X
    Categories: ทดลองอ่านปรปักษ์จำนนมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ปรปักษ์จำนน ตอนที่ 9

หน้าที่แล้ว1 of 5

ตอนที่เก้า

 

เว่ยเซ่าเดินมุ่งไปยังทิศทางของเรือนประจิม

เขายุ่งมาตั้งแต่เช้าจวบจนบัดนี้ ทั้งต้อนรับและส่งผู้มาเยือนกลับไป เทียบกับเดินทัพอยู่ข้างนอกยังสิ้นเปลืองพลังกว่าหลายส่วน

ยามนี้ดึกดื่นมากแล้ว จวนสกุลเว่ยที่อึกทึกครึกครื้นมาทั้งวัน ในที่สุดก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบท่ามกลางสีแห่งรัตติกาล

เว่ยเซ่าเดินมาถึงทางแยก สายตามองไปยังเรือนประจิมทางซ้ายมือ เห็นได้แต่ไกลว่าปลายทางมีแสงโคมวิบวับอยู่รำไร เมื่อเร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อยก็มองเห็นเจียงเอ่าหญิงรับใช้อาวุโสของเรือนบูรพายืนอยู่ริมทาง

พอเห็นเขามาถึง เจียงเอ่าก็สาวเท้าเร็วรี่ขึ้นหน้ามาค้อมกายกล่าว “ท่านโหวเสร็จงานแล้วกระมังเจ้าคะ ฮูหยินสั่งให้ข้ามารอท่านโหวอยู่ที่นี่ ฮูหยินให้เชิญท่านโหวไปสนทนาเจ้าค่ะ”

เว่ยเซ่าขมวดคิ้วขบคิดเล็กน้อย สุดท้ายยังคงหมุนกายเดินมุ่งสู่เรือนบูรพา เมื่อมาถึงห้องด้านใน ชายหนุ่มจึงหยุดอยู่หน้าประตูมองดูปราดหนึ่ง เขาเห็นจูซื่อมารดาของตนนั่งคุกเข่าอยู่บนตั่ง ข้างกายมีหญิงรับใช้อาวุโสหลายคนอยู่เป็นเพื่อน แต่ไม่เห็นเจิ้งซูอยู่ในห้องนี้

“จ้งหลินมาแล้วหรือ”

จูซื่อยังคงอยู่ในชุดเดิมที่รับแขกเมื่อตอนกลางวัน เห็นเว่ยเซ่ามาถึงก็เผยสีหน้ายินดีรีบลุกจากตั่ง เดินลงมารับด้วยตนเอง

เว่ยเซ่าเข้ามาในห้อง ก่อนจะนั่งคุกเข่ากล่าว “ดึกดื่นท่านแม่ยังไม่พักผ่อน ยังเรียกลูกมาด้วยเรื่องอันใด”

จูซื่อมองบุตรชาย สายตาเจือแววหดหู่ “มารดาคิดถึงบุตรชายถึงได้เรียกมาหา เพียงแค่อยากพบหน้า พูดคุยสองสามประโยคเช่นครั้งยังเยาว์เท่านั้น พอบุตรชายเติบใหญ่กลับทำตัวห่างเหินกับมารดาเสียแล้ว จ้งหลิน หากไม่มีเรื่องอันใด แม่ก็ไม่อาจเรียกเจ้ามาอย่างนั้นหรือ”

เว่ยเซ่าชะงักไปเล็กน้อย ในที่สุดก็มองตรงมาทางจูซื่อ แลเห็นรูปโฉมของนางแม้ไม่เปลี่ยนไปจากกาลก่อนมากนัก ทว่าเมื่อเพ่งมองอย่างละเอียดกลับพบว่าโคนผมมีสีขาวแซมอยู่หลายเส้น หางตาก็มีริ้วรอยคืบคลานออกมา โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวมารดาก็ได้แก่ตัวลงกว่าเมื่อสิบปีก่อนแล้ว

นึกถึงตอนที่ตนยังเด็ก เมื่อเปรียบกับพี่ชายคนโตแล้ว มารดามักเอนเอียงเข้าข้างตนมากกว่าเสมอ หัวใจของเว่ยเซ่าจึงค่อยๆ อ่อนลง

ในที่สุดเขาก็เอ่ยด้วยสีหน้าอันนุ่มนวล “เป็นลูกเองที่อกตัญญู ท่านแม่สั่งสอนถูกแล้ว ต่อไปลูกจะมาเยี่ยมท่านแม่บ่อยๆ”

จูซื่อคลี่ยิ้ม ก่อนประคองเสื้อตัวในชุดหนึ่งซึ่งพับไว้เรียบร้อยอยู่ข้างมือขึ้นมาแล้วเอ่ยปาก “นี่คือเสื้อที่แม่เย็บให้เจ้ากับมือ เทียบขนาดจากเสื้อเก่าที่เมื่อก่อนเจ้าเคยทิ้งไว้ที่นี่ เจ้ากลับไปแล้วลองใส่ดูสิ หากไม่พอดีตัวอย่างไรก็มาบอก แม่จะแก้ให้”

เว่ยเซ่ารีบรับมาด้วยสองมือ วางไว้ด้านข้างก่อนคำนับขอบคุณมารดา

จูซื่อพยุงบุตรชายแล้วถอนหายใจ “กับแม่ยังต้องมากพิธีเช่นนี้เพื่ออะไรอีก เจ้าเป็นลูกของแม่ ตอนเด็กใส่เสื้อที่แม่ทำให้น้อยเสียที่ใดกัน หรือว่าจะต้องคุกเข่าคำนับแม่ทุกครั้ง โตแล้วกลับทำตัวห่างเหินเสียได้”

เว่ยเซ่าคลี่ยิ้มไม่พูดจา

“วันนี้มีงานมากนัก แม่เห็นเจ้าไม่เคยหยุดพักสักชั่วครู่เดียว คิดว่าคงไม่มีเวลากินอาหารให้เรียบร้อย ท้องไส้น่าจะหิวแล้วกระมัง เมื่อครู่แม่เลยเตรียมอาหารไว้ให้เจ้าแล้ว แม่เป็นคนลงครัวทำเองกับมือ เป็นโจ๊กข้าวเหนียวหวานที่ตอนเด็กเจ้าชอบกินที่สุด ตอนนี้ยังร้อนๆ อยู่เลย”

จูซื่อหันหน้าไปสั่งบ่าวให้ยกอาหารเข้ามา

ไม่ช้าบ่าวก็ยกมาถึง จูซื่อเปิดฝาชามด้วยตนเองก่อนยิ้มกล่าว “แม่ไม่ได้ลงครัวนานแล้ว ไม่รู้ว่าของที่ทำยังจะถูกปากเจ้าอยู่หรือไม่ เจ้าลองกินดูก่อน”

เว่ยเซ่ารับมาแล้วก้มหน้ากินหมดอย่างรวดเร็ว

“อร่อยหรือไม่”

เว่ยเซ่าวางชาม เขาสบสายตาคาดหวังของมารดาพลางตอบ “อร่อยขอรับ”

จูซื่อโล่งใจ “อร่อยก็ดีแล้ว แม่จะให้บ่าวตักมาให้เจ้าอีกชามนะ”

เว่ยเซ่ายับยั้งมารดาพร้อมเอ่ยปนยิ้ม “ลูกอิ่มแล้ว ขอบคุณท่านแม่ยิ่งนักที่รักและห่วงใยลูก เดิมทีท้องไส้ของลูกก็หิวอยู่บ้างจริงๆ”

จูซื่อยิ้มกล่าว “เห็นเจ้าชอบกินต่อไปแม่จะได้ทำให้เจ้ากินบ่อยๆ แม่รู้ว่าเป็นความผิดของแม่เอง หลายปีมานี้เพื่อเรื่องของฉู่อวี้แล้ว แม่จึงเอาแต่เร่งรัดเจ้าเสมอ ถึงได้ทำให้เจ้ากับแม่ห่างเหินกันไปทุกทีเช่นนี้”

เว่ยเซ่ากล่าว “ท่านแม่พูดเช่นนี้ ลูกรู้สึกละอายใจยิ่งนัก”

จูซื่อเหม่อลอยอยู่ชั่วครู่ มองไปทางเว่ยเซ่าแล้วเอ่ยเนิบๆ “แม่รู้ว่าตนเองมีชาติกำเนิดต่ำต้อย ครึ่งชีวิตที่ผ่านมาแม้จะทุ่มเทจนสุดกำลังเพื่อเอาอกเอาใจท่านย่าของเจ้าแล้ว แต่นางก็ยังคงไม่ชอบแม่ นับแต่ท่านพ่อของเจ้าด่วนจากไป แม่ก็ยิ่งตกที่นั่งลำบาก แต่แม่ไม่ตัดพ้อหรอกนะ เพียงโทษตนเองที่โง่เขลาไม่ได้ทำหน้าที่ของตนให้ดี บัดนี้นางจัดการให้เจ้าแต่งกับหญิงสกุลเฉียวแห่งเหยี่ยนโจวแล้ว สกุลเฉียวกับสกุลเว่ยของพวกเรามีหนี้เลือดดั่งมหาสมุทร เรื่องนี้เจ้าย่อมรู้ดี

ดังนั้นแม่จึงชิงชังหญิงสกุลเฉียวตั้งแต่แรก วันนั้นพอเจ้าพานางกลับจวนมาคารวะ แม่ก็ชักสีหน้าให้นางดู ทว่ารอจนเจ้าออกไปฉู่อวี้ก็เตือนสติแม่ บอกว่าในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเป็นผู้ตัดสินใจเช่นนี้ คงต้องมีเจตนาลึกซึ้ง ในเมื่อเจ้าแต่งนางมาแล้ว ต่อไปก็คือคนในครอบครัวเดียวกัน ฉู่อวี้โน้มน้าวให้แม่ทำดีกับนาง เจ้าที่ถูกกระหนาบอยู่ตรงกลางจะได้ไม่ลำบากใจ แม่รู้สึกว่ามีเหตุผลเหมือนกัน ไหนๆ ไม้ก็กลายเป็นเรือไปแล้ว แม่ต่อต้านไปก็ไร้ประโยชน์ แต่หากอยู่ร่วมกันด้วยดีได้ วันหน้าแม่ก็จะมีเพื่อนข้างกายเพิ่มมาอีกคน ดังนั้นพอนางมาหาในวันรุ่งขึ้น แม่จึงคิดจะทำดีกับนาง แต่ไม่นึกเลยว่านาง…”

จูซื่อหยุดเล็กน้อย

“เช้าวันนั้นนางมาคุกเข่าคารวะแม่ แม้ท่าทีไม่มีเสียกิริยา แต่แม่ก็มองออกว่านางคงยังขุ่นเคืองที่เมื่อวานแม่เฉยเมยต่อนาง พอลุกขึ้นจึงตั้งท่าจะกลับทันที แม่อยากรั้งนางไว้แต่ก็เอ่ยปากไม่ออก เผอิญวันนั้นแม่ตื่นเช้ายังไม่ได้กินอาหาร เจียงเอ่าก็ช่างมากเรื่องขอให้นางลงครัวไปทำน้ำแกงข้นมาให้แม่สักชาม ที่จริงแม่ก็ไม่คิดจะเอ่ยปากใช้นางในเรื่องนี้หรอก กลัวนางนึกว่าแม่ยังคิดกลั่นแกล้งนางอยู่ พอจะเอ่ยปากยับยั้ง ไม่นึกว่านางกลับชักสีหน้าออกมาเดี๋ยวนั้น เอาท่านย่าของเจ้ามาข่มแม่ บอกว่าต้องกลับไปคัดลอกคัมภีร์เป็นของขวัญวันเกิด เห็นนางมีใจกตัญญูต่อท่านย่าของเจ้า แม่ไหนเลยจะกล้ารั้งนางไว้ จึงได้ให้นางจากไป”

จูซื่อมองบุตรชาย ใบหน้าเผยยิ้มขมขื่น

“จ้งหลิน ท่านแม่ของเจ้าก็คือคนที่ไร้ค่าเช่นนี้เอง ไม่เพียงแม่สามีไม่ชอบหน้า กระทั่งลูกสะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้าประตูเรือนมาก็ยังไม่เห็นแม่อยู่ในสายตา เจ้าว่าเหตุใดแม่ถึงดึงดันให้เจ้ารับฉู่อวี้ไว้ให้ได้เล่า หลายปีมานี้เจ้าก็มักจะไม่อยู่เรือน ข้างกายแม่ไม่มีใครเป็นเพื่อนได้เลยสักคน มีก็แต่ฉู่อวี้ที่คลายทุกข์ให้แม่ได้…”

ดวงตาของนางค่อยๆ แดงเรื่อ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับที่หางตา

“เจ้าศักดินามีหนึ่งภรรยาแปดอนุ แม่ไม่ได้จะใส่คนในเรือนเจ้ามากเพียงนั้น แค่ต้องการให้เจ้ารับฉู่อวี้คนเดียว ฉู่อวี้ก็มิใช่เภทภัยเช่นน้ำป่าหรือสัตว์ร้าย หากเป็นอนุของเจ้าไม่เพียงสามารถอยู่เป็นเพื่อนข้างกายแม่ ยังสามารถแตกกิ่งก้านสาขาให้แก่สกุลเว่ยของพวกเรา หรือกระทั่งเรื่องเพียงเท่านี้เจ้าก็ไม่ยอมทำเพื่อแม่”

เว่ยเซ่าเงียบงัน

แววตาคาดหวังของจูซื่อจับนิ่งบนใบหน้าของเว่ยเซ่า กลั้นหายใจรอคอย

เว่ยเซ่าลังเลชั่วครู่ ในที่สุดก็ช้อนตาขึ้นมองจูซื่อพลางกล่าว “ความหมายของท่านแม่ ลูกเข้าใจแล้ว โปรดให้ลูกใคร่ครวญอีกสักนิด”

เดิมทีจูซื่อกังวลว่าบุตรชายจะปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ได้ยินเขาตกลงว่าจะใคร่ครวญดูจึงยินดีเป็นอย่างยิ่ง นางไม่กล้าเร่งรัดอีก รีบผงกศีรษะกล่าว “เจ้ายอมใคร่ครวญก็ดีแล้ว เจ้าค่อยๆ ลองคิดไปนะ แม่ไม่บังคับเจ้าแล้ว”

เว่ยเซ่าคลี่ยิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ย “ดึกมากแล้ว ลูกส่งท่านแม่ไปพักผ่อนดีกว่า”

จูซื่อผงกศีรษะรับ ก่อนได้เว่ยเซ่าประคองลุกขึ้น พาไปส่งที่หน้าประตูห้องนอน

เว่ยเซ่าหยิบเสื้อที่จูซื่อทำให้ตนขึ้นมา กล่าวลาแล้วเดินออกไป

“ท่านป้า พี่ชายตอบรับแล้วหรือไม่”

พอเว่ยเซ่าจากไป เจิ้งฉู่อวี้ก็เดินอ้อมหลังฉากบังลมออกมาสอบถาม

จูซื่อใบหน้าประดับยิ้ม ลูบแขนอีกฝ่ายพลางกล่าว “ป้าไม่ได้บังคับเขา แต่ใช้ความรักทำให้เขาหวั่นไหว ปรากฏว่าเห็นผลดังคาด จ้งหลินรับปากจะกลับไปใคร่ครวญแล้ว ฉู่อวี้ วิธีนี้ของเจ้าช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ฉลาดหลักแหลมจริงๆ”

ทว่าเจิ้งฉู่อวี้กลับชะงักกึก “ท่านป้า ท่านพูดตามที่ข้ากำชับครบถ้วนแล้วจริงหรือ”

“ไม่ตกหล่นเลยสักประโยคเดียว”

เจิ้งฉู่อวี้มุ่นคิ้วนิดๆ “ท่านป้าพูดถึงขั้นนี้แล้ว แต่พี่ชายยังบอกว่าขอใคร่ครวญดู ข้ากลัวว่าหากเขาเพียงคิดพูดผัดผ่อน อีกสองวันก็มาปฏิเสธ เช่นนั้นควรทำอย่างไรดีเล่า”

จูซื่อตะลึงงันก่อนรีบตอบ “วางใจได้ หากเขายังบอกปัดอีก ป้ายังมีวิธีที่ขอมาจากแม่หมอ เมื่อข้าวสารหุงกลายเป็นข้าวสุก ถึงตอนนั้นจ้งหลินไม่รับเจ้าก็ไม่ได้แล้ว”

เว่ยเซ่าผลักประตูห้องก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา ชุนเหนียงเดินตามมาสอบถามว่าเขาหิวหรือไม่ พูดตอบไปเพียงไม่กี่ประโยคฝีเท้าของเขาก็เดินหน้าต่อ เมื่อเว่ยเซ่าเบือนหน้าไปมองก็เห็นผ้าม่านขยับไหว เห็นเสี่ยวเฉียวแหวกผ้าม่านเดินออกมาแล้ว อาภรณ์บนร่างนางแม้จะยังเป็นระเบียบเรียบร้อย ทว่าดวงตาฉ่ำน้ำเจือแววง่วงงุน เห็นทีว่าเพิ่งจะดิ้นรนตื่นจากการงีบหลับ

“ท่านพี่กลับมาแล้วหรือ” เสี่ยวเฉียวยืนเบื้องหน้าเขา ใบหน้าประดับยิ้ม

เว่ยเซ่าไม่ได้ยกเปลือกตาขึ้นสักนิด เขาหันกลับไปส่งเสื้อให้ชุนเหนียง สั่งให้นางเอาไปซักและแช่น้ำแป้ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “เมื่อครู่ข้ากินมื้อดึกที่เรือนบูรพามาแล้ว ไม่หิว เตรียมน้ำอาบมาที”

หญิงรับใช้อาวุโสรีบไปตระเตรียม ไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย แล้วเว่ยเซ่าก็เข้าไปในห้องอาบน้ำ

ชุนเหนียงเห็นดวงตาของเสี่ยวเฉียวมองเสื้อในมือตน นางจึงบุ้ยปากเอ่ยด้วยเสียงที่กดให้เบาลง “เห็นบอกว่าฮูหยินเป็นคนเย็บให้เจ้าค่ะ”

เสียงน้ำในห้องอาบน้ำดังซ่าๆ เสี่ยวเฉียวจึงหันหน้าไปมองปราดหนึ่ง

“ไม่รู้ฮูหยินพูดอันใดบ้าง…” ชุนเหนียงมองด้วยความวิตกเล็กน้อย

เสี่ยวเฉียวไม่ได้พูดอันใด ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าของตนแล้วขยี้ตารอคอย

ผ่านไปสักครู่เว่ยเซ่าก็ออกมาจากด้านใน เหล่าหญิงรับใช้อาวุโสเก็บกวาดเสร็จก็ออกจากห้องแล้วปิดประตู เช่นเดียวกับคืนก่อนๆ เสี่ยวเฉียวรอจนเขาขึ้นไปนอนบนเตียง ตนเองจึงค่อยดับตะเกียงแล้วคลานขึ้นไปนอนอย่างระมัดระวัง

ยามกลางวันไม่ได้ทำงานใช้แรงอันใด เรื่องออกหน้าออกตารับส่งแขกสตรีของสกุลเว่ยในตอนนี้ยังคงเวียนมาไม่ถึงนาง สาวน้อยเพียงอยู่รับใช้ข้างกายสวีฮูหยินมาตลอด ทว่าเพียงเท่านี้ก็ยังเหนื่อยเพลียเอาการ เมื่อครู่รอไปรอมานางจึงทนไม่ไหวผล็อยหลับไป ในที่สุดยามนี้ก็ได้นอนเสียที

เสี่ยวเฉียวหลับตาลง ขณะที่สติรับรู้ค่อยๆ รางเลือนอีกครั้ง นางก็ได้ยินเสียงเว่ยเซ่าดังขึ้นที่ข้างหู “ข้าได้ยินมาว่ากระทั่งน้ำแกงข้นชามเดียวเจ้าก็ไม่ยอมทำให้ท่านแม่ของข้า คำชี้แจงเรื่องคัดลอกคัมภีร์พวกนั้นเป็นแค่ข้ออ้างกระมัง”

เสี่ยวเฉียวสะดุ้งเฮือก สติรับรู้แจ่มชัด นางลืมตาขึ้นในทันที

ท่ามกลางความมืดสลัว เว่ยเซ่าพลิกกายลงจากเตียงไปจุดตะเกียงใหม่

ในห้องสว่างขึ้นอีกครั้ง เสี่ยวเฉียวเห็นเขากลับขึ้นมากึ่งนั่งกึ่งเอนพิงกับหัวเตียงแล้วหันหน้ามามองตน

เมื่อครู่แม้ตนจวนจะหลับไปแล้ว แต่สาวน้อยก็ฟังออกว่าในประโยคนั้นเจือน้ำเสียงหมายเอาผิดไว้อยู่

ทว่ายามนี้แววตาของเขากลับดูสงบยิ่ง ไม่อาจจำแนกอารมณ์ได้

ดึกดื่นป่านนี้แล้ว เหตุใดเขาถึงไม่นอน ซ้ำยังกระปรี้กระเปร่าออกปานนี้!

เสี่ยวเฉียวลุกขึ้นนั่งช้าๆ มองดวงตาของเขา

“ใช่ เรื่องคัดลอกคัมภีร์เป็นข้ออ้างจริงๆ แต่ที่ไม่ทำน้ำแกงข้นหาใช่ความตั้งใจเดิมของข้าแต่อย่างใด” นางตอบเสียงเบา

เว่ยเซ่าจับจ้องนาง “หมายความว่าอย่างไร”

“ลูกสะใภ้ย่อมต้องปรนนิบัติแม่สามี ในเมื่อท่านแม่เอ่ยปากแล้ว ต่อให้เกียจคร้านเพียงใด แค่น้ำแกงข้นชามเดียวเท่านั้นเหตุใดจะทำให้ไม่ได้ แต่เป็นเพราะตอนนั้นข้าหวาดกลัวอยู่บ้างจริงๆ…”

“กลัวอันใด” หัวคิ้วของเว่ยเซ่าขมวดนิดๆ

เสี่ยวเฉียวหลุบตาลง “ท่านแม่ชังข้าลึกล้ำนัก ครั้งแรกที่ไปคารวะ ท่านเองก็เห็นแล้ว หากมิใช่มีท่านคอยอยู่เคียงข้างและปกป้องข้าในตอนท้าย ข้าก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี แต่เช้าวันนั้นท่านจากไปตั้งแต่รุ่งสาง ข้าจึงได้แต่ไปหาท่านแม่ตามลำพัง เห็นท่านแม่มีสีหน้าดุดัน ในใจข้าก็ยิ่งหวาดหวั่น จู่ๆ เจียงเอ่าก็เรียกให้ข้าลงครัวไปทำน้ำแกงข้น เรื่องทั้งหมดนี้ถือเป็นความผิดของข้าเอง ตอนแรกที่ยังไม่ออกเรือน เป็นเพราะข้าเกียจคร้านไม่เคยลงครัวเลยสักครั้ง กระทั่งข้าวฟ่างกับข้าวเจ้าก็ยังแยกไม่ออก ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าควรเริ่มลงมือจากตรงไหน ด้านข้างก็ไม่มีใครช่วยชี้แนะ หากไปทำจริง เกรงว่าสิ่งที่ทำออกมานั้น…”

สาวน้อยขบริมฝีปากพลางลอบช้อนตาขึ้นมอง

“ตอนนั้นข้าช่างเลอะเลือนนัก อันที่จริงหากพูดออกมาว่าข้าทำไม่เป็น ไม่แน่ว่าท่านแม่จะทำอันใดข้า แต่ข้าก็กลัวว่าท่านแม่จะยิ่งรังเกียจข้าเพราะเรื่องนี้ ดัง…ดังนั้นจึงได้คิดข้ออ้างเช่นนั้นออกมา…”

นางพูดจบก็หยุดมองเว่ยเซ่าด้วยท่าทางน่าสงสาร

ยามที่นางเล่าความ หัวคิ้วของเว่ยเซ่าก็ขมวดมุ่น รอจนนางเอ่ยจบ หัวคิ้วก็ยิ่งย่นเข้าหากันแน่นจนใกล้จะหนีบยุงให้ตายได้แล้ว ชายหนุ่มมองนางอยู่พักใหญ่ สุดท้ายจึงยกมือบีบหว่างคิ้วของตน

“เอาเถิด ข้ารู้แล้ว ต่อไปห้ามทำเช่นนี้อีก ได้ยินหรือไม่” น้ำเสียงของเขายังคงเย็นชายิ่ง

“ได้ยินแล้วเจ้าค่ะ นับจากวันพรุ่งนี้ไปข้าจะขยันฝึกการทำครัว ต่อไปจะปรนนิบัติท่านแม่เป็นอย่างดีแน่นอน” เสี่ยวเฉียวออกแรงผงกศีรษะ

เว่ยเซ่ายังคงขมวดคิ้วมองมา ชั่วครู่ต่อมานางจึงได้ยินเสียงเขาระบายลมหายใจยาว

“นอนเถิด” เขาเปล่งเพียงสองคำออกจากปาก

เสี่ยวเฉียวเสมือนได้รับการอภัยโทษ ค่อยระบายลมหายใจอย่างโล่งอก นางรีบลงจากเตียง เอาส้นเหยียบขอบรองเท้าเดินไปหน้าแท่นวางตะเกียง ขณะจะเป่าไฟให้ดับพลันได้ยินเสียงของเว่ยเซ่าที่อยู่เบื้องหลังดังขึ้นอีก

“ท่านแม่อยากให้ข้ารับฉู่อวี้เป็นอนุ เจ้าคงรู้กระมัง เมื่อครู่ข้ารับปากไปแล้ว”

เสี่ยวเฉียวชะงักกึก เหลียวหลังไปช้าๆ เห็นเขากึ่งนั่งพิงกึ่งเอนนอนอยู่ตรงนั้นด้วยอิริยาบถอันผ่อนคลาย ดวงตาทั้งคู่ทอดมองมาที่นาง

เขาจะรับเจิ้งซูเป็นอนุอย่างเป็นทางการแล้วหรือ

แม้เสี่ยวเฉียวมาอยู่ที่จวนสกุลเว่ยได้ไม่นานนัก แต่ก็รู้ตั้งแต่วันที่สองแล้วว่าข้ารับใช้ในเรือนบูรพาล้วนปฏิบัติต่อเจิ้งซูเช่นอนุของเว่ยเซ่า ซึ่งนั่นหมายความว่าแม้เจิ้งซูยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ที่เรือนประจิมอย่างเป็นทางการ แต่นี่เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว

เว่ยเซ่ารับเจิ้งซูเป็นอนุ สำหรับเสี่ยวเฉียวย่อมไม่นับเป็นเรื่องดีที่สามารถนำผลประโยชน์อันใดมาให้ แต่ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันก็ไม่อาจนับเป็นความเสียหายมากสักเท่าไร เว้นแต่สะใภ้ที่เพิ่งเข้าสกุลมายังไม่ครบสามเดือนผู้นี้อาจเสียหน้าไปบ้างเท่านั้น

ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ก็ดีกว่าที่เสี่ยวเฉียวคาดไว้ในตอนแรกมากแล้ว การรู้จักพอคือลาภอันประเสริฐ ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้ต่อให้นางพูดไปก็ไม่มีน้ำหนักอยู่ดี นางมีความจำเป็นอันใดต้องสาดน้ำเย็นก่อกวนอารมณ์บุรุษที่กำลังตื่นเต้นกับการรับอนุด้วยเล่า นี่เท่ากับเป็นศัตรูกับเขาชัดๆ

“เช่นนั้นหรือ วิเศษแท้” เสี่ยวเฉียวคลี่ยิ้ม “อันที่จริงข้ามายังไม่ถึงสองวันก็รู้เรื่องของท่านกับเจิ้งซูแล้ว ตอนนั้นเห็นนางพำนักอยู่ที่เรือนบูรพามาตลอด ในใจยังนึกสงสัยอยู่หลายวัน ตอนนี้กำหนดแน่ชัดแล้วกระมัง เลือกวันเสร็จแล้วหรือไม่ พรุ่งนี้ข้าจะไปจัดห้องหับเสียเลย จริงสิ ห้องปีกตะวันออกตรงลานข้างเรือนใหญ่ข้ารู้สึกว่าไม่เลวทีเดียว พื้นที่กว้างขวาง รับแสงเพียงพอ ห้องอาบน้ำกับห้องเล็กด้านข้างก็ล้วนมีพร้อมสรรพ พรุ่งนี้ท่านไปดูสักหน่อยก็ได้ หากว่าดีข้าจะได้จัดห้องให้ สรุปคือไม่ว่าที่นี่มีสิ่งใด ทางนั้นก็จะไม่ขาดตกบกพร่องเด็ดขาด”

ห้องปีกตะวันออกตรงลานข้างเรือนใหญ่เป็นห้องว่างที่ไม่เลวทีเดียว จุดที่ดีงามที่สุดคือ…อยู่ห่างจากห้องที่นางพำนักเป็นระยะทางพอสมควร ตรงกลางก็ต้องผ่านประตูชั้นในอีกหนึ่งบาน

เสี่ยวเฉียวพูดจบก็มองเว่ยเซ่าพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม เห็นเขามองนางอยู่เช่นเดิม ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ และไม่มีอาการใดๆ ปรากฏเลยสักนิด รอยยิ้มของนางจึงจืดเจื่อนลงตามลำดับ สุดท้ายลังเลเล็กน้อยก่อนถามหยั่งเชิง “เป็นอะไรไป ท่านรู้สึกว่ายังมีจุดใดที่จัดการได้ไม่เป็นที่น่าพอใจหรือ”

เว่ยเซ่าจับจ้องเสี่ยวเฉียว เห็นท่าทางดีอกดีใจของนางก็รู้สึกหมดสนุก

เขาไม่มีความสนใจที่จะหลับนอนกับเจิ้งฉู่อวี้แม้แต่น้อย ยิ่งไม่อยากให้เรื่องสำคัญชั่วชีวิตของญาติผู้น้องคนนี้ต้องชักช้าเสียการเพราะเขา ก่อนหน้านี้เพราะจูซื่อบังคับตนเสียงแข็ง เขาจึงตัดสินใจไม่เก็บมาใส่ใจเสียเลย ทั้งไม่รู้สึกผิดอันใดด้วย ไม่นึกว่าคืนนี้ท่าทีของจูซื่อจะเปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เว่ยเซ่าเริ่มลำบากใจอยู่บ้าง

เว่ยเซ่ารู้จักมารดาของเขาดี รู้ว่านางมีมุมมองอันจำกัด มองเรื่องราวใดมักดันทุรังแม้เรื่องนั้นจะไร้ประโยชน์ บนร่างไม่มีบุคลิกของคนตระกูลใหญ่เลยจริงๆ ชายหนุ่มจึงไม่รู้สึกสักนิดว่าท่านย่าจงใจกลั่นแกล้งนางเช่นที่นางพูด แต่ถึงอย่างไรนางก็คือมารดาของเขาวันยังค่ำ นางดีต่อตนอย่างไร เว่ยเซ่าจำได้เสมอมา กับมารดาม่ายผู้นี้แท้จริงแล้วเขายังคงมีความผูกพันอย่างลึกซึ้ง ในแก่นกระดูกยังคงนับได้ว่าเป็นลูกกตัญญูคนหนึ่ง

เมื่อครู่ที่เรือนบูรพา จูซื่อพูดมาตั้งมากมาย ทั้งตัดพ้อท่านย่า ทั้งฟ้องเรื่องลูกสะใภ้ กับอะไรต่อมิอะไร อันที่จริงสิ่งเดียวที่เข้ามาในหัวใจของเขา…คือจูซื่อปรับทุกข์ว่าปกตินางว้าเหว่ มีแต่เจิ้งฉู่อวี้ที่สามารถเป็นเพื่อนคลายเหงาให้นางได้

ทั้งปีเขาวิ่งรอกอยู่ข้างนอก รบทัพจับศึกแทบไม่เว้นวัน เมื่อเดินบนเส้นทางสายนี้ก็ไม่มีหนทางให้หันหลังกลับ และไม่รู้ด้วยว่าวันใดถึงจะสุดปลายทาง อาวุธไร้ตา ไม่แน่ว่าวันใดอาจต้องสิ้นชีพเช่นเดียวกับบิดาและพี่ชาย ท่านย่ากับท่านแม่ก็ไม่สนิทกัน ส่วนลูกสะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้ามาคนนี้มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่มีทางทำให้มารดาของเขาโปรดปรานได้ หากเจิ้งฉู่อวี้สามารถอยู่ข้างกายมารดา แสดงความกตัญญูแทนเขา กล่อมให้นางเบิกบานใจได้จริง การจะรับอีกฝ่ายเป็นอนุ สำหรับเขาก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

ชายหนุ่มพกพาความลังเลใจเช่นนี้กลับมาถึงเรือนประจิม พอเข้าประตูมา เขาเห็นชัดเจนว่าเสี่ยวเฉียวนอนคนเดียวไปก่อนอีกแล้ว ภายนอกดูเคารพให้เกียรติเขา แต่แท้จริงนางกลับไม่เก็บสามีคนนี้มาใส่ใจเลยสักนิด

เว่ยเซ่าอยู่มายี่สิบกว่าปีแล้ว ไม่เคยรู้มาก่อนว่าที่แท้ตนเองเป็นคนใจแคบคิดเล็กคิดน้อยถึงเพียงนี้ กับบุตรีสกุลเฉียวที่เพิ่งแต่งเข้ามาคนนี้ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่อยากมองข้าม นางกลับโผล่มาอยู่ใกล้เขาเสมอ ยามมองนางไม่ว่าจะมองทางใดก็แสนขัดตา ทั้งที่ตัวนางทั้งเบื้องบนเบื้องล่าง นอกจากใบหน้าที่ยังพอมองผ่านไปได้แล้วก็แทบไม่มีจุดใดทำให้เขารู้สึกพอใจ ไม่รู้ว่าอารมณ์หงุดหงิดขุมนั้นมาจากที่ใด พอขึ้นมาบนเตียงและนึกถึงเมื่อครู่ที่จูซื่อฟ้องเรื่องนาง เขาจึงโพล่งเอาความในทันที อีกทั้งอยากเตือนให้นางรู้ด้วยว่ามารดาของเขาผู้เป็นแม่สามีของนางจะปล่อยให้นางดูแคลนเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด

กลายเป็นว่านางให้เหตุผลที่ฟังขึ้นอย่างยิ่งแก่เขาหนึ่งข้อ…นั่นคือนางทำอาหารไม่เป็น

ช่างแปลกประหลาดจนคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง

ในยุคนี้ไม่ว่าบุตรสาวสกุลใด ต่อให้ฐานะสูงส่งเช่นท่านย่าของเขา แม้หลังออกเรือนไม่จำเป็นต้องลงครัวเองก็จริง แต่ก่อนออกเรือนก็ต้องได้รับการอบรมงานครัวขั้นพื้นฐานที่สุดอยู่ดี แต่นางกลับพูดว่าตนเองทำอาหารไม่เป็นได้อย่างเต็มปากเต็มคำ มิหนำซ้ำพอเขาฟังจบและเห็นท่าทางน่าสงสารของนางแล้ว ทั้งที่แคลงใจว่านางกำลังแสร้งทำให้เขาดู แต่อารมณ์โกรธกลับหายไปหมดสิ้น จะตีนางก็ทำไม่ได้ จะต่อว่าก็พูดไม่ออก เพียงรู้สึกอับจนปัญญา ในใจจึงยิ่งอึดอัดคับข้อง ประกอบกับนึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนกลางวันหน้าโถงจัดเลี้ยงที่เขาถูกผู้อื่นหยอกเย้าเรื่องให้กำเนิดทายาทขึ้นมา เขาจึงอดไม่ได้หลุดปากพูดว่าจะรับเจิ้งฉู่อวี้เป็นอนุ

อันที่จริงเรื่องนี้เว่ยเซ่ายังไม่ได้ตัดสินใจขั้นสุดท้าย ต่อให้ขบคิดเสร็จแล้วก็ไม่มีความตั้งใจจะเอ่ยเรื่องนี้กับนาง ทว่าคำพูดกลับเปล่งออกมาเสียแล้ว

“ท่านพี่?”

เห็นเขามีสีหน้าแปลกพิกล เสี่ยวเฉียวจึงเอ่ยเรียกเบาๆ

เว่ยเซ่าดึงสติคืนมา ชำเลืองมองนาง “ไม่แตกฉานงานครัว นั่งเหยียดแข้งกางขา ไร้จรรยาหญิงให้เอ่ยถึงโดยสิ้นเชิง มีแต่ไม่หึงหวงข้อเดียวที่เจ้าช่างเป็นกุลสตรียิ่งนัก”

‘นั่งเหยียดแข้งกางขา’ ที่เว่ยเซ่าเอ่ยถึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง

ยามบ่ายเป็นช่วงเวลาที่เว่ยเซ่าไม่เคยกลับห้องมาก่อน บ่ายของเมื่อวานเสี่ยวเฉียวกับชุนเหนียงอยู่ในห้อง ชุนเหนียงทำงานปัก เสี่ยวเฉียวช่วยนางวาดลาย ไหนๆ รอบข้างก็ไม่มีใครอื่น สาวน้อยจึงเอาความสบายเข้าว่า สองขาเหยียดตรงนั่งอยู่บนตั่ง ทว่าถึงคราวเคราะห์ร้าย เว่ยเซ่าเข้ามาพอดิบพอดี ตอนนั้นเสี่ยวเฉียวรีบหดขาแต่ก็สายเกินไป ถูกเขาเห็นเข้าจนได้

ตอนนั้นเขาเพียงเหลือบมองนางเรียบๆ ไม่ได้พูดอันใด หยิบของเสร็จก็จากไป ชุนเหนียงทั้งวิตกทั้งตำหนิตัวเอง รู้สึกว่าไม่ได้อบรมเสี่ยวเฉียวให้ดี แต่ขณะเดียวกันก็นึกดีใจที่นายท่านไม่ได้พูดอะไร นางถึงค่อยวางใจลงได้บ้าง กำชับกำชาเสี่ยวเฉียวซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าต่อไปจะนั่งเช่นนี้ไม่ได้อีกเป็นอันขาด

เสี่ยวเฉียวก็นึกว่าเว่ยเซ่าไม่ได้แยแสเรื่องนี้เสียอีก นึกไม่ถึงว่ายังจำใส่ใจอยู่ ทั้งตอนนี้ยังขุดออกมาประจานนางด้วย

‘ท่านั่งเหยียดขา’ สำหรับคนในยุคที่นางจากมามองเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่สลักสำคัญ ทว่าในยุคนี้กลับถูกมองว่าไม่งามอย่างยิ่ง เมื่อหลายร้อยปีก่อน เหตุเพราะภรรยาของเมิ่งจื่อ ยามอยู่ในเรือนตามลำพังนั่งเหยียดขาเช่นนี้นี่เอง พอเมิ่งจื่อเห็นเข้าโดยบังเอิญจึงออกมาพูดกับมารดาของเขาว่าต้องการหย่าขาดกับภรรยา มารดาถามเขาว่าเพราะเหตุใด เขาตอบเพียงสามคำว่า ‘นั่งเหยียดขา’ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากเพียงใด

ได้ยินเว่ยเซ่าเอาบัญชีเก่าออกมาคิดกับนาง เสี่ยวเฉียวก็ก้มหน้าเอ่ยเสียงเบา “ข้ารู้ตัวว่าบกพร่องจรรยาหญิง ทว่าจรรยาข้อไม่หึงหวงนี้เป็นทั้งหน้าที่และมาจากใจจริง”

เว่ยเซ่าเยาะหยัน “ฟังจากน้ำเสียงของเจ้า ข้าแต่งได้ภรรยาที่พร้อมด้วยจรรยาหญิงเช่นเจ้าเป็นวาสนาของข้าสินะ”

“ได้แต่งเข้ามาเป็นสะใภ้สกุลเว่ยเป็นวาสนาของข้าต่างหาก” นางเอ่ยอย่างเชื่องเชื่อ

ในห้องเงียบลง

จู่ๆ เว่ยเซ่าก็ไร้วาจา

ชายหนุ่มพลันรู้สึกว่าคืนนี้ดูเหมือนเขาจะสนทนากับนางมากเกินไปแล้ว เกินความตั้งใจที่เขาคิดไว้มาก

“เอาล่ะ นอนเถิด ดึกแล้ว”

เขามองนางอีกครั้งก่อนเอ่ยปากในที่สุด

เสี่ยวเฉียวขานดังอืมแล้วเป่าไฟตะเกียงดับ คลานกลับขึ้นเตียงไปคราวนี้ได้นอนหลับสนิทเสียที

เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะยังอยู่ในห้วงนิทรา เสี่ยวเฉียวรู้สึกได้รางๆ ว่าข้างกายมีความเคลื่อนไหว ปรือตาขึ้นมาเล็กน้อยก็เห็นเว่ยเซ่าเหมือนจะตื่นนอนแล้ว

ทว่าท้องฟ้ายังคงมืดอยู่ ในห้องจุดเทียนไข คาดว่าเพิ่งจะยามโฉ่วเศษๆ

เสี่ยวเฉียวกดข่มความไม่ยินยอมอันแรงกล้าภายในใจ ฝืนเปิดเปลือกตาที่เกาะติดกัน หาวหวอดเตรียมจะลุกขึ้นตามเขา ตอนนี้เองที่นางได้ยินเขาเอ่ยที่ข้างหูของตน “ยังเช้าอยู่ ข้ามีงานต้องออกไปข้างนอก เจ้านอนของเจ้าต่อไปเถิด”

เสี่ยวเฉียวผ่อนร่างลงแล้วปิดตาล้มตัวกลับไปบนหมอนทันที

เว่ยเซ่าหันหลังให้เตียง เขาสวมเสื้อผ้าด้วยตนเอง พอเสร็จกำลังจะออกไปเขาก็หันหน้าไปมองเสี่ยวเฉียวที่อยู่บนเตียงอีกครั้งตามจิตใต้สำนึก

นางซุกศีรษะอยู่ในมุมผ้าห่มแล้ว เผยออกมาเพียงเรือนผมดำขลับที่หนานุ่มดุจปุยเมฆ

ในใจเว่ยเซ่าพลันรู้สึกขัดเคืองขึ้นมาอีก

แม้สามีบอกภรรยาว่าไม่ต้องลุกขึ้นมา แต่อย่างน้อยนางก็สมควรลืมตาขึ้นมากล่าวอำลากับเขาสักคำมิใช่หรือ

ในเมื่อเขาไม่สุขสบาย ย่อมไม่อาจปล่อยให้นางสุขสบายเช่นนี้ได้

เขาหมุนกายกลับมา โน้มตัวประชิดมาที่เตียง ยกมืองอนิ้วเคาะขอบเตียงเป็นจังหวะไม่ช้าไม่เร็ว

เสี่ยวเฉียวถูกเขากวนจนตื่นอีกครั้ง นางดึงผ้าห่มลงจากศีรษะ ปรือตาขึ้นช้าๆ ก็มองเห็นเว่ยเซ่ากดขาข้างหนึ่งบนขอบเตียง ร่างท่อนบนโน้มประชิดเข้ามา กำลังพิศมองนางอยู่

“ท่านพี่…มีเรื่องอันใดหรือ” เสี่ยวเฉียวขยี้ตา ยังออกอาการไม่ตื่นดี

“เมื่อคืนมาคิดดูแล้ว ถึงอย่างไรรับฉู่อวี้เป็นอนุก็ไม่เหมาะสม ข้าไม่มีเวลาไปเรือนบูรพา เจ้าเป็นภรรยาของข้า วันนี้ไปแจ้งท่านแม่แทนข้าสักคำแล้วกัน”

เว่ยเซ่าพูดจบก็ยกมุมปาก ใบหน้ายิ้มแต่ใจไม่ยิ้ม จากนั้นจึงหมุนกายจากไป

เสี่ยวเฉียวนิ่งงันอยู่ชั่วอึดใจก็ได้สติ หนอนขี้เซาถูกขับไล่ไปทันที

นี่เขาหมายความว่าอย่างไรกัน ประเดี๋ยวรับ ประเดี๋ยวไม่รับ ไม่รับอนุก็ไม่เป็นไร แต่ปัญหาคือ…นี่จะให้นางไปเรือนบูรพาเพื่อรับเคราะห์จากมารดาของเขาอย่างนั้นหรือ

 

หลังจากเว่ยเซ่าเล่นงานนางเสร็จ ตอนที่เขาเดินจากไปดูเหมือนจะอารมณ์ดีไม่เลวเลย ฝีเท้าก็เบาสบายทีเดียว

ผิดกับเสี่ยวเฉียวที่ไม่สบายไปทั้งตัว

ตอนเขาออกไปยังไม่ถึงยามอิ๋น ฟ้ายังไม่สว่าง พอเขาไปแล้วชุนเหนียงก็เข้ามาช่วยเสี่ยวเฉียวดับเทียน

ราตรีในฤดูวสันต์เหมาะแก่การหลับใหล ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้บนเตียงก็ไม่มีใครแย่งที่นางแล้ว นางอยากนอนเช่นไรก็นอนได้ตามแต่ใจ

ทว่าหลังจากเว่ยเซ่าออกไป นางกลับไม่อาจเข้าสู่ห้วงนิทราได้อีก

สาวน้อยเบิกตาค้างจนฟ้าสาง สุดท้ายจึงลุกจากเตียง หลังล้างหน้าหวีผมเสร็จชุนเหนียงก็ยังเห็นเสี่ยวเฉียวมีท่าทางราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง เดิมนึกว่านางผิดใจกับเว่ยโหวอีกแล้ว แต่มาคิดดูอีกที เมื่อเช้าตอนเว่ยโหวออกจากประตู สีหน้าของฝ่ายนั้นดูดีที่สุดเท่าที่ตนเคยเห็นตลอดช่วงที่ผ่านมาทีเดียว ตามหลักแล้วน่าจะไม่มีเรื่องอันใดถึงจะถูก ชุนเหนียงจึงสอบถามให้รู้แน่

เสี่ยวเฉียวเล่าเรื่องที่พลิกเปลี่ยนไปมาเกี่ยวกับการรับอนุของเว่ยเซ่าที่เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ เพียงข้ามคืนให้ชุนเหนียงฟัง สุดท้ายนางจึงหน้าม่อยโผเข้าสู่อ้อมกอดของชุนเหนียง “นี่เว่ยเซ่าจงใจชัดๆ เขารู้ทั้งรู้ว่าแม่ของเขาไม่ชอบข้า ยังจะให้ข้าไปปฏิเสธเรื่องรับอนุแทนเขาอีก…”

ชุนเหนียงสะดุ้งโหยง รีบป้องปากเสี่ยวเฉียวไว้ในคราวเดียว “นามของเว่ยโหวเรียกส่งเดชเช่นนี้ได้หรือเจ้าคะ ระวังจะถูกผู้อื่นได้ยินเข้า!”

ในยุคนี้นามจริงไม่อาจเรียกขานกันส่งเดช เว้นแต่เป็นผู้ที่มีอาวุโสกว่า ไม่เช่นนั้นก็มีแต่คู่ปรับหรือคู่อาฆาตถึงจะเรียกชื่อแซ่ของอีกฝ่ายตรงๆ ซึ่งถือเป็นการดูหมิ่นหรือด่าทอ เสี่ยวเฉียวจึงหุบปาก

ขณะเดียวกันใบหน้าของชุนเหนียงก็เผยความยินดีปรีดา “เว่ยโหวไม่ยอมรับเจิ้งซูเป็นเรื่องดีใหญ่หลวงเชียวนะเจ้าคะ เหตุใดนายหญิงถึงไม่เบิกบานใจเล่า ส่วนเรื่องปฏิเสธฮูหยิน…”

ขบคิดเพียงชั่วอึดใจนางก็ยื่นหน้ามาข้างหูเสี่ยวเฉียว เอ่ยกระซิบหนึ่งประโยค

ดวงตาของเสี่ยวเฉียวสว่างวาบ ในที่สุดสมองก็ปลอดโปร่ง

ต้องโทษเว่ยเซ่าผู้นั้นคนเดียวสักพันครั้ง นับแต่วันแรกที่พบกัน ยามอยู่กับนางหากไม่ใช่หน้าดำใส่ก็คือพูดจาเยาะหยัน หรือไม่ก็ทำเหมือนกำลังสืบสวนนักโทษ แทบทุกชั่วขณะที่ใช้ชีวิตร่วมกับเขา นางต้องรับมืออย่างระมัดระวังด้วยประสาทที่ตึงเครียด กลัวแต่ว่าอึดใจถัดไปจะล่วงเกินคุณชายสกุลเว่ยผู้ใหญ่โตด้วยสาเหตุใดอีกหรือไม่ ด้วยเหตุนี้สมองของนางถึงได้มึนงง ลืมกระทั่งพระองค์ใหญ่เช่นสวีฮูหยินแห่งเรือนอุดรไปเสียนี่

เสี่ยวเฉียวอารมณ์ดีขึ้นทันตา รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าตรงไปยังเรือนอุดร

 

เมื่อวานจัดงานฉลองวันเกิด ตามหลักแล้วสวีฮูหยินน่าจะยังอ่อนเพลีย ทว่าวันนี้ยังคงตื่นเช้ายิ่ง

คงเพราะไม่อยากพบหน้าจูซื่อลูกสะใภ้คนนี้บ่อยนัก สวีฮูหยินจึงงดเว้นพิธีรีตองนี้นานแล้ว ไม่ต้องให้จูซื่อมาคารวะยามเช้า หากพำนักอยู่ในเรือน จูซื่อจะมาคารวะนางทุกวันที่หนึ่งและสิบห้าเท่านั้น ดังนั้นเสี่ยวเฉียวไปที่เรือนอุดรยามนี้จึงไม่พบจูซื่อแต่อย่างใด

นางไหว้วานให้หญิงรับใช้อาวุโสผู้หนึ่งเข้าไปแจ้ง ตนเองรออยู่หน้าระเบียงนอกประตูไม่นานเท่าไร แทบจะในทันทีด้วยซ้ำก็ถูกเรียกเข้าไปแล้ว

สวีฮูหยินสวมชุดลำลองนั่งอยู่บนตั่งเตี้ย กำลังกินโจ๊กที่เคี่ยวจากข้าวฟ่าง บนโต๊ะเล็กที่อยู่ตรงหน้าจัดวางเครื่องเคียงไม่กี่จาน อาหารเรียบง่าย เครื่องใช้ก็เป็นเครื่องเคลือบดินเผาเนื้อหยาบที่เปี่ยมด้วยกลิ่นอายเรียบง่ายแบบโบราณ

เสี่ยวเฉียวคุกเข่าคำนับอีกฝ่าย สวีฮูหยินให้นางลุกขึ้น สั่งจงเอ่านำชามกับตะเกียบมาเพิ่มอีกชุด ก่อนจะเรียกให้เสี่ยวเฉียวกินอาหารด้วยกัน

เสี่ยวเฉียวมองออกว่าสวีฮูหยินมีเจตนาเช่นนี้จริงจึงไม่บ่ายเบี่ยง คารวะขอบคุณแล้วล้างมือนั่งทางขวาในลำดับถัดมา กินโจ๊กเป็นเพื่อนอีกฝ่ายหนึ่งชามโดยไม่พูดระหว่างมื้ออาหาร หลังกินเสร็จ บ้วนปากและเก็บสำรับแล้ว สวีฮูหยินถึงได้ถามนางว่าเว่ยเซ่าอยู่ที่ใด

เสี่ยวเฉียวไม่รู้จริงๆ ว่าเว่ยเซ่าไปที่ใดแต่เช้าขนาดนั้น แม้นางเองจะไม่ได้ถาม แต่ต่อให้ถามก็คาดว่าเขาคงไม่บอกนางอยู่ดี

ได้ยินสวีฮูหยินสอบถาม สาวน้อยจึงเผยสีหน้าละอายใจ ก้มศีรษะตอบ “ท่านพี่ออกไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ต้องโทษที่ข้าบกพร่อง ไม่อาจรู้ได้ว่าท่านพี่ไปที่ใด”

ทั้งที่เห็นอยู่ว่านางกำลังตำหนิตนเอง ทว่า ‘ไม่รู้’ กับ ‘ไม่อาจรู้’ แม้ต่างกันเพียงหนึ่งคำ แต่เมื่อผู้อื่นฟังแล้ว เรื่องราวที่คิดโยงไปกลับต่างกันลิบลับ

‘ไม่อาจรู้’ คือมิใช่นางไม่สอบถาม ทว่าผู้เป็นสามีไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ยอมให้นางได้รู้

สวีฮูหยินย่อมรู้ว่าหลานชายของตนเฉยเมยต่อภรรยา ตอนที่อยู่เมืองซิ่นตูยังแยกห้องกับเสี่ยวเฉียวอย่างเปิดเผย เมื่อได้ฟังเช่นนี้จึงมุ่นคิ้วเอ่ยตำหนิหลานชายทันที “จ้งหลินละเลยต่อเจ้า ย่าเห็นในสายตาอยู่ เจ้าวางใจได้ วันหน้าหากเขารังแกเจ้าหรือทำให้เจ้าลำบากใจอีก เจ้าแค่มาหาย่าเป็นใช้ได้”

เสี่ยวเฉียวรีบสั่นศีรษะ “ข้าไม่มีความลำบากใจแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ ที่ท่านพี่ปฏิบัติต่อข้าก็ไม่นับว่าละเลย ก่อนออกเรือนคนทางบ้านกำชับมาว่าการเกี่ยวดองญาติเกิดขึ้นเพื่อไมตรีของสองสกุล และยิ่งมุ่งหวังจะสลายความร้าวฉานจากใจจริง แม้ท่านพี่มีใบหน้าเย็นชาทว่าหัวใจอุ่นระอุ หากข้ายึดมั่นในความตั้งใจเดิมนี้ สักวันหนึ่งย่อมจะดีขึ้นได้”

ดวงตาข้างเดียวของสวีฮูหยินทอประกายนิดๆ ขณะจับนิ่งบนดวงหน้าของเสี่ยวเฉียว พิจารณานางอยู่ชั่วครู่ ใบหน้าก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มน้อยๆ “ช่างเป็นเด็กที่รู้จักเหตุผล เจ้าคิดได้เช่นนี้ย่าก็วางใจแล้ว”

จงเอ่าที่อยู่ด้านข้างเอ่ยแทรกขึ้นมา “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ เมื่อครู่กำลังจะเรียนให้ท่านทราบอยู่พอดี เมื่อเช้ายังไม่ถึงยามอิ๋นนายท่านแวะมาที่เรือนอุดรแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ายังไม่ตื่นจึงไม่ทราบ นายท่านออกนอกเมืองไปตรวจตราแนวป้องกัน วันนี้ค่ำหน่อยถึงจะกลับเจ้าค่ะ”

สวีฮูหยินผงกศีรษะรับ จากนั้นยังสนทนาสัพเพเหระกับเสี่ยวเฉียวอีกหลายประโยค ก่อนที่จะกล่าวลา เสี่ยวเฉียวลังเลอยู่ชั่วอึดใจก็โขกศีรษะเอ่ยวิงวอนสวีฮูหยิน “ท่านย่า ข้ามีอยู่เรื่องหนึ่งไม่อาจตัดสินใจได้เด็ดขาด ใคร่ขอคำชี้แนะจากท่านย่าเจ้าค่ะ”

สวีฮูหยินบอกให้นางพูด

“ข้าเข้าจวนสกุลเว่ยได้ไม่นานก็รู้มาว่าท่านแม่หมายใจให้ท่านพี่รับเจิ้งซูเป็นอนุ ข้าเองก็เห็นพ้องอย่างยิ่ง ประการแรก เจิ้งซูสนิทสนมกับท่านแม่มาแต่ไหนแต่ไร หากมาเป็นคนของท่านพี่ ต่อไปข้าก็จะมีผู้ช่วยเพิ่มมาอีกคน ประการที่สอง นี่เป็นเรื่องดีที่เกี่ยวพันถึงการแตกกิ่งก้านสาขาของสกุลเว่ย ทว่าเช้านี้ก่อนท่านพี่ออกไปกลับกำชับให้ข้าไปเรือนท่านแม่เพื่อปฏิเสธเรื่องนี้แทนเขา ข้ารู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง อยากโน้มน้าวให้เขาคล้อยตามความประสงค์ของท่านแม่ด้วยการรับเจิ้งซูไว้จะดีกว่า แต่ท่านพี่ไม่ฟังข้า ข้าอับจนหนทาง ไม่รู้ควรเอ่ยปากกับท่านแม่อย่างไรดีถึงจะไม่ทำให้นางผิดหวังเสียใจ ขอท่านย่าได้โปรดชี้แนะข้าด้วยเจ้าค่ะ”

หัวคิ้วของสวีฮูหยินมุ่นนิดๆ กล่าวพึมพำกับตนเอง “ไยจึงพัวพันกับเจิ้งซูอยู่อีก” นางเหลือบมองเสี่ยวเฉียวที่ยังคำนับอยู่เบื้องหน้าตนไม่ยอมลุกขึ้น จากนั้นเอ่ยกับจงเอ่าที่อยู่ข้างกาย “เอาเถิด หลานสะใภ้ไม่ต้องไปแล้ว จงเอ่า ไปถ่ายทอดคำพูดของข้าที่เรือนบูรพา ให้นางหาตระกูลที่ดีภายในหนึ่งเดือน หากนางหาไม่ได้ ข้าจะช่วยแต่งหลานสาวแทนนางเอง”

จงเอ่าขานรับ สุ้มเสียงของสวีฮูหยินถึงค่อยเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลขณะเรียกให้เสี่ยวเฉียวลุกขึ้น

เสี่ยวเฉียวลุกขึ้นกล่าวขอบคุณสวีฮูหยินอีกครั้ง สวีฮูหยินจึงเอ่ยปลอบใจนางสองสามประโยค จากนั้นเสี่ยวเฉียวจึงค่อยกล่าวลาแล้วเดินออกมา 

จวบจนตกค่ำฟ้ามืดเว่ยเซ่าถึงกลับจวน ระหว่างมุ่งหน้าไปยังเรือนประจิม ในที่สุดเขาก็นึกถึงคำพูดที่ตนทิ้งไว้ก่อนออกจากห้องเมื่อเช้าได้

ยามนี้ความทรงจำยังแจ่มชัด พอเขาพูดประโยคนั้นออกมา เสี่ยวเฉียวซึ่งเดิมทีนอนหนุนหมอนหลับตาพริ้มอยู่พลันเบิกตาโพลง ดวงหน้าถอดสี

ในใจเว่ยเซ่าผุดความคาดหวังขึ้นรางๆ เขาเร่งฝีเท้ากลับห้อง เพิ่งก้าวข้ามธรณีประตู เงยหน้าขึ้นก็เห็นเสี่ยวเฉียวเดินออกจากห้องชั้นในมาต้อนรับเขาแล้ว

หลายวันมานี้สัญญาณแห่งฤดูวสันต์ยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้น ดอกท้อในลานเริ่มเผยเกสร สาวน้อยเองก็เปลี่ยนมาสวมอาภรณ์ชุดใหม่ที่บางเบาสอดรับกับฤดูกาล วันนี้นางสวมชุดลำลองฤดูวสันต์สีเหลืองอ่อน เรือนผมดุจเส้นไหมรวบไว้ปล่อยทิ้งตัวบนแผ่นหลัง เอวเพรียวที่โอบได้ในวงแขนเดียวแลดูอ่อนช้อยสบายตา ประดุจกิ่งหลิวอ่อนที่โน้มหักลงมาใหม่ แผ่ซ่านกลิ่นอายสดชื่นประทับใจ

บางทีอาจเพราะอาภรณ์บนร่างรัดรูปแนบกาย หรือบางทีอาจเป็นภาพลวงตา เมื่อเว่ยเซ่ากวาดตามองปราดหนึ่งจึงรู้สึกว่ารูปร่างของนางคล้ายสูงกว่าตอนแรกพบเมื่อปีที่แล้วเล็กน้อย รวมไปถึงหน้าอกส่วนนั้น…

เปรียบกับปลายปีที่แล้วตอนอยู่เมืองซิ่นตูก็ดูเหมือนจะนูนเด่นขึ้นนิดๆ

“ท่านพี่กลับมาแล้วหรือ”

เสี่ยวเฉียวฝีเท้าแผ่วเบา เอ่ยทักทายเขาพร้อมประดับยิ้มละไม

เว่ยเซ่าถอนสายตาคืนมา ขานอืมเสียงเรียบ ขณะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเขาก็รู้สึกอยู่ตลอดว่าบรรยากาศเช่นนี้ไม่ถูกต้อง เขามองนางอีกครั้ง เห็นนางยืนอยู่หน้าประตู กำลังสั่งบ่าวไพร่เตรียมสำรับค่ำ ขณะจะถามนางว่าได้ไปถ่ายทอดคำพูดที่เรือนบูรพาตามที่ตนสั่งไว้หรือไม่ เบื้องนอกก็มีหญิงรับใช้อาวุโสผู้หนึ่งเดินมาถึงหน้าประตู แจ้งว่าฮูหยินที่เรือนบูรพาส่งคนมาเชิญนายท่านไปพบ

เว่ยเซ่าชำเลืองมองเสี่ยวเฉียว เห็นนางหันหน้ามามองตน เขาขบคิดเล็กน้อย ก่อนสั่งให้บ่าวยกสำรับมาค่ำหน่อยแล้วค่อยหมุนกายเดินออกไป

 

เมื่อมาถึงเรือนบูรพา เว่ยเซ่าเข้าไปด้านในก็เห็นจูซื่อหน้าบึ้งตึง เขาตรงไปทักทาย จูซื่อก็ไม่แยแส

“ท่านแม่ขุ่นเคืองด้วยเรื่องใด” เว่ยเซ่าถาม

จูซื่อเหลือบมองเขาแล้วแค่นเสียงดังฮึ “บุตรชายแสนดีที่แม่อุตส่าห์คลอดออกมา! แค่ให้เจ้ารับญาติผู้น้องเป็นอนุเพื่อที่ข้างกายแม่จะได้มีเพื่อน เจ้ากลับแสดงความกตัญญูต่อแม่เยี่ยงนี้น่ะหรือ ถึงกับให้คนของเรือนอุดรมาฉีกหน้าแม่! กระทั่งบุตรชายยังปฏิบัติต่อแม่เช่นนี้ แม่มีชีวิตอยู่ต่อไปยังจะมีความหมายใด!”

ตอนนี้เว่ยเซ่าถึงเข้าใจกระจ่าง ที่แท้หญิงสกุลเฉียวไม่ได้มาเองสักนิด หากแต่ไปกอดขาท่านย่า ผลักให้ท่านย่ารับเรื่องนี้

มิน่าเล่าเมื่อครู่เห็นนางยิ้มละไมอยู่ตลอด ดูอารมณ์ดีเสียเหลือเกิน ที่แท้ก็ไม่ได้โผล่หน้ามาเอ่ยเรื่องนี้กับมารดาของเขาแต่อย่างใด

“ท่านแม่อย่าได้เข้าใจผิด มิใช่ลูกเจตนาเนรคุณ”

“นี่ยังไม่นับว่าเนรคุณอีกหรือ แล้วต้องเป็นเรื่องใดถึงจะนับ หรือเจ้าคิดบีบคั้นแม่ไปตายให้ได้”

เว่ยเซ่ารีบคุกเข่าให้จูซื่อ โขกศีรษะกล่าวอย่างสำรวม “ต่อให้ลูกอกตัญญูเพียงใดก็ไม่กล้าทำเช่นนั้นเป็นอันขาด แต่เพราะเรื่องของน้องฉู่อวี้ ลูกมีวิธีอื่นที่ดีพร้อมทั้งสองฝ่ายแล้ว”

เดิมทีจูซื่อกำลังก้มหน้าซับน้ำตา จู่ๆ ได้ยินเว่ยเซ่าเอ่ยเช่นนี้จึงชะงักกึก ช้อนตาขึ้นมองเขา

“ท่านแม่โปรดฟังลูกชี้แจงก่อน” เว่ยเซ่าโขกศีรษะอีกครั้ง “เมื่อวานท่านแม่ก็พูดเองว่าที่อยากให้ลูกรับฉู่อวี้เป็นอนุ เจตนาแท้จริงคืออยากเก็บนางไว้เป็นเพื่อนข้างกายตลอดไป คิดว่าฉู่อวี้เองก็คงคิดเช่นเดียวกันนี้ ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ยาก ไม่จำเป็นต้องให้ลูกรับนางเป็นอนุเลย ลูกสามารถสรรหาบุรุษที่องอาจหล่อเหลาแต่งเข้าสกุลมาให้ฉู่อวี้ เช่นนี้ไม่เพียงคลี่คลายเรื่องสำคัญชั่วชีวิตของนาง ทั้งนางยังสามารถอยู่เป็นเพื่อนข้างกายท่านแม่ได้เรื่อยไป ท่านแม่เห็นว่าอย่างไร”

จูซื่อตะลึงงัน

เจิ้งฉู่อวี้ซึ่งซ่อนกายอยู่หลังฉากบังลมสะดุ้งเฮือก นึกไม่ถึงว่าเว่ยเซ่าจะงัดวิธีนี้มารับมือ ด้วยกลัวว่าจูซื่อบ่ายเบี่ยงไม่พ้นจนตอบตกลงไปเสีย นางจึงอดไม่ได้ที่จะกระวนกระวาย ร่างส่ายนิดๆ เผลอกระเทือนถูกต่างหูหยกบนร่าง เกิดเสียงห่วงหยกกระทบกันแผ่วเบา

เว่ยเซ่าชำเลืองมองฉากบังลมปราดหนึ่งโดยไม่แสดงอาการ เพียงยิ้มกล่าวกับจูซื่อซึ่งลิ้นแข็งอ้าปากค้าง “ท่านแม่เองก็ทราบ แต่ไรมาลูกเห็นฉู่อวี้เป็นแค่น้องสาว ไม่มีความคิดเชิงชู้สาวแม้เพียงนิด หากรับนางเป็นอนุส่งเดชเยี่ยงนี้ นอกจากไม่เป็นธรรมต่อนาง จะยิ่งทำให้นางเสียเวลาทั้งชีวิต ดังนั้นลูกจึงจัดการเช่นนี้”

“จ้งหลิน นี่…นี่คงจะไม่เหมาะ…” จูซื่อเองก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวหลังฉากบังลม รู้ว่าเกิดจากเจิ้งฉู่อวี้ เมื่อถูกเสียงนั้นเตือนนางจึงรีบเอ่ยแย้ง “ผู้ที่เต็มใจแต่งเข้าวงศ์ตระกูลฝ่ายหญิงจะมีบุรุษที่ดีหรือ แม่ไม่อาจหาคู่ครองให้ฉู่อวี้ส่งเดช!”

“วาจานี้ของท่านแม่ผิดแล้ว บัดนี้ใต้หล้ารบพุ่งกันอยู่ ผู้ที่บุพการีสิ้นบุญไปแล้วพบได้ทุกแห่งหน ในกองทัพของลูกก็มีชายหนุ่มที่สูญเสียบิดาอยู่มากมาย ล้วนแต่แกร่งกล้าห้าวหาญทั้งสิ้น ด้วยอุปนิสัยและรูปโฉมของน้องสาว ไยต้องกังวลว่าจะหาเขยที่ยินดีแต่งเข้าสกุลไม่ได้อีก วันหน้าลูกคอยส่งเสริมเลื่อนขั้นให้ น้องสาวจะได้รับความลำบากได้อย่างไร”

“จ้งหลิน…”

“ลูกตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว หากท่านแม่ไม่อาจหักใจให้น้องสาวออกเรือนก็รับเขยเข้าสกุลเว่ยเรา ท่านแม่ใคร่ครวญดูสักพักเถิด คิดเสร็จแล้วค่อยบอกลูก ที่เรือนของลูกยังมีธุระอื่นอีก ลูกขอตัวกลับก่อน”

สีหน้าของเว่ยเซ่าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเฉียบขาด โขกศีรษะให้จูซื่อที่ตะลึงตาค้างแล้วลุกขึ้นจากไป

พอเว่ยเซ่าคล้อยหลัง เจิ้งฉู่อวี้ก็รีบวิ่งออกมาจากหลังฉากบังลม ร่ำไห้โผซบตักของจูซื่อ ก่อนจะหลั่งน้ำตากล่าว “เห็นทีชาตินี้วาสนาของข้ากับท่านป้าคงสิ้นสุดแล้ว ช่างเถิดๆ ฉู่อวี้ขอร้องท่านป้า แต่งข้าให้ผู้อื่นไปเสียเถิด วันหน้าฉู่อวี้จะยังคงระลึกถึงท่านป้า กลับมาเยี่ยมเยียนท่านบ่อยๆ”

จูซื่อทั้งมีโทสะทั้งปวดร้าวใจ นางโอบกอดเจิ้งฉู่อวี้พลางเอ่ยด้วยความเจ็บแค้น “เจ้าไม่อยู่ข้างกายป้า ทั้งวันปล่อยให้ป้าเผชิญหน้ากับยายแก่ตาบอดนั่นก็แล้วไปเถิด ตอนนี้ยังมีหญิงสกุลเฉียวเพิ่มมาอีกคน ป้าจะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไรเล่า เจ้าอย่าได้ร้อนใจไปเลย ป้าจะคิดหาวิธีใหม่ ให้จ้งหลินบ่ายเบี่ยงไม่ได้อีก!”

“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะมีวิธีใดให้คิดอีกหรือ” เจิ้งฉู่อวี้เงยหน้าสะอื้นกล่าว

“วิธีน่ะมีอยู่ เพียงแต่ต้องลำบากเจ้า…”

จูซื่อแนบข้างหูหลานสาวแล้วเอ่ยเสียงเบาหลายประโยค ดวงหน้าของเจิ้งฉู่อวี้พลันแดงซ่านด้วยความกระดากอาย นางสั่นศีรษะไม่ยินยอม

จูซื่อโอบนางไว้ ทอดถอนใจกล่าว “ฉู่อวี้ ป้ารู้ว่าวิธีนี้ชวนให้เจ้ากระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้ เห็นทีคงเหลือแต่ทางนี้เท่านั้น วาจาเมื่อครู่ของจ้งหลินเจ้าก็ได้ยินหมดแล้ว ซ้ำทางเรือนอุดรยังมีคำสั่งลงมา หากไม่ทำเช่นนี้ เกรงว่าป้าคงเก็บเจ้าไว้ไม่ได้อีก”

เจิ้งฉู่อวี้ขบริมฝีปากพลางก้มหน้าอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ขานดังอืม เอ่ยเสียงแผ่วดุจยุงบิน “ฉู่อวี้จะเชื่อฟังตามที่ท่านป้าจัดการทุกอย่าง”

เสี่ยวเฉียวรอคอยอยู่ที่ระเบียงหน้าประตู ในที่สุดก็เห็นเว่ยเซ่ากลับมา นางรีบลงบันไดไปต้อนรับเขาด้วยตนเองพร้อมเอ่ยถาม “ท่านพี่หิวแล้วกระมัง อาหารค่ำจัดเตรียมพร้อมแล้ว เพียงรอท่านกลับมากินด้วยกัน” สาวน้อยพูดจบก็แอบชำเลืองมองสีหน้าของเขา

เว่ยเซ่าชะงักฝีเท้ามองนาง

เขาถูกมารดาเรียกไปพบเช่นนี้ย่อมรู้เรื่องที่ตนแอบขัดคำสั่ง โยนเผือกร้อนไปให้สวีฮูหยินจัดการแทนแล้วเป็นแน่ ถึงอย่างนั้นเสี่ยวเฉียวก็ยังรู้สึกร้อนตัวนิดๆ เมื่อครู่ระหว่างที่นางนั่งสงบเสงี่ยมรอเขากลับมากินอาหารจึงคิดแผนรับมือไว้แล้ว เห็นเขามองตนด้วยนัยน์ตาขรึมสีน้ำหมึก ใบหน้านิ่งดุจห้วงน้ำลึก สาวน้อยจึงไม่ส่งเสียงอีก ทำเพียงรอคอยให้เขาเอ่ยปากไล่เลียงเอาเรื่องกับตนอีกครั้ง

“กินอาหารเถิด”

นึกไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยประโยคเดียวที่เรียบง่ายเช่นนี้ จบคำเขาก็ยกเท้ามุ่งหน้าสู่ห้องอาหาร ยามที่เดินผ่านข้างกายเสี่ยวเฉียว ใบหน้าของนางสัมผัสได้ถึงสายลมอ่อนๆ จากร่างที่เฉียดผ่านไป

เสี่ยวเฉียวประหลาดใจยิ่งนัก ยืนตะลึงอยู่กับที่ เห็นเขาเดินฉับๆ ก้าวขึ้นบันไดไปแล้วถึงค่อยรีบตามเงาหลังของเขาไป

ที่ผ่านมาเว่ยเซ่าไม่ค่อยกลับมากินอาหารค่ำ นับรวมครั้งนี้ทั้งสองก็เพิ่งกินอาหารด้วยกันสามสี่ครั้งเท่านั้น

พูดให้ถูกคือ…เสี่ยวเฉียวได้ปรนนิบัติเขากินอาหารแล้วสามสี่ครั้ง

โต๊ะเตี้ยถูกจัดวางบนตั่ง เว่ยเซ่านั่งสง่าตรงกึ่งกลางของโต๊ะ เสี่ยวเฉียวเป็นสตรีมีฐานะไม่สูงเท่า นางเพียงนั่งคุกเข่าอยู่ที่ตำแหน่งขวามือ ปรนนิบัติเขากินอาหาร รอจนเขากินเสร็จตนเองถึงจะสามารถกินได้ ทว่าครั้งก่อนๆ เขาล้วนกินเร็วยิ่ง และแทบจะไม่ใช้สอยให้นางทำสิ่งใด งานนี้จึงไม่นับว่าเหนื่อยเลย

เสี่ยวเฉียววางสะโพกไว้บนส้นเท้าตามท่านั่งที่ได้มาตรฐาน

มิอาจไม่พูดว่าเว่ยเซ่ามีรูปกายที่ผึ่งผาย เป็นบุรุษรูปงามโดยกำเนิด ยามนี้นั่งสง่าอยู่บนตั่งหลังโต๊ะในชุดยาวแบบสาบเสื้อซ้ายทบขวาอันมิดชิดเรียบร้อย แขนเสื้อที่หลวมกว้างทิ้งตัวจากแนวไหล่สองข้างตามสบาย สอดรับกับอิริยาบถอันเข้าทีไม่ช้าไม่เร็วของเขา กระทั่งอาการยื่นตะเกียบคีบกับข้าวก็ยังดูลื่นไหลถึงเพียงนี้ ราวบุรุษที่เดินออกมาจากตำราโบราณ แผ่ซ่านเสน่ห์อันโดดเด่นเป็นธรรมชาติ เพียงแต่เขาเป็นคนจริงที่มีชีวิตเท่านั้น

เสี่ยวเฉียวมองซ้ำสองหนจึงค่อยถอนสายตาคืนมา พลันได้ยินเว่ยเซ่าเอ่ยชวน “กินอาหารด้วยกันสิ”

เสี่ยวเฉียวหันไปมองเขาอย่างตะลึงงัน เห็นเขามองตนอย่างอารมณ์ดีและเป็นมิตรก็รีบปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรหรอก ข้าเรียกให้กินด้วยกัน เจ้าก็กินด้วยกันเถิด”

เขาสั่งบ่าวนำชามกับตะเกียบมาเพิ่มอีกชุด

เสี่ยวเฉียวรู้สึกว่าคำเชิญกะทันหันนี้น่าสงสัยยิ่งนัก โดยเฉพาะเป็นคำเชิญที่มีขึ้นภายหลังจากที่เขากลับมาจากเรือนบูรพา ทว่าเขาใจดีอย่างหาได้ยากเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะที่ตนจะบอกปัด คาดว่ากินอาหารไม่น่าจะเกิดปัญหาใดไปได้ นางจึงค้อมกายให้เขาเล็กน้อย กล่าวขอบคุณแล้วเดินเข่าไปข้างหน้าสองก้าว นั่งลงข้างโต๊ะแล้วกินเงียบๆ จนข้าวหมดหนึ่งชามเล็ก

นี่คือปริมาณข้าวที่นางกินตามปกติ

สาวน้อยช้อนตาขึ้น เห็นเว่ยเซ่ากินเสร็จแล้วเช่นกัน สองมือของเขาแยกวางบนหน้าขาทั้งสอง ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดูเหมือนเมื่อครู่นี้เขาจะมองนางกินข้าวมาตลอด

เสี่ยวเฉียวกลืนอาหารคำสุดท้ายในปาก พักตะเกียบบนที่วางเบาๆ ขณะที่นางจะเรียกบ่าวให้ยกน้ำสะอาดมาปรนนิบัติเขาบ้วนปาก เว่ยเซ่ากลับเอ่ยขึ้นก่อน “เติมข้าวให้นายหญิงอีกชาม”

เสี่ยวเฉียวรีบสั่นศีรษะ “ขอบคุณท่านพี่ ข้าอิ่มแล้ว”

“ข้าเห็นเจ้ากินแค่ไม่กี่คำจะไปอิ่มท้องได้อย่างไร” เว่ยเซ่ากล่าว

“พอแล้วจริงๆ ปกติข้าก็กินแค่เท่านี้” เสี่ยวเฉียวชี้แจง

“นั่นหมายความว่าปกติเจ้ากินน้อยเกินไป” เว่ยเซ่ามองพิจารณาเรือนร่างของนางขึ้นลงปราดหนึ่งก่อนเผยแววเดียดฉันท์นิดๆ “มาอยู่เรือนข้าได้พักใหญ่แล้วกลับดูผอมแห้งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก ผู้อื่นไม่รู้จะนึกว่าสกุลเว่ยของข้ากระทั่งข้าวก็ไม่ให้เจ้าได้กินอิ่ม กินเพิ่มอีกชามสิ”

เสี่ยวเฉียวรู้สึกว่าเขากำลังพูดเฉไฉตาใส

ด้วยวัยตอนนี้ของนาง สารอาหารที่ได้รับตามปกติถือว่าเพียงพออยู่แล้ว ตัวนางยังรู้สึกถึงการเจริญเติบโตของร่างกายได้เลย เอี๊ยมชั้นในของปีที่แล้วหมู่นี้ก็เริ่มคับแน่น รัดอึดอัดเสียจนนางเปลี่ยนมาใช้ตัวใหม่แล้วด้วยซ้ำ

ทว่าหญิงรับใช้ยกข้าวมาถึงแล้ว

เมื่อสบกับสายตาห่วงใยของเว่ยเซ่า เสี่ยวเฉียวก็จนใจ ได้แต่ก้มหน้าพยายามกินจนหมดชามที่สอง

หลังข้าวชามที่สองลงท้องนางก็อิ่มตื้อมาถึงหน้าอก เสี่ยวเฉียวกดข่มความรู้สึกอยากเรอเอาไว้พลางวางตะเกียบลง

“เติมข้าวให้นายหญิงเพิ่มอีกชาม” เสียงของเว่ยเซ่าดังขึ้นอีก

เสี่ยวเฉียวสั่นศีรษะแรงๆ “ข้ากินไม่ลงแล้วจริงๆ!”

“ท่านย่าตำหนิว่าข้าละเลยเจ้า เจ้าก็ผอมแห้งถึงเพียงนี้ ไม่พยายามกินเพิ่มจะใช้ได้อย่างไร”

เว่ยเซ่าสะบัดแขนเสื้อ ลุกขึ้นไปตักข้าวอีกชามด้วยตนเอง อัดจนแน่นชามก่อนยกมาถึงเบื้องหน้าเสี่ยวเฉียว

นางมองเขา ใบหน้าของเว่ยเซ่าประดับยิ้ม

“ข้ากินไม่ไหวแล้วจริงๆ” เสี่ยวเฉียวเอ่ยหน้านิ่ว

สีหน้าของเว่ยเซ่าขรึมลงในฉับพลัน

“จงกินให้หมด!” สุ้มเสียงเจือไอเย็นดุจห้วงน้ำ “ไม่เพียงมื้อนี้ นับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป ทุกมื้อเจ้าก็ต้องกินข้าวสามชาม! ท่านย่ารักเอ็นดูเจ้า ขืนเจ้าไม่มีเนื้อเพิ่มขึ้นกว่านี้ ครั้งต่อไปยามที่อยู่ต่อหน้าท่านย่า ข้าเกรงว่าจะชี้แจงไม่ได้”

เสี่ยวเฉียวสบตากับเขาอยู่ชั่วครู่ก่อนขบริมฝีปาก “ท่านพี่ ข้าผิดไปแล้ว”

เว่ยเซ่าก้มหน้าลง จัดแขนเสื้อของตนไปตามเรื่อง “ผิดตรงที่ใด” สุ้มเสียงไม่สนใจไยดี

“เมื่อเช้าท่านพี่ให้ข้าไปถ่ายทอดคำพูดแทนท่านที่เรือนของท่านแม่ แต่ข้ากลับไปที่เรือนอุดร” เสี่ยวเฉียวพิศมองสีหน้าของเขาพลางตอบเสียงเบา

เว่ยเซ่าขานดังอ้อ แววตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าสมควรทำอย่างไร”

“คราวหน้าข้าไม่กล้าอีกแล้ว…” เสี่ยวเฉียวอ้ำอึ้งก่อนหลุดเรอออกมา

“ยังจะมีคราวหน้า?” เขาเลิกคิ้ว

“ไม่ใช่ๆ…” เสี่ยวเฉียวโบกมือวุ่นวาย

ตอนนี้เองที่เสียงฝีเท้าอันเร่งร้อนพลันดังมาจากเบื้องหลัง เสี่ยวเฉียวหันหน้าไปก็เห็นหญิงรับใช้อาวุโสผู้หนึ่งรีบรุดเข้ามาค้อมกายกล่าว “ท่านโหว แม่ทัพหลี่เตี่ยนขอพบ บอกว่ามีเรื่องด่วนเจ้าค่ะ”

เว่ยเซ่าชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ก่อนจะลุกขึ้นโดยทิ้งเสี่ยวเฉียวไว้ สาวเท้าออกไปทันที

มองส่งเงาหลังของเว่ยเซ่าจากไปแล้ว เสี่ยวเฉียวจึงค่อยระบายลมหายใจออกมา

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

sangdow Marcom: