้น หมายจะให้สองคนนั้นได้รู้ว่าเขากำลังพูดถึงอยู่ “ส่วนไอ้คนที่มันยอมให้ผู้หญิงหลอกแล้วทิ้งงานไปกลางคัน ลดขั้นไปเป็นคนเฝ้ารถก็พอ”
คนฟังกลืนน้ำลายดังเอื๊อกอย่างพร้อมเพรียง แม็คกับอลันหันมามองหน้าพัฒน์นรี หญิงสาวต้องตกใจเพราะภายใต้ความเครียดของเพื่อนร่วมงานทั้งสอง เธอแอบเห็นรอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้าซึ่งขัดแย้งกับการแสดงออกเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
ตายล่ะ! นอกจากจะต้องระงับสติยามเมื่ออยู่ใกล้เจ้านายอย่างพิชญ์ เธอต้องคอยระวังความเจ้าเล่ห์ของสองคนนี้ด้วย ที่ถูกดุอยู่ตอนนี้คงไม่ได้สลดเลยสินะ
“แต่ท่านรองฯ บอกกับฉันว่า…ฉันไม่จำเป็นต้องตามท่านไปทุกที่นี่คะ”
“ผมสั่งอะไรก็ตามนั้นแหละ” พิชญ์ออกอาการหงุดหงิด ไม่ชินที่มีคนเถียง และไม่สะดวกอธิบายเหตุผลในการกระทำของตัวเองด้วย
พัฒน์นรีฟังคำพูดอันแสนเอาแต่ใจนั้นก็รู้สึกจี๊ดในใจเช่นกัน แต่เพราะคำว่า ‘เจ้านาย’ ทำให้เธอต้องกลืนถ้อยคำมากมายลงกระเพาะไป เมื่อวานเธอเพิ่งเถียงเขาชุดใหญ่ ที่เขาไม่ไล่เธอออกตอนนั้นก็เพราะยังไม่ถึงที่สุด เธอไม่ควรทิ้งอนาคตตัวเองด้วยการทำให้ฟางเส้นสุดท้ายขาดลง
“งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ” เธอบอก แต่ทั้งที่ห้ามตัวเองแล้วก็ยังมิวาย… “ฉันจะไปอาบน้ำ แต่งตัว กินข้าวให้อิ่ม แล้วอ่านกฎหมายแรงงานให้ละเอียดสักหน่อย”
พัฒน์นรียกมือไหว้ทั้งเจ้านายทั้งเพื่อนร่วมงานก่อนหันหลังออกจากห้องไปทันทีโดยไม่สนใจคนข้างหลัง ไม่สนใจแม้จะอยากรู้มากๆ ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่
คนมันโกรธเว้ย!
ติดตามฉบับเต็มที่…เสน่ห์ร้าย
Comments
comments