X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักมเหสีป่วนรัก

ทดลองอ่านนิยาย มเหสีป่วนรัก เล่ม 1 บทที่ 3 – บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 26

บทที่ 3

 

ภายใต้วันเวลาที่ผ่านผันไปอย่างเงียบเชียบ จินเฟิ่งอยู่ในตำหนักเซียงหลัวมาแล้วสองปี

ทุกคนในวังหลวงล้วนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ถึงการมีตัวตนอยู่ของอัครมเหสี จะยกเว้นก็เพียงพระพันปี

จินเฟิ่งไม่ต่างอะไรกับหนามทิ่มตำพระทัยของพระพันปี หนามที่ไม่อาจถอน ไม่อาจสัมผัสถูก หนำซ้ำยังนิ่งพองอยู่ตรงนั้น สร้างความเจ็บปวดรวดร้าวเกินทนให้กับพระนาง

แม้จะเฝ้าจับตามองการเคลื่อนไหวอยู่กว่าครึ่งปี แต่พระนางกลับไม่พบว่าจินเฟิ่งมีอันใดผิดปกติ

จินเฟิ่งจะลุกขึ้นจากเตียงทุกเช้ายามเหม่า* และกลับเข้าห้องนอนในช่วงยามไฮ่** นางมักจะกินข้าวสวยหนึ่งชามเต็มๆ กับเนื้อตากแห้งและพริกหยวกเส้นเป็นอาหารเช้าอย่างคงเส้นคงวา แม้ฟ้าผ่าก็มิอาจทำให้นางหวั่นไหว หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ อัครมเหสีตัวน้อยก็จะแวะเวียนไปถวายพระพรพระพันปีกับสวีไท่เฟย แน่นอนว่าทั้งคู่ไม่มีทางปั้นหน้ายิ้มแย้มให้กับนาง บางครั้งหากแม้นได้พบกับต้วนอวิ๋นจ้งพระอนุชาในองค์จักรพรรดิที่ตำหนักของสวีไท่เฟย เขาและนางอาจพูดคุยทักทายกันบ้างสองสามประโยค แต่ก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่นั่นนานนัก

ครั้นเลยยามอู่* อัครมเหสีก็จะทรงเดินเล่นเลียบไปตามกำแพงวังหลวง ครั้นเสด็จประพาสจนเหนื่อยอ่อนก็จะทรงเรียกซู่ฟางให้เอาเกี้ยวมารับตัวกลับไป ตกค่ำพระนางก็จะทรงอ่านหนังสือที่เอามาจากหอเหวินเซวียน วันเวลาในแต่ละวันล้วนผ่านผันเช่นนี้ซ้ำๆ ไม่เคยเปลี่ยน

เดือนสองเดือนฮูหยินเวยกั๋วกงถึงจะเข้าวังมาเยี่ยมอัครมเหสีสักครั้ง พูดคุยกันอยู่ราวๆ หนึ่งชั่วยาม เรื่องที่พูดคุยกันส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นเรื่องสัพเพเหระภายในจวน อย่างคุณชายเล็กของเวยกั๋วกงอ้วนขึ้นกี่ชั่ง** คุณหนูไป๋อวี้ผู้ปราดเปรื่องแห่งตระกูลหลิวแต่งกวีบทใหม่อะไรบ้าง

เอาเป็นว่าชีวิตในวังหลวงของอัครมเหสีจัดว่าเป็นที่น่าพึงพอใจได้อยู่ ไม่ทันรู้ตัว นางก็เดินรอบวังหลวงครบถ้วนแล้วรอบหนึ่ง หนังสือในหอเหวินเซวียนที่พระพันปีเคยอ่านก็วางอยู่เต็มสองตู้

แน่นอน หนังสือที่อ่านล้วนเป็นหนังสือไร้ประโยชน์ เส้นทางที่เดินก็เป็นเส้นทางที่ไม่มีใครใช้ เพราะหลังคืนเข้าอภิเษกสมรส องค์จักรพรรดิไม่เคยเหยียบย่างเข้าตำหนักเซียงหลัวอีกเลยแม้เพียงครึ่งก้าว

บางครั้งเวลาเห็นท่าทางมูมมามยามเสวยพระกระยาหารเช้าของอัครมเหสี ซู่ฟางก็อดนึกเวทนาอีกฝ่ายอยู่ภายในใจมิได้ คนที่ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับผู้ใดเช่นนี้ ทำไมถึงต้องมาตกอยู่ในสภาพไม่มีคนสนใจ ไม่มีผู้ใดไถ่ถามถึงเช่นนี้ด้วย ภายภาคหน้าเกรงว่าจะมีแต่ต้องตกอยู่ในสถานะไม่เป็นที่โปรดปรานเท่านั้น

ใครใช้ให้นางเป็นบุตรีของเวยกั๋วกงเล่า ใครใช้ให้นางไม่เพียงเป็นบุตรีของเวยกั๋วกง หากแต่ยังกินเก่งเช่นนี้อีก

ในที่สุดวันหนึ่ง ซู่ฟางก็อดรนทนดูต่อไปไม่ไหว นางยื่นมือขวางตะเกียบที่กำลังจะพุ้ยข้าวเข้าปากของอัครมเหสี “อัครมเหสี วันนี้ทรงเสวยน้อยหน่อยเถอะเพคะ”

จินเฟิ่งขมวดคิ้ว “เพราะเหตุใด”

“หากยังทรงเสวยต่อไปอีก องค์จักรพรรดิคงไม่มีทางเสด็จมาตำหนักเซียงหลัวของพวกเราไปตลอดชาติ”

จินเฟิ่งลูบท้องนูนๆ ของตนเอง “เราไม่กินแล้วพระองค์จะเสด็จมาหรือ”

“…”

”…” ซู่ฟางไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไร “อัครมเหสี ยังทรงจำได้หรือไม่เพคะว่าองค์จักรพรรดิทรงมีรูปโฉมเช่นไร”

จินเฟิ่งตั้งอกตั้งใจคิด “เราจ้องมองดูเขาตลอดคืนอภิเษกสมรส เหมือนจะทรงพระสิริโฉมไม่ใช่น้อย แต่ว่า…ตอนนี้ให้นึก เหมือนจะเลือนรางไปมากแล้ว”

ครั้นเห็นท่าทางเข้มงวดกวดขันเพื่อให้ได้ดีของซู่ฟาง นางก็กลอกตาแล้วยกยิ้ม “ซู่ฟาง เจ้าว่าทุกวันฝ่าบาททรงทำอะไรบ้าง”

ซู่ฟางตอบ “ในแต่ละวันฝ่าบาททรงมีเรื่องให้ต้องจัดการนับหมื่น ย่อมต้องทรงยุ่งมากเพคะ”

จินเฟิ่งยิ้มจางๆ “คนที่วันหนึ่งต้องจัดการกับเรื่องราวนับหมื่นคือท่านพ่อของเราต่างหาก ฝ่าบาทนอกจากโผล่หน้าออกว่าราชกิจแล้วยังทรงทำอะไรอีก”

ซู่ฟางตกใจแทบสลบ “อัครมเหสี คำพูดเช่นนี้จะทรงรับสั่งเหลวไหลมิได้เด็ดขาด ทุกวันฝ่าบาทนอกจากจะไปถวายพระพรพระพันปีในตอนเช้าแล้ว ยังต้องไปเล่าเรียนเขียนอ่านร่วมกับพระอนุชาพระขนิษฐาที่ห้องทรงพระอักษร ตกค่ำยังต้องทรงทบทวนฝึกหัดสิ่งที่เล่าเรียนมา ก่อนหน้านี้องค์จักรพรรดิทรงลืมเขียนบทความที่ราชครูเว่ยสั่ง ถูกพระราชครูเว่ยตีพระหัตถ์จนแดงเถือกไปหมด พระพันปีหลั่งน้ำตาเพื่อองค์จักรพรรดิไปไม่น้อย”

“ราชครูเว่ยคนใด” จินเฟิ่งนึกอยากรู้

“ก็เว่ยเซียงโจว ราชครูเว่ยอย่างไรเล่าเพคะ สมัยอดีตองค์จักรพรรดิยังทรงพระเยาว์ ใต้เท้าเว่ยก็ได้เป็นราชครูแล้ว หนำซ้ำยังเคยตีฝ่าพระหัตถ์ของอดีตองค์จักรพรรดิอีกด้วย”

“มิน่าเล่า แม้แต่จักรพรรดิองค์ปัจจุบันก็ยังกล้าตี” จินเฟิ่งพึมพำพูด หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งนางก็เอ่ยปากพูดกับซู่ฟาง “ซู่ฟาง เจ้าไม่ต้องร้อนใจไป เราจำพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิมิได้ก็ไม่เป็นไร ขอแค่องค์จักรพรรดิจำรูปร่างหน้าตาของเราได้เท่านั้นก็พอ”

“…” ซู่ฟางแอบนึกวิจารณ์อยู่ในใจ รูปร่างหน้าตาเช่นนี้ ต่อให้องค์จักรพรรดิทรงคิดจะลืมก็หาใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ

ซู่ฟางเข้าใจว่าจินเฟิ่งเพียงพูดเรื่อยเปื่อยเท่านั้น แต่นางนึกไม่ถึงว่าจินเฟิ่งจะเอาจริงกับเรื่องนี้

หลังจากผ่านไปสองสามวัน ฮูหยินใหญ่หลิวก็เดินทางเข้าวังมาอีกครั้ง จินเฟิ่งพูดกับฮูหยินหลิวว่า “ท่านแม่ ก่อนเข้าวังมาข้าเคยเรียนหนังสืออยู่ที่บ้านของท่านอาจารย์ รู้สึกว่าการเรียนหนังสือเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อตนเองชั่วชีวิต แต่ด้วยเพราะข้าเข้าวังมาตั้งแต่อายุยังน้อย มิอาจทำงานทำการอันใดได้ หากยังไม่ร่ำเรียนเขียนอ่านศึกษาวิชาความรู้อีก เกรงว่าจะไม่เป็นการสมควร ดังนั้นข้าจึงอยากเล่าเรียนเขียนอ่านร่วมกับองค์ชายองค์หญิง เรียนรู้เหตุและผล เพียงแต่เกรงว่าพระพันปีจะไม่ทรงอนุญาต”

ฮูหยินใหญ่หลิวพิจารณาดูจินเฟิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยความปลื้มปีติ “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีความคิดอ่านเช่นนี้ ข้าจะกลับไปพูดกับท่านพ่อของเจ้าดู เช่นนั้นพระพันปีก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ทรงรับปาก”

ตกเย็นครั้นกลับถึงจวน ฮูหยินใหญ่หลิวก็ถ่ายทอดคำพูดทุกคำให้หลิวเซียที่นอนอยู่ข้างหมอนรับรู้ หลิวเซียพอได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกปลื้มปีติอยู่ลึกๆ เด็กสาวผู้นี้นอกจากจะสามารถใช้เพื่อยึดครองตำแหน่งอัครมเหสีแล้ว ไม่แน่ว่านางอาจยังมีประโยชน์อื่นในภายภาคหน้าอีก ดังนั้นวันที่สอง หลิวเซียจึงทูลเรื่องนี้ต่อหน้าขุนนางราชสำนัก สีพระพักตร์ของพระพันปีกับองค์จักรพรรดิก็เขียวคล้ำขึ้นทันที แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่อาจหาคำพูดใดขึ้นมากล่าวปฏิเสธได้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงถูกกำหนดให้เป็นไปตามที่หลิวเซียต้องการ

ถัดมาอีกสองวัน ภายในห้องเรียนก็มีโต๊ะเล็กเพิ่มขึ้นอีกตัวหนึ่ง แน่นอน มันถูกวางให้อยู่ห่างจากโต๊ะทรงพระอักษรขององค์จักรพรรดิ

 

ราชครูเว่ยเป็นชายชราท่าทางเคร่งขรึม หนวดเคราสีขาวยาวโค้งไหลเลื่อนไปจนถึงอกเสื้อ ปลายแหลมเรียวอยู่รวมกันอย่างเป็นระเบียบ ดูงามสง่าเป็นที่สุด

บรรทัดกำราบที่เอาไว้ใช้ลงโทษนักเรียนของราชครูเว่ยก็ไม่เหมือนกับของผู้อื่น บรรทัดกำราบของเขาถูกตีขึ้นจากโลหะสำริด ด้านทั้งสองข้างคมเป็นพิเศษ ดังนั้นผู้ที่ถูกตีย่อมรู้สึกเจ็บปวดมิใช่น้อย ว่ากันว่าบรรทัดกำราบพระราชทานเล่มนี้อดีตองค์จักรพรรดิทรงเป็นผู้ประทานให้ บนใช้ตีทรราช ล่างใช้ตีขุนนางกังฉิน ตรงกลางยังสามารถใช้ตีแมลงวันได้ด้วย

องค์จักรพรรดิต้วนอวิ๋นจั้งแม้จะไม่ได้จัดว่าเป็นทรราช แต่ภายในหนึ่งวันก็ยังคงถูกราชครูเว่ยตีเข้าถึงหกเจ็ดครั้ง ก็ใครใช้ให้ต้วนอวิ๋นจั้งไปนั่งอยู่ตรงกลางพอดีเล่า ว่ากันตามนิสัยแล้ว พระอนุชาต้วนอวิ๋นจ้งซุกซนกว่าต้วนอวิ๋นจั้งอยู่ประมาณหนึ่ง แต่เพราะหนึ่งทรงเป็นคนหัวอ่อน ดังนั้นหลังจากถูกตีเข้าสองสามครั้งก็กลับกลายเรียบร้อยขึ้นมาทันที ส่วนต้วนอวิ๋นจั้งนั้นนิสัยดื้อรั้นหัวแข็ง ยิ่งตีก็ยิ่งแข็งกร้าว สองเพราะราชครูเว่ยทรงฝากความหวังมากมายไว้กับโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบัน เมื่อยิ่งรักมากก็ย่อมต้องกวดขันมากเป็นพิเศษ

เป็นจักรพรรดิ ช่างน่าสงสารแท้

การเข้าเรียนวันแรกของจินเฟิ่งไม่ต่างอะไรกับการชื่นชมทัศนียภาพ นางรู้สึกว่าทุกสิ่งอย่างล้วนแปลกใหม่น่าสนใจ เชื้อพระวงศ์น้อยทั้งชายหญิงเหล่านี้ต่างเก็บกดอยู่ในวังหลวงกันเป็นเวลาช้านาน เมื่อเทียบกับเด็กที่อยู่นอกวังหลวงแล้วจึงออกจะซุกซนกว่าอยู่หลายส่วน ทำราชครูเว่ยโมโหจนนั่งเท้าคาง นานๆ ถึงจะถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง

จินเฟิ่งที่นั่งอยู่มุมห้องหยิบเอาหนังสือ ‘สาส์นโบราณ’ ขึ้นอ่านอย่างละเอียดพลางคิด เด็กผู้ชายวัยนี้ส่วนมากล้วนนั่งไม่ติดเก้าอี้ สำหรับพวกเขาแล้วเก้าอี้ดูราวกับมีต้นชังเอ่อร์* ขึ้นเต็มไปหมด

พลางคิดอยู่ดีๆ จู่ๆ นางก็หลุดขำพรืดหนึ่งออกมา คนสูงศักดิ์พวกนี้คงไม่รู้กระมังว่าชังเอ่อร์คืออะไร วันหน้านางจะเอาเข้ามาปลูกในตำหนักเซียงหลัวสักต้น

บังเอิญที่เสียงร้องโอดโอยของต้วนอวิ๋นจ้งในห้องเรียนเพิ่งดังขึ้นไม่นาน ครั้นเสียงร้องดังกล่าวสงบลง เสียงหลุดหัวเราะดัง ‘พรืด’ นั้นจึงฟังดูกระจ่างชัดเป็นพิเศษ

ราชครูเว่ยสีหน้าเคร่งขรึมเดินตรงดิ่งเข้ามารวดเร็ว อาภรณ์ด้านหลังโบกสะบัดราวกับฟองคลื่นสีขาว “อัครมเหสีมีข้อคิดเห็นอันใดหรือ”

จินเฟิ่งตาค้าง “มิใช่ หากแต่คำพูดของท่านอาจารย์เมื่อครู่ลึกล้ำยิ่งนัก ด้วยเพราะตื่นเต้นเกินไปหน่อย เราเลยอดร้องชื่นชมออกมามิได้” นางก้มหน้า

ราชครูเว่ยยิ้มหยัน “อัครมเหสีทรงได้ยินคำพูดลึกล้ำประโยคใด”

ทุกคนต่างพากันหันหน้ามามองดูเฮยพั่งตัวน้อยที่กำลังขดอยู่มุมห้องด้วยสายตารื่นเริงไปกับโชคร้ายของนาง

“ท่านอาจารย์ ที่ท่านพูดมาทั้งหมดล้วนลึกล้ำ แต่หากจะให้ระบุแน่ชัดว่าประโยคไหน ศิษย์คงยากจะบอกได้”

“พรืด” มีคนหลุดขำ

ราชครูเว่ยขยับเท้าเข้ามาใกล้ “อัครมเหสีทรงรู้สึกว่าลึกล้ำที่ใด”

จินเฟิ่งถอนหายใจ “ท่านอาจารย์ ในเมื่อลึกล้ำย่อมทำได้เพียงใช้ใจสัมผัส มิอาจเอ่ยปากกล่าว เกรงก็แต่ว่าเมื่อศิษย์พูดออกไป ความลึกล้ำนั้นก็จะหายลับดับสลายไปราวกับเมฆหมอก เช่นนี้แล้วจะเป็นการดีได้เช่นไร”

รอยดอกเบญจมาศที่หางตาของราชครูเว่ยบิดเกร็งจนแทบจะกลายเป็นก้นหอย

ครั้นเห็นมือที่ถือบรรทัดกำราบพระราชทานกระชับแน่นอีกครั้ง จู่ๆ ต้วนอวิ๋นจั้งที่นั่งอยู่แถวหน้าก็ผุดลุกขึ้นยืน “ท่านอาจารย์”

ราชครูเว่ยกับจินเฟิ่งต่างหันมองกลับไปด้วยความประหลาดใจ

“ท่านอาจารย์ เรารู้สึกว่า ‘เกิดมาก็สุขสบาย ไม่รู้จักความยากลำบากของการเก็บเกี่ยว’ ที่ท่านพูดเมื่อครู่ไม่อาจเรียกว่าลึกล้ำได้ เหล่าเชื้อพระวงศ์ทุกยุคทุกสมัย มีผู้ใดบ้างที่ไม่ ‘เกิดมาก็สุขสบาย’ หรือว่าคนที่ไม่เคยทำนาเก็บเกี่ยวพืชผลจะไม่รู้ว่าควรปกครองบ้านเมืองเช่นไร เรารู้สึกว่าคำพูดของโจวกง* นี้เป็นการข่มขู่เฉิงอ๋อง เป็นการหยั่งเชิงหมายให้เฉิงอ๋องออกห่างจากอำนาจก็เท่านั้น”

ต้วนอวิ๋นจั้งอายุสิบสี่ ใบหน้าดูคมคายกว่าเมื่อสองปีก่อน สีหน้าซุกซนยากจะปรากฏให้เห็นบนใบหน้าอีก เขายืนตัวตรง จ้องมองราชครูเว่ยอย่างปราศจากความกลัวเกรง

ครั้นได้รับคำบอกใบ้ จินเฟิ่งก็รีบก้มหน้าพลิกหนังสือหาอย่างรวดเร็ว

คราวนี้ราชครูเว่ยโกรธจัด เขากุมบรรทัดกำราบเดินตรงดิ่งเข้าไปหาต้วนอวิ๋นจั้ง “ฝ่าบาทมิควรวิพากษ์วิจารณ์ท่านอาจารย์โจวกงเพียงเพราะสนุกปาก พระองค์ยังทรงพระเยาว์ ไหนเลยจะรู้ถึงความทุ่มเทของท่านโจวกงได้” ราชครูเว่ยรวบชายชุดท่าทางจริงจัง “การวิพากษ์วิจารณ์ผู้มีคุณธรรมสะเปะสะปะถือเป็นความผิด! ขอฝ่าบาททรงยื่นพระหัตถ์ออกมา”

ต้วนอวิ๋นจั้งก็ยื่นมือออกมาด้วยท่าทีหยิ่งทะนง

จู่ๆ จินเฟิ่งก็ร้องออกมา “ช้าก่อน!”

“อันใดอีก” ราชครูเว่ยถลึงตามองนาง

จินเฟิ่งยิ้มหยัน “ศิษย์มีปัญหาข้อหนึ่งใคร่ขอคำชี้แนะจากท่านอาจารย์”

“เชิญอัครมเหสีรับสั่ง!”

“คือ…ศิษย์ได้ยินว่าโจวกงชื่อตั้น แซ่จี เรื่องนี้เป็นความจริงใช่หรือไม่”

“จริงแท้แน่นอน!”

“เช่นนั้นชื่อเดิมของโจวกง แท้ก็คือจีตั้น*?”

บรรยากาศภายในห้องเงียบสงบขึ้นมาทันใด ก่อนจะตามติดมาด้วยเสียงหัวเราะดังลั่น ใบหน้าของราชครูอาจารย์เว่ยกลับกลายเป็นสีเหลืองเขียวดำน้ำเงินม่วง ชวนมองเป็นที่สุด

จินเฟิ่งทำเหมือนไม่มีผู้ใดอีก นางพูดช้าๆ “ศิษย์รู้สึกว่าเจตจำนงสละชีพเพื่อการุณยธรรมของท่านอาจารย์โจวกงนี้จัดว่ายิ่งใหญ่นัก”

หนวดเคราบนริมฝีปากของราชครูเว่ยสั่นไหวเล็กน้อย หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยปากพูดออกมาหนึ่งประโยค “เช่นไร”

“ประโยคที่ท่านอาจารย์กล่าวไว้ว่า ‘เกิดมาก็สุขสบาย ไม่รู้จักความยากลำบากของการเก็บเกี่ยว’ นี้ จากความคิดเห็นของศิษย์ ท่านอาจารย์มิได้ต้องการให้พวกเราทุกคนไปเรียนรู้วิถีทำไร่ทำนาเก็บเกี่ยวพืชผล หากแต่ต้องการบอกให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นจักรพรรดิจดจำใส่ใจ ความสุขสบายของราชสำนักมีความเหนื่อยยากของชาวบ้านเป็นพื้นฐาน หากไม่คิดถึงใจเขาใจเรา แล้วรู้จักใช้ความสุขของปวงประชาเพื่อความสุขของใต้หล้า เช่นนั้นย่อมไม่มีทางปกครองใต้หล้าให้ดีได้”

สีหน้าโกรธขึ้งของราชครูเว่ยค่อยๆ จางหาย อารมณ์ชื่นชอบเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “เช่นนั้นในสายตาของอัครมเหสี ต้องทำเช่นใดถึงจะสามารถ ‘รับรู้ถึงความยากลำบากในการทำไร่ไถนาเก็บเกี่ยวพืชผล’ ได้”

จินเฟิ่งนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ในวังหลวงแม้จะไม่มีไร่นา แต่ก็มีไม้ดอกไม้ผลปลูกอยู่บ้าง จะให้เข้าใจเรื่องดินน้ำย่อมพอทำได้อยู่ แต่สิ่งสำคัญของเจ้าผู้ครองแผ่นดินคือต้องรู้จักสังเกตสังกา รู้จักเข้าอกเข้าใจ ฟังให้มากดูให้มาก ถึงจะรู้ได้ว่าความสุขของราษฎรคือสิ่งใด”

ความรู้สึกเบิกบานค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของราชครูเว่ย “อัครมเหสีทรงตรัสได้ถูกต้องยิ่ง”

จินเฟิ่งพูดต่อ “อย่างท่านอาจารย์โจวกงก็ทำเรื่องดังกล่าวนี้ได้ดียิ่ง มากพอที่จะเป็นแบบอย่างอันดีไปตราบชั่วนิรันดร์”

“เอ๋? ดียิ่งเช่นไร” สีหน้าของราชครูเว่ยในเวลานี้กำลังยิ้มแย้มเบิกบาน

“อาจารย์ท่านลองคิดดู ไข่ไก่ก็แค่อาหารบำรุงร่างกายธรรมดาๆ ชนิดหนึ่งเท่านั้น การที่ท่านอาจารย์โจวกงยอมใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ชื่ออย่าง ‘ไข่ไก่’ มาเนิ่นนานหลายสิบปีเช่นนี้ ย่อมแสดงให้เห็นได้ถึงความมานะบากบั่นในการศึกษาและเฝ้าสังเกตซึ่งเจตนารมณ์ของประชาชนของท่านอาจารย์ได้อยู่!”

หลังเหตุการณ์ผ่านพ้น ในความทรงจำของต้วนอวิ๋นจ้ง เขาไม่เคยเห็นสีหน้าท่าทางอยากหัวเราะก็ไม่ได้ อยากโกรธก็โกรธไม่ลง ตีกันยุ่งเหยิงอีนุงตุงนังของราชครูเว่ยผู้มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งเช่นนี้มาก่อน

ถึงตอนพัก ต้วนอวิ๋นจ้งก็กระซิบกระซาบพูดกับต้วนอวิ๋นจั้ง “เสด็จพี่ไม่พอใจโจวกง แล้วไฉนถึงดูแลบุตรีของโจวกงดีเช่นนี้”

ต้วนอวิ๋นจั้งชะงักไปครู่หนึ่ง “ยังไงนางก็เป็นเพียงสตรี ถูกตีฝ่ามือหาน่าดูไม่”

จินเฟิ่งอยู่ห่างจากพวกเขาไปไม่ไกลเท่าไหร่ เช่นนั้นคำพูดสองประโยคนี้ย่อมลอยเข้าหูอย่างไม่มีตกหล่น

ตลอดสองปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่จินเฟิ่งรับรู้ได้ว่าบุรุษหนุ่มในอาภรณ์มังกรผู้นี้คือสามีในนามของนาง

 

ซู่ฟางนางกำนัลข้างกายอัครมเหสีพบว่าหมู่นี้อัครมเหสีทรงวุ่นวายขึ้นมาก อาหารเช้าหรือก็กินน้อยลง ตอนบ่ายก็ไม่เดินเล่นอยู่ในวังหลวงอีก แต่กลับเสด็จไปหอเหวินเซวียนรอบแล้วรอบเล่า ตอนค่ำก็อยู่ในห้องจนดึกดื่น ไม่หลับไม่นอนมากขึ้นทุกที

แสงเทียนสั่นไหว ซู่ฟางประคองถ้วยชายื่นส่งให้ด้วยความกังวล “อัครมเหสี ดึกดื่นค่ำมืดเช่นนี้แล้วไฉนมิทรงพักผ่อนเพคะ”

“อีกครึ่งชั่วยามค่อยพัก”

“หรือที่ทรงทำเช่นนี้เพราะพระองค์ต้องการสอบจ้วงหยวน” ซู่ฟางไม่เข้าใจ

จินเฟิ่งคาบพู่กันยิ้มพลางเงยหน้า “ท่านอาจารย์บอกว่าเดือนหน้าจะมีสอบย่อย”

ซู่ฟางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดรอยน้ำหมึกบนใบหน้าของจินเฟิ่ง “สอบย่อยแล้วเช่นไร อัครมเหสีก็แค่เขียนคำตอบส่งเดชอะไรไปก็ได้มิใช่หรือเพคะ”

“เจ้าไม่เข้าใจ ฝ่าบาททรงท้าพนันกับท่านอาจารย์ พระองค์ทรงตั้งปณิธานยิ่งใหญ่ว่าสอบย่อยครั้งนี้จะต้องทรงได้ที่หนึ่ง หากทรงทำไม่สำเร็จ พระองค์จะทรงยอมวิ่งไปกลับระหว่างประตูเฉาหยางกับประตูหย่งฮุยสามรอบ”

“ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับการตั้งพระทัยเล่าเรียนของอัครมเหสีนี่เพคะ”

จินเฟิ่งแสยะปากยิ้ม “เราอยากเห็นท่าทางเขายามวิ่งกลับไปกลับมาสามรอบว่าจะเป็นเช่นไร”

ซู่ฟางเหงื่อท่วมหัว

นับแต่เข้ามาเรียนหนังสือที่ห้องเรียน อัครมเหสีกับองค์หญิงทั้งหลายก็เริ่มไปมาหาสู่สนิทสนมกันมากขึ้น แม้แต่องค์จักรพรรดิและพระอนุชาเองก็แวะเวียนมาตำหนักเซียงหลัว ร่วมพูดคุยถกเหตุและผลในหนังสือกับอัครมเหสีเป็นครั้งคราว ทุกคนต่างบอกว่าทุกเรื่องอัครมเหสีล้วนมี ‘ความคิดเห็นที่ไม่เหมือนผู้ใด’ แต่ซู่ฟางกลับไม่เคยได้ยินความคิดเห็นไม่เหมือนใครอะไรเลยแม้แต่สักครั้ง จะเห็นก็แต่คนกลุ่มหนึ่งยืนรายล้อมหัวเราะอยู่รอบๆ ส่วนอัครมเหสีเองกลับรินน้ำชาดื่มด้วยท่าทีเอ้อระเหย

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ซู่ฟางล้วนรายงานให้พระพันปีได้ทรงทราบโดยละเอียด ครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น พระนางก็ทรงนิ่งเงียบไม่ตรัสอันใดออกมา หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้ทรงรับสั่ง “ปล่อยพวกเขาไป”

 

เมื่อถึงวันสอบย่อย ทุกคนต่างกุมหมัดกุมกำปั้น แต่มิใช่เพื่อชิงกันเป็นที่หนึ่ง หากแต่เพราะเสด็จแม่ของพวกเขาต่างเอ่ยปากกำชับเอาไว้ว่าต้องช่วยฝ่าบาทให้ทรงสอบให้ได้ที่หนึ่ง หากแม้ทำให้ฝ่าบาทต้องวิ่งไปกลับประตูเมืองสามรอบจริง มิเท่ากับฝ่าบาทต้องตกเป็นที่เยาะหยันของผู้คนหรอกหรือ

ต้วนอวิ๋นจ้งใช้ลูกไม้เล็กน้อย ย้ายที่นั่งของจินเฟิ่งไปอยู่ทางด้านหลังของต้วนอวิ๋นจั้ง หลังจากนั้นก็หันไปตบอกบอกต้วนอวิ๋นจั้ง “เสด็จพี่ทรงวางพระทัย เรื่องนี้มอบให้กระหม่อมจัดการเอง”

ต้วนอวิ๋นจั้งไม่คิดเช่นนั้น “เจ้า?”

ต้วนอวิ๋นจ้งพูด “ต่อให้กระหม่อมไม่ไหวก็ยังมีอัครมเหสีอยู่อีกคน”

ต้วนอวิ๋นจั้งชำเลืองมองจินเฟิ่งปราดหนึ่ง “เราไม่คลุกคลีตีโมงกับคนถ่อย เราต้องการเป็นที่หนึ่งด้วยตัวของเราเอง”

ต้วนอวิ๋นจ้งถอนหายใจ “เสด็จพี่ มิใช่กระหม่อมจะว่าพระองค์ แต่เส้นประสาทของพระองค์กับราชครูเว่ยใช่เส้นเดียวกันเสียที่ไหน หวังจะให้เขาให้คะแนนพระองค์สูงๆ กระหม่อมว่ายากยิ่งนัก”

ขณะที่ต้วนอวิ๋นจั้งกำลังจะพูดอะไรออกมา ราชครูเว่ยก็หอบม้วนข้อสอบกองหนึ่งเข้ามา

จินเฟิ่งนั่งอยู่เงียบๆ ทางด้านหลังของต้วนอวิ๋นจั้ง ในใจคิดว่ามีคนคอยช่วยเหลือเขามากมายเช่นนี้ ถึงต้วนอวิ๋นจั้งไม่อยากได้ที่หนึ่งก็คงจะยากแล้ว จู่ๆ นางก็รู้สึกเบื่อหน่าย แม้แต่ตอนเขียนคำตอบก็ยังมีใจแต่ไร้แรงกำลัง

ราชครูเว่ยเดินวนอ้อมอยู่รอบหนึ่ง พอมาถึงตรงหน้าโต๊ะของจินเฟิ่ง เขาก็ชำเลืองมองดูคำตอบของนาง รอยยิ้มจางๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก่อนจะเดินขึ้นหน้าอีกก้าวไปดูคำตอบของต้วนอวิ๋นจั้ง จากนั้นหัวคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันช้าๆ

ทุกคนต่างปิดปากเงียบจ้องมองดูสีหน้าที่เปลี่ยนไปของราชครูเว่ย ในใจคิด ฝ่าบาทคราวนี้คงแย่แล้วเป็นแน่

ครั้นเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี ต้วนอวิ๋นจ้งก็ฉวยจังหวะตอนราชครูเว่ยกำลังหันหลัง โยนก้อนกระดาษไปบนโต๊ะของจินเฟิ่ง

จินเฟิ่งตะลึง ก่อนจะคลี่ก้อนกระดาษออก ครั้นเห็นสายตาของต้วนอวิ๋นจ้งที่ส่งมาหานางอย่างเอาเป็นเอาตาย นางก็เข้าใจได้ทันทีว่าเขาต้องการให้นางเขียนคำตอบใส่ลงในม้วนกระดาษ

จินเฟิ่งคิดแล้วคิดอีก พอเห็นต้วนอวิ๋นจั้งที่อยู่ด้านหน้าเกาหูเกาแก้มยิกๆ สุดท้ายนางก็ตัดสินใจเด็ดขาด เขียนคำตอบของตัวเองลงบนก้อนกระดาษ ในใจพลางคิด ไหนๆ ก็จะโกงแล้ว ก็ต้องโกงให้แนบเนียนไร้ร่องรอยเสียหน่อย ดังนั้นเลือกที่จะเขียนคำตอบผิดๆ ลงไปในกระดาษสองสามข้อ ก่อนจะแก้คำตอบของตัวเองให้มีข้อผิดเพิ่มมากขึ้น

ให้องค์จักรพรรดิเป็นที่หนึ่งดีแล้ว ใครใช้ให้เขาเป็นองค์จักรพรรดิเล่า

นางโยนก้อนกระดาษกลับไปให้ต้วนอวิ๋นจ้ง ต้วนอวิ๋นจ้งชำเลืองมองปราดหนึ่ง รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า หลังจากนั้นเขาก็ส่งต่อให้กับต้วนอวิ๋นจั้ง น่าสงสารราชครูเว่ยที่เฒ่าชราหูตาฝ้าฟาง หนำซ้ำสองตายังไม่อาจสู้หลายตาได้ กระบวนการทั้งหมดจึงลุล่วงไปอย่างเทพเซียนก็ไม่อาจทราบ ผีสางก็ไม่อาจรู้

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม จินเฟิ่งก็แทบหลับ นางรู้สึกอ่อนล้าเป็นที่สุด

ครั้นหมดเวลา ราชครูเว่ยก็กระแอมออกมาคำหนึ่ง ทุกคนทยอยส่งข้อสอบ จินเฟิ่งถือโอกาสตอนส่งข้อสอบชำเลืองมองดูองค์จักรพรรดิ ครั้นพบว่าอีกฝ่ายยังคงตั้งอกตั้งใจเขียนตัวหนังสือ นางก็ให้รู้สึกน่าขันเป็นที่สุด แต่ในเวลาเดียวกันนางก็นึกเสียดายด้วยเช่นกัน ครั้งนี้เกรงว่าจะไม่มีโอกาสได้เห็นภาพองค์จักรพรรดิผู้สูงส่งวิ่งรอกระหว่างประตูเมืองแล้ว

ราชครูเว่ยเคาะโต๊ะ ต้วนอวิ๋นจั้งถึงอิดๆ ออดๆ ยอมวางพู่กันลง เขาเป่าหมึกบนม้วนข้อสอบจนแห้ง ก่อนจะลุกส่งข้อสอบ ใครจะรู้ ทันทีที่เขาลุกขึ้น ก้อนกระดาษกลับกลิ้งหลุนๆ ออกจากกระเป๋าเสื้อไปหยุดอยู่ที่ใต้เท้าของราชครูเว่ย

สีหน้าของราชครูเว่ยกลับกลายเป็นอัปลักษณ์น่าเกลียดน่าชังขึ้นมาทันที

ต้วนอวิ๋นจ้งเดินขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง ใช้เท้าเตะก้อนกระดาษไปอีกด้าน “ท่านอาจารย์ วันนี้ไฉนนกกาที่บินอยู่นอกหน้าต่างถึงได้ขยันส่งเสียงร้องนัก”

ราชครูเว่ยประชดออกมาคราหนึ่ง “องค์ชายรองวันนี้คงเหน็ดเหนื่อยจากการสอบไม่ใช่น้อยเช่นกันกระมัง” ชายชรานัยน์ตาประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย แต่พอถึงเวลาสำคัญกลับดีจนน่าตกใจ เขาเดินตรงไปหยิบก้อนกระดาษบนพื้นขึ้นมาคลี่ดู หลังจากนั้นเนื้อตัวก็สั่นเทิ้มขึ้นมาทันที

“ใคร! ผู้ใดเป็นคนทำ” ราชครูเว่ยร้องตะโกนออกมาราวกับเด็กถูกคนกลั่นแกล้ง “พวกเจ้า ใครก็ได้อธิบายมาเดี๋ยวนี้ว่านี่มันเรื่องอะไร”

ทุกคนก็ได้แต่นิ่งอึ้ง

ยังจะเรื่องใดได้อีก ก็เรื่ององค์จักรพรรดิทรงแอบจุดไฟ ส่วนคนอื่นๆ ก็คอยสุมฟืนอย่างไรเล่า

ราชครูเว่ยเพียงมองปราดเดียวก็รู้แล้ว ไม่ว่าจะลืมตาข้างปิดตาข้างหรือลักลอบมีส่วนร่วมด้วย ทุกคนในที่นี้ล้วนมีส่วน ชายชราหรี่ตาขยับเข้าใกล้ต้วนอวิ๋นจ้ง “องค์ชายรอง ไม่ต้องทรงตรัส นี่คือลายมือของพระองค์กระนั้นหรือ”

ต้วนอวิ๋นจ้งหัวเราะแฮะๆ ออกมาสองที ในใจคิด ซวยแน่แล้วกลับไปคราวนี้ไม่รู้จะถูกสวีไท่เฟยผู้เป็นมารดาจะซักไซ้ไล่เรียงถามซ้ำไปซ้ำมากี่ร้อยกี่พันหน

ราชครูเว่ยกุมก้อนกระดาษไว้ในกำมือ แหงนหน้าถอนหายใจ ก่อนจะทิ้งตัวคุกเข่าลงกับพื้นดังตึง น้ำตาไหลริน “อดีตองค์จักรพรรดิ! กระหม่อมมีหน้าที่รับผิดชอบภารกิจใหญ่หลวงที่ทรงมอบหมายไว้ แต่เพราะกระหม่อมไม่เข้มงวดกวดขัน จึงสมควรต้องลงโทษตัวเองก่อน” ความรู้สึกกลัดกลุ้มโมโหก็จู่โจมจิตใจของชายชรา เขาคว้าบรรทัดกำราบหวดลงบนฝ่ามือตนเองสามทีจนฝ่ามือบวมแดงขึ้นมารวดเร็ว

จินเฟิ่งลนลาน นางรีบพุ่งเข้าไปคว้าบรรทัดกำราบออกมาจากมืออีกฝ่าย

คราวนี้ทุกคนรวมทั้งองค์จักรพรรดิต่างพากันตกตะลึง นับแต่องค์จักรพรรดิทรงพระราชทานบรรทัดกำราบนี้ให้กับราชครูเว่ย ยังไม่เคยมีผู้ใดกล้าฉวยคว้ามันออกจากมือเขา

“ทรง…ทรง…” นิ้วของราชครูเว่ยสั่นระริกชี้มาทางจินเฟิ่ง ไม่รู้ควรพูดอันใด

“เรื่องนี้…” จินเฟิ่งอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่เป็นนาน ในที่สุดนางก็ตัดสินใจถลกแขนเสื้อขึ้น ก่อนจะยื่นมืออ้วนๆ ดำๆ ไปตรงหน้าผู้เป็นอาจารย์ “หากท่านอาจารย์จะตีก็ตีเราเถอะ ก้อนกระดาษนั้นเราเป็นคนเขียนเอง”

“อะไรนะ!?” ราชครูเว่ยเบิกตามองดูนางอย่างไม่นึกเชื่อ

“ท่านอาจารย์ ลงโทษเราเถอะ เรา…หากร้องเจ็บแม้เพียงคำเดียว ศิษย์ย่อมมิใช่สุภาพชน!” จินเฟิ่งกลืนน้ำลาย เมื่อกี้เพราะร้อนใจ แม้แต่คำว่า ‘ศิษย์’ ก็ยังกลายเป็นคำว่า ‘เรา’

ราชครูเว่ยคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ไม่พูดไม่จา หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดชายชราก็ลุกขึ้น ถอนหายใจเงียบๆ “ควรลงโทษเช่นไร องค์จักรพรรดิกับอัครมเหสีก็คงรู้ดีอยู่แก่พระทัย กระหม่อมมิอาจก้าวก่าย” เขามองดูบรรทัดกำราบพระราชทานในมือของจินเฟิ่ง แต่กลับไม่ยื่นมือไปรับ ทำเพียงเดินงกๆ เงิ่นๆ ออกนอกประตูไป

จินเฟิ่งมองดูแผ่นหลังของผู้เป็นอาจารย์ ในใจรู้สึกทดท้อ

ทุกคนต่างพากันนิ่งมองดูจินเฟิ่ง รู้สึกว่าการกระทำของอัครมเหสีในวันนี้เหลวไหลมิใช่น้อย

องค์จักรพรรดิกลับยืนนิ่งอยู่ที่หน้าโต๊ะ ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่พูดแก้ตัวอันใดให้กับตัวเองแม้แต่ประโยคเดียว

เรื่องนี้มีนางกำนัลไปทูลรายงานให้พระพันปีกับสวีไท่เฟยทรงทราบแต่เนิ่นๆ ระหว่างพูดคุยกันทั้งสองก็รีบเสด็จไปยังห้องเรียน ครั้นทอดพระเนตรเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตา พระพันปีก็กริ้วเกินกว่าจะควบคุมพระอารมณ์ไหว “ฝ่าบาท ทรงไปหัดใช้เล่ห์เพทุบายเช่นนี้มาจากที่ใด”

ต้วนอวิ๋นจั้งตกตะลึงแล้วคุกเข่า แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงไม่พูดไม่จา

“หรือว่า…หรือว่ามีผู้ใดยุยงส่งเสริมให้ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้…” สายพระเนตรเย็นเยียบของพระพันปีกวาดมองไปยังทุกคนที่อยู่ที่นั่น

คนแรกที่มีปฏิกิริยาก็คือสวีไท่เฟย นางหยิกต้วนอวิ๋นจ้งบุตรผู้เคราะห์ร้ายของตัวเอง “พี่หญิง ทั้งหมดนี้ต้องเป็นเพราะเจ้าลูกชั่วคนนี้เป็นแน่ที่ชักจูงองค์จักรพรรดิให้ทรงกระทำผิด แต่เจ้าพี่ได้โปรดวางใจ กลับไปข้าจะจัดการเขาให้สาสมเลยทีเดียว!”

พระพันปีทรงเบิกพระเนตรขึ้นเล็กน้อย “น้องหญิง เจ้าก็อย่าได้พูดเล่นไป องค์ชายรองอายุน้อยกว่าองค์จักรพรรดิ ไหนเลยจะยุยงส่งเสริมพระองค์ได้”

สวีไท่เฟยทำได้เพียงยิ้มใจดีสู้เสือ “เพราะเจ้าลูกชั่วคนนี้ไม่ตั้งอกตั้งใจเรียน…เสด็จพี่ ท่านอย่าได้เข้มงวดกับองค์จักรพรรดินักเลย หากจะลงโทษก็ลงโทษเจ้าลูกชั่วของหม่อมฉันคนนี้เถิด”

ได้ยินผู้เป็นมารดายิ่งพูดก็ยิ่งเหลวไหลมากขึ้นเรื่อยๆ ดีไม่ดีสุดท้ายแม้แต่ชีวิตน้อยๆ ของตัวเองก็ยังขายได้เช่นนั้น ต้วนอวิ๋นจ้งก็อดรนทนไม่ไหว รีบร้องออกมา “เสด็จแม่ คนก่อเรื่องคราวนี้มิใช่ข้าจริงๆ!”

พระพันปีกับสวีไท่เฟยต่างตกตะลึง

“เป็นอัครมเหสี!” ต้วนอวิ๋นจ้งชี้นิ้วไปยังอัครมเหสีที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ

ยามนี้พวกนางทั้งสองถึงได้สังเกตเห็นว่ามือของจินเฟิ่งถือบรรทัดกำราบที่ชิงมาจากมือของราชครูเว่ยอยู่…หลักฐานประจักษ์ชัดดั่งขุนเขา

จินเฟิ่งรู้สึกว่าบรรทัดกำราบพระราชทานนั้นร้อนลวกอุ้งมือ ขณะที่นางกำลังคิดว่าตัวเองกำลังถูกสายตาของพันปีกับสวีไท่เฟยประหัตประหารให้ตายไปอยู่นั่นเอง จู่ๆ องค์จักรพรรดิ ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ ก็เอ่ยปากรับสั่ง “พวกเขาทำไปเพราะต้องการช่วยเหลือเราเท่านั้น”

พระพันปีคิดว่าตัวเองฟังผิดไป “ยังทรงคิดจะช่วยแก้ต่างแทนพวกเขา?”

ต้วนอวิ๋นจั้งพยักหน้าพลางลงมือถอดเสื้อผ้า

พระพันปีมองดูผู้เป็นบุตรของตนเองราวกับกำลังมองดูชายแปลกหน้าคนหนึ่ง ทรงรับสั่งเสียงหลง “ฝ่า ฝ่าบาท! ทรงคิดจะทำอะไร” หรือพระองค์ถูกราชครูเว่ยลงโทษทุกวันจนประสาทกลับไปจนสิ้นแล้ว

ต้วนอวิ๋นจั้งปลดอาภรณ์ยาวสีเหลืองตัวนอกออก เหลือเพียงแต่อาภรณ์ตัวใน “เราเคยสัญญากับราชครูเว่ยไว้ หากแม้สอบย่อยครั้งนี้ไม่อาจได้ที่หนึ่ง เราจะวิ่งไปกลับระหว่างประตูเมืองเฉาหยางกับประตูเมืองหย่งฮุยสามรอบ จักรพรรดิตรัสแล้วไม่คืนคำ เช่นนั้นเราจะไปวิ่ง”

ในวังหลวงคนที่มีฐานะสูงส่งระดับพระพันปีและไท่เฟย ต่ำต้อยระดับนางกำนัลขันทีทำความสะอาดวัง ล้วนยืนเป็นทุกข์อยู่ยังหอเหนือกำแพงเมือง เพราะองค์จักรพรรดิผู้สูงส่งในเวลานี้สวมเพียงอาภรณ์ตัวใน ยืนอยู่ที่ด้านล่างของประตูเฉาหยาง ประกาศว่าจะวิ่งไปถึงประตูหย่งฮุย หลังจากนั้นก็จะวิ่งกลับมา หนำซ้ำยังจะทำเช่นนี้ต่อเนื่องกันถึงสามรอบ

ประตูทั้งสองอยู่ห่างกันประมาณสามสี่ลี้ ไปกลับสามรอบ มิเท่ากับต้องการเอาชีวิตขององค์จักรพรรดิน้อยหรอกหรือ

แต่ครั้งนี้องค์จักรพรรดิทรงยืนกรานหนักแน่นว่าจะวิ่งให้ได้ ไม่ว่าพระพันปีจะทรงรับสั่งเช่นไร พระองค์ก็ทรงไม่ยินดีรับฟัง ดังนั้นพระพันปีจึงทรงมีรับสั่งให้เหล่านางสนมปัดกวาดทำความสะอาดเส้นทาง เตรียมพร้อมถวายชา ปาดเช็ดเหงื่อให้องค์จักรพรรดิน้อยทุกเมื่อ

“นี่มันเวรกรรมอันใดกัน…” พระพันปีทรงลูบพระอุระพลางโอดครวญ

ต้วนอวิ๋นจั้งยืนอยู่ข้างประตูเฉาหยาง ในใจรู้ดี คราวนี้เขาก่อเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว เหงื่อเม็ดเล็กๆ ทยอยผุดขึ้นบนหน้าผาก เขารู้สึกว่าผู้คนทั่วทั้งวังหลวงกำลังมองดูเรื่องชวนหัวของตนเองอยู่ ความจริงแล้วหากจะว่ากันตามนิสัยของเขาแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดคือจับตัวน้องชายน้องสาวรวมทั้งราชครูเว่ยและคนอื่นๆ ฆ่าปิดปากเสียให้สิ้น แต่น่าเสียดายที่เขาไม่อาจทำเช่นนั้น ส่วนเรื่องที่จะให้เขาหน้าด้านทำเป็นว่าเรื่องวิ่งประตูเมืองนี้ไม่เคยหลุดออกจากปากเขามาก่อน เขาก็มิอาจทำได้เช่นกัน

ต้วนอวิ๋นจั้งแอบนึกสบถอยู่ในใจ เขารู้สึกว่าต้นเหตุของเรื่องนี้ ล้วนเพราะอัครมเหสีตัวซวย เฮยพั่งที่สมควรตายผู้นั้น

ต้วนอวิ๋นจั้งยามนี้กำลังค้อมเอวยกขายืดเหยียดร่างกาย เฝ้าสวดมนต์ภาวนาอยู่ในใจลึกๆ หวังว่าการวิ่งที่จะเกิดขึ้นอีกในไม่ช้านี้จะไม่ทำให้เขาต้องถึงกับน้ำลายฟูมปาก เขาเอี้ยวคอไปทางด้านหลัง เอี้ยวแล้วเอี้ยวอีก แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ไม่อาจเอี้ยวกลับ นั่นก็ด้วยเพราะที่ด้านหลังของเขา อัครมเหสีเฮยพั่งตัวน้อยในอาภรณ์กระชับเรือนร่างสีชมพูราวกับประทัดลูกน้อยกำลังวิ่งตรงเข้ามา

“เจ้ามาทำอะไร” ต้วนอวิ๋นจั้งหน้าดำไปแถบหนึ่ง

จินเฟิ่งยิ้มพลางพูด “หม่อมฉันก็มาวิ่งเป็นเพื่อนพระองค์อย่างไรเล่าเพคะ”

ครั้นได้ยินเสียงฮือฮาดังขึ้นจากหอเหนือกำแพงเมือง ต้วนอวิ๋นจั้งก็กระตุกปลายพระกรของอัครมเหสี “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าแต่งตัวเช่นนี้มันออกจะน่าขันเกินไปสักหน่อย”

จินเฟิ่งยิ้มต่อ “แต่ไหนแต่ไรสามีภรรยาก็คือนกป่าเดียวกัน…”

ต้วนอวิ๋นจั้งตาหลับตาก่อนจะเหลือกมองดูนาง “ใครเป็นสามีภรรยากับเจ้า”

จินเฟิ่งก้มหน้า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง “ที่ทรงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ จะมากจะน้อยยังไงหม่อมฉันก็มีส่วน…”

ต้วนอวิ๋นจั้งประชดออกมาคราหนึ่ง “เจ้ารู้ด้วยกระนั้นหรือ”

จินเฟิ่งพยักหน้า “เพราะฉะนั้นเลิกรับสั่งเถอะเพคะ หาไม่แล้วฟ้าคงมืดค่ำเสียก่อน” ครั้นพูดจบ นางก็ราวกับประทัดสีชมพูวิ่งตื๋อออกไปทันที

ขณะจ้องมองดูเฮยพั่งตัวน้อยในอาภรณ์สีชมพูที่อยู่ข้างหน้า ต้วนอวิ๋นจั้งก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างอะไรกับลาโม่แป้งในนิทานสุภาษิตที่ด้านหน้ามีหัวไช้เท้าผูกล่อไว้

จินเฟิ่งคิดว่าไหนๆ ตัวเองก็อ้วนเช่นนี้แล้ว หากต้องถูกตบหน้าให้บวมอีกก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเย็นเข็ญใจแต่ประการใด

นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้นางจะคิดผิด หลังจากวิ่งได้สองรอบ หัวไช้เท้าก็ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ส่วนลากลับเหมือนยิ่งวิ่งก็ยิ่งได้ใจ แม้แต่หัวไช้เท้าที่อยู่ข้างหน้าก็ไม่นึกแยแส

ในที่สุดจินเฟิ่งก็ไม่ต่างอะไรกับเศษผ้าขาดวิ่น นางทิ้งตัวนิ่งหมดสภาพอยู่หน้าประตูเฉาหยาง นางยอมแพ้แล้ว การที่จู่ๆ ก็เอาเรื่องวิ่งไปกลับประตูเมืองมาเป็นเดิมพันโดยไม่มีเค้าลางเช่นนี้ สมองของจักรพรรดิพระองค์น้อยคงต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ

หลังจากนิ่งอยู่ได้ครู่หนึ่ง ยังไม่ทันที่จินเฟิ่งจะได้พูดอะไรออกมา ซู่ฟางก็อกสั่นขวัญแขวนถือผ้าเช็ดหน้าเข้ามาเช็ดหน้าผากที่มีเหงื่อไหลออกมาไม่หยุดให้นาง ปากก็อดพึมพำพูดไม่ได้ “นี่มันเป็นการทรมาทรกรรมอันใดกัน”

ขณะที่จินเฟิ่งกำลังจะขาดใจตายอยู่รอมร่อ เสียงร้องตะโกนดีใจที่หอเหนือกำแพงเมืองก็ดังขึ้น ที่แท้องค์จักรพรรดิก็วิ่งถึงประตูเมืองหย่งฮุยแล้ว และกำลังวิ่งตรงกลับมา

จินเฟิ่งปากคอสั่น “พวกผู้ชาย…ล้วนเป็นพวกสารเลวกระดูกเหล็กด้วยกันทั้งนั้น”

ซู่ฟางตกใจ “อัครมเหสีทรงตรัสสิ่งใดเพคะ”

จินเฟิ่งโบกมือพลางหลับตาลง ในเมื่อองค์จักรพรรดิวิ่งถึงประตูเมืองเสร็จ นางก็เท่ากับสร้างความดีใหญ่หลวงสำเร็จเช่นกัน

นึกไม่ถึงต้วนอวิ๋นจั้งพอมาถึงที่หน้าประตูเฉาหยาง เขาไม่เพียงไม่หยุดฝีเท้า ตรงกันข้ามกลับวิ่งอ้อมเหล่าขันทีนางกำนัลกลุ่มใหญ่ที่ขึ้นหน้ามาต้อนรับ คว้าข้อมือของจินเฟิ่งที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนไว้แม่นยำ “เจ้ายังวิ่งไม่จบ!”

จินเฟิ่งตกตะลึง นางถูกฉุดลากให้ออกเดินไปสิบกว่าก้าว “หม่อมฉันๆๆๆ มิได้พูดสักหน่อยว่าจะวิ่งให้ครบสามรอบ…”

“เจ้าคิดจะทำตัวเป็นคนพูดจากลับกลอกเชื่อถือไม่ได้กระนั้นหรือ เจ้าบอกว่าจะวิ่งเป็นเพื่อนเราสามรอบ”

“ฝ่า…บาท หม่อมฉันเป็นคนพูดจาเชื่อถือไม่ได้…”

“เหลวไหล! เจ้ามีฐานะเป็นถึงอัครมเหสีของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน จะพูดจาเชื่อถือไม่ได้ได้อย่างไรกัน วิ่ง!”

จินเฟิ่งจวนเจียนร่ำไห้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าองค์จักรพรรดิทรงคิดแค้นนาง!

“หม่อมฉันไม่วิ่ง…” จินเฟิ่งตัดสินใจดื้อด้านดึงดันจนถึงที่สุด นางนั่งยองๆ ลงกับพื้นอย่างไม่ยอมลุก

ต้วนอวิ๋นจั้งจับคอเสื้อด้านหลังของจินเฟิ่งก่อนจะออกแรงหิ้วนางขึ้นมา “ต่อให้ต้องคลาน เจ้าก็ต้องคลานไปให้ถึงประตูหย่งฮุยแล้วคลานกลับมาที่นี่” สีหน้าท่าทางของต้วนอวิ๋นจั้งหนักแน่นเป็นที่สุด เด็ดขาดเป็นที่สุด ทะนงองอาจเฉกชายชาติอาชาไนยเป็นที่สุด สมกับเป็นจักรพรรดิผู้ปกครองใต้หล้าเป็นที่สุด

จินเฟิ่งร่ำไห้ นางเริ่มเตะเขา กัดเขา หยิกเขา แต่ใครจะไปรู้ ไม่ว่าจะทุบตีเช่นไรจักรพรรดิน้อยที่น่ารำคาญผู้นี้กลับไม่ยอมปล่อยมือ

จินเฟิ่งรู้สึกว่าผ้าบริเวณก้นที่กำลังเสียดสีอยู่กับพื้นนั้นเจียนขาดเต็มที “หม่อมฉัน…หม่อมฉันวิ่ง…” น้ำตานางไหลทะลักพรั่งพรูราวกับธารน้ำหลาก

คนที่ยืนอยู่บนหอเหนือกำแพงเมืองและใต้กำแพงเมืองต่างล้วนกลายเป็นรูปปั้นแกะสลัก ตะลึงมองดูการประจันหน้ากันขององค์จักรพรรดิและอัครมเหสี

พระพันปีที่อยู่บนหอเหนือกำแพงเมืองนิ่งคิดทบทวนอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็ทรงตรัสกับสวีไท่เฟยที่อยู่ข้างๆ “นี่ข้าไม่ละเอียดรอบคอบพอใช่หรือไม่ ฝ่าบาท…เหมือนจะทรงคึกคักมีชีวิตชีวายิ่งนัก”

สวีไท่เฟยยิ้มมีเลศนัย “หม่อมฉันว่าความรู้สึกที่ฝ่าบาทกับอัครมเหสีมีต่อกันนั้นไม่เลวเลยเพคะ โบราณว่าไว้ ในสายตาของคู่รัก นางผู้นั้นย่อมงดงามประหนึ่งซีซือ* ไม่แน่ว่าฝาบาทอาจทรงโปรดอัครมเหสีเช่นนั้นก็เป็นได้ ก่อนหน้านี้เจ้าลูกชั่วของหม่อมฉันยังเคยเล่าว่าตอนอยู่ในห้องเรียนฝ่าบาททรงเคยปกป้องอัครมเหสีอย่างออกหน้าออกตาด้วย”

พระพันปีทรงถอนลมหายใจอย่างกลัดกลุ้ม “ฝ่าบาทเองก็ทรงสิบสี่ชันษาแล้ว คงสมควรแก่เวลาให้พวกเขาได้เข้าหอกันเสียที”

 

จินเฟิ่งที่อยู่ใต้กำแพงเมือง ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าชะตาชีวิตของตัวเองได้ดำเนินมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่แล้ว ตอนนางใช้ทั้งมือทั้งเท้าคลานกลับมาถึงประตูเฉาหยาง ความรู้สึกดีๆ ที่จินเฟิ่งพอมีให้ต้วนอวิ๋นจั้งอยู่เล็กน้อยนั้นก็พังทลายลงจนหมดสิ้น

‘ยังไงนางก็เป็นเพียงสตรี’ คำพูดนี้ไม่รู้คนสารเลวที่ไหนพูดไว้ ทำไมวันนี้เขาถึงจำไม่ได้ว่านางเป็นเพียงสตรีอ่อนแอคนหนึ่งเล่า แค้นนี้หากไม่ชำระ นางก็มิใช่เฮยพั่งแล้ว

อัครมเหสีกับองค์จักรพรรดินั่งลงกับพื้นพร้อมกัน พิงหลังหายใจหอบ

“ฝ่า…ฝ่าบาท…ต้องถูกกรรมตามสนอง…” อัครมเหสีทรงตรัสสาปแช่งชิงชัง

“เจ้า…เจ้า…ตอนนี้ก็คือกรรมตามสนอง” องค์จักรพรรดิทรงหายพระทัยหอบถี่พลางแย้มสรวลพึงพอใจ

“ฝ่า…ฝ่าบาททรงทุจริตการสอบเอง…เกี่ยว…เกี่ยวอะไรกับหม่อมฉัน…” อัครมเหสีทรงโต้เถียงไม่ลดละ

“เรา…เรามิได้ดูคำตอบของเจ้า…เราเก็บมันไว้ในอกเสื้อตลอดเวลา!”

“เอ๋?” อัครมเหสีทรงประหลาดใจ

“ดังนั้น…ทั้งหมด…ทั้งหมดนี้ก็เพราะเจ้า” องค์จักรพรรดิทรงผลักอัครมเหสีล้มลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว ไม่ทรงเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้อธิบาย

ใครให้เขาเป็นจักรพรรดิเล่า อัครมเหสีอย่างนางนั้นน่ารันทดเป็นที่สุด

พระพันปีมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ด้านหนึ่งก็ทรงปีติยินดีที่องค์จักรพรรดิทรงเติบใหญ่แล้ว อีกด้านก็ทรงแอบนึกวิตกกังวล สตรีที่อยู่ข้างกายบุตรของตนเองมีเพียงเฮยพั่งผู้นี้เพียงคนเดียวเท่านั้น เรื่องนี้จะเป็นอุปสรรคต่อมุมมองเรื่องความงามของเขาในภายภาคหน้าหรือไม่

 

ยี่สิบปีต่อมา องค์รัชทายาทวัยแปดชันษาทรงแอบพลิกอ่านหนังสือของขุนนางอาลักษณ์ ก่อนจะพบประโยคที่เขียนเอาไว้ว่า

 

‘องค์จักรพรรดิสิบสี่ชันษา ลักษณะท่าทางเฉกองค์เกาจู่ ตรัสแล้วไม่คืนคำ ต้องทำให้ได้ดั่งที่ว่าไว้ ทรงมีรับสั่งกับราชครูว่า ’แม้สอบมิได้ที่หนึ่ง เราจะวิ่งไปกลับประตูเมืองสามรอบเป็นการลงโทษตนเอง‘ เหล่าอ๋องลงมือวางแผนช่วยเหลือ แต่องค์จักรพรรดิมิทรงตอบสนอง ผู้อยู่ใกล้ชิดเสนอแนะ ’เพียงเพื่อคำพูดล้อเล่นไฉนต้องทำร้ายพระวรกายด้วย’ องค์จักรพรรดิทรงยืนกรานปฏิเสธ ต่อมาทรงวิ่งไปกลับประตูเมืองด้วยพระองค์เอง ไม่มีเหน็ดเหนื่อยเกียจคร้าน ยามนั้นอัครมเหสีแม้ยังทรงพระเยาว์ แต่ก็ทรงมีสติปัญญาเปี่ยมล้น ยินดีร่วมวิ่งไปกับองค์จักรพรรดิ สามีภรรยาอยู่ใต้กฎเดียวกัน องค์จักรพรรดิกับอัครมเหสีทรงวิ่งไปด้วยกัน ทำให้ปวงประชาเชื่อมั่น ก่อกำเนิดเป็นเรื่องราวงดงาม’

 

องค์รัชทายาทกลับตำหนักเล่าถึงสิ่งที่ได้อ่านมาให้พระมารดาฟังโดยละเอียด พระมารดาเจ้าของใบหน้าดำๆ นิ่งตรึกตรองอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมาคราหนึ่ง “ขุนนางอาลักษณ์พวกนี้ช่างเหลวไหลยิ่งนัก”

บทที่ 4

 

ระยะนี้เดือนเดือนหนึ่งมักมีอยู่วันสองวันที่จินเฟิ่งไม่อาจข่มตาหลับ สาเหตุมิใช่เพราะการมาเยี่ยมเยือนอยู่ทุกเดือนของแม่สื่อสูงศักดิ์ผู้นั้น แต่ที่จินเฟิ่งมิอาจหลับได้สนิท กลับมีสาเหตุมาจากต้วนอวิ๋นจั้งผู้เป็นองค์จักรพรรดิ

นับแต่ ‘ร่วมทุกข์ร่วมสุข’ ร่วมวิ่งไปกลับประตูเมืองสามรอบกับต้วนอวิ๋นจั้งเป็นต้นมา ก็ไม่รู้ว่าเส้นประสาทเส้นไหนของพระพันปีเกิดเคลื่อนผิดตำแหน่ง ถึงได้ทรงมีรับสั่งให้หนี่ว์ซื่อ* จัดให้นางเข้าห้องหอทุกเดือน เดือนละสองวัน

ด้วยเหตุนี้จินเฟิ่งจึงได้แต่ปล่อยให้มันเป็นไปตามนั้น

ความจริงแล้วจินเฟิ่งกับต้วนอวิ๋นจั้งต่างล้วนโง่เขลาไม่ประสีประสาอันใดกับเรื่องเข้าหอนี้สักนิด

ในแต่ละเดือนจะมีสองวันที่ต้วนอวิ๋นจั้งจะถูกนางกำนัลพาตัวมาที่ตำหนักเซียงหลัว หลังจากถูกเปลื้องฉลองพระองค์จนเหลือเพียงชั้นในต่อหน้าจินเฟิ่งเสร็จ เขาก็จะปีนขึ้นไปนอนอยู่บนตั่งเตียงของนางอย่างเปิดเผย ยึดผ้าห่มไว้เพียงคนเดียว ก่อนจะไปเล่นหมากล้อมอยู่กับโจวกง ส่วนจินเฟิ่งก็ทำได้เพียงระแวดระวังรอจนอีกฝ่ายหลับสนิท นางถึงได้ค่อยๆ เลิกชายผ้าห่มขึ้น สอดตัวอ้วนกลมของตัวเองเข้าไปขดอยู่ที่มุมเตียง

เดิมเรื่องนี้ก็มิใช่ปัญหาใหญ่อะไร แท่นบรรทมของอัครมเหสีใหญ่พอที่จะให้คนห้าหกคนล้อมวงเล่นไพ่นกกระจอกอยู่บนนั้นได้สบายๆ อยู่แล้ว แต่ที่น่าโมโหก็คือคนถ่อยรายนี้กลับนอนได้ย่ำแย่เป็นที่สุด! หลังจินเฟิ่งถูกถีบลงจากเตียงเจ็ดแปดครั้ง ในที่สุดนางก็ยอมรับชะตากรรม เลิกล้มความคิดที่จะปีนกลับขึ้นเตียงอีก

หลังจากนอนอยู่บนพื้นเย็นเยียบปานน้ำแข็งสองวัน อัครมเหสีก็รู้สึกกลัดกลุ้มพระทัยเหลือกำลังรับ

“ฝ่าบาท ไฉนมิทรงเสด็จกลับไปประทับที่พระตำหนักเซวียนหลัวของพระองค์เองเล่าเพคะ” วันนี้จินเฟิ่งตัดสินใจรวบรวมความกล้า เอ่ยปากพูดถึงความปรารถนาที่เก็บซ่อนลึกอยู่ใจเนิ่นนานออกมา

ต้วนอวิ๋นจั้งชำเลืองมองนางด้วยสายตาเย็นชาปราดหนึ่ง “เจ้าคิดว่าเรายินดีกระนั้นหรือ หากมิใช่เพราะนี่เป็นพระราชเสาวนีย์ของเสด็จแม่แล้วล่ะก็ เราไม่มีทางมานอนร่วมเตียงเดียวกับเจ้าแน่” เขาเลิกคิ้ว “แต่จะว่าไปนอนสองคนหรือนอนคนเดียวก็ไม่เห็นจะมีอะไรแตกต่าง”

จินเฟิ่งทั้งเป็นทุกข์ทั้งโมโห นางลอบคิด มันก็แน่อยู่แล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบท่านก็นอนอยู่บนเตียงคนเดียวตลอดอยู่แล้วมิใช่หรืออย่างไรกัน

“แต่ว่า” ต้วนอวิ๋นจั้งตรัสขึ้น “หากเจ้าทำให้เสด็จแม่เปลี่ยนพระทัยได้ เราจะคืนตั่งเตียงให้กับเจ้า”

“หม่อมฉัน…จะทำให้พระพันปีเปลี่ยนพระทัยได้เช่นไรกัน”

“เรื่องนี้ข้าไม่สน อัครมเหสี เรื่องนี้คงต้องดูที่ความสามารถของเจ้าแล้ว” องค์จักรพรรดิทรงวางพระองค์ราวกับตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

จินเฟิ่งก็ตระหนักรู้ได้ทันที เรื่องที่มีเท้าถีบนางตกจากเตียงตลอดทุกค่ำคืนนั้นต้องเป็นเรื่องจงใจแน่ๆ

เจ้าเด็กบ้านี่ อายุยังน้อยแท้ๆ นึกไม่ถึงว่าจะเจ้าเล่ห์เพทุบายได้ถึงเพียงนี้แล้ว

“ฝ่าบาท พระองค์ทรงเสด็จมากลางดึกกลางดื่น ก็เพียงเพื่อแทะเมล็ดแตงในตำหนักของหม่อมฉันให้เกลี้ยงเท่านั้นหรือเพคะ” จินเฟิ่งปากสั่น เมล็ดแตงที่นางทุ่มเทกายใจเรียกให้ห้องเครื่องเอาไปผัดกับดอกกุ้ย โป๊ยกั๊ก และหุยเซียง ถูกองค์จักรพรรดิขบกินจนเกลี้ยงภายในคราวเดียว

ต้วนอวิ๋นจั้งจุปาก “ไม่รู้ทำไม เราถึงได้รู้สึกว่าเมล็ดแตงในตำหนักของอัครมเหสีนั้นหอมเป็นพิเศษ ตั่งเตียงของเจ้าหรือก็นอนสบายยิ่งนัก หรือว่า…วันนี้เรามานอนที่ตำหนักของอัครมเหสีดี”

จินเฟิ่งมีใบหน้าเขียวปั้ดขึ้นมาทันควัน

ต้วนอวิ๋นจั้งยิ้มพูด “อัครมเหสีเองก็รีบพักผ่อนเถอะ” ก่อนจะปัดฉลองพระองค์มังกร เดินทางกลับตำหนัก

จินเฟิ่งนั่งเป็นทุกข์อยู่ริมตั่งเตียง ถามซู่ฟาง “เจ้าว่า ฝ่าบาทกับเรา ทำไมถึงต้องนอนร่วมเตียงกัน”

ซู่ฟางหน้าแดงก่ำ “เรื่อง…เรื่องนี้แฝงไว้ซึ่งหลักการ…หม่อมฉันไม่สะดวกที่จะพูดเพคะ”

จินเฟิ่งตาเป็นประกาย “หลักการ? ราชครูเว่ยมีความรู้มากกว่าผู้ใด พรุ่งนี้ตอนเรียนเราจะถามเขา”

ซู่ฟางหน้ายิ่งแดง ราชครูเว่ยช่างน่าสงสารแท้

แต่ว่า ผู้เป็นอาจารย์มีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ กำจัดข้อสงสัยให้กับผู้เป็นศิษย์ การคลี่คลายข้อสงสัยมิใช่เป็นหน้าที่ของราชครูเว่ยหรอกหรือ พอคิดถึงจุดนี้ซู่ฟางก็รู้สึกโล่งอก

 

เดิมวันที่เกิดเรื่องนั้น ราชครูเว่ยก็รู้สึกหมดสิ้นกำลังใจ แม้แต่บรรทัดกำราบพระราชทานก็ยังไม่ต้องการ เขาตั้งใจว่าจะขอลาออกจากราชการกลับบ้านเกิด แต่ขณะกำลังจะกลับถึงบ้าน เขาก็ได้ยินข่าวจากวังหลวงว่าฝ่าบาททรงวิ่งไปกลับประตูเมืองด้วยพระองค์เอง แรกๆ ราชครูเว่ยก็รู้สึกประหลาดใจ หลังจากนั้นเขาก็กลับกลายปีติยินดี ว่ากันว่าราชครูเว่ยขังตัวอยู่ในห้องหนังสือจิบสุราที่หมักบ่มระยะสั้น เมาส่งเสียงเอะอะเอ็ดตะโรผ่านหน้าต่างกระดาษว่า ’นี่คือวาสนาของราชสำนัก วาสนาของแผ่นดิน!’

ต่อมาฮูหยินราชครูก็เป็นคนถีบประตูเปิด เดินเข้าไปลากตัวชายชราออกมา

 

ครั้นสร่างเมา เช้าวันถัดมาราชครูเว่ยก็เดินทางไปสอนหนังสือด้วยท่าทางฮึกเหิม พอเห็นองค์จักรพรรดิกับอัครมเหสี เขาก็เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาให้เห็น องค์จักรพรรดิกับอัครมเหสีหลังจากทรงตกประหวั่นอยู่หลายวัน ในที่สุดพวกเขาก็รู้สึกโล่งอก

ในใจของราชครูเว่ยกลับกำลังคิดว่าองค์จักรพรรดิกับอัครมเหสีสองพระองค์ล้วนมิใช่คนธรรมดา แน่นอนว่าตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่รู้เรื่องที่จินเฟิ่งถูกลากให้วิ่งเลยแม้แต่น้อย

วันนี้ราชครูเว่ยมาสอนหนังสือด้วยท่าทีลิงโลด เขาพูดถึงขนบจารีตแห่งโจว และขณะกำลังจะอ้างอิงตำราอธิบายถึงเรื่อง ‘ขนบจารีตไม่อาจละเลย’ จู่ๆ เขากลับตัดสินใจปล่อยบรรดาลูกศิษย์ให้เลิกเรียนได้ ขณะที่ราชครูเว่ยกำลังเก็บหนังสือ เขาก็พบว่าอัครมเหสีมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะ จ้องมองดูเขาด้วยแววตาเป็นประกายราวกับมีเรื่องลำบากใจอะไรบางอย่าง

“อัครมเหสีมีอันใดใคร่รู้กระนั้นหรือ”

จินเฟิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ท่านอาจารย์ เรามีคำถามเกี่ยวกับเรื่อง ‘ขนบจารีตไม่อาจละเลย’ พอดี”

ราชครูเว่ยนึกอยากรู้ขึ้นมาทันที “เชิญอัครมเหสีรับสั่ง”

“ ‘ขนบจารีตไม่อาจละเลย’ ล้วนมิอาจยืดหยุ่นผ่อนผันได้ใช่หรือไม่”

ราชครูเว่ยพูดสีหน้าเคร่งขรึม “ขนบจารีตคือรากฐานของการปกครองแผ่นดิน ในเมื่อเป็นธรรมเนียมก็ย่อมต้องเป็นข้อบังคับ ไหนเลยจะผ่อนปรนได้”

จินเฟิ่งหน้าตาเจ็บปวดรวดร้าว “ ‘ขนบจารีต’ ทุกอย่างล้วนไม่อาจผ่อนปรนได้กระนั้นหรือ”

ราชครูเว่ยครุ่นคิด “ก็ไม่ถึงเพียงนั้น หากแต่ขึ้นอยู่กับเนื้อหาของขนบจารีตนั้นๆ ‘บันทึกขนบธรรมเนียม’ กล่าวไว้ว่า ขนบจารีตมีไว้ชี้ขาดสายสัมพันธ์ชิดใกล้ไกลห่าง ชี้ขาดข้อสงสัย แยกแยะเหมือนต่างถูกผิด หากไม่อาจชี้ขาดสายสัมพันธ์ ชี้ขาดข้อสงสัย แยกแยะเหมือนต่างถูกผิด เช่นนั้นมิสู้ละเลยมันเสีย”

จินเฟิ่งก้มหน้า ขมวดคิ้วอยู่เป็นนาน “ท่านอาจารย์ เช่นนั้นทำไมเรากับองค์จักรพรรดิถึงต้องนอนร่วมเตียงเดียวกันด้วย หรือว่าพวกเราอยู่ร่วมเตียงเดียวกันแล้วจะสามารถชี้ขาดสายสัมพันธ์ ชี้ขาดข้อสงสัย แยกแยะเหมือนต่างถูกผิดได้?” แท่นฝนหมึกลายดอกบัวชิ้นโปรดของราชครูเว่ยหล่นกระแทกพื้นแตกกระจายไม่เป็นชิ้นดี

“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์?”

ในที่สุดราชครูเว่ยก็กลับมาได้สติ ยังไม่ทันได้นึกเจ็บปวดกับแท่นฝนหมึกชิ้นโปรด เขาก็หลุดปากตอบออกมาอย่างยากลำบาก “นี่เป็นเรื่อง…ความสัมพันธ์ของมนุษย์”

“ทำไมการนอนร่วมเตียงกันถึงกลายเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของมนุษย์ได้”

“อัครมเหสี…ความรู้ในเรื่องนี้…”

“เรารู้ว่าเรื่องนี้แฝงไว้ซึ่งหลักการ อาจารย์ปราดเปรื่องที่สุดในราชสำนัก ย่อมต้องรู้คำตอบ”

ราชครูเว่ยเริ่มดึงทิ้งหนวดเครางดงามของตัวเอง “อัครมเหสี…ศาสตร์แต่ละแขนงล้วนมีผู้เชี่ยวชาญแตกต่างกันไป เรื่องนี้ทรงไปถามท่านหมอหลวงหวาดูเถอะพ่ะย่ะค่ะ” พูดจบเขาก็หอบหนังสือ เตลิดหนีออกไปรวดเร็ว ดูจากแผ่นหลังไม่ต่างอะไรกับกระต่ายแก่ที่กำลังถูกหมาป่าวิ่งไล่

 

อัครมเหสีทรงคิดแล้วคิดอีก ก่อนจะทรงตัดสินพระทัยตอนกลับตำหนักนางจะแวะไปสำนักแพทย์หลวงสักครั้ง

หมอหลวงหวาเป็นหมอหลวงผู้เฒ่า ทำหน้าที่เป็นหัวหน้ากำกับดูแลสำนักแพทย์หลวง หนวดเคราขาวโพลนของเขาไม่แตกต่างจากหนวดเครางดงามที่ราชครูเว่ยภาคภูมิใจสักเท่าไหร่นัก หมอหลวงหวาเคยตรวจดูพระอาการประชวรให้จินเฟิ่งมาแล้วสองครั้ง ครั้งแรกเพราะไม่ระวัง กินเนื้อแพะที่หุยเจียง* นำมาบรรณาการถวายจนจุก ส่วนอีกครั้งก็เพราะถูกองค์จักรพรรดิไร้คุณธรรมลากให้วิ่งไปกลับประตูเมืองเมื่อคราวก่อน

เมื่อได้ยินว่าอัครมเหสีเสด็จมาด้วยพระองค์เอง หมอหลวงหวาก็รีบโยนตัวยาที่กำลังตรวจสอบในมือทิ้ง แล้วตรงดิ่งออกมารับเสด็จ

พอเข้ามาถึงห้องเก็บตำราแพทย์ เขาก็พบอัครมเหสีกำลังถือหนังสือภาพการฝังเข็ม พลิกดูภาพคนตัวเล็กๆ ที่วาดอยู่ด้านใน หมอหลวงหวาคุกเข่ากับพื้นดังตึง “อัครมเหสี หนังสือเล่มนั้นทรงอ่านไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”

จินเฟิ่งประหลาดใจ “ทำไม”

“หนังสือเล่มนั้นมิงดงามพ่ะย่ะค่ะ!”

จินเฟิ่งชำเลืองมองดูคนตัวเล็กๆ ในหนังสือที่มีจุดต่างๆ แต้มอยู่ทั่วทั้งร่างอย่างอาลัยอาวรณ์ จากนั้นนางจึงค่อยๆ ปิดมันลง

หมอหลวงหวาปาดเหงื่อ “มิทราบว่าอัครมเหสีเสด็จมา ทรงมีอันใดต้องการสอบถามหรือพ่ะย่ะค่ะ”

จินเฟิ่งกระตือรือร้นรีบประคองหมอหลวงหวาให้ลุกขึ้น “ไม่ขอปิดบัง เรามีเรื่องใคร่ขอความช่วยเหลือจากท่านหมอหลวง วันนี้เราไปถามราชครูเว่ยแล้ว แต่ราชครูเว่ยกลับบอกว่าเรื่องนี้ต้องถามท่านถึงจะได้”

หมอหลวงหวายิ้ม “คงไม่แคล้วเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบำรุงร่างกายกระมัง เช่นนั้นก็เชิญอัครมเหสีถามมาเถอะ”

จินเฟิ่งฉีกยิ้ม “ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด เราเพียงแค่อยากรู้ ทำไมเราถึงต้องร่วมเตียงเดียวกับฝ่าบาท”

“เอ๋?” หมอหลวงหวานึกว่าตัวเองฟังผิดไป

“เราถามว่าทำไมเรากับฝ่าบาทถึงต้องร่วม…”

“อัครมเหสี!” ไม่รู้หมอหลวงหวาไปกินดีเสือมาจากไหน เขาคุกเข่าลงกับพื้น ขัดจังหวะการถามของอัครมเหสี “เรื่องนี้…เรื่องนี้…กระหม่อมมิอาจตอบได้จริงๆ…”

จินเฟิ่งแม้จะเป็นคนอารมณ์ดี แต่ยามนี้นางกลับระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่ แค่คำถามใหญ่กว่าเมล็ดงาแค่นิดเดียวนางก็เฝ้าถามอยู่ตั้งนาน แต่ทุกคนกลับทำให้นางนึกโมโห

“หมอหลวงหวา วันนี้ท่านต้องพูดเรื่องนี้ให้เราเข้าใจโดยกระจ่าง! หากท่านยังกล้าบอกให้เราไปถามผู้อื่นอีกล่ะก็…” จินเฟิ่งขู่ด้วยน้ำเสียงชวนสะพรึง คนอย่างนางก็เดือดดาลเป็นเช่นกัน!

เพียงชั่วพริบตาหมอหลวงหวาก็ราวกับเฒ่าชราลงหลายปี “กระ…กระหม่อมไหนเลยจะกล้าทูลให้พระองค์ทรงไปไถ่ถามผู้อื่นได้…”

“เช่นนั้นท่านก็จงตอบมา”

หมอหลวงหวากุมชายเสื้อแน่น คุกเข่าไม่ยอมลุก “อัครมเหสี…”

“ในใจท่านยังเห็นเราเป็นอัครมเหสีอีกอย่างนั้นหรือ” จินเฟิ่งวางท่า

หมอหลวงหวาน้ำตาอาบแก้ม หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ลุกขึ้นจากพื้น เดินไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้น ก่อนจะยื่นส่งมันให้จินเฟิ่ง “คำตอบทั้งหมด อยู่ในหนังสือเล่มนี้พ่ะย่ะค่ะ”

จินเฟิ่งกวาดตามอง หนังสือเล่มที่ว่าคือ ‘ตำรายืดอายุขัยซานหยวน’

“อัครมเหสีโปรดอ่าน…โปรดอ่านประโยคที่มีวงเล็บสีแดงคร่อมเอาไว้” หมอหลวงหวาใบหน้าแดงระเรื่อ หลังจากอายุล่วงเลยเลขห้า หมอหลวงหวาที่อยู่ภายใต้การควบคุมของหวาฮูหยินก็อดไม่ได้ที่จะศึกษาประโยคดังกล่าวโดยละเอียด

วันเวลาไม่ปรานีผู้ใด

 

จินเฟิ่งใช้เวลาสามวัน ในที่สุดก็อ่านเนื้อความในส่วนที่หมอหลวงหวาพูดถึงจบสิ้นได้โดยละเอียด นางรู้สึกใจหายใจคว่ำ จู่ๆ ก็พบว่าตลอดสิบสามปีที่ผ่านมา ตนเองใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความหลอกลวง ตอนยังเล็กนางเคยถามผู้เป็นมารดาว่าเด็กๆ เกิดมาจากไหน แม่ของนางอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่เป็นนาน กว่าจะบอกว่านางไหลออกมาจากสระไท่เยี่ยในวังหลวง ไหลเรื่อยมาจนถึงลำธารก่งซี ก่อนจะไหลต่อมาจนถึงแม่น้ำตงเหลียง

คำพูดดังกล่าวยังคงวนเวียนอยู่ข้างหู จินเฟิ่งก็ดั่งมีควันลอยออกจากทวารทั้งเจ็ด ตอนแรกเริ่มเข้าวังมาที่นางสงบนิ่งได้เช่นนั้น นั่นก็ด้วยเพราะใจนางคิดว่าตอนเป็นทารก นางเคยอยู่ที่นี่มาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง

หลังจากอ่านหนังสือดังกล่าวจบ นางก็รู้สึกว่าตนเองได้รับประโยชน์มากมาย อีกทั้งยังเข้าใจด้วยว่าทำไมซู่ฟาง ราชครูเว่ย และหมอหลวงหวาถึงได้มีสีหน้าราวกับจะบอกว่าขอตายดีกว่าอยู่เช่นนั้น จินเฟิ่งนึกแล้วก็รู้สึกสงสารพวกเขาไม่น้อย

จินเฟิ่งถอนหายใจ ไม่ว่าเช่นไร ยังไงเรื่องนี้ก็ทำให้นางนึกแผนไล่ต้วนอวิ๋นจั้งองค์จักรพรรดิออกจากตั่งเตียงของนางได้

 

ดังนั้นวันนี้จินเฟิ่งจึงบุกไปหาต้วนอวิ๋นจั้งถึงห้องบรรทมเองเป็นครั้งแรก

“อัครมเหสีมีกิจอันใดกระนั้นหรือ” ต้วนอวิ๋นจั้งเพิ่งว่าราชกิจเสร็จ เขากำลังผลัดเปลี่ยนฉลองพระองค์อยู่

จินเฟิ่งเห็นว่าข้างๆ มีขันทีนางกำนัลรับใช้ใกล้ชิดเจ็ดแปดคนยืนนิ่งเป็นหินอยู่ นางก็กวักมือมือเรียกต้วนอวิ๋นจั้ง ครั้นเห็นท่าทางแปลกประหลาดเช่นนั้นของนาง เขาก็ลากนางไปกระซิบกระซาบพูดคุยกันอยู่หลังเสาสีแดง

“หม่อมฉันมีวิธีแล้ว”

“จริงหรือ” ต้วนอวิ๋นจั้งนึกยินดีเป็นที่สุด

“เพียงแต่พระองค์ต้องทรงยอมเสียสละเล็กน้อย”

ต้วนอวิ๋นจั้งขมวดคิ้ว

“วางใจเถอะเพคะ หม่อมฉันไม่ทำให้พระองค์ต้องทรงลำบากพระทัยแน่ แค่เพียงต้องการให้พระองค์ทรงแต่งหน้าไปตำหนักพระพันปีสักครั้งเท่านั้น”

ต้วนอวิ๋นจั้งมองดูนางด้วยแววตาสงสัย “เจ้ามิได้ล้อเล่นใช่ไหม”

จินเฟิ่งกล่าวสาบาน “หากแม้โกหกขอให้หม่อมฉันเป็นลูกสุนัข”

“…” ทรงเห็นแก่คำสาบาน ต้วนอวิ๋นจั้งจึงพยายามเชื่อคำพูดของนาง

ดังนั้นจินเฟิ่งจึงพาต้วนอวิ๋นจั้งกลับไปแต่งหน้าที่ตำหนักตนเอง

ต้วนอวิ๋นจั้งมิได้ผิวพรรณขาวผ่องเป็นยองใยนับแต่แรกเกิด ดังนั้นไม่ต้องออกแรงสักเท่าไร จินเฟิ่งก็สามารถเติมแป้งลงบนใบหน้าเขาได้ง่ายดาย เหลือไว้ก็เพียงแต่รอยดำจางๆ บริเวณใต้ตาทั้งสองข้าง ให้ดูเหมือนเด็กอ่อนแอขี้โรคคนหนึ่ง ครั้นเห็นต้วนอวิ๋นจั้งมองดูตัวเองในคันฉ่อง จินเฟิ่งก็หลุดขำพรืดออกมามิได้ นางพลางคิดว่าปกติต้วนอวิ๋นจั้งมักทำอวดเก่งอยู่ตลอดเวลา แต่วันนี้พอแต่งหน้าเข้าหน่อยก็กลับดูราวกับเป็นเด็กหนุ่มหน้าขาวท่าทางอ่อนแอขึ้นมาจริงๆ

ต้วนอวิ๋นจั้งเบิกพระเนตรกว้างขึ้นมาทันที เขาจ้องดูรอยยิ้มแฝงเจตนาชั่วร้ายของจินเฟิ่ง “เจ้ากำลังคิดวางแผนอันใด”

จินเฟิ่งวางท่าไร้เดียงสาอย่างยิ่ง “ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งนั้น”

ทว่าใจของต้วนอวิ๋นจั้งหนักอึ้งขึ้นอีกหลายส่วน แม้ว่านางบอกไม่มี เขากลับยิ่งมั่นใจว่าต้องมี

เฮยพั่งผู้นี้ ยามพูดจาแม้จะชอบดัดน้ำเสียง แต่ท่าทีของนางกลับแลดูสงบนิ่ง ในใจมักมีความคิดอ่านชวนตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกอยู่บ่อยครั้ง ยามความอัปลักษณ์ของนางสร้างความตื่นตระหนกถึงขีดสุดให้กับผู้ที่ได้พบเห็น แต่นางกลับสามารถวางมาดเป็นปกติได้รวดเร็วจนผู้คนต่างรู้สึกว่าการที่ตนเองรู้สึกว่าหน้าตาของนางอัปลักษณ์นั้น แท้แล้วเป็นเพราะตัวเองชั่วช้าเลวทรามเกินไปต่างหาก

ช่างเป็นสตรีที่อันตรายยิ่งนัก

จินเฟิ่งไม่ตระหนักถึงถ้อยคำตำหนิของต้วนอวิ๋นจั้งเลยแม้แต่น้อยพลางหยิบ ‘ตำรายืดอายุขัยซานหยวน’ ที่จัดเตรียมไว้ก่อนหน้าออกมา แล้วยัดเข้าไปในแขนเสื้อของต้วนอวิ๋นจั้ง “ฝ่าบาท พระองค์ต้องทรงแสร้งไม่ระวังพระองค์ทำหนังสือเล่มนี้ตกในตำหนักของพระพันปี”

“ทำไม”

จินเฟิ่งยิ้มแฝงความหมายลึกล้ำ “พูดมิได้ๆ ชาวป่าชาวเขาล้วนมีวิถีทางของตนเองด้วยกันทั้งนั้น”

ต้วนอวิ๋นจั้งพลันรู้สึกหนาวสะท้านไปทั่วกระดูกสันหลัง

 

ต้วนอวิ๋นจั้งไปถวายพระพรพระพันปี ทันทีที่พบเขา พระพันปีก็น้ำตาหลั่งริน “ฝ่าบาท มิได้พบหน้ากันเพียงไม่กันวัน ไฉนฝ่าบาท…ถึงทรงเป็นเช่นนี้ไปได้…” ใบหน้าซีดเผือด ขอบตาดำคล้ำ นี่มันอาการของคนป่วยหนักเกินเยียวยาแล้วชัดๆ “ใครก็ได้ ไปตามหมอหลวงมาเร็ว!”

ต้วนอวิ๋นจั้งรีบขวางพระพันปี “ไม่จำเป็นหรอกเสด็จแม่ นี่เกิดจากการล้อเล่นของเฮยพั่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใส่พระทัย”

ทว่าพระพันปียังทรงอกสั่นขวัญแขวน ไม่รู้ควรทำเช่นไร

ต้วนอวิ๋นจั้งรายงานความคืบหน้าของการบ้านในช่วงหลายวันมานี้ให้พระพันปีฟัง ครั้นเห็นพระพันปีจับจ้องตนเองตาไม่กะพริบเช่นนั้น จิตใจเขาก็เริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาคีบหนังสือที่อยู่ในแขนเสื้อแล้วกัดฟัน ลองเชื่อเฮยพั่งสักครั้งดูก็แล้วกัน!

ดังนั้นเขาจึงวางหนังสือดังกล่าวลงทางด้านหลังช้าๆ ก่อนจะทูลลาพระพันปี

พระพันปีทรงครุ่นคิดถึงคำว่าล้อเล่นที่ต้วนอวิ๋นจั้งพูดถึงเมื่อครู่ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกงุนงงสับสน ในตอนนั้นเองขันทีรับใช้ที่อยู่อีกด้านก็พูดขึ้น “ฝ่าบาทเหมือนจะทำอะไรบางอย่างหล่นพ่ะย่ะค่ะ”

พระพันปีทรงนึกสะท้าน ก่อนจะทอดพระเนตรเห็นว่าบนเก้าอี้ที่ต้วนอวิ๋นจั้งนั่งอยู่เมื่อครู่นั้นมีหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่จริงๆ

“เอามันมาให้เราดู” พระพันปีทรงมีลางสังหรณ์ไม่สู้ดีนัก

หนังสือเล่มนั้นอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แต่กลางเล่มกลับมีอยู่หน้าหนึ่งที่ถูกพับไว้ ครั้นเปิดออกดูก็ทรงพบว่าบนหน้านั้นมีรอยพู่กันสีแดงวงข้อความเอาไว้ท่อนหนึ่ง

พระพันปีพระพักตร์ซีดเผือดอย่างรวดเร็ว

เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งพระพันปีก็ทรงหวีดร้องเสียงแหลมออกมาราวกับสัตว์ตัวเมียที่กำลังจะสูญเสียลูกน้อยไป “ตามหนี่ว์ซื่อ ไปตามหนี่ว์ซื่อมา!”

 

วันที่สอง จินเฟิ่งก็ได้รับข่าวว่านับแต่วันนี้เป็นต้นไป นางไม่จำเป็นต้องเข้าหออีกแล้ว หนำซ้ำยังไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าหอทั้งสิ้น

หลังว่าราชการเสร็จต้วนอวิ๋นจั้งก็ตรงดิ่งมาถามจินเฟิ่งด้วยความประหลาดใจ ว่าที่แท้แล้วนางจัดการกับเรื่องนี้ด้วยวิธีใด

จินเฟิ่งยิ้มไม่พูดอะไร นางรู้ หากต้วนอวิ๋นจั้งค้นพบความจริง เขามีหวังได้ตบนางจนวิญญาณออกจากร่างแน่

ส่วนพระพันปีก็ทรงเข้าใจว่าอะไรเรียกว่าชิงสุกก่อนห่ามได้ในที่สุด ข้อความที่อยู่ในวงสีแดงคือ

 

‘บุรุษทำลายพลังหยางเร็วเกินควรจะส่งผลร้ายต่อพลังชีวิต สตรีทำลายพลังหยินเร็วเกินไปจะส่งผลร้ายต่อการไหลเวียนโลหิต บันทึกกล่าวไว้ แม้อายุยังไม่พร้อม กลับขับพลังชีวิตเพื่อมีสัมพันธ์กับสตรี อวัยวะในกายอาจได้รับผลกระทบ ภายภาคหน้าอาจมิอาจดำเนินกิจในห้องหับได้’

 

จินเฟิ่งนิ่งคิด ความรู้คือพละกำลัง

 

หลังจากผ่านเรื่องนี้ไป ท่าทีของพระพันปีที่มีต่อจินเฟิ่งก็เปลี่ยนแปลงไปมากมาย

ทั้งพระทัยและพระเนตรของพระพันปีล้วนจ้บจ้องอยู่บนตัวจินเฟิ่ง สำหรับพระพันปีแล้วจินเฟิ่งก่อนหน้านี้ก็แค่ตราประจำตำแหน่ง เป็นเพียงหุ่นเชิดตัวหนึ่ง หนำซ้ำด้านบนยังมีกระดาษเขียนอักษร ‘บุตรีของเวยกั๋วกง’ แปะติดอยู่ แต่วันนี้จินเฟิ่งกลับกลายเป็นน้ำมันร้อนกระทะหนึ่งในพระทัยของพระนาง

นอกจากชิงบรรทัดกำราบพระราชทานออกจากมือราชครูเว่ยในครั้งนั้นแล้ว จินเฟิ่งก็ไม่เคยทำอะไรนอกจารีตอีก แต่จินเฟิ่งกลับค่อยๆ ซึมลึกเข้าสู่ชีวิตขององค์จักรพรรดิ เริ่มกลับกลายมีตัวตนขึ้นมาทีละน้อย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนสร้างความวิตกกังวลให้กับพระพันปียิ่ง

เรื่องนี้มิใช่เพียงเพราะจินเฟิ่งเป็นบุตรีของหลิวเซีย หากแต่ยังเพราะจินเฟิ่งเป็นคนที่ทำอะไรล้วนยากจะคาดเดาได้ ยามที่กำลังจะลืมนางไปจนสิ้น จู่ๆ นางก็มักจะทำให้ตระหนักได้ว่าที่แท้แล้วนางยังคงอยู่ที่นี่มาโดยตลอด

“ได้ยินว่าระยะนี้องค์จักรพรรดิเสด็จไปหาเจ้าที่ตำหนักบ่อยกว่าที่จะมาถวายพระพรข้าที่นี่เสียอีก” ในที่สุดพระพันปีก็มิอาจห้ามพระองค์เองได้อีก ทรงมีรับสั่งออกมาต่อหน้าจินเฟิ่ง

จินเฟิ่งตะลึง นางรู้สึกได้ว่าพระพันปีคล้ายกำลังเตรียมเล่นงานตนเอง

“หามิได้เพคะ ฝ่าบาทเสด็จไปที่ตำหนักของหม่อมฉันก็เพียงเพราะทรงชื่นชอบเมล็ดแตงในตำหนัก เลยทรงแวะไปขอแบ่งสันปันส่วนบ้างก็เท่านั้น”

พระพันปีหลุบพระเนตรลงน้อยๆ “เช่นนั้นหรอกหรือ ในเมื่อฝ่าบาททรงชอบเมล็ดแตงของเจ้า เจ้าก็ให้คนส่งเข้าพระตำหนักบ่อยๆ เท่านั้นก็ได้แล้วมิใช่หรืออย่างไรกัน ให้โอรสสวรรค์เสด็จไปขอแบ่งปันถึงตำหนักเจ้าด้วยพระองค์เองเช่นนี้ ไหนเลยจะเป็นการเหมาะสม”

จินเฟิ่งเข้าใจแล้ว ที่ทรงทำเช่นนี้ก็เพื่อบอกให้นางออกจากห่างองค์จักรพรรดินี่เอง ดูท่า ‘ตำรายืดอายุขัยซานหยวน’ เล่มนั้นจะทำให้พระพันปีทรงวิตกกังวลเอาการอยู่ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง จินเฟิ่งก็ทำได้เพียงตอบว่า “เพคะ”

“อัครมเหสี เจ้าก็อายุสิบสามแล้วสินะ”

“ใกล้สิบสี่แล้วเพคะ”

“จริงสินะ ฝ่าบาทเองก็สิบห้าชันษาแล้ว”

พระพันปีทรงถอนหายใจ

“อัครมเหสี ตำหนักในแห่งนี้มีงานใหญ่น้อยซับซ้อนมากมาย เราดูแลเพียงคนเดียว บางครั้งก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยมิใช่น้อย”

“พระพันปีมิใช่ยังมีสวีไท่เฟยอยู่อีกพระองค์หรอกหรือเพคะ”

“สวีไท่เฟย เพียงงานอบรมสั่งสอนบุตรนางก็ปวดหัวจะแย่แล้ว ไหนเลยจะสามารถช่วยแบ่งเบาอะไรเราได้อีก”

จินเฟิ่งขมวดคิ้ว รับสั่งของพระพันปีที่แท้แล้วมีความหมายเช่นไรกันแน่

แล้วทำไมถึงต้องพูดแฝงความนัยกับนางเช่นนี้ด้วย นางเพิ่งอายุสิบสี่เท่านั้น ไม่ใช่สี่สิบสี่เสียหน่อย ให้นางทายใจบ่อยๆ อย่างนี้ นางมิต้องแก่เร็วตามไปด้วยหรืออย่างไรกัน

จินเฟิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังคงไม่เข้าใจ จึงตอบหยั่งเชิงออกไป “พระพันปีทรงประสงค์ให้ตามหมอหลวงหวามาช่วยตรวจพระวรกายสักหน่อยหรือไม่เพคะ หมอหลวงหวาเชี่ยวชาญเรื่องบำรุงสุขภาพยิ่งนัก”

พระพันปีกระแอมออกมาเบาๆ คราหนึ่ง “อัครมเหสี เจ้าไฉนถึงไม่เข้าใจความคิดอ่านของเราเอาเสียเลย”

ข้ามิใช่หนอนในท้องของท่านสักหน่อย

“หม่อมฉันโง่งม…”

“เราเองก็รู้สึกว่าเจ้าออกจะโง่งมเกินไปอยู่สักหน่อย เฮ้อ เจ้าเป็นเช่นนี้ ไหนเลยเราจะวางใจมอบองค์จักรพรรดิให้เจ้าได้”

“…” จินเฟิ่งก้มหน้า

“เช่นนี้ก็แล้วกัน นับแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเจ้าก็มาติดตามเรา หัดเรียนรู้วิธีการดูแลตำหนักใน ส่วนฝ่าบาท เจ้าทูลพระองค์ไปว่าไม่จำเป็นต้องไปหาเจ้าที่ตำหนักเซียงหลัวแล้ว ให้ตรงมาที่นี่ได้เลย ส่วนด้านราชครูเว่ย เจ้าก็ไม่ต้องไปแล้วเช่นกัน เจ้ามีฐานะเป็นอัครมเหสี การหัดเรียนรู้วิธีการเป็นอัครมเหสีต่างหากถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ”

“พระพันปี…”

พระพันปีทรงยกพระหัตถ์ลูบพระอุระ กระแอมไอออกมาสองคราด้วยสีหน้าอ่อนล้า “ทำไม หรือเจ้าไม่ยินดี”

จินเฟิ่งมองออก ไม่ยินดีก็เท่ากับอกตัญญู

“หม่อมฉันยินดีเพคะ”

แม้จะไม่นึกยินดี แต่นางไม่กล้าขัดพระราชเสาวนีย์ของพระพันปี จึงได้แต่กล่าวอำลาราชครูเว่ยอาจารย์ผู้เฒ่าที่แสนน่าเอ็นดูของตน และหันไปศึกษาหาความรู้จากอาจารย์พระพันปีแทน

จินเฟิ่งคิดว่าต่อให้มิได้เรียนหนังสือกับพวกต้วนอวิ๋นจั้งและต้วนอวิ๋นจ้ง แต่อยู่ในวังหลวงยังไงเสียนางก็ย่อมมีโอกาสได้พบราชครูเว่ยแน่ ถึงตอนนั้นนางมีคำถามอันใดก็ย่อมสามารถถามเขาได้อยู่วันยังค่ำ แต่จินเฟิ่งไม่อาจนึกถึงว่าผ่านไปเพียงเดือนเดียว ราชครูเว่ยก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งราชครู พร้อมถูกขับออกจากวังหลวง

สาเหตุก็ด้วยเพราะราชครูเว่ยไปล่วงเกินเวยกั๋วกงหลิวเซีย พระสสุระขององค์จักรพรรดิเข้า

เมื่อหลายวันก่อน เวยกั๋วกงได้ถวายรายงานยาวเหยียดต่อหน้าขุนนางราชสำนัก เนื้อความประกอบด้วยตัวอักษรนับพัน ความหมายโดยรวมๆ ก็คือแผ่นดินยามนี้มั่งคั่งบริบูรณ์ ชาวบ้านต่างล้วนร่ำรวยเงินทอง สมควรเพิ่มภาษีขึ้นสักหนึ่งส่วน โดยเฉพาะเขตเจียงหนานที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีประชากรอาศัยรวมกันอยู่เป็นจำนวนมาก สำหรับครอบครัวที่มีรายได้ต่อปีมากกว่าสิบตำลึง ควรจ่ายภาษีเพิ่มหนึ่งส่วน

เพิ่มภาษีเพื่อประโยชน์อันใด แท้ก็เพื่อใช้ในการเพิ่มพูนอาวุธยุทโธปกรณ์

เรื่องเพิ่มภาษีนี้ นับแต่อดีตเป็นต้นมาไม่ว่าจะนักประวัติศาสตร์หรือชาวบ้านร้านตลาด ต่างก็เคียดแค้นชิงชังพร้อมใจก่นด่าเป็นเสียงเดียวกันทั้งสิ้น สำหรับคนเป็นขุนนางนั้น คนที่กล้าทูลเสนอให้เพิ่มภาษีนั้น ในราชสำนักไม่เคยมีมาก่อน

พวกชาวบ้านต่างมีชีวิตความเป็นอยู่ยากลำบาก กว่าจะดีขึ้นบ้างในช่วงสองสามปีนี้ก็มิใช่ง่าย หากเรียกเก็บภาษีเพิ่ม อีกทั้งยังเป็นการเรียกเก็บภาษีเพื่อการสงคราม เรื่องนี้ไม่ว่าจะพูดเช่นไรผู้คนก็คงยากที่จะยอมรับ

แต่นโยบายเรียกเก็บภาษีเพิ่มกลับมีการดำเนินการจากส่วนกลางไปยังสถานที่ต่างๆ อย่างรวดเร็ว มิใช่ด้วยเพราะเหตุผลอื่นใด นอกจากเหตุผลที่ว่านโยบายนี้เวยกั๋วกงเป็นผู้ร่างขึ้น

พระพันปีกับองค์จักรพรรดิแม้จะไม่เห็นด้วยกับการเรียกเก็บภาษีเพิ่ม แต่ก็ไม่อาจทำอันใดได้

ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่วัน ตอนอยู่ในห้องเรียน ราชครูเว่ยก็บังเอิญเอ่ยถึงปัญหาการเรียกเก็บภาษีขึ้นพอดี เขาอดไม่ได้ที่จะชี้จุดบกพร่องของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ครั้นติดลมขึ้นมา แม้แต่มารยาทอันใดก็ไม่สนอีกต่อไป เขาก็โอภาปราศรัยทักทายมารดาของเวยกั๋วกงขึ้นมาทันที

ต่อมาภายหลัง คำพูดพวกนี้ก็ลอยละล่องไปถึงหูเวยกั๋วกงอย่างไม่มีตกหล่น

ดังนั้นวันถัดมา เวยกั๋วกงก็ทูลขอให้องค์จักรพรรดิทรงมีราชโองการปลดเว่ยเซียงโจวออกจากตำแหน่งราชครู พร้อมสั่งห้ามมิให้เขากลับเข้าวังหลวงอีกชั่วชีวิต

แม้ต้วนอวิ๋นจั้งจะเก็บหนังสือกราบทูลที่ร้อนลวกมือนั้นไว้ล่างสุด แต่ยังไงเสียสุดท้ายเขาก็ยังคงต้องตัดสินใจอยู่ดี ส่วนพระพันปีถึงจะทรงนั่งฟังอยู่หลังม่าน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่พระนางจะเสนอความคิดเห็นใดๆ สอดแทรกงานบริหารราชการแผ่นดินได้

ต้วนอวิ๋นจั้งคิดไปคิดมา จึงทำได้เพียงบอกกับเสี่ยวซุนจื่อขันทีรับใช้ข้างกาย “มีราชโองการออกไป เรียกตัวหล่งเยวี่ยอ๋องเข้าวัง!”

 

ความจริงแล้วต้วนหล่งเยวี่ยมีบรรดาศักดิ์ประจำตัว บรรดาศักดิ์ของเขาคือซื่ออ๋อง แต่คำว่า ‘ซื่อ’ นั้นทุกคนไม่ชอบอ่านและก็ไม่ชอบฟัง ดังนั้นซื่ออ๋องจึงถูกเรียกเป็นหล่งเยวี่ยอ๋องแทน หล่งเยวี่ยอ๋องผู้นี้เป็นอ๋องจอมเอ้อระเหยโดยแท้ เขาพำนักอยู่ที่เจียงหนานครึ่งปี สามวันก่อนเพิ่งเดินทางกลับเข้าเมืองหลวง หลังกลับมาถึง แทนที่จะเข้าวังมาถวายพระพรพระพันปีหรือองค์จักรพรรดิ เขากลับนอนหลับอย่างสติเลอะเลือน ครั้นหัวถึงหมอนก็หลับยาวถึงสามวันสามคืนเต็ม

ขันทีเสี่ยวซุนจื่อเสี่ยงตายขุดต้วนหล่งเยวี่ยออกมาจากเตียง อาศัยตอนอีกฝ่ายยังสะลึมสะลือ ป้อนข้าวป้อนน้ำให้สองสามคำ ก่อนจะจับตัวยัดขึ้นเกี้ยวแบกเข้าวังมา

ครั้นเกี้ยวมาถึงหน้าประตูพระตำหนักเซวียนหลัว ต้วนหล่งเยวี่ยก็ได้สติขึ้นมาแล้วหลายส่วน เขาใช้พัดเขี่ยเปิดม่านเกี้ยว เห็นผู้เป็นราชนัดดากำลังเดินวนเวียนไปมาอยู่ในตำหนัก ท่าทางกลัดกลุ้มยิ่งยวด

ต้วนหล่งเยวี่ยก็เบิกตากว้าง กระโดดออกมาจากเกี้ยว ตรงดิ่งไปหาองค์จักรพรรดิแล้วกอดอีกฝ่ายไว้เต็มอ้อมแขน

“หลานรัก ไม่เจอกันเพียงครึ่งปีไฉนถึงได้ดูเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาเช่นนี้!” ต้วนหล่งเยวี่ยซาบซึ้งจนน้ำตาอุ่นร้อนหลั่งออกมาหยดหนึ่ง

ต้วนอวิ๋นจั้งทนรำคาญไม่ไหว เขาจึงผลักใบหน้าของอีกฝ่ายไปอีกด้าน “เสด็จอา เราเรียกท่านมาก็เพราะมีเรื่องสำคัญต้องการปรึกษา!”

“เรื่องสำคัญ?” ต้วนหล่งเยวี่ยประหลาดใจ “คงมิใช่เรื่อแต่งตั้งพระสนมกระมัง เรื่องนี้หาเป็นการเหมาะสมไม่ พระองค์เพิ่งมีพระชนมพรรษาไม่เท่าไหร่ พระองค์ควรทราบว่าธารน้ำไหลยาวไกล…”

“เสด็จอา!” ต้วนอวิ๋นจั้งตบโต๊ะ

ต้วนหล่งเยวี่ยก็ปิดปากเงียบ “ดูท่าฝ่าบาทจะทรงเติบใหญ่แล้ว อารมณ์ถึงได้โตขึ้นตามวัยด้วย ว่ามาๆ”

ต้วนอวิ๋นจั้งถอนหายใจ สำหรับเขาแล้วต้วนหล่งเยวี่ยเป็นทั้งบิดาทั้งสหาย แต่เป็นบิดาก็เหมือนบิดาที่ไม่มีความรับผิดชอบ เป็นสหายก็เหมือนสหายเช่นสุนัขสหายจิ้งจอก แต่ครั้นพบอุปสรรคใหญ่หลวง เขาเองก็นึกไม่ออกว่านอกจากต้วนหล่งเยวี่ยแล้วตนเองยังจะหันหน้าไปปรึกษาผู้ใดได้อีก

ทุกคนต่างพูดว่ายามที่เสด็จพ่อของเขาแสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์แล้วขึ้นครองบัลลังก์ท่ามกลางการช่วงชิงขององค์ชายองค์อื่นๆ ได้ ต้วนหล่งเยวี่ยเองก็มีส่วนออกแรงสนับสนุนอยู่มิใช่น้อย แต่ในยามนี้เขามองไม่ออกจริงๆ ว่าเรื่องเล่าที่มานั้นจะเป็นจริงได้เช่นไร

ต้วนอวิ๋นจั้งถอนลมหายใจหนักหน่วงออกมาอีกครั้ง “เสด็จอา ท่านรู้เรื่องเวยกั๋วกงขอให้เรามีราชโองการปลดราชครูเว่ยหรือไม่”

“เรื่องนี้ ตอนเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวงใหม่ๆ กระหม่อมก็พอได้ยินอยู่” ต้วนหล่งเยวี่ยเกาศีรษะ

“แล้วเสด็จอาคิดเห็นเช่นไร”

ต้วนหล่งเยวี่ยมองต้วนอวิ๋นจั้งกลับด้วยสายตาตะลึงงัน “กระหม่อมคิดเห็นเช่นไรมิใช่เรื่องสำคัญ แม้แต่ฝ่าบาททรงคิดเห็นเช่นไร…หากจะให้พูดกันอย่างไม่ไว้หน้าก็ไม่สำคัญเช่นกัน ในเมื่อเวยกั๋วกงขอให้มีพระราชโองการ นั่นก็เห็นชัดแล้วว่ามันต้องเป็นไปตามนั้น แม้แต่เรื่องขึ้นภาษีก็มิใช่เป็นเช่นนี้หรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ต้วนอวิ๋นจั้งรีบพูด “เสด็จอา เรารู้ดีว่าเรื่องนี้ยังไงก็ต้องทำ แต่เราอยากรู้ว่ายังมีทางแก้ไขอื่นอีกหรือไม่”

ต้วนหล่งเยวี่ยไม่ได้รีบตอบ หากแต่จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของต้วนอวิ๋นจั้งครู่หนึ่งก่อนพูด “ฝ่าบาท ราชครูเว่ยอายุมากแล้ว หนำซ้ำสมัยกระหม่อมยังเด็กก็เคยถูกบรรทัดกำราบ คำพูดเหลวไหลมากมายของเขาก็เล่นงานกระหม่อมมาไม่ใช่น้อย ยิ่งตอนนี้มันกลายเป็นโลหะไปแล้วก็คงยิ่งรับมือได้ยากมากขึ้นไปอีก ฝ่าบาท เช่นนั้นก็ปล่อยให้ราชครูเว่ยให้ออกจากราชการไปเถอะ ปูนบำเหน็จรางวัลให้เขาเพิ่มอีกสักหน่อย เพียงเท่านั้นก็น่าจะพอแล้ว”

“หากเราไม่ต้องการให้ราชครูเว่ยลาออกเล่า”

ต้วนหล่งเยวี่ยทำตาปะหลับปะเหลือก “ฝ่าบาท พระองค์ทรงเป็นองค์จักรพรรดิ พระองค์ว่าเช่นไรก็เช่นนั้นเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

ต้วนอวิ๋นจั้งโกรธจัด “เสด็จอา! เราเพียงต้องการให้ท่านพูดออกมาตามตรงเท่านั้น มันยากถึงเพียงนั้นเลยหรือ”

“…” ต้วนหล่งเยวี่ยนิ่งไม่พูดไม่จา

“เสด็จอา!”

“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าความรู้สึกที่พระองค์ทรงมีต่อราชครูเว่ยก็ใช่ว่าจะดีอะไรนัก”

ต้วนอวิ๋นจั้งตะลึงงัน หลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้น “แม้ทัศนคติของราชครูเว่ยกับเราจะไม่เหมือนกันสักเท่าใดนัก แต่เราก็ยังรู้สึกว่า ราชครูเว่ยเป็นอาจารย์ที่ดีคนหนึ่ง มิสมควรที่จะปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ แต่ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักกลับไม่มีผู้ใดลุกขึ้นยืนและพูดเพื่อราชครูเว่ยแม้แต่คำเดียว!”

“ฝ่าบาท พระองค์ก็มิได้ทรงยืนขึ้นมิใช่หรือ” ต้วนหล่งเยวี่ยพูดเตือนสติเขา

“เรา…”

“ฝ่าบาท พระองค์ทรงประสงค์จะให้ราชครูเว่ยยังอยู่ต่ออีกจริงหรือ”

“แน่นอนอยู่แล้ว!”

“ฝ่าบาท พระองค์ทรงลืมนึกถึงเรื่องเรื่องหนึ่งไป”

“เรื่องใด”

“อัครมเหสีที่พำนักอยู่ในตำหนักเซียงหลัวของพระองค์ นางเป็นบุตรีโดยสายเลือดของเวยกั๋วกง ให้นางไปเอ่ยปาก เช่นนี้มิเป็นการดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ต้วนอวิ๋นจั้งตกใจ แต่แล้วก็กลับกลายยินดี ทำไมเขาถึงนึกไม่ออกนะ “เสด็จอา ไม่เสียทีที่มาปรึกษาพระองค์จริงๆ!” ต้วนอวิ๋นจั้งตื่นเต้น ชักเท้ามุ่งหน้าไปตำหนักเซียงหลัวทันที

“ฝ่าบาท แต่ไม่ว่าเช่นไรกระหม่อมก็รู้สึกว่ายามนี้ไม่เหมาะที่จะทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับเวยกั๋วกง ทรงทำเช่นนี้มิฉลาดหลักแหลมเลยแม้แต่น้อย…” ต้วนหล่งเยวี่ยยังพูดไม่ทันจบ เงาร่างของต้วนอวิ๋นจั้งก็หายลับไปจากพระตำหนักเซวียนหลัวแล้ว

ต้วนหล่งเยวี่ยถอนหายใจออกมายาวๆ ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ* จริงๆ คนหนุ่มช่างดีแท้ จะว่าไป เขาหล่งเยวี่ยอ๋องเองก็ยังไม่ถึงสี่สิบ แต่เดือนก่อนกลับเริ่มมีรอยตีนกาขึ้นที่หางตาเสียแล้ว เช่นนี้ไหนเลยจะเรียกว่าดีได้!

หล่งเยวี่ยอ๋องคลี่พัดออก ตอนเดินกลับเข้าไปในเกี้ยว เขาสั่งคนหามเกี้ยวว่า “พาข้ากลับไปนอนที่จวนอ๋องให้เหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น” สำหรับเขาในยามนี้การได้กลับขึ้นไปนอนบนตั่งเตียงอีกครั้งต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

 

ต้วนอวิ๋นจั้งรีบตรงดิ่งมายังตำหนักเซียงหลัว รู้สึกว่าจินเฟิ่งคือแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวที่เขามองเห็นท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี

ขันทีรับใช้ฝ่ายในที่หน้าประตูร้องประกาศ “ฝ่าบาทเสด็จแล้ว!”

หลังจากนั้นเสียงตึงตังโครมครามในตำหนักเซียงหลัวก็ดังซ้ำไปซ้ำมา แทรกด้วยเสียงร้องตกใจของอัครมเหสี “รีบเก็บเมล็ดแตงเร็วเข้า! อา เหอเถา* ด้วย เหอเถาๆ!”

ต้วนอวิ๋นจั้งกลั้นสรวลย่างเท้าเดินเข้ามา “ระยะนี้ดูเหมือนอัครมเหสีจะสุขสบายมิใช่น้อย”

บนปากจินเฟิ่งยังมีเปลือกเมล็ดแตงครึ่งซีกติดอยู่ นางยิ้มเดินตรงเข้ามา “หม่อมฉันถวายพระพรฝ่าบาท”

“อัครมเหสี เรารู้สึกว่าวันนี้เจ้าดูมีเสน่ห์เย้ายวนมากเป็นพิเศษ” ไม่นึกว่าแม้แต่เปลือกเมล็ดแตงก็ยังทำคนใจสั่นไหวได้

พอได้ยินแบบนั้นจินเฟิ่งก็เก็บรอยยิ้มทันที นางถอยหลังกลับไปสองก้าว “ฝ่าบาท เมล็ดแตงหรือถั่วเปลือกแข็งใดๆ ในตำหนัก เมื่อวานหม่อมฉันก็ให้คนส่งไปพระตำหนักเซวียนหลัวแล้วถุงใหญ่ ที่เหลือหม่อมฉันก็กินหมดไปแล้วเช่นกัน”

ต้วนอวิ๋นจั้งแย้มพระสรวล “อัครมเหสี เรามาเพื่อเยี่ยมเยียนเจ้า มิได้มาขอแบ่งปันของกิน”

จินเฟิ่งมองดูเขาด้วยสายตาเย็นชา “ฝ่าบาททรงมีเรื่องสำคัญอันใดกระนั้นหรือเพคะ”

เยี่ยมนาง? คราวที่แล้วต้วนอวิ๋นจั้งตรัสเช่นนี้ ‘แน่นอนเรามาที่ตำหนักเซียงหลัวก็เพื่อกินเมล็ดแตง หรือเจ้าคิดว่าเราจะแวะเวียนมาที่นี่เพื่อดูสตรีอัปลักษณ์เช่นเจ้า’

ใจบุรุษล้วนยากแท้หยั่งถึง…

ต้วนอวิ๋นจั้งชี้นิ้วไปที่มุมปาก “อัครมเหสี เปลือกเมล็ดแตงยังติดอยู่บนปากเจ้า”

“…”

ซู่ฟางที่ยืนอยู่อีกด้านรีบเข้ามากำจัดหลักฐานที่เมื่อครู่จัดการไม่เรียบร้อยออก ทำให้อัครมเหสีรู้สึกเสียหน้าเป็นที่สุด

“อัครมเหสี วันนี้เรามาเพราะมีเรื่องต้องการจะปรึกษาเจ้า”

“เชิญฝ่าบาทรับสั่ง” จินเฟิ่งยิ้มประจบ

“เรื่องเวยกั๋วกงเชิญราชโองการปลดราชครูเว่ย เจ้ารู้หรือไม่”

จินเฟิ่งสีหน้าหม่นหมองลงทันที นางย่อมต้องรู้อยู่แล้ว เพียงแต่รู้แล้วเป็นเช่นไร

“อัครมเหสีเป็นศิษย์ที่ราชครูเว่ยภาคภูมิใจ ในเมื่อเวยกั๋วกงเป็นบิดาของอัครมเหสี ว่ากันตามเหตุผลเจ้าสมควรเป็นคนไปเกลี้ยกล่อมเวยกั๋วกงให้ล้มเลิกความคิดดังกล่าว”

จินเฟิ่งมองดูสีหน้าท่าทางของต้วนอวิ๋นจั้งประหนึ่งนกกระจอกนอกหน้าต่างลอกคราบกลายกลับเป็นพญาหงส์

“ฝ่าบาท ทรงตัดสินพระทัยให้หม่อมฉันไปเกลี้ยกล่อมเวยกั๋วกงให้ล้มเลิกความคิดที่จะปลดราชครูเว่ยหรือเพคะ” จินเฟิ่งพูดซ้ำอย่างระมัดระวัง

ต้วนอวิ๋นจั้งพยักหน้าเหมือนกับว่าตามหลักการแล้วมันก็สมควรจะเป็นเช่นนั้น

จินเฟิ่งรู้สึกคันเหงือก

คราวที่แล้วเขาให้นางไปเปลี่ยนความตั้งใจของพระพันปี มาคราวนี้กลับให้นางไปเปลี่ยนความคิดของผู้เป็นบิดา เขาคิดว่านางเป็นใครกัน เป็นหยางอวี้หวน* หรือเจ้าเฟยเยี่ยน** กระนั้นหรือ

“ทรงรู้สึกว่าหากหม่อมฉันไปเกลี้ยกล่อมแล้ว เวยกั๋วกงจะยินดีรับฟังหรือเพคะ”

ต้วนอวิ๋นจั้งกุมมือทั้งสองข้างของนางด้วยความจริงใจ “เราเชื่อว่าเจ้าต้องมีหนทาง”

“…”

จินเฟิ่งนึกอยากใช้เมล็ดแตงทุ่มใส่เขาให้ตายเสียจริงๆ

แต่สีหน้าท่าทางของนางสงบนิ่งเยือกเย็นมาแต่ไหนแต่ไร

ดังนั้นยามนี้นางจึงได้แต่ทำใจเย็นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวขึ้น “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ปรารถนาจะทำเช่นนั้นเพคะ”

ต้วนอวิ๋นจั้งนึกว่าตนเองฟังผิด

ก็เหมือนกับที่เขามิเชื่อว่าขุนนางบู๊บุ๋นทั่วทั้งราชสำนักจะไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าลุกขึ้นมาคัดค้านเวยกั๋วกงอย่างไรอย่างนั้น เขาเองก็ไม่เชื่อว่าอัครมเหสีเฮยพั่งจะมีวันกล้าปฏิเสธเขาต่อหน้าเช่นกัน

แน่นอน ไม่นับเรื่องวิ่งประตูเมืองครานั้น แม้แต่กระต่ายที่ร้อนรนยังกัดคนได้

องค์จักรพรรดิทรงตกตะลึง “เจ้าพูดใหม่อีกครั้งซิ”

“หม่อมฉันบอกว่า หม่อมฉันไม่ปรารถนาที่จะทำเช่นนั้นเพคะ” จินเฟิ่งพูดด้วยน้ำเสียงใสกระจ่าง จังหวะจะโคนชัดถ้อยชัดคำ

“เจ้าไม่ปรารถนาที่จะทำเช่นนั้น หรือเจ้าไม่กล้ากันแน่” ต้วนอวิ๋นจั้งหยัน

“เพราะไม่กล้า ถึงไม่ปรารถนา ฝ่าบาท นั่นคือคมดาบ พระองค์ประสงค์ให้หม่อมฉันหลับหูหลับตาเดินเข้าไปหามันหรือเพคะ”

“แต่เขาเป็นบิดาของเจ้า”

“ตลอดชีวิตของหม่อมฉัน หม่อมฉันได้พบหน้าเขาแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น” จินเฟิ่งถอนหายใจ “ความจริงการให้ราชครูเว่ยกลับบ้านเดิมไปก็นับเป็นเรื่องที่ดีอยู่มิใช่น้อย”

ต้วนอวิ๋นจั้งมองดูนางด้วยสายตาเจ็บปวด “แม้แต่เจ้าก็ยังพูดเช่นนี้หรือ อัครมเหสี เรารู้ว่าเวยกั๋วกงอาจไม่รับฟังเจ้า แต่ว่าอย่างน้อยเจ้าก็น่าจะลองดูสักครั้ง”

“ในเมื่อรู้ว่าไม่เกิดผล แล้วไยต้องลองด้วยล่ะเพคะ” ในสายตาของเวยกั๋วกงผู้เป็นบิดา อัครมเหสีหลิวเฮยพั่งก็แค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น

“เจ้าไม่ไปจริงหรือ” ต้วนอวิ๋นจั้งกัดฟัน

“ไม่เพคะ” จินเฟิ่งก้มศีรษะนอบน้อม แต่ปากกลับฝ่าฝืนรับสั่ง “ฝ่าบาท หากจะให้หม่อมฉันไปให้ได้ พระองค์ก็คงมีเพียงต้องใช้ฐานะองค์จักรพรรดิสั่งหม่อมฉันเท่านั้น”

ต้วนอวิ๋นจั้งไม่พูดไม่จา และไม่คิดใช้ฐานะองค์จักรพรรดิสั่งให้จินเฟิ่งไปทำเรื่องนี้ด้วย

เพราะหากทำเช่นนั้นมันยังจะมีความหมายอันใดได้อีก

“ที่แท้ใต้หล้านี้ก็มิใช่ของตระกูลต้วนของเรา หากเป็นใต้หล้าของตระกูลหลิวของเจ้า” ต้วนอวิ๋นจั้งจ้องมองจินเฟิ่งด้วยสายตาเย็นชา “ได้ เจ้าไม่ไป เช่นนั้นเราไปเอง”

“ฝ่าบาท…” จินเฟิ่งเสียงสั่น

ต้วนอวิ๋นจั้งไม่แม้แต่จะมองดูนาง เขาหันหลังเดินออกจากประตูตำหนักเซียงหลัวไป

จู่ๆ จินเฟิ่งก็รู้สึกบางอย่าง คล้ายกับว่าเขาออกจากประตูไปในคราวนี้จะไม่มีวันหวนกลับมาอีก

ความจริงแล้วที่ต้วนอวิ๋นจั้งพูดมาก็ไม่ผิด เพื่อราชครูเว่ย อย่างน้อยนางก็ควรไปลองดูสักครั้ง เพียงแต่นางไม่กล้า ต่อหน้าหลิวเซียนางก็แค่สตรีต่ำต้อยคำพูดจาไร้น้ำหนักนางหนึ่งเท่านั้น พูดเรื่องนี้ไป หลิวเซียคงได้แต่หัวเราะเย้ยหยันนาง

อัครมเหสีเช่นนาง ไม่ว่าจะในสายตาของหลิวเซียหรือในสายตาของพระพันปี ล้วนไม่มีค่าอันใดทั้งสิ้น คงมีเพียงต้วนอวิ๋นจั้งคนเดียวเท่านั้นที่พอจะเห็นค่านางอยู่บ้างเป็นครั้งคราว

จินเฟิ่งยืนอยู่กลางโถงตำหนักเป็นนาน

“อัครมเหสี?” ซู่ฟางเรียกนางด้วยความวิตกกังวล

จินเฟิ่งหันหน้ากลับมายิ้ม “เอาเมล็ดแตงออกมาได้แล้ว”

 

องค์จักรพรรดิเสด็จมาถึงจวนเวยกั๋วกง นับเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

หากเปลี่ยนเป็นบ้านของขุนนางอื่น รับรองได้ว่าพวกเขาคงต้องออกมารับเสด็จกันทั้งตระกูล มีหน้ามีตากันถ้วนทั่ว แต่จวนเวยกั๋วกงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ต้วนอวิ๋นจั้งนำเสี่ยวซุนจื่อมาถึงจวนเวยกั๋วกง แต่กลับไม่มีผู้ใดออกมาต้อนรับ

ตลอดเส้นทางมีเพียงบ่าวคนหนึ่งนำทางพาพวกเขามานั่งยังห้องโถง ยกน้ำชามาให้ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งพ่อบ้านก็เข้ามารายงาน “ฝ่าบาท นายท่านของพวกเรากำลังเดินหมากอยู่กับฮูหยินหกที่เรือนเฟิงฉาน ขอฝ่าบาทเสด็จตามกระหม่อมมา”

เสี่ยวซุนจื่อนึกโมโห แต่ไหนแต่ไรมีก็แต่ขุนนางเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ ไหนเลยจะมีองค์จักรพรรดิเสด็จไปพบขุนนางเช่นนี้

ต้วนอวิ๋นจั้งระงับความโกรธแค้นไว้ในใจ เขาขวางเสี่ยวซุนจื่อไว้ องค์จักรพรรดิเช่นเขา ช่างไร้ความสามารถยิ่งนัก

เขาแต่งตั้งอัครมเหสีตอนอายุสิบสอง จากโฉมสะคราญไป๋อวี้กลายกลับเป็นจินเฟิ่งอ้วนดำ นับแต่ตอนนั้นเขาก็เข้าใจว่าจักรพรรดิเช่นเขา หากคิดจะเติบใหญ่แข็งแกร่งยังไงก็จำเป็นต้องพึ่งพาเวยกั๋วกง

เสด็จแม่กับเสด็จอาล้วนสอนให้เขาอดทน แต่หากต้องอดทนเช่นนี้ไปทั้งชาติ เขาสมควรทำเช่นไร

ครั้นผ่านประตูเรือนเข้าไปเขาก็เห็นเวยกั๋วกงหลิวเซียนั่งอยู่ใต้เงาไผ่ กำลังดื่มชาและเดินหมากอยู่กับฮูหยินหกผู้สุภาพงดงาม กระดานหมากสลักอยู่บนหินไท่หูขนาดยักษ์ ใช้เส้นทองเสริมเข้าไป ส่งให้งดงามเฉิดฉาย หรูหราเป็นที่สุด

ฮูหยินหกปล่อยให้สาวใช้พยุงลุกขึ้น นางถวายพระพรต่อต้วนอวิ๋นจั้งช้าๆ แต่หลิวเซียโบกมือ “ร่างกายเจ้าไม่แข็งแรง ไม่จำเป็นต้องเคร่งประเพณีเช่นนั้น ในเมื่อฝ่าบาททรงเสด็จมาด้วยพระองค์เอง ก็ย่อมแสดงว่าพระองค์ไม่สนพระทัยต่อจารีตใดๆ”

เปลือกตาของหลิวเซียไม่แม้แต่จะกะพริบ

จากนั้นฮูหยินหกก็ถอยออกไปเงียบๆ

หลิวเซียจัดการเก็บเม็ดหมากบนกระดาน ยิ้มให้กับต้วนอวิ๋นจั้งแล้วพูด “ฝ่าบาท ทรงสนพระทัยจะเดินหมากล้อมกับกระหม่อมสักตาหรือไม่”

ต้วนอวิ๋นจั้งกุมหมัดที่ซุกซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ ก่อนจะคลายออกช้าๆ “เรือนพำนักของเวยกั๋วกงแห่งนี้งดงามแปลกตายิ่งนัก ได้ เราจะเดินหมากกับเวยกั๋วกงสักครา!” เขาสะบัดอาภรณ์ยาวคราหนึ่ง ก่อนจะนั่งลงตรงหน้าหลิวเซีย

หลิวเซียยิ้มน้อยๆ จักรพรรดิน้อยองค์นี้ ขนาดถูกตนเองกดหัวไว้เช่นนี้แล้ว ไม่เพียงแต่จะตอบโต้เขาอย่างสงบนิ่งได้ กลับยังกล้าวางท่าเป็นองค์จักรพรรดิได้อยู่

ไม่ง่ายเลยจริงๆ

“เวยกั๋วกง เราสีดำ ท่านสีขาว ท่านคิดเห็นเช่นไร” ต้วนอวิ๋นจั้งหยิบเม็ดหมากสีดำขึ้นมาเม็ดหนึ่ง หลังจากนั้นก็เตรียมวางมันลงบนกระดาน ไม่รอให้หลิวเซียทันได้ตอบ

เสียงพรึบดัง พัดในมือของหลิวเซียคลี่ออก แล้ววางรองอยู่ใต้มือที่กำลังจะวางหมากของต้วนอวิ๋นจั้ง “ฝ่าบาท ไฉนพระองค์เลือกดำ ให้กระหม่อมเลือกขาวเล่า”

“เราคือโอรสสวรรค์ ย่อมต้องมีสิทธิเดินก่อน” ต้วนอวิ๋นจั้งยิ้มตอบ

หลิวเซียไม่ได้รีบร้อนตอบกลับ เขานิ่งพิจารณาดูต้วนอวิ๋นจั้งอยู่เป็นนาน

ฝ่ามือของต้วนอวิ๋นจั้งก็เริ่มมีเหงื่อไหลซึม

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ หลิวเซียก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เขาเก็บพัดกระดาษ “ฝ่าบาท กระหม่อมรู้ ที่ทรงเสด็จมาวันนี้ก็ด้วยเพราะทรงมีเรื่องต้องการขอคำชี้แนะ”

“เวยกั๋วกงมีญาณหยั่งรู้ดั่งเทพเซียนโดยแท้” ต้วนอวิ๋นจั้งหลุบตา

“ฝ่าบาท หากแม้หมากตานี้ทรงเอาชนะกระหม่อมได้ กระหม่อมยินดีตกลงรับปากเรื่องในพระหทัยทุกเรื่อง ไม่ทราบว่าทรงคิดเห็นเช่นไร”

ต้วนอวิ๋นจั้งแม้นึกยินดี แต่ก็ยังวางท่าสงบนิ่ง ในใจครุ่นคิดไปมา สุดท้ายเขาก็อดถามออกมามิได้ “ท่านพูดจริง?”

หลิวเซียพับพัดเก็บช้าๆ “กระหม่อมพูดจริง” เขาช้อนตาขึ้นมองอย่างไม่สนใจไยดี “เชิญฝ่าบาทวางหมาก”

ต้วนอวิ๋นจั้งสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็ค่อยๆ บรรจงวางหมากตัวแรกที่มุมล่างด้านขวา การเดินหมากก่อนในครั้งนี้มิใช่ได้มาเพราะเขาใช้ฐานะของโอรสสวรรค์กดหลิวเซียไว้ หากแต่ได้มาเพราะหลิวเซียยอมให้เขาต่างหาก

หลิวเซียหรี่ตา ท่าทางคล้ายสนใจอยู่กับหมากบนกระดาน แต่ความจริงแล้วกลับคอยสำรวจดูจักรพรรดิพระองค์น้อยที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า

ระหว่างท่าทางกับคำพูดคำจาขององค์จักรพรรดิน้อย มีความสุขุมลุ่มลึกแฝงอยู่ หากว่ากันด้วยอายุของเขาแล้ว นับว่าหาได้ยากยิ่งนัก แต่หากพูดถึงท่วงทีขององค์จักรพรรดิแล้ว พระองค์ยังมีไม่มากพอ

ต้วนอวิ๋นจั้ง เจ้ายังคงอ่อนหัดเกินไป

ครั้นคิดเช่นนี้ มุมปากของหลิวเซียก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นน้อยๆ

พยัคฆ์ร้ายดุดันเกินไป แมวน้อยอ่อนแอเกินการ ให้เล่นกับลูกเสือแรกเกิดยังน่าสนใจกว่ามากนัก เวยกั๋วกงนึกสนุก อยากลองเล่นกับจักรพรรดิน้อยดูสักคราว

หมากเดินไปได้กว่าครึ่งกระดาน ฮูหยินหกก็เข้ามาเปลี่ยนชาหลายต่อหลายครั้ง ต้วนอวิ๋นจั้งก็เริ่มสนุกกับการเดินหมาก

ในวังหลวง พระพันปีกับสวีไท่เฟยไม่เดินหมากกับเขา ต้วนหล่งเยวี่ยเองก็ไม่มีเวลาร่วมเดินหมากด้วย ต้วนอวิ๋นจ้งหรือก็ไม่มีความอดทน นั่งไม่ติดที่ ส่วนจินเฟิ่งก็ได้แต่เดินมั่วซั่ว ปกติเวลาเขาคันไม้คันมือก็ได้แต่เดินหมากเล่นอยู่กับพวกขันทีน้อย แต่น่าเสียดายที่ฝีมือของพวกขันทีอ่อนด้อยเกินไป ทำให้เดินหมากด้วยไม่สนุก

แต่การเดินหมากกับหลิวเซีย ทำให้เขาพบว่าความคิดอ่านของอีกฝ่ายลึกซึ้งยากจะคาดเดา แต่จากทุกตาหมากทุกการเคลื่อนไหว เขารู้สึกว่าฝีมือเดินหมากของหลิวเซียกับตัวเองนั้นต่างกันไม่มาก

ต้วนอวิ๋นจั้งถูกยั่วเย้าจนรู้สึกตื่นเต้น ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกาย หมากแต่ละก้าวทั้งตั้งรับทั้งรุกไล่ด้วยความมั่นอกมั่นใจ จนในที่สุดก็เริ่มเป็นฝ่ายได้เปรียบ ส่วนหลิวเซีย แม้จะอยู่ในสถานะเสียเปรียบ แต่กลับยังคงรักษาความเยือกเย็นไว้เหมือนเดิม ไม่เร็วไม่ช้าเกินไป

“เวยกั๋วกง ท่านเสียหมากอีกสามเม็ดแล้ว” ต้วนอวิ๋นจั้งยิ้ม รู้สึกว่าคราวนี้โอกาสที่เขาจะช่วยราชครูเว่ยให้อยู่ในตำแหน่งต่อไปได้นั้นมีมากถึงเก้าในสิบส่วน

หลิวเซียไม่แม้แต่จะขยับเปลือกตา “ฝ่าบาท รูปแบบหมากของพระองค์แข็งแกร่งยิ่งนัก เพียงแต่เหมือนจะยังขาดทางหนีทีไล่อยู่”

ต้วนอวิ๋นจั้งพูด “เวยกั๋วกง การเดินหมากยังไงก็สมควรตั้งมั่นรุกไล่ มั่นใจถึงจะนับว่ายอดเยี่ยม”

หลิวเซียเลิกคิ้ว

“เวยกั๋วกง ในเมื่อท่านมีญาณหยั่งรู้ดั่งเทพเซียน เช่นนั้นก็น่าจะทายได้ว่าที่เรามาในวันนี้เพื่อสิ่งใด”

“ฝ่าบาท เรื่องนี้รอให้เดินหมากจบก่อนแล้วค่อยรับสั่งก็ยังไม่สาย”

“เวยกั๋วกง เรารู้ว่าท่านรู้ดีแก่ใจอยู่แต่แรกแล้ว”

หลิวเซียมองดูเขาเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจดึงเอาหมากที่กำลังจะวางลงบนกระดานกลับ “ฝ่าบาทควรรับรู้ไว้ วันนี้เว่ยเซียงโจวได้เขียนหนังสือขอลาออกจากราชการกลับบ้านเกิดแล้ว”

“อะไรนะ?!” ต้วนอวิ๋นจั้งตกใจ หมากสีดำในมือร่วงหล่นลงพื้น

“ใต้เท้าเว่ยปีนี้อายุหกสิบแปดแล้ว เฒ่าชราร่างกายอ่อนแอ การขอให้เขาอยู่รับใช้บ้านเมืองต่อไป ออกจะไม่ยุติธรรมต่อเขานัก กระหม่อมเลยตัดสินใจโดยพลการ ลงนามเห็นชอบในหนังสือลาออกของใต้เท้าเว่ย ยามนี้ใต้เท้าเว่ยและครอบครัวคงจัดเก็บข้าวของ เตรียมออกเดินทางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

“ท่าน…ท่านพูดอะไร” ต้วนอวิ๋นจั้งเบิกตามองอีกฝ่าย

หรือ…นี่คือทางหนีทีไล่ที่เขาพูดถึง

“เวยกั๋วกง เมื่อครู่ท่านรับปากเรา หากชนะท่านจะทำตามที่เราต้องการทุกอย่าง หรือว่าท่านคิดกลับคำ”

หลิวเซียพูดเนิบๆ “กระหม่อมเคยรับปาก แต่ใต้เท้าเว่ยเซียงโจวขอลาออกจากราชการเอง กระหม่อมไหนเลยจะขัดขวางเขาได้”

ต้วนอวิ๋นจั้งนิ่งอึ้ง หาเหตุผลโต้แย้งหลิวเซียไม่ออก

“ส่วนเรื่องหมากกระดานนี้…” หลิวเซียจ้องมองใบหน้าของต้วนอวิ๋นจั้งครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าวางหมากขาวลงบนกระดาน

“หมากยังเดินไม่จบ ผู้ใดแพ้ผู้ใดชนะ ยังมิอาจสรุปได้แน่ชัด”

ต้วนอวิ๋นจั้งมองตามมือของอีกฝ่ายไป ก่อนจะพบว่าหมากทางด้านหลังที่วางเอาไว้อย่างรัดกุมนั้น จู่ๆ ก็ถูกหมากสีขาวเม็ดหนึ่งทำปั่นป่วนไปหมด หมากดำสิบกว่าเม็ดที่อยู่ทางด้านหลังถูกปิดตายสิ้น

สถานการณ์ทั้งหมดถูกกำหนดเรียบร้อยแล้ว นี่…ก็คงเป็นทางหนีทีไล่เช่นกัน

ต้วนอวิ๋นจั้งซึมกะทือมองดูกระดานหมาก พยายามอ่านเส้นสนกลในที่หลิวเซียเล่นเล่ห์เพทุบายไว้

หลิวเซียหัวเราะเสียงดัง เคาะกระดานหมากเบาๆ “ฝ่าบาท หมากกระดานนี้จบแล้ว”

ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวพยัคฆ์มีอันใดน่าใส่ใจ ลูกเสือที่คิดว่าตัวเองฉลาดหลักแหลมต่างหากถึงน่าสนุก

ไม่ว่าเช่นไรต้วนอวิ๋นจั้งก็นึกไม่ถึงว่าตนเองจะพ่ายแพ้ยับเยินเช่นนี้ ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 26

Comments

comments

Jamsai Editor: