X
    Categories: ทดลองอ่านบัญชาปราบโฉมงาม ชุดข่าวลือในยุทธภพมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน บัญชาปราบโฉมงาม บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่หก

หลังจากนั้นสามวัน ตอนหม่าเฉวียนบอกนางว่าจะต้องออกจากบ้านไปไกล อีกหนึ่งเดือนให้หลังจึงจะกลับมา อูมู่ฉินก็ถึงกับนิ่งงันไป

ออกจากบ้านไปไกลหนึ่งเดือน นั่นหมายความว่านางจะไม่ได้เห็นสามีถึงหนึ่งเดือนเต็ม

นางมองเขาอย่างทึ่มทื่อ “ที่ที่ท่านพี่จะไปไกลมากหรือ”

“ข้าออกจากบ้านครั้งนี้ไม่ใช่ไปเมืองข้างเคียง หากแต่ไปเมืองที่ไกลกว่านั้น มีเจ้าของที่ดินคนหนึ่งจะซ่อมบ้าน ให้เงินสูง โอกาสเช่นนี้หายาก” เขาชี้แจง มีเพียงเหตุผลนี้ถึงทำให้นางไม่เป็นห่วง และยอมรอเขาอยู่ที่บ้านแต่โดยดี

“เช่นนั้น…ข้าจะไปกับท่านพี่ด้วย”

เขาสั่นศีรษะ “บุรุษกลุ่มหนึ่งปูพื้นนอนอยู่ในห้องใหญ่ กินด้วยกันนอนด้วยกัน พาครอบครัวไปด้วยไม่สะดวก หาไม่ข้าก็พาเจ้าไปด้วยกันแล้ว”

“เช่นนั้นหรือ…” นางมีสีหน้าผิดหวัง ก้มหน้าลง ท่าทางน่าสงสารคล้ายแมวน้อยที่ถูกคนทอดทิ้ง

เขาอดสงสารนางไม่ได้ แต่เพื่องานใหญ่ ไม่อาจตัดใจก็ต้องตัดใจ เขาเอาฝ่ามือใหญ่วางทาบไปบนท้องน้อยของนาง “อย่าเศร้าไปเลย เพียงเดือนเดียวเท่านั้น ไม่ใช่เพราะต้องการหาเงินให้ได้มากหน่อยข้าถึงได้รับงานนี้หรอกหรือ อีกอย่างเกิดเจ้าตั้งครรภ์ เราจะได้มีเงินเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายการกินอยู่”

พวกเขาอาศัยอยู่ข้างหมู่บ้านพื้นที่ติดกับสุสาน ปกติก็ไม่ค่อยไปมาหาสู่กับคนในหมู่บ้าน สองคนผัวเมียใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่มีพ่อแม่สามี ไม่มีคู่สะใภ้พี่สะใภ้น้องสามี ดังนั้นเรื่องในมุ้งจึงทำได้ตามใจชอบ ปกติเขาก็ขยันไถนาหว่านกล้าบนร่างของนาง ว่ากันตามเหตุผลท้องของนางน่าจะมีข่าวคราวแล้ว

อูมู่ฉินมีสีหน้าละอายใจ บอกอย่างน่าสงสาร “ท้องของมู่เอ๋อร์ไม่มีข่าว ท่านพี่จะผิดหวังหรือไม่”

เขาฟังแล้วยิ้มๆ จิ้มปลายจมูกนางเบาๆ “ไม่ต้องร้อนใจ เรายังหนุ่มยังสาว เพิ่งแต่งงานครึ่งปี เรื่องลูกไม่รีบร้อน ปล่อยไปตามธรรมชาติ”

ถ้ามู่เอ๋อร์ตั้งท้องลูกของเขา เขาย่อมดีใจ ถ้าไม่ได้ท้อง เขาก็ไม่ผิดหวัง จะอย่างไรจิตใจของเขาในยามนี้ก็ไม่ได้อยู่ที่เรื่องนี้ งานใหญ่ยังไม่สำเร็จ เขามีเรื่องมากมายที่ต้องทำ ดังนั้นสำหรับเรื่องลูก เขาก็เพียงพูดไปอย่างนั้นเอง

อูมู่ฉินฟังเข้าใจว่าสามีปรารถนาจะมีบุตร บุรุษแต่งภรรยาไม่ใช่เพื่อต้องการมีผู้สืบทอดวงศ์สกุลหรอกหรือ ทว่าสาเหตุที่จนป่านนี้นางยังไม่ตั้งครรภ์ เป็นเพราะทุกครั้งหลังเสร็จเรื่อง นางจะลอบกินยาสมุนไพรห้ามครรภ์

กล่าวสำหรับอิสตรีแล้ว คลอดบุตรถือเป็นเรื่องใหญ่ นางอายุยังน้อย ออกจะขลาดกลัว ทว่าความรักใคร่ดูดดื่มระหว่างสามีภรรยาในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาก็ทำให้นางค่อยๆ เปลี่ยนความคิด

นางมีลูกให้เขาสักคนก็แล้วกัน

เมื่อเกิดความคิดขึ้น ความปรารถนาที่จะให้กำเนิดบุตรก็เริ่มเติบโตอยู่ในใจของนาง

ในเมื่อเขาจะจากบ้านไปไกล นางก็ต้องช่วยเขาจัดเตรียมสัมภาระ ต้องไปอยู่ข้างนอกเดือนหนึ่ง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ย่อมไม่สะดวกเหมือนอยู่บ้าน เสื้อผ้าของใช้ล้วนต้องจัดเตรียมให้ดี ครั้นแล้วนางก็หยิบรองเท้าคู่หนึ่งออกมาจากตู้ไม้ วางไว้เบื้องหน้าเขา

“นี่คือ” เขามีสีหน้าคาดคิดไม่ถึง

“อีกสิบวันก็จะเป็นวันเกิดของท่านแล้วมิใช่หรือ ข้าทำรองเท้าคู่นี้ขึ้นมา เดิมคิดจะทำให้ท่านประหลาดใจ แต่ตอนนี้ท่านกำลังจะเดินทางไกล ของขวัญวันเกิดชิ้นนี้ก็มอบให้ท่านล่วงหน้าแล้วกัน”

ไป่หลี่ซีนัยน์ตาทั้งสองเปล่งประกายแวววาว ที่แท้ภรรยาแอบทำรองเท้าให้เขา เขาหยิบรองเท้าขึ้นมาพินิจดู รองเท้านี้ทำได้ประณีตงดงาม ฝีเข็มสม่ำเสมอ แน่นหนาแข็งแรง ก่อนหน้าจะแต่งกับนาง เขาไม่ได้ตั้งข้อเรียกร้องอะไรจากนางมากมาย ปกติเพียงเห็นนางเย็บโน่นปะนี่ กลับคิดไม่ถึงว่ามือไม้ที่คล่องแคล่วของนางคู่นี้นอกจากจะมีฝีมือในการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมแล้ว ยังมีฝีมือในการเย็บปักถักร้อยที่ร้ายกาจอีกด้วย

“ท่านลองสวมดูว่าพอดีเท้าหรือไม่”

“ได้”

เขารีบถอดรองเท้าคู่เก่าและลองสวมรองเท้าคู่ใหม่ด้วยความตื่นเต้นดีใจ รองเท้าเก่าคู่นี้ถูกเขาใช้งานจนสึกแล้ว แต่ก่อนรองเท้าของเขาล้วนไปซื้อจากในเมือง ทว่ารองเท้าที่ซื้อมาไหนเลยจะดีเหมือนที่ภรรยาวัดเท้าทำให้

เมื่อก่อนเคยมีท่านป้าในหมู่บ้านต้องการจะทำรองเท้าให้เขา เพื่อตอบแทนที่เขาช่วยซ่อมหลังคาบ้านให้ แต่เขาก็ปฏิเสธไปอย่างนุ่มนวล เพราะเขาไม่ต้องการให้ผู้อื่นมีข้ออ้างมาผูกไมตรีด้วย

ทว่ามาบัดนี้มีภรรยาแล้ว ภรรยาไม่เพียงทำรองเท้าใหม่ให้เขา ฝีมือยังดีเป็นพิเศษ เขาลองสวมด้วยความดีใจ พบว่าขนาดกำลังดี สวมแล้วไม่เพียงเหมาะเท้า ตัวรองเท้ายังแข็งแรงแน่นหนา ทำให้เขาพึงพอใจอย่างยิ่ง

“ชอบหรือไม่” นางถามอย่างเฝ้ารอคอย

เขาอมยิ้มแล้วพยักหน้า “ไม่เพียงชอบ ยังพอใจมาก ภรรยาของข้าฝีมือยอดเยี่ยม ทำให้ข้าผู้เป็นสามีประหลาดใจและดีใจจริงๆ”

“ไม่เพียงแค่นี้ ข้ายังทำของอื่นอีก” ภายใต้สายตาประหลาดใจของเขา นางได้รื้อสิ่งของออกมาจากในตู้อีก

ที่แท้นอกจากทำรองเท้าแล้ว นางยังทำเหอเปา ถุงใส่ของล่าสัตว์ สายรัดเอวและผ้าโพกศีรษะ ทั้งหมดนางล้วนตัดเย็บให้เขาด้วยมือตนเอง

“ทั้งหมดนี้เจ้าเป็นคนทำหรือ” เขาถามด้วยความตื่นตะลึง

นางพยักหน้าพลางทำปากยื่น “เดิมทียังตั้งใจจะปักลวดลายลงไป แต่ไม่ทันแล้ว เอาให้ท่านก่อน ตอนท่านทำงานเหน็ดเหนื่อยอยู่ข้างนอกจะได้นึกถึงข้า”

“มู่เอ๋อร์…” เขารั้งตัวภรรยาเข้ามาในอ้อมกอด หลังจากแต่งงานกันมา นางก็มุ่งมั่นตั้งอกตั้งใจทำดีกับเขามาโดยตลอด ทำให้เขาซาบซึ้งใจมาก และรู้ว่าทุกฝีเข็มที่ปักลงไปล้วนเป็นความรักของนาง “เจ้าวางใจ หลังหนึ่งเดือนข้าก็กลับมาแล้ว”

นางส่งเสียงอืมออกมาคำหนึ่ง พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ ดวงหน้าน้อยเงยขึ้นพูดกับเขาด้วยหน้าทะเล้น “ความจริงที่ข้าทำของเหล่านี้ก็เพื่อจะให้ท่านนึกถึงข้าตลอดเวลา เห็นของย่อมนึกถึงคน ท่านสวมรองเท้าที่ข้าทำ พกเหอเปาที่ข้าทำ คาดสายรัดเอวที่ข้าทำ ก็ย่อมจะไม่ไปมองหญิงอื่นแล้ว”

ไป่หลี่ซีชะงักอึ้ง ก่อนจะหัวเราะฮ่าๆ ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เขาก้มหน้าลง เอาจมูกถูไถกับจมูกของนาง “ที่แท้ทำของเหล่านี้ก็ด้วยมีความหมายว่าจะควบคุมข้าเอาไว้ ได้ ข้าผู้เป็นสามีให้เจ้าควบคุมไว้แล้ว ส่วนเจ้าเล่า ข้าควรใช้วิธีใดมาควบคุมเจ้าไว้ จึงจะไม่ฉวยโอกาสตอนที่ข้าไม่อยู่…”

นางถลึงตาใส่เขาอย่างไม่พอใจ “ไม่ต้อง ข้าไม่เป็นเช่นนั้นแน่! วันๆ ข้าก็ขลุกอยู่แต่ในบ้าน ที่ไหนก็ไม่ไป แล้วจะไปเจอผู้ใดได้อย่างไร เจอผียังพอเป็นไปได้” เพราะด้านข้างก็คือสุสาน

ไป่หลี่ซีถูกคำพูดที่ไร้ข้อถือสาใดๆ ของภรรยาทำให้หัวเราะขำ แต่การต้องทิ้งนางไว้ที่บ้านคนเดียวหนึ่งเดือน ทำให้รู้สึกยากจะตัดใจจริงๆ เขาคิดในใจว่าอดทนอีกสักหน่อย รอให้งานใหญ่ของเขาสำเร็จ เขาก็จะให้นางรู้ทุกอย่าง พานางเข้าเมืองหลวง มอบเกียรติยศและความสุขสบายชั่วชีวิตให้กับนาง

เพราะจะไม่อยู่บ้านถึงหนึ่งเดือน สามวันนี้สองสามีภรรยาจึงปรารถนาจะแนบชิดสนิทสนมกันให้มากหน่อย เขายังคงเร่าร้อนดุจเปลวไฟ ส่วนนางเพราะอาลัยอาวรณ์เขาจึงเอาอกเอาใจเป็นพิเศษ

สามวันให้หลัง ฟ้ายังไม่สว่างเขาก็ลุกจากเตียงแล้ว นางปรนนิบัติเขาล้างหน้าหวีผมเสร็จก็เอาอาหารแห้งและห่อสัมภาระที่จัดเตรียมไว้มอบให้เขา

ก่อนออกเดินทาง เขาสั่งกำชับนาง “อยู่บ้านรักษาตัวให้ดี รอข้ากลับมา”

นางพยักหน้าอย่างน่าเอ็นดู และสั่งกำชับเขาไม่หยุดปาก “ระหว่างทางท่านต้องระมัดระวังตัว ดูแลตนเองให้ดี อย่าให้ข้าต้องเป็นห่วง”

นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนจะต้องแยกจากกันนานเช่นนี้ แต่ก่อนสามีเข้าเมือง อย่างมากก็ไม่อยู่บ้านสามวันห้าวัน ครั้งนี้กลับไปนานถึงหนึ่งเดือน แม้จะบอกว่าหนึ่งเดือนพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้ว แต่นางก็ไม่อาจตัดใจ

หลังจากกำชับสั่งเสียกันอยู่พักหนึ่ง นางก็ยืนอยู่ที่ประตูรั้วส่งสามีออกเดินทาง ไม่ต่างอะไรกับภรรยาทุกคนในใต้หล้า สีหน้าเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์

ไป่หลี่ซีทุกครั้งที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็จะหันกลับมาโบกมือให้นาง เก็บภาพใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ไว้ในสายตา ทว่าเวลาไม่อนุญาตให้โอ้เอ้ชักช้า เขาคิดในใจว่าเดือนเดียวไม่นานก็ผ่านไปแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยกลับมารับนาง ครั้นแล้วเขาก็ตัดใจไม่หันกลับไปมองอีก สาวเท้ายาวๆ จากไป

กระทั่งเงาร่างของเขาถูกต้นไม้บดบัง มองไม่เห็นอีกแล้ว อูมู่ฉินจึงได้เก็บสีหน้าอาลัยอาวรณ์ หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้าน

ฉวยโอกาสช่วงที่สามีไม่อยู่หนึ่งเดือนตัดสินใจจะกลับไปหุบเขาหมื่นบุปผาสักครั้ง ความจริงแล้วนางกำลังกลุ้มใจไม่รู้ควรอ้างเหตุผลอะไรจากไปสักระยะ ตอนนี้ตัดความยุ่งยากไปได้มาก สามีไม่อยู่ กระทั่งเหตุผลนางก็ไม่ต้องคิดอีกแล้ว

กลับไปหุบเขาหมื่นบุปผาครั้งนี้นางจะถือโอกาสไปจัดเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย อีกหนึ่งเดือนให้หลังนางค่อยพาสามีกลับไป

นางเชื่อ สามีจะต้องชอบหุบเขาหมื่นบุปผาแน่นอน ที่นั่นงดงามราวแดนเซียน ทั้งห่างไกลจากความวุ่นวายในยุทธภพ พวกนางสามารถเลือกสถานที่สักแห่งในหุบเขาหมื่นบุปผาสร้างกระท่อมมุงหญ้าคาของตน เขาชอบทำไร่ไถนาก็ทำต่อไป อยากล่าสัตว์ก็ล่าสัตว์ ในหุบเขาหมื่นบุปผาทุกคนต่างทำหน้าที่ของตน ต่างแสดงความสามารถของตน ไม่มีพิธีรีตองจุกจิกหยุมหยิมตามประเพณีนิยมทั่วไป มีเพียงเหมาะสมหรือไม่ มีเหตุผลหรือไม่เท่านั้น ขอเพียงไม่ทำร้ายผู้ใด ไม่ขัดต่อกฎระเบียบของหุบเขา ทุกคนก็สามารถทำในสิ่งที่ตนอยากทำได้ และสามารถท่องเที่ยวได้ตามอำเภอใจ

คิดมาถึงตรงนี้อูมู่ฉินก็ยิ้มออกมา นางคิดถึงบ้านที่หุบเขาหมื่นบุปผายิ่งนัก พร้อมกันนั้นก็เฝ้ารอคอยวันเวลาในวันข้างหน้าของตนกับสามี

นางเดินตรงไปที่ห้องเก็บฟืน สิ่งที่อยู่ในห้องเก็บฟืนก็คือฟืน อ้ายเฉ่า  แห้งที่ใช้กำจัดยุง อีกทั้งเครื่องใช้ไม้สอยและข้าวของเบ็ดเตล็ด นางยกแผ่นหินที่ไม่แน่นแผ่นหนึ่งออกมา ใต้แผ่นหินมีช่องอยู่ ในช่องมีหีบไม้อยู่ใบหนึ่ง สิ่งของของนางซ่อนอยู่ในนั้น

นางเอาหีบไม้ออกมา ในหีบไม้นี้มีเครื่องมือปลอมแปลงโฉมอยู่ข้างใน นางเอาน้ำยาทาไปบนใบหน้า ผ่านไปครู่หนึ่งใบหน้าของนางก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง

ใบหน้าที่เดิมค่อนข้างกลมเริ่มหดเล็กลง จมูกที่กว้างเล็กน้อยก็เปลี่ยนเป็นแคบลงโด่งขึ้น แล้วก็มาที่ความโค้งของหางตา หางตาที่เดิมห้อยลงค่อยๆ ยกขึ้น ทำให้ดวงตาค่อนข้างเล็กของนางเปลี่ยนเป็นโตขึ้น ราศีก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว

ใบหน้าหลังผ่านการปลอมแปลงโฉมที่ดูงดงามแบบหญิงชาวบ้านทั่วไป อย่างมากก็เพียงนับว่าหมดจดงดงาม เช่นนี้ทำให้เวลานางแสร้งทำเป็นโง่งมจึงจะดูแล้วทึ่มทื่อไร้เดียงสา มาบัดนี้นางทาน้ำยาแล้ว ใบหน้าของนางก็เริ่มกลับคืนสู่รูปโฉมที่แท้จริง

ตาจมูกปากเหมือนกัน แต่เพราะรูปร่างลักษณะและสัดส่วนที่ต่างกัน ทำให้ใบหน้าเปลี่ยนเป็นไม่ธรรมดา รูปโฉมที่เดิมงดงามเพียงสามส่วนชั่วพริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็นงามเพริศพริ้งล่มบ้านล่มเมือง

การใช้ยาแปลงโฉมนี้ ลูกน้องผู้หนึ่งที่อยู่ข้างกายปฐมาจารย์ มีความเชี่ยวชาญด้านยาสมุนไพรเป็นผู้ศึกษาและคิดค้นขึ้นมา ยานี้สามารถเปลี่ยนแปลงรูปหน้าและรูปร่างลักษณะของอวัยวะทั้งห้าบนใบหน้า คนทั่วไปเวลาแปลงโฉมจะใช้หน้ากากติดบนใบหน้า นั่นเป็นวิธีพื้นๆ ธรรมดา ถูกมองออกได้ง่าย และทำร้ายผิวหน้า ปฐมาจารย์รักสวยรักงาม ทั้งตั้งกฎว่าประมุขหุบเขาต้องเป็นคนงาม แล้วจะสอนศิษย์ให้ใช้วิธีปลอมแปลงโฉมที่ทำร้ายผิวหนังและประสิทธิภาพไม่ยืนยาวได้อย่างไร

นางลืมตาขึ้น หยิบคันฉ่องสำริดขึ้นมา ภาพที่สะท้อนออกมาในคันฉ่องคือรูปโฉมแท้จริงที่ไม่ได้พบเห็นมานาน จากนั้นนางก็ถอดเสื้อสีเรียบและกางเกงขายาวออก เปลี่ยนมาสวมชุดอิสตรีอีกชุดหนึ่ง เพียงหมุนตัวทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ไม่ใช่หญิงชาวบ้านที่ดูทึ่มทื่อไร้เดียงสาอีก หากแต่เป็นหญิงงามล่มเมืองที่รูปโฉมงดงามดุจเทพธิดาทั้งเจือเสน่ห์พริ้งเพราอีกสามส่วน

นางเอาเสื้อผ้าแบบหญิงชาวบ้านและเครื่องมือในการแปลงโฉมซ่อนกลับลงไปใต้แผ่นหิน เอาของอื่นๆ มาวางปิดไว้ข้างบน จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินออกจากห้องเก็บฟืน สะกิดปลายเท้าใช้วิชาตัวเบาพุ่งทะยานไปสิบกว่าจั้ง เงาร่างอ่อนช้อยสง่างามดุจเทพเซียนโลดแล่นเข้าไปในป่า

นางใช้วิชาตัวเบามาตลอดทาง พยายามหลบเลี่ยงคนในหมู่บ้าน ที่สังเกตเห็นนางได้มีเพียงนกในป่าไม้ เพราะการโผนทะยานของนางทำให้นกหลายตัวตกใจบินหนี

ฉับพลันนั้นเองก็มีเสียงลมดังขึ้นมาข้างหลัง นางตื่นตัวและหันหน้ากลับไปมองก็เห็นเสื้อขาวปลิวปราย คนผู้หนึ่งกำลังไล่ตามติดมาข้างหลัง วิชาตัวเบาของคนผู้นี้เหนือกว่านาง ทำให้ระยะห่างของคนทั้งสองขยับชิดเข้ามาอย่างรวดเร็ว และทำให้นางมองเห็นรูปโฉมที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

ตันไหวชิง!

นางประหลาดใจ เก็บพลังที่จุดตันเถียน ทิ้งร่างอรชรอ้อนแอ้นลงบนยอดไม้ประดุจนกที่บินมาแล้วหยุดพัก น้ำหนักเบาดุจขนนก

ตันไหวชิงก็หยุดร่างบนยอดไม้ เงาร่างดุจไม้ไผ่ ฝ่าเท้ามั่นคงดุจขุนเขา มองประสานสายตากับนาง

อูมู่ฉินยกปากแย้มยิ้ม “จอมยุทธ์ตัน ไม่ได้พบกันนาน ท่านคงไม่ได้เฝ้าตอรอกระต่าย อยู่ในเขตภูเขานี้มาครึ่งปีกระมัง”

ตันไหวชิงรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาสุภาพเรียบร้อยเฉกเช่นสุภาพบุรุษสง่างาม สูงส่งเหนือผู้คน ดูสุภาพมีมารยาทเหมือนปัญญาชน แต่อูมู่ฉินรู้นิสัยของคนผู้นี้ เขาหาได้นุ่มนวลอ่อนโยนดั่งรูปโฉมภายนอก อาจารย์เคยบอก รูปโฉมภายนอกจะหลอกตาคน มองคนต้องมองลึกเข้าไปข้างใน

นางดูจากค่ายกลที่ตันไหวชิงวางไว้ก็รู้ว่าคนผู้นี้เฉลียวฉลาด เหี้ยมโหดอำมหิตและเย็นชา แต่นางไม่กลัวเขา เพราะในข่าวสารเกี่ยวข้องกับเขาที่ผู้คุมกฎอินทรีรวบรวมมาละเอียดรอบคอบจนนางรู้จักเขาครบทุกด้าน ส่วนสาเหตุที่ผู้คุมกฎอินทรีรวบรวมข่าวของเขามาละเอียดไม่ใช่เพราะอื่นใด…เพียงเพราะเขารูปงาม

ตันไหวชิงเป็นยอดฝีมือในบรรดาคนรุ่นหนุ่มแห่งยุทธภพในเวลานี้ เขามีนิสัยชอบไปมาตามลำพัง ยามเผชิญหน้ากับการทะเลาะเบาะแว้งเรื่องไร้สาระในยุทธภพ เขาก็มีหลักการและวิธีการปฏิบัติตัวอย่างดีเยี่ยม

ตามรายงานจากสายข่าวของผู้คุมกฎอินทรี เรื่องที่ตันไหวชิงเคยทำในที่แจ้งในที่ลับ เปรียบเทียบกันทั้งสองด้าน นางล้วนจดจำอยู่ในสมองทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ความรู้สึกที่นางมีต่อคนผู้นี้ในเวลานี้ก็คือถึงแม้เขาจะอยู่ฝ่ายธรรมะ แต่การกระทำของเขากลับแปลกประหลาดยิ่ง

พูดง่ายๆ ประโยคเดียวก็คือเขาไม่ถูกผูกมัดด้วยประเพณีนิยม บรรทัดฐานการปฏิบัติตัว และพิธีรีตอง กฎเกณฑ์ของฟ้าดินล้วนอยู่ในใจของเขาเท่านั้น

ดังนั้นตันไหวชิงผู้นี้ความจริงแล้วเป็นคนประเภทเดียวกับนาง เพียงแต่นางมาจากหุบเขาหมื่นบุปผาที่ถูกมองว่าเป็นพรรคมารชั่วร้าย ส่วนเขากลับมาจากวงศ์สกุลที่มีชื่อเสียงว่าเป็นฝ่ายธรรมะแห่งที่ราบตอนใต้

นางไม่หนี หากแต่ยิ้มน้อยๆ มองเขา แสงอาทิตย์ส่องสะท้อนเรือนผมยาวของนางดูสดใสสวยงามยากจะหาใดเทียม ลมภูเขาพัดม้วนเส้นผมปลิวปรายอยู่ด้านหลัง เพิ่มกลิ่นอายเทพเซียนขึ้นหลายส่วน

ตันไหวชิงมองนางด้วยแววตาเยียบเย็น แม้เขาจะวางค่ายกลไว้ แต่จนแล้วจนรอดก็จับนางไม่ได้ ไม่ได้พบนางมาครึ่งปี ดูเหมือนนางจะงดงามมากขึ้น เปรียบกับตอนพบนางครั้งแรกดูมีจริตจะก้านมีเสน่ห์ดึงดูดใจของอิสตรีมากขึ้น แต่ต่อให้อิสตรีเลอโฉมเพียงใด ถ้าไม่ถูกใจเขา เขาก็ไม่มีวันถูกรูปโฉมภายนอกอันตื้นเขินทำให้ลุ่มหลง

“โจรหญิง มาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังคิดจะหนีไปไหนอีก”

อูมู่ฉินสีหน้าไร้ความผิด “จอมยุทธ์ตันเข้าใจผิดแล้ว ข้าหาได้หนีไม่ ค่ายกลที่ท่านวางไว้บนภูเขาแม้จะร้ายกาจ แต่คิดจะกักตัวข้า ยังต้องเพิ่มความชำนาญอีกหน่อย”

ตันไหวชิงหรี่นัยน์ตา “เจ้าไม่กลัวข้าสังหารเจ้า?!”

“ท่านไม่ทำเช่นนั้น”

“อ้อ รู้ได้อย่างไร”

“เพราะท่านก็ไม่แน่ใจว่าข้าเป็นคนเลว ก็เหมือนกับที่ท่านไม่แน่ใจว่าแม่ทัพซือถูมีความผิด”

ประกายแสงในดวงตาตันไหวชิงสั่นไหว เขาจับตามองนางนิ่ง เรียวปากบางหยักยกเป็นรอยยิ้มที่อ่านความหมายไม่ออก “ใช่ ข้าไม่คิดสังหารเจ้า แต่ก็ไม่คิดจะปล่อยเจ้าไป”

“ไว้ประมือกันวันหน้าได้หรือไม่ ที่บ้านข้ามีคนแก่และเด็ก จะรีบกลับไปอยู่พร้อมหน้ากัน”

รอยยิ้มมุมปากเขากว้างขึ้น “ไม่ได้” กล่าวจบพลังที่เขาซัดออกมาจากฝ่ามือก็จู่โจมเข้ามาแล้ว

นี่ก็คือตันไหวชิง เขาจะจับเจ้า ไหนเลยจะสนใจว่าเจ้าเป็นบุรุษ สตรี คนแก่ หรือเด็กเล็ก กระทั่งจะบอกกล่าวก่อนสักคำก็ไม่มี ทั้งยังเป็นกระบวนท่าที่เหี้ยมโหดดุดัน

อูมู่ฉินรีบฉากหลบ เมื่อพลังฝ่ามือพุ่งมาถึง ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลังลำต้นพลันหักโค่นลงมา สวรรค์ นี่ถ้านางหลบไม่ทัน เวลานี้เอวคงขาดเป็นสองท่อนไปแล้ว

“ไหนท่านบอกจะไม่สังหารข้า!” นางโกรธและตำหนิเขาที่ไม่รักษาคำพูด

“เพราะข้ารู้ว่าเจ้าหลบพ้น”

ค่ายกลที่เขาวางไว้บนภูเขาถูกนางเข้าไปเล่นมาหลายครั้ง แม้จะกักขังนางไม่อยู่ แต่มากน้อยก็พอคาดเดาพื้นฐานวรยุทธ์ของนางได้

“แนวทางวรยุทธ์ของเจ้าไม่ใช่ของสำนักใหญ่ต่างๆ ในจงหยวน น่าจะเป็นคนที่อยู่นอกด่าน แต่ก็ไม่คล้ายของชนเผ่าเป่ยอี๋ และไม่คล้ายชนเผ่าเหมียวและชนเผ่าหนานเยวี่ย เช่นนั้นก็เหลือเพียงเกาะตะวันออกกับภูเขาตะวันตกแล้ว”

คนผู้นี้ต่อสู้ไปก็ยังพูดคุยไปได้ด้วย ใจเดียวใช้สองทาง นอกจากก่อกวนจิตใจฝ่ายตรงข้ามแล้ว ก็คิดจะหยั่งเชิงดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายด้วย

เสียดายเขาหาคนผิดแล้ว นางรู้เรื่องของเขามากกว่าที่เขาคาดคิดมากนัก

“ท่านไม่ชอบกินเผ็ด ชอบกินของหวาน ท่านไม่กินปู ไม่ชอบกุ้ง เพราะแกะเปลือกยุ่งยากเกินไป”

ใจเดียวใช้สองทางผู้ใดบ้างไม่เป็น นางก็ต่อสู้ไปพูดคุยเล่นไปด้วยได้

ตันไหวชิงสีหน้าพลันเยียบเย็น แววตาเปลี่ยนเป็นคุกคาม “เจ้าสืบเรื่องข้า?!”

“หญิงสาวที่เลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านมีมากมาย แค่สอบถามผู้ใดสักคนก็รู้แล้ว”

“อ้อ ยังมีอีกหรือไม่”

“ยังมี ข้ารู้สึกว่าท่านไม่เหมาะจะสวมชุดสีขาว ท่านควรสวมชุดสีดำ เพราะชุดดำทนต่อสิ่งสกปรก อีกทั้งยังสอดคล้องกับนิสัยเคร่งขรึมเย็นชาของท่าน”

พลังฝ่ามือของเขารวดเร็วดุจสายลมพัด ดุจสายฟ้าฟาด พริบตาเดียวก็ซัดฝ่ามือที่เปลี่ยนแปลงไปมาอย่างมหัศจรรย์นับร้อยฝ่ามือ ทำให้คนมองจนลานตาไปหมด

นางรู้เวลานี้เขายังไม่แน่ใจในพื้นฐานวรยุทธ์ของนาง ดังนั้นจึงไม่ได้ใช้วรยุทธ์ที่แท้จริงออกมา หาไม่ถ้าเขาคิดจะสังหารนางคงบาดเจ็บไปแล้ว แต่ต่อสู้กันต่อไปเช่นนี้ นางย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแน่นอน

ทว่าแม้วรยุทธ์ที่ใช้มือเท้าจะสู้ไม่ได้ แต่วรยุทธ์ที่ใช้ปากนางกลับไม่แพ้ผู้ใด นางเอาเรื่องที่เขาเริ่มฝึกยุทธ์ตอนสี่ขวบ หกขวบถูกลงโทษให้คุกเข่า แปดขวบทะเลาะวิวาทกับคนอื่น สิบขวบไปจับลูกสุนัขป่าที่รังของมัน กระทั่งเรื่องส่วนตัวบางเรื่องและเรื่องที่ไม่อาจให้คนนอกรู้ก็พูดออกมาจนหมด

“ตอนท่านอายุสิบห้า ญาติผู้น้องห่างๆ อายุสิบขวบผู้หนึ่งคิดจะแอบจูบท่าน ทว่าจูบไม่สำเร็จ กลับถูกท่านถีบตกน้ำไป”

ตันไหวชิงตะลึงงัน นางรู้ได้อย่างไร เรื่องนี้ถูกท่านพ่อที่เป็นหัวหน้าวงศ์สกุลสั่งห้ามพูด มีเพียงคนรับใช้ไม่กี่คนที่รู้ แต่คนเหล่านั้นล้วนเป็นคนรับใช้เก่าแก่ ทั้งปิดปากแน่นสนิท ดังนั้นเรื่องที่เขาถีบญาติผู้น้องตกสระน้ำเป็นไปไม่ได้ที่จะแพร่งพรายออกมา

เขามีนิสัยรักสะอาดเกินเหตุต่ออิสตรี หญิงสาวที่เขาไม่ชอบคิดจะมาจูบเขา มีแต่จะทำให้เขารู้สึกขยะแขยง ต่อให้ญาติผู้น้องผู้นั้นจะงดงามดุจบุปผา เขาก็ไม่สนใจยังคงถีบนางตกน้ำ

ตอนนั้นพอท่านพ่อทราบเรื่องก็โกรธจนปิดประตูด่าว่าตำหนิเขา ท่านพ่อบอกแม้ญาติผู้น้องจะเป็นฝ่ายผิด แต่นางเพิ่งสิบขวบ เป็นพี่ชายถูกจูบนิดจูบหน่อยจะเป็นไรไป ตอนนั้นเขาไม่อาจยอมรับ ยังตอบกลับอย่างดื้อรั้น…

“ท่านบอกกับพ่อของท่านว่าไม่ใช่มีเพียงอิสตรีเท่านั้นที่ต้องรักษาพรหมจารี บุรุษก็มีพรหมจรรย์ต้องรักษาเช่นกัน” อูมู่ฉินเอ่ยคำพูดที่เขากล่าวในตอนนั้นออกมาอย่างไม่ตกหล่น

นางนึกถึงตอนนั้นที่นางเห็นข่าวซุบซิบเรื่องนี้จากหนังสือลับของผู้คุมกฎอินทรีก็หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง

ฉับพลันนั้นพลังขุมหนึ่งก็กดเข้ามาที่ลำคอของนาง อากาศรอบด้านที่พัดม้วนรุนแรงยามทั้งสองประมือกันก็นิ่งชะงัก แพ้ชนะปรากฏออกมาแล้ว ทั่วร่างของเขาแผ่กลิ่นอายเหี้ยมโหดดุดันน่าสะพรึงกลัว ฝ่ามือบีบอยู่ที่ลำคอของนาง ขอเพียงเขาออกแรง กระดูกคอนางก็จะหักสะบั้นทันที

“เจ้ารู้มาได้อย่างไร” คำถามของเขาเจือกลิ่นอายเหี้ยมโหดเย็นชา ใบหน้าของเขาอยู่ใกล้แค่ลัดนิ้วมือ ลูกตาดำดุจก้อนน้ำแข็ง ยามมองจ้องนางประดุจราชาแห่งผีร้ายในเมืองนรก รอจะเอาวิญญาณนางไป

นี่ก็คือเขา เขาไม่ใช่คนอารมณ์เย็น และคนที่มาตอแยเขานั้นทางที่ดีควรไตร่ตรองดูว่าดวงของตนแข็งพอหรือไม่

แต่อูมู่ฉินไม่กลัว สมัยเด็กท่านปู่หมอดูเทวดาได้บอกว่านางดวงแข็ง มีความสุข ความโชคดี ไม่ว่าเรื่องใดก็กลับร้ายกลายเป็นดีได้

“ฟังจากนักเล่านิทาน”

“เจ้าส่งคนไปเฝ้าติดตามดูการเคลื่อนไหวของข้า!”

แรงบีบที่คอแน่นขึ้น อูมู่ฉินรู้สึกหายใจลำบากขึ้นทุกที ใบหน้าก็เป็นเพราะโลหิตถูกปิดกั้นจึงพองแดง

ตันไหวชิงจ้องมองนางนิ่ง ภายใต้มือที่กดลงไปของเขาลำคอของนางดูบอบบางอ่อนแอเป็นพิเศษ และใบหน้าที่พองแดงของนางก็เริ่มเปลี่ยนเป็นซีดขาว ทว่านางกลับยังยิ้มออก ไม่มีสีหน้าหวาดกลัวความตายแม้แต่น้อย

นางไม่กลัวตาย หรือไม่กลัวเขากันแน่

อูมู่ฉินเริ่มรู้สึกตาพร่าลาย แต่นางกำหมัดแน่นแข็งใจอดทนไว้ แม้จะหายใจลำบากก็ไม่ดิ้นรน เพราะนางมั่นใจว่าตันไหวชิงไม่สังหารนาง เว้นเสียแต่เขาไม่อยากรู้ว่าซือถูหรานอยู่ที่ใด

“คนเล่านิทานไม่เพียงพูดถึงท่าน ยังพูดถึงเรื่องของแม่ทัพซือถู”

สีหน้าของนางซีดขาวยิ่งขึ้น สองตามืดดำ ความทุกข์ทรมานจากการหายใจไม่ออกแทบจะบีบคั้นคนให้ตกอยู่ในสภาพที่สิ้นหวัง…

ในเวลานี้เอง จู่ๆ เขาก็ปล่อยนาง ร่างนางโงนเงนแทบจะยืนไม่อยู่

“แค่กๆๆๆ” นางไอรุนแรง มือหนึ่งลูบลำคอของตนเอง พยายามสูดลมหายใจเข้า

พริบตาถัดมาเขาพลันยื่นนิ้วมาจี้จุดบนร่างนางหลายจุด นางรู้สึกแข็งทื่อไปทั้งร่าง ลมปราณที่จุดตันเถียนถูกปิดกั้น ไม่อาจใช้พลังวัตรออกมาได้

วรยุทธ์ของนางถูกเขาปิดกั้นไว้แล้ว!

อูมู่ฉินหัวคิ้วขมวดแน่น นางมั่นใจว่าตันไหวชิงไม่สังหารนาง แต่คาดคิดไม่ถึงว่าเขาจะปิดกั้นวรยุทธ์ของนาง ครานี้เปลี่ยนเป็นนางยิ้มไม่ออก กลับเป็นตันไหวชิงที่หลังจากเห็นนางสีหน้าเปลี่ยนเป็นตื่นตะลึง มุมปากก็หยักยกเป็นรอยยิ้มหยัน

นางประท้วง “วรยุทธ์ท่านสูงเพียงนี้ ยังจะกลัวข้าหนีอีกหรือ!”

“เช่นนี้ข้าจะได้ลดความยุ่งยาก ไม่ว่าอย่างไรคนที่หนีรอดจากค่ายกลของข้าไปได้หลายครั้งเช่นนี้ก็มีเจ้าเป็นคนแรก”

“ค่ายกลของท่านมีอะไรยอดเยี่ยมนักหรือไร”

คำพูดของนางทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็วางสีหน้าขรึม ถลึงตามองนางอย่างเยียบเย็น อูมู่ฉินไม่อารมณ์ดีเช่นเมื่อครู่อีก เมื่อวรยุทธ์ถูกปิดกั้นก็ไม่ต่างอะไรกับนกไร้ปีก ความรู้สึกนี้ย่ำแย่มาก!

แม้วรยุทธ์ของนางจะสู้เขาไม่ได้ แต่นางกลับเป็นยอดฝีมือในการทำลายค่ายกล บางครั้งการทำลายค่ายกลก็ไม่แน่ว่าจะเกี่ยวกับวรยุทธ์ มันก็คล้ายกับการละเล่นที่ต่อสู้ด้วยสติปัญญา

“ซือถูหรานอยู่ที่ใด” เขาถามเสียงเย็น ไม่อ้อมค้อมใดๆ

“ขาอยู่ที่ตัวของเขา เขาไปไหนข้าจะรู้ได้อย่างไร” นางแค่นเสียงตอบ

“เขาถูกพวกเจ้าจับตัวไป เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไร” เสียงเยียบเย็นเต็มไปด้วยการคุกคามบีบบังคับดังขึ้น

“พวกเรามาช่วยเขา ไม่ใช่จับตัวเขาไป รอจนปลอดภัยแล้วจึงได้ปล่อยเขาไป” นางปรายหางตามองเขาแวบหนึ่ง “เขาถูกใส่ความ พวกเราจะจับเขาไปทำไม ถ้าไม่เชื่อก็ไปสืบดูเอง”

นางนวดๆ คอ ตรงตำแหน่งที่ถูกเขาบีบกำลังร้อนผะผ่าวด้วยความเจ็บปวด

สายตาเยียบเย็นของเขาจับนิ่งอยู่ที่รอยเขียวช้ำบนลำคอขาวผ่องของนาง เห็นแก่ความใจกล้าของนาง เขาจะไม่ถือสา เพียงเอ่ยถามเสียงหนัก “พวกเจ้าจับตัวเขาไป แล้วก็ปล่อยเขา คนที่ไม่รู้ย่อมเข้าใจว่าเขาหนีการคุมขัง นี่เป็นการทำร้ายเขา”

อูมู่ฉินชายตามองเขาราวกับมองคนโง่เช่นนั้น “หากไม่จับตัวเขามา จะให้ยืนมองดูเขาขึ้นแท่นประหารหรือ มีชีวิตอยู่จึงจะมีโอกาสร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม ตายแล้วก็ได้แต่เป็นวิญญาณผูกพยาบาท ทั้งยังชื่อเหม็นไปหมื่นปี”

สายตาของหญิงผู้นี้ทำให้เขาไม่ชอบใจอย่างมาก แต่สิ่งที่นางพูดกลับถูกใจเขา เขาตัดสินใจอีกครั้งว่าจะไม่ถือสานาง

“แม้เขาจะถูกคุมตัวส่งกลับเมืองหลวง ก็ไม่แน่ว่าจะต้องขึ้นแท่นประหาร ถ้าคิดจะเล่นงานเขาถึงตายจริง ระหว่างทางก็ลงมือได้แล้ว ไยต้องเจตนาแสดงความเร้นลับซับซ้อนเพื่อตบตาคนให้ต้องเหนื่อยยากคุมตัวเขาไปส่ง”

อูมู่ฉินอึ้งตะลึง มองเขาเต็มตาและพลันตระหนักรู้ “ที่แท้ท่านติดตามรถนักโทษมาตลอดทาง จุดประสงค์ก็เพื่อแอบคุ้มกันแม่ทัพซือถู”

ตันไหวชิงเองก็ชะงักอึ้ง สายตาที่มองนางไม่เยียบเย็นอีก คิดในใจว่าลู่ทางความคิดของหญิงผู้นี้หมุนไปมาเร็วยิ่ง เขาลอบติดตามขบวนนำส่งนักโทษมาตลอดทางเพื่อคุ้มกันซือถูหรานจริง ด้วยกลัวว่าระหว่างทางจะมีคนลงมือสังหารซือถูหราน

อูมู่ฉินเห็นเขาไม่ตอบ ก็ถือว่าเขายอมรับแล้ว นางหัวเราะฮ่าๆ พลางกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็เป็นผู้ร่วมทางเดียวกัน เพียงแต่วิธีช่วยซือถูหรานต่างกันเท่านั้น”

ตันไหวชิงแค่นเสียงเย็นชา “นั่นกลับไม่แน่ บางครั้งช่วยคนกับทำร้ายคนต่างกันแค่เส้นบางๆ กั้นเท่านั้น ส่วนที่ว่าเป็นแบบไหน รอเจ้าไปถึงเมืองหลวง ค่อยถามใต้เท้ากรมอาญาก็แล้วกัน”

นางย่นหัวคิ้ว “ท่านจะจับข้าส่งกรมอาญาหรือ”

เขายิ้มน้อยๆ ยิ้มอย่างสดใสชวนมอง ไม่ว่าหญิงใดมาเห็นเข้าย่อมต้องลุ่มหลง แต่ในสายตาของอูมู่ฉินแล้วกลับไม่ต่างอะไรกับรอยยิ้มของเพียงพอนเหลืองที่มาเยี่ยมเยือนวันปีใหม่ จากนั้นนางก็ได้ยินเขาใช้น้ำเสียงแหบต่ำดึงดูดใจกล่าวขึ้น…

“ข้าเฝ้าตอรอกระต่ายมาครึ่งปี ไม่ถลกหนังกระต่ายออกมาชั้นหนึ่ง ไยมิใช่ทำให้เวลาครึ่งปีของข้าต้องสูญเปล่า”

อูมู่ฉินยิ้มไม่ออกอีกแล้ว นางถลึงตาใส่ตันไหวชิง ครานี้นางมั่นใจมากเรื่องหนึ่ง คนผู้นี้ไม่เพียงมีโรครักสะอาด ยังเจ้าคิดเจ้าแค้นอีกด้วย!

 

( ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 เม. 62 )

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

Jamsai Editor: