X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน โฉมงามสองหน้า บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่หก

อีกด้านหนึ่ง สิงฟู่อวี่กับลูกน้องปรึกษางานกันเสร็จ ขณะเตรียมกลับห้องพักล้างหน้าล้างตาพลันนึกได้ว่านางหนูเสวี่ยนอนพักผ่อนอยู่ในห้อง เกรงจะรบกวนนาง เขาจึงไปล้างหน้าล้างตาที่อื่น จากนั้นจึงกลับมาที่เรือนด้วยร่างกายที่สดชื่นเย็นสบาย

พอเข้ามาในเรือน เขาก็ผ่อนฝีเท้าให้เบาลงเดินเข้าไปในห้องด้านใน แสงเทียนส่องสะท้อนผ้าห่มที่โป่งนูนบนเตียงในม่านมุ้ง เขายิ้มมุมปาก ตอนแรกคิดจะหมุนตัวเดินจากไป แต่แล้วก็รู้สึกแปลกใจ องครักษ์หญิงที่รับหน้าที่ปรนนิบัติดูแลเหตุใดจึงไม่อยู่

สัญชาตญาณการระวังภัยผุดขึ้นมา ไม่ถูก ผ้าห่มที่โป่งนูนขึ้นดูเหมือนจะใหญ่ไปสักหน่อย เขาสีหน้าขรึมลง รีบเดินไปที่ข้างเตียง เลิกม่านมุ้งขึ้น ดึงผ้าห่มออกแล้วก็ต้องตกใจ คนที่นอนอยู่ถึงกับเป็นองครักษ์หญิง

สีหน้าสิงฟู่อวี่หม่นขรึมจนน่ากลัว เขาตรวจดูชีพจรของนาง พบว่าองครักษ์หญิงถูกวางยาสลบ เขาพบกระดาษเขียนข้อความที่ข้างหมอน จึงรีบคลี่ออกมาอ่าน อ่านจบก็ย่นหัวคิ้ว จากนั้นก็เปิดแผ่นที่สองออกอ่าน หัวคิ้วยิ่งขมวดแน่นขึ้น

จดหมายนี่นางหนูเสวี่ยเขียนขึ้นหรือ เขาไม่เชื่อ นี่ไม่เหมือนเด็กหกขวบเขียน เป็นไปไม่ได้ที่นางจะรู้จักตัวหนังสือมากเช่นนี้ แต่ถ้อยคำในจดหมายกลับคล้ายสำนวนการพูดของนาง…

เขารู้สึกว่าเรื่องราวดูแปลก อีกทั้งวรยุทธ์ขององครักษ์หญิงก็ไม่อ่อนด้อย ไม่น่าจะถูกวางยาให้หมดสติได้ง่ายๆ แต่ในห้องก็ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ และตรวจไม่พบเบาะแสว่ามีคนบุกเข้ามา

หรือว่านางหนูเสวี่ยจะวางยาองครักษ์หญิงจนหมดสติไปจริงๆ แต่เขาไม่เข้าใจ เด็กอายุหกขวบคนหนึ่งเหตุใดจึงมีความสามารถทำให้องครักษ์หญิงหมดสติไปได้

เขารีบสั่งลูกน้องแยกย้ายกันออกตามหา ไม่ว่าจะใช่นางหนูเสวี่ยเป็นคนทำหรือไม่เขาก็ต้องหาตัวนางให้พบให้เร็วที่สุดเพื่อทำเรื่องให้กระจ่าง ทางที่ดีไม่ใช่มีคนมาจับตัวนางไป หาไม่…

สิงฟู่อวี่สีหน้าเครียดขรึมเห็นแล้วน่าหวั่นหวาด กล้าบุกเข้ามาในถิ่นของเขา แตะต้องคนของเขา ทางที่ดีจงวิงวอนต่อสวรรค์อย่าให้เขาเจอตัว

ลูกน้องที่เขาส่งออกไปตรวจสอบกลับมารายงาน หลังออกจากหมู่บ้านไปได้ไม่ไกล ร่องรอยของนางก็หายไป สิงฟู่อวี่รีบปิดกั้นเส้นทางน้ำไว้ แล้วก็เป็นไปตามคาดหมาย ตรวจพบว่าที่ริมฝั่งน้ำละแวกใกล้เคียงมีเรือของชาวบ้านลำหนึ่งหายไป เชือกที่มัดเรือถูกมีดตัดขาด

เรือลำเล็กขนาดนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะแล่นทวนน้ำ ไม่เพียงเปลืองแรงยังแล่นได้ไม่เร็ว เช่นนั้นก็ต้องไปทางตะวันออกแล้ว สิงฟู่อวี่งอนิ้วนับดูเวลา ไล่ตามไปตอนนี้น่าจะตามทัน เขารีบซื้อเรือจากชาวบ้านอีกลำ แล้วรีบไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว

 

อูอีเสวี่ยที่ไม่รู้ว่าสิงฟู่อวี่กำลังไล่ตามมาอย่างสุดกำลัง หลังจากนอนอยู่ในเรือจนสว่าง พลันถูกเสียงเอะอะโวยวายของคนทำให้ตกใจตื่น นางรีบโผล่หัวขึ้นมาจากเรือลำน้อย พอมองไปก็ต้องร้องว่าแย่แล้ว โจรในแม่น้ำกำลังปล้นเรือ!

นางช่างโชคร้ายเสียจริง ถึงกับเจอโจรปล้นกลางวันแสกๆ ปล้นสะดมควรต้องเลือกเวลากลางคืนมิใช่หรือ การค้าไม่ดีถึงเพียงนี้เชียว โจรคนหนึ่งในเรือมองสบตากับนางเข้าพอดี นางร้องในใจว่าแย่แล้ว

“ตรงโน้นมีหญิงสาว!” โจรร้องตะโกนขึ้น

สิ่งที่พวกปล้นสะดมชอบที่สุดคือเงินกับหญิงสาว ต่อให้ไม่มีเงิน แย่งหญิงสาวมาก็เอาไปขายได้เหมือนกัน เห็นโจรหันหัวเรือมุ่งมาทางนาง อูอีเสวี่ยคิดในใจว่าด้วยพละกำลังของนางไม่นานก็ต้องถูกฝ่ายตรงข้ามไล่ทัน นางตัดสินใจในฉับพลัน นั่งอยู่ในเรือตั้งมั่นออมกำลังเพื่อรับมือข้าศึกที่บุกเข้ามาเสียเลย รอพวกเขาพายเข้ามาเอง

เรือของโจรเข้ามาใกล้ หลังเห็นรูปร่างหน้าตานางชัดถนัดตาก็ตะโกนขึ้น “อ่า เป็นเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่ง!”

โจรอีกคนหัวเราะพลางเสริมขึ้น “ทั้งยังเป็นเด็กหญิงที่งดงามอีกด้วย”

อูอีเสวี่ยมองพวกเขาด้วยใบหน้าทึ่มทื่อไร้เดียงสา ในใจคิดคำนวณ ฝ่ายตรงข้ามมีด้วยกันทั้งหมดสามลำเรือ ลำหนึ่งเข้ามาขวางเรือของนาง ที่เหลืออีกสองลำกำลังขนสินค้าที่ชิงมาได้

โจรเห็นนางเป็นเพียงเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่ง ความระแวดระวังจึงลดลงไม่น้อย เข้าใจว่าเป็นแพะอ้วนที่อยู่ในมือ รีบกระโดดขึ้นเรือของนาง คนหนึ่งจับตัวนางไว้ อีกคนหนึ่งหยิบห่อสัมภาระของนางมาตรวจดู

อูอีเสวี่ยฉวยจังหวะนี้ชักกระบี่อ่อนที่เอวออกมา ตวัดกระบี่ออกกระบวนท่า สะบั้นเอ็นมือเอ็นเท้าของโจรทั้งสองทันที แล้วผลักพวกเขาตกแม่น้ำไป จากนั้นก็หมุนตัวมาเจาะเรือพวกเขาทะลุ ไม่รอให้โจรบนเรืออีกสองลำทันได้สติ นางก็รีบคว้าห่อสัมภาระพายเรือหนีเอาชีวิตรอด

แม้นางจะสูญเสียพลังวัตร แต่ก็ไม่ได้ลืมกระบวนท่าเพลงยุทธ์ ขอเพียงไม่ได้ต่อสู้กันด้วยพลังวัตร เพียงรับมือกับโจรทั่วไปที่รู้จักแต่ฟาดฟันดาบ นางยังมั่นใจว่าเอาชนะได้

ลงมือครั้งเดียวจัดการโจรไปได้สองคน เจาะเรือพวกเขารั่วไปหนึ่งลำ เรืออีกสองลำที่เหลือบรรทุกสินค้าอยู่ หากคิดจะไล่ตามนาง ก็ต้องเอาสินค้าโยนทิ้งจึงจะไล่ตามทัน นางคาดเดาว่าฝ่ายตรงข้ามคงไม่ทำเช่นนั้น ถึงได้กล้าลงมือ

โจรเหล่านั้นจะต้องนึกไม่ถึงว่านางเด็กอายุหกขวบคนหนึ่งจะใช้กระบี่เป็น นอกจากกระทืบเท้าร้องด่าอยู่กับที่ หรือไม่ก็ไปช่วยสหายที่ถูกนางตัดเอ็นมือเอ็นเท้าและผลักตกน้ำแล้ว ก็คงได้แต่มองนางหนีไปตาปริบๆ

ขณะที่นางเข้าใจว่าได้คำนวณทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว กลับคิดไม่ถึงว่าหนึ่งในหมู่โจรจู่ๆ กลับใช้วิชาตัวเบา หลังจากพุ่งกระโดดไม่กี่ครั้งก็กระโดดมาถึงเรือของนาง

อูอีเสวี่ยตื่นตะลึง คนผู้นี้ไม่ใช่โจรทั่วไป หากแต่เป็นผู้ฝึกฝนที่เป็นวรยุทธ์อย่างแท้จริง อีกทั้งฝีมือยังไม่อ่อนด้อย

“นางหนูรนหาที่ตาย!” ดวงตาทั้งสองของฝ่ายตรงข้ามจ้องนางอย่างเยียบเย็นน่าสะพรึงกลัว เพียงพูดประโยคนี้ออกมาประโยคเดียว ดาบในมือก็ฟันลงมาที่นางแล้ว

อูอีเสวี่ยรีบยกกระบี่ขึ้นต้าน แต่นางที่ไร้ซึ่งพลังวัตรไหนเลยจะต้านรับพลังที่ฟาดฟันลงมาอย่างรุนแรงนี้ได้

นางถูกกระแทกจนง่ามมือด้านชา ทานรับพลังที่กดทับลงมาไม่ไหวทรุดลงไปคุกเข่า เพื่อจะต้านรับดาบนี้นางได้ใช้พละกำลังที่มีอยู่ออกไปทั้งหมด ไม่เหลือเรี่ยวแรงจะหลบเท้าที่วาดตามมาของฝ่ายตรงข้ามอีก

ฝ่าเท้านี้เตะถูกหน้าอกของนาง เดิมทีนางก็ได้รับบาดเจ็บภายในอยู่แล้ว ชั่วขณะนั้นหน้าอกพลันเจ็บปวดรุนแรงยากจะทนไหว ความคาวเค็มขุมหนึ่งทะลักขึ้นมาที่ลำคอ โลหิตสดไหลออกมาตามมุมปากของนาง

นางนอนอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรงอยู่บนพื้นเรือ ได้แต่มองบุรุษผู้นี้คว้าตัวนางขึ้นมาโยนลงไปในน้ำ

น้ำเย็นเฉียบในแม่น้ำม้วนร่างนางลงไปอย่างรวดเร็ว นางไร้เรี่ยวแรงจะดิ้นรน ได้แต่ปล่อยให้น้ำในแม่น้ำกลืนร่างนาง

นางคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายกลับต้องมาลงเอยเช่นนี้ ต้องมาจมน้ำตายในแม่น้ำอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ทั้งก่อนตายนางยังไม่อาจกลับคืนสู่สภาพเดิมได้

ตอนมีคนพบศพนาง ย่อมไม่รู้ว่านางคืออูอีเสวี่ยประมุขหุบเขาหมื่นบุปผา ผู้คุมกฎทั้งสี่ก็ไม่มีวันหานางพบ ในที่สุดนางก็ไม่อาจทำตามคำสั่งเสียของอาจารย์ได้…

 

สิงฟู่อวี่อุ้มนางหนูเสวี่ยที่เปียกชุ่มโชกไปทั้งตัวอยู่ในอ้อมแขน ใบหน้าเครียดขรึมจนน่ากลัว เขาไม่กล้านึกภาพว่าถ้าเขามาช้าอีกเพียงก้าวเดียว ที่เขาอุ้มขึ้นมาคงเป็นศพที่เย็นเฉียบศพหนึ่ง

โจรที่ทำร้ายนางหนูได้ตายไปภายใต้คมดาบของเขาแล้ว เขาฟันฉับเดียวเป็นสองท่อน ศีรษะหลุดจากบ่า กระทั่งฝ่ายตรงข้ามรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรยังไม่คู่ควรให้เขาไปมอง

เขาใช้วิชาตัวเบากลับขึ้นไปบนฝั่ง หาบ้านชาวนาในละแวกใกล้เคียงได้หลังหนึ่ง โยนเงินให้เจ้าของบ้าน ขอห้องห้องหนึ่ง และห้ามใครเข้ามารบกวน

พอเข้ามาในห้องเขาก็รีบถอดเสื้อผ้าเปียกออกจากร่างของนาง ใช้ผ้าห่มเช็ดร่างที่เย็นเฉียบของเด็กหญิง จากนั้นก็จับนางนั่งตัวตรง ส่วนเขาก็นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้า เอาฝ่ามือทาบกับหน้าอกของนาง โคจรพลังลมปราณถ่ายทอดพลังวัตรเข้าไปในร่างอีกฝ่าย ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บต่อชีวิตให้

พลังวัตรที่แข็งแกร่งหนาแน่นขุมหนึ่งไหลเข้าไปในร่างของอูอีเสวี่ย ไปที่เส้นลมปราณพิเศษทั้งแปด จากเส้นลมปราณเข้าไปยังจุดต่างๆ ติดต่อกันไม่ขาดสาย

ลมปราณภายในจุดตันเถียนที่ว่างเปล่าของนางพลันทะลักพรั่งพรู ดุจบ่อน้ำที่แห้งขอดจู่ๆ ก็มีน้ำฝนเทลงมา จนเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้ว

สิงฟู่อวี่ถ่ายทอดพลังวัตรให้นางจำเป็นต้องจดจ่อตั้งอกตั้งใจ ไม่อาจว่อกแว่กแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้สังเกตเห็นว่าผิวหนังที่ใต้ฝ่ามือของตนกำลังเปลี่ยนแปลงไปช้าๆ หน้าอกที่เดิมราบเรียบกำลังนูนขึ้นมาทีละน้อยๆ อย่างยากจะสังเกตเห็น ร่างเล็กๆ ก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นร่างอรชรอ้อนแอ้นของหญิงสาว

อูอีเสวี่ยเริ่มได้สติ หนังตาของนางขยับเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น สายตาค่อนข้างพร่าเลือน สมองก็ออกจะมึนงง เพียงรู้สึกหน้าอกอุ่นๆ สบายยิ่ง

รอจนนางลืมตาขึ้นมาเต็มที่ เห็นคนที่อยู่ตรงหน้าชัดเจนก็อดตะลึงงันไม่ได้

สิงฟู่อวี่ เขาตามมาแล้ว ทั้งยังกำลังทำอะไรบางอย่าง

เมื่อนางก้มลงมองตามมือเขา พบว่าตนไม่มีผ้าพันกายแม้แต่ชิ้นเดียว และฝ่ามือของเขากำลังทาบอยู่ที่อวัยวะกลมอวบอิ่มนุ่มนิ่มทั้งสองของนาง

นางตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวง พร้อมๆ กับการกรีดร้องนางก็จู่โจมฝ่ามือทั้งสองออกไป ซัดสิงฟู่อวี่ที่กำลังมุ่งมั่นจดจ่ออยู่กับการโคจรพลังลมปราณออกไปอย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างร่วงลงจากเตียง

ขณะมุ่งมั่นจดจ่อกับการโคจรพลังลมปราณ สิ่งที่กลัวที่สุดก็คือถูกรบกวน สิงฟู่อวี่ถูกการจู่โจมอย่างฉับพลันกะทันหันทำให้ลมปราณภายในแตกซ่าน พลังชีวิตที่ช่องอกสับสน กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง

เขาจ้องมองคนที่อยู่บนเตียงด้วยความตกใจและโมโห พอมองไปก็ต้องตะลึงงัน เพียงเห็นบนเตียงมีหญิงสาวนั่งอยู่คนหนึ่ง คนผู้นี้ก็คืออูอีเสวี่ยที่เขาตามหามานานวันก็ยังหาไม่พบ!

เหตุใดนางจึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ อีกทั้งยังไม่ได้สวมเสื้อผ้า!

อูอีเสวี่ยโกรธจนชี้หน้าเขาด่าว่า “ท่านต่ำช้า! ถอดเสื้อผ้าข้าอีกแล้ว!”

อีกแล้ว? เขาเคยไปถอดเสื้อผ้านางตั้งแต่เมื่อไร ยังมีอีก แล้วนางหนูเสวี่ยเล่า นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!

จู่ๆ อูอีเสวี่ยก็โผล่ออกมาทำให้เขาตื่นตระหนกตกใจ ไม่เข้าใจอย่างสิ้นเชิงว่านางโผล่มาจากที่ใด ทั้งนางยังด่าเขาหาว่าเขาถอดเสื้อผ้าของนาง แต่ที่เขาถอดเป็นเสื้อผ้าของนางหนูเสวี่ยชัดๆ…ช้าก่อน! นางบอก ‘อีกแล้ว’

สิงฟู่อวี่ที่แม้ภูเขาไท่ซานถล่มลงมาตรงหน้าก็ไม่ตกใจพลันถูกความคิดที่พุ่งวาบเข้ามาในสมองทำให้ตะลึงงันไปแล้ว เขาจ้องมองคนที่อยู่บนเตียงตาไม่กะพริบ สีหน้าท่าทางที่ขุ่นเคืองไม่พอใจ นัยน์ตากลมโตสุกใสที่จ้องมองมาเขม็ง ยังมีน้ำเสียงยามด่าคน ล้วนคล้ายกันมากกับนางหนูเสวี่ยที่อายุหกขวบ…

นางปรากฏตัวขึ้นมา แต่นางหนูเสวี่ยกลับหายไปแล้ว มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว…

“เจ้าคือนางหนูเสวี่ย นางหนูเสวี่ยก็คือเจ้า!” นี่ไม่ใช่คำถาม หากแต่เป็นการยืนยัน เขาทั้งประหลาดใจทั้งโมโห หญิงสาวที่เขาส่งคนจำนวนมากไปตามหาแต่ก็ไม่พบ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นนางหนูเสวี่ย!

หลังจากอูอีเสวี่ยตบหน้าเขาไปฉาดหนึ่ง ก็พบว่าตนเองได้กลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว นางกำลังอยู่ในอาการตื่นเต้นดีใจ พลันถูกคำพูดของเขาดึงสติกลับมา ช้อนตาขึ้นก็สบเข้ากับสายตาที่ดุดันเต็มไปด้วยความโกรธแค้น หัวใจพลันเต้นรัวแรง

แย่แล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาดีใจ หลังจากถูกเขาล่วงรู้ฐานะที่แท้จริง เขายังจะละเว้นนางหรือ เกรงว่าคงจะโกรธจนอยากจะสังหารนางกระมัง

ภายใต้สายตาโกรธแค้นดุดันของเขา นางอดตัวสั่นสะท้านไม่ได้ เห็นสีหน้าเหี้ยมโหดดุดันน่าครั่นคร้ามนั่นแล้วก็พอจะรู้ว่าเวลานี้เขากำลังเดือดดาลมากเพียงใด นางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก พอเห็นเขาเคลื่อนไหว นางรีบเอาผ้าห่มพันร่างแน่น กระโดดลงจากเตียงและหนีไปทันที

ทว่าสิงฟู่อวี่มีหรือจะปล่อยให้นางหลุดรอดจากมือ เขาดึงแส้ยาวที่เอวออกมาสะบัดไปที่นาง แส้ยาวพันรัดร่างนางไว้ราวกับงู กระตุกอีกทีนางก็ถูกพลังขุมหนึ่งลากกลับมา ล้มลงไปในอ้อมอกของเขา ท่อนแขนที่แข็งดุจเหล็กกักตัวนางไว้อย่างแน่นหนา

อูอีเสวี่ยมีเพียงผ้าห่มบางผืนหนึ่งปิดบังร่าง มือทั้งสองของนางอยู่ในผ้าห่ม ถูกแส้ยาวของเขาพันธนาการไว้ด้วยกัน นางได้แต่ขยุกขยิกตัวพยายามดิ้นรน

“ขืนดิ้นอีกก็จะให้เจ้าเปลือยร่างแล้ว” เขาขู่ขวัญเสียงต่ำ

คำพูดประโยคนี้ทำให้นางหยุดการเคลื่อนไหวได้สำเร็จ ไม่กล้าขยุกขยิกอีก กลัวเขาโมโหขึ้นมาจะฉีกผ้าห่มซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่นางใช้ห่อหุ้มร่างอยู่เวลานี้ออก

ในที่สุดเห็นนางสงบนิ่งลงเขาจึงอุ้มนางขึ้นไปบนเตียง จากนั้นเขาก็ตามขึ้นมาบนเตียงด้วย แล้วปล่อยม่านมุ้งลงมา

การกระทำของเขาทำให้อูอีเสวี่ยตกใจรีบกระถดหนีไปที่มุมเตียง มองเขาด้วยแววตาหวั่นหวาด คล้ายจะถามว่า ‘ท่านคิดจะทำอะไร’

สิงฟู่อวี่ไม่สนใจสายตาที่จ้องมองเขม็งของนาง ยื่นมือมาจี้สกัดจุดนาง ไม่ให้นางเล่นลวดลายได้อีก จากนั้นจึงลงนั่งขัดสมาธิหลับตาโคจรพลังลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บ

อูอีเสวี่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางยังเข้าใจว่าเขาคิดจะทำอะไรนางเสียอีก โชคดีที่ไม่ใช่ ทว่าเพิ่งจะวางใจลงก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาอีก

หลังจากเขารักษาอาการบาดเจ็บแล้วเล่า เขาจะเริ่มหันมาจัดการนางหรือไม่ นางคิดจะโคจรพลังคลายจุดด้วยตนเอง กลับพบว่าแม้ตนจะกลับคืนสู่รูปร่างเดิม แต่พลังวัตรกลับมีไม่ถึงหนึ่งส่วน ไม่อาจคลายจุดด้วยตนเองได้

หลังจากสิงฟู่อวี่จดจ่ออยู่กับการโคจรพลังลมปราณอยู่ราวครึ่งชั่วยามก็ลืมตาขึ้นมาช้าๆ นัยน์ตาคมกริบกวาดมาที่นาง มองจนนางอกสั่นขวัญหาย เตรียมพร้อมป้องกันตัวเต็มที่

เขาเห็นความหวาดกลัวในดวงตาของนางจึงนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลงจากเตียงและออกจากห้องไป

ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็กลับเข้ามา คลายจุดให้นางและโยนเสื้อผ้าสตรีชุดหนึ่งมาให้

“ใส่ซะ” เขาสั่ง จากนั้นก็เดินห่างออกไปหลายก้าว ก่อนจะหมุนตัวหันหลังให้นาง

อูอีเสวี่ยลุกขึ้นมานั่ง มองเสื้อผ้าในมือ แล้วมองเขาที่กำลังหันหลังให้ตน คิดในใจว่าถ้าตนฉวยโอกาสลอบจู่โจมเขาจากข้างหลัง ไม่รู้มีโอกาสสำเร็จสักเท่าไร

“ถ้าเจ้าคิดจะทำอะไรไม่ชอบมาพากล เช่นนั้นข้าก็ไม่ถือสาที่จะเอาตัวเจ้าไปทั้งร่างเปลือยเปล่า” เขาเอ่ยเตือนช้าๆ ได้ยินเสียงเสื้อผ้าเสียดสีกันอยู่ด้านหลังก็รู้ว่านางรู้จักดูทิศทางลม เขาจึงรอต่อไป

เดิมเข้าใจว่านางไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ใครจะรู้ ฉับพลันนั้นสายลมรุนแรงขุมหนึ่งก็จู่โจมเข้ามาที่ด้านหลังศีรษะของเขา เขาฉากหลบไปข้างๆ มีดเล็กเล่มหนึ่งเฉียดผ่านใบหู พุ่งไปปักบนประตูไม้

เขาหันขวับมา นัยน์ตาคมดุจกระบี่ นางกล้าลอบจู่โจมเขาจริงๆ

ครั้งแรกไม่สำเร็จ ยังมีครั้งที่สอง เก้าอี้ไม้ที่พุ่งเข้ามาถูกเขาซัดแตกในฝ่ามือเดียว จากนั้นลมแรงหอบหนึ่งก็กวาดเข้ามา ปิ่นปักผมเงินอันหนึ่งพุ่งเข้ามาที่หว่างคิ้วของเขา

สิงฟู่อวี่เบี่ยงหน้าหลบ พร้อมกันนั้นก็ปัดปิ่นเงินในมือนางทิ้งไป ฝ่ามือใหญ่คว้าออกรวบมือทั้งสองของนางไว้แน่นพร้อมตวาดขึ้น

“พอแล้ว!”

“เจ็บ!” อูอีเสวี่ยสีหน้าเจ็บปวด น้ำตาคลอขังเป็นประกาย

สิงฟู่อวี่ได้ยินนางร้องเจ็บก็คลายมือด้วยสัญชาตญาณ กลับคิดไม่ถึงว่านางจะฉวยโอกาสนี้จู่โจมเข้ามาอีกครั้ง ฝ่ามือวาดขวาง แต่ก็ถูกเขาสกัดไว้

“ยังไม่หยุดหรือ!” เขาตวาดด้วยความโมโห รวบข้อมือทั้งสองของนางไว้แล้วบิดไปด้านหลัง ข้อมือนางถูกบิดจนเจ็บ

“เจ็บยิ่งนัก…”

“ยังจะเสแสร้ง!”

“ครั้งนี้เป็นเรื่องจริง! เจ็บยิ่งนัก รีบปล่อยมือ!” นางสีหน้าซีดขาว หน้าผากมีเหงื่อเย็นซึม เจ็บจนน้ำตาไหลออกมาแล้ว

สิงฟู่อวี่ย่นหัวคิ้ว ดึงมือนางมาข้างหน้าตรวจดู พบว่าครั้งนี้ไม่ได้หลอก เมื่อครู่เขาใช้แรงมากไป ไม่ระวังบิดข้อมือขวาของนางจนหลุดจากเบ้า

เดิมทีเขาโมโหที่นางลอบจู่โจมครั้งแล้วครั้งเล่า จึงคิดจะสั่งสอนนางให้รู้สำนึกบ้าง แต่พอเห็นดวงหน้าน้อยทุกข์ทรมานเพราะความเจ็บปวด น้ำตาร่วงเผาะๆ เป็นเม็ดๆ ใบหน้าซีดขาวดูน่าเวทนาสงสาร หัวใจของเขาพลันสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างประหลาด ไม่อาจทำใจแข็งจัดการนางได้

ทุกครั้งที่นางแพ้แล้วก็จะร้องไห้เช่นนี้ให้เขาดู นางที่เป็นแม่หนูน้อยเป็นเช่นนี้ นางที่เปลี่ยนเป็นหญิงสาวก็ยังเป็นเช่นนี้ ทำให้เขาไม่อาจปั้นหน้าดุดันต่อไปได้อีก เขาช่วยขยับข้อมือนางกลับเข้าที่ พลางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

“เจ้าฉวยโอกาสตอนข้าถ่ายทอดพลัง ซัดข้าหนึ่งฝ่ามือ ข้ายังไม่ร้องเจ็บ”

หยาดน้ำตาของอูอีเสวี่ยร่วงเผาะๆ ดุจไข่มุกที่ขาดจากสาย ยิ่งไหลก็ยิ่งมาก ทั้งยังเริ่มสะอึกสะอื้น ท่าทางประหนึ่งได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างใหญ่หลวง

เขาทางหนึ่งช่วยนวดข้อมือที่เขียวช้ำของนาง ทางหนึ่งก็ร้องอุทธรณ์ “เจ้ายังใช้ปิ่นปักผมแทงหว่างคิ้วข้า คิดจะสังหารข้า เหี้ยมโหดยิ่งนัก”

อูอีเสวี่ยที่ใช้หยาดน้ำตาร้องทุกข์กล่าวโทษถลึงตาใส่เขาทีหนึ่งพลางโต้แย้งขึ้น “จะอย่างไรท่านก็หลบพ้น ไม่ได้แทงถูก อูย…ท่านเบามือหน่อย! คิดจะทำให้มือข้าใช้การไม่ได้หรืออย่างไร!”

สิงฟู่อวี่ไม่รู้ควรโกรธหรือหัวเราะดี นางแม้จะกลายเป็นหญิงสาว แต่นิสัยกลับไม่ต่างกับแม่หนูน้อยคนหนึ่ง หลอกเขามานานเพียงนี้ ไม่เพียงไม่หวาดผวา ยังจะมีเหตุผลอีกด้วย

เมื่อครู่ตอนเขารู้ว่านางก็คืออูอีเสวี่ยนางมารแห่งซีซาน แม้จะเดือดดาลแต่ก็ไม่ได้คิดจะทำร้ายนาง เขายั้งมือไว้ไมตรีให้นางมาโดยตลอด ตอนนี้ก็เพียงทำนางข้อมือหลุดเท่านั้น เขายังเป็นฝ่ายช่วยนางนวดข้อมือ ทว่านางกลับยังจะบ่นว่าเขา

“เจ้าจะร้องไห้ทำไม ข้ายังไม่ได้สอบปากคำทรมานเจ้าเลย เจ็บแค่นี้ก็ทนไม่ไหวแล้วหรือไร”

อูอีเสวี่ยก็ไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงอยากร้องไห้ หลังจากเขาพบว่านางก็คืออูอีเสวี่ย แววตาที่ไร้ความปรานีนั่นทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตใจ อยากจะหลั่งน้ำตาออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

ความจริงแล้วนางไม่ใช่คนขี้แย ไม่เข้าใจว่าตนเองเป็นอะไรไป ยามอยู่ต่อหน้าเขากลับห้ามน้ำตาไม่อยู่

หลังจากสิงฟู่อวี่ต่อข้อมือกลับเข้าไปให้นาง และนวดรอยเขียวช้ำให้กระจายแล้ว จึงกระแอมไอขึ้น

“เจ้าพูดมา เรื่องนี้ที่แท้แล้วเป็นมาอย่างไร เหตุใดเจ้าจึงกลายเป็นเด็กอายุหกขวบไปได้”

อูอีเสวี่ยรู้ว่าตนตกอยู่ในมือของเขาอีกแล้ว โกหกต่อไปก็ไร้ประโยชน์ จำต้องพูดความจริง

“เพราะเหตุใดข้าจึงตกอยู่ในสภาพนี้ ท่านคิดหาสาเหตุไม่ออกหรือ”

สิงฟู่อวี่ย้อนนึกอย่างละเอียด ตอนอยู่ที่หน้าผามัจจุราช ความจริงแล้วเขาไม่มีเจตนาที่จะสังหารนาง เพียงคิดจะทำลายวรยุทธ์ของนาง เพื่อจะได้เอาตัวนางกลับไปเมืองหลวงตามที่ได้รับมอบหมาย

เขาหวนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับนางในตอนนั้นตั้งแต่ต้นจนจบอีกครั้ง สุดท้ายก็มองมือของตนเอง พลันเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง

“หรือว่าตอนนั้นข้ามุ่งหมายจะทำลายวรยุทธ์เจ้า ดูดพลังวัตรของเจ้า ถึงได้ทำให้เจ้ากลายเป็นเด็กน้อย และเมื่อครู่ข้าถ่ายทอดพลังวัตรให้เจ้า เจ้าจึง…”

พูดมาถึงตรงนี้ ในสมองของเขาพลันนึกถึงภาพฝ่ามือแตะต้องส่วนที่อวบหยุ่นบนหน้าอกของนาง ความรู้สึกยามสัมผัสยังคงแจ่มชัด…ฉับพลันนั้นเลือดลมพลันพลุ่งพล่าน เขารู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างประหลาด ส่วนนางก็ดูเหมือนจะนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาพร้อมกัน ดวงตาที่ช้อนมองมาพลันสบเข้ากับนัยน์ตาของเขา พวงแก้มนวลเนียนดุจดอกบัวพลันโลหิตสูบฉีด แดงฉานดุจเปลวไฟ ทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปได้ในเวลาอันสั้น

“มองอะไร” นางอดถามด้วยความโกรธแกมขวยเขินไม่ได้ หัวคิ้วนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองกลับเพิ่มความงดงามให้กับดวงหน้างามเพริศพริ้งอีกสามส่วน ดูสดใสน่ารักชวนลุ่มหลงยิ่ง

สิงฟู่อวี่สีหน้าอึดอัดขัดเขิน รีบกดข่มความรุ่มร้อนในร่างเอาไว้ พลันรู้สึกข้อมือที่อยู่ในฝ่ามือตนพยายามจะขยับออก เขารีบรวบมือแน่นไม่ปล่อย

“คิดหนีหรือ” เขาถามเสียงต่ำ

นางบอกน้ำเสียงฮึดฮัด “ข้าหนีพ้นหรือ ท่านบีบแรงจนข้าเจ็บแล้ว”

เขาคลายแรงลง แต่ยังไม่ยอมปล่อย เพราะเขาพบว่าแม้ตนเองจะจับนางได้แล้ว แต่กลับเหมือนไม่อยากจะมอบนางออกไป

เด็กน้อยที่เขารักและตามใจอย่างที่สุดคนหนึ่ง จู่ๆ ก็กลายเป็นนางมารที่เขาได้รับคำสั่งให้มาจับกุมตัว ทำให้กระบวนความคิดของเขาเปลี่ยนเป็นสับสนขึ้นมา ระหว่างที่ยังคิดไม่ออกว่าควรจัดการกับนางอย่างไร ก็คงได้แต่เอานางไว้ข้างกายเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิดไปก่อน

ตอนพวกเขาเดินออกมานอกห้อง ชาวนาสองสามีภรรยาต่างงงงัน ไม่เข้าใจว่าในบ้านของตนเหตุใดจึงมีหญิงสาวเพิ่มมาหนึ่งคน

สิงฟู่อวี่มอบเงินจำนวนหนึ่งให้พวกเขาแล้วสั่งกำชับ “เรื่องในวันนี้ห้ามเอ่ยกับใครเด็ดขาด หาไม่พวกเจ้าคงรู้ถึงผลที่จะตามมา”

กลิ่นอายบนร่างของเขาน่าครั่นคร้ามยิ่ง สองสามีภรรยาเป็นชาวบ้านในชนบทห่างไกล เพียงต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ย่อมไม่กล้าก่อเรื่อง รีบรับปากกับเขาว่าจะไม่พูดออกไปแม้ครึ่งคำ

สิงฟู่อวี่พาอูอีเสวี่ยออกจากบ้านชาวนา เพื่อป้องกันนางไม่ให้หลบหนี เขากุมมืออีกข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บของนางพานางเดินไป

จังหวะก้าวของเขายาว อูอีเสวี่ยที่ถูกลากให้เดินต้องซอยเท้าวิ่งจึงตามเขาทัน

“ท่านปล่อยมือ อย่างไรเสียข้าก็หนีไม่ได้” นางประท้วง

“ไม่ได้” เขายืนกรานจะกุมข้อมือนางเดินไป

นางดิ้นไม่หลุด จำต้องเดินตามต่อไป ในใจก็คาดเดาไม่ถูกว่าที่แท้แล้วบุรุษผู้นี้คิดจะจัดการกับนางอย่างไร

แม้นางจะกลับคืนสู่สภาพเดิม แต่พลังวัตรฟื้นคืนมาเพียงส่วนเดียว คิดมาถึงตรงนี้ ในใจนางอดนึกเสียใจไม่ได้ ตอนนั้นถ้านางอดทนข่มกลั้นเอาไว้ได้ ไม่แน่อาจได้พลังวัตรกลับคืนมาทั้งหมด จากนั้นนางก็สั่นศีรษะปฏิเสธความคิดนี้ เรื่องแบบนี้จะให้ทนได้อย่างไร มีสตรีใดบ้างหลังจากฟื้นขึ้นมาพบว่าตนเองไม่มีผ้าพันกาย ทั้งถูกบุรุษลูบคลำหน้าอกยังจะรับมือด้วยความเยือกเย็นอยู่ได้

เฮ้อ ครั้งนี้นางเสียเปรียบมากจริงๆ! อูอีเสวี่ยรู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจ

ทั้งสองคนนิ่งเงียบมาตลอดทาง หลังจากเดินมาราวหนึ่งชั่วยามครึ่งนางรู้สึกเหนื่อยและกระหายน้ำ แต่บุรุษที่เดินอยู่ข้างหน้าดูเหมือนจะไม่รู้สึกเหนื่อยแม้แต่น้อย เอาแต่กุมข้อมือนางไว้ไม่ปล่อย เดินไปข้างหน้าไม่หยุด

ถ้าเป็นแต่ก่อน นางคงรักษาความสงบเยือกเย็นเอาไว้ได้ ไม่โกรธไม่โมโห แต่ไม่รู้ทำไม ยามนี้นางอารมณ์ไม่ดี โทสะขุมหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ ฉับพลันนั้นนางเผลอไม่ทันระวังเหยียบลงไปในหลุมเข้า ทำให้เท้าเคล็ด

นางเท้าเจ็บ แต่เพราะความไม่พอใจจึงอดทนไว้ไม่พูด กระทั่งสิงฟู่อวี่หยุดลง เลือกพักผ่อนชั่วคราวที่ริมลำธารแห่งหนึ่งถึงได้พบว่าการเคลื่อนไหวของนางผิดปกติ

“เท้าเป็นอะไรไป” เขาถามขึ้น

“ไม่เป็นไร” นางหันหน้าหนี ตอบอย่างหมางเมิน

เขาไม่เอ่ยปากอีก แต่กลับอุ้มนางขึ้นมา ทำเอานางตกอกตกใจ

“ท่านจะทำอะไร” นางโมโหจนใช้มือตีเขา

สิงฟู่อวี่อุ้มนางไปนั่งบนก้อนหิน ก้มหน้าลงตรวจดูเท้าของนาง ไม่ผิดจากที่คาด เขาพบว่าข้อเท้าด้านซ้ายออกจะบวมแดง

“เท้าเคล็ดได้รับบาดเจ็บเหตุใดจึงไม่บอก” คิ้วเข้มขมวดมุ่นจนน่ากลัว น้ำเสียงเจือตำหนิ

“บอกแล้วมีประโยชน์หรือ” นางพูดอย่างไม่พอใจ หันหน้าไปอีกทางไม่มองเขา

ท่าทางเช่นนี้ของนางไม่ต่างอะไรกับเด็กเจ้าอารมณ์ ไม่รู้ทำไมสิงฟู่อวี่ถึงกับมีความรู้สึกอยากจะหัวเราะออกมา

เป็นเขาที่สะเพร่า ถึงได้ทำให้นางข้อเท้าเคล็ด เพราะตลอดทางที่เดินมาเขาเอาแต่คิดว่า…นางหนูเสวี่ยก็คืออูอีเสวี่ย เรื่องนี้น่าตื่นตะลึงเกินไปแล้ว และก็ทำให้เขากลัดกลุ้ม ไม่รู้ควรจะจัดการกับนางอย่างไร ถ้าปฏิบัติต่อนางอย่างไร้ปรานี เขาก็ส่งตัวนางไปที่เมืองหลวง มอบให้ฝ่าบาทได้โดยไม่ต้องสนใจอะไร แต่เขาไม่สมัครใจ

ใช่ เขาไม่สมัครใจ ด้วยเหตุนี้เขาจึงกลัดกลุ้ม เขาจำเป็นต้องใคร่ครวญให้ดีก่อน หญิงสาวผู้นี้ได้โยนความยุ่งยากใหญ่หลวงมาให้เขาแล้ว

สิงฟู่อวี่ถอดถุงเท้ารองเท้าของนางออก นวดเท้าให้นาง เท้าที่เปล่าเปลือยของหญิงสาวขาวผ่องดุจหิมะ บอบบางราวกับผิวทารก ยามสัมผัสนุ่มนิ่มนวลเนียนดุจหยก

เขาเหลือบตาขึ้นมอง เห็นดวงตาทั้งสองของนางปิดแน่น ฟันขาวกัดริมฝีปาก กำลังข่มกลั้นความเจ็บปวด แม้จะสวมใส่เสื้อผ้าชาวบ้านธรรมดา แต่ยังคงงดงามชวนมอง สีหน้าที่ซีดขาวเล็กน้อยดูแล้วน่าสงสาร

สิงฟู่อวี่มองจ้องนาง ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ตอนอยู่กับนางหนูเสวี่ยผุดขึ้นมาในสมองของเขา ความจริงนางมีนิสัยเช่นไรเขารู้ดีที่สุด

นางช่วยเด็กๆ ที่ถูกพวกค้าทาสจับตัวไป เล่นสนุกสนานอยู่กับเด็กๆ อย่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา นางออดอ้อนเอาแต่ใจอยู่ในอ้อมแขนของเขา และเหม่อมองเมฆขาวที่อยู่ไกลเพียงลำพังคนเดียว หลั่งน้ำตาเงียบๆ บอกว่านางคิดถึงบ้าน

ความจริงแล้วนางก็เป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบหกคนหนึ่ง วรยุทธ์ธรรมดาสามัญ เพื่อจะเอาชีวิตรอด บางครั้งก็เล่นลูกไม้บ้าง ประสบการณ์ในยุทธภพยังไม่มากพอ และยังกลัวเจ็บ

วันนี้ดีที่มาเจอเขา หากตกอยู่ในมือคนอื่น เขาไม่กล้าคิดภาพว่าคนอื่นจะจัดการนางเช่นไร

หลังจากช่วยสวมรองเท้าคืนให้นาง เขาก็หมุนตัวนั่งยองๆ หันหลังให้นางพลางเอ่ยสั่ง “ขึ้นมา ข้าแบกเจ้าเอง”

อูอีเสวี่ยหันหน้ากลับมา มองเขาด้วยความประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าเขาถึงกับจะแบกนาง

เขาเหลียวกลับมามองนาง เอ่ยร้องเร่ง “ยังไม่รีบขึ้นมา หรือเจ้าอยากจะเดินเอง”

นางลังเลอยู่ชั่วขณะ คิดในใจว่าในเมื่อท่านอยากแบก ข้าย่อมยินดีเป็นอย่างยิ่ง ครั้นแล้วนางก็ไม่มัวเกรงใจ ปีนขึ้นไปเกาะอยู่บนหลังเขาทันที

สิงฟู่อวี่แบกนางเดินต่อไป และนางก็รู้ว่านี่เป็นโอกาสดีอย่างที่สุด ขอเพียงซัดเขาให้สลบไปตอนนี้นางก็หนีไปได้แล้ว

นางมองจ้องต้นคอของเขา บอกกับตนเองว่าต้องลงมือเดี๋ยวนี้ แต่แล้วก็พบว่าความคิดฝ่ายดีกับฝ่ายร้ายของตนกำลังต่อสู้กัน ทำให้ไม่อาจตัดใจลงมือ

ความจริงแล้วยามเผชิญหน้ากับเขา นางเองไยมิใช่ก็ลังเลไม่เด็ดขาด ก่อนหน้านี้ที่นางลอบจู่โจมเขา ความจริงแล้วนางก็หาได้ทำเต็มกำลัง เหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาตอนอยู่กับเขาได้ประทับตราตรึงอยู่ในสมองของนาง

ความดีที่เขามีต่อนางนางรู้ดี และหลังจากเขารู้ฐานะที่แท้จริงของนาง นอกจากตอนแรกที่โกรธแค้นแล้ว สุดท้ายยังมิใช่ใจอ่อนกับนางหรือ หาไม่ตอนนี้ก็คงไม่แบกนางเดิน

ยามซบอยู่บนแผ่นหลังของเขา ในใจของนางรู้สึกอบอุ่น แต่ก็รู้สึกเงียบเหงาวังเวงใจ เขารับพระบัญชาจากฮ่องเต้มาปฏิบัติภารกิจ ส่วนนางก็แบกรับภาระหน้าที่ใหญ่หลวงของหุบเขาหมื่นบุปผา ทั้งสองถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องเป็นศัตรูกัน บางทีเวลานี้เขาอาจเห็นแก่มิตรภาพเก่า ไม่อาจทำใจแข็งกับนาง แต่ก็ยากจะรับรองได้ว่าเขาจะไม่เปลี่ยนใจ เอาตัวนางกลับไปเมืองหลวงเพื่อรายงานผลงาน

ทั้งสองต่างนิ่งเงียบมาตลอดทาง เขาแบกนางเดินไปอย่างไม่รีบร้อน นางก็เกาะอยู่บนหลังเขาเงียบๆ ทำตัวเรียบร้อยเหมือนที่ผ่านมา คล้ายว่านางยังเป็นนางหนูเสวี่ยที่ซุกซนผู้นั้น เพราะเดินเหนื่อยแล้ว ดังนั้นเขาจึงแบกนางกลับบ้าน

ในเมื่อสิงฟู่อวี่กล้าแบกนาง แล้วมีหรือจะกลัวนางลอบจู่โจม เขาคล้ายมีตาติดอยู่ข้างหลัง นางคิดจะทำสิ่งใดเขาก็รู้ทุกอย่าง เห็นนางล้มเลิกความคิดที่จะจู่โจมเขาเขาถึงกับรู้สึกปลื้มปีติยินดีอย่างยิ่ง มุมปากหยักโค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว

เนื่องจากขามาเขามาทางน้ำ ตอนกลับย่อมต้องนั่งเรือกลับไปจึงจะเร็ว

ทั้งสองมาถึงท่าเรือ บนฝั่งมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมารอขึ้นเรืออยู่ก่อนแล้ว สิงฟู่อวี่วางนางลง เอ่ยเสียงต่ำ “รอข้าอยู่ที่นี่”

นางพยักหน้า ดูท่าทางเชื่อฟัง คล้ายยอมรับชะตากรรมแล้วอย่างไรอย่างนั้น ทว่าสิงฟู่อวี่ก็ไม่กลัวนางหนี ต่อให้นางหนีไป เขาก็สามารถจับตัวนางกลับมาได้ในทันที

เขาหมุนตัวเดินไปทางคนพายเรือ อูอีเสวี่ยฉวยโอกาสที่เขากำลังจ่ายค่าโดยสารเรือ จงใจมองไปที่บุรุษกลุ่มหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกล บุรุษกลุ่มนั้นพบว่านางรูปโฉมงดงามก็ตะลึงงันนึกว่าเทพธิดา

ความจริงตอนอูอีเสวี่ยมาถึงท่าเรือก็สังเกตเห็นคนเหล่านี้แล้ว นางรู้คนเหล่านี้เป็นคนของพรรคเฉาปัง วรยุทธ์ของพวกเขาอาจเทียบกับสิงฟู่อวี่ไม่ได้ แต่ได้เปรียบที่จำนวนคนมาก ถ้านางจะหนี ก็ต้องใช้โอกาสในครั้งนี้

นางฉวยจังหวะที่สิงฟู่อวี่ไม่ทันสังเกต วิ่งไปที่บุรุษกลุ่มนั้น ไปขอความช่วยเหลือจากพวกเขาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ…

“พี่ชายทั้งหลาย ได้โปรดช่วยข้าด้วย ข้าถูกคนจับตัวมา คนผู้นั้นคิดจะเอาข้าไปขายที่หอนางโลม…”

นางรูปร่างหน้าตางามเพริศพริ้งเพียงนี้ ทั้งดูอ่อนแอบอบบางไร้ที่พึ่งพิง ในดวงตามีหยาดน้ำตาคลอขัง ทำให้คนจิตใจหวั่นไหว บุรุษเหล่านั้นเห็นนางแล้วก็ถูกรูปโฉมของนางทำให้งงงัน พอได้ยินนางพูดเช่นนี้ หัวใจของวีรบุรุษผู้กล้าช่วยหญิงงามก็ถูกปลุกเร้าออกมาทันที

ที่นี่เป็นเขตอิทธิพลของพรรคเฉาปัง หลายวันก่อนเกิดเรื่องโจรปล้นเรือ ทำให้พรรคเฉาปังเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ จึงส่งศิษย์ในพรรคออกมาจำนวนมาก เวลานี้มาได้ยินว่าถึงกับมีคนข่มเหงรังแกสตรีผู้หนึ่งตอนกลางวันแสกๆ คิดจะเอานางไปขายให้หอนางโลม ต่างก็เดือดดาลหนัก รีบตบอกรับประกันว่ามีพวกเขาอยู่ ไม่มีใครกล้าแตะต้องนาง

สิงฟู่อวี่จ่ายค่าโดยสารเรียบร้อย หมุนตัวมาพลันสังเกตเห็นบรรยากาศไม่ถูกต้อง…เขาถูกล้อมไว้แล้ว อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามก็มีจำนวนคนมาก ทุกคนมือกุมดาบที่เอว จ้องมาที่เขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

สิงฟู่อวี่กวาดสายตาไป เห็นอูอีเสวี่ยหลบอยู่ข้างหลังบุรุษเหล่านี้ เห็นนางเบนสายตาหนีอย่างวัวสันหลังหวะไม่มองเขา นัยน์ตาคมกริบของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ใคร่ครวญดูครู่หนึ่งก็เข้าใจ คนเหล่านี้คงจะถูกนางยุยงส่งเสริม ถึงได้พุ่งหัวหอกมาที่เขา

ตอนทุกคนจู่โจมเข้ามา เขารีบชักกระบี่ออกต่อกร ยังต้องระมัดระวังไม่อาจเล่นงานผู้อื่นถึงตาย จะอย่างไรคนเหล่านี้ก็เป็นเพียงคนของพรรคเฉาปัง เขาไม่อาจสังหารผู้บริสุทธิ์ส่งเดช

ขณะที่เขากำลังยุ่งอยู่กับการรับมือคนเหล่านี้ หางตาก็เหลือบไปเห็นนางหดคอฉวยโอกาสหนีไปแล้ว เขาโมโหจนอยากจะหัวเราะ นางหนูจอมกะล่อนผู้นี้ เขาประเมินนางต่ำไปจริงๆ ฝีมือสู้เขาไม่ได้ก็หยิบยืมมือผู้อื่น ให้คนกักตัวเขาเอาไว้ ส่วนเขากลับได้แต่มองนางหนีไปโดยทำอะไรไม่ได้

 

ติดตามต่อได้ในเล่ม…โฉมงามสองหน้า ชุด ข่าวลือในยุทธภพ

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

Jamsai Editor: