X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักมเหสีป่วนรัก

ทดลองอ่านนิยาย มเหสีป่วนรัก เล่ม 1 บทที่ 5 – บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 26

บทที่ 5

 

ราชครูเว่ยไปแล้ว เขาทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งให้องค์จักรพรรดิ แต่พระองค์กลับทรงโยนมันทิ้ง ไม่แม้แต่จะเปิดอ่าน

ได้ยินเช่นนั้นจินเฟิ่งก็ให้ซู่ฟางไปติดต่อเสี่ยวซุนจื่อขันทีรับใช้ข้างกายองค์จักรพรรดิ บอกให้เขาส่งจดหมายฉบับนั้นออกมาทางซอกกำแพงพระตำหนักเซวียนหลัว แต่จินเฟิ่งก็ไม่ได้เปิดอ่าน นางเพียงคิดอยากเก็บมันไว้

องค์จักรพรรดิทรงขังพระองค์เองอยู่ในห้องบรรทมสามวันสามคืน ไม่ออกว่าราชกิจ ไม่อ่านหนังสือกราบทูล ไม่แม้แต่จะไปถวายพระพรพระพันปี จากที่เสี่ยวซุนจื่อเล่า ตลอดช่วงสามวันสามคืนนั้นองค์จักรพรรดิทรงเอาแต่ครุ่นคิดกลหมากกระดานหนึ่ง ไม่เสวยไม่บรรทม

จนถึงวันที่สี่ พระพันปีก็ทรงมีพระบัญชาเรียกหาพระชายา พระสนม องค์หญิง ท่านอ๋อง เชื้อพระวงศ์ในวังหลวงทั้งหมด พร้อมสั่งให้ไปคุกเข่าอยู่ที่หน้าประตูพระตำหนักเซวียนหลัว

“ฝ่าบาท พระองค์ทรงประสงค์เช่นไรเราล้วนยินดีทำตาม แต่จะทรงทำร้ายพระองค์เองเช่นนี้มิได้! ฝ่าบาท…หรือฝ่าบาทคิดอยากให้เรามิอาจมีชีวิตอย่างสงบ!” น้ำตาของพระพันปีอาบพระภูษาจนเปียกชื้น

“พระราชนัดดา ชีวิตคนเราไม่มีอุปสรรคใดที่ไม่อาจข้ามผ่าน” ต้วนหล่งเยวี่ยเตือนด้วยความหวังดี

“ฝ่าบาท ขนาดหม่อมฉันที่มิใช่เสด็จแม่แท้ๆ ของพระองค์ก็ยังทนดูมิได้ แม้มิคิดถึงพระองค์เองก็น่าจะคิดถึงปวงพสกนิกร คิดถึงพระมารดาของพระองค์บ้าง!” สวีไท่เฟยทุบอกกระทืบเท้า

“ฝ่าบาท…เอ่อ เมล็ดแตงคั่วห้าเครื่องเทศเพิ่งออกจากเตาหมาดๆ พระองค์ประสงค์จะลองชิมดูหรือไม่เพคะ” อัครมเหสีฝืนเสนอหน้าพูดออกมาประโยคหนึ่ง

ทุกคนต่างหันมองดูนางราวกับกำลังมองดูคนสติสัมปชัญญะไม่บริบูรณ์อย่างไรอย่างนั้น

ทันใดนั้นประตูพระตำหนักเซวียนหลัวก็เปิดออก

ต้วนอวิ๋นจั้งยืนอยู่ที่หน้าประตู สีหน้าเย็นชา

“เสด็จแม่ กระหม่อมทำให้ต้องทรงวิตกกังวลเช่นนี้ กระหม่อมผิดไปแล้ว” เขาคุกเข่าลงต่อหน้าพระพันปี

“เสด็จอา พระองค์ทรงสั่งสอนได้ถูกต้องยิ่ง” เขาค้อมคำนับต้วนหล่งเยวี่ย

“สวีไท่เฟย ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วง”

หลังจากนั้นเขาก็มายืนตรงหน้าจินเฟิ่ง “ไสหัวของเจ้าไป”

เพราะคำว่า ‘ไสหัวของเจ้าไป’ ทุกคนในวังหลวงจึงต่างพากันเผยสีหน้าเหยียดหยันดูแคลนใส่อัครมเหสี

จินเฟิ่งกอดถุงเมล็ดแตง เดินหนีจากไป

ต้วนหล่งเยวี่ยใช้มือเท้าคางพูด “ฝ่าบาท หมากกระดานนั้นทรงคิดออกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ยัง”

ต้วนหล่งเยวี่ยยิ้ม “ค่อยๆ คิดเถอะพ่ะย่ะค่ะ เมื่อใดที่ทรงนึกออก เมื่อนั้นพระองค์ก็จะทรงเติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว”

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา องค์จักรพรรดิที่โตเกินวัยอยู่แต่เดิมก็ยิ่งทรงเงียบขรึมมากขึ้นกว่าเก่า รอยยิ้มลดน้อยลงทุกที ทรงหันไปตั้งอกตั้งใจศึกษาหลักการเมืองการปกครองและการขี่ม้ายิงธนู

ยามพระชนมพรรษาได้สิบห้าชันษา ในใจของพระองค์ก็จุเขาไท่ซานไว้ได้ทั้งลูกแล้ว

จินเฟิ่งก็ซ่อนตัวอยู่ในพระตำหนักเซียงหลัว นางขบเมล็ดแตงพลางคิดเจ็บแค้นโศกเศร้าเสียใจ โฉมสะคราญยังมิเฒ่าชรา เมตตากลับหมดสิ้นเสียก่อน สัมพันธ์สะบั้นดั่งฝันกลางฤดูใบไม้ผลิ พระเมตตาในองค์จักรพรรดิกลายกลับเพียงช่วงเวลาสั้นๆ คนผู้นั้นมิใช่คนดีจริงๆ ด้วย

 

ความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดิกับอัครมเหสีก็เย็นชาลงด้วยประการฉะนี้ องค์จักรพรรดิที่เดิมชอบหาเวลามาขบเคี้ยวเมล็ดแตง แกะถั่วเปลือกแข็งอยู่ที่ตำหนักเซียงหลัว พร้อมถือโอกาสลับฟันกับอัครมเหสี ในยามนี้ขนาดเดินสวนกันที่ริมสระไท่เยี่ย แค่คำทักทายเพียงไม่กี่คำก็ยังไม่มีให้กัน

เทศกาลปีใหม่ผ่านพ้น ฤดูใบไม้ผลิเริ่มต้น ต้นหยางผลิดอก ใบหลิวอาบน้ำค้าง ทุกสรรพสิ่งกลับกลายแปรผันไปอย่างเงียบเชียบ

เรื่องใหญ่เรื่องแรกคือองค์ชายรองต้วนอวิ๋นจ้งทรงเจริญพระชนมพรรษาครบสิบห้าชันษา สมควรแก่เวลาแต่งตั้งเป็นอ๋องแล้ว และเมื่อได้ขึ้นเป็นอ๋อง นั่นก็หมายความว่าต้องทรงย้ายพระราชฐานออกจากวังหลวง

พ้นช่วงจิงเจ๋อ* ก็คือช่วงชิงหมิง** หลังกราบไหว้อดีตองค์จักรพรรดิ จักรพรรดิองค์ปัจจุบันก็ทรงมีราชโองการแต่งตั้งองค์ชายรองต้วนอวิ๋นจ้งเป็นหลีว์อ๋อง พร้อมพระราชทานจวนหลีว์อ๋องให้พร้อมขันทีรับใช้สิบคน นางกำนัลอีกสิบคน และให้ออกจากวังหลวงนับแต่วันนี้เป็นต้นไป ส่วนพระปิตุลาต้วนหล่งเยวี่ยก็เก็บข้าวของสัมภาระ เดินทางกลับไปยังดินแดนในบรรดาศักดิ์ของตนเอง

พวกนางกำนัลที่เข้าวังมาเมื่อสิบปีก่อน ตอนนี้ก็ได้เวลาส่งตัวออกจากวังพอดีเช่นกัน ดังนั้นทางราชสำนักจึงได้มีการคัดเลือกนางกำนัลใหม่ พระพันปีพร้อมกับสวีไท่เฟยและจินเฟิ่ง ต่างยุ่งหัวหมุนกันตลอดทั้งวัน

ยามนี้องค์จักรพรรดิก็ได้กลายเป็นผู้โดดเดี่ยวไปจริงๆ แล้ว

บางครั้ง จินเฟิ่งเดินผ่านพระตำหนักเซวียนหลัวอยู่ไกลๆ ครั้นมองเห็นเฉาเฟิง*** สีทองประดับอยู่บนชายคามุมหนึ่งของพระตำหนัก นางก็อดนึกประหลาดใจมิได้ว่าองค์จักรพรรดิที่แท้แล้วก็น่าสงสารไม่ต่างอะไรกับเฉาเฟิงที่ยึดอาณาเขตอยู่เหนือมุมชายคานั้น

หรือหนุ่มสาวทุกคนล้วนต้องเผชิญวันเวลาอันเดียวดายเช่นนี้

จินเฟิ่งไม่มีเวลาขบคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ เพราะพระพันปีเริ่มเรียกใช้นางราวกับนางกลายเป็นนางกำนัลไปแล้วครึ่งตัว

“อัครมเหสี เบี้ยหวัดของทางตำหนักในเดือนนี้ล่วงเลยมาสองวันแล้ว ไฉนถึงยังไม่นำจ่าย

อัครมเหสี นางกำนัลสองคนที่จัดให้สวีไท่เฟยทำไมยังมาไม่ถึงอีก

อัครมเหสี ตอนหลีว์อ๋องเข้าวังเขาทำหยกประดับหล่นไว้ในวังหลวง รีบไปหามาให้พบ

อัครมเหสี ปิ่นทองที่เราใช้เมื่อวาน เจ้าจำได้หรือไม่ว่าเราเอาไปวางไว้ที่ไหน”

จินเฟิ่งอยากร้องไห้แต่ก็ไร้น้ำตา นางรู้สึกว่าระยะนี้ตนเองผ่ายผอมลงไปมิใช่น้อย วันทั้งวันเอาแต่เดินวนเวียนตามหลังพระพันปี ไม่มีแม้แต่เวลาจะขบเมล็ดแตง

ตอนนางกำนัลเข้ามารายงานว่าฮูหยินเวยกั๋วกงขอเข้าเฝ้า จินเฟิ่งกำลังค้นหาปิ่นทองอยู่ตามห้องหับต่างๆ ในตำหนักของพระพันปีอยู่

ยามนี้จินเฟิ่งถึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าฮูหยินใหญ่หลิวมิได้เข้าวังมาสองเดือนแล้ว ครั้นนับวันดู จินเฟิ่งก็พบว่าสองสามวันนี้เป็นเวลาที่อีกฝ่ายจะโผล่หน้ามาจริงๆ ทั้งหมดเพราะช่วงนี้ยุ่งวุ่นวายจนหัวปั่นแท้ๆ นางถึงได้ลืมไปจนหมดสิ้น

จินเฟิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แม้นางจะรู้สึกว่าพระพันปีสำคัญกว่าฮูหยินใหญ่หลิว แต่ปิ่นทองของพระพันปีกลับเป็นเรื่องเล็ก การมาเยี่ยมเยือนของฮูหยินใหญ่หลิวต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นนางจึงสั่งให้พวกนางกำนัลหาปิ่นทองของพระพันปีในวังต่อ ส่วนตัวเองก็พาซู่ฟางกลับตำหนักเซียงหลัว

ครั้นพบหน้ากัน ฮูหยินใหญ่หลิวก็กุมมือจินเฟิ่งไว้ น้ำตาอุ่นร้อนเอ่อท้น “อัครมเหสี มิได้พบหน้ากันสองเดือน ทำไมพระองค์ถึงทรงผ่ายผอมลงเช่นนี้”

จินเฟิ่งคลำใบหน้าตัวเอง ครั้นสัมผัสได้ถึงโครงกระดูก นางก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ท่านแม่”

แต่ไหนแต่ไรฮูหยินใหญ่หลิวปฏิบัติต่อนางด้วยความสนิทสนม เป็นสตรีตัวอย่างในใจนางมาโดยตลอด

ฮูหยินใหญ่หลิวพูดน้ำเสียงวิตกกังวล “หลายวันมานี้ในวังเกิดเรื่องขึ้นมากมาย พวกเราคนนอกต่างล้วนได้ยิน ข้ารู้ เจ้าคงลำบากมิใช่น้อย”

จินเฟิ่งพูด “เทียบกับท่านแม่แล้ว ข้ายังนับว่าสบายกว่ามาก”

ฮูหยินใหญ่หลิวยิ้มพูด “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร เจ้าคุมตำหนักใน ส่วนข้าดูแลก็แค่ครอบครัวครอบครัวหนึ่งเท่านั้น เจ้าไหนเลยจะสบายกว่าข้าได้”

จินเฟิ่งคิดอยู่ในใจ ข้าไหนเลยได้คุมตำหนักใน เห็นอยู่ชัดๆ ว่าตำหนักในต่างหากเป็นฝ่ายคุมข้า…

“ความยากลำบากของพี่หญิงเป็นที่ประจักษ์ชัดต่อสายตาของผู้คน วาสนาของพี่หญิง แม้พวกเรานึกอิจฉาก็ยังไม่อาจตามทัน” จู่ๆ น้ำเสียงไพเราะของใครบางคนก็เอื้อนเอ่ยประโยคดังกล่าวออกมา

จินเฟิ่งนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ นางพูด “คงเป็นนกพูดภาษาคนได้ที่ซู่ฟางเอามาเลี้ยงไว้ในตำหนักกระมัง”

ฮูหยินใหญ่หลิวปิดปาก “นกอะไรกัน นั่นเสียงของไป๋อวี้ที่ตามข้าเข้ามาเยี่ยมเยียนเจ้าต่างหาก”

ยังไม่ทันพูดจบ ดรุณีรูปร่างงดงามนางหนึ่งก็โผล่ออกมาจากทางด้านหลังของฮูหยินใหญ่หลิว นางแสดงคารวะต่อจินเฟิ่งด้วยท่วงท่าเชื่องช้างดงาม แววตาวับวาวเป็นประกายประหนึ่งกระแสธารไหลริน

นี่คือหลิวไป๋อวี้กระนั้นหรือ

แน่นอน คำพูดที่ว่าเมื่อสตรีเติบใหญ่แปรเปลี่ยนร้อยพัน ร่างกายอันงดงามของโฉมสะคราญอย่างหลิวไป๋อวี้ย่อมเป็นเครื่องยืนยันถึงคำพูดดังกล่าวได้เป็นอย่างดี หากแต่นำมาใช้กับนาง จากเฮยพั่งตัวน้อยกลายเป็นเฮยพั่งตัวใหญ่ ทุกคนคงได้แต่หัวเราะแล้วบอกว่าไม่เห็นจะมีการเปลี่ยนแปลงอันใด

ตอนเฮยพั่งพบเจอหลิวไป๋อวี้เป็นครั้งแรก นางรู้สึกเหมือนกับว่ายามอีกฝ่ายแย้มยิ้ม ดอกเหมยทั่วทั้งภูเขาต่างพากันบานสะพรั่ง ยามนี้ครั้นได้เห็นอีกครั้ง นางกลับรู้สึกว่าตัวเองก็กลายเป็นดอกเหมยไปด้วยเช่นกัน เต็มเปี่ยมด้วยความอภิรมย์จนทำอะไรไม่ถูก

“พี่ไป๋อวี้มาได้เช่นไร แล้วทำไมถึงเรียกเราว่าพี่หญิงด้วย เรื่องเช่นนี้ผู้น้องไหนเลยจะกล้ารับ”

หลิวไป๋อวี้เดินมาข้างหน้าแล้วดึงมือจินเฟิ่งไว้ ใบหน้าเล็กๆ งดงามหมดจดยับย่นขึ้นทันใด “พี่หญิงบุญหนักศักดิ์ใหญ่ คงมีเรื่องราวมากมายที่ลืมเลือนไป ข้าเกิดวันที่สิบเอ็ดเดือนสิบสองปีเหรินเฉิน ส่วนพี่หญิงเกิดวันที่เก้าเดือนสิบสอง ห่างกันสองวันพอดี”

“…” พบเจอเข้ากับทักษะโกหกหน้าตายของหลิวไป๋อวี้เช่นนี้ จินเฟิ่งก็พูดอะไรไม่ออก แต่ครั้นเห็นใบหน้างดงามดั่งหยกแฝงไว้ซึ่งทีท่าไม่พอใจเช่นนั้น นางก็ไม่อาจทำใจเอ่ยปากแก้ไข

โฉมสะคราญล่มเมือง คำพูดนี้นับว่ามีมูลอยู่

“พี่หญิงก็ดี น้องหญิงก็ช่าง เอาเป็นว่าไป๋อวี้นับวันก็ยิ่งงดงามขึ้นทุกที เมื่อครู่เราเห็นยังคิดว่าเทพธิดาองค์ใดเสด็จมายังโลกมนุษย์เสียอีก” จินเฟิ่งเอ่ยปากยกย่องอีกฝ่ายรวดเร็ว

“ไหนเลยจะเทียบเทียมพี่หญิงได้ หลายปีไม่พบหน้ากัน บุคลิกลักษณะของท่านยามนี้มิต่างอะไรกับอัครมเหสีผู้ทรงคุณธรรมเลยแม้แต่น้อย”

ฮูหยินใหญ่หลิวพูดอยู่อีกด้าน “ข้าไม่รู้เลยสักนิดว่าพวกเจ้าพี่น้องจะรักใคร่กันเช่นนี้ หลายเดือนมานี้ไป๋อวี้เฝ้าขอให้ข้าพานางเข้าวังมาเยี่ยมเยียนเจ้าด้วย เพราะทนต่อคำรบเร้าของนางไม่ไหว ข้าถึงพานางเข้าวังมาพร้อมกัน”

จินเฟิ่งจ้องเข้าไปในดวงตาของหลิวไป๋อวี้ด้วยสายสัมพันธ์ลึกซึ้งแห่งพี่น้อง หลิวไป๋อวี้ก็มองกลับมาด้วยสายตาเฉกเดียวกัน

สายตาของพวกนางทั้งสองเต็มไปด้วยความจริงใจ ไม่มีช่องว่างให้ผู้ใดทำลายได้

จินเฟิ่งจูงคนทั้งสองไปนั่ง นำน้ำชาของว่างกับเมล็ดแตงออกมาต้อนรับ ก่อนจะเริ่มสนทนาเรื่องจิปาถะกัน

“พี่หญิง ทุกวันท่านพักผ่อนหาความสำราญเช่นไร” หลิวไป๋อวี้ถาม

“เอ่อ…” จินเฟิ่งคิด นางมีก็เพียงถูกพระพันปีกับสวีไท่เฟยเรียกใช้เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ ตนเองไหนเลยจะมีเวลาหาความสำราญอันใดได้ “ขบเมล็ดแตง ปลูกต้นไม้ต้นหญ้าพวกนี้พอจะนับได้หรือไม่”

หลิวไป๋อวี้มีสีหน้าประหลาดใจ “เช่นนั้น…ปกติพี่หญิงอ่านหนังสืออันใด ดีดพิณอะไรบ้างหรือไม่”

“….หยิบจับหนังสือจากหอเหวินเซวียนเล่มไหนได้ข้าก็อ่านหนังสือเล่มนั้น มิได้ใส่ใจอะไรมากมายนัก ส่วนเรื่องดีดพิณ…ปีก่อนฝ่าบาทรับสั่งให้คนเอาพิณเข้ามาคันหนึ่ง แต่มีเพียงฝ่าบาทเท่านั้นที่ทรงแวะมาดีดเล่นอยู่เป็นครั้งคราว ส่วนตัวเราเองนั้นไม่เคยเล่น”

หลิวไป๋อวี้กระแอมออกมาคราหนึ่ง “ได้ยินว่าฝ่าบาทเสด็จมาเยี่ยมเยียนพี่หญิงบ่อยครั้ง แล้ววันนี้ไฉนถึงไม่เห็นพระองค์เล่า”

“…” จินเฟิ่งร้องอ๋อออกมายาวๆ คราหนึ่งในใจ ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าไป๋อวี้ผู้ปราดเปรื่องคิดถามถึงสิ่งใด เฮ้อ ต่อให้คิดอยากจะดึงดูดความสนใจของต้วนอวิ๋นจั้ง นางก็ไม่เห็นจำเป็นต้องฝืนเปลี่ยนน้องสาวเช่นตนให้กลายเป็นพี่สาวเลยสักนิด

หรือว่าหลิวไป๋อวี้รู้สึกว่าการเรียกนางว่าพี่หญิงจะช่วยให้สามารถเข้าวังมาเป็นน้องสาวผู้ต่ำต้อยได้

ด้านจิตใจแล้วสตรีฉลาดเฉลียวอย่างหลิวไป๋อวี้น่าจะเหนือชั้นกว่านางหลิวเฮยพั่งอยู่ขั้นหนึ่ง ดังนั้นความคิดอ่านของหลิวไป๋อวี้เป็นเช่นไร นางจึงทายไม่ถูก และไม่คิดอยากจะทายด้วย

“เดี๋ยวนี้ฝ่าบาททรงเสด็จมาตำหนักเซียงหลัวน้อยครั้ง หากน้องไป๋อวี้ต้องการเข้าพบฝ่าบาท คงมิใช่เรื่องง่าย” จินเฟิ่งจิบชาพลางพูดออกมาช้าๆ

“เอ่อ” หลิวไป๋อวี้ก้มหน้า หว่างคิ้วระคนซึ่งความรู้สึกปีติยินดีกับความรู้สึกกลัดกลุ้ม ดูงดงามจับตามิใช่น้อย จินเฟิ่งมองดูนาง รู้สึกว่ารูปร่างหน้าตาของสตรีเช่นนางนั้นชวนมองยิ่งนัก แต่ครั้นดูนานๆ เข้ากลับรู้สึกแปลกๆ

“น้องไป๋อวี้เคยพบฝ่าบาทด้วยหรือ”

หลิวไป๋อวี้ค้อมศีรษะลงเล็กน้อย “ครั้งก่อนที่จวนเวยกั๋วกง เคยเห็นฝ่าบาทแต่ไกลๆ หนหนึ่ง”

สีหน้าของไป๋อวี้ผู้ปราดเปรื่องแลดูคลุมเครือ

จู่ๆ จินเฟิ่งก็ตระหนักได้ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ต้วนอวิ๋นจั้งผู้นี้ร้ายกาจแท้ ถึงกับสามารถทำให้เสี่ยวไป๋อวี้ตกหลุมรักได้ตั้งแต่แรกเห็น แย่จริงๆ เฮ้อ

จินเฟิ่งอดไม่ได้ที่จะพูดเตือนนางออกมาประโยค “จักรพรรดิพระองค์นี้ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย หนำซ้ำในใจมักมีความคิดอ่านน่าขายหน้าเก็บงำไว้…”

หลิวไป๋อวี้ชักสีหน้าขึ้นมาทันที “พี่หญิง ท่านเป็นถึงอัครมเหสี ไฉนถึงวิพากษ์วิจารณ์องค์จักรพรรดิตามอำเภอใจเช่นนี้”

“…”

จินเฟิ่งพูดอะไรไม่ออก ในใจนึกเสียใจ นางมันพวกอยู่ดีไม่ว่าดีหาเรื่องถูกโบยแท้ๆ

จากภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ฮูหยินใหญ่หลิวเองก็ตระหนักขึ้นได้เช่นกัน นางเริ่มรู้สึกเสียใจที่พาหลิวไป๋อวี้เข้าวังมา

“อัครมเหสี นี่ก็สายมากแล้ว พวกเราคงต้องกลับก่อน” ฮูหยินใหญ่หลิวลุกขึ้นยืนท่าทีเฉียบขาด

หลิวไป๋อวี้กัดริมฝีปาก อิดออดไม่ยอมลุกขึ้น นางชำเลืองมองจินเฟิ่งคราหนึ่งแล้วพูดขึ้น “พี่หญิง เช่นนั้นไว้คราวหน้าข้าจะมาเยี่ยมท่านใหม่”

เมื่อเห็นสีหน้าฮูหยินใหญ่หลิวไม่สู้จะพอใจเช่นนั้น จินเฟิ่งก็อดนึกทอดถอนใจขึ้นมาไม่ได้

ก่อนเข้าวังมา นางรู้สึกว่าไม่ว่าจะความรู้ รูปร่างหน้าตา หรือแม้แต่จิตใจ หลิวไป๋อวี้ล้วนสูงส่งกว่านางอยู่หลายส่วน แต่วันนี้ แม้ความงามของหลิวไป๋อวี้จะเพิ่มพูนมากกว่าก่อนมากมาย แต่จิตใจกับสติปัญญาของนางกลับหยุดอยู่เพียงเท่านั้น

นางยังจำเด็กสาวที่เคยถามนางก่อนจะขึ้นราชรถหงส์ว่า ‘ใช่สิ่งที่เจ้าปรารถนาจริงกระนั้นหรือ’ ผู้นั้นได้ หลิวไป๋อวี้ในเวลานั้นเหมือนมีรัศมีวงแหวนลอยอยู่เหนือศีรษะ จนนางไม่กล้าสบสายตา

ตลอดเวลาที่อยู่ในจวน ที่ไม่เคยมีผู้ใดเห็นความสำคัญของหลิวไป๋อวี้ บางทีอาจเพราะหลิวไป๋อวี้ไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครควบคุมได้โดยง่าย นางใช้ชีวิตไปตามแต่ใจตนเองปรารถนาเท่านั้น

จินเฟิ่งลุกขึ้นยืน เตรียมส่งแขกสกุลหลิวทั้งสองออกจากวัง แต่ทันใดนั้นเองนางก็ได้ยินเสียงใครบางคนดังลอยมา “อัครมเหสี ปิ่นทองของเราเล่าอยู่ที่ใด”

พระพันปีปรากฏกายอย่างงามสง่าน่าเกรงขามที่พระตำหนักเซียงหลัว

จินเฟิ่งตกตะลึง ฮูหยินใหญ่หลิวและหลิวไป๋อวี้ต่างตื่นตระหนก

เพราะทรงได้ยินว่าจินเฟิ่งละทิ้งหน้าที่ตามหาปิ่นทองแล้วกลับตำหนักตามอำเภอใจ ดังนั้นจึงทรงกริ้วพร้อมทั้งเสด็จมายังตำหนักเซียงหลัว พระสุรเสียงที่ทรงใช้ในประโยคแรกที่เสด็จมาถึงเป็นน้ำเสียงที่ทรงใช้กับจินเฟิ่งโดยเฉพาะ ครั้นพบว่ามีฮูหยินใหญ่หลิวและหลิวไป๋อวี้อยู่ด้วย สีพระพักตร์กระอักกระอ่วนของพระพันปีก็เหมือนจะเก็บไว้ไม่อยู่

จินเฟิ่งถวายพระพร “พระพันปี ด้วยท่านแม่และน้องสาวของหม่อมฉันเข้าวังมาเยี่ยมเยียน หม่อมฉันถึงได้ละเลยหน้าที่ที่ทรงมอบหมาย ขอพระพันปีทรงลงโทษด้วยเพคะ”

ฮูหยินใหญ่หลิวกับหลิวไป๋อวี้ก็เพิ่งรู้สึกตัว พวกนางต่างรีบพากันถวายพระพร พระพันปีทรงกระแอมออกมาคำหนึ่ง ท่วงท่างามสง่าแห่งเชื้อพระวงศ์ก็กลับคืนมาอีกครั้ง “อัครมเหสี ในเมื่อฮูหยินเวยกั๋วกงมาเยี่ยมเยือน เจ้าย่อมสมควรรับรองให้ดี”

ชากาหนึ่ง ของว่างสองจาน สตรีทั้งสี่นั่งสนทนากันต่อ เห็นพระพันปีทรงเสด็จมาด้วยองค์เองเช่นนี้ ฮูหยินใหญ่หลิวไหนเลยจะกล้าพูดว่าตนเองจะกลับได้อีก

จินเฟิ่งหยิบขนมกุ้ยขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าส่งมันเข้าปาก นางลอบชำเลืองมองดูหลิวไป๋อวี้ ก่อนจะพบว่ายามนี้ใบหน้าของอีกฝ่ายส่องประกายแสงเจิดจ้ายิ่งนัก

“นี่คงเป็นไป๋อวี้ผู้ปราดเปรื่องของพวกเจ้าสกุลหลิวกระมัง ได้ยินชื่อเสียงมานาน แต่กลับไม่มีโอกาสได้พบหน้าค่าตากันสักครั้ง วันนี้ก็นับว่าได้พบเจอแล้ว” พระพันปีแอบนึกหดหู่ สตรีงดงามโดดเช่นนี้ อีกแค่นิดเดียวก็จะได้มาเป็นพระสุณิสาของนางแล้ว ยิ่งมองดูเฮยพั่งตัวน้อยที่กำลังเคี้ยวขนมกุ้ยอยู่ข้างๆ พระพันปีก็ถอนหายใจ

น่าเสียดายๆ

“พระพันปีทรงชื่นชมหม่อมฉันเกินไปแล้ว ไป๋อวี้ไหนเลยจะกล้ารับคำชมไว้” หลิวไป๋อวี้ก้มหน้าขวยเขิน

“ไป๋อวี้ วันนี้อากาศดีทัศนียภาพงดงาม อีกทั้งเราก็ได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามานาน เช่นนั้นวันนี้มิสู้ดีดพิณให้เราฟังสักเพลง” พระพันปีทรงพระเกษมสำราญ

“ไป๋อวี้ไหนเลยจะกล้าเอาความสามารถต่ำต้อยมาแสดงต่อหน้าพระพักตร์ได้” ไป๋อวี้ถ่อมตัวอย่างที่สุด

“ไป๋อวี้ พระพันปีให้เจ้าดีดเจ้าก็ดีดไปเถอะ ต่อให้ดีดไม่ดี พระพันปีก็ไม่มีทางตำหนิเจ้า” จินเฟิ่งพูดปลอบด้วยเจตนาดี

พระพันปีเลิกคิ้ว “คำพูดของอัครมเหสีเหมือนจะมีกลิ่นอายอิจฉาเจืออยู่ ไม่เป็นไร ไป๋อวี้ เราเชื่อมั่นใจตัวเจ้า”

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ไป๋อวี้ก็ต้องขอขายหน้าแล้วเพคะ”

ไป๋อวี้ลุกขึ้นยืน ไปนั่งอยู่หลังบังตาที่มีพิณคันหนึ่งตั้งอยู่

มือของหลิวไป๋อวี้เคลื่อนไปตามสายพิณราวกับดอกบัวสองดอกที่ลอยละล่องอยู่เหนือผิวน้ำ ประเดี๋ยวก็เคลื่อนไหวคล่องแคล่วมีชีวิตชีวา ประเดี๋ยวก็เคลื่อนคล้อยเชื่องช้า เสียงพิณประเดี๋ยวดังก้องประเดี๋ยวแผ่วออกมาจากนิ้วของนาง เริ่มแรกฟังดูหยิ่งผยอง ครั้นถึงช่วงท่อนกลางกลับกลายสงบนิ่ง ท่อนสุดท้ายกลับเพียงปลายนิ้วสัมผัส ใช้ทักษะการเคลื่อนนิ้วที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนสื่อถึงความอาลัยอาวรณ์อย่างสุดซึ้งในบทเพลง ในตอนนั้นเอง จู่ๆ สีหน้าของหลิวไป๋อวี้ก็กลับกลายเป็นลึกซึ้ง ริมฝีปากขยับน้อยๆ ก่อนจะขับขานบทกวีออกมาบทหนึ่ง “วันวานแรกดอกกุ้ยแย้มเอียงอาย ปีถัดไปมือผุดผ่องประทินโฉม ใยรากบัวดุจด้ายแดงเพียงสามฉื่อ* รอวันท่านยื่นมือช่วยหยิบปิ่นหงส์”

’ติง…’ ปลายเสียงโดดสูง สายพิณสั่นสะท้านประหนึ่งความคิดคำนึงที่เกาะกุมใจสตรีไว้ไม่สิ้น

พระพันปี ฮูหยินใหญ่หลิว รวมถึงจินเฟิ่งต่างจมอยู่ในภวังค์

จินเฟิ่งทอดถอนใจพลางคิด จิตปฏิพัทธ์ของเด็กสาวคงล้วนเป็นเช่นนี้

พระพันปีทรงกุมพระหัตถ์ทั้งสองข้างด้วยความตื่นเต้น “เยี่ยม…ยอดเยี่ยม! หลิวฮูหยิน หลานสาวของท่านผู้นี้ นับว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!”

ฮูหยินใหญ่หลิวกับจินเฟิ่งสบสายตากัน พวกนางต่างพากันก้มหน้า “ขอบพระทัยพระพันปีที่ทรงชื่นชมเพคะ”

หลิวไป๋อวี้ลุกขึ้น นางเดินกลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าพระพันปี แสดงคารวะด้วยทีท่านอบน้อม ดอกเหมยสีขาวที่ชายกระโปรงข้างเท้าพลิ้วไหวราวกับกำลังกำจายกลิ่นหอมจางๆ ออกมา

พระพันปีทอดพระเนตรรูปร่างหน้าตาเล็กๆ ของนาง ยิ่งดูก็ยิ่งทรงชื่นชอบ จนอดไม่ได้ที่จะดึงมือของหลิวไป๋อวี้แล้วตรัสขึ้น “เด็กดี ด้วยกิริยาท่าทางความสามารถของเจ้าเช่นนี้ เราจะตกรางวัลให้เจ้าเป็นอย่างงาม เจ้าต้องการให้เราประทานสิ่งใดให้ก็จงว่ามา”

“พระพันปี…” หลิวไป๋อวี้มองดูพระพันปีด้วยแววตาน่าสงสาร นางกดคางลงเล็กน้อยด้วยท่าทีงดงาม

พระทัยของพระพันปีแทบละลาย “เฮ้อ เด็กน้อย ไม่ต้องกลัว เจ้าต้องการอะไรก็จงว่ามา”

จู่ๆ จินเฟิ่งก็นึกอยากรู้ว่าสุดท้ายไป๋อวี้จะทูลขออะไรจากพระพันปี

“ไป๋อวี้…ไป๋อวี้มิกล้า”

“มีอะไรไม่กล้า เจ้าวางใจพูดออกมาได้เลย!” ประกายแสงแห่งมารดาผู้อารีบนพระวรกายของพระพันปีสว่างโชติช่วงอย่างที่จินเฟิ่งไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน

“พระพันปี…” หลิวไป๋อวี้มองดูพระพันปีด้วยสายตาตื่นเต้นปราดหนึ่ง นางถอยหลังกลับไปสองก้าว คุกเข่าลงกับพื้น

“พระพันปี เดิมไป๋อวี้ไม่ควรร้องขอสิ่งใดต่อพระองค์ เพียงแต่…เพียงแต่ไป๋อวี้กับอัครมเหสีนั้นพี่น้องสัมพันธ์ลึกซึ้ง แต่กว่าจะได้พบหน้ากันสักครั้งกลับยากเย็นแสนเข็ญ ทำให้ไป๋อวี้รู้สึกคิดถึงเป็นที่สุด ดังนั้นไป๋อวี้จึงใคร่ทูลขอพระพันปี ได้โปรดอนุญาตให้ไป๋อวี้ได้พำนักอยู่ในวังหลวง เป็นเพื่อนอัครมเหสีสักระยะหนึ่งเพคะ!”

ประกายแสงแห่งมารดาผู้เมตตาของพระพันปีชะงักค้างอยู่บนพระพักตร์ ฮูหยินใหญ่หลิวกับจินเฟิ่งต่างมองกันตาค้าง พวกนางไม่มีใครนึกถึงว่าหลิวไป๋อวี้จะทูลขอออกมาเช่นนี้

พี่น้องของอัครมเหสีเข้าวังร่วมรับใช้องค์จักรพรรดิถือเป็นเรื่องปกติ ไม่นับเป็นคำขอที่มากมายเกินไปแต่อย่างใด แต่การขอร้องเช่นนี้ว่ากันตามหลักแล้วควรให้อัครมเหสีเป็นคนกราบทูล แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีการเสนอตัวเข้ารับใช้เช่นนี้มาก่อน

ยิ่งไปกว่านั้น การเสนอตัวเข้าวังรับใช้อัครมเหสี ที่แท้ก็แค่ข้ออ้างประการหนึ่งเท่านั้น เจตนาของหลิวไป๋อวี้กระจ่างชัดประหนึ่งอยู่ใต้แสงตะวันจันทรา

ฮูหยินใหญ่หลิวกระวีกระวาดคุกเข่า “ขอพระพันปีอย่าได้ถือสา ไป๋อวี้ไม่รู้การใดควรมิควร ถึงได้กล้าล่วงเกินทูลขอออกมาเช่นนี้ กลับไปหม่อมฉันจะอบรมสั่งสอนนางให้มากเพคะ!”

สีหน้าของพระพันปีค่อยๆ กลับสู่ปกติ ดวงตาแฝงไว้ซึ่งสายพระเนตรแปลกๆ พระนางทรงพิจารณาดูหลิวไป๋อวี้ซ้ำอีกรอบก็รู้สึกว่าเด็กสาวผู้นี้ไม่เหมือนกับที่ทรงคิดไว้สักเท่าใด

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง พระพันปีก็ตรงรับสั่งด้วยพระสุรเสียงสงบนิ่ง “อัครมเหสี เจ้าคิดเห็นเช่นไร”

จินเฟิ่งก็นิ่งเงียบ

นางเพิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งก็ยามนี้ คนฉลาดยังไงก็คือคนฉลาด ทางด้านจิตใจยังไงหลิวไป๋อวี้ก็ยังคงเหนือชั้นกว่านางอยู่ขั้นหนึ่ง

เพราะหลิวไป๋อวี้รู้ชัดอยู่แก่ใจว่าตัวเองต้องการอะไร แต่นางไม่เพียงรู้ชัดถึงความต้องการของตนเอง อีกทั้งยังรู้จักประเมินสถานการณ์ว่ากาละและเทศะนั้นเหมาะสมหรือไม่ ก่อนจะลงมือเฉียบขาด ฉวยคว้าโอกาสที่จะบรรลุถึงเป้าหมายที่ตนเองวางไว้ทันที

ฉลาดเฉลียวเกินคนโดยแท้ จินเฟิ่งถอนหายใจให้กับความอ่อนด้อยของตัวเอง

แต่การที่หลิวไป๋อวี้หลอกใช้นางเป็นฉากบังหน้านั้น ทำให้จินเฟิ่งอดนึกไม่พอใจมิได้

“ทุกอย่าง แล้วแต่พระพันปีจะตัดสินพระทัยเพคะ” จินเฟิ่งตอบกลับอย่างนอบน้อม

พระพันปีทรงลังเล

แม้พระนางจะอ่อนแอ แต่ก็มิได้โง่งม ใจของหลิวไป๋อวี้คิดอะไร มีหรือที่จะทรงมองไม่ออก การใช้วิธีการเช่นนี้ของหลิวไป๋อวี้ ที่แท้แล้วพระพันปีออกจะทรงเดียดฉันท์เสียด้วยซ้ำ แต่เพราะทรงชื่นชอบความสามารถและบุคลิกของหลิวไป๋อวี้อยู่มิใช่น้อย ที่สำคัญ หลิวไป๋อวี้เป็นพระสุณิสาที่ทรงหมายตาไว้ตั้งแต่แรก ต่อมาถูกสับเปลี่ยนเป็นเฮยพั่ง ดังนั้นความรู้สึกไม่พอพระทัยจึงยังคงติดค้างฝังตรึงอยู่ในอกไม่เปลี่ยนแปลง

มีประโยคที่พูดว่า ‘สิ่งที่ยังไม่ได้ครอบครองมักเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ’ ดังนั้นพระพันปีจึงมิอาจต้านทานความรู้สึกเย้ายวนได้

ทรงรู้ชัดแต่แรกว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลิวไป๋อวี้กับบ้านสกุลหลิวมิสู้ดีนัก ยามนั้นหลิวเซียถึงไม่ยอมให้หลิวไป๋อวี้เป็นอัครมเหสี เวลานี้หากให้หลิวไป๋อวี้เข้าวัง ไม่แน่ว่าอาจมีสักวันที่นางจะสามารถเป็นกองหนุนให้ต้วนอวิ๋นจั้งได้

พระพันปีทรงดีดลูกคิดรางแก้วในพระทัย

ไม่เช่นนั้นก็รับนางเข้าวังมาก่อน ไหนๆ ก็มิใช่รับเข้ามาเป็นพระสนม ส่วนท้ายที่สุดจะจัดการต่อเช่นไรก็ให้ต้วนอวิ๋นจั้งเป็นคนตัดสินใจเอง เฮ้อ ถือเสียว่าตนติดค้างลูกคนนี้ก็แล้วกัน ติดค้างเรื่องศรีภรรยาที่ดีทั้งมีความสามารถและรูปร่างหน้าตา

“เช่นนั้นก็ลำบากเจ้าแล้ว” ในที่สุดพระพันปีก็ทรงมีดำรัส “เห็นแก่สายสัมพันธ์ลึกซึ้งของพวกเจ้าพี่น้อง อัครมเหสี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็จัดให้นางพำนักอยู่ที่ตำหนักถิงหลัวก็แล้วกัน”

“เพคะ เสด็จแม่” จินเฟิ่งรับปาก สีหน้ายังคงเป็นปกติไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

แต่สีหน้าของฮูหยินใหญ่หลิวกลับซีดเผือด การพาหลิวไป๋อวี้เข้าวังครั้งนี้นับเป็นความผิดพลาดโดยแท้ หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ฮูหยินใหญ่หลิวถึงได้รู้ว่าความผิดพลาดในครั้งนี้ มันหนักหนาสาหัสกว่าที่นางคิดไว้มากมายนัก

 

ข่าวในวังแพร่สะพัด ทุกคนต่างพูดว่าอัครมเหสีเฮยพั่งในที่สุดก็ทรงถูกทิ้งร้างมิเป็นที่โปรดปรานอีกต่อไป

คำว่าไม่เป็นที่โปรดปรานนี้เป็นคำที่ต้องมีสิ่งเปรียบเทียบ ถ้าไม่มีคนที่โปรดปราน ไหนเลยจะมีคนที่ไม่เป็นที่โปรดปรานได้ การไม่เป็นที่โปรดปรานของอัครมเหสีเฮยพั่งมีต้นสายปลายเหตุจากหลิวไป๋อวี้ญาติผู้น้องนั้นกลายเป็นที่โปรดปรานไปแล้วนั่นเอง

เมื่อครึ่งปีก่อน องค์จักรพรรดิยังเสด็จตำหนักเซียงหลัวของอัครมเหสีอยู่บ่อยครั้ง ยามนี้กลับไม่ปรากฏพระวรกายอยู่ที่ตำหนักเซียงหลัวอีก แต่ตำหนักถิงหลัวที่หลิวไป๋อวี้พำนักอยู่นั้น กลับมักได้ยินเสียงทรงพระสรวลแจ่มชัดขององค์จักรพรรดิดังลอยออกมาอยู่บ่อยครั้ง

โฉมสะคราญกับสตรีอัปลักษณ์ ปรากฏเด่นชัดก็คราวนี้ ผู้คนในวังหลวงต่างล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ

ในทุกวันจินเฟิ่งจะตะลอนวิ่งไปมาอยู่ระหว่างตำหนักพระพันปีกับตำหนักต่างๆ ไม่มีเวลาได้พบหน้าหลิวไป๋อวี้ ส่วนหลิวไป๋อวี้เองก็ใช่จะแวะเวียนมาตำหนักเซียงหลัวสักเท่าใดนัก เริ่มแรกจินเฟิ่งยังคิดว่าหลิวไป๋อวี้อาจจะรู้สึกว้าเหว่ จึงตั้งใจไปเยี่ยมญาติผู้น้องที่บอกว่าจะเข้าวังมาเพื่ออยู่เป็นเพื่อนนางที่ตำหนักถิงหลัวพร้อมผลไม้ที่เพิ่งส่งเข้ามาใหม่เป็นการเฉพาะ แต่นึกไม่ถึงว่านางกำนัลกลับมาบอกว่าแม่นางไป๋อวี้ออกไปชมปลาที่สระไท่เยี่ยกับองค์จักรพรรดิแล้ว

แต่จินเฟิ่งก็ยังไม่หมดกำลังใจ นางยังคงยิ้มสู้สีหน้าเย็นชาของอีกฝ่าย จนในที่สุดก็พบว่าตั้งแต่แรกญาติผู้น้องของนางคนนี้ไม่เคยแม้แต่จะยอมเสียเวลาอยู่เป็นเพื่อนนางเลยแม้แต่น้อย หลังจากคิดทบทวนดู ไหนๆ นางเองก็ชอบที่จะอยู่อย่างสงบอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงเลิกล้มความคิดที่ว่าจะต้องคอยอยู่ ‘เป็นเพื่อน’ หลิวไป๋อวี้ไปโดยปริยาย

บางครั้งซู่ฟางเข้ามารายงาน บอกว่าวันนี้องค์จักรพรรดิพูดคุยสนุกสนานอยู่กับแม่นางไป๋อวี้ที่ตำหนักถิงหลัว และพรุ่งนี้จะไปถกกันเรื่องเดินหมากดีดพิณกับแม่นางไป๋อวี้สารพัด จินเฟิ่งพอได้ยินข่าวดังกล่าว นางกลับทำเพียงขมวดคิ้ว “ซู่ฟาง น้ำเสียงของเจ้าฟังดูคล้ายคนกำลังอิจฉา หรือเจ้าเองก็มีใจให้กับฝ่าบาท เจ้าต้องการให้ข้าช่วยไปกราบทูลต่อพระพันปีให้หรือไม่”

ซู่ฟางชำเลืองมองสีหน้าของผู้เป็นนายปราดหนึ่ง ก่อนจะนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอันใดอีก

นางกำนัลในพระตำหนักถิงหลัวก็หยิ่งผยองมากขึ้นทุกวัน ส่วนนางกำนัลในพระตำหนักเซียงหลัวนับวันกลับยิ่งนอบน้อมถ่อมตน ในที่สุดก็มีวันหนึ่ง จินเฟิ่งก็พบว่าคนอื่นกำลังปีนขึ้นขี่หัวตนเองแล้ว

เวลานี้ จินเฟิ่งถือหนังสือ ‘พงศวดารรวมแคว้น’ ไว้ในมือ นางหรี่ตามองดูนางกำนัลที่กำลังค้อมศีรษะอยู่ตรงหน้า “ไหนเจ้าลองว่ามาอีกครั้งสิ”

“อัครมเหสี ชาหลงจิ่งก่อนฤดูฝนที่ตำหนักถิงหลัวหมดแล้ว แม่นางไป๋อวี้ให้พวกเรามาขอแบ่งปันจากอัครมเหสีเพคะ”

ซู่ฟางกล่าวตำหนิ “ปีนี้การเก็บเกี่ยวของสวนชาที่เจียงหนานไม่สู้ดี ชาใหม่ถูกแบ่งสันปันส่วนไปยังตำหนักต่างๆ ตามปริมาณแล้ว ไหนเลยจะมีดื่มหมดแล้วมาขอใหม่ได้”

นางกำนัลคนดังกล่าวค้อมแล้วค้อมอีกด้วยท่าทีนอบน้อมเป็นที่สุด “ทูลอัครมเหสี ฝ่าบาทยามนี้ทรงประทับอยู่ที่พระตำหนักถิงหลัว ทรงมีพระประสงค์จะดื่มพระสุธารสชาใหม่ของปี พวกหม่อมฉันย่อมไม่กล้าขัดพระประสงค์ พวกหม่อมฉันเห็นว่าปกติตำหนักของอัครมเหสีก็มีแขกไปมาไม่มาก คนที่จะดื่มชาหรือก็น้อย น่าจะยังพอมีเหลืออยู่บ้าง ดังนั้นถึงได้กล้ามาขอแบ่งเพคะ” พูดจบนางก็ช้อนเปลือกตาขึ้นน้อยๆ ชำเลืองมองดูจินเฟิ่งอย่างรวดเร็วปราดหนึ่ง

จินเฟิ่งก็วางหนังสือในมือลง “เจ้าบอกว่าฝ่าบาทต้องการดื่มพระสุธารสชาใหม่ของปีกระนั้นหรือ”

“เพคะ”

“ทรงมีพระประสงค์จะดื่มให้ได้?”

“อัครมเหสี สิ่งที่ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์…”

“ได้ เช่นนั้นเราจะเอาไปถวายให้พระองค์ด้วยตัวของเราเอง” จินเฟิ่งขยับอาภรณ์ให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะลุกขึ้นยืน

ซู่ฟางยิ้มดีใจอยู่ทางด้านหลังในใจพลางคิด ในที่สุดอัครมเหสีก็ทรงตัดสินพระทัยไม่ยอมกล้ำกลืนความเจ็บช้ำอีกต่อไป

 

เดิมจินเฟิ่งคิดว่าตำหนักถิงหลัวยามนี้คงกลายเป็นบ่อสุราป่าเนื้อ* อีกทั้งองค์จักรพรรดิเมาสุราเคล้านารีอยู่เป็นแน่ ไหนเลยจะนึกถึงว่าภาพตรงหน้ากลับห่างไกลจากที่นางคิดมากนัก

สวนด้านหลังของตำหนักถิงหลัวปลูกต้นอวี้หลันไว้สองกอ เทียบกับทั่วทั้งวังหลวง พวกมันจัดว่างดงามเป็นที่สุด ข้างต้นอวี้หลันมีโต๊ะเล็กวางตั้งอยู่ พู่กัน น้ำหมึก ถาดฝนหมึกล้วนถูกจัดวางไว้ครบครัน องค์จักรพรรดิต้วนอวิ๋นจั้งพระหัตถ์ข้างหนึ่งจับชายแขนเสื้อไว้ ส่วนอีกข้างถือพู่กันขนเพียงพอนเหลือง* ขนาดใหญ่เท่าแขนเด็ก ทรงกำลังวาดดอกหลันเฉ่าอยู่

มีนางกำนัลถือถ้วยชาอยู่ข้างๆ หลิวไป๋อวี้ถือผ้าเช็ดหน้า ยิ้มมองไปตามตำแหน่งที่พู่กันของต้วนอวิ๋นจั้งเคลื่อนไปถึง นางขยับขึ้นไปช่วยซับเหงื่อบนหน้าผากให้องค์จักรพรรดิเป็นครั้งคราว

จินเฟิ่งเดินผ่านโถงพระตำหนักเข้าไปยังสวนด้านหลัง ทำมือเป็นสัญญาณห้ามมิให้เสี่ยวซุนจื่อรายงาน เสี่ยวซุนจื่อชำเลืองมองใบหน้าดำๆ ของอัครมเหสีอย่างหวาดๆ ก่อนจะก้มหน้าปิดปากเงียบ

จินเฟิ่งมาหยุดยืนอยู่ทางด้านหลังของต้วนอวิ๋นจั้ง ต้วนอวิ๋นจั้งเองก็บังเอิญยืดตัวตรง หัวเราะพูดออกมาพอดี “ไป๋อวี้ เจ้าลองวิจารณ์ดูสิว่าภาพดอกหลันเฉ่าของเราวาดได้เป็นเช่นไรบ้าง”

หลิวไป๋อวี้แววตาเป็นประกายดุจสายน้ำ นางจ้องมองใบหน้าของต้วนอวิ๋นจั้งอย่างช้าๆ พลางพูด “ฝ่าบาท ดอกหลันเฉ่าของพระองค์ กลีบดอกสะอาดสะอ้านอ่อนช้อย ใบเรียวโค้งทรงพลัง ในน้ำหมึกแฝงไว้ซึ่งพลานุภาพแห่งองค์จักรพรรดิประมุขของแผ่นดิน แน่นอนว่าย่อมมิใช่ผลงานธรรมดาๆ เพียงแต่…”

“เพียงแต่อันใด…” ต้วนอวิ๋นจั้งรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับคำพูดของนางเป็นที่สุด เขาหมายรู้คำพูดสุดท้ายของนาง

“เพียงแต่…” หลิวไป๋อวี้ประคองแขนเสื้อไว้ ก่อนจะใช้ปลายนิ้วชี้ลงบนภาพวาดเบาๆ สองสามจุด “ที่นี่ ที่นี่ และก็ที่นี่ออกจะดูรกไปสักหน่อยเพคะ หลันเฉ่าแม้จะเป็นตัวแทนของสุภาพชน แต่ก็มิใช่องค์จักรพรรดิ ดอกหลันเฉ่าที่ทรงวาดแฝงไว้ซึ่งพลานุภาพแห่งองค์ประมุขของแผ่นดิน แต่กลับขาดซึ่งท่าทีสง่าผ่าเผย ไป๋อวี้คิดว่าในใจของฝ่าบาท คงมีเรื่องราวเก็บงำไว้ไม่น้อย”

ต้วนอวิ๋นจั้งตกตะลึง ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง “ไป๋อวี้ ในวังหลวงนี้คงมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่กล้าวิพากษ์จุดบกพร่องของเราออกมาตรงๆ ไม่อ้อมค้อมเช่นนี้ ยอดเยี่ยมๆ!”

จินเฟิ่งแอบถอนหายใจ นางก็รับรู้ถึงความต่างราวฟ้ากับดินระหว่างตนเองกับไป๋อวี้ได้อีกครั้ง รูปโฉมโนมพรรณงดงามยังไม่เท่าไหร่ แต่มีความสามารถในการเหยียบย่ำชาวบ้านได้น่าฟังเสียยิ่งกว่าเอ่ยปากชื่นชมนี่สิ สตรีเช่นนี้ต้วนอวิ๋นจั้งไม่หลงก็คงยากแล้ว

“หม่อมฉันถวายพระพรเพคะ”

ต้วนอวิ๋นจั้งหันกลับมามอง ก่อนจะเห็นจินเฟิ่งคุกเข่าอยู่กับพื้น เขาตกตะลึง “อัครมเหสีเจ้ามาถึงตั้งแต่เมื่อใด”

จินเฟิ่งลุกขึ้นยืน “หม่อมฉันเห็นฝ่าบาทกำลังทรงวาดภาพ จึงมิกล้ารบกวน”

ต้วนอวิ๋นจั้งสีหน้าลำบากใจ เขาถอยออกมาสองก้าวแล้วตรัสขึ้น “อัครมเหสี เจ้าก็มาดูภาพวาดของข้าด้วยกันสิ”

“ภาพวาดฝีพระหัตถ์ของฝ่าบาท หม่อมฉันไหนเลยจะกล้าวิพากษ์วิจารณ์ตามอำเภอใจได้” จินเฟิ่งก้มหน้านอบน้อม

“เรื่องนี้มีอะไรให้ต้องไม่กล้าด้วย” ต้วนอวิ๋นจั้งขมวดคิ้ว “คำพูดของไป๋อวี้เจ้าเองก็ได้ยินแล้ว คิดเห็นเช่นไรก็พูดออกมาตามตรง เราไม่มีทางถือโทษโกรธเจ้า”

“…หม่อมฉันน้อมรับพระบัญชา” จินเฟิ่งเดินขึ้นมาข้างหน้า

“อัครมเหสีคิดเห็นเช่นไร” ดวงตาดำขลับของต้วนอวิ๋นจั้งจับจ้องอยู่ที่จินเฟิ่ง แต่กลับนึกไม่ออกว่านางจะเสนอข้อคิดเห็นอะไรได้

จินเฟิ่งพิจารณาดูภาพดอกหลันเฉ่าโดยละเอียด ก่อนจะแหงนหน้ามองดูดอกหลันเฉ่าที่บานอยู่ทางด้านหน้า หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งนางก็พูดออกมา “หม่อมฉันคิดว่า…ต้นหลันเฉ่านี้สมควรแก่การรดน้ำแล้ว”

ต้วนอวิ๋นจั้งกับหลิวไป๋อวี้สบตากัน ทั้งคู่ต่างรู้สึกประหลาดใจ

“ผู้ใดเป็นคนรับหน้าที่ดูแลต้นไม้ใบหญ้าในตำหนักถิงหลัว” จินเฟิ่งถามออกมาประโยคหนึ่ง

พวกข้าหลวงนางกำนัลซ้ายขวาต่างพากันวุ่นวาย ก่อนจะผลักนางกำนัลคนหนึ่งออกมา ซึ่งก็บังเอิญเป็นคนที่ไปขอแบ่งชาหลงจิ่งก่อนฤดูฝนที่ตำหนักเซียงหลัวนางนั้นพอดี

“เจ้ารู้โทษของตนเองหรือไม่”

“เอ๋?” นางกำนัลคนนั้นงุนงงไม่เข้าใจ

“คุกเข่า!” จินเฟิ่งเสียงแข็งขันมาทันใด “ดอกหลันเฉ่าในตำหนักถิงหลัวเป็นสายพันธุ์ที่ดีที่สุดในวังหลวง ไฉนวันนี้ถึงเหี่ยวเฉาเช่นนี้ เราถามหน่อย เจ้ามิได้รดน้ำมันมากี่วันแล้ว”

“อัครมเหสี…” นางกำนัลคนดังกล่าวคุกเข่าตัวสั่น “อัครมเหสี เพราะระยะนี้ตำหนักถิงหลัวมีงานมากมาย หม่อมฉันเลยพลั้งเผลอมิได้ดูแลดอกหลันเฉ่าให้ดี…”

“เพราะเรื่องอื่นเลยลืมเลือนละเลยหน้าที่ของตน เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วสมควรแก่การยกย่องชื่นชมหรือ” จินเฟิ่งไม่แม้แต่จะชายตามองดูอีกฝ่าย นางหันไปสั่งซู่ฟาง “ตามระเบียบปฏิบัติที่ยึดถือกันมา สมควรจัดการเช่นไรเจ้าก็จงไปจัดการตามนั้น”

ซู่ฟางข่มความรู้สึกได้ใจไว้ นางก้มหน้าพูด “เพคะ”

จินเฟิ่งหันมองไปทางต้วนอวิ๋นจั้งพูด “ฝ่าบาท ปัญหาของหลันเฉ่ามิใช่ปัญหาของฝ่าบาท คราวหน้าขอเพียงฝ่าบาทหาดอกหลันเฉ่าที่งดงามสักหน่อยเป็นแบบวาด เท่านั้นปัญหาเช่นนี้ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นแล้วเพคะ”

ดวงตาของนางแฝงไว้ซึ่งรอยยิ้ม แต่ต้วนอวิ๋นจั้งกลับรู้สึกว่าสายตาคู่นั้นราวกับเป็นอสรพิษตัวน้อยที่เลื้อยไปมาอยู่บนร่างเขา

เขาเนื้อตัวสั่นสะท้านอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“เช่นนั้น…อัครมเหสี…”

“อา!” จู่ๆ จินเฟิ่งก็อุทานออกมาคำหนึ่ง พูดเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ “เกือบลืมไป หม่อมฉันมาที่นี่ก็เพื่อนำใบชามาถวายเพคะ”

หลิวไป๋อวี้ยืนบิดผ้าเช็ดหน้าอยู่อีกด้าน ก้มหน้าพูด “ไป๋อวี้ไม่รู้ความล้ำค่าของชาหลงจิ่งก่อนฤดูฝน ทุกครั้งฝ่าบาทเสด็จหม่อมฉันก็ชงให้ฝ่าบาททุกครั้ง ดังนั้นไม่นานชาหลงจิ่งก่อนฤดูฝนก็ถูกใช้ไปจนสิ้น ไป๋อวี้เกรงว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงคุ้นกับชาชนิดอื่น จึงกล้าให้คนไปทูลขอจากอัครมเหสี กลับนึกไม่ถึงว่าจะทำให้อัครมเหสีต้องเสด็จนำมาถวายด้วยพระองค์เอง ไป๋อวี้ผิดไปแล้วเพคะ”

เมื่อเห็นท่าทางน่าเวทนาของนางเช่นนั้น ต้วนอวิ๋นจั้งก็อดนึกสงสารมิได้ เขาจึงตรัสขึ้น “เรื่องนี้ไหนเลยจะเป็นความผิดของเจ้า มันเป็นความผิดของข้าต่างหาก อัครมเหสี เจ้าอย่าได้ตำหนิไป๋อวี้เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เลย”

จินเฟิ่งชำเลืองดูใบหน้าอ่อนโยนน้ำตาเจียนหลั่งของต้วนอวิ๋นจั้ง ในใจก็รู้สึกกระสับกระส่าย ไม่รู้ทำไม นางถึงได้นึกถึงคำพูดของเขาก่อนหน้านี้ที่ว่า ‘ยังไงนางก็เป็นเพียงสตรี’ ขึ้นมา

วันหน้าต้วนอวิ๋นจั้งคงเป็นชายหนุ่มที่ดีได้แน่ ถ้ารู้จักเอ็นดูทะนุถนอมสตรีเช่นนี้ เฮ้อ หากยามนั้นนางมิได้สอดเท้าเข้ามา ให้หลิวไป๋อวี้ได้ขึ้นเป็นอัครมเหสีโดยสะดวกแล้วล่ะก็ ต้วนอวิ๋นจั้งในยามนี้คงสุขสมบูรณ์ยิ่งแล้ว

พอคิดเช่นนี้จินเฟิ่งก็อดมิได้ที่จะมองดูต้วนอวิ๋นจั้งด้วยความเห็นอกเห็นใจ

ครั้นเผชิญหน้ากับสายตาทุกข์ระทมเช่นนั้นของนาง ต้วนอวิ๋นจั้งก็พลันรู้สึกกลัดกลุ้ม

“ในเมื่อใบชาก็นำมาถวายแล้ว เช่นนั้นหม่อมฉันก็ขอทูลลา” จินเฟิ่งค้อมกายคารวะ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป

ต้วนอวิ๋นจั้งลูบอกอย่างเหม่อลอยอยู่เป็นนาน เขาไม่เข้าใจว่าความรู้สึกกลัดกลุ้มที่เกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตานั้นแท้แล้วมาจากที่ใดกัน

หลิวไป๋อวี้ครั้นเห็นเขาเหม่อลอย นางก็เอ่ยปากเรียกออกมาเบาๆ สองครั้ง “ฝ่าบาทๆ”

ต้วนอวิ๋นจั้งยังคงไม่มีปฏิกิริยา

หลิวไป๋อวี้กัดริมฝีปาก คุกเข่าลงกับพื้นดังตึง “ฝ่าบาท ได้โปรดลงโทษไป๋อวี้ด้วยเพคะ”

ต้วนอวิ๋นจั้งพลันสะดุ้งตกใจ เขารีบประคองหลิวไป๋อวี้ให้ลุกขึ้น “เจ้าทำอะไรของเจ้า”

“ไป๋อวี้มีความผิด ฝ่าบาทเสด็จตำหนักถิงหลัวบ่อยครั้ง อัครมเหสีย่อมไม่พอพระทัย”

“ไม่พอใจ? นางมีอะไรให้ไม่พอใจ”

“ฝ่าบาท” หลิวไป๋อวี้เงยหน้า ดวงตาเป็นประกายของนางมีน้ำตาเอ่อคลออยู่บางๆ “อัครมเหสีแม้จะมีน้ำพระทัยกว้างใหญ่เพียงใด แต่จะเช่นไรก็ยังคงเป็นเพียงสตรีนางหนึ่ง อีกทั้งผู้เป็นสามีเอ็นดูสตรีอื่น จะไม่ให้พระนางทรงคิดอิจฉาได้อย่างไร”

ต้วนอวิ๋นจั้งอ้าปากค้าง “เจ้าบอกว่า…เฮยพั่ง…เอ่อ อัครมเหสี…อิจฉากระนั้นหรือ”

หลิวไป๋อวี้พยักหน้า ต้วนอวิ๋นจั้งพูดอะไรไม่ออก

เพราะเรื่องของราชครูเว่ย ความรู้สึกไม่พอใจยังคงติดค้างไม่จางหายไป เขาจึงไม่ได้ไปตำหนักเซียงหลัวนานมากแล้วจริงๆ และก็นานมากแล้วเช่นกันที่ไม่ได้พบเห็นเฮยพั่งตัวน้อย อาจได้ยินหลีว์อ๋องต้วนอวิ๋นจ้งพูดถึงอยู่บ้างเป็นครั้งคราวว่าเฮยพั่งถูกพระพันปีลากไปดูแลเรื่องราวในตำหนักใน ทุกวันถูกทารุณกรรมเป็นที่น่าสงสารยิ่งนัก

เมื่อย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมายังไม่ถึงสองปี แล้วหวนนึกถึงท่าทางของเฮยพั่งตัวน้อยที่ถูกเขาลากวิ่งไปกลับประตูเมืองในยามนั้น ต้วนอวิ๋นจั้งก็อดยิ้มมุมปากออกมาจางๆ มิได้ ท่าทางของนางเมื่อครู่ แฝงไว้ซึ่งท่าทีเฉกอัครมเหสีอยู่หลายส่วนจริงๆ

เพียงพริบตาเดียว เขาก็รู้สึกว่าเฮยพั่งของเขานั้นเติบโตขึ้นมาก

เฮยพั่งก็อิจฉาเป็นด้วยหรือ

ส่วนนางกำนัลที่ถูกลงโทษนั้นคลานเข่าเข้ามาโขกศีรษะอยู่ที่ข้างเท้าของต้วนอวิ๋นจั้ง “ฝ่าบาท ทั้งหมดล้วนเพราะหม่อมฉันล่วงเกินอัครมเหสี เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับแม่นางไป๋อวี้! หม่อมฉัน…หม่อมฉันวันนี้ก็แค่เพียงไปขอแบ่งใบชาเท่านั้น แต่อัครมเหสีกลับพระพักตร์เปลี่ยนสี หม่อมฉัน…หม่อมฉัน…”

หลิวไป๋อวี้เองก็คุกเข่าลงเบาๆ “ฝ่าบาท หากจะลงโทษก็ลงโทษไป๋อวี้เถอะเพคะ ได้โปรดเมตตานางกำนัลเหล่านี้ด้วย”

นางกำนัลที่อยู่รายรอบต่างพากันร่ำไห้คร่ำครวญ

“พวกเจ้าเลิกร้องไห้ได้แล้ว!” เมื่อต้วนอวิ๋นจั้งถูกดึงกลับมาจากภาพความทรงจำในอดีต เขาก็รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจเป็นที่สุด

พวกนางกำนัลต่างจ้องหน้ากัน ก่อนจะพากันปิดปากเงียบ

ฝ่าบาททรงพิโรธแล้ว นับแต่นี้ต่อไป พระทัยของฝ่าบาทคงเหลือก็เพียงภาพอัครมเหสีขี้อิจฉาเท่านั้นกระมัง

ต้วนอวิ๋นจั้งกวาดตามองเหล่านางกำนัลที่คุกเข่าอยู่เต็มพื้นอีกครั้ง เขาขมวดคิ้ว สะบัดชายแขนเสื้อ

“เสี่ยวซุนจื่อ กลับพระตำหนักเซวียนหลัว”

เฮยพั่งเพียงหักเบี้ยหวัดเงินเดือนไม่กี่เดือนของนางกำนัลคนหนึ่งเท่านั้น พวกนางถึงกับต้องร้องห่มร่ำไห้กันถึงเพียงนี้ด้วยหรือ นางกำนัลพวกนี้เห็นองค์จักรพรรดิอย่างเขาปัญญาอ่อนหรือไรกัน

น้ำหมึกบนภาพดอกหลันเฉ่ายังไม่แห้ง หลิวไป๋อวี้ลุกขึ้นยืน มองดูภาพดอกหลันเฉ่านั้น รอยยิ้มงดงามปรากฏขึ้นบนริมฝีปากแดงอวบอิ่มได้รูป หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งนางก็เก็บรอยยิ้มแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ คราหนึ่ง

 

จินเฟิ่งมิได้กลับตำหนักเซียงหลัว หากแต่มุ่งหน้าไปยังตำหนักของพระพันปี หลังถวายพระพรจบ นางก็ถูกกดขี่จิกหัวใช้เยี่ยงทาสต่อ ครั้นกลับถึงตำหนักเซียงหลัว ทันทีที่ก้นได้สัมผัสกับเก้าอี้ นางก็ไม่ยอมขยับตัวอีก

“ซู่ฟาง ช่วยเอาหนังสือ ‘พงศวดารรวมแคว้น’ มาให้เราที เรายังอ่านไม่จบ เพิ่งอ่านได้เพียงครึ่งเท่านั้น อ้อ! เอาผลไม้เชื่อมที่เพิ่งส่งเข้ามาเมื่อวานมากระปุกหนึ่งด้วย”

เมื่อเห็นสภาพของผู้เป็นนายที่นั่งกองอยู่บนเก้าอี้ ซู่ฟางก็อดถอนหายใจออกมามิได้ “อัครมเหสี จะทรงปล่อยเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้นะเพคะ”

“ทำไมจะไม่ได้”

“จากสถานการณ์ในวันนี้ ฝ่าบาทเหมือนจะทรงชื่นชอบแม่นางไป๋อวี้อยู่มิใช่น้อย”

จินเฟิ่งพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าเองก็รู้สึกเช่นนั้น”

“อัครมเหสี พระองค์มิทรงรู้สึกถึงวิกฤตบ้างเลยหรือเพคะ”

จินเฟิ่งก้มหน้าคิด นางยิ้มพูด “เจ้าวางใจ เขาไม่มีทางปลดข้า”

“…” ซู่ฟางเบิกตากว้างร้องเสียงหลงออกมา “อัครมเหสี! เรื่องนี้มิใช่ปัญหาเรื่องปลดหรือไม่ปลดอัครมเหสี หากแต่เกี่ยวข้องกับฐานะของพระองค์ในตำหนักใน ในสายพระเนตรขององค์จักรพรรดิ! สิ่ง…สิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนามีเล็กน้อยเพียงเท่านี้เองหรือเพคะ”

“แล้วข้ายังจะทำอันใดได้” จินเฟิ่งพูดจนปัญญา “หรือเจ้าจะให้ข้าไปพูดกับฝ่าบาท โอ้ ฝ่าบาท พระองค์ทรงวาดดอกหลันฮวาได้เหมือนจริงยิ่งนัก…ยอดเยี่ยม…ยิ่งใหญ่…เกรียงไกร…”

ซู่ฟางหลุดขำพรืดออกมา นางกระทืบเท้า “อัครมเหสี!”

เฮ้อ ข้อดีของอัครมเหสีพระองค์นี้ คนนอกไหนเลยจะล่วงรู้ได้

แต่ข้อดีของอัครมเหสีอยู่ที่ไหนกันแน่นั้น ซู่ฟางเองก็บอกไม่ถูกเช่นกัน

จินเฟิ่งถือ ‘พงศวดารรวมแคว้น’ ปากก็เคี้ยวผลไม้เชื่อมไปพลาง ขณะที่ดื่มด่ำกับหนังสือไปได้สองสามหน้า จู่ๆ ก็มีนางกำนัลคนหนึ่งตรงดิ่งเข้ามาจากทางด้านนอก ในมือถือจดหมายไว้ฉบับหนึ่ง ปากก็บอกว่าเป็นจดหมายส่วนตัวของนาง

จินเฟิ่งตะลึงงัน “ผู้ใดเป็นคนส่งเข้ามา”

“ฮูหยินเวยกั๋วกงให้คนส่งเข้าวังมาเพคะ”

จินเฟิ่งยิ่งงงหนักเข้าไปอีก

หากมีเรื่องสำคัญจริงๆ ฮูหยินใหญ่หลิวย่อมต้องเดินทางเข้าวังมาด้วยตนเองแน่

แต่หากมิใช่เรื่องสลักสำคัญ แล้วทำไมต้องส่งจดหมายมาในเวลานี้ด้วย

จินเฟิ่งคิดไม่ตก นางคีบจดหมายไว้ ลองประเมินน้ำหนักดู เพียงกระดาษบางๆ แผ่นหนึ่งเท่านั้น จินเฟิ่งฉีกมันออกอ่าน ก่อนจะพบตัวหนังสือโย้ไปเย้มาบนกระดาษ

‘เฮยพั่งลูกรัก’

 

จินเฟิ่งโล่งอกขึ้นมาทันที ทุกทีก็มีแต่ฮูหยินใหญ่หลิวเข้าวังเอามาให้นางตลอด จินเฟิ่งไม่เคยได้รับจดหมายจากหย่งฝูตรงๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว จากที่ฮูหยินหลิวบอก หย่งฝูนั้นไม่ยินดีย้ายจากเรือนพำนักเดิม และฮูหยินใหญ่หลิวเองก็ไม่คิดฝืนใจนาง ส่วนเรื่องความเป็นอยู่ เพราะฮูหยินใหญ่หลิวคอยให้ความช่วยเหลืออยู่ ดังนั้นหย่งฝูจึงนับได้ว่ามีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบายยิ่ง

เพียงแต่…เฮ้อ คำว่าคนขายเนื้อแซ่เจ้านี้สยดสยองเกินว่าจะทนดูได้จริงๆ จินเฟิ่งมองดูจดหมาย รู้สึกว่าแต่ละเส้นอักษรล้วนเต็มไปด้วยเลือดหมูกระเซ็นอยู่ทั่ว

แต่ยิ่งอ่านไปเรื่อยๆ จินเฟิ่งก็ยิ้มไม่ออก

สีหน้าของนางหม่นหมองลงทีละน้อย

 

ในพระตำหนักเซวียนหลัว ต้วนอวิ๋นจั้งปิดหนังสือกราบทูลที่อ่านไปได้เพียงครึ่งลงช้าๆ

ที่เขียนไว้บนหนังสือกราบทูลคือคดีความคอขาดบาดตายคดีหนึ่ง เนื้อหาบอกว่าครอบครัวเศรษฐีครอบครัวหนึ่งนอกจากจะมีภรรยาหลวงอยู่คนหนึ่งกับอนุอีกหลายคนแล้ว ผู้เป็นเจ้าบ้านยังคงรู้สึกไม่พอ มีอยู่วันหนึ่งดันไปถูกใจน้องสาวของภรรยาหลวงที่อยู่ในวัยออกเรือน หมายจะรับไว้เป็นอนุ ภรรยาหลวงถูกละเลยมาเป็นเวลานาน ความอิจฉาชิงชังระคนปนเป ในที่สุดคืนหนึ่งนางก็จัดการรัดคอสามีจอมเจ้าชู้จนตายคาตั่งเตียง กรมอาญารายงานว่าจะทำการตัดหัวภรรยาหลวงคนนั้นหลังฤดูใบไม้ผลิ ขอองค์จักรพรรดิทรงมีพระราชวินิจฉัย

อ่านมาถึงตรงนี้ ต้วนอวิ๋นจั้งก็ให้รู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งแผ่นหลัง

วันนี้ตอนอยู่ที่ตำหนักถิงหลัว สายตาทุกข์ระทมขมขื่นของเฮยพั่งดูมิต่างอะไรกับเข็มที่ทิ่มแทงลงกลางใจเขา แขนกลมกลึงของเฮยพั่ง หากจะรัดคอใครสักคนให้ตาย…น่าจะไม่ใช่ปัญหา

ต้วนอวิ๋นจั้งกระแอมออกมาคำหนึ่ง เรียกหาเสี่ยวซุนจื่อ “เจ้าว่า อัครมเหสีรู้สึกอิจฉาจริงหรือไม่”

“กระหม่อม…มิทราบ…”

“เราถามความคิดเห็นของเจ้า เจ้าก็กล้าๆ พูดออกมาเถอะ!”

เสี่ยวซุนจื่อเงยหน้ามองต้วนอวิ๋นจั้งหวาดๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบก้มหน้าลง “กระหม่อม…รู้ก็แต่ว่าในวังมีถ้อยคำเล่าลืออยู่จริงพ่ะย่ะค่ะ…”

“ถ้อยคำเล่าลืออันใด” ต้วนอวิ๋นจั้งเลิกคิ้ว

“ถ้อยคำเล่าลือว่า…อัครมเหสีที่ไม่เป็นที่โปรดปราน คงมีสักวันที่จะถูก…ถูกปลด…”

“รีบพูด!”

เสี่ยวซุนจื่อตกใจหมอบลงกับพื้น “พวกเขาบอกว่าอัครมเหสีคงต้องถูกปลดออกจากตำแหน่ง ถูกส่งเข้าตำหนักเย็นไม่วันใดก็วันหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ!”

“ใครเป็นคนปล่อยข่าวลือเหลวไหลเช่นนี้” ต้วนอวิ๋นจั้งโกรธจัด เขาตบหนังสือกราบทูลลงกับโต๊ะ

เสี่ยวซุนจื่อไม่กล้าขยับ “กระหม่อม…ไม่ทราบ…”

ความโกรธขึ้งวนเวียนอยู่ในใจต้วนอวิ๋นจั้งรอบแล้วรอบเล่ากว่าจะสงบนิ่งลงได้

เฮยพั่งไม่ยินดีที่จะไปขอความเมตตาต่อเวยกั๋วกงให้ราชครูเว่ย ความจริงแล้วต้วนอวิ๋นจั้งก็พอจะเข้าใจเหตุผลได้อยู่ เพียงแต่ความรู้สึกไม่ยุติธรรมที่มีอยู่ในใจนั้นยากเกินจะขจัดออกไป ดังนั้นเขาจึงได้แต่โยนความเคียดแค้นไปลงที่เฮยพั่งแทน

ใครใช้ให้นางเป็นบุตรีของเวยกั๋วกงเล่า แต่หลิวไป๋อวี้เองก็เป็นหลานสาวของเวยกั๋วกงไม่ใช่หรือไร แล้วทำไมเขาถึงอดทนอดกลั้นต่อหลิวไป๋อวี้ได้ แต่กับเฮยพั่งเขากลับทำไม่ได้

ขณะกำลังคิดไปคิดมา นัยน์ตาดำขลับของเฮยพั่งคู่นั้นก็ปรากฏขึ้นในสมองของเขา ในที่สุดต้วนอวิ๋นจั้งก็ตัดสินใจ “เสี่ยวซุนจื่อ เตรียมเกี้ยวไปตำหนักเซียงหลัว”

เสี่ยวซุนจื่อตะลึงงัน เกือบครึ่งปีแล้วที่องค์จักรพรรดิมิได้เสด็จตำหนักเซียงหลัว

 

ในตำหนักเซียงหลัว นางกำนัลน้อยใหญ่ต่างพากันหน้านิ่วคิ้วขมวด แม้แต่ซู่ฟางหัวหน้านางกำนัลในตำหนักก็ยังสีหน้าเป็นทุกข์

ต้วนอวิ๋นจั้งไพล่มือเดินเข้าไปในตำหนักเซียงหลัว แต่แทนที่จะเห็นเฮยพั่งรีบวิ่งออกมารับหน้าอย่างที่คาดไว้ เขากลับเห็นซู่ฟางคุกเข่าหวาดๆ อยู่ตรงหน้าแทน

“อัครมเหสีเล่า” ต้วนอวิ๋นจั้งสีหน้าเย็นชาขึ้นหลายส่วน

ซู่ฟางก้มหน้า “วันนี้อัครมเหสี…เหมือนจะทรงประชวรเพคะ”

“ประชวร? แล้วเจ้าไปตามหมอหลวงมาแล้วหรือยัง”

“มิใช่พระอาการประชวรทางกายเพคะ…” ซู่ฟางพูดอ้ำๆ อึ้งๆ แหงนหน้ามองดูต้วนอวิ๋นจั้งคราหนึ่ง ก่อนจะรีบร้อนค้อมศีรษะ “หม่อมฉันบังอาจแล้ว ขอฝ่าบาทได้โปรดรีบเสด็จไปดูอัครมเหสีเถอะเพคะ”

ต้วนอวิ๋นจั้งใจเต้น “อัครมเหสีเป็นอะไรไป”

“นับแต่หลังเที่ยงเป็นต้นมา อัครมเหสีก็เอาแต่นั่งเหม่ออยู่บนบันไดหินหลังพระตำหนัก ไม่ยอมพูดยอมจา พวกหม่อมฉันกังวลใจยิ่งนัก” ซู่ฟางจวนเจียนร้องไห้ “ปกติอัครมเหสีทรงยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ หม่อมฉันไม่เคยเห็นพระนางทรงเป็นเช่นนี้มาก่อน”

คิ้วคมเข้มของต้วนอวิ๋นจั้งขมวดเข้าหากันแน่น หรือนางจะทุกข์ใจจริงๆ

คราวที่แล้วขนาดเขาไล่ให้นางไสหัวไปต่อหน้าผู้คนตั้งมากมาย นางยังไม่แสดงท่าทีเป็นทุกข์อันใดเลยแม้แต่น้อย ได้ยินว่าวันนั้นยังกินเมล็ดแตงไปตั้งเกือบครึ่งชั่ง แล้วเหตุใดครั้งนี้ถึงทุกข์ระทมเช่นนี้ได้

“เราจะไปดูเดี๋ยวนี้” ต้วนอวิ๋นจั้งรวบชายชุด ก้าวเท้าเดินตรงไปที่หลังตำหนัก

เงาร่างเล็กๆ อ้วนๆ ที่นั่งอยู่บนบันไดหินขั้นสุดท้ายปรากฏต่อสายตาอยู่ไกลๆ ถึงแม้ทั้งร่างจะห่อหุ้มด้วยอาภรณ์แพรต่วน บนผมเต็มไปด้วยเครื่องประดับเพชรนิลจินดาต่างๆ แต่ท่ามกลางฟ้าครามเมฆขาวผนังแดงกระเบื้องทองที่มีอยู่ทั้งใกล้ไกล ไม่ว่าจะมองเช่นไรก็ล้วนแลดูเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวเป็นที่สุด

ครั้นภาพทั้งหมดปรากฏชัดต่อสายตา ความรู้สึกกลัดกลุ้มที่ซ่อนลึกอยู่ภายในใจของต้วนอวิ๋นจั้งก็เพิ่มพูนขึ้นอีกหลายส่วน

เขาเดินตามบันไดหินไป นั่งลงทางด้านหลังของจินเฟิ่ง ก่อนจะยื่นมือเคาะลงบนไหล่ของนาง “เรามาแล้ว อัครมเหสียังไม่ถวายพระพรอีกกระนั้นหรือ”

แผ่นหลังของจินเฟิ่งเหยียดตรง ก่อนจะห่อเหี่ยวลงราวดอกฝ้ายถูกน้ำ “ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ” นางพูดน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามอง

ต้วนอวิ๋นจั้งรู้สึกกลัดกลุ้ม เขามองออกแต่แรกแล้วว่ามารยาทของเฮยพั่งล้วนมีไว้เพื่อให้ผู้อื่นดูเท่านั้น เรื่องที่นางไม่อยากทำ ไม่ว่าใครก็ทำอะไรนางไม่ได้

เพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับนาง เขาจึงถามออกมาอย่างระมัดระวัง “อัครมเหสี ทำไมเจ้าถึงเป็นทุกข์เช่นนี้”

นางยังคงพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “หม่อมฉันมิได้เป็นทุกข์”

ดูไม่ออกว่านางจะเป็นคนเอาใจยากแบบนี้

“ไม่ได้เป็นทุกข์? หรือว่าเจ้ากำลังรอดูตะวันลับฟ้าอยู่” ต้วนอวิ๋นจั้งมองดูท้องฟ้า บนฟ้าเมฆขาวลอยละล่อง กว่าพระอาทิตย์ตกดินยังมีเวลาอีกราวๆ สองชั่วยาม

“…” จินเฟิ่งใช้ความเงียบตอบกลับ

ต้วนอวิ๋นจั้งรออยู่เป็นนานแต่ก็มิได้รับคำตอบ สุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหว เดินอ้อมมาอยู่ตรงหน้านาง ยื่นมือเชยคางนางขึ้น

ครั้นมองเห็น ต้วนอวิ๋นจั้งก็ถึงกับตะลึง

จินเฟิ่งกำลังร้องไห้ บนใบหน้าดำกลมมีน้ำตาเปื้อนอยู่สองหยด ดวงตาสดใสเป็นประกายเปียกชื้นราวกับหมีตัวน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ

ต้วนอวิ๋นจั้งนึกเป็นห่วง เขาไม่เคยเห็นจินเฟิ่งร้องไห้มาก่อน ใบหน้าของเฮยพั่งที่อยู่ในใจเขา หากไม่ประดับด้วยรอยยิ้มจางๆ ก็เป็นรอยยิ้มประจบสอพลอ หรือไม่ก็ต้องเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์…ไม่ว่าจะพูดเช่นไร เฮยพั่งก็ล้วนยิ้มแย้มอยู่เสมอ

เขานิ่งอยู่เป็นนาน ก่อนจะเอื้อมมือปาดเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของนางออก “ใครรังแกเจ้า ข้าจะไปจัดการให้เอง!”

ในที่สุดจินเฟิ่งก็ยอมมองตาเขา จักรพรรดิองค์นี้ พอตื่นเต้นขึ้นมาก็ลืมคำว่า ‘เรา’ หมดสิ้น

นางลุกขึ้นทันที “ฝ่าบาท ไม่มีใครรังแกหม่อมฉันหรอกเพคะ” พูดจบนางก็หันหลัง เดินกลับออกไป

ต้วนอวิ๋นจั้งยืนครุ่นคิดอยู่กับที่ครู่หนึ่ง เขารีบสาวเท้าตามติดขึ้นไปสองก้าว “หรือเพราะที่ครึ่งปีนี้ข้าไม่ได้มาตำหนักเซียงหลัวเป็นเหตุ ข้ารู้ว่าในวังมีข่าวลือบางอย่าง เจ้าก็อย่าได้ใส่ใจ”

“ข่าวลือบางอย่าง?” จินเฟิ่งงุนงง

ต้วนอวิ๋นจั้งก้มหน้า “เฮยพั่ง ความจริง…ความจริงเรามิได้โกรธเจ้า…เพียงแต่บิดาของเจ้า…”

“ฝ่าบาท” จินเฟิ่งถอนหายใจ ท่าทางเหมือนร้องไห้ก็มิได้หัวเราะก็ไม่ออก “ทรงว่างมากหรือเพคะ”

“เอ๋?” ต้วนอวิ๋นจั้งตะลึงงัน มองดูแผ่นหลังของเฮยพั่งที่กำลังเดินขึ้นบันไดไป ถึงแม้เครื่องประดับศีรษะจะซ้อนกันอยู่หลายชั้น แต่นางก็ยังคงเดินลำคอตั้งตรง องค์จักรพรรดิผู้สูงส่งถูกนางทิ้งไว้เบื้องหลังเพียงลำพัง

คิ้วคมเข้มงดงามบนใบหน้าของต้วนอวิ๋นจั้งขมวดเข้าหากันอีกครั้ง

บทที่ 6

 

หลีว์อ๋องต้วนอวิ๋นจ้งนับตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องก็ย้ายไปพำนักอยู่ภายนอกวัง มีชีวิตสุขสำราญยากจะหาใดเทียบ

แน่นอนว่าชีวิตนอกวังย่อมต้องสนุกสนานกว่าชีวิตในวังหลายเท่านัก สามารถเดินตลาด กินของว่างเดินปะปนอยู่กับพวกชาวบ้าน และฟังเรื่องเล่าอยู่ในโรงน้ำชา หนำซ้ำยังสามารถหาความสำราญกับนางคณิกาในหอนางโลมได้อีก ที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าก็คือขณะที่ทำเรื่องเหล่านี้อยู่ เหล่าผู้อาวุโสในวังหลวงทั้งหลายต่างมีแส้ยาวแต่โบยไม่ถึงท้องม้า* แม้คิดอยากจะยื่นมือเข้ามาสอดก็มิอาจทำได้

ยังไม่ถึงหนึ่งปี ต้วนอวิ๋นจ้งก็กลายเป็นบุรุษเจ้าสำราญตัวน้อยที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงไปเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยามอยู่นอกวังหลวงเขาก็เที่ยวเล่นจนติดลมบนไม่ยอมกลับจวน วันเวลาที่กลับเข้าวังมีแต่จะลดน้อยถอยลงทุกที หากมิใช่พระพันปีกับสวีไท่เฟยทรงมีรับสั่ง เขามีหรือจะสมัครใจกลับเข้าวังหลวงด้วยตนเอง

วันนี้มีพระราชเสาวนีย์เรียกตัวเขาเข้าวัง ครั้นเข้าเฝ้าพระพันปีกับสวีไท่เฟยเสร็จ เขาก็แวะมายังพระตำหนักเซวียนหลัวเพื่อถวายพระพรองค์จักรพรรดิ แต่แล้วเขากลับพบว่าเสด็จพี่ของตนมีอะไรบางอย่างผิดปกติ จึงอดถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นมิได้

“ฝ่าบาททรงมีเรื่องในพระทัย?”

ต้วนอวิ๋นจั้งทรงประคองถ้วยน้ำชาใบหนึ่งไว้ในพระหัตถ์ ส่วนพระหัตถ์อีกข้างก็จับฝาถ้วยปาดไปบนผิวหน้าของน้ำชาเพื่อไล่ความร้อน ในใจลอยไปถึงท้องนภากว้างไกล

ต้วนอวิ๋นจ้งกลอกตาพลางพูด “ได้ยินว่าไป๋อวี้ผู้ปราดเปรื่องเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนอัครมเหสี ฝ่าบาทเองก็ทรงสนพระทัยในตัวนางมิใช่น้อย…ยามนี้ดูท่าคำเล่าลือที่ว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องเท็จ”

คำพูดคำจาของเขาแฝงไว้ซึ่งน้ำเสียงหยอกกระเซ้า ต้วนอวิ๋นจั้งแทนที่จะโต้แย้งคำพูดของอีกฝ่าย เขากลับทอดถอนใจออกมาคราหนึ่ง

“เจ้าไม่เข้าใจ”

ต้วนอวิ๋นจ้งรู้สึกนับถือผู้เป็นพี่ของตนผู้นี้ขึ้นมาทันที บุรุษที่มีสตรีย่อมแตกต่าง บุรุษที่มีสตรีสองนางก็ยิ่งแตกต่างมากขึ้นไปอีก ดูเสด็จพี่ของเขาสิ ความคิดอ่านในยามนี้ลึกล้ำมากมายเพียงใด!

ครั้นย้อนคิดถึงโฉมสะคราญที่เขาคบหาในหออี๋ชุน เฮ้อ พวกนางแต่ละคนล้วนเป็นดอกไม้ป่าทั้งสิ้น มิอาจเทียบเทียมได้จริงๆ

“ฝ่าบาท หากแม้ทรงมีความในพระทัย มิสู้เล่าให้กระหม่อมฟัง ไม่แน่ว่ากระหม่อมอาจช่วยให้ทรงหายกลัดกลุ้มได้” ต้วนอวิ๋นจ้งขยับเข้าใกล้ราวกับมีเรื่องใหญ่อันใด

ต้วนอวิ๋นจั้งขมวดคิ้วครุ่นคิด ยามนี้พระปิตุลาต้วนหล่งเยวี่ยมิอยู่ในเมืองหลวง แต่การจะให้พูดคุยปรึกษากับอีกฝ่ายด้วยเรื่องเช่นนี้ ตนเองก็ใช่ว่าจะพูดออกมาได้ หลังขบคิดไปคิดมาอยู่ครู่หนึ่ง คงมีเพียงต้วนอวิ๋นจ้งเท่านั้นที่เขาพอจะพูดด้วยได้

“อวิ๋นจ้ง…” ต้วนอวิ๋นจั้งคิดจะพูดแต่กลับหยุดไว้แค่นั้น

ใจของต้วนอวิ๋นจ้งราวกับถูกแหย่ด้วยขนห่าน “เสด็จพี่ ทรงมีอันใดก็รับสั่งออกมาเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

ต้วนอวิ๋นจั้งถอนหายใจอีกครั้ง “เจ้ารู้สึกว่าข้าปฏิบัติต่ออัครมเหสี ไม่ค่อยดีหรือไม่”

ต้วนอวิ๋นจ้งตะลึง “เสด็จพี่ทรงหมายถึงอัครมเหสีจริงๆ มิใช่หลิวไป๋อวี้กระนั้นหรือ”

“ใช่แล้ว!”

ต้วนอวิ๋นจ้งก็ครุ่นคิดจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง “เสด็จพี่ กระหม่อมรู้สึกว่าที่ทรงปฏิบัติต่อเฮยพั่งนั้นนับเป็นพระมหากรุณายิ่งแล้ว ด้วยนางมีรูปร่างหน้าตาเช่นนั้น หรือยังจะหวังให้พระองค์ทรงพระสำราญอยู่กับนางให้ได้ทุกค่ำคืน”

“อวิ๋นจ้ง” ต้วนอวิ๋นจั้งกระแอมออกมาคำหนึ่ง น้องชายคนนี้พูดจาไม่รู้จักยั้งคิดมากขึ้นทุกที

“เพียงแต่ว่า…” ต้วนอวิ๋นจ้งลูบคาง ก่อนจะพูดขึ้นมาอีก “หากว่ากันตามตรง เฮยพั่งก็นับว่าน่าสงสารอยู่มิใช่น้อย”

“เช่นไร”

“นับแต่เฮยพั่งเข้าวังมา พระพันปีก็ไม่ทรงเอ็นดูนาง ทุกคนต่างเฝ้าเยาะเย้ยถากถางนางไม่สิ้น ไม่มีสักคนที่จะเห็นนางเป็นอัครมเหสีจริงๆ วันนี้พระองค์ทรงมีคนโปรดคนใหม่ ไม่แน่ว่าอาจมีสักวันที่นางจะรักษาตำแหน่งอัครมเหสีไว้ไม่อยู่ เฮ้อ เฮยพั่งช่างไร้เดียงสายิ่งนัก ว่าตามความจริงยามว่างก็ไปพูดคุย ขบเมล็ดแตงกับนาง ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจมิใช่น้อย”

“…” ต้วนอวิ๋นจั้งหมดคำพูด

“ถูกแล้ว กระหม่อมอยู่นอกวังหลวงยังได้ยินข่าวลืออีกเรื่อง ว่ากันว่าเฮยพั่งมิใช่บุตรีในอุทรของฮูหยินใหญ่เวยกั๋วกง”

“เอ๋?”

“มารดาผู้ให้กำเนิดของเฮ่ยพั่ง ว่ากันว่าเป็นเพียงสตรีฐานะต้อยต่ำ ดังนั้นในจวนเวยกั๋วกง เฮยพั่งจึงไม่มีฐานะอันใด”

“ที่แท้ก็เช่นนี้…” พอนึกถึงเรื่องที่เขาเคยบังคับให้จินเฟิ่งไปขอร้องหลิวเซีย ต้วนอวิ๋นจั้งก็รู้สึกสำนึกผิดขึ้นมาหลายส่วน

“เสด็จพี่ ทำไมจู่ๆ พระองค์ถึงได้ทรงเป็นห่วงเป็นใยเฮยพั่งขึ้นมาเช่นนี้เล่า” ต้วนอวิ๋นจ้งพินิจพิเคราะห์ดูสีหน้ายากจะคาดเดาของเสด็จพี่ของตน

สีหน้าอึดอัดปรากฏขึ้นอยู่บนใบหน้าของต้วนอวิ๋นจั้ง “เฮ้อ สองสามวันมานี้อัครมเหสีเหมือนจะมีเรื่องเจ็บปวดใจบางอย่าง แต่เรากลับมิอาจช่วยปลอบใจ”

ต้วนอวิ๋นจ้งก็เข้าใจได้ทันที

ที่แท้ก็สตรีทุกข์ระทมนี่เอง!

สตรีทุกข์ระทม พูดให้น่าฟัง ก็คือลำนำฉางเหมิน* หากจะพูดให้ไม่น่าฟังก็คือความอิจฉานั่นเอง

“เสด็จพี่ ต้องการให้กระหม่อมช่วยปลอบใจเฮยพั่งแทนพระองค์หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้า?” ต้วนอวิ๋นจั้งชำเลืองมองอย่างไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทำได้ เขารู้ว่าต้วนอวิ๋นจ้งเชยชมหมู่มวลบุปผาอยู่นอกวังมิได้ว่างเว้น แต่เรื่องปลอบใจสตรี…

ต้วนอวิ๋นจ้งเองก็อ่านความคิดของต้วนอวิ๋นจั้งออก เขาจึงตบอกยืนยัน “ทรงวางใจเถิดเสด็จพี่ ทุกอย่างกระหม่อมรับผิดชอบเอง”

 

ต้วนอวิ๋นจ้งเดินทางมายังตำหนักเซียงหลัว ซู่ฟางรายงานกับเขาว่าจินเฟิ่งยังคงนั่งแหงนหน้ามองดูท้องฟ้าอย่างเป็นทุกข์อยู่หลังตำหนักเหมือนเช่นเคย

ต้วนอวิ๋นจ้งได้ฟังก็สำลัก น้ำชาในปากพุ่งกระเด็นไกลสามฉื่อ เสี่ยวพั่งยังคงแหงนหน้ามองดูท้องฟ้า หนำซ้ำยังเป็นทุกข์ด้วยนี่นะ ดูท่าความระทมทุกข์จะเปลี่ยนสตรีนางหนึ่งได้จริงๆ ขนาดเฮยพั่งยังกลับกลายเปลี่ยนเป็นหญิงสาวเจ้าอารมณ์ไปได้

เขาถอนหายใจ แล้วตัดสินใจจะไปดูทัศนียภาพที่ยากจะพบเห็นนี้สักครั้ง

ครั้นมาถึงหลังตำหนัก เขาก็แอบย่องไปที่ด้านหลังของจินเฟิ่ง จากเดิมที่ตั้งใจว่าจะทำให้นางตกใจสักหน่อย แต่กลับถูกกระดาษในมือนางดึงดูดความสนใจไปเสียก่อน

กระดาษในมือจินเฟิ่งคล้ายถูกนางขยำจนยับยู่ยี่มาก่อน ท่วงทำนองสะบัดลายน้ำหมึกติดกันเป็นพืดบนกระดาษเขียนเอาไว้ว่า

 

’เฮยพั่งลูกรัก ระยะนี้ความเป็นอยู่ของแม่จัดว่าสุขสบายยิ่งนัก คนขายเนื้อแซ่เจ้าพอฆ่าหมูเสร็จก็มักเอาเนื้อหมูสดใหม่มาให้แม่ได้ลองกินอยู่เป็นประจำ ดังนั้นแม่จึงอ้วนขึ้นอีกไม่ใช่น้อย ส่วนฮูหยินใหญ่เองก็ส่งข้าวของเงินทองมาให้มากมาย ตอนนี้แม่ไม่ต้องเอาผ้าปักไปขายก็สามารถซื้อเครื่องนอนผ้าต่วนได้แล้ว จางเสี่ยวโซ่วที่อยู่หน้าถนนก็รับสาวอ้วนคนหนึ่งมาเป็นภรรยาแล้ว แต่นางตัวขาวสะอาดมาก ยังมีเสี่ยวอวี๋ที่แต่ก่อนเคยเรียนหนังสือกับเจ้า ได้ยินว่าสอบเป็นบัณฑิตจวี่เหริน* ได้แล้ว ปีนี้ต้องสอบเป็นจิ้นซื่ออีก อนาคตนับว่าดีไม่น้อยเลยทีเดียว

แม่เขียนหนังสือไม่เป็น ดังนั้นถึงได้ไม่เคยเขียนจดหมายหาเจ้า จดหมายฉบับนี้แม่ให้คนขายเนื้อแซ่เจ้าช่วยเขียนให้ เจ้าคงมองออก ที่เขียนจดหมายมาหาเจ้าคราวนี้ ที่สำคัญคือมีเรื่องจะบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง ไช่จูเก๋อที่อยู่บ้านตรงกันข้ามหมั้นหมายแล้ว ว่าที่เจ้าสาวของเขามิใช่ข้า แต่เป็นหญิงม่ายจากซานซี นางทั้งขาวทั้งผอม รูปร่างยังกับต้นหอมก็ไม่ปาน กำหนดแต่งงานคืออีกสามวันข้างหน้า ไช่จูเก๋อส่งจดหมายเชิญมาให้แม่ด้วย แม่ไม่รู้ว่าจะไปดีหรือไม่ไปดี เฮยพั่ง เจ้าว่าแม่ควรไปหรือไม่

 

จินเฟิ่งมองดูจดหมายฉบับนั้นพลางเช็ดน้ำตาเงียบๆ

ต้วนอวิ๋นจ้งตั้งอกตั้งใจอ่านเนื้อความในใจหมายสองรอบ ในที่สุดเขาก็อดใจถามออกมาไม่ได้ “ไช่จูเก๋อคือผู้ใด”

จินเฟิ่งหันหน้ากลับรวดเร็ว ทำให้ปิ่นทองอันหนึ่งฟาดเข้ากับจมูกของต้วนอวิ๋นจ้ง ต้วนอวิ๋นจ้งก็กุมจมูกทรุดลงกับพื้นรวดเร็ว

จินเฟิ่งเลิกคิ้วมองดูด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าแอบอ่านจดหมายของเรา?”

ต้วนอวิ๋นจ้งน้ำตาแทบร่วง ดูสิดู เวลาอารมณ์ไม่ดีพี่สะใภ้ของเขาปฏิบัติตนต่อผู้อื่นโหดร้ายเพียงไหน

“อัครมเหสี…” เขาฝืนลุกขึ้นจากพื้น “เรื่องที่ทรงกลัดกลุ้มกระหม่อมพอเข้าใจได้อยู่หลายส่วน ไช่จูเก๋อผู้นั้น…คงสนิทสนมกับมารดาบังเกิดเกล้าของพระองค์กระมัง” ต้วนอวิ๋นจ้งพยายามทายออกมาอ้อมๆ

จินเฟิ่งไม่พูด

ต้วนอวิ๋นจ้งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา “อัครมเหสีต้องการให้กระหม่อมเรียกเจ้าเมืองนครหลวงให้ส่งคนไปพังงานแต่งงานของเขา จนเขาแต่งงานไม่สำเร็จหรือไม่”

จินเฟิ่งมองดูเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาเฉกมองคนสติปัญญาอ่อนด้อยรอบหนึ่ง

ต้วนอวิ๋นจ้งเองก็จนปัญญา “เช่นนั้นอัครมเหสีทรงคิดจะทำเช่นไร”

จินเฟิ่งทอดสายตาไปยังขอบฟ้ากว้างไกล ถอนหายใจด้วยความเศร้าหมองหดหู่

เสียงถอนหายใจของนางทำเอาต้วนอวิ๋นจ้งถึงกับมืดแปดด้าน แทบอยากจะทึ้งผมบนศีรษะตนเอง เขาเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของต้วนอวิ๋นจั้งได้ ให้มาดูเฮยพั่งกลัดกลุ้มเช่นนี้ นับเป็นการทรมานใหญ่หลวงโดยแท้

“อัครมเหสี กระหม่อมรับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้มาช่วยคลายทุกข์ให้พระองค์ หากมีอันใดให้กระหม่อมช่วยเหลือ ขอเพียงกระหม่อมทำได้ รับรองว่ากระหม่อมยินดีทำเพื่อพระองค์อย่างสุดความสามารถ”

จินเฟิ่งชำเลืองมองเขาปราดหนึ่ง หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่นางถึงได้พูดออกมา “จริงหรือ”

ต้วนอวิ๋นจ้งชูสามนิ้วสาบาน “จริงพ่ะย่ะค่ะ”

จินเฟิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมา “อวิ๋นจ้ง เราต้องการให้เจ้าช่วยพาเราออกจากวังหลวง”

ต้วนอวิ๋นจ้งอ้าปากค้าง เขารู้สึกว่าจู่ๆ เหนือหัวตนเองก็มีเมฆดำลอยวนเวียนอยู่ “อัครมเหสี…เรื่องนี้…เกรงว่า…”

“อวิ๋นจ้ง เดือนที่แล้วฝ่าบาททรงแต่งกายเป็นขันทีน้อยออกจากวังหลวงไปพร้อมกับเจ้า พวกเจ้าไปที่ใด เราคิดว่าพระพันปีคงต้องนึกสนใจใคร่รู้เป็นแน่”

“แค่กๆ…อัครมเหสี…ทรงชอบพูดล้อเล่นยิ่งนัก!”

ยามสายัณห์ หลีว์อ๋องต้วนอวิ๋นจ้งพร้อมขันทีคนสนิทสองคนก็รีบร้อนออกจากวังราวกับถูกไฟลนก้น

พวกทหารองครักษ์ที่เฝ้าประตูเฉาหยาง ต่างประจักษ์ชัดถึงใบหน้าแดงก่ำของหลีว์อ๋องกับรอบเอวกลมดิกของขันทีคนสนิทรายนั้น

 

เดือนสองกลางฤดูร้อนดอกบัวบานงดงาม ดอกมู่จิ่น* บานสะพรั่ง ดอกมู่จิ่นในพระตำหนักเซวียนหลัว ราวในหนึ่งวันพวกมันเบ่งบานถึงสามครั้ง ร่วงโรยถึงสามครา

ต้วนอวิ๋นจั้งรออยู่ที่พระตำหนักเซวียนหลัวอยู่เป็นนาน จนสุดท้ายเขาก็อดทนรอต่อไปไม่ไหว

เจ้าบ้าต้วนอวิ๋นจ้ง ทำอะไรไม่เคยไว้วางใจได้สักครั้ง

ต้วนอวิ๋นจั้งจึงตัดสินใจจะแวะเวียนไปตำหนักเซียงหลัวดูสักครา

ขณะกำลังจะไปยังตำหนักเซียงหลัวเพื่อดูเหตุการณ์นั่นเอง แต่เหตุการณ์กลับมาหาเขาถึงหน้าประตู

ซู่ฟางคุกเข่าอยู่ที่หน้าพระตำหนัก เหงื่อเย็นไหลโซมกาย

เพราะหลังจากพบหลีว์อ๋องตอนยามอู่ อัครมเหสีก็หายตัวไปจากตำหนักเซียงหลัว ขังขันทีที่แต่งตัวเป็นสตรีคนหนึ่งไว้ในห้องสุขา ส่วนทหารองครักษ์ที่ประตูเฉาหยางก็ต่างยืนยันว่าหลีว์อ๋องมีผู้ติดตามตัวอ้วนๆ ตามออกไปด้วยคนหนึ่งจริง

สีหน้าของต้วนอวิ๋นจั้งในยามนี้ดำคล้ำกว่าใบหน้าของจินเฟิ่งอยู่หลายส่วน

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ต้วนอวิ๋นจั้งก็ตรัสขึ้น “เรื่องนี้นอกจากเจ้าแล้ว ยังมีใครอีกบ้างที่รู้”

ซู่ฟางโขกศีรษะ “นางกำนัลในตำหนักเซียงหลัวล้วนปิดปากสนิท นอกจากหม่อมฉันกับนางกำนัลอีกไม่กี่คนแล้ว ก็ไม่มีใครอื่นที่รู้เรื่องนี้เพคะ”

ต้วนอวิ๋นจั้งพยักหน้า “ดี ปิดเรื่องนี้ให้สนิท จะให้แพร่งพรายไปถึงพระเนตรพระกรรณของพระพันปีมิได้เด็ดขาด”

“เพคะ” ซู่ฟางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามออกมา “เช่นนั้นอัครมเหสี…”

ต้วนอวิ๋นจั้งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง “เราจะไปพานางกลับมาเอง”

ต้วนอวิ๋นจ้ง เจ้าเด็กบ้า คราวนี้เจ้าได้ตายแน่

 

บ้านของไช่จูเก๋อในตรอกสกุลหวง สิ่งอื่นใดล้วนไม่มี จะมีมากที่สุดก็เพียงของสองสิ่ง ได้แก่ติ้วเซียมซีทำนายดวงชะตา กับผ้าเช็ดหน้าปักลายนกยวนยางตัวอ้วน ติ้วเซียมซีเป็นเครื่องมือทำมาหากินของไช่จูเก๋อ ส่วนลายปักนกยวนยางอวบอ้วนบนผ้าเช็ดหน้าแต่ละคู่ ล้วนเป็นฝีมือปักของหย่งฝูมารดาของเฮยพั่งด้วยกันทั้งสิ้น

ไช่จูเก๋อเป็นคนดีที่ชาวบ้านทุกคนต่างรู้จัก เขาตั้งแผงทำนายดวงชะตาอยู่ที่ริมถนน แต่ไหนแต่ไรไม่เคยพูดคำอัปมงคล เพื่อนบ้านทั้งหลายต่างรู้ว่าศาสตร์ทำนายดวงชะตาของไช่จูเก๋อก็เหมือนกับประกาศของกรมพิธีการ หรือรายงานประจำปีของกรมอากรที่ประกาศแต่เรื่องดีไม่ประกาศเรื่องร้าย ไช่จูเก๋อเคยช่วยทำนายดวงชะตาให้เฮยพั่งตัวน้อยของหย่งฝูมาก่อน ตอนนั้นไช่จูเก๋อคิดคำนวณอยู่เป็นนาน ก่อนจะชี้ขาดว่าเฮยพั่งชะตาวาสนาสูงส่งมีดวงเป็นถึงอัครมเหสี

เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องขำขันหลังอาหารของพวกเพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียง และนับแต่นั้นทุกคนก็เห็นการทำนายดวงชะตาของไช่จูเก๋อเป็นเพียงคำอำนวยพรเท่านั้น

จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง แผงขายอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยถูกเซ้งให้กับหญิงม่ายจากซานซีนางหนึ่ง หญิงม่ายเปลี่ยนแผงขายอุปกรณ์เย็บปักถักร้อยมาเป็นร้านขายเต้าหู้ซีซือแทน นับตั้งแต่นั้น ผ้าเช็ดหน้าปักนกยวนยางอวบอ้วนของไช่จูเก๋อก็ค่อยๆ ย้ายไปอยู่ที่ร้านเต้าหู้ซีซือแทน ส่วนเต้าหู้นุ่มละมุนลิ้นที่เต้าหู้ซีซือทำ ก็ย้ายเข้าไปอยู่ในท้องของไช่จูเก๋อเป็นจำนวนมาก

นับแต่นั้นเป็นต้นมาผ้าเช็ดหน้าปักนกยวนยางอ้วนๆ ก็ถูกเต้าหู้ซีซือจับยัดไว้ใต้ลัง หลังจากผ่านไปได้ประมาณครึ่งปี ไช่จูเก๋อก็ตัดสินใจรวมติ้วเซียมซีกับโม่หินบดเต้าหู้เข้าด้วยกัน ส่วนผ้าเช็ดหน้าปักนกยวนยางอ้วนพวกนั้นก็ถูกลืมไปจนสิ้น

ด้วยคำอำนวยพรของไช่จูเก๋อแม่นยำมิใช่น้อย ดังนั้นหลายปีมานี้เขาจึงทำเงินได้มากโขอยู่ และด้วยเหตุนี้งานวิวาห์ของเขาจึงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อนบ้านตลอดทั้งตรอกถูกเชิญให้ไปดื่มสุรามงคลกันอย่างถ้วนทั่ว

ว่ากันว่าช่างปักผ้าหย่งฝูที่ลูกสาวชะตาวาสนาสูงส่งมีดวงเป็นถึงอัครมเหสีกลับไม่รู้จักดูทิศทางลม ถ่อไปร่วมวงครึกครื้นในงานเลี้ยงแต่งงานของอีกฝ่าย

“หย่งฝู ใจเจ้าคิดเช่นไรข้าย่อมรู้ดี แต่ว่าข้ากำลังจะมีครอบครัวแล้ว การที่เจ้ามาทำลายข้าวของในพิธีมงคลของข้า มันหมายความเช่นไรกัน” ไช่จูเก๋อที่มีดอกไม้ไหมสีแดงใหญ่ขนาดเท่าถังล้างหน้าผูกติดอยู่บนหน้าอก เอ่ยปากเตือนหย่งฝูด้วยความหวังดี

แขกเหรื่อที่มาร่วมพิธีต่างพากันห้อมล้อมเข้ามาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในงานเลี้ยง แต่ละคนต่างรู้สึกตื่นเต้น

“คนนี้เองน่ะหรือ ที่ไช่จูเก๋อไม่ยอมเลือก”

“มิน่าเล่า หากเป็นข้า ข้าก็เลือกเต้าหู้ซีซือเช่นกัน”

“เฮ้อ ไร้เหตุผลจริงๆ ถูกผู้ชายสลัดทิ้งแล้วยังจะมาทำลายข้าวของถึงพิธีแต่งงานของชาวบ้านอีก”

หย่งฝูตะลึงมองดูกาน้ำชาที่หล่นแตกอยู่กับพื้น ปากนางขยับขึ้นลง แต่กลับไม่มีคำพูดใดหลุดลอดออกมาแม้แต่ครึ่งคำ

“หย่งฝู เจ้าอายุก็มิใช่น้อยแล้ว ทำไมถึงยังปลงไม่ได้เล่า”

หย่งฝูเลียริมฝีปากแห้งผาก “ท่าน…ไม่ใช่เป็นคนเชิญข้ามาหรอกหรือ”

ไช่จูเก๋อสองตาก็เบิกโพลงตะลึงงัน “ข้าเชิญเจ้ามาก็ด้วยเพราะเห็นแก่ที่เป็นเพื่อนบ้านในตรอกเดียวกัน ถึงได้เชิญเจ้ามาร่วมดื่มสุรามงคลด้วย มิใช่ให้เจ้ามาทำลายข้าวของ!”

“ข้า…ข้าเพียงไม่ทันระวังจึงเผลอทำมันหล่น…”

ไช่จูเก๋อคล้ายไม่ได้ยินคำอธิบายของหย่งฝู “เฮ้อ ความจริงที่ข้าส่งเทียบเชิญให้เจ้าก็เพียงเพราะเจตนาดีเท่านั้น ต่อให้เจ้าไม่มา ข้าก็เข้าใจได้ แต่ยามนี้การที่เจ้าทำเช่นนี้มิเท่ากับต้องการให้ข้าเสียหน้าหรอกหรือ เฮ้อ หย่งฝู หากเป็นผู้อื่นเกรงว่าเจ้าในยามนี้คงถูกไล่ตะเพิดออกจากงานไปแล้ว เห็นแก่ที่เจ้าเองก็น่าสงสาร ข้าจะไม่ถือสาหาความ เอาเป็นว่าเจ้าก็ไปเสียเถอะ”

ทุกคนต่างพยักหน้าพูด “ใช่แล้ว คงมีเพียงคนดีอย่างไช่จูเก๋อเท่านั้นที่ตอนนี้ยังพูดดีกับนางอยู่อีก”

หย่งฝูเบ้ปาก “ก็แค่ทำกาน้ำชาใบหนึ่งแตกเท่านั้นมิใช่หรือไร”

ไช่จูเก๋อถอนหายใจหนักหน่วง ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ว่าที่เจ้าสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ กลับเลิกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออกแล้วเอ่ยขึ้น “กาน้ำชาใบหนึ่ง? นี่ไม่ใช่กาน้ำชาธรรมดาๆ! ถ้าจะไปก็ต้องชดเชยกาน้ำชาใบนี้ของข้ามาก่อนถึงจะไปได้”

ทุกคนต่างพากันส่งเสียงฮือฮา กาน้ำชาใบหนึ่งจะสักกี่เฉียนเชียว

เต้าหู้ซีซือบิดเอวเล็กคอดกิ่วแล้วกระดิกนิ้วก้อย หยิบเศษกาน้ำชาบนพื้นขึ้นมาชิ้นหนึ่ง “ทุกท่านดู กาน้ำชาใบนี้เป็นสินสมรสติดตัวที่ข้าได้มาจากบ้านของท่านแม่ เป็นกาน้ำชาจากเกอเหย่า* ใบหนึ่งราคาสองตำลึงเงิน!” นางพูดพลางกวาดดวงตาดอกเหมยเปล่งประกายคู่นั้นไปบนร่างของหย่งฝู “เรื่องเจ้าก่อความวุ่นวายในงานแต่ง ข้ากับท่านพี่ไม่ถือสาก็ได้ แค่จ่ายเงินชดเชยมาก็พอ!”

หย่งฝูมองดูเศษกาน้ำชาบนพื้นอยู่เป็นนาน นางดูไม่ออกว่ากาน้ำชาที่ว่านั้นพี่ชายกัดหรือน้องชายกัดแทะมันออกมา แต่ในเมื่อเต้าหู้ซีซือยืนกรานหนักแน่นเช่นนั้น

หย่งฝูก็ได้แต่สอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ แต่หลังจากคลำอยู่เป็นนาน นางก็ล้วงเงินออกมาได้แค่เฉียนเดียวเท่านั้น

“เหล่าไช่ วันนี้ข้ามาดื่มสุรามงคล ไหนเลยจะพกเงินติดตัวมาด้วย” หย่งฝูมองดูไช่จูเก๋อด้วยท่าทีน่าสงสาร

ไช่จูเก๋อใจอ่อน รับเงินหนึ่งเฉียนนั้นไว้ในมือ แล้วพูดขึ้น “เมียจ๋า เงินเฉียนเดียวก็เฉียนเดียวเถอะ ที่เหลือ วันหน้าค่อยให้นางชดใช้”

“ไม่ได้!” เต้าหู้ซีซือคิ้วขมวด “ใครจะไปรู้ว่าวันหน้านางจะยอมรับหนี้ที่ติดค้างนี้หรือไม่ นอกเสียจากว่า นางจะยอมเขียนหนังสือสัญญารับสภาพหนี้”

“ใช่ เขียนหนังสือสัญญา!”

“เขียนบันทึกกู้ยืม!”

ท่ามกลางผู้คนมากมาย พวกเด็กหนุ่มในตรอกต่างพากันตะโกนหัวเราะเสียงดัง

หย่งฝูราวกับแมวชรา ถูกบีบบังคับจนติดอยู่ในมุม

“ข้า…”

“เจ้านั่น…ชาวบ้านทุกท่าน…” ชายหนุ่มในอาภรณ์หรูหรางดงามคนหนึ่งตะโกนอ้ำๆ อึ้งๆ พลางเบียดเสียดฝูงชนเข้ามา กุมพัดแล้วประสานมือไว้ที่หน้าอก ขณะที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นของใครบางคนก็ดังขึ้นอย่างฉับพลัน

“เขียนปากยายเจ้าน่ะสิ!”

ใบหน้าของชายหนุ่มคนดังกล่าวราวกับมะเขือถูกฟ้าผ่าใส่ ใบหน้าขาวสะอ้านกลับกลายเป็นสีม่วง เขาหันมองกลับไปตามที่มาของเสียง ดวงตาฉายแววประหลาดใจ “อัครมเหสี…”

เสียงรับสั่งของอัครมเหสีสยบเสียงอุทานของผู้คนในงานจนหมดสิ้น เฮยพั่งแหวกผ่านฝูงชนด้วยท่าทางฮึกเหิม เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหย่งฝู “ท่านแม่!”

หย่งฝูตะลึงมองเด็กสาวตรงหน้าที่ไม่ว่าจะเค้าโครงหรือรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ ล้วนแตกต่างจากเฮยพั่งของตนเองโดยสิ้นเชิงอยู่ครู่ใหญ่ น้ำตาทะลักล้นอาบสองแก้ม

“เฮยพั่ง…”

“ท่านแม่!” ดวงตาของจินเฟิ่งเองก็เปียกชื้น นางยื่นมือโอบกอดร่างกายอ้วนดำของผู้เป็นมารดาอยู่นาน ก่อนจะคลายมือออกช้าๆ

“ลูกรักของแม่ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว” หย่งฝูหยุดร้องไห้แล้ว นางหันมายิ้มแทน

“ท่านแม่…” จินเฟิ่งมองดูนัยน์ตาของผู้เป็นมารดาด้วยน้ำใสใจจริง นางถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง “งานกราบไหว้ฟ้าดินของพวกหนูสกปรกมีอะไรน่าดูกัน ทำไมต้องวิ่งมาหาเรื่องใส่ตัวด้วย”

ดวงตาดอกเหมยของเต้าหู้ซีซือมีริ้วรอยขึ้นมาทันที “เจ้าว่าใคร”

ตาของจินเฟิ่งกวาดมองไปบนร่างของเต้าหู้ซีซือรอบหนึ่ง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ยิ้มแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจ “แล้วเจ้าคิดว่าข้าด่าผู้ใดกัน”

เต้าหู้ซีซือสีหน้าเขียวปั้ด “วันนี้พวกเจ้าสองคนแม่ลูกคิดมาทำลายงานวิวาห์อย่างนั้นหรือ”

“แน่นอนว่าไม่ใช่” จินเฟิ่งส่ายหน้า

สีหน้าของเต้าหู้ซีซือก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย คิดว่าจินเฟิ่งจะพูดจายอมรับผิดแต่โดยดี

แต่จินเฟิ่งกลับพูดออกมาช้าๆ “ท่านแม่ข้ามาเพื่อดื่มสุรามงคล แต่ข้าต่างหากที่มาเพื่อทำลายงานวิวาห์”

พูดจบนางก็คีบเศษกาน้ำชาที่เต้าหู้ซีซือถือไว้เมื่อครู่ขึ้นมาดูปราดหนึ่ง “ใบละสองตำลึงเงินกระนั้นหรือ” หลังจากนั้นนางก็หันไปทางอวิ๋นจ้ง “อวิ๋นจ้ง เจ้ามีเงินติดตัวมาเท่าใด”

ต้วนอวิ๋นจ้งปั้นหน้าลำบากใจ เขาหยิบเอาถุงเงินบนเอวออกมา

จินเฟิ่งไม่เกรงใจ หยิบเอาเงินสองตำลึงทองออกมา โยนไปบนโต๊ะ “กาน้ำชาทั้งหมดข้าเหมาแล้ว อวิ๋นจ้ง พังมันซะ”

น้ำเสียงเรียบเฉยดังลอยเข้าหูต้วนอวิ๋นจ้ง ยังไม่ทันที่ต้วนอวิ๋นจ้งจะทันมีท่าทีตอบสนอง กาน้ำชาใบหนึ่งก็แหลกละเอียดอยู่บนพื้นข้างเท้าเขาแล้ว

“อัคร…” ต้วนอวิ๋นจ้งตกใจ เขาเคยพบเห็นสตรีมาหลากหลายรูปแบบก็จริง แต่กลับไม่เคยพบผู้ใดบ้าคลั่งได้เท่านี้มาก่อน

“เจ้าไม่ทุ่ม หรือจะให้ข้าพังมันเองคนเดียวทั้งหมด” จินเฟิ่งนวดข้อมือ หลังจากนั้นก็คว้ากาน้ำชาสองใบจากโต๊ะข้างๆ ขึ้น ทุ่มมันลงกับพื้น

“…” ทุกคนต่างตะลึงงัน

เต้าหู้ซีซือกับไช่จูเก๋อก็อ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าเพราะถูกท่าทีของจินเฟิ่งสะกดไว้ หรือเพราะถูกเงินสองตำลึงทองนั้นสะกดไว้กันแน่

ครั้นเห็นอัครมเหสีเฮยพั่งเสด็จไปทางใดทางนั้นก็แหลกลาญ จู่ๆ ต้วนอวิ๋นจ้งก็พลันอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาเหลือประมาณ

“ได้ พวกเราก็พังมันด้วยกัน”

ทุกคนยังตะลึงงันไม่เลิก

งานวิวาห์ไม่สำคัญอีกแล้ว

ที่สำคัญก็คือชายหนุ่มหญิงสาวในอาภรณ์งดงามหรูหรา ทำไมกลับกลายเป็นคนสติวิปลาสสองคนไปได้

กว่าที่ต้วนอวิ๋นจั้งจะดึงใยลอกรังไหม* และคลำเครือไปหาแตง** อย่างยากลำบากจนพบสถานที่ลึกลับที่เรียกว่าตรอกสกุลหวงพบ สถานการณ์ของที่นั่นก็เกินกว่าที่คนคนหนึ่งจะควบคุมได้แล้ว

เขามองเห็นน้องชายที่แสนจะน่ารักว่านอนสอนง่ายกำลังวิ่งวุ่น ทุ่มเครื่องกระเบื้องทุกชิ้นที่ฉวยคว้าได้ลงพื้น ปากยังร้องตะโกนเสียงดัง

“ใบละสองตำลึงเงิน!”

 

องค์จักรพรรดิทรงพิโรธหนัก

หลังชดใช้ค่าเสียหายและเก็บกวาด ’สถานที่เกิดเหตุ’ ที่แสนยุ่งเหยิงเรียบร้อย แล้วส่งตัวพระสัสสุกลับสู่เรือนหลังเล็กโดยสวัสดิภาพ องค์จักรพรรดิก็นำนักโทษหญิง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือภรรยาของตน กับอีกหนึ่งนักโทษชาย หรือผู้เป็นน้องชายกลับวังหลวง

นี่ต่างหากถึงจะเป็น ‘พี่น้องทนได้ พี่สะใภ้ไม่อาจทน***’ ของแท้

ทำเช่นนี้เท่ากับจงใจย้อนเจตนาฟ้าชัดๆ

องค์จักรพรรดิทรงเดินวนเวียนไปมาอยู่ในพระตำหนักเซวียนหลัวหลายต่อหลายรอบ แต่ก็หาถ้อยคำบ่งบอกถึงความขุ่นข้องมิได้ ตลอดช่วงระยะเวลาหลายปีที่ทรงเป็นจักรพรรดิ ข้อคิดประการหนึ่งที่ทรงได้มาก็คือ ยามไม่รู้ว่าควรพูดอันใด ทางที่ดีที่สุดคือให้เงียบไว้ก่อน

ดังนั้นองค์จักรพรรดิจึงทรงย่างพระบาทเดินต่อไป

ต้วนอวิ๋นจ้งคุกเข่าอยู่ที่ด้านล่างอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็ทนไม่ไหว เขาเงยหน้าพูดเสียงแผ่ว “เสด็จพี่ กระหม่อมกลับได้แล้วหรือยังพ่ะย่ะค่ะ”

ต้วนอวิ๋นจั้งกวาดสายพระเนตรอันคมกริบไปที่ต้วนอวิ๋นจ้งรวดเร็ว ต้วนอวิ๋นจ้งก็รีบก้มหน้าคุกเข่าแต่โดยดีต่อ

จินเฟิ่งที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ พูดออกมาเบาๆ “อวิ๋นจ้ง เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”

องค์จักรพรรดิทรงกริ้วพระพักตร์บึ้งตึง “เราอนุญาตให้เขากลับไปได้ตั้งแต่เมื่อใด”

จินเฟิ่งแหงนหน้ามองด้วยสายตากล้าหาญ “ฝ่าบาท หากยังทรงให้หลีว์อ๋องอยู่ในวัง พระองค์มิเกรงว่าพระพันปีจะตรัสถามหาเหตุผลหรือเพคะ ”

“เจ้า…” ต้วนอวิ๋นจั้งโมโหกัดฟันแน่น หากมิใช่เพราะเจ้าเฮยพั่งล่อลวงต้วนอวิ๋นจ้งให้พาเจ้าออกนอกวังไปโดยพลการ เขาไหนเลยจะต้องกลัวพระพันปีถามหาเหตุผลด้วย

ทำไมนางถึงยังทำทีเฉยเมยราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเช่นนี้ได้อยู่

ต้วนอวิ๋นจั้งกุมหมัดทุบลงบนโต๊ะครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดเขาก็พูดขึ้น “เจ้า กลับไปก่อน!”

ต้วนอวิ๋นจ้งถวายพระพรลาด้วยความโล่งใจ เขาแทบจะวิ่งออกจากวังหลวง คาดว่าภายในสามเดือนนี้เขาคงไม่มีทางยอมมาปรากฏตัวอยู่ในวังหลวงอีกเป็นแน่

ต้วนอวิ๋นจั้งเดินวนเวียนไปมาอยู่ในตำหนักอีกสองสามรอบ ส่วนจินเฟิ่งก็ยังคงคุกเข่าแต่โดยดีอยู่ทางเบื้องล่าง ไม่พูดไม่จาอันใด

ในที่สุดต้วนอวิ๋นจั้งก็หยุด เขามองมายังเฮยพั่งที่ยังคงคุกเข่าอยู่ทางด้านล่าง คล้ายสามารถควบคุมจิตใจให้สงบนิ่งได้แล้ว “อัครมเหสี เจ้าตามเราไปเดินเล่นที่สระไท่เยี่ยเถอะ”

จินเฟิ่งก้มหน้านอบน้อม “เพคะ ฝ่าบาท”

 

คืนนี้ องค์จักรพรรดิกับอัครมเหสีทรงจับเข่าคุยกันอยู่ที่ริมสระไท่เยี่ย

ส่วนพวกเขาพูดคุยอะไรกันนั้น…

อา พวกเรามาพูดถึงสระไท่เยี่ยกันก่อนก็แล้วกัน ว่าที่แท้แล้วมันคือสิ่งใด

สระไท่เยี่ยเป็นสระขนาดใหญ่ที่ปู่ของปู่ของปู่ของต้วนอวิ๋นจั้งได้รับสั่งให้ขุดไว้ในวังหลวง ภายในสระมีเกาะแก่งอยู่ด้วยกันสามแห่ง แห่งหนึ่งชื่อเผิงไหล อีกแห่งชื่อฟางจั้ง แห่งสุดท้ายชื่ออิ๋งโจว น้ำในสระไหลมาจากแม่น้ำเว่ย ถูกแล้ว เป็นแม่น้ำที่เจียงจื่อหยาตกปลาและได้พบกับโจวกงจีตั้นปู่ของเขานั่นเอง

สรุปก็คือ สระไท่เยี่ยเป็นสถานที่ที่มีกลิ่นอายรางเลือนของเทพเซียน อย่างน้อยปู่ของปู่ของปู่ของต้วนอวิ๋นจั้งก็หวังจะให้มันเป็นเช่นนั้น ดังนั้นในสระจึงจำต้องมีบัวปลูกไว้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นที่ก้นสระก็ย่อมต้องมีดินเลนอยู่มากมายเช่นกัน

เอาเป็นว่า สระไท่เยี่ยก็คือสถานที่เช่นนี้นี่เอง

แม้บนสระจะไม่มีกลิ่นอายรางเลือนของเทพเซียน แต่ก็มีหมอกปกคลุมหนามิใช่น้อย องค์จักรพรรดิกับอัครมเหสีประทับอยู่บนเกาะอิ๋งโจว นั่งเผชิญหน้ากันอยู่ท่ามกลางหมอกหนาทึบ

“อัครมเหสี เจ้ามีอะไรไม่พอใจเราใช่หรือไม่”

“หม่อมฉันมิกล้า”

“เช่นนั้นการออกจากวังไปโดยพลการ ทำลายงานวิวาห์ อีกทั้งยังยุยงให้หลีว์อ๋องร่วมกระทำผิด เรื่องพวกนี้หมายความว่าเช่นไร” ต้วนอวิ๋นจั้งจ้องมองดูจินเฟิ่ง “อัครมเหสี เจ้าจงอธิบายให้เราฟัง”

“หม่อมฉันไม่มีอันใดอธิบาย แล้วแต่ฝ่าบาทจะลงโทษเพคะ”

“…” ความโกรธขึ้งในใจของต้วนอวิ๋นจั้งนั้นสลายหายไปจนสิ้นแล้ว จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าฐานะจักรพรรดิของตน ในสายตาของเฮยพั่งแล้วมิได้มีค่าอันใดเลยแม้แต่น้อย

นางหวนกลับไปมีกิริยาอ่อนโยนมีเมตตานอบน้อมระมัดระวังตนประหนึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดา ราวกับว่าเฮยพั่งที่ไปทุบทำลายข้าวของในบ้านชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ อีกทั้งยังกล่าวถ้อยวาจาหยาบคายผู้นั้นมิใช่นาง

เขารู้แต่แรกว่าท่าทีคล้อยตามของเฮยพั่งนั้นเป็นเพียงการเสแสร้งเท่านั้น แต่แม้จะเห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าถูกอ่านท่าทีออก แต่นางก็ยังคงแสร้งทำเป็นปกติ สตรีนางนี้เป็นปีศาจจำแลงมาชัดๆ

“เรารู้ดีว่าการที่เราแสดงออกว่าชมชอบไป๋อวี้นั้นทำให้เจ้าไม่พอใจ” ครั้นไม่ระวังตัว คำพูดจากใจจริงก็หลุดออกมาจากปากของต้วนอวิ๋นจั้ง

คงมีแต่วาจาแท้จริงจากใจเท่านั้น ถึงจะสามารถทำให้เฮยพั่งใจอ่อนได้

จริงดังคาด จินเฟิ่งจ้องมองดูเขาด้วยสายตาประหลาดใจ

ต้วนอวิ๋นจั้งก็นิ่งงันไปชั่วขณะ “อัครมเหสี ความขมขื่นในใจเจ้า เราเข้าใจดี”

“ฝ่าบาท พระองค์ทรง…เข้าใจอะไรผิดหรือไม่เพคะ”

ต้วนอวิ๋นจั้งเกาะกุมไหล่ของนางด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง “อัครมเหสี เราคิดดีแล้ว เจ้าคือภรรยาผูกเกศา* ของเรา ต่อให้เจ้าทั้งดำ ทั้งอ้วน ทั้งหน้าเนื้อใจเสือ ทั้งขี้ขลาดตาขาว แต่เราก็ไม่สมควรทอดทิ้งเจ้า”

เมฆหมอกรวมตัวขึ้นในสายตาของจินเฟิ่ง

“ฝ่าบาท พระองค์คิดจะยั่วโทสะหม่อมฉัน?”

ต้วนอวิ๋นจั้งส่ายหน้าอย่างหนักแน่นทรงพลัง “อัครมเหสี เราอยากให้เจ้ารู้ชัดถึงสถานะของเจ้า ไม่ว่าจะจากความฉลาดปราดเปรื่องหรือจากรูปร่างหน้าตา เจ้ากับไป๋อวี้ล้วนแตกต่างกันราวกับฟ้าดิน…” จู่ๆ เขาก็รู้สึกตื่นเต้น ยื่นมือเชิดคางของนางขึ้น ครั้นสัมผัสได้ถึงเนื้อกลมๆ เกลี้ยงเกลาที่อยู่ใต้คางของนาง เขาก็อดใจไม่ได้ที่จะหยิกมันคราหนึ่ง

จินเฟิ่งเนื้อตัวแข็งทื่อ ปฏิกิริยาทางกายเป็นไปตามสมองสั่ง มือทั้งสองข้างผลักออกไปโดยแรง

หมอกรางเลือนบดบังท่าน้ำ กลบศาลาพักร้อนสิ้น

พลันองค์จักรพรรดิก็ล้มคว่ำลงในสระไท่เยี่ย

อา ในเมื่อได้เล่าถึงลักษณะของสระไท่เยี่ยไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เช่นนั้นทุกท่านก็คงจะพอจะเดาได้ว่า หลังจากองค์จักรพรรดิหล่นลงไป พระองค์จะมีสภาพเช่นไร

อามิตตาภพุทธ

น้ำในสระไท่เยี่ยเย็นเยียบจับใจ ต้วนอวิ๋นจั้งก็ตีลังกาอยู่ในน้ำหลายตลบกว่าจะพาหัวพ้นจากน้ำขึ้นมาได้

เขาพ่นน้ำโคลนออกมาสายหนึ่ง “หลิว-เฮย-พั่ง!”

ทว่าหลิวเฮยพั่งหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ แม้แต่เงาก็ไม่เหลือไว้ให้เห็น

 

ติดตามต่อได้ใน “มเหสีป่วนรัก เล่ม 1” ฉบับเต็ม

หน้าที่แล้ว1 of 26

Comments

comments

Jamsai Editor: