X
    Categories: ทดลองอ่านบุพเพอลวนมากกว่ารัก

ทดลองอ่านนิยาย บุพเพอลวน เล่ม 1 บทที่ 10

หน้าที่แล้ว1 of 14

บทที่ 10 นายหญิงคนใหม่ประกาศศักดาในคฤหาสน์

 

แสงอาทิตย์ด้านนอกสว่างไสว ลมเย็นพัดเป็นระลอก อากาศกำลังดี ชวนให้อารมณ์แจ่มใสตาม กระทั่งบ่าวที่กวาดพื้นอยู่หน้าเรือนยังครวญเพลงในคอ

ทว่าจินหยวนเป่าที่นั่งอยู่ในห้องหนังสือกลับรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างยิ่ง บนโต๊ะและบนพื้นเกลื่อนไปด้วยกระดาษที่ถูกขยำเป็นก้อน กระทั่งกระดาษที่วางแผ่อยู่ตรงหน้ายังเขียนด้วยลายมือหวัดชุ่ย

จินหยวนเป่าขยำกระดาษเกล็ดทองแผ่นนั้นเป็นก้อนแล้วเขวี้ยงลงพื้น

‘ป้าบ!’ เขาตบโต๊ะอย่างหงุดหงิด เจียงเสี่ยวเซวียนน่าโมโหสิ้นดี แรกสุดวางยาให้เขาเข้าหอกับตัวเอง ต่อมายังแสร้งทำร้องไห้หลอกให้ท่านแม่บังคับเขากลับบ้านเป็นเพื่อนนาง! ช่างเจ้าเล่ห์มากเหลี่ยม ต่ำช้าไร้ความละอายเป็นที่สุด!

“ฮู้ฮู…ฮ้าฮา…”

กู้ฉางเฟิงบิดเอวเดินกระโดดตัวลอยผ่านหน้าเรือนของเขาไปทางเรือนของจินฮูหยินด้วยสีหน้ามีความสุข

จินหยวนเป่ารู้สึกขนลุกอย่างไรชอบกล เส้นเลือดตรงขมับปูดโปน เขาเขวี้ยงพู่กันลงบนพื้นแล้วลุกขึ้นตะโกนออกไปข้างนอก “อาฝู เข้ามาซิ!”

อาฝูรีบวิ่งหน้าตั้งเข้ามา “คุณชาย…”

“ฉางเฟิงเกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมาอีกล่ะ” เขาถาม

บ่าวคนสนิทมองไปทางร่างที่เดินจากไปไกลแล้วของกู้ฉางเฟิงก่อนจะส่ายหน้า “ไม่ทราบขอรับ แต่คิดว่าคงจะผสมยาอะไรขึ้นมาอีกแล้ว”

หางตาผู้เป็นนายกระตุกทีหนึ่งขณะงึมงำ “ยาของเจ้านั่น ใครจะกล้ากินลง…”

“จริงสิขอรับ คุณชาย…”

“มีอะไร”

“หวังเฉียงจากกองปราบมาขอพบขอรับ”

เขาพยักหน้าแล้วสั่ง “ให้เข้ามา”

“ขอรับ” อาฝูรีบเดินออกไปถ่ายทอดคำสั่งทันที

สักอึดใจหนึ่งหวังเฉียงก็ก้าวสวบๆ เข้ามาในห้องพลางประสานมือยิ้มให้ “ก่อนอื่นต้องขออวยพรหัวหน้า ขอให้ท่านถือไม้เท้ายอดทอง…”

“มีเรื่องอะไรก็รีบพูดมา” จินหยวนเป่าแทรกหน้าบึ้ง

หืม? ดูท่าจะไม่มีความสุขกับชีวิตแต่งงานแฮะ…หวังเฉียงรู้อยู่แล้วว่าเจ้านายตัวเองไม่เต็มใจยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ จึงรีบหุบยิ้มแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “ขอรับ! หลายวันมานี้พวกเราใช้หมดทุกวิธีการ เสือดาวเวหาก็ยังยืนกรานว่าตอนนั้นมันเกิดอยากล้วงกระเป๋าขึ้นมาด้วยความคิดชั่วแล่น หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ไม่ยอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีคนหายในระยะนี้”

“หึๆ…” จินหยวนเป่าหัวเราะในคอ “นึกไม่ถึงจริงๆ ว่ามันจะใจเด็ด แต่ยิ่งเสือดาวเวหาคนนี้ปากแข็งมากแค่ไหน ก็ยิ่งบ่งบอกได้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังของมันน่ากลัวเท่านั้น”

“แล้วตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดีขอรับ”

จินหยวนเป่าจัดชุดให้เข้าที่แล้วเดินไปที่ประตู “ไป! ข้าจะไปสอบปากคำมัน”

ปรากฏว่าเพิ่งเดินออกมาข้างนอกก็ปะเข้ากับอวี้ฉีหลินที่ยกอาหารมาให้ เขาถามเสียงขุ่นทันที “มาทำไม!?”

“เรียกเจ้าไปกินข้าวเที่ยง เจ้าก็ไม่กิน ท่านแม่เลยให้ข้ายกมาให้น่ะสิ” อวี้ฉีหลินยื่นของในมือไปให้เขา

“ข้าไม่อยากกิน!” ชายหนุ่มถอยหนีก้าวหนึ่ง รู้สึกเหมือนว่าอาหารถาดนี้จะต้องใส่ยาปลุกกำหนัดไว้อย่างเข้มข้น

“ไม่ได้นะ คนจะไม่กินข้าวได้อย่างไร!” อวี้ฉีหลินยื่นถาดอาหารเข้าไปให้อีกอย่างไม่ยอมแพ้

“บอกว่าไม่อยากกินอย่างไรล่ะ!” จินหยวนเป่าปัดถาดออกไปอย่างหัวเสีย

กลับกลายเป็นว่าอวี้ฉีหลินไม่ทันตั้งตัว ถาดลื่นหลุดมือ อาหารที่อยู่ในนั้นหกกระจัดกระจายเต็มพื้น

“แย่แล้ว ทำอะไรของเจ้าเนี่ย!” อวี้ฉีหลินมองอาหารด้วยความเสียดายพลางบ่นงึมงำ “เสียของแท้ๆ” พูดจบก็ก้มตัวลงนั่งยองๆ เก็บเศษชามกระเบื้อง

เห็นนางอย่างนั้น จินหยวนเป่าก็อดจะใจอ่อนไม่ได้ ทั้งยังรู้สึกว่าตัวเองทำเกินไป เขาดึงนางขึ้นจากพื้นโดยแรงแล้วหันไปสั่งอาฝู “มาจัดการให้เรียบร้อย” จากนั้นก็มองอวี้ฉีหลินอีกครั้ง “ดูเจ้าสิ ทำตัวไม่สมเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่สักนิด ฮูหยินน้อยบ้านไหนทำงานพวกนี้ด้วยตัวเองอย่างเจ้าบ้าง”

อวี้ฉีหลินคร้านจะต่อปากต่อคำด้วย ได้แต่กลอกตาใส่ไปหลายตลบ

อาการใจอ่อนเมื่อครู่หายวับไปทันที จินหยวนเป่าสลัดแขนนางทิ้งแล้วเดินดุ่มๆ ออกไป

อวี้ฉีหลินมองชายหนุ่ม จากนั้นก็มองหวังเฉียงที่เดินตามหลังเขา นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็คิดออกว่าดูเหมือนชายร่างสูงใหญ่คนนี้จะอยู่กับจินหยวนเป่าในวันที่จับขโมย…

หรือว่าจะไปจับขโมยกันอีกแล้ว หญิงสาวตามไปด้วยความตื่นเต้น

ในสวนดอกไม้คฤหาสน์สกุลจินที่งดงามราวกับภาพวาด จินหยวนเป่ากับหวังเฉียงเดินไปพลางปรึกษาอะไรกันเบาๆ หญิงสาวชุดแดงที่ตามหลังมาอย่างลับๆ ล่อๆ ก็คืออวี้ฉีหลินนั่นเอง พอทั้งสองชะลอฝีเท้า นางรักษาระยะห่าง พอทั้งสองเร่งฝีเท้า นางก็ตามไปอย่างรวดเร็ว

เป็นอย่างนี้อยู่สามครั้ง ชายทั้งสองก็สบตากันแล้วเดินเลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็กข้างทาง

อวี้ฉีหลินรีบสาวเท้าตามไปบ้าง ปรากฏว่าเพิ่งจะเลี้ยวเข้าไปก็เห็นจินหยวนเป่ายืนอยู่ตรงหัวเลี้ยวคนเดียว มองนางนิ่งๆ อย่างเย็นชา

นางสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ ก่อนจะตบอกตัวเองพลางบ่น “ทำอะไรของเจ้า ข้าตกอกตกใจหมด!” พูดจบก็มองซ้ายมองขวาแล้วถาม “เอ๋? คนเมื่อครู่ล่ะ”

“ไปจูงม้า” จินหยวนเป่าตอบตามจริงอย่างไม่ทันคิดอะไรมาก

“จูงม้า? เจ้าจะออกไปข้างนอกหรือ ไปไหน” นางมองเขาอย่างตื่นเต้น

“เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย” เขาโต้กลับไปอย่างหงุดหงิด “ทำไมถึงต้องคอยตามข้า”

“เอ่อ…” อวี้ฉีหลินคิดหาข้ออ้างไม่ได้ เลยยืดอกพูดเต็มเสียง “เจ้าเป็นสามีข้า ข้าไม่ตามเจ้าแล้วจะตามใคร!”

จินหยวนเป่าไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดีเมื่อได้ยินดังนั้น “ข้าจะไปทำงานที่กองปราบ”

“อ้อ” นางพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะมองเขาด้วยสีหน้าใสซื่อ “ข้าไม่ทำตัวเกะกะหรอก เจ้าไปไหน ข้าไปด้วย”

ชายหนุ่มหรี่ตาพูดด้วยเสียงข่มขู่ “ไม่ได้!”

“ข้าอยากไปนี่นา…” อวี้ฉีหลินกะพริบตาปริบๆ มองเขาอย่างชื่นชม “ข้าอยากไปเห็นความองอาจสง่างามของสามีตัวเองตอนทำคดี…”

น้ำเสียงแผ่วเบาของนางฟังดูน่าสงสารอยู่แล้ว ตอนนี้นางตั้งใจออดอ้อน ยิ่งชวนให้อ่อนระทวยเข้าไปใหญ่

จินหยวนเป่ากระแอมแล้วขึงตาใส่ทีหนึ่ง “ตามติดเป็นวิญญาณไปได้! ใครจะไปรู้ว่าเจ้าคิดจะเล่นลูกไม้อะไรอีก” พูดจบก็หมุนตัวเดินจากไป

“ไม่มีลูกไม้อะไรหรอกน่า…” อวี้ฉีหลินละล่ำละลักบอกพร้อมเดินตามก้นเขาต้อยๆ

ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเพื่อสลัดนางให้หลุด

หากเป็นเวลาปกติ อวี้ฉีหลินตามเขาทันแน่นอนอยู่แล้ว ทว่าตอนนี้นางสวมกระโปรงยาวลากพื้นที่ไม่สบายเอาเสียเลย ต่อให้รั้งชายกระโปรงก็ยังวิ่งได้ไม่เร็ว เพียงครู่เดียวก็ถูกอีกฝ่ายทิ้งห่างไกลลิบ

ตอนที่จินหยวนเป่าเดินพรวดๆ ออกมานอกคฤหาสน์ หวังเฉียงจูงม้ารออยู่ตรงหน้าประตูแล้ว

เขาก้าวดุ่มๆ เข้าไปดึงบังเหียนแล้วกระโดดขึ้นมา “ไป! ไปหกประตูเลย!”

“หัวหน้า ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนี้ก็ได้กระมัง!” หวังเฉียงตะลีตะลานขึ้นม้าตาม “เสือดาวเวหาไม่หนีไปไหนหรอก”

ทั้งสองเพิ่งจะควบม้าจากไป อวี้ฉีหลินก็วิ่งตามมาถึงหน้าประตูแล้วมองตามแผ่นหลังของจินหยวนเป่าที่ทิ้งห่างไปไกลอย่างรวดเร็ว นางยกมือฟาดกระโปรงอย่างหงุดหงิด เพราะกระโปรงบ้าตัวนี้แท้ๆ

“คอยดูเถอะ สักวันข้าจะจับเจ้าให้ได้!” นางถลกกระโปรงเดินเข้าไปข้างในอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง

 

หกประตูตั้งอยู่ไม่ไกลจากคฤหาสน์สกุลจิน วันนี้จินหยวนเป่าควบม้าเร็วเป็นพิเศษ เพียงครู่เดียวก็มาถึง

หกประตูเป็นหน่วยงานของราชสำนักที่รวบรวมจอมยุทธ์ยอดฝีมือ นักสืบ และมือปราบเข้าไว้ด้วยกัน เนื่องจากตึกใหญ่หันหน้าออกสู่ทิศใต้ เปิดประตูทางทิศใต้ ตะวันออก ตะวันตกหมดทั้งสามด้าน ด้านละสองบานรวมเป็นหกบาน ดังนั้นจึงเรียกว่า ‘หกประตู’

หน่วยย่อยของ ‘หกประตู’ แบ่งงานกันเป็นสัดส่วน หากไม่ถึงคราวจำเป็นก็แทบไม่มารวมตัวกันเลย แต่ละหน่วยมีตึกเป็นของตัวเอง ภายในตึกมีทั้งห้องทำงาน ห้องนอน ห้องลงทัณฑ์ และห้องขัง

จินหยวนเป่าลงจากหลังม้า โยนบังเหียนให้หวังเฉียงแล้วเดินเข้าตึกที่ทำงานของตนเองตามลำพัง…ตึกเหนือของหกประตู

ตอนที่เดินเข้าไป มือปราบสี่ห้าคนกำลังเดินออกมาพอดี พอเห็นเขาก็รีบประสานมืออวยพร “ยินดีด้วยขอรับหัวหน้า…”

“อย่าพูดเรื่องไร้สาระเลย!” จินหยวนเป่าโบกมือตัดบท “สอบปากคำเสือดาวเวหาเดี๋ยวนี้!”

ทุกคนหันไปมองหน้ากันแล้วรีบแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่กล้าถามอะไรมาก

เมื่อลูกน้องจัดเตรียมการพร้อมแล้ว หวังเฉียงก็เข้ามารายงาน จินหยวนเป่าเอามือไพล่หลังเดินตามอีกฝ่ายไปที่ห้องลงทัณฑ์

เสือดาวเวหาถูกมัดแขนทั้งสองข้างติดกับกางเขน บนตัวเต็มไปด้วยรอยแผล เห็นชัดว่าถูกทรมานมาไม่น้อยแล้ว

จินหยวนเป่าเดินยิ้มเข้าไปใกล้ “ว่าอย่างไร ยังไม่คิดจะสารภาพอีกหรือ”

เสือดาวเวหามองเขาอย่างอ่อนแรงแล้วถอนหายใจ “คุณชาย ข้าเสือดาวเวหาฉายเดี่ยวเสมอ ลองไปสืบดูในยุทธภพเอาก็ได้ วันนั้นที่ขโมยกระเป๋าเงินแม่นางคนนั้นเกิดจากความคิดชั่ววูบจริงๆ”

“หืม?” มือปราบหนุ่มยังคงยิ้มละไม “ขโมยกระเป๋าเงินเป็นความคิดชั่ววูบ ใช้กระสอบจับตัวคนก็เป็นความคิดชั่วแล่นด้วยหรือไม่”

เสือดาวเวหาใจเต้นแรง แต่ยังย้อนถามโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “จับตัวคน? ใครจะไปกล้า จับเอาไปขายใครกัน”

“ยังจะปากแข็ง!” จินหยวนเป่าหน้าบึ้ง ตบบันทึกคดีดังป้าบ

“วันที่สิบเดือนสาม คุณหนูสกุลซุนหายตัวไป จนบัดนี้ก็ยังไม่กลับมา วันที่สิบเอ็ดเดือนสี่ ลูกสาวสกุลเฉินถูกคนหลอกลักพาตัวไปจากหน้าประตูบ้าน วันที่ยี่สิบเดือนสี่ สะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้าสกุลฉินถูกฉุดไปกลางทาง…เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าไม่รู้เรื่องพวกนี้แม้แต่นิดเดียว”

เสือดาวเวหาส่ายหน้า “ข้ามันแค่โจรกระจอก จะไปรู้เรื่องการค้าขนาดใหญ่เช่นนั้นได้อย่างไร”

จินหยวนเป่าเขวี้ยงห่ออะไรบางอย่างใส่ตัวอีกฝ่าย ของในห่อกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊ง “รู้หรือไม่ว่านี่อะไร เครื่องประดับจำนวนมากที่ค้นมาได้จากในบ้านเจ้า อย่าบอกนะว่าเจ้าซื้อมาใช้เอง!?”

ฝ่ายตรงข้ามอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี

“อีกอย่าง…” จินหยวนเป่าขยับเข้ามาใกล้อีกเล็กน้อย บรรยากาศอันน่าพรั่นพรึงทำให้เสือดาวเวหาสะท้านนิดๆ อย่างห้ามไม่อยู่ “หอเชียนเจียวไม่ใช่ที่ที่โจรกระจอกอย่างเจ้าจะเข้าไปเที่ยวได้ หากเจ้ายอมสารภาพแต่โดยดี ก็หมายความว่าเจ้าจะไม่เป็นไรมาก แต่เจ้าปากแข็งขนาดนี้ ย่อมบอกได้เพียงอย่างเดียวว่าเจ้ารู้ว่าหากสารภาพแล้ว ตัวเองจะตายเร็วขึ้นกว่าเดิม”

เสือดาวเวหามองเขาพร้อมขมวดคิ้วมุ่น แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ยอมคายอะไรออกมา

“บอกอะไรให้นะ ถึงตอนนี้เจ้าไม่สารภาพก็ยังจะได้ตายเร็วอยู่ดี ระยะนี้มีคดีมากมาย คนในกองปราบอยากปิดคดีโดยเร็วทั้งนั้น หลายเดือนที่ผ่านมามีคดีลักตัวหญิงสาวไปขายกว่าร้อยคดี ข้าจะโยนให้เป็นความผิดเจ้าทั้งหมด เมื่อถึงเวลานั้นเรื่องไม่จบง่ายๆ แค่ถูกตัดหัวหรอกนะ…” มือปราบหนุ่มกระซิบตรงริมหูอีกฝ่ายเบาๆ “ใช้ดาบฟันให้ตายช้าๆ เจ้าคิดว่ารสชาติของมันจะเป็นอย่างไรล่ะ จุ๊ๆๆ แค่คิดก็แทบทนมองไม่ได้แล้ว”

เสือดาวเวหาขยับตัวหนีด้วยความพรั่นพรึง โซ่ที่ล่ามอยู่บนตัวกระทบกันดังแกร๊งๆ แต่ก็เปลืองแรงเปล่า “เจ้า…เจ้ามันต่ำช้า!”

“ต่ำช้า?” จินหยวนเป่าแค่นยิ้ม “ต่ำช้ากว่าพวกค้าสตรีอย่างเจ้าหรือ อีกอย่างนะ…ข้าว่าเจ้านายที่อยู่เบื้องหลังพวกเจ้าก็คงอยากให้มีคนมารับผิดแทนใจจะขาดกระมัง”

พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินออกไป โดยไม่ปรายตามองนักโทษอีกเลย

ไอหนาวยะเยือกแผ่ขึ้นมาจากกลางฝ่าเท้าจนเสือดาวเวหาสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่

หวังเฉียงเห็นผู้บังคับบัญชาเดินออกมาก็รีบเข้าไปถาม “หัวหน้า มันสารภาพหรือไม่ขอรับ”

จินหยวนเป่าส่ายหน้า “ไม่”

“ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไรดี”

จินหยวนเป่ายิ้มอย่างมั่นใจ “วางใจเถิด อีกเดี๋ยวมันต้องยอมพูดแน่”

 

อวี้ฉีหลินเดินลากเท้ากลับเข้าไปในคฤหาสน์อย่างหงอยๆ หลังจากตามจินหยวนเป่าไม่ทัน

เพิ่งจะเดินเข้าประตูหอซงจู๋ก็เห็นบัณฑิตท่าทางซื่อบื้อคนหนึ่งยืนอยู่ตรงกลางลาน

“เจ้าคือ…” นางไม่เคยเห็นกู้ฉางเฟิงมาก่อน แต่ดูจากท่าทางไม่น่าจะเป็นคนเลว คนเลวที่ไหนดูซื่อบื้ออย่างนี้บ้างเล่า

“ผู้น้อยกู้ฉางเฟิง เป็นหมอประจำคฤหาสน์แห่งนี้!” กู้ฉางเฟิงรีบค้อมตัวคำนับ “คารวะฮูหยินน้อย”

“อ้อ…” อวี้ฉีหลินพยักหน้า ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองถ้วยกระเบื้องที่เขาถืออยู่ ข้างในคือของเหลวสีดำปี๋ดูข้นคลั่ก นางเงยหน้าขึ้นถามด้วยความฉงน “นี่อะไรน่ะ”

ฉางเฟิงตอบอย่างยินดีปรีดา “ยาที่ฮูหยินสั่งให้ข้าปรุงขึ้นมาให้ฮูหยินน้อยกินบำรุงเลือดลม”

“หา? ให้ข้ากิน?” นางถอยหนีไปข้างหลังโดยไม่รู้ตัว ดวงตาจ้องมองชามใบนั้นพลางกลืนน้ำลายลงคอหวาดๆ “นี่เป็น…ยาหรือ”

“อื้ม!” ชายหนุ่มพยักหน้าแรงๆ “อันที่จริงต้องบอกว่าเป็นน้ำแกงบำรุงร่างกายที่เข้าตัวยาสิบขนาน มีโสมตังเซียมสองตำลึง โกศเขมาสองตำลึง โป่งรากสนสองตำลึง โสมตังกุยสองตำลึง อบเชยจีนสองตำลึง ชะเอมเทศสองตำลึง…”

“ช้าก่อน!” อวี้ฉีหลินยิ่งฟังยิ่งสยอง “เจ้าบอกว่าในนี้มีตัวยาบำรุงทั้งหมดสิบอย่าง?”

“ถูกต้อง แทบจะค้นมาหมดตู้ยาของข้าเลยทีเดียว” กู้ฉางเฟิงอวดอ้างด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ

“อย่างละสองตำลึงหมดเลยหรือ”

“ไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้นแม้แต่นิดเดียว”

“นี่…” นางมองอีกฝ่ายอย่างประหลาดใจ “ใช้สมุนไพรทั้งหมดสิบอย่าง อย่างละสองตำลึงก็เท่ากับสองชั่ง* นะ!? เจ้าใช้สมุนไพรสองชั่งเคี่ยวเป็นยาบำรุงมาให้ข้าดื่มน่ะหรือ”

“ฮูหยินน้อยช่างมีอารมณ์ขันจริงๆ” กู้ฉางเฟิงหัวเราะ ก่อนจะบอกด้วยสีหน้าจริงจัง “น้ำแกงชามนี้เพิ่งยกขึ้นจากเตาใหม่ๆ ต้องรีบดื่มทันที ดื่มวันละสามเวลา รับรองจะต้องเห็นผลภายในสิบวัน!”

นางมองสิ่งที่เรียกว่า ‘ยา’ ซ้ำอีกครั้ง รู้สึกได้ว่าเหงื่อเย็นๆ ผุดซึมออกมาทั้งตัวแล้วตัดบทว่า “ตกลงๆๆ วางไว้ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวข้าค่อยกิน”

“เดี๋ยวกินไม่ได้นะขอรับ สรรพคุณของยาจะลดลงครึ่งหนึ่ง จะต้องรีบกินเดี๋ยวนี้เลย!”

“เดี๋ยวนี้?” อวี้ฉีหลินมองเขาอย่างหยั่งเชิง

กู้ฉางเฟิงตอบเสียงดังฟังชัด “เดี๋ยวนี้!”

“ไม่เอาด้วยหรอก! ใครจะไปอยากกินของพรรค์นี้

“ไม่ได้นะ!” หมอหนุ่มดึงดันเสียยิ่งกว่านาง เขาตอบพลางยื่นชามยาเข้ามาตรงหน้า

“บอกว่าไม่กินก็ไม่กินสิ!” อวี้ฉีหลินยกมือขึ้นบังไว้ แต่เผลอไปชนชามยาเข้า ยาจึงหกใส่เสื้อกู้ฉางเฟิงไปไม่น้อย

เขาเบิกตากว้าง อ้าปากค้างมองคราบยาที่อยู่บนเสื้อตัวเอง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองนางอย่างขุ่นเคือง “ยาแพงๆ หกไปตั้งเยอะขนาดนี้ เสียดายของแท้ๆ!” พูดพลางถอดเสื้อคลุมออกตรงนั้น

หญิงสาวมองตามอย่างตื่นตระหนก แล้วรีบรับชามยาที่เขาส่งมาให้พลางรุนหลังอีกฝ่ายไปทางประตู “ท่านหมอกู้ไปเปลี่ยนเสื้อก่อนเถอะ ไว้เดี๋ยวข้ากินชามนี้หมดเมื่อไรจะไปขอเพิ่ม!”

กู้ฉางเฟิงมองนางอย่างไม่ไว้ใจ “ต้องกินนะ!”

“กินแน่ๆ”

“ต้องกินให้หมดล่ะ”

“เข้าใจแล้วๆ!”

“ก็ได้…” หมอหนุ่มถือเสื้อเดินออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก

“เดินดีๆ ล่ะ ข้าไม่ส่งนะ…” อวี้ฉีหลินโบกไม้โบกมือ จวบจนไม่เห็นแผ่นหลังของอีกฝ่ายแล้วจึงค่อยพรูลมหายใจยาวเหยียด

นางหมุนตัวไปหยิบยาชามนั้นมาเททิ้ง แต่…พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ ใบหน้าน่ารักคลี่ยิ้มน้อยๆ แล้วตะโกนเสียงดัง “สี่เอ๋อร์ สี่เอ๋อร์!”

สี่เอ๋อร์เดินขมวดคิ้วเข้ามาหา “มีอะไร”

“มีกล่องข้าวหรืออะไรทำนองนั้นหรือไม่”

“เจ้าจะเอาไปทำไม” เวลานี้สี่เอ๋อร์ไม่เชื่อใจคนตรงหน้าอย่างมาก

“ข้าจะใช้ ไปหามาให้หน่อยสิ!”

* ชั่ง (ชั่งจีน) หรือจิน เป็นหน่วยชั่งของจีนที่มีน้ำหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม ยังนิยมใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน

“อืม…” สาวใช้มองนางอย่างระแวง แต่ก็ยังไปหากล่องข้าวตามที่นางต้องการให้อยู่ดี

 

ภายในห้องหนังสือของหอเหนือหกประตู บันทึกคดีวางกองพะเนินเต็มโต๊ะ

จินหยวนเป่านั่งอยู่ข้างหลังกองงาน กำลังเปิดบันทึกคดีเล่มหนึ่งออกอ่าน แต่แล้วก็เริ่มใจลอย…

อยู่ๆ ใบหน้าคลี่ยิ้มสดใสก็ปรากฏขึ้นบนหน้าบันทึกคดี ความอ่อนหวานน่ารัก ความซุกซน… ริมฝีปากบางหยักมุมขึ้นน้อยๆ โดยไม่รู้ตัว

“ยิ้มอะไรอยู่”

เสียงที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้เขาสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ พอเงยหน้าพรวดขึ้นมองก็เห็นใบหน้าคลี่ยิ้มหวานสดใสดวงนั้นของอวี้ฉีหลิน

ทำไมแค่คิดถึง นางก็มาอยู่ตรงหน้าแล้วนะ จินหยวนเป่ากระแอมกลบเกลื่อน รู้สึกร้อนตัวเหมือนทำอะไรผิดสักอย่าง

“เจ้าเป็นอะไรไป” อวี้ฉีหลินมองเขางงๆ

“อะแฮ่ม…เปล่า ไม่มีอะไร” จินหยวนเป่าเปิดบันทึกคดีส่งๆ จากนั้นก็ได้สติกลับคืนมา เงยหน้าขึ้นมองนาง “เจ้ามาได้อย่างไร”

“ข้าคิดถึงเจ้า ก็เลยมาหาน่ะสิ!” นางคลี่ยิ้มใสบริสุทธิ์

ชายหนุ่มหรี่ตาอย่างหวาดระแวงแล้วถามต่อ “ที่นี่คือกองปราบ เจ้าเข้ามาได้อย่างไร!”

“อ๋อ…” นางตอบยิ้มๆ “พอดีข้าเจอคนที่ไปหาท่านที่บ้านเมื่อเช้า เขาเห็นข้าก็เลยพาเข้ามาข้างใน ซ้ำยังเดินมาส่งถึงหน้าประตู ช่างเป็นคนดีจริงๆ เลย!”

“หวังเฉียง…” จินหยวนเป่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

เห็นเขาทำหน้าหงุดหงิด อวี้ฉีหลินก็รีบจัดบันทึกคดีตรงหน้าให้ “เจ้านั่งอ่านหนังสือมาตั้งนานคงเหนื่อยแย่ พักผ่อนหน่อยดีกว่า”

“ข้าไม่เหนื่อย” เขายกมือขวางไว้ “เจ้าออกไปได้แล้ว” พูดจบก็แสร้งทำเป็นก้มหน้าก้มตาอ่านคดีต่อ แต่ปากแข็งใจอ่อน ไม่ได้คิดจะไล่นางออกไปจริงๆ

คนฉลาดอย่างอวี้ฉีหลินรู้ทัน นางแอบยิ้มก่อนจะเปิดปิ่นโตให้อย่างเอาใจใส่ แล้วยกขนมกับผลไม้ออกมาอย่างละถาด “เจ้าพักผ่อนหน่อยเถอะ อย่าตรากตรำเลย”

น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยที่ได้ยินทำให้หัวใจชายหนุ่มอ่อนลงอีกหลายระดับ

จากนั้นนางก็หยิบชามยาจากในปิ่นโตออกมาพร้อมพูดเสียงหวาน “นี่เป็นยาบำรุงเข้าสมุนไพรสิบขนานที่หมอกู้เพิ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ เหมาะกับเจ้ามาก รีบกินเสียตอนที่ยังร้อนๆ สิ”

จินหยวนเป่ายังเอาแต่เปิดบันทึกคดีไปเรื่อย ไม่มองนาง ทว่าน้ำเสียงนุ่มนวลขึ้นกว่าเดิม “ข้าแข็งแรงดี ไม่ต้องบำรุงหรอก”

ไม่กินได้อย่างไรกัน อวี้ฉีหลินผลักชามยาไปตรงหน้าเขาอีกครั้ง แถมยังดึงบันทึกคดีออกไปอย่างใส่ใจ “ไม่บำรุงได้หรือ ท่านแม่เป็นคนสั่งให้หมอกู้ปรุงยาให้เชียวนะ บอกว่าบำรุงเลือดลมดีนัก ท่านแม่ให้ข้ากิน แต่ข้าเสียดาย อยากเก็บไว้ให้เจ้ากินมากกว่า”

ชายหนุ่มนึกซาบซึ้งอยู่ในใจเมื่อได้ยินดังนั้น แล้วก็อดเงยหน้าขึ้นมองนางไม่ได้ ดวงตากลมโตคู่สวยเป็นประกายพราวระยับ เหมือนใบหน้าแย้มยิ้มที่เห็นในความทรงจำเมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยน เขาใจเต้นแรง ใบหน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันที

จินหยวนเป่ากระแอมเบาๆ ด้วยความประหม่า แล้วแสร้งเอ็ดใส่เพื่อปิดบังความรู้สึกที่แท้จริง “ท่านแม่ให้เจ้ากิน เจ้าก็กินเสีย! ดูซิว่าตัวเองผอมบางแค่ไหน เดี๋ยวออกไปข้างนอก คนอื่นก็หัวเราะเยาะสกุลจินแย่ว่าเลี้ยงดูเจ้าไม่ดี!”

อวี้ฉีหลินยื่นชามยาไปให้เขาอีกครั้งพลางบอกอย่างห่วงใย “ข้าไม่ได้เลือดออกเสียหน่อย ยังต้องบำรุงอะไรอีก เจ้าต่างหากล่ะ เมื่อคืนเลือดกำเดาไหลตั้งเยอะขนาดนั้น ต้องบำรุงกันหน่อย…”

เลือดกำเดา? คนฟังชะงักกึก อึ้งไปสักพักแล้วใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากนาง ดันใบหน้าที่ยื่นเข้ามาใกล้ออกไปเล็กน้อย “เมื่อคืนข้าเลือดกำเดาไหลหรือ”

“อืม!” นางตอบอ่อยๆ “เมื่อเช้าเจ้าเห็นผ้าเช็ดหน้า ข้ายังนึกว่าเจ้ารู้แล้วเสียอีก”

“ผ้าเช็ดหน้า?” จินหยวนเป่าขมวดคิ้ว “เดี๋ยว ไหนเล่าให้ชัดๆ ซิ”

“เอ่อ…” หญิงสาวมองเขาอย่างหวาดๆ “เมื่อคืนข้าต่อยเจ้าไปหมัดนึง เจ้าเลือดกำเดาไหลโกรก ข้าเลยต้องหาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดให้น่ะสิ ข้าสำนึกผิดแล้ว เจ้าอย่าโกรธเลยได้หรือไม่”

“เลือดบนผ้าผืนนั้นคือเลือดกำเดาข้า?”

“ก็ใช่น่ะสิ”

คำตอบหนักแน่นที่ได้รับทำให้จินหยวนเป่ารู้สึกเหมือนได้ปลดเปลื้องจากภาระหนักอึ้ง ทว่าในขณะเดียวกันก็ผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก “ที่แท้ก็แบบนี้…แค่เลือดกำเดา…”

อวี้ฉีหลินตอบด้วยสีหน้างุนงง “ใช่แล้ว แบบนี้แหละ จะโทษข้าที่ข้าต่อยเจ้าไม่ได้นะ ตอนนั้นเจ้าทำตัวประหลาดมากจริงๆ ข้าเลยลนลาน”

ชายหนุ่มหลุบตาลงทบทวนความจำโดยละเอียด แล้วพลันนึกถึงยาสร่างเมาที่ป้ากู้ส่งให้กินก่อนเข้าห้องหอขึ้นมาได้…

“ที่แท้เจ้าก็ไม่ได้เป็นคนวางยา แต่เป็นเพราะท่านแม่ใจร้อน…”

เห็นเขางึมงำกับตัวเองด้วยท่าทางหดหู่ อวี้ฉีหลินก็รีบขอโทษขอโพยอย่างห่วงใย “ข้าผิดเองที่ไม่ระวัง ทำให้เจ้าเลือดกำเดาไหลตั้งเยอะ ดังนั้นน้ำแกงบำรุงเลือดลมชามนี้ควรต้องยกให้เจ้าดื่ม!”

จินหยวนเป่ามองนางด้วยสายตาแปลกๆ แม้ความเข้าใจผิดเรื่องวางยาจะแก้ไขได้แล้ว แต่ความซาบซึ้งในใจก็หายวับตามไปด้วยเช่นกัน

“ดังนั้นน้ำแกงชั้นดีชามนี้…” อวี้ฉีหลินยื่นชามยาไปให้พร้อมยิ้ม

จินหยวนเป่ากำลังรู้สึกสับสนในตัวเอง ไหนเลยจะมีแก่ใจมาดื่มน้ำแกง ร่างสูงลุกพรวดขึ้นยืนแล้วผลักนางออก น้ำแกงกระฉอกหกรดตัวอวี้ฉีหลิน

“ตายแล้ว…ทำอะไรของเจ้า!” อวี้ฉีหลินหงุดหงิดเป็นที่สุด ไม่นึกเลยว่าแผนการจะล้มเหลวถึงเพียงนี้

ความรู้สึกผิดวาบเข้ามาในใจจินหยวนเป่าเมื่อเห็นสภาพมอมแมมของนาง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาถึงได้โมโหขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ จึงผลักหญิงสาวออกไปนอกห้อง ปิดประตูลงกลอนแล้วกลับมานั่งอ่านบันทึกคดีต่อ

“จินหยวนเป่า ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร!” อวี้ฉีหลินตบประตูอยู่นานก็ยังไม่มีเสียงตอบกลับมาจากข้างใน นางกระทืบเท้าด้วยความโกรธ ทว่าทำอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากกลับคฤหาสน์สกุลจินไปคนเดียว

 

พอสาวใช้เห็นยาที่เปื้อนชุดฮูหยินน้อยก็รีบไปเตรียมน้ำร้อนให้อาบมือเป็นระวิงโดยไม่ต้องรอให้นางสั่ง

เพียงครู่เดียวถังไม้ที่มีน้ำร้อนเต็มปรี่ก็ถูกจัดวางไว้ในห้องหอ

อวี้ฉีหลินกำลังถอดเสื้อผ้า สี่เอ๋อร์ก็เปิดประตูเดินเข้ามาเสียก่อน

นางชะงักแล้วถาม “เจ้าเข้ามาทำไม”

สี่เอ๋อร์ย้อนถามกลับไปด้วยความกังขา “ก็ช่วยเจ้าอาบน้ำน่ะสิ ทำไม”

“ไม่ต้องๆ” อวี้ฉีหลินโบกมือให้ว่อน “ไม่ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนตอนข้าอาบน้ำหรอก!”

“เจ้านายที่ไหนเขาอาบน้ำเองกันบ้าง”

อวี้ฉีหลินส่ายหน้า “ฟ้ารู้ ดินรู้ เจ้ารู้ ข้ารู้ พวกเราไม่พูด ยังจะมีใครรู้อีก หากมาช่วยข้าอาบน้ำ เจ้าก็เห็นข้าเปลือยหมดน่ะสิ ไม่เอาด้วยหรอก!”

เป็นหญิงด้วยกันต้องกลัวอะไรนะ สาวใช้นิ่วหน้าตอบ “เวลาเจ้านายอาบน้ำจะต้องมีข้ารับใช้ประจำตัวคอยปรนนิบัติ เจ้าไล่ข้าออกไป เกิดใครมาเห็นเข้าก็ความแตกกันพอดี อีกอย่าง…”

“ช้าก่อน!” อวี้ฉีหลินร้องแทรก “เวลาอาบน้ำต้องมีคนอยู่ด้วยหรือ”

“แน่นอน มันเป็นธรรมเนียม”

“ถ้าอย่างนั้นจินหยวนเป่า…” ดวงตากลมโตเป็นประกายวาบ “ข้ายังไม่อาบแล้วกัน เจ้าไปเรียกบ่าวไพร่ที่คอยรับใช้จินหยวนเป่ามาให้หมดซิ!”

 

หอซงจู๋ของคฤหาสน์สกุลจินคึกคักเป็นพิเศษ

ตรงลานด้านนอกเต็มไปด้วยสาวใช้และบ่าวชาย แต่ละคนก้มหน้างุด มีบ้างที่แอบเหลือบตาขึ้นมองฮูหยินน้อยที่นั่งตรงหน้าทุกคนด้วยความสงสัย

อวี้ฉีหลินเอนหลังพิกพนักเก้าอี้แบบมีเท้าแขนพลางทบทวนความจำถึงอากัปกิริยาของจินฮูหยิน แล้ววางท่าเฉยชาเลียนแบบ นิ่งเงียบ ปรายตามองบ่าวไพร่ทั้งหมดเป็นพักๆ

สักครู่ใหญ่ให้หลัง นางถึงยกชามาดื่มด้วยกิริยาแช่มช้อย พวกบ่าวไพร่เห็นดังนั้นก็ยิ่งเงียบกริบกว่าเดิม

“แฮ่ม…” ฮูหยินน้อยกระแอมเบาๆ

พวกบ่าวตัวเกร็ง เงี่ยหูรอฟังคำพูดของนาง

“ที่ข้าเรียกพวกเจ้าทุกคนมาที่นี่ก็เพื่อจะถามว่ามีใครเคยเห็นเรือนร่างของคุณชายบ้าง” นางถามขึ้นเนิบๆ

สาวใช้ทุกคนสะดุ้งเฮือกในใจ หันไปสบตากันด้วยสีหน้าพรั่นพรึง

ทำไมไม่มีใครตอบนะ อวี้ฉีหลินถามเนิบๆ ต่อ “ข้าเพิ่งเข้ามาอยู่ที่นี่ ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แค่อยากถามดูเท่านั้น คนไหนคอยรับใช้คุณชายอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอดในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ…เช่น หวีผม ล้างหน้า แต่งตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาบน้ำ”

ดูท่าจะเล่นงานแน่แล้ว…ไม่คิดเลยว่าฮูหยินน้อยที่เพิ่งมาอยู่ใหม่จะเป็นหญิงขี้หึงอย่างร้ายกาจ พวกสาวใช้ตัวสั่นงันงก ไม่กล้าส่งเสียง

รออยู่นานก็ยังไม่มีใครตอบอะไร อวี้ฉีหลินชักหมดความอดทน

“ข้ารู้ว่าเวลาคุณชายตระกูลใหญ่ๆ อาบน้ำจะต้องมีคนคอยปรนนิบัติ ยอมรับมาเถิดว่าใครเคยเห็นเรือนร่างคุณชายบ้าง”

ที่ตอบกลับมายังมีแต่ความเงียบเหมือนเก่า

อวี้ฉีหลินวางถ้วยชาลงด้วยความเบื่อหน่าย แล้วลุกขึ้นเดินวนรอบทุกคนอย่างตรวจตรา ก่อนจะหยุดลงข้างๆ สาวใช้คนหนึ่ง “เจ้าหน้าตาดี ท่าทางฉลาดเฉลียว คุณชายคงไม่รำคาญเจ้าแน่ใช่หรือไม่”

สาวใช้คนนั้นตกใจกลัวจนแทบร้องไห้ “ฮูหยินน้อย คุณชายไม่เคยชอบบ่าวเลยเจ้าค่ะ”

เกี่ยวอะไรกับชอบไม่ชอบด้วยเล่า อวี้ฉีหลินขมวดคิ้วถามต่อ “ชอบหรือไม่ยังไม่ต้องพูดถึง แล้วเจ้าเคยปรนนิบัติคุณชาย…ระหว่างอาบน้ำหรือไม่”

“ไม่เคยเจ้าค่ะ ไม่เคย! ไม่เคยเลยจริงๆ!” สาวใช้โบกมือเป็นระวิง

“ไม่เคย?” อวี้ฉีหลินถามต่อด้วยความสงสัย “เจ้าไม่เคยเห็นเรือนร่างคุณชายเลยหรือ อย่างเช่นต้นขาหรือบั้นเอว…”

“ฮูหยินน้อย!” สาวใช้คุกเข่าลงกับพื้นดังตุ้บแล้วสั่นสะท้านไปทั้งตัว “คุณชายมีนิสัยประหลาดแต่เด็ก ไม่ชอบให้ใครรับใช้ใกล้ชิด แม้พวกบ่าวจะเป็นข้ารับใช้ในเรือนนี้ แต่เรื่องอาบน้ำแต่งตัว…” นางกลืนน้ำลายลงคอ “เรื่องพวกนี้คุณชายไม่เคยเรียกใช้พวกเรา คนที่คอยปรนนิบัติดูแลคือบ่าวคนสนิทของคุณชายเจ้าค่ะ”

“บ่าวคนสนิท?”

“เจ้าค่ะๆ!” สาวใช้อีกหลายคนช่วยกันรับรอง

“ใคร”

“อาฝูเจ้าค่ะ เขารู้เรื่องคุณชายดีกว่าใคร!” เหล่าสาวใช้แย่งกันขายอาฝูเสียงเกรียวกราว

อวี้ฉีหลินยิ้มย่องแล้วพูดด้วยเสียงอันดัง “ใครคืออาฝู ก้าวออกมาซิ!”

อาฝูที่หลบอยู่แถวหลังสุดอย่างอกสั่นขวัญแขวนหน้าถอดสีด้วยความหวาดกลัวเมื่อได้ยิน ยังไม่ทันทำอะไรก็ถูกคนที่ยืนข้างๆ ช่วยกันผลักออกมาคนละทีสองที

เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น อาฝูจึงจำใจเดินออกมาแถวหน้าด้วยท่าทางเหมือนจะร้องไห้ “คารวะฮูหยินน้อย!”

อวี้ฉีหลินกวาดตาพิจารณาอีกฝ่ายแล้วส่งยิ้มไร้พิษภัยไปให้ “อาฝู ไหนบอกข้าซิ ในเมื่อเจ้าเป็นบ่าวคนสนิทของคุณชาย เจ้าเคยปรนนิบัติคุณชายระหว่างอาบน้ำหรือไม่”

อาบน้ำ!? อาฝูสะดุ้งโหยง นึกโอดครวญอยู่ในใจว่า อย่าบอกนะว่าฮูหยินน้อยสงสัยว่าข้า… แม้สมัยนี้คุณชายลูกผู้ดีจะนิยมเลี้ยงนายบำเรอ แต่เขาผิวหยาบกร้านดำคล้ำ มองอย่างไรก็ไม่เหมือนนายบำเรอสักนิด…น่ากลัวว่าฮูหยินน้อยจะเข้าใจผิดเสียแล้ว!

พอเห็นเขาหน้าซีดลนลาน พวกบ่าวไพร่ที่ไม่ถูกกับเขาก็หันไปสบตากัน อยากหัวเราะก็ไม่กล้า ได้แต่กลั้นไว้จนท้องคัดท้องแข็ง แต่สีหน้าฟ้องออกมาจนหมด

อาฝูทิ้งตัวลงคุกเข่าตรงหน้าอวี้ฉีหลินดังตุ้บ แล้วร้องขอความเป็นธรรม “ฮูหยินน้อยโปรดอย่าฟังคนอื่นพูดเลอะเทอะเป็นอันขาด! บ่าวปรนนิบัติคุณชายเป็นประจำก็จริง แต่ตั้งแต่เด็กคุณชายก็มีนิสัยประหลาด ชอบรังเกียจว่าคนอื่นสกปรก จึงไม่ยอมให้ใครถูกตัว เรื่องจะปรนนิบัติตอนอาบน้ำยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยขอรับ!”

โรครักสะอาดอย่างนั้นหรือ อวี้ฉีหลินเลิกคิ้ว นึกถึงพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ของจินหยวนเป่าก่อนจะพยักหน้า “อืม…คุณชายของพวกเจ้านี่จุกจิกจริงๆ”

อาฝูแอบเหลือบตามอง เห็นนางมีสีหน้าปกติเหมือนไม่ระแวงสงสัยก็พรูลมหายใจยาวเหยียดด้วยความโล่งอก

จินหยวนเป่าคนนี้จุกจิกจู้จี้ยิ่งนัก ไม่มีใครเคยช่วยปรนนิบัติตอนอาบน้ำก็เท่ากับว่าไม่มีใครเคยเห็นรอยปานน่ะสิ

อวี้ฉีหลินลูบคางครุ่นคิดอย่างผิดหวัง ทันใดนั้นนางก็ช้อนตาขึ้นมองพวกข้ารับใช้เมื่อคิดอะไรได้ “เอาล่ะ ในเมื่อไม่มีใครเคยปรนนิบัติเขา ถ้าอย่างนั้นเคยมีใครแอบดูคุณชายอาบน้ำบ้าง”

ทุกคนคุกเข่าลงกับพื้นดังตุ้บๆ กันถ้วนหน้า “ฮูหยินน้อยมากปัญญา พวกบ่าวไหนเลยจะกล้า”

“เฮ้ๆๆ ทำไมถึงคุกเข่ากันหมดเลยล่ะ!” อวี้ฉีหลินรีบปลอบ “ไม่ต้องกลัวไป หากคนไหนรู้ว่าใครเคยเห็นก็แอบมาบอกข้านะ ข้าจะตกรางวัลให้อย่างงาม”

“ไม่เคยเห็นจริงๆ ขอรับ/เจ้าค่ะ!” คือเสียงตอบกลับมาอย่างพร้อมเพรียง

“จริงหรือ” นางเลิกคิ้ว

“จริงๆ!” ทุกคนพยักหน้าเป็นจังหวะเดียว ราวกับผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี

“เฮ้อ…ไม่ได้ความ” อวี้ฉีหลินบ่นงึมงำอย่างเบื่อหน่าย

ข้ารับใช้ทั้งหมดแหงนหน้ามองนางตาละห้อย

นางกวาดตามองทุกคนอีกครั้งแล้วโบกมืออย่างเบื่อๆ “แยกย้ายกันได้แล้ว”

เมื่อได้รับคำสั่ง เหล่าบ่าวไพร่ก็กระเจิดกระเจิงเป็นนกแตกรังทันที

การสอบปากคำอันน่ากลัวของอวี้ฉีหลินถูกบ่าวไพร่ในคฤหาสน์เอาไปพูดกันต่างๆ นานา ไม่นานนักก็ไปถึงหูหลิ่วเชี่ยนเชี่ยน

นางแล่นไปที่เรือนจินฮูหยินโดยไม่รอช้า แล้วฟ้องอย่างแค้นเคืองทันทีที่เข้าไปข้างใน “ท่านอา ข้าได้ยินว่าพี่สะใภ้เรียกสาวใช้กับบ่าวในเรือนพี่หยวนเป่ามาเล่นงานยกใหญ่ ถามว่ามีใครเคยช่วยพี่หยวนเป่าอาบน้ำแต่งตัวบ้าง ถามสาวใช้จนครบทุกคนยังไม่พอใจ ถึงกับไปถามบ่าวชาย เล่นเอาอาฝูกลัวจนหนีเปิดออกมาแล้วไม่กล้ากลับเข้าไปในเรือนอีกเลย!”

จินฮูหยินกำลังเอนตัวนั่งบนตั่งนุ่มให้ป้ากู้ช่วยทุบขาให้ พอได้ยินดังนั้นก็อมยิ้มพยักหน้าโดยไม่แม้แต่จะเหลือบตาขึ้นมอง “ต้องอย่างนี้สิ แต่ไหนแต่ไรพี่หยวนเป่าของเจ้าไม่เคยสนใจพวกข้ารับใช้ จากนี้ไปได้พี่สะใภ้เจ้ามาช่วยดูแลบ้านช่องอย่างเข้มงวดเฉียบขาด ข้าค่อยสบายใจหน่อย!”

นึกไม่ถึงว่าผู้เป็นอาจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนแย้งอย่างไม่พอใจ “แต่พี่สะใภ้ขี้หึงแบบนี้ ต่อไปพี่หยวนเป่าจะไม่มีความสุขนะเจ้าคะ”

จินฮูหยินค่อยๆ เหลือบตาขึ้นมองหลานสาวอย่างจริงจัง “เชี่ยนเชี่ยน ใครต่อใครมักพูดกันว่าหญิงขี้หึงไม่ใช่เรื่องดี แต่อาจะบอกอะไรเจ้าให้ ลงว่าเป็นหญิงแล้ว ไม่มีใครชอบให้สามีตัวเองไปหาเศษหาเลยกับคนอื่นทั้งนั้น เสี่ยวเซวียนทำแบบนี้จะได้ตัดปัญหาไม่ให้พวกสาวใช้มีความคิดไม่บังควร ดีแล้วล่ะ แบบนี้สิถึงมีบารมีสมเป็นนายหญิงของบ้าน พวกข้ารับใช้จะได้คิดว่าฮูหยินน้อยเฉียบขาดยิ่งนัก…” นางเว้นช่วงเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “ฮูหยินน้อยของบ้านสกุลจินเราต้องคอยเกรงใจพวกขี้ข้าตั้งแต่เมื่อไรกัน”

หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนเห็นจินฮูหยินเข้าข้างสะใภ้เช่นนั้นก็ยิ่งให้เร่าๆ อยู่ในใจ แล้วย่อตัวคำนับผู้เป็นอา “เจ้าค่ะ…ท่านอามองการณ์ลึกซึ้ง ข้าใจคอคับแคบเอง ขอตัวกลับเรือนก่อนนะเจ้าคะ” พูดจบก็หมุนตัวเดินจากไปทันที

จินฮูหยินมองตามแผ่นหลังหลานสาวยิ้มๆ “เด็กสาวๆ ก็แบบนี้แหละนะ ไว้นางแต่งงานเมื่อไรก็จะเข้าใจเอง” นางนิ่งคิดอะไรบางอย่างแล้วหันไปสั่งป้ากู้ “ถ่ายทอดคำสั่งของข้า คนในเรือนหยวนเป่าจะต้องเชื่อฟังฮูหยินน้อยอย่างเคร่งครัด และตั้งอกตั้งใจรับใช้ให้ดี ฮูหยินน้อยแต่งเข้ามาเป็นนาย หากมีใครเห็นว่านางเพิ่งมาใหม่แล้วกล้ากลั่นแกล้ง…” จินฮูหยินยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบช้าๆ ความเฉียบขาดปรากฏขึ้นบนสีหน้า “ก็ลองกฎประจำสกุลจินดู!”

“เจ้าค่ะ” ป้ากู้พยักหน้ายิ้มๆ

สีหน้าของจินฮูหยินผ่อนคลายขึ้น จากนายหญิงผู้ทรงอำนาจกลับไปเป็นมารดาผู้เปี่ยมเมตตาอีกครั้ง

 

หลังอาหารเย็น อวี้ฉีหลินลูบพุงกลมๆ ของตัวเองแล้วออกไปเดินเล่นในสวนดอกไม้คฤหาสน์สกุลจิน

สี่เอ๋อร์เดินตามหลังด้วยสีหน้าขุ่นขึ้ง เดินไปได้สักพักใหญ่ นางก็ทนจนสุดทนกับท่าทางไม่ทุกข์ร้อนของอวี้ฉีหลินแล้วถามขึ้นเบาๆ “นี่! เมื่อไรพวกเราถึงจะไปกันเสียทีล่ะ”

คนข้างหน้าหันมามอง “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าต้องทำธุระให้เสร็จก่อนถึงจะไปได้”

“ทำธุระๆ! เจ้าผัดวันประกันพรุ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะผัดไปถึงเมื่อไร!”

“เอาน่าๆ ข้ารู้แล้ว ก็กำลังคิดหาวิธีอยู่นี่อย่างไร…” ระหว่างที่กำลังพูดอยู่นั้น ดวงตากลมโตก็เห็นสาวใช้ยกน้ำร้อนไปที่เรือนหลิ่วเชี่ยนเชี่ยน

“อาบน้ำ?” อวี้ฉีหลินนิ่งคิดแล้วทำตาเป็นประกาย เริ่มจากอาบน้ำก่อนดีกว่า! จากนั้นก็หันมาสั่งสี่เอ๋อร์อย่างตื่นเต้น “สี่เอ๋อร์ ไปเตรียมน้ำสำหรับอาบมาเดี๋ยวนี้เลย!”

สาวใช้ชะงัก “เจ้าให้ข้าเตรียมน้ำให้เจ้าอาบ?”

“ถูกต้อง!” คนสั่งพยักหน้า “ไหนบอกมาซิ คุณหนูของเจ้าใช้อะไรบ้างเวลาอาบน้ำ จำได้ว่าตอนอยู่ในโรงเตี๊ยม ข้าเห็นอ่างอาบน้ำนางมีดอกไม้เต็มไปหมด”

นี่เวลาอะไรแล้ว ยังจะอาบน้ำ! สี่เอ๋อร์โมโหอยู่ในใจ แต่เห็นสีหน้าตื่นเต้นของอีกฝ่ายแล้วก็เกิดความสงสัย อดจะตอบไปตามจริงไม่ได้ “ดอกไม้นั่นคือกลีบกุหลาบพันธุ์ดี…เจ้าอยากเลียนแบบคุณหนูของข้าจริงหรือ”

“ข้าไม่ทำอะไรวุ่นวายแบบนั้นหรอก ข้าจะเตรียมไว้ให้จินหยวนเป่า กลีบดอกไม้ใช่หรือไม่ แล้วยังมีอะไรอีก”

เตรียมไว้ให้คุณชายจิน? สี่เอ๋อร์ชะงักไปอีกครั้ง ก่อนจะหรี่ตามองคนตรงหน้าอยู่นานแล้วพูดอย่างจริงจัง “อวี้ฉีหลิน ถึงเจ้าจะรูปร่างหน้าตาสะสวย แต่ไม่มีทางมาแทนที่คุณหนูของข้าได้หรอก”

คราวนี้อวี้ฉีหลินเป็นฝ่ายชะงักบ้าง “ข้าไม่ได้คิดจะแทนที่นางเสียหน่อย”

สี่เอ๋อร์พูดเป็นเหตุเป็นผล “คิดจะได้หัวใจคุณชายจินมาครองใช่จะทำได้ง่ายๆ นะ! นายหญิงตามตระกูลใหญ่ต้องเป็นแบบคุณหนูของข้า แช่มช้อยสง่างาม ฉลาดพูด รู้จักวางตัว ถึงข้าจะเป็นแค่สาวใช้ก็ยังรู้ว่าอย่างเจ้าไม่มีทางเป็นไปได้แน่…ดังนั้นหากคุณหนูของข้าเกิดกลับมาล่ะก็ อย่าได้นึกล่ะว่าวิธีประจบเอาใจของเจ้าจะ…จะแย่งตำแหน่งคุณหนูของข้าได้!”

“เจ้านึกว่าข้าทำไปเพื่อเอาใจจินหยวนเป่า นึกว่าข้าอยากอยู่ที่นี่นานๆ อย่างนั้นหรือ” อวี้ฉีหลินไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี

“ถามบ้าๆ!” สี่เอ๋อร์ขึงตาใส่ “ไม่อย่างนั้นทำไมเจ้าถึงต้องเอาใจเขาแบบนี้ด้วย ไม่ใช่เพราะอยากอยู่เป็นฮูหยินน้อยหรือไร”

“ช่างเถอะ!” นางส่ายหน้า “คฤหาสน์สกุลจินนี่น่ะ เวลากินข้าวก็ห้ามพูด บ้านแบบนี้เหมือนกรงเหล็กขนาดใหญ่ก็ไม่ปาน หากไม่เพราะอยากเห็นร่างกายของจินหยวนเป่า ข้าไม่อยู่ที่นี่ต่อหรอก!”

“แต่ข้าเห็นเจ้ากินอย่างมีความสุขมากเลยนี่นา…” สาวใช้มองนางด้วยสายตาระแวง

“อะแฮ่ม” อวี้ฉีหลินอดจะยกมือลูบพุงไม่ได้ “นั่นเพราะ…นั่นเพราะ…ต้องโทษที่โรงครัวบ้านนี้ทำอาหารอร่อยเกินไปต่างหาก!”

“หึ!” สี่เอ๋อร์สะบัดหน้าพรืดอย่างดูถูก

“สี่เอ๋อร์…” อวี้ฉีหลินดึงแขนเสื้ออีกฝ่าย “ข้าทำไปเพราะความจำเป็นบังคับจริงๆ…เมื่อได้เห็นแล้วก็จะไปทันที ข้าสัญญาว่าจะไม่อยู่ต่อแม้แต่วันเดียว…” นางนิ่งไปเพราะทนรับสายตาระแวงสงสัยของสี่เอ๋อร์ไม่ไหว ครู่หนึ่งก็อธิบายต่อ “ไม่อย่างนั้นทำไมข้าต้องปลอมตัวเป็นคุณหนูของเจ้าเพื่อช่วยเจ้าด้วยล่ะ ตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยม ข้าบอกว่าคุณหนูของเจ้าหนีไปแล้ว อย่างเจ้าจะรั้งข้าไว้ได้หรือ”

สี่เอ๋อร์ยังมองนางอย่างไม่เชื่อใจต่อสักพัก ก่อนจะค่อยๆ พรูลมหายใจออกมา “ได้ ข้าเชื่อเจ้า…ข้าจะไปเตรียมน้ำอาบล่ะ”

เห็นอีกฝ่ายกลับกลายเป็นสาวใช้คล่องงานอีกครั้ง ไออุ่นก็เอิบอาบหัวใจ อวี้ฉีหลินพูดจากใจจริง “ขอบใจนะ”

“พอที อย่าทำตัวน่าคลื่นไส้เลย” สี่เอ๋อร์โบกมือวูบ แล้วพูดเมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้ “เตรียมน้ำร้อนต้องใช้เวลา แต่ที่นี่ไม่มีกลีบดอกไม้ที่เจ้าอยากได้น่ะสิ”

กลีบดอกไม้? อวี้ฉีหลินครุ่นคิดแล้วตอบอย่างใจถึง “วางใจเถอะ ข้าจะไปหากลีบดอกไม้เอง” พูดจบก็เดินจากไปอย่างอารมณ์ดีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายโต้ตอบ

ต้นฤดูร้อนเป็นช่วงเวลาที่บุปผาบานสะพรั่ง

อวี้ฉีหลินเที่ยวหาอยู่ในคฤหาสน์เป็นนานสองนาน ในที่สุดก็เจอสวนดอกไม้ที่ไม่มีคน

นางมองดอกไม้สดสีต่างๆ ที่เบ่งบานเป็นแพอยู่ในสวนอย่างยินดีปรีดา ตื่นเต้นเป็นที่สุด “สี่เอ๋อร์ไม่ได้บอกนี่ว่าต้องเป็นกุหลาบอย่างเดียว…”

คิดได้ดังนั้นก็ก้าวเข้าไปในแปลงดอกไม้อย่างไม่ลังเล แล้วเลือกเก็บแต่ดอกงามๆ

“เดี๋ยวดอกซ้าย เดี๋ยวดอกขวา เดี๋ยวดอกข้างหน้า เดี๋ยวดอกข้างหลัง สาวน้อยเก็บดอกไม้ด้วยใจสำราญ…” อวี้ฉีหลินครวญเพลงที่แต่งส่งๆ ขึ้นมาเองพลางเด็ดดอกไม้อย่างมีความสุข ไม่นานนักดอกไม้ในแปลงก็โกร๋นไปกว่าครึ่ง

“กรี๊ด…”

เสียงหวีดร้องสั่นสะท้านชวนให้วิญญาณหลุดออกจากร่างดังเข้าหู

อวี้ฉีหลินไม่ทันตั้งตัว เสียงแหลมสูงราวกับปีศาจทะลุทะลวงเข้ามาในแก้วหูจนนางทำดอกไม้หลุดมือด้วยความตกใจ

“เจ้าทำอะไร!?”

นางหันไปมองแล้วก็พบว่าเป็นหลิ่วเชี่ยนเชี่ยน

หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนถลกชายกระโปรงวิ่งเข้ามาในแปลงดอกไม้ มองก้านโกร๋นๆ เหล่านั้นด้วยใจชอกช้ำ พอเห็นดอกไม้สดกระจัดกระจายอยู่บนพื้นก็กระทืบเท้าเร่า ตวาดใส่อวี้ฉีหลินอย่างกราดเกรี้ยว “เจ้า…เจ้ามันโจรเด็ดบุปผา!”

โจรเด็ดบุปผา!? คนถูกกล่าวหาหางตากระตุก “โจรเด็ดบุปผา* ไม่ได้มีความหมายแบบนี้นะ”

“เจ้า!” หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนโกรธจนหน้าดำหน้าแดง “ทำไมต้องมาเด็ดดอกไม้ในสวนของข้า!”

“ข้าแค่อยากได้กลีบดอกไม้กลับไป…”

“ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้าจะเอาไปทำอะไร!” หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนแทรกขึ้นอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยงแล้วกระทู้ถาม “สวนดอกไม้ในคฤหาสน์ออกจะกว้างขวาง จะเอาดอกอะไรก็มีทั้งนั้น ในเรือนเจ้าเองก็ใช่จะไม่มี ทำไมต้องมาย่ำยีดอกไม้ในเรือนข้าด้วย!”

เรือนนางหรือ อวี้ฉีหลินผงะไปเล็กน้อยแล้วอธิบายอย่างใจเย็น “ดอกไม้ตรงนี้สวยที่สุด ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นเรือนเจ้า”

หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนถอยหลังไปสามสี่ก้าวแล้วเชิดหน้ากอดอกมองฝ่ายตรงข้ามพลางพูดอย่างเอาเรื่อง “ที่มันสวยก็เพราะข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจเลี้ยงมันเป็นอย่างดี แค่เห็นว่าสวยก็มาเด็ดตามใจชอบได้หรือ หากพรุ่งนี้เจ้าเห็นว่าเรือนข้าสวย ปลูกได้สวย ตกแต่งภายในสวย กระทั่งสาวใช้ที่ปรนนิบัติข้า เจ้าก็เห็นว่าดี ข้าต้องยกให้เจ้าหมดหรือไม่”

อวี้ฉีหลินไม่นึกว่าคู่กรณีจะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ นางนิ่งไปด้วยความอึ้ง สักพักก็โต้กลับไปว่า “แค่ดอกไม้ไม่กี่ดอกเอง ไม่เห็นต้องคิดมากขนาดนั้นเลยนี่นา”

* โจรเด็ดบุปผา เป็นสำนวนจีน หมายถึงผู้ร้ายข่มขืน

“หึ…” หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนเลิกคิ้ว “ข้าเองก็ไม่อยากคิดมากหรอกนะ แต่เจ้าเพิ่งจะแต่งงานเข้ามาเป็นฮูหยินน้อยบ้านสกุลจินได้สองวันก็มาย่ำยีสวนดอกไม้ข้าเสียแล้ว ช่วยไม่ได้ที่ข้าจะคิดมาก…ว่าพี่สะใภ้ตั้งใจจะแสดงอำนาจใส่น้องสามีอย่างข้าหรือไม่ หรือเจ้าเห็นว่าข้าโตมาด้วยกันกับพี่หยวนเป่าก็เลยไม่ชอบใจ”

“ทำไมต้องไม่ชอบใจด้วยล่ะ” อวี้ฉีหลินถามยิ้มๆ “ไม่เห็นเป็นไรเลย เพราะคนที่เขาแต่งงานด้วยคือข้า”

โทสะของหลิ่วเชี่ยนเชี่ยนระเบิดตัวทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น หญิงคนนี้มีสมองบ้างหรือไม่ หรือว่าจงใจพูดเช่นนี้กันแน่!

เห็นอีกฝ่ายมีท่าทางเป็นฟืนเป็นไฟ อวี้ฉีหลินก็ยิ้มอธิบายอย่างไม่ตรงจุด “ข้าแค่อยากมาเก็บดอกไม้เท่านั้น! ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่เรือนเจ้า จะจงใจแกล้งเจ้าได้อย่างไรล่ะ”

“หึ” หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนแค่นยิ้ม “คิดจะโกหกใครไม่ทราบ คนทั้งคฤหาสน์รู้กันทั้งนั้นว่าห้ามแตะต้องดอกไม้ในเรือนข้า แต่เจ้ากลับบอกว่าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าอยู่ที่นี่ ไม่มีสาวใช้คนไหนคอยบอกเจ้าหรือไรว่าที่นี่อะไรควรทำไม่ควรทำ ข้าว่าเจ้าจงใจมากกว่า!”

อวี้ฉีหลินฟังแล้วปวดหัวนัก ตอนนี้นางขอสงบศึกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น “ก็ได้ๆ ข้าผิดเองๆ ข้าไม่รู้ว่าดอกไม้ของคุณหนูจะเป็นของหวงห้ามถึงเพียงนี้ ข้าขอโทษก็แล้วกัน ตกลงหรือไม่ ไว้เดี๋ยวว่างๆ ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวบนเขา…” พูดถึงตรงนี้ก็อดนึกถึงทะเลดอกไม้บนเขาเอ๋อเหมยไม่ได้ จึงพูดต่อไปอย่างวาดฝัน “ดอกไม้ป่าบนเขาสวยมากเลยนะ ทั้งสวย ทั้งหอม บานสะพรั่งเป็นผืนพรม!”

“ไม่ต้องมาเฉไฉ ไปหาท่านอากันเดี๋ยวนี้เลย ท่านอาจะได้เห็นว่าสะใภ้คนใหม่กดขี่ข้ารับใช้ไม่พอ ยังมารังแกข้าด้วย!” หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนพูดพลางเอื้อมมือจะแย่งดอกไม้

อวี้ฉีหลินเบี่ยงตัวหลบวูบ ทำเอาอีกฝ่ายเลือดขึ้นหน้า แล้วถลาเข้าไปแย่งใหม่อย่างไม่ยอมแพ้ แต่ระดับนางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอวี้ฉีหลินอยู่แล้ว ทั้งสองคนจึงไล่จับกันอยู่ในสวนดอกไม้

ทันใดนั้นเสียงชายคนหนึ่งก็ดังขึ้น “เชี่ยนเชี่ยน!”

หญิงสาวสองนางหยุดชะงัก หันไปมองทางประตูเรือน

หลิ่วเหวินเจาเดินลิ่วๆ เข้ามาถามน้องสาวอย่างไม่สบอารมณ์ “เชี่ยนเชี่ยน ทำไมถึงแผลงฤทธิ์ใส่ฮูหยินน้อยแบบนี้!”

หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนกระทืบเท้าอย่างขุ่นใจ “นางมาเด็ดดอกไม้ของข้าก่อนนะ!”

ชายหนุ่มหันไปมองดอกไม้สดกำใหญ่ในมืออวี้ฉีหลินแล้วขมวดคิ้ว แต่ไม่พูดอะไรมาก กลับหันมามองน้องสาวอีกครั้ง “เสียมารยาท พี่สะใภ้ของเจ้าแค่เก็บดอกไม้ไม่กี่ดอก เจ้าก็ใจแคบถึงเพียงนี้เชียวหรือ”

ไม่กี่ดอก? หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนเลือดขึ้นหน้า หันไปชี้แปลงดอกไม้ที่เหลือแต่ก้านโกร๋นๆ “แบบนี้ก็เรียกว่าแค่ไม่กี่ดอกด้วยหรือ ข้าตั้งอกตั้งใจเลี้ยงแปะเจียกกับโบตั๋นพวกนี้มาตั้งนาน!”

หลิ่วเหวินเจามองตามแล้วพูดอะไรไม่ออก เขานิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะว่า “ถึงอย่างไร…เจ้าก็ไม่ใช่คนปลูกเอง พวกคนสวนเป็นคนปลูกทั้งนั้น เอาเถอะๆ เลิกโวยวายเสียที เชื่อข้า ให้สาวใช้ยกถาดแก้วมาให้พี่สะใภ้ของเจ้าใส่ดอกไม้กลับไป”

อวี้ฉีหลินยิ้มหน้าบานเมื่อได้ยินดังนั้น รู้สึกว่าหลิ่วเหวินเจาช่างเป็นคนดียิ่งนัก “ขอบคุณพี่หลิ่ว! แต่ไม่ต้องหาถาดแก้วมาหรอก ข้าถือกลับไปเองได้”

“อะไรนะ!?” หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนมองพี่ชายอย่างไม่เชื่อสายตา “ท่านยังเป็นพี่ชายข้าอยู่หรือไม่ คนอื่นมาเด็ดทึ้งดอกไม้ที่ข้าปลูกขนาดนี้ ท่านไม่ช่วยข้ายังพอทำเนา ยังจะให้ข้าหาถาดมาให้นางใส่ดอกไม้กลับไปอีกหรือ”

“เชี่ยนเชี่ยน…” ชายหนุ่มปลอบโยน “พี่สะใภ้ของเจ้าเพิ่งเข้ามาอยู่บ้านนี้ ยังไม่รู้จักใคร เจ้าที่เป็นน้องสาวควรยอมนางหน่อยไม่ใช่หรือ”

“น้องสาว?” หลิ่วเชี่ยนเชี่ยนส่ายหน้าดิก “ข้าไม่ใช่น้องสาวนาง!” พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปอย่างเดือดดาล โดยทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่ง “อะไรที่ข้าชอบ นางจะแย่งไปหมดเลยใช่หรือไม่!?”

หลิ่วเหวินเจาส่ายหน้าถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน

“นางไม่เป็นไรใช่หรือไม่” อวี้ฉีหลินถาม

“อ้อ…ไม่เป็นไรหรอก” ชายหนุ่มหันมามองแล้วยิ้มน้อยๆ “เชี่ยนเชี่ยนชอบดอกไม้ใบหญ้ามาตั้งแต่เด็ก พอเป็นเรื่องนี้ทีไรจะไร้เหตุผลทุกที เลยทำให้เจ้าเห็นเรื่องน่าขายหน้าเสียได้”

เป็นคนดีจริงๆ ด้วย…

นางคิดอย่างนั้นพลางย่อตัวคำนับแล้วเอ่ยขอโทษอย่างจริงใจ “ต้องโทษที่ข้าไม่รู้จักถามก่อน ไม่รู้เลยว่าเป็นดอกไม้ของเชี่ยนเชี่ยน คราวหน้าคราวหลังจะไม่เผลอทำผิดอีกแล้ว!”

หลิ่วเหวินเจาไม่นึกเลยว่าคุณหนูสกุลเจียงผู้สูงศักดิ์อย่างนางจะย่อตัวขอโทษพ่อบ้านผู้ต่ำต้อยอย่างเขา หัวใจพลันว้าวุ่นด้วยความรู้สึกต่างๆ เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้ม “เจ้าเป็นฮูหยินน้อยสกุลจิน แค่เด็ดดอกไม้ในบ้านตัวเองไม่กี่ดอก ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจไปหรอก”

“นี่ก็บ้านเชี่ยนเชี่ยนเหมือนกันนี่นา!” หญิงสาวส่ายหน้าแล้วพูดต่อไปอย่างจริงใจ “ความจริง…เทียบกับพวกท่านแล้ว ข้าต่างหากที่เป็นคนนอก! ดอกไม้พวกนี้เป็นดอกไม้ที่เชี่ยนเชี่ยนรัก แต่ข้ากลับบุ่มบ่ามเด็ดอย่างไร้มารยาท! ข้ามันคนชอบไม้นวมมากกว่าไม้แข็ง ที่จริงก็รู้แหละว่าตัวเองผิด แต่พอเจอคนอื่นใส่อารมณ์ ข้าก็เลยปากแข็งกลับไปโดยไม่ทันคิด…” พูดมาถึงตรงนี้ก็แลบลิ้นเขินๆ

กิริยาน่ารักจริงใจของหญิงตรงหน้าทำให้หลิ่วเหวินเจาอุ่นซ่านในใจ นางแตกต่างกับจินหยวนเป่าผู้เย่อหยิ่งจองหอง ให้คนสองคนที่ผิดกันโดยสิ้นเชิงมาครองคู่กันเหมือนสวรรค์แกล้งชัดๆ

“หวังว่าพี่หลิ่วจะไม่คิดว่าข้าอยู่ด้วยยากนะ ไว้วันไหนข้าจะหาเมล็ดดอกไม้หายากมาใช้คืนเชี่ยนเชี่ยน!”

หลิ่วเหวินเจายิ้ม นานเหลือเกินแล้วที่เขาไม่ได้ยิ้มออกมาจากใจจริงเช่นนี้ “คนเราปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอเป็นส่วนใหญ่ คนปากร้ายใจดีแบบเจ้านี่แหละที่อยู่ด้วยง่ายที่สุดแล้ว!”

อวี้ฉีหลินยิ่งเขินหนัก “เป็นข้อเสียแท้ๆ กลับถูกพี่หลิ่วชมให้กลายเป็นข้อดีไปได้ พี่หลิ่วช่างเป็นคนดีจริงๆ! ไม่เหมือนหยวนเป่า…” เสียงหวานพลันสะดุดกึก นางรีบปิดปากเมื่อรู้สึกว่าตัวเองพูดมากเกินไปแล้ว

“อะไรไม่เหมือนหยวนเป่าหรือ” ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย

อวี้ฉีหลินหัวเราะกลบเกลื่อน “ไม่มีอะไรหรอก แค่หยวนเป่าน่ะชอบวางท่า แล้วก็เจ้าอารมณ์ไปนิด พูดจากวนโมโหคนอื่นอยู่เรื่อย! ไม่เหมือนพี่หลิ่วที่อยู่ด้วยแล้วอารมณ์ดี”

นางพูดอย่างไม่คิดอะไรมาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่คนในคฤหาสน์สกุลจินติจินหยวนเป่าแล้วชมเขา ในใจหลิ่วเหวินเจาซาบซึ้งตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก พอนึกถึงสิ่งที่นางทำเมื่อเช้า เขาก็อยากช่วยนางขึ้นมา “ได้ยินว่าเจ้าสอบถามสาวใช้กับบ่าวทุกคนว่าใครรับใช้หยวนเป่ามากเป็นพิเศษอย่างนั้นหรือ”

“ท่านรู้เรื่องนี้ด้วยหรือ” นางถามเขินๆ

“น่ากลัวว่าป่านนี้คงรู้กันทั้งคฤหาสน์แล้วล่ะ” หลิ่วเหวินเจาตอบเสียงนุ่มนวล “ฮูหยินน้อยเพิ่งเข้ามาอยู่เมื่อวาน เชื่อว่าคงยังไม่คุ้นเคยหลายอย่าง ข้าเป็นพ่อบ้านคฤหาสน์สกุลจินมาหลายปี มีอะไรที่ข้าพอจะช่วยได้บ้างหรือไม่”

อวี้ฉีหลินรู้สึกเกรงใจยิ่งนัก แต่นางจะบอกเรื่องนั้นกับหลิ่วเหวินเจาตรงๆ ได้อย่างไรเล่า จะให้บอกว่า…รบกวนถามหน่อย ท่านรู้หรือไม่ว่าใครเคยเห็นก้นเปลือยๆ ของจินหยวนเป่าบ้างอย่างนั้นหรือ หญิงสาวคิดแล้วตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มสดใส “อันที่จริงแค่นี้…ท่านก็ช่วยข้ามากแล้ว”

หลิ่วเหวินเจามองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ

นางยกดอกไม้ที่ถือเต็มสองมือขึ้นสูง “ดอกไม้สดพวกนี้จะช่วยทำให้ข้าสมปรารถนา! ข้าไปล่ะ ขอบคุณพี่หลิ่วมาก!”

ทั้งกลีบดอกไม้และนวลแก้มนางล้วนเป็นสีชมพูเปล่งปลั่ง รอยยิ้มหวานล้ำสะกดใจ…

หลิ่วเหวินเจายืนนิ่งอยู่กับที่ ระหว่างที่เขากำลังตะลึงงัน อวี้ฉีหลินก็หมุนตัวเดินจากไป

ดวงตาคมมองตามแผ่นหลังอ้อนแอ้น รอยยิ้มน้อยๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนปรากฏขึ้นบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 14

Comments

comments

Jamsai Editor: