X
    Categories: LOVEทดลองอ่านปางบุญ

ทดลองอ่านนิยาย ปางบุญ บทที่ 7 – บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 25

บทที่ 7

เมื่อรัตน์สิกาเดินทางมาถึงสตูดิโอที่ใช้จัดฟิตติ้งและถ่ายรูปเพื่อโปรโมตละครก็พบว่าทีมงานกำลังเซ็ตฉากกันอยู่อย่างขะมักเขม้น เนื่องจากผู้กำกับต้องการให้ตรงตามภาพถ่ายโบราณที่นำมาเป็นต้นแบบ หญิงสาวเห็นผ้าโบราณที่อยู่ในมือของสไตลิสต์ประจำกองก็รู้ได้ว่าชัชพลคงมาถึงก่อนแล้ว เธอจึงส่งมอบผ้าส่วนของตนให้กับหัวหน้า

“นี่ค่ะพี่เก๋ ผ้าของนักแสดงสมทบที่หนูไปเลือกมาให้”

“ขอบใจมากจ้ะ” เก๋หรือฤทัยผู้เป็นหัวหน้าสไตลิสต์กล่าว

“ขอบคุณพี่มากๆ นะคะที่ให้โอกาส”

“พี่เชื่อฝีมือเธอ” อีกฝ่ายตอบสั้นๆ แต่ทำให้คนฟังรู้สึกเป็นปลื้ม “นี่หน้าตาดูไม่ค่อยดีนะเรา เป็นอะไรรึเปล่า”

“ความดันต่ำค่ะพี่ โรคเก่าเป็นมานานแล้ว”

“งั้นไปล้างหน้าล้างตาให้มันสดชื่นสักหน่อยไป”

รัตน์สิการับคำก่อนจะหันหลังก้าวเดินออกมาด้วยรอยยิ้ม ทว่าเดินออกมาได้ไม่ไกลเท่าไหร่ เสียงกรี๊ดของฤทัยก็เรียกให้เธอและคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้นต้องวิ่งเข้าไปดู

“มีอะไรคะพี่เก๋” หญิงสาวเอ่ยถามอีกฝ่ายที่มีอาการหน้าซีดปากสั่น

“ผ้า…ใบบุญ! ทำไมผ้ามันเป็นแบบนี้”

เมื่อเดินเข้าไปใกล้อีกนิดจึงเห็นความผิดปกติของผ้าที่อยู่ในมือคนเป็นหัวหน้า ผ้าซิ่นทอมือแม้ไม่งดงามเท่าผ้าโบราณผืนที่ชัชพลเอามาแต่ก็ควรจะสวยงามไม่มีที่ติ หากบัดนี้กลับขาดเป็นรูเว้าๆ แหว่งๆ ราวกับถูกสะเก็ดไฟกระเด็นเข้าใส่ สาดกระจายเป็นวงกว้าง ถึงไม่ใช่รูใหญ่แต่ผ้าผืนนี้ก็ถูกทำลายไปแล้ว…และถูกทำลายตอนอยู่ในการครอบครองของเธอเสียด้วย!

“หนูไม่รู้จริงๆ ค่ะว่ามันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง เช้านี้ก่อนจะเอามาจากบ้านก็ยังเปิดเช็กแล้ว มันปกติดีทุกผืน” ร่างบางหน้าซีดเหมือนไก่ต้ม แค่ความดันต่ำก็พอทนแล้ว ตอนนี้จึงรู้สึกอยากจะเป็นลมเสียเหลือเกิน

“เธอดูประสาอะไรผ้าถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ นี่ยังดีนะ ผ้าโบราณผืนที่แพงที่สุดคุณชัชพลเขาเอาไปเก็บไว้เอง ไม่งั้น…โอ๊ย ฉันอยากจะบ้าตาย”

พอเอ่ยถึงชัชพลเจ้าตัวก็โผล่มาดูกลุ่มคนที่ห้อมล้อมกันอยู่อย่างผิดปกติ ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองแว่วๆ จึงแทรกตัวเข้าไปถาม

“มีอะไรกันเหรอครับ”

“คุณชัชพล!” ฤทัยอุทานด้วยความตกใจ เมื่อเห็นผู้ที่กึ่งๆ จะเป็นเจ้าของผ้านั้นโผล่เข้ามาเห็นคาตา

“พี่ขอโทษด้วยนะคะ พี่ไม่น่าไว้ใจคนผิดเลย ใบบุญเขาเพิ่งจะเข้ามาทำงานแท้ๆ แต่พี่กลับมอบหมายงานที่ต้องใช้ความรับผิดชอบสูง” หัวหน้าสไตลิสต์บอกในขณะที่ชายหนุ่มรับผ้าที่เสียหายไปดู ฟากคนที่ถูกด่าทางอ้อมว่าไม่มีความรับผิดชอบจึงรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตาขึ้นมาทันที

สัมผัสแรกที่ชายหนุ่มได้รับตอนจับผ้าทำให้เขาทราบว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของทั้งคนและสัตว์ รัตน์สิกากำลังถูกมือที่มองไม่เห็นกลั่นแกล้งอยู่ต่างหาก…ท่าทีของเขาจึงดูใจเย็นมากกว่าใครอื่น

“ใจเย็นๆ นะครับ ผมว่าทุกคนแยกย้ายกันไปทำงานก่อนดีกว่า แล้วเดี๋ยวผมขอคุยกับคุณเก๋ และคุณ…ใบบุญเป็นการส่วนตัว อย่าให้เสียเวลาทำงานเลยครับ”

“นี่โชคดีนะที่พี่พัฒน์ยังไม่เข้ามา ไม่งั้น…” ฤทัยบอกกับรัตน์สิกาขณะที่เดินนำคนทั้งสองไปพูดคุยกันให้รู้เรื่อง เมื่อเหลือกันเพียงสามคนถึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “มีอะไรจะแก้ตัวรึเปล่าน่ะเรา”

“หนู…ไม่มีอะไรจะแก้ตัวค่ะ หนูจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง” หญิงสาวบอกอย่างหนักแน่น มาถึงตอนนี้แล้วไม่มีอะไรที่เธอจะทำได้มากไปกว่าการยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น

“รับผิดชอบยังไง ผ้ามันเสียไปแล้ว ชื่อเสียงก็เสียไปแล้ว แบบนี้ยังไม่รู้เลยว่าคุณบัวทิพย์จะยังไว้ใจให้ยืมผ้าเขามาใช้อีกรึเปล่า เป็นพี่ก็กลัวว่าจะเอาผ้าราคาเป็นล้านของเขามาเสียหาย”

“หนูจะชดใช้ค่าเสียหายเองค่ะ แล้วก็จะขึ้นไปคุยกับคุณยายด้วยตัวเอง ไปกราบขอโทษเพราะทุกอย่างเป็นความผิดของหนูเอง หนูจะไม่ยอมให้ทางกองได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้เด็ดขาด” ยิ่งกล่าวน้ำเสียงก็ยิ่งแหบแห้งเต็มที ชัชพลจึงช่วยพูด

“คุณเก๋ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ มันเป็นเรื่องไม่คาดฝัน ไม่ว่าใครคงไม่อยากให้เกิดขึ้นหรอก และผ้าผืนนี้ก็ไม่ได้มีราคาอะไรมากมาย เป็นผ้าที่ทำขึ้นเลียนแบบผ้าโบราณ ขนาดผมยังไม่ได้ซีเรียส คุณยายท่านเป็นคนใจดี ก็จะต้องให้ทุกอย่างเป็นไปตามข้อตกลงเดิมแน่นอน ขอแค่ยืนยันว่าจะดูแลปกป้องผ้าของท่านให้เข้มงวดกว่าเดิมก็พอแล้วล่ะครับ”

“คุณชัชพลต้องช่วยพี่นะคะ ช่วยพูดกับคุณบัวทิพย์ให้ด้วยนะ” หัวหน้าสไตลิสต์เอ่ยปากอ้อนวอน

“ครับ ผมจะช่วยพูดให้”

ได้ยินอย่างนั้นแล้วสีหน้าของฤทัยค่อยดีขึ้นบ้าง ส่งยิ้มจืดเจื่อนให้ชายหนุ่มก่อนจะหันมาพูดกับรัตน์สิกาด้วยท่าทีจริงจัง

“ส่วนเธอ…ใบบุญ พี่ถูกชะตากับเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน เมื่อก่อนตอนที่ยังเป็นมือใหม่พี่เคยได้รับโอกาสยังไงก็อยากให้เธอได้อย่างนั้น จนตอนนี้พี่ก็ไม่สงสัยเรื่องความสามารถของเธอ แต่คิดว่าเธออาจจะยังเด็กอยู่ถึงได้ขาดไปอย่างหนึ่ง…มันคือความรับผิดชอบ”

“พี่เก๋…” หญิงสาวครางชื่อของคนเป็นหัวหน้าอย่างหมดเรี่ยวแรง

“ถ้าเป็นละครแนวปัจจุบันแล้วเธอเกิดทำเสื้อผ้าเสียหายขึ้นมา ต่อให้เป็นแบรนด์เนมก็พอจะชดใช้เงินได้ แต่ไม่ใช่กับละครพีเรียดที่ผ้าทุกชิ้นมีคุณค่ามากโดยเฉพาะคุณค่าทางจิตใจ ไม่ใช่แค่เงินแล้วจะชดใช้ได้หรอกนะ ดังนั้นพี่จะดูแลทุกอย่างด้วยตัวเองคุณบัวทิพย์ท่านจะได้วางใจ ต่อไปนี้เธอไม่ต้องมาทำงานแล้ว ถ้าพี่รับงานเรื่องอื่นที่เป็นแนวปัจจุบันแล้วเรียกความเชื่อมั่นที่มีต่อเธอคืนมาได้ พี่จะติดต่อไปอีกทีแล้วกันนะ” พูดจบฤทัยก็หันหลังเดินจากไปโดยไม่รอฟังคำอุทธรณ์ใดๆ ทั้งสิ้น

“เดี๋ยวผมจะไปช่วยคุยกับคุณเก๋ให้เอง” ร่างสูงกำลังจะเดินตามไป แต่ก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยห้ามด้วยน้ำเสียงล่องลอย

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันทำผิดจริง กล้าทำก็ต้องกล้ารับ ต่อให้พี่เก๋ยอมฟังคุณแต่พี่พัฒน์จะไม่ยอมปล่อยผ่านความผิดพลาดของฉันเด็ดขาด แค่ไล่ฉันออกโดยไม่ต้องให้ฉันไปออกรับต่อหน้าพี่พัฒน์ก็ถือว่าพี่เขาดีต่อฉันมากแล้ว เพราะพี่เก๋เองก็คงจะโดนพายุอารมณ์จากพี่พัฒน์ไม่น้อย”

หัวหน้าสไตลิสต์ว่าจริงจังเรื่องงานแล้ว ชายวัยกลางคนซึ่งเป็นผู้กำกับยิ่งจริงจังกว่าหลายร้อยเท่า แล้วไหนจะยังภรรยาของผู้กำกับที่ทำหน้าที่เป็นผู้จัดละครอีก ปล่อยให้เรื่องมันจบลงแบบเงียบๆ จะดีกว่า

ชีวิตการงานของเธอพังทลายแล้วและไม่อาจกอบกู้คืนได้อีก

“ต่อไปเรื่องผ้าคุณคงต้องติดต่อกับพี่เก๋โดยตรงแล้วนะคะ ฉันคงเข้าไปช่วยอะไรไม่ได้แล้ว หลังจากนี้ฉันจะรีบเดินทางไปอธิบายกับคุณยายให้เร็วที่สุด” รัตน์สิกาบอกแล้วหันหลังก้าวเดินฉับๆ แม้ชายหนุ่มจะตะโกนถามตามหลังก็ไม่ยอมเอ่ยปากอะไร

“จะไปไหนล่ะคุณ”

ชัชพลเดินตามมาจนเห็นอีกฝ่ายเลี้ยวเข้าห้องน้ำหญิงไปก็ได้แต่พะว้าพะวังอยู่ด้านนอก

ด้านในห้องน้ำที่เงียบสงบ ไม่มีสายตาของใครจดจ้อง เปลือกบางๆ ที่สร้างเอาไว้ปกป้องตัวเองก็ถูกกะเทาะออกพร้อมกับหยดน้ำตาที่ข่มกลั้นเอาไว้ค่อยๆ ไหลออกมาจากดวงตากลมโตทั้งคู่…สู่สองแก้มนวล…ไหลลงมาตามคาง…ก่อนจะร่วงลงสู่พื้น หญิงสาวก้มลงมองหยดน้ำตาบนพื้นอย่างเหม่อลอย น้ำตาที่พรั่งพรูออกมาเป็นแค่หนึ่งในล้านส่วนของความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ข้างในใจ

รัตน์สิกายังจำได้…ความรู้สึกตอนที่รับรู้ว่าตนเองได้ทำงานนี้ยังคงสดใหม่เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้เอง เธอรู้สึกยินดีมาก! จะมีใครบ้างที่ได้ทำงานในสิ่งที่รักและอยากทำเหมือนเธอ คนอื่นอาจหน้าดำคร่ำเคร่งกับงานเพราะไม่ใช่สิ่งที่ชอบ แต่เธอสามารถทำงานที่ไม่ใช่เพียงแค่งานเท่านั้น

ทำไมความสุขมันมักจะผ่านไปเร็วเสมอนักนะ…ไม่มีช่วงเวลาไหนที่เธอจะรู้สึกหมดหวังในชีวิตเท่านี้มาก่อนเลย

ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับฉันด้วย!

คือคำถามที่ดังซ้ำๆ อยู่ข้างในด้วยความรู้สึกเจ็บปวดกับโชคชะตาอันน่ารันทด หนทางข้างหน้ามืดมนไปหมด…มืดไปทั้งแปดด้าน

ร่างบางเงยหน้าขึ้นมองกระจก ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาที่สะท้อนออกมานั้นดูราวกับไม่ใช่ตัวเธอเองสักนิด หญิงสาวปฏิเสธที่จะยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอด้วยการก้าวเข้าไปชิดอ่างล้างหน้า เปิดก๊อกน้ำโดยแรงแล้ววักน้ำขึ้นสาดหน้าตัวเอง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองกระจกอีกครั้งก็พบหยดน้ำที่เกาะพราวเต็มหน้า

เพียงแค่นี้…หยดน้ำที่ร่วงหล่นลงมาก็ยากที่จะแยกแยะว่าเป็นน้ำหรือน้ำตา จริงไหม

ชั่วขณะที่ท่อนแขนเรียวบางทิ้งลงข้างตัว ข้อศอกก็ปัดไปโดนแจกันดอกไม้ที่วางประดับในห้องน้ำ เสียงของตกแตกดังออกไปถึงด้านนอก ชัชพลรีบถลาเข้ามาดูโดยไม่สนใจว่านี่จะเป็นห้องน้ำหญิง ภาพที่เห็นคือแผ่นหลังบอบบางซึ่งเริ่มจะคุ้นชินตาไปแล้วกำลังยืนอยู่ท่ามกลางเศษซากของแจกันที่กระจายอยู่บนพื้น

“เป็นอะไรรึเปล่าคุณ” ชายหนุ่มถามด้วยความเป็นห่วง รู้สึกอึดอัดในใจเพราะไม่เคยเห็นด้านนี้ของเธอมาก่อน แผ่นหลังที่มองเห็นนั้นสั่นระริกด้วยกำลังกลั้นสะอื้น ก่อนที่น้ำเสียงสั่นพร่าจะเอ่ยออกมาเบาๆ

“ฉัน…ไม่เป็นอะไรค่ะ…คุณออกไปก่อนเถอะ”

ร่างสูงค่อยๆ ถอยออกมา ยังไม่ทันจะก้าวพ้นประตูก็ได้ยินอีกฝ่ายผลุนผลันเข้าห้องน้ำที่กั้นไว้เป็นห้องเล็กๆ ด้านใน ปิดประตูดังปังแล้วล็อกขังตัวเองเอาไว้อีกที

เสียงปล่อยโฮและเสียงสะอื้นอันแสนโดดเดี่ยวดังก้อง สะท้อนเข้าไปถึงในหัวใจของเขา…

 

ชัชพลยังคงยืนรออีกฝ่ายอย่างใจเย็น ดังนั้นแทนที่เขาจะได้มาเฝ้าผ้าโบราณเลอค่าอย่างที่กล่าวไว้กลับต้องมาเฝ้ารัตน์สิกาแทน จวบจนหญิงสาวก้าวออกมาจากห้องน้ำด้วยท่วงท่าที่พยายามเป็นปกติที่สุด เว้นแต่ดวงตาที่บอบช้ำอย่างหนักเท่านั้น

เธอไม่ได้พูดอะไร เขาก็ไม่พูด ต่างฝ่ายต่างยืนนิ่ง

ครู่หนึ่งคนตัวโตกว่าจึงคว้าเอาข้อมือบอบบางนั้นไว้แล้วกึ่งลากกึ่งจูงไปโดยไม่ทันได้ใส่ใจว่าจับตัวอีกฝ่ายแล้วจะเห็นอะไรอีกรึเปล่า

“จะไปไหนคะ”

ไม่มีคำตอบใดๆ ทั้งสิ้น เธอจึงทำได้เพียงเดินตามแรงจูงของอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ

ชายหนุ่มพาเธอมาทิ้งไว้ที่ร้านกาแฟ เมื่อสั่งเครื่องดื่มเสร็จก็หายตัวไป…จนน้ำแข็งในแก้วเริ่มละลายแล้วนั่นแหละเขาถึงกลับมาพร้อมสำลี ยาทาแผล และพลาสเตอร์ยา

ร่างสูงย่อตัวลงกับพื้น รัตน์สิกาถึงได้รู้ตัวว่าที่เท้าถูกเศษแจกันที่แตกกระเด็นมาบาดเป็นทางยาว ทิ้งรอยเลือดแห้งกรังไว้ที่หลังเท้า

“ลุกขึ้นเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันทำแผลเอง” หญิงสาวพยายามฉุดอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นแต่กลับโดนบอกด้วยน้ำเสียงดุๆ แทน

“เสียงแทบจะไม่มีแล้ว อย่าพูดมากน่า”

แม้คนพูดจะตอบคล้ายรำคาญเธอเต็มที แต่หัวใจที่เหี่ยวแห้งเต็มไปด้วยร่องรอยบอบช้ำกลับอุ่นวาบขึ้นมาทันที ยิ่งเมื่อเธอมองภาพผู้ชายตัวสูงๆ คนหนึ่งคุกเข่าลงทำแผลที่เท้าให้ ตัวเขาแทบจะสูงเท่ากับเธอที่นั่งโซฟาตัวเตี้ยๆ อยู่ด้วยซ้ำ ความเอาใจใส่ของชัชพลทำให้ก้อนบางอย่างแล่นขึ้นมาจุกอก…ไม่นานก็ตามด้วยน้ำตาที่ไหลซึมออกมาจากหัวตา หากคราวนี้กลับไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจ

น้ำตาหยดหนึ่งหยดลงบนหลังมือเขา ทำเอาเจ้าของมือใหญ่จ้องมองมือตัวเองราวกับไม่เคยเห็นมันมาก่อน ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย…

“เจ็บเหรอ”

“เปล่าค่ะ” หญิงสาวส่ายศีรษะช้าๆ

ได้ยินเช่นนั้นเขาจึงก้มลงไปจัดการทำแผลให้จนเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะลุกขึ้นนั่งบนโซฟาด้วยท่าทีราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น รัตน์สิกาถึงได้มองเห็นแผลตัวเองชัดๆ ซึ่งบัดนี้มันถูกปิดด้วยพลาสเตอร์ยาลวดลายการ์ตูนเจ้าหญิงดิสนีย์สีชมพูหวานแหวว หญิงสาวหลุดยิ้มออกมานิดๆ ยกนิ้วขึ้นกรีดซับน้ำตาจากขอบตา

“ตอนที่ซื้อคุณไม่ได้เลือกลายพลาสเตอร์เองใช่ไหม”

“เลือกเองสิ ทำไม…หรือคุณไม่ชอบ”

“เปล่าค่ะ ชอบ แต่ลายมันไม่เหมาะกับการที่คนอย่างคุณซื้อมาเลย”

“คนอย่างผมมันเป็นยังไงไม่ทราบ” ชายหนุ่มถามด้วยความกังขา น้ำเสียงติดจะหาเรื่องนิดๆ เป็นเชิงว่า…หากคำตอบไม่ถูกใจได้มีเรื่องแน่

“ก็ไม่ยังไงหรอกค่ะ แต่มันเป็นลวดลายที่หวานแหววมาก ถ้าคุณซื้อลายหัวกะโหลกมาแล้วสั่งสอนเรื่องสัจธรรมของชีวิตเพิ่มอีกหน่อย นั่นน่ะฉันจะไม่แปลกใจเลย”

“นี่คือคุณกำลังชมหรือด่า?” คิ้วเข้มเหนือดวงตาคู่คมนั้นขมวดเข้าหากันอย่างงงๆ

“ชมสิคะ…ชม”

“ทำไมผมไม่รู้สึกว่าถูกชมสักนิดเลยนะ เหมือนโดนด่าแบบอ้อมๆ ยังไงไม่รู้”

“ฉันเปล่านะ คุณพูดเองเออเองทั้งนั้น”

ชายหนุ่มต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะนึกออกว่าประโยคคุ้นๆ นี้มาจากไหน

“ผมเคยพูดประโยคนั้นกับคุณ”

วันแรกที่เธอเหยียบย่างเข้าสู่พิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณบัวทิพย์ ตอนที่เกาะเขาเป็นลูกลิงเพราะคิดว่าเห็นงูในบ้านแล้วเขาสะบัดตัวออก

“ก็ใช่สิคะ”

ก่อนที่ชัชพลจะตอบอะไรเธอก็ชิงเข้าสู่โหมดจริงจังเสียก่อน

“รู้ไหม…คุณเป็นคนแรกที่เห็นฉันในตอนอ่อนแอ แม้แต่พ่อกับแม่ก็แทบไม่เคยเห็นฉันร้องไห้เลย”

“คนเราทุกคนก็ต้องเคยอ่อนแอ เพราะไม่มีใครสมหวังไปซะทุกเรื่องไงคุณ มีสุขก็ต้องมีทุกข์ แต่ตอนที่ทุกข์แล้วอย่า ‘ยึด’ มันไว้นาน…ปล่อยมันไป”

“ขอบคุณนะคะ…ขอบคุณที่ช่วยดูแลฉัน ฉันเคยเชื่อว่าตัวเองเข้มแข็ง รับกับปัญหาทุกอย่างได้โดยไม่ยอมให้ใครเห็นความอ่อนแอ แต่พอมาถึงตอนนี้ถึงได้รู้ว่าเวลาที่เราเจอปัญหาแล้วมีคนอยู่เคียงข้างคอยเป็นห่วงเป็นใยมันรู้สึกดีมากแค่ไหน”

รัตน์สิกาบอกด้วยรอยยิ้ม แต่น้ำในตากลับปริ่มๆ จะล้นออกมา

“ตอนนี้งานของฉันสิ้นสุดลงแล้ว เราก็คงไม่มีเหตุให้ต้องเจอกันเหมือนเดิมอีก…รู้สึกใจหายชอบกล ตั้งแต่ที่เรารู้จักกันฉันก็ต้องพึ่งพาคุณ ให้คุณช่วยเหลือและดูแลฉันมาตั้งหลายอย่างเลย หวังว่าวันหน้าจะมีโอกาสตอบแทน”

ม่านความเงียบคลี่ปกคลุมคนทั้งสอง ชัชพลเบือนหน้ามองผ่านกระจกออกไปด้านนอกร้าน ห้วงความคิดมีแต่ความสับสน…หากไม่มีเรื่องงานให้ยุ่งเกี่ยวกันแล้วก็คงไม่ได้เจอกันอีก ดูเหมือนความพยายามในการกรวดน้ำขอตัดกรรมจะสัมฤทธิผล แต่เรื่องวิญญาณร้ายที่ตามติดอีกฝ่ายเป็นเงาตามตัวอยู่ล่ะ? หากไม่มีเขายื่นมือเข้าขวางเหมือนที่แล้วมา ร่างบางตรงหน้านี้จะเป็นอย่างไรต่อไป

“ฉันคงต้องกลับแล้วนะคะ…ขอบคุณอีกครั้งค่ะ”

ชายหนุ่มหันมาให้ความสนใจหญิงสาวแล้วจึงบอก

“เดี๋ยวผมไปส่ง เจ็บเท้าอยู่เดินทางคงจะลำบาก”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันไม่เป็นไร สบายมาก” เจ้าตัวยืนยันด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ดูสดใส แต่เมื่อลุกพรวดขึ้นมากลับรู้สึกหน้ามืดจนร่างสูงต้องช่วยประคองเอาไว้

“คนดื้อก็เป็นแบบนี้แหละ”

“ฉันเป็นความดันต่ำหรอกน่า ไม่อย่างนั้นคุณไม่มีโอกาสซ้ำฉันแบบนี้หรอก”

“แล้วจะให้ไปส่งได้รึยัง รถผมจอดอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่”

“ไปก็ไป มีคนขับรถส่งถึงบ้าน อะไรจะดีเท่านี้อีก”

“แค่ตอบว่าโอเคก็จบแล้ว” เขาบ่นตามหลังหญิงสาวที่เดินกะเผลกนำหน้าไป

 

อาจเป็นเพราะความเหนื่อยล้าบวกกับแอร์เย็นๆ ทำให้รัตน์สิกาผล็อยหลับไปตั้งแต่ไม่กี่นาทีแรก…ตอนที่รถจอดติดไฟแดงอยู่ชัชพลจึงคว้าเสื้อเชิ้ตที่คลุมเบาะคนขับไว้เผื่อหยิบใช้งานได้สะดวกไปห่มตัวอีกฝ่ายให้

“อ่ะแฮ่ม!”

ชั่วขณะนั้น ในหูจึงได้ยินเสียงกระแอม…เป็นเสียงของชายหนุ่มผู้ไม่ยอมปรากฏตัวให้เห็น ‘เจ้าเก่าเจ้าเดิม’

“กว่าจะมา…สายไปแล้วไหมพี่ ทำตัวเป็นตำรวจในละครไทยที่กว่าจะโผล่มาก็เป็นตอนจบไปแล้ว”

“เออ ถ้าอย่างนั้นก็ไปละ”

“เดี๋ยว!” ชัชพลรีบเบรกจนตัวโก่ง โชคยังดีที่สัมผัสรับรู้บ่งบอกถึงการคงอยู่ของอีกฝ่าย “ผมล้อเล่นนิดเดียวเอง ด้วยรักและเคารพเลยครับ คราวนี้เราต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อน เดี๋ยวแวบมาเดี๋ยวแวบหายมันไม่ได้นะพี่!”

“ไม่อยากอยู่นาน…เหม็นขี้หน้า”

“ทนเหม็นหน้าของผมไปสักพักแล้วกัน พี่ต้องบอกผมก่อนสิว่าวิญญาณผู้หญิงที่มาตามรังควานใบบุญเป็นใครมาจากไหนกันแน่ ผมไม่รู้ที่มาที่ไปแต่เชื่อว่าพี่ต้องรู้แน่ๆ”

“ก่อนจะถามคำถามนี้เจ้าให้คำตอบกับตัวเองได้แล้วรึ อยากจะตัดใจ…เอ๊ย เราหมายถึงตัดกรรมน่ะ เจ้าอยากทำแบบนั้นมานานแล้วนี่ ตอนนี้มีโอกาสแล้วนา…กรวดน้ำเพิ่มอีกสักสองสามครั้งก็อาจจะตัดขาดกันจริงๆ ก็ได้” น้ำเสียงที่กล่าวดูหลอกล่อและน่าหมั่นไส้ไปในคราวเดียวกัน

“แล้ว…ถ้าผมไม่ยอมช่วยเหลือใบบุญ เธอจะเป็นยังไงต่อไปล่ะ”

“สุดจะรู้ได้” ถ้อยคำสั้นๆ แต่กลับทำให้คนฟังรู้สึกหนาวยะเยือก “จะเป็นได้ถึงเพียงไหนก็คิดดูเอาเองแล้วกัน”

“แล้ว…ตอนนี้ผมถามได้รึยัง”

“ยัง”

“อ้าว…” ชายหนุ่มอุทานด้วยความไม่เข้าใจ

“ตัดสินใจให้ได้ก่อนว่าจะเอายังไงต่อไป จะตัดหรือจะช่วย ถ้าเลือกอย่างหลังก็พาผู้หญิงคนนี้กลับไปด้วย แล้วเราค่อยคุยกันอีกที”

“หลอกให้อยากแล้วจะจากไปได้ยังไงล่ะครับ ผมจะถามไม่กี่คำถามเอง”

สัมผัสรับรู้ถึงการคงอยู่ของอีกฝ่ายสูญสิ้นไปพร้อมๆ กับที่ร่างบางขยับตัวตื่นขึ้นมาในทันที เธองัวเงียถามเพราะคล้ายว่าจะได้ยินเสียงสนทนาอะไรบางอย่าง

“เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะคะ”

“เปล่า…ผมฮัมเพลง” เขาตอบหน้าตาเฉย

“คนอะไรร้องเพลงอย่างกับกำลังบ่น”

อีกฝ่ายยังคงรักษามาตรฐานความเงียบขรึมเอาไว้เป็นอย่างดี หญิงสาวจึงได้แต่ค้อนปะหลับปะเหลือก…ฝ่าการจราจรที่คับคั่งมาสักพักก็ถึงบ้านของเธอพอดี จึงกล่าวขอบคุณเขาก่อนที่จะเปิดประตูรถเตรียมจากไป

“ขอบคุณที่มาส่งค่ะ”

“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกเอาไว้อย่างลังเลใจ

“มีอะไรเหรอคะ”

ชัชพลจ้องมองหญิงสาวตรงหน้านิ่งๆ ราวกับกำลังคิดใคร่ครวญบางอย่างอยู่ เป็นการตัดสินใจสำคัญที่เกี่ยวพันถึงชีวิตตัวเอง ด้วยไม่ทราบว่าหลังจากนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายขนาดไหน…เนิ่นนานกว่าที่เขาจะเอ่ยออกมาช้าชัด

“เดี๋ยวเย็นนี้ผมจะไปเอาผ้าคืนมา เสร็จแล้วพรุ่งนี้ก็คงจะกลับขึ้นเหนือ คุณเองก็บอกว่าจะไปคุยกับคุณยายไม่ใช่เหรอ ยังไงก็ไปพร้อมกันเถอะ”

“เร็วขนาดนั้นเลยเหรอคะ” หญิงสาวถามเพราะไม่ทันตั้งตัวว่าจะต้องกลับไปที่พิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณบัวทิพย์รวดเร็วเช่นนี้

“ใครกันที่บอกว่าจะรับผิดชอบทุกอย่าง…หรือว่าคุณจะคืนคำ”

“ฉันเปล่านะ แค่ยังไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจเท่านั้นเอง”

“อย่างนั้นก็ตกลงตามนี้แหละ ตอนเช้ามืดผมจะมารับนะ จะได้ไม่ถึงที่โน่นดึก”

ชายหนุ่มสรุปเองเสร็จสรรพก็โบกมือไล่ให้อีกฝ่ายเข้าบ้านไปได้แล้ว ร่างบางหายลับเข้าไปในบ้านแต่เขายังคงนิ่งคิดกับตัวเอง…นี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วใช่ไหม

วันต่อมาชัชพลก็ทำตามที่ได้พูดเอาไว้ เขามารับรัตน์สิกาพร้อมกับใจที่สับสนวุ่นวาย

หากจบเรื่องนี้แล้ว…อาจจะตัดกรรมที่มีต่อกันได้จริงๆ ก็ได้

แต่เรื่องสำคัญในตอนนี้คือเขาอาจจะช่วยปกป้องรัตน์สิกาจากบรรดาวิญญาณที่มารังควานได้ แต่กลับไม่อาจล่วงรู้ถึงต้นสายปลายเหตุด้วยเกินอำนาจที่จะหยั่งรู้ โดยเฉพาะอีกฝ่ายหนึ่งที่ดูมีอำนาจแรงกล้าอยู่ไม่น้อยนั้นได้ปิดบังอำพรางร่องรอยของตนไว้

เขาไม่สามารถมองเห็นอะไรได้นอกจากม่านหมอกมัว

คงต้องขอแรง ‘พี่’ ให้ช่วยเหลือ ไม่มากก็น้อย

ในขณะที่ชายหนุ่มจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เขาจึงไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าร่างบางที่นั่งเคียงข้างมีจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก

เมื่อคืนนี้เธอฝัน…แม้รัตน์สิกาจะมีความฝันอันยุ่งเหยิงมากมาย พอตื่นมาก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่เมื่อคืนนี้กลับผิดแผกแตกต่างออกไป มันเป็นเพียงความฝันสั้นๆ แต่ความรู้สึกที่ได้รับนั้นสลักลึกจนยากจะลืมเลือน

อ้อมกอดของผู้ชายคนหนึ่งที่สวมกอดจากทางด้านหลัง ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้ แต่ที่แจ่มชัดคือความรู้สึก…เป็นความอบอุ่นอย่างลึกซึ้ง มันหนักแน่นราวกับเป็นคำยืนยันว่าจะเคียงข้างกัน ไม่มีวันจากไปไหน ปกป้องเธอให้พ้นจากทุกโพยภัย

ในอ้อมกอดนั้นแสนสงบนัก หญิงสาวยังจำได้ว่าในฝันเธอยิ้มออกมาอย่างเป็นสุขแค่ไหน ฝ่ามือของเธอกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้แน่นเหมือนตอกย้ำว่าทั้งสองจะไม่มีวันพรากจากกัน

เมื่อตื่นมาในเช้าวันนี้ความรู้สึกอ่อนหวานยังคงซึมซ่านอยู่ในใจ…แต่พอเวลาผ่านไปก็รู้สึกเศร้า เพราะสำนึกได้ว่าถึงมันจะดีแค่ไหนก็เป็นได้เพียงความฝันเท่านั้น ไม่มีวันที่เธอจะได้รับอ้อมกอดที่อบอุ่นถึงเพียงนั้น

สายตาเหลือบไปเห็นมือใหญ่ของชัชพลที่วางไว้บนเกียร์รถ นิ้วมือของเขาเรียวสวยแต่ไม่ได้บอบบาง เป็นมือที่ดูแข็งแรงตามแบบฉบับของผู้ชาย เส้นเลือดบนหลังมือนูนเด่น ให้ความรู้สึกหนักแน่น ปกป้อง…เหมือนมือของผู้ชายในความฝันคนนั้น

อยากรู้ว่ามันจะให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนในความฝันไหมนะ

จู่ๆ สายตาก็พร่าเลือน ทุกอย่างรายรอบตัวถูกผลักให้ห่างออกไปจนมือเรียวบางยื่นไปหามือใหญ่ของเขา เพราะในความคิดเหมือนกับว่าเคยจับมือกันมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว…

แต่ก่อนที่ปลายนิ้วของเธอจะสัมผัสมือของเขานั่นเอง

เฮือก!

รัตน์สิกาพลันได้สติขึ้นมา รีบสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ราวกับเพิ่งผุดขึ้นมาจากน้ำลึก

นี่ฉันกำลังจะทำอะไร

ยังดีที่ชายหนุ่มมัวแต่สนใจขับรถจึงไม่ได้เห็นมือขาวๆ ที่ยื่นเข้ามาหา แต่เจ้าตัวนี่สิ…หญิงสาวเกิดสำลักอากาศจนไอแค่กๆ ยิ่งพยายามหยุดอาการไอใบหน้าก็ยิ่งแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ

“อ้าว…เป็นอะไรไปน่ะคุณ”

“สำ…ลัก…” เธอพยายามอธิบายปนเสียงไอค่อกแค่กฟังไม่ค่อยรู้เรื่องนัก แต่คนฟังก็พอเข้าใจจากอาการจึงรีบหยิบขวดน้ำให้

“เอ้า รีบดื่ม เดี๋ยวจะขาดใจตายซะก่อน ผมไม่ได้กลับบ้านกันละ ต้องเลี้ยวรถไปส่งคุณเข้าโรงพยาบาลแทน”

รัตน์สิการีบรับขวดน้ำมาดื่ม ครู่หนึ่งอาการจึงดีขึ้น ใบหน้าแดงก่ำมองชายหนุ่มด้วยอาการค้อน

นี่ฉันเผลอไปคิดแบบนั้นได้ยังไงเนี่ย…ตานี่น่ะนะจะกอดใครได้อบอุ่นแบบนั้น…เฮอะ

ชัชพลหันมองอีกฝ่ายที่หยุดไอและหายใจหายคอได้เป็นปกติแล้ว เมื่อเห็นใบหน้าที่เคยหม่นหมองดูดีขึ้นก็เอ่ยถาม

“ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าไม่เศร้าเรื่องงานแล้วสินะ”

“เศร้า…แต่ก็พยายามปล่อยวางกับเรื่องที่มันผ่านไปแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้อีก…ไม่ยึดมั่นถือมั่นเหมือนที่คุณบอกไงคะ ตอนนี้ก็ขอแค่คุณยายท่านไม่โกรธฉันก็พอแล้ว”

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ว่าแต่ทางบ้านคุณรู้เรื่องนี้รึยัง”

“รู้แล้วค่ะ เพิ่งคุยกันไป”

“แล้วพวกท่านว่าไงบ้าง”

“ฉันก็อธิบายไป พ่อแม่เห็นฉันไม่เครียดท่านก็ไม่เครียด ถึงจะรู้ว่าฉันรักงานนี้มากแค่ไหน พวกท่านเข้าใจว่าฉันเข้มแข็งพอ”

“แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ผมเห็นเมื่อวานนี้เลยนะ” คนพูดต้องรู้สึกผิดนิดๆ เมื่อเห็นสายตาที่หมองลงของอีกฝ่าย

“คุณเคยรู้สึกว่าชีวิตนี้หมดสิ้นทุกสิ่งไหม”

มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ…

“ฉันผ่านปัญหามาตั้งมากมาย เรื่องงานเป็นหนึ่งในเรื่องดีๆ ที่เข้ามาในชีวิต พอมาถึงตอนนี้ก็รู้สึกไม่เหลืออะไรเลย เป็นคนที่ไม่เคยประสบความสำเร็จในชีวิตสักอย่าง”

บางอย่างกระตุ้นเตือนข้างในใจเขา…บอกไปเลยเถอะ หากไม่ใช่ตอนนี้แล้วจะเป็นตอนไหน เธอสมควรได้รู้สิ่งที่เกิดขึ้นจะได้ไม่ต้องโทษตัวเอง

ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่ามันสมควรหรือยัง…สมควรแก่เวลา สถานที่ หรือสมควรที่รัตน์สิกาจะได้รับรู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอ เขาไม่เคยวางแผนไว้จึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะพูดกับอีกฝ่ายยังไง รู้เพียงแต่ว่าหากไม่ใช่ตอนนี้แล้วควรจะเป็นเมื่อไหร่

ชัชพลหักรถเข้าจอดข้างทางเป็นเหตุให้หญิงสาวที่นั่งมาด้วยรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ผ่านพ้นเขตชานเมืองมาแล้ว สองข้างทางจึงเป็นท้องนาสีเขียวเข้มไกลลิบสุดลูกหูลูกตา แต่หญิงสาวไม่มีอารมณ์จะสนใจบรรยากาศงดงามนั้น

“จอดรถทำไมเหรอคะ”

“ผมมีเรื่องสำคัญจะพูด”

“ขับรถไปคุยไปก็ได้นี่นา เรื่องสำคัญอะไรกัน เพราะผ้าที่เสียหายรึเปล่าคะ” เธอเริ่มรู้สึกว่าท่าทีของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป ดูเคร่งเครียดเหลือเกิน

“นี่คุณ…”

“คะ?”

“คุณเชื่อเรื่องลี้ลับไหม…หมายถึงโลกนี้มีสิ่งที่มนุษย์เรามองไม่เห็น แต่ไม่ใช่ว่ามันไม่มีอยู่จริง”

“คุณหมายถึง…ผีน่ะเหรอ” รัตน์สิกาถามด้วยความสงสัย จู่ๆ เรื่องที่คุยกันก็หักเหไปทางอื่นโดยไม่ทันตั้งตัว แต่เธอก็เริ่มจะชินกับบทสนทนาเช่นนี้เสียแล้ว

“ก็ทำนองนั้น” เขาตอบสั้นๆ

“คงเชื่อมั้งคะ อย่างย่าฉันก็เป็นร่างทรงที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือกันใช่ย่อย ส่วนพ่อก็มีฝันโน่นนี่บ้าง ถึงฉันจะไม่เคยเจอแบบจริงๆ จังๆ ก็พอจะเชื่อค่ะ”

“อย่างนั้นคนที่มีสัมผัสพิเศษล่ะ”

“อืม…ก็ในเมื่อมีผีแล้วทำไมจะไม่มีคนที่เห็นผี ไม่แปลกหรอกค่ะ แล้วฉันว่านะคงจะมีเยอะด้วย เพียงแต่คนพวกนี้เขาคงไม่ยอมเปิดเผยตัวง่ายๆ ไม่อย่างนั้นชีวิตคงวุ่นวายพิลึก”

“แล้วถ้าผมจะบอกคุณว่า…ผมเป็นหนึ่งในนั้นล่ะ!”

ถ้อยคำที่กล่าวออกไปไม่ต่างอะไรกับการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงให้อีกฝ่ายได้รับรู้ มีเพียงไม่กี่คนที่จะได้ยินเขากล่าวประโยคประมาณนี้ เพราะชายหนุ่มเชื่อว่าเขาจะสบายใจกว่าถ้าไม่มีใครรู้ความสามารถพิเศษ…มันไม่ต่างอะไรกับการกะเทาะเปลือกที่ห่อหุ้มตัวเองเอาไว้ให้อีกฝ่ายได้รับรู้ตัวตนข้างใน ซึ่งแน่นอนว่าหมายถึงการได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจริงๆ

มันอันตรายเกินไป…ที่จะปล่อยให้คนอื่นเข้ามาใกล้ขนาดนั้น

“อ๊ะ…” หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นแล้วก็นิ่งค้างไปอึดใจหนึ่ง แต่เพียงไม่นานก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างคนเข้าใจ “ฉันเชื่อค่ะ”

“ดูคุณไม่แปลกใจเลยนะ” เขาถามด้วยความสงสัย

“จะว่ายังไงดีล่ะ…ฉันรู้ว่าคุณไม่เหมือนใคร ก็ไม่รู้เหมือนกันนะคะว่าเพราะอะไรถึงคิดแบบนั้น แต่ถ้าให้คุณยืนอยู่ท่ามกลางคนเป็นสิบหรือเป็นร้อย คุณก็ยังจะโดดเด่นออกมาจากคนเหล่านั้น ไม่ใช่เพราะหน้าตา…ถึงฉันจะไม่เถียงว่าคุณหน้าตาดีน่ะนะ แต่เป็นเพราะออร่าบางอย่างที่มันออกมาจากตัวคุณต่างหาก”

“ผมก็ไม่ใช่คนพิเศษอะไร” เขาตอบอ้อมๆ แอ้มๆ กับประโยคยกยอนั้น จนอีกฝ่ายต้องหลุดหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าเขินๆ ของเขา

“ฉันพอรู้หรอกน่าว่าอะไรคือของจริง!”

ชัชพลกระแอมทีหนึ่ง สีหน้าจึงกลับมาจริงจังตามเดิม

“เรื่องของผมไม่ใช่สิ่งที่ต้องการจะพูดวันนี้ ประเด็นคือเรื่องของคุณต่างหาก”

“เกี่ยวอะไรกับฉันเหรอคะ” เธอถามงงๆ

“คุณเคยบอกว่าสมัยก่อนชีวิตคุณเจอเรื่องแย่ๆ หลายเรื่อง ชีวิตมีปัญหาจนต้องไปบวช”

“ใช่ค่ะ”

“คือจริงๆ ผมจะบอกว่า…ตอนนี้คุณมีวิญญาณตามรังควานอยู่นะ”

“ฮะ…อะไรนะคะ”

แม้จะได้ยินเต็มสองหูแต่รัตน์สิกาก็ยังถามออกไปเช่นนั้น เผื่อให้สมองประมวลผลอีกทีแล้วยืนยันว่าเธอไม่ได้หูฝาดไป แต่อีกฝ่ายขี้เกียจเกินกว่าจะพูดซ้ำๆ เพราะชินกับปฏิกิริยาตอบสนองของคนที่รู้ว่าตัวเองมีวิญญาณตามอยู่

“ผมรู้ว่าคุณได้ยินชัดเจนดี…แล้วเรื่องผ้าที่เสียหายมันไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ มีวิญญาณร้ายคอยกลั่นแกล้งจนทำให้คุณถูกไล่ออกจากงาน”

ภายในรถมีเพียงความเงียบ แว่วเสียงยานพาหนะคันอื่นที่แล่นผ่าน แต่ก็รู้สึกเหมือนเสียงนั้นอยู่ห่างไกลออกไปเหลือเกิน ท่าทีเคร่งเครียดจริงจังของคนพูดทำให้รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น…ไม่เลยสักนิด

เนิ่นนาน…กว่าที่หญิงสาวจะค้นหาเสียงของตัวเองเจอ

“ช่วยเล่ารายละเอียดเพิ่มเติมหน่อยสิคะ คุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”

ชัชพลจึงเล่ารายละเอียดต่างๆ ให้ฟังโดยคร่าว เช่นตอนเห็นวิญญาณมาเรียกรัตน์สิกา สาเหตุที่หญิงสาวเป็นลมตอนไปหมู่บ้านทอผ้า ซึ่งแน่นอนว่าจุดนี้ต้องเว้นประเด็นที่ว่าเขาตั้งใจพาเธอไปเป็นเหยื่อล่อ และเรื่องสัมผัสซึ่งได้รับจากผ้าที่เสียหาย แล้วจึงวกกลับมาตบท้ายด้วยประโยคที่ว่า

“ไอ้ต้นเหตุที่ทำให้คุณป่วยก็คงไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก”

“ฉันไม่เคยทำร้ายใครมาก่อน ทำไมจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ด้วย บางที…นี่อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้”

“คุณเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมไม่ใช่เหรอ วิญญาณที่ตามรังควานคุณก็อาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของคุณเองนั่นแหละ…แต่ประเด็นนี้ผมยังให้คำตอบที่แน่ชัดไม่ได้”

“แล้วฉันควรจะทำยังไงดีคะ” น้ำเสียงของคนพูดเหมือนอยากจะร้องไห้เต็มที

“อย่าเพิ่งวิตกไป ระหว่างนี้ก็อยู่ใกล้ผมไว้…เอ่อ หมายถึงในบ้านของผมน่ะ ตราบใดที่คุณอาศัยอยู่ที่นั่น วิญญาณร้ายก็ไม่สามารถเข้าไปทำอะไรคุณได้ เมื่อผมรู้สาเหตุที่แท้จริงแล้วก็คงจะพอช่วยเหลือกันได้”

ร่างบางรู้สึกเหมือนโดนก้อนหินทุบหัวซ้ำๆ จนมึนไปหมด เนิ่นนานกว่าที่จะสามารถเค้นเสียงออกมาได้อีกครั้ง

“ขอโทษด้วยที่ต้องลำบากคุณ”

“ไม่เป็นไร…ผมทำเพราะมนุษยธรรม เห็นคนเดือดร้อนต่อหน้าแล้วจะไม่ช่วยเหลือได้ยังไงล่ะ” ชายหนุ่มบอกเรียบๆ

“ขอบคุณนะคะ ถ้าไม่มีคุณฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไง”

รัตน์สิกากล่าวคำขอบคุณเบาๆ สิ่งที่ได้รับรู้ทำเอาในอกเหมือนมีใครเอาหินมาถ่วงไว้ เธอตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิดของตนเอง เหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า เมื่อรู้ว่าต้องมารับผลแห่งการกระทำซึ่งจดจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไปก่อกรรมอะไรไว้…แต่อย่างน้อยโลกนี้ก็ไม่โหดร้ายเกินไปนัก เพราะเธอยังมีคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ในตอนนี้เป็นที่พึ่งพิงและคอยช่วยเหลือเธออยู่

 

พูดธุระจบรถก็ออกตัวแล่นไปบนถนนที่ทอดยาว มุ่งตรงสู่พิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณบัวทิพย์ ขณะที่ในหัวของชัชพลมีเสียงหนึ่งเกิดขึ้น นุ่มทุ้มทว่าก้องกังวานและเปี่ยมอำนาจอยู่ในที

“หากอยากเข้าใจปัจจุบันก็ต้องมองหาอดีต…เช่นนั้นแล้วเจ้าจึงจะรู้ สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่เนื่องเพราะเหตุใดกันแน่”

ชายหนุ่มส่งกระแสจิตตอบกลับไป แฝงความรู้สึกเหนื่อยล้า

“พี่ก็น่าจะเข้าใจความคิดผมดี”

ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆ ของอีกฝ่ายเป็นดั่งคำย้ำเตือน

แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจอยากทราบอดีตชาติของตัวเอง เพราะคิดว่าอดีตคือเรื่องที่ผ่านไปแล้วไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ดังนั้นการได้รู้ในสิ่งที่เราทำอะไรกับมันไม่ได้แล้วก็รังแต่จะสร้างความทุกข์ใจเท่านั้น

ดังนั้น…แม้รู้ดีว่าการลอง ‘มอง’ อดีตที่ผ่านมายาวนานของรัตน์สิกาคือทางเลือกที่ง่ายที่สุดด้วยซ้ำ แต่ทว่าบางทีอดีตของผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่ามีกรรมพ่วงพันกันมานี้ก็อาจจะแฝงเรื่องราวของเขาเอาไว้ด้วย

นั่นจึงเป็นทางเลือกสุดท้ายที่เขาอยากจะทำ

แต่พอมาถึงตอนนี้…เขาก็ไม่อาจเลี่ยงได้อีกแล้วใช่ไหม!

บทที่ 8

รัตน์สิกาดูเปลี่ยนแปลงไป บางอย่างทำให้จิตใจของเธอล่องลอยออกไปไกลจนบางครั้งที่พูดคุยกันอยู่ดีๆ ก็จะเหม่อลอย ถึงแม้บัวทิพย์จะยืนยันว่าผ้าที่เสียหายไปไม่ได้มีความสำคัญมากนัก และยอมรับคำขอโทษด้วยใจจริงนั้นจะช่วยให้ดีขึ้นได้บ้าง…แต่เจ้าตัวก็ยังไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม

อันที่จริงแล้วเพราะหญิงสาวมัวแต่ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา…ว่าเธอมีอะไรติดค้างใครหรือเคยทำอะไรให้เจ็บช้ำใจขนาดไหนกันนะ

หรือชาติที่แล้วเธออาจจะเคยฆ่าใครตายจนทำให้วิญญาณของคนคนนั้นเกลียดชังจนถึงกับตามมาทำร้ายกันข้ามภพข้ามชาติเช่นนี้ ต่อให้ปัจจุบันชาติเธอไม่มีทางทำแบบนั้นเด็ดขาด อาจด้วยการปลูกฝังและเลี้ยงดูมาให้รู้จักเกรงกลัวต่อบาป แต่หากเป็นตัวตนในอดีตที่แทบไม่รู้จักคนนั้นเล่าจะกลัวบาปกรรมด้วยหรือไม่ เธอไม่อาจแน่ใจได้เลย

ร่างบางจมอยู่ในความคิดของตัวเองโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีหนึ่งหญิงชราและหนึ่งชายหนุ่มเฝ้ามองดูอยู่

“หนูใบบุญดูไม่ค่อยดีเลยนะ” บัวทิพย์เปรยขึ้นมา

“คงไม่เป็นอะไรมากหรอกครับคุณยาย อย่างน้อยก็ไม่ได้มีวิญญาณที่ไหนตามมาทำร้ายอีก”

“ร่างกายไม่เป็นไร แต่จิตใจก็ไม่แน่ใช่ไหม”

คนเป็นหลานชายไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเพราะไร้คำตอบจะมอบให้

“ยังหาทางช่วยไม่ได้อีกเหรอลูก แก้กรรม ตัดกรรม อะไรก็ตามแต่ ให้เจ้ากรรมนายเวรเขาอโหสิ”

“คงต้องหาทางรู้ให้ได้ก่อนว่าอีกฝ่ายเขาต้องการอะไร เหมือนเราจะกินยาก็ต้องหายาแก้ให้ตรงจุด จริงไหมครับคุณยาย”

ชัชพลไม่ได้บอก…เขารู้ทางนั้น แต่กลับไม่กล้าเดินเข้าไปในทางที่เปรียบเสมือนเขาวงกต ด้วยไม่อาจรู้ว่าหลังจากกลับออกมาแล้วสภาพเขาจะเป็นอย่างไร อาจรุ่งริ่งเหมือนโดนทึ้งไปทั้งตัวก็ได้

“รีบหาทางแก้ไขเถอะนะ หากทอดเวลาออกไปเราก็ไม่รู้ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก มันอาจหนักหนาขึ้นก็ได้”

“ครับ” ชายหนุ่มรับปากสั้นๆ น้ำเสียงราบเรียบ แววตาสงบนิ่ง จนไม่อาจบอกได้ว่าเป็นเพียงการรับคำหรือตกลงใจทำอย่างหนึ่งอย่างใดหรือไม่

 

พิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณบัวทิพย์นี้ตั้งอยู่ในอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดของภาคเหนือตอนบน ที่นี่ไม่มีห้างสรรพสินค้า มีเพียงร้านขายของชำทั่วไปซึ่งก็มีขายแทบทุกสิ่งที่ผู้ซื้อต้องการ ไม่มีแสงสีในยามค่ำคืน เวลาสักสองทุ่มชาวบ้านก็เข้านอนกันแทบทุกครัวเรือน ถนนที่มีรถคลาคล่ำในตอนกลางวันบัดนี้กลับเงียบเชียบไร้สิ่งมีชีวิตใดๆ

ภายในเรือนไม้หลังใหญ่ยังคงมีแสงสลัว…

หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จไม่นาน บัวทิพย์ก็เข้าห้องไปนอนหลับพักผ่อน ด้วยหญิงชรามักจะตื่นตอนเช้ามืดและหลับตั้งแต่หัวค่ำ

ส่วนรัตน์สิกาก็กำลังสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนอยู่ในห้องของตนเช่นกัน…ในตอนที่กราบพระเป็นครั้งสุดท้ายก็ประจวบเหมาะกับมีเสียงเคาะที่หน้าประตู ทำเอาเจ้าตัวสะดุ้งโหยงด้วยไม่คิดว่าจะมีคนมาเรียก

ขณะที่คิดจะตะโกนถามออกไปว่าใคร ความทรงจำที่ชัชพลเคยบอกเอาไว้ว่ากลางค่ำกลางคืนหากถูกเรียกห้ามขานรับหรือพูดอะไรออกไปโดยเด็ดขาดก็ทำให้ต้องกัดริมฝีปากไว้

เสียงเคาะที่ประตูดังขึ้นอีกครั้ง…

หญิงสาวจึงเดินไปแง้มประตูบานยาวเพื่อดูว่าใคร…คือผู้มาเรียกยามวิกาล โดยไม่ได้คิดเลยว่าหากเป็น ‘บางสิ่ง’ การเปิดประตูให้นั้นแย่ยิ่งกว่าการขานรับเสียอีก

ร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูทำเอาเธอต้องแหงนมอง ใบหน้าของอีกฝ่ายตกอยู่ในเงามืดที่แสงไฟส่องไม่ถึง ทำเอาร่างบางผงะไปครู่หนึ่ง…

ก่อนจะแหวใส่อีกฝ่าย

“โธ่เอ๊ย…คุณศีล ฉันก็นึกว่าใคร ตกใจหมดเลย”

“กลายเป็นคนขวัญอ่อนไปตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ก็ตั้งแต่…” รัตน์สิกาเกือบจะหลุดปากออกไปว่าตั้งแต่เขาบอกว่าเธอมีวิญญาณตามติดนั่นแหละ แต่ก็ต้องชะงักไว้ เปลี่ยนถ้อยคำที่จะพูดเสียใหม่

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ แล้วคุณมีอะไรเหรอคะ”

“ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”

“กลางวันก็มีเวลาเยอะแยะไป ทำไมไม่คุยก็ไม่รู้” เธอบ่นพึมพำไม่จริงจังนัก แต่อีกฝ่ายก็ยังอธิบาย

“ผมเพิ่งตัดสินใจในบางอย่างได้ ก็อยากคุยให้รู้กันตอนนี้นี่แหละ”

“โอเค…งั้น…เอ่อ” เจ้าตัวพูดพลางมองซ้ายมองขวา หันกลับมามองในห้องตัวเอง จะให้เขาเข้ามาคุยด้วยก็ดูจะไม่เหมาะ ถึงนี่จะเป็นบ้านของเขาเองก็เถอะ แล้วดูเหมือนชายหนุ่มก็จะเข้าใจดี

“ตามผมมา” ร่างสูงก้าวนำไปก่อน หญิงสาวรีบงับประตูไว้แล้วเดินตามเขาไป

ห้องพระในวันนี้ยังคงสว่างไสวเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา พระพุทธรูปสีเหลืองทองงดงามกระจ่างตา ชัชพลเดินไปนั่งลงตรงเบาะรองนั่ง รัตน์สิกาเองก็นั่งลงบนเบาะอีกอันหนึ่ง ไม่ใกล้ไม่ไกลกันเกินไปนัก แต่ก็อยู่ในลักษณะนั่งอยู่ตรงข้ามกันพอดี

ครู่หนึ่ง…ชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง

“คุณก็คงจะพอรู้แล้วว่าผมมองเห็นวิญญาณได้”

“ใช่ค่ะ ก็คุณเป็นคนบอกฉันเอง”

“มีอีกอย่างที่ผมจะบอกก็คือบางครั้งเวลาที่ผมสัมผัสตัวใคร…คนที่มีกรรมหนักน่ะ ผมก็จะมองเห็นกรรมของคนเหล่านั้นได้”

“โอ้โห…จริงเหรอคะ” หญิงสาวอุทานอย่างอึ้งๆ มากกว่าจะต้องการคำตอบจริงจัง ขนาดย่าเธอยังไม่มีความสามารถเท่าเขาเลย!

“ตอนนี้ผมอยากลองใช้วิธีนั้นกับคุณ เผื่อจะ ‘เห็น’ ว่าแท้จริงแล้วเจ้ากรรมนายเวรของคุณคือใคร…คุณจะอนุญาตไหม”

ร่างเล็กนิ่งคิดอยู่พักหนึ่งก็ไม่พบว่าจะมีข้อเสียตรงไหน ถึงเธอจะไม่ได้อยากรู้อยากเห็นทั้งอดีตและอนาคต ไม่เคยดูหมอดูสักครั้งในชีวิต แต่นี่ก็เป็นหนทางที่จะรู้ว่าวิญญาณร้ายที่ตามติด เฝ้าคอยทำร้ายเธออยู่นั้นแท้จริงแล้วเป็นใครมาจากไหนกันแน่

“ฉันอนุญาตค่ะ” เจ้าตัวยืนยันอย่างหนักแน่นแล้วจึงถามต่อว่า “เอ่อ…แล้วจะจับตรงไหนคะ”

ครั้นเอ่ยออกไปแล้วก็อยากกัดลิ้นตัวเองให้ตายนัก!

ตายๆๆ…ใบบุญ…คำพูดมีเป็นล้านคำทำไมต้องเอ่ยประโยคคล้ายเชิญชวนแบบนั้น

รัตน์สิกาก้มหน้าก้มตามองพื้น หลบซ่อนใบหน้าที่จู่ๆ ก็ร้อนฉ่าขึ้นมา พูดไม่คิดจริงๆ หรือเป็นเพราะจิตใต้สำนึกของเธอมันคิดไม่ซื่ออยู่ก็ไม่รู้ถึงได้เผลอหลุดปากออกไปแบบนั้น

แต่ไม่เป็นไรหรอก…คนฟังคงไม่คิดอะไรๆ มากเหมือนอย่างเธอ คำพูดที่กล่าวออกไปอาจเลยผ่านหูของเขาแบบเข้าหูซ้ายแล้วทะลุหูขวาออกไปก็ได้ คิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงกล้าที่จะรวบรวมกำลังใจเงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม ซึ่งปรากฏว่าใบหน้าคมที่เธอมองเห็นก็เป็นสีแดงระเรื่อไม่ต่างกันเลย!

ชัชพลเสมองไปทางอื่น แม้ทำเป็นนิ่งเฉยเหมือนไม่ได้ยินประโยคเมื่อกี้ แต่ไม่อาจปกปิดสีหน้าที่ตอนนี้แดงลามไปถึงใบหูเรียบร้อยแล้ว

คนตัวโตกว่ากระแอมสองสามทีแล้วบอกสั้นๆ ว่า

“เอ่อ…แค่มือก็พอแล้ว”

เกิดบรรยากาศแปลกๆ บางอย่างขึ้นรอบตัว…อึกอัก…ขัดเขิน…มือไม้ก็ไม่รู้จะเอาไปไว้ตรงไหนดี…แต่ที่แน่ชัดคือรัตน์สิกาอยากจะกรี๊ดดังๆ สักที เมื่อเห็นว่าคนที่หน้าตาดุนั้นพอทำหน้าเขินๆ พยายามเกร็งมุมปากไม่ให้ยิ้ม และเสมองผนังกับเพดานเหมือนจะเพ่งหาว่าจิ้งจกแอบอยู่ตรงผนังหรือเปล่า…ช่างชวนให้หัวใจเต้นผิดจังหวะเสียจริง จนเธออยากเอาหน้ามุดเข้าไปอยู่ใต้เบาะรองนั่งมากกว่าต้องทนมองใบหน้าของเขาเช่นนี้

“มือ…ข้างไหนคะ” หญิงสาวเกิดอาการลิ้นแข็งจนพูดตะกุกตะกัก อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างเรียบเรื่อย พยายามเก็บงำความรู้สึก

“มือข้างไหนก็ได้ ขอแค่สัมผัสกัน”

ฝ่ามือเรียวบางยื่นไปหาเขา เจ้าตัวพยายามคิดว่านี่ก็เป็นเหมือนการที่หมอจะรักษาคนไข้ ต้องมีการสัมผัสกันบ้าง ไม่มีความหมายอื่นใด…เสียงเล็กๆ ดังขึ้นในใจว่า…เหรอ ไม่คิดจริงๆ เหรอ

ฝ่ามือของชัชพลที่เอื้อมมาจับก็เงอะงะไม่ต่างกันนัก แม้จะรู้ดีว่านี่เป็นเพียงการจับมือเท่านั้น แต่ในวินาทีที่ฝ่ามือของทั้งสองประสาน สัมผัสถึงไออุ่นของอีกฝ่าย อุณหภูมิของร่างกายแตกต่างกันเล็กน้อย แต่เพียงไม่นานก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ยากจะจำแนกความแตกต่าง

วูบหนึ่งที่ทั้งสองเงยหน้าขึ้นสบตากันอย่างไม่ได้นัดหมาย หัวใจหวามไหว รัตน์สิกาจ้องมองอีกฝ่ายแน่วนิ่ง พบว่านัยน์ตาลุ่มลึกคู่นั้นช่างให้ความรู้สึกน่าหลงใหลเหลือเกิน

เหมือนมีอณูบางอย่างที่ล่องลอยอยู่รอบตัว อบอุ่นอ่อนหวาน พาให้นึกถึงความรู้สึกอย่างในความฝันนั้น…แล้วเธอก็ค้นพบว่าความรู้สึกเช่นนั้นมันมีอยู่จริง!

ชายหนุ่มหลุบตาลงต่ำ มือที่อยู่ในอุ้งมือเขานั้นช่างเล็กและบอบบางเหลือเกิน ทำให้เขารู้สึกอยากปกป้อง ทะนุถนอม ตอนนี้ไม่ว่าสิ่งที่ได้เห็นจะเป็นอะไร เขาคิดว่าพร้อมแล้ว ขอเพียงเพื่อช่วยเหลือเธอได้ก็พอ

ชัชพลค่อยๆ หลับตาลง พยายามทำจิตใจให้ว่าง ครู่หนึ่งจึง ‘มองเห็น’ เป็นการเห็นโดยที่ไม่ต้องลืมตาหรือใช้ดวงตาในการ ‘เห็น’ ด้วยซ้ำ

 

ในทีแรกเป็นเพียงสีทึมเทา รู้ว่ามีการเคลื่อนไหวแต่ไม่ทราบว่าเป็นสิ่งใดที่ถูกความดำมืดครอบคลุมเอาไว้อีกด้านนั้น แล้วก็กลายเป็นภาพที่ฉายให้เห็นวูบหนึ่ง ไม่มีการเคลื่อนไหวดั่งเช่นเป็นรูปถ่ายใบหนึ่งเท่านั้น

พร่ามัวและดูเลือนรางห่างไกล ไม่ต่างอะไรกับรูปถ่ายที่เก็บไว้เนิ่นนานจนสีซีด มุมภาพเหลืองกรอบ ด้วยขาดหายเว้าแหว่งไปตามกาลเวลา

เป็นภาพของเด็กชายกับเด็กหญิงคู่หนึ่ง คะเนแล้วน่าจะมีอายุสักสิบกว่าขวบเท่านั้น การแต่งกายเป็นแบบสมัยโบราณ แต่ที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นแววตาของคนทั้งสองที่มองกัน มันเด่นชัดท่ามกลางดินแดนที่ไร้สีสันแห่งนั้น ชัชพลที่มองเห็นอยู่ในฐานะบุคคลที่สามยังสามารถรับรู้ถึงความรักและผูกพันจากสายตาของเด็กชายได้ดี…รู้สึกได้ดีราวกับเป็นความรู้สึกของตัวเองด้วยซ้ำ

จิตสำนึกบ่งบอกว่าภาพของเด็กชายที่โผล่ขึ้นมาคือเขาเอง ส่วนเด็กหญิงนั้นก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากรัตน์สิกา

คิดได้ดังนั้นภาพที่เห็นก็ลอยผ่านไป กลับเป็นภาพอื่นเข้ามาแทนที่สลับกันไปไม่เรียงตามลำดับเวลาจนคนมองรู้สึกสับสนปนเปไปหมด…เด็กหญิง…เด็กชาย…ช่วงเวลาต่างๆ ตั้งแต่ยังเป็นเด็กน้อยจนเข้าสู่วัยรุ่น และเติบใหญ่กลายเป็นหนุ่มสาวที่ต่างคอยช่วยเหลือกันและกัน

แต่ทว่ายิ่งนานไปภาพที่เห็นในนิมิตก็ยิ่งฉายผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มจับตามองแทบไม่ทัน ทุกอย่างวูบวาบผ่านตาแล้วผ่านไป

ชัชพลต้องพยายามอย่างมากเพื่อสงบจิตใจ! ปล่อยใจให้ว่างแล้วภาพทั้งหมดจึงค่อยแปรเปลี่ยน ไหลผ่านเข้ามาในห้วงสำนึกเอื่อยๆ ราวสายน้ำ

จากที่เป็นเพียงภาพกระด้างก็กลายเป็นภาพเคลื่อนไหว ถึงกระนั้นก็กระตุกนิดๆ ไม่ต่างอะไรกับกำลังดูทีวีขาวดำสมัยโบราณที่สัญญาณยังไม่ค่อยดีอีกด้วย ที่สำคัญก็คือภาพเหตุการณ์ดันสลับกันไปมา ไม่ติดต่อกันเหมือนม้วนฟิล์ม

ชายหนุ่มปล่อยให้สิ่งต่างๆ ผ่านเข้ามาในหัว แล้วจึงค่อยๆ เรียบเรียงทุกอย่างให้เป็นเรื่องราวที่ร้อยเรียงกัน เช่นนั้นแล้วจึงสามารถเข้าใจได้ว่ามีสิ่งใดที่เคยเกิดขึ้นมาบ้าง

 

“บ่ต้องเข้ามาใกล้เลย หมู่ข้าจะเล่นโตยกั๋น สูไปเล่นคนเดียวไป๊” เสียงของเด็กหญิงคนหนึ่งตวาดแหวราวกับเป็นหัวโจกท่ามกลางกลุ่มเด็กหญิงสี่ห้าคน

“หื้อข้าเล่นโตยบ่ได้กา” ผู้พูดเป็นเด็กน้อยที่ตัวเล็กกว่าใครอื่นอย่างเห็นได้ชัด แต่งตัวขะมุกขะมอม เสื้อผ้ามีสีซีดจางต่างจากคนอื่นราวกับหลุดเข้ามาอยู่ในที่ที่เธอไม่ควรอยู่

“ผ่อสภาพของสูก่อนเต๊อะคำแก้ว เสื้อผ้าขะมุกขะมอม เดี๋ยวจะเอาขี้เปอะขี้โคลนมาเปื้อนเสื้อผ้าข้า” ผู้พูดเป็นเด็กหญิงอีกคนที่ตัวเตี้ยกว่าคนแรก ถ้อยคำแลดูเสียดสีแต่ไม่เต็มไปด้วยอารมณ์โมโหเหมือนเพื่อนของเธอ

คำแก้วยังไม่ยอมจากไปง่ายๆ…ก็เธออยากมีเพื่อนเล่นนี่นา แต่พอโผล่เข้าไปขอเล่นด้วย คนอื่นก็เกิดวงแตกขึ้นมา

คนเป็นหัวโจกเกิดโมโหถึงขีดสุด เดินเข้าไปผลักคนตัวเล็กจนเซแล้วหกล้มลงนั่งก้นจ้ำเบ้า สายตาของผู้ถูกกระทำยังคงจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจนักว่าเธอทำอันใดผิดกัน

“บ่ต้องมาผ่อหน้าข้าอย่างอั้น บ่ฮู้กาว่าข้าเป็นลูกหลานไผ”

คำแก้วจ้องมองกลุ่มเด็กที่ยืนเรียงรายซึ่งต่างก็เป็นลูกหลานของผู้มีอันจะกินทั้งสิ้น ก่อนที่อีกฝ่ายจะบอกย้ำอีกครั้ง

“ปิ๊กไปที่สูควรอยู่ ไปเลี้ยงงัวเลี้ยงควาย บ่อั้นก็ช่วยแม่สูทอผ้าไป๊ มีเงินพอยาไส้แล้วค่อยหาเวลามาเล่นเต๊อะ”

คำพูดดูถูกของอีกฝ่ายบาดลึกเข้าไปถึงหัวใจดวงน้อยๆ ตอกย้ำว่าฐานะของเธอต่ำต้อยแค่ไหน น้ำตาของคนฟังเกือบจะหยดลงมาอยู่แล้ว ถ้าไม่มีมือคู่หนึ่งยื่นมาประคองให้เธอลุกขึ้น

“บ่มีไผเล่นโตยก็มาเล่นกับอ้ายนี่ คำแก้ว”

“อ้ายสิงห์คำ” เสียงอุทานของเด็กหญิงทั้งหมดดังขึ้นพร้อมเพรียงกันไม่เว้นแม้แต่คำแก้วด้วย

สิงห์คำเป็นเด็กชายตัวสูง มีอายุมากกว่าทุกคนในที่นี้ แต่ที่ทุกคนให้ความรักและเคารพเขาไม่ใช่เพียงเพราะวัย แต่เป็นความซื่อตรง ไม่เคยรังแกใคร แล้วยังพร้อมจะปกป้องทุกคนที่ถูกรังแกอีกด้วย หากเด็กคนอื่นมีปัญหาสิงห์คำก็ไม่เคยเข้าข้างคนผิด ทุกคนในที่นี้ต่างเคยได้รับความช่วยเหลือจากเขามาแล้วทั้งสิ้น แม้จะมีอายุสิบขวบต้นๆ แต่รัศมีความเป็นผู้นำก็แผ่ออกจากตัวเขา

สายตาเฉลียวฉลาดเกินวัยกวาดมองเด็กคนอื่น แล้วจึงบอกกับคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ พร้อมจับจูงจากไป

“ไปเต๊อะคำแก้ว กับคนที่ผ่อคนอื่นแค่รูปกายภายนอกและชาติกำเนิดที่คนเฮาบ่อาจเลือกเกิดได้ก่อย่าไปยุ่งกับหมู่เขาเลย”

 

ท้องทุ่งนาเต็มไปด้วยสีเขียวอ่อนของต้นกล้า พวกผู้ใหญ่ต่างช่วยกันถอนกล้าดำนาอยู่ไกลลิบโน่น เด็กหญิงตัวน้อยนั่งเล่นในกระท่อมมุงหญ้าคาผนังเปิดโล่งทั้งสี่ด้าน เพราะหลังจากที่ช่วยพวกผู้ใหญ่หยิบโน่นทำนี่มาบ้างแล้วกลายเป็นวุ่นวายมากกว่าช่วยให้ดีขึ้น เธอจึงถูกไล่ให้มานั่งรออยู่ที่นี่

ลมเย็นๆ พัดโชยมาพาให้ชื่นใจเลยมัวแต่เพลิดเพลินอยู่กับบรรยากาศรอบกาย กว่าคำแก้วจะรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่เพียงคนเดียวก็ตอนที่ได้ยินเสียงเหยียบไม้หักดังกรอบแกรบแว่วมาจากด้านหลัง เด็กหญิงหันไปมองที่มาของเสียงแต่ก็ช้าไปเสียแล้ว เพราะถูกจู่โจมจากเด็กชายร่างสูงใหญ่กว่า…ด้วยการจี้เอวซึ่งเป็นจุดอ่อนของเธอ!

“อ้ายสิงห์คำ!” คำแก้วแว้ดใส่พร้อมกับพยายามกลั้นเสียงหัวเราะ…พออีกฝ่ายรู้ว่าเธอเป็นคนบ้าจี้เท่านั้นแหละ เผลอเป็นไม่ได้จะต้องโดนเขากลั่นแกล้งทุกที

“อ้ายอยู่นี่แล้ว บ่ต้องฮ้องหา* เสียงดังก่ได้” สิงห์คำตอบพร้อมแววตาพราวระยับจนคนมองเห็นแล้วหมั่นไส้เป็นที่สุด

“ชอบแกล้งน้องอยู่เรื่อย” เด็กหญิงทำปากยื่น เบือนหน้าหนีแล้วทำทีเป็นไม่สนใจเขาอีก

“ถ้าบ่แกล้งน้องจะหื้ออ้ายไปแกล้งไผล่ะ” คนตัวเล็กยังไม่ยอมตอบคำ เขาจึงง้อด้วยไม้ตายสุดท้าย “อย่าเพิ่งโขด** มาดูนี่ก่อนว่าอ้ายมีหยังมาหื้อโตย”

เด็กชายค่อยๆ หยิบขนมและผลไม้ที่หากินได้ยากออกมาจากถุงย่าม ซึ่งก็ได้ผลดีเสียด้วยเมื่อใบหน้างอง้ำหันมาเห็นแล้วทำตาวาวด้วยความสนใจ ลืมเลือนเรื่องที่เคยคิดว่าจะแกล้งงอนนานๆ สักหน่อย เด็กหญิงตัวน้อยกลืนน้ำลายดังเอื๊อก…เธอคือจอมตะกละอย่างแท้จริง

“หื้อน้องแต๊กา”

“แต๊ก่ะ” สิงห์คำยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น คนฟังจึงรีบดึงตัวเขามานั่งด้วยกัน แล้วจัดการชิมโน่นนี่ กินจนอิ่มแล้วนั่นแหละถึงได้มีเวลาคิดเรื่องอื่น

“แล้วอ้ายมาหาน้องนี่มีอะหยังก่อ”

“อ้ายตั้งใจเอาขนมมาหื้อน้อง ไปที่บ้านมาแล้วแต่ก็บ่เห็นไผอยู่บ้านเลย จนป้าปั๋นบ้านข้างๆ เปิ้นบอกว่าน้องมาที่นี่กับพ่อแม่อ้ายเลยโตยมา”

“มาตั้งไกลเพราะเอาขนมมาหื้อเนี่ยนะ บ่ต้องลำบากขนาดนั้นก่ได้”

พื้นที่ซึ่งเป็นเรือกสวนไร่นานี้อยู่ห่างไกลออกมาจากเขตหมู่บ้านมาก ถ้าไม่จำเป็นคงไม่มีใครเดินมาตั้งไกล ยิ่งอยู่ท่ามกลางแดดร้อนตอนกลางวันแบบนี้อีก แต่สิงห์คำก็ให้เหตุผลว่า

“อ้ายกินของดีๆ ลำๆ แล้วก่อดกึ๊ดถึงน้องบ่ได้ เลยอยากหื้อน้องได้กินโตย”

คำตอบของเขาทำเอาคำแก้วเผยยิ้มหวาน ส่งผลให้หัวใจของคนมองพองโต คิดว่าคุ้มค่าแล้วกับการยอมเหนื่อยครั้งนี้ เสียงหัวเราะคิกคักของเด็กทั้งสองดังแว่วไปทั่วท้องทุ่งนา

 

* ฮ้องหา แปลว่าเรียกหา

** โขด แปลว่าโกรธ

ช่วงที่ว่างจากการงานเหล่าแม่บ้านแม่เรือนต่างนำเสื้อผ้ามาซักที่ลำธาร ช่วงนี้ถือเป็นการพบปะตามประสาผู้หญิงด้วย นินทาคนนั้นพูดถึงคนนี้ ปากพูดมือก็ทำงานไปด้วย ส่วนเด็กๆ ก็มักจะตามแม่มาด้วยแล้วจับกลุ่มกันเล่นอยู่ไม่ไกล

วันนี้มีเสียงร้องแลดูวุ่นวายดังมาจากกลุ่มเด็ก เมื่อเมืองใจเด็กชายร่างสูงโย่งคนหนึ่งไปเจอตัวหนอนสีเขียวๆ โตขนาดเท่านิ้วโป้งผู้ใหญ่ จึงเก็บหนอนตัวนั้นมาวางไว้บนใบไม้แล้วยื่นมันเย้าแหย่คนอื่นซ้ายทีขวาที เด็กผู้ชายหัวเราะเห็นเป็นเรื่องตลกขบขัน ส่วนฝ่ายเด็กผู้หญิงก็พากันกรี๊ดลั่น วิ่งหนีเตลิดเปิดเปิง

คำแก้วที่นั่งแอบอยู่มุมหนึ่งหัวเราะผสมโรงไปด้วย เมืองใจหันมาเห็นเธอเข้าจึงพุ่งปราดเข้ามาหา เด็กหญิงมองการกระทำนั้นด้วยความหวาดหวั่นแต่ก็ยังอุตส่าห์ทำทีเป็นไม่กลัวอะไร…แม้รอยยิ้มจะจืดเจื่อนเต็มที

“บ่กลัวกาคำแก้ว”

“ขะ…ข้าเจ้าบ่กลัว”

คนฟังถอนหายใจคล้ายแสนเสียดายเพราะหมดสนุก เด็กหญิงนึกว่าอีกฝ่ายจะเลิกแกล้งไปแล้วแต่กลับพบว่าเจ้าหนอนตัวโตที่มองแล้วน่าขนลุกเป็นที่สุดนั้นถูกโยนเข้ามาหา เธอส่งเสียงกรี๊ดดังลั่นอย่างหมดท่า

ร่างเล็กกระโจนไปทิศทางตรงกันข้ามกับตัวหนอน รู้สึกขนลุกขนชันด้วยความแขยงเป็นอย่างยิ่ง กระโดดหลบพ้นก็รีบวิ่งหนีไประยะหนึ่ง เมื่อคิดว่าตัวเองน่าจะรอดแล้วจึงหันไปมองทางเบื้องหลัง เมืองใจกลับยังพยายามคีบหนอนขึ้นมาใส่ใบไม้แล้ววิ่งตามมาอีก

คำแก้วส่งเสียงหวีดร้องพร้อมวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน หนีจนเหนื่อยหอบแฮกๆ ครู่หนึ่งก็วิ่งชนเข้ากับคนบางคนเข้า เธอเกือบจะล้มไปแล้วถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายช่วยพยุงไว้ ครั้นเงยหน้ามองจึงพบว่าเป็นร่างสูงโปร่งของสิงห์คำนั่นเอง

“อ้ายสิงห์คำ” คนอ่อนวัยกว่าอุทานด้วยน้ำเสียงยินดีเป็นล้นพ้น เบี่ยงหลบไปอยู่ด้านหลังเขาเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เมืองใจวิ่งตามมาทันพอดี

คนสูงโย่งรีบหยุดจนตัวโก่ง มองสิงห์คำที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความเกรงใจ ไม่ใช่เพียงแค่อายุที่มากกว่าแต่มีหลายๆ อย่างที่ทำให้ทุกคนเกรงอกเกรงใจเขาเสมอ อีกฝ่ายไม่พูดไม่จาเอาแต่กอดอกยืนนิ่งเอาตัวบังคำแก้วที่ยังหลบอยู่ข้างหลัง

ในความเงียบมีความกดดันแผ่ออกมา…เมืองใจหัวเราะแหะๆ ก่อนจะหันหลังกลับด้วยท่าทางจ๋อยสนิท แต่ก็ต้องชะงักไว้เพราะถูกเรียก คนเรียกยื่นมือมาข้างหน้าเป็นเชิงว่าเอาหนอนซึ่งเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งคนนั้นมามอบให้เขาเสียดีๆ จะได้ไม่ต้องนำไปแกล้งใครอีก คนก่อเรื่องได้แต่มอบมันให้แล้วเดินจากไปแบบหมดสนุก

จบเรื่องแล้วคำแก้วถึงได้ยอมโผล่หน้าออกมา ยิ้มจนตาหยีพลางเอ่ยชมพี่ชายผู้เป็นที่พึ่งยามยากของเธอไม่ยอมหยุด

“อ้ายสิงห์คำนี่เก่งขนาด”

“อ้ายยังบ่ได้เยียะหยังเลย”

“นี่ขนาดบ่ได้เยียะหยังนะ เมืองใจมันก่หน้าซีดอย่างไก่ต้มขนาดนี้ละ ถ้าเยียะจะขนาดไหน…ต่อไปอ้ายห้ามหื้อไผมาแกล้งน้องได้เน้อ”

“อ้ายบ่ยอมหื้อไผมาแกล้งน้องของอ้ายหรอก” เด็กชายบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

คนตัวเล็กกว่ากำลังจะเกาะแขนอีกฝ่ายแล้วออดอ้อนเหมือนอย่างที่เคยทำเวลามีเรื่องถูกใจ แต่ก็ต้องชะงักไว้เมื่อเหลือบไปเห็นหนอนเจ้าปัญหาที่อยู่ในมือของเขา

“อะ…เอามันไปขว้างก่อนบ่ได้กา”

มือของสิงห์คำกลับเคลื่อนใกล้เข้ามา คำแก้วเอนตัวหนี กว่าจะรู้ตัวว่าถูกหักหลังก็ตอนที่เขาบอก

“อ้ายบ่ยอมหื้อไผมาแกล้งคำแก้ว…เพราะอ้ายแกล้งได้คนเดียว”

เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เด็กหญิงต้องหลุดเสียงกรี๊ดออกมายาวๆ แล้วตั้งหน้าตั้งตาวิ่งหนีต่อไป!

 

การกลั่นแกล้งยังคงจะดำเนินต่อถ้าไม่ใช่เพราะเสียงอุทานของคำแก้วพร้อมกับที่เจ้าตัวสะดุดก้อนหินหกล้มลงไปคลุกฝุ่นอยู่บนพื้น เด็กหญิงส่งเสียงร้องโอดโอยแล้วยังไม่วายทำสีหน้าขุ่นเคืองคนที่เป็นต้นเหตุให้เธอต้องเจ็บตัวแบบนี้ โดยมีสายตาสำนึกผิดมองตอบกลับมา

“เป็นเพราะอ้ายนะ บอกแล้วว่าบ่เล่นๆ ยังจะแกล้งน้อง”

“อ้ายขอโทษ” สิงห์คำพยายามช่วยฉุดอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมา แต่กลับได้ยินเสียงครางด้วยความเจ็บปวดดังยิ่งกว่าเดิม

“โอย…เจ็บๆๆ ขาน้องต้องหักแล้วแน่ๆ”

เด็กชายคลำดูที่ข้อเท้าแล้วจึงบอก

“บ่น่าถึงขั้นกระดูกหักนะ”

“ยืนบ่ได้ เตว* บ่ได้แบบนี้ ยังว่าบ่หักแหม”

“แม่น้องล่ะ”

“บ่ฮู้ ดูท่าจะปิ๊กบ้านไปแล้ว” น้ำตาของคำแก้วไหลพรากๆ กำลังจะส่งเสียงร้องไห้โฮแต่ก็ต้องหยุดไว้ก่อนเมื่อคนตัวโตกว่าหันหลังให้แล้วนั่งยองๆ อยู่ข้างหน้า

“จะเยียะอะหยัง”

“ขี่หลังอ้ายปิ๊กบ้าน” คนฟังยังลังเลใจ อีกฝ่ายจึงบอก

“บ่อั้นก่หื้ออ้ายไปบ้านน้อง แล้วบอกหื้อพ่อแม่มาฮับ”

“บ่เอา” เด็กหญิงรีบปฏิเสธเพราะกว่าจะเรียกพ่อแม่มา เธอก็ต้องนั่งจุมปุ๊กอยู่ที่นี่คนเดียวอีก

“อั้นก่ขึ้นหลังอ้ายมา!”

คำแก้วค่อยๆ เคลื่อนตัวไปเกาะไหล่สิงห์คำไว้ เมื่อเขาลุกขึ้นเดินพาเธอกลับบ้านความเจ็บปวดที่ข้อเท้าก็เหมือนจะบรรเทาเบาบางลง ราวกับว่าแผ่นหลังกว้างนั้นจะมีพลังบางอย่างที่เธอซึมซับเอาไว้แล้วรู้สึกดีขึ้น พลางคิดกับตัวเอง…อยู่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ

ระหว่างทางนั้นทั้งสองยังเดินผ่านกลุ่มของเมืองใจและเพื่อน เด็กชายร่างสูงโย่งคนนั้นมองมาแบบตาแทบจะไม่กะพริบ สิงห์คำเป็นคนฉลาดทำไมจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแอบชอบคำแก้วอยู่ คงจะมีเพียงคนตัวเล็กซึ่งขี่หลังเขาอยู่นี่แหละที่แสนซื่อ ไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย

เด็กหญิงยังคุยจ้อพลางชี้ชวนให้ดูโน่นนี่ แต่ฝีเท้าของเขาชะลอลงเธอจึงกระตุ้นเตือนให้รีบเดินหน้าต่อไปเพื่อกลับบ้าน โดยไม่รู้เลยว่าสิงห์คำกับเมืองใจต่างก็จ้องมองกันเขม็ง ครู่หนึ่ง…ร่างสูงโปร่งก็เริ่มออกเดินต่อ ก่อนจะไปยังเผยยิ้มนิดๆ ที่มุมปากพลางปรายตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาของคนที่เหนือกว่า!

 

ผู้คนจำนวนหนึ่งกำลังส่งเสียงเฮด้วยใจลุ้นระทึก สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปยังชายสองคนที่กำลังต่อสู้กันอย่างเอาจริงเอาจัง…ฝ่ายหนึ่งเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ผิวกายขาวจัด ใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่น ส่วนอีกฝ่ายเป็นชายอายุอานามแก่กว่าคนแรกสักสองสามปี ตัวเตี้ยแต่รูปร่างบึกบึน บวกกับผิวสีเข้มจากการกรำแดดแล้วยิ่งทำให้ดูน่าหวั่นเกรงขึ้นทบเท่าทวีคูณ

* เตว แปลว่า เดิน

หากคนหนุ่มกว่ากลับไม่มีทีท่าจะหวั่นเกรง ดวงตาคมกริบคู่นั้นวาวเรืองเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น สับเท้า รุกถอย เคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็ว คอยหลบหลีกพร้อมกับหาช่องว่างจู่โจมคู่ต่อสู้อีกด้วย แต่เพราะความจัดเจนของอีกฝ่ายจึงไม่อาจเอาชนะได้โดยง่ายดายนัก

ผลัดกันรับผลัดกันรุกอยู่นานท่ามกลางเสียงโห่เฮจากคนดูรอบข้าง วูบหนึ่งที่ร่างบึกบึนมองเห็นช่องให้สบโอกาสรุกจึงหมายจะจบการต่อสู้ครั้งนี้ให้ได้ ทว่าเพราะความจดจ่อกับแผนลวง กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่คู่ต่อสู้รุ่นน้องเอี้ยวตัวหลบปราดออกจากรัศมีอันตราย แล้วสวนข้อศอกเข้ามาโดนกรามของเขาเต็มๆ

เสียงกระดูกกระทบกระดูก…ร่างของคนถูกกระทำร่วงลงไปที่พื้นพร้อมเสียงเฮดังลั่น!

ผ่านไปครู่หนึ่งหลังจากเสียงโห่เฮเบาลงบ้างแล้ว แทนที่ผู้ชนะจะดีใจ ร่างสูงกลับทรุดตัวลงคุกเข่าแล้วรีบบอก…

“สุมา* เต๊อะอ้าย”

“ตีนมือสูนี่หนักใช่เล่น ออมแฮง** หน่อยก่ได้ไอ้สิงห์คำ”

คนพูดขยับกรามตัวเองเบาๆ ก่นด่าพร้อมกับพยายามลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบากจนอีกฝ่ายต้องช่วยฉุดขึ้นมา เรียกเสียงหัวเราะจากคนอื่น สิงห์คำหัวเราะแผ่วๆ ก่อนจะตอบ

“ข้าสุมาเต๊อะ มันลืมไป นี่ยังดีทันลดแฮงไว้กึ่งหนึ่ง”

“ถ้าใส่มาเต็มๆ จะขนาดไหนนี่” สักพักพอความเจ็บค่อยบรรเทาเบาบางลงเจ้าตัวจึงเอ่ยต่อ “แต่ต้องยอมฮับ…เรื่องเจิงมวย*** คงบ่มีไผสู้สูได้แล้ว”

“บ่ขนาดนั้น อ้ายก็เป็นเหมือนครูของข้าคนหนึ่ง”

“ครูอะหยัง ถ้าเป็นครูแต๊ข้าคงจะบ่มาอยู่ในสภาพนี้”

ร่างเตี้ยม่อต้อยังคงบ่นต่อไปขณะที่คนฟังได้แต่ยิ้มๆ พูดคุยกันอีกสองสามคำ สายตาคมก็เหลือบมองเห็นคนบางคนเสียก่อน ร่างสูงขอปลีกตัวออกมาแล้วตรงดิ่งไปยังจุดจุดหนึ่ง คนอื่นในวงเลยพลอยแยกย้ายกันไปด้วย

ใต้ต้นไม้ไม่ไกลกันนั้นมีร่างบางยืนทำหน้าเหยเกอยู่ ใบหน้าของหญิงสาวขาวซีดตัดกับริมฝีปากสีแดงด้วยเจ้าตัวขบเม้มเพราะความกดดัน ยิ่งชายหนุ่มตรงเข้ามาใกล้ทำให้สามารถมองเห็นรอยช้ำบวกกับรอยเลือดที่มุมปากของเขา สีหน้าเธอก็ยิ่งแย่ลง

“อ้ายน้อย…” คำแก้วเอ่ยเรียกเป็นจังหวะเดียวกันกับที่อีกฝ่ายเดินมาถึงพอดี

“น้องมาตั้งแต่เมื่อใดละ”

เธอไม่ตอบแต่ถามกลับไปแทน

“อ้ายเจ็บนักก่อ”

“น้องเป็นห่วงอ้ายกา” คนตัวโตค้อมกายลงมาเพื่อให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกัน นัยน์ตาคู่นั้นพราวระยับ ใบหน้าซีดเซียวของหญิงสาวค่อยซับสีเลือดจางๆ

แทนคำตอบทุกอย่างมือเรียวเอื้อมไปหยิบผ้าเช็ดหน้าซึ่งเหน็บไว้ที่ชายพกเพื่อจะซับรอยเลือดที่มุมปากให้ แต่แล้วก็ต้องชะงักไว้เพราะเกรงว่าจะเป็นการใกล้ชิดกันจนเกินงาม จึงเปลี่ยนเป็นยัดผ้าเช็ดหน้าใส่มือเขาแทน

* สุมา แปลว่าขอโทษ

** ออมแฮง แปลว่าออมแรง

*** เจิงมวย แปลว่าเชิงมวย เป็นศิลปะการต่อสู้แบบมือเปล่า ถ้าใช้ดาบเรียกเจิงดาบ ใช้หอกเรียกเจิงหอก แบบนี้เป็นต้น ในสมัยปัจจุบันมีการปรับท่าต่างๆ ให้เน้นความอ่อนช้อยมากขึ้นจนคล้ายการร่ายรำมากกว่าจะใช้ต่อสู้จริงๆ

“แผลเล็กน้อยแค่นี้อ้ายคงบ่เป็นหยังง่ายๆ”

“ไผบอกว่าอ้ายบ่เป็นหยัง”

“แต่ก่ยังหาเรื่องเจ็บตัวอยู่เรื่อย”

คนฟังหัวเราะเบาๆ แต่ก็ยอมเช็ดเลือดเองแต่โดยดี หลังจากนั้นระหว่างทั้งสองจึงมีความเงียบอยู่ครู่หนึ่ง

หญิงสาวเงยหน้ามองผู้ชายที่ยืนอยู่เคียงข้าง…รูปร่างสูงสง่าผ่าเผย ไม่ว่าจะทั้งเรื่องความเก่งกาจ ฉลาดเฉลียว และรูปร่างหน้าตาแล้ว หากพูดว่าเขาเป็นที่สองก็คงไม่มีใครเป็นที่หนึ่งอีกแล้ว

ผ่านมาเนิ่นนานหลายปี สิงห์คำก็คือคนที่ยืนอยู่เคียงข้างเธอเสมอมา

มันจึงเป็นความรัก…ยิ่งกว่าที่จะคาดคิดได้ว่าชีวิตนี้จะสามารถรักใครได้มากเท่านี้มาก่อน

คือความผูกพัน เทิดทูนบูชา เป็นความรักครั้งแรกและรักเดียวเสมอมา แล้วอย่างนี้เขายังจะถามว่าห่วงไหมอีกหรือ เพราะมันมากกว่าความห่วงเสียอีก เมื่อเห็นเขาเจ็บก็ราวกับคนที่โดนทำร้ายคือตัวเอง

คำแก้วกัดฟันเบือนหน้าหนีจากอีกฝ่าย ถอนหายใจกับตัวเองแผ่วเบา ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงเอ่ยถาม

“น้องยังบ่ได้ตอบอ้ายเลยว่า…”

หญิงสาวกำลังหันหน้าไปหาคนถามแต่ก็ต้องพบว่าใบหน้าของทั้งสองเฉียดกันไปนิดเดียว ใกล้จนปลายจมูกแทบจะชนกันอยู่แล้ว ร่างบางชะงักค้างก่อนจะผงะถอยหลังโดยทันที

“อ้ายบ่ต้องยื่นหน้าเข้ามาใกล้ขนาดนั้นได้ก่อ”

“ก่อ้ายอยากฮู้”

“แค่อยากฮู้ว่าน้องมาเมื่อใดเนี่ยนะ”

“บ่ใช่” คราวนี้สิงห์คำปฏิเสธ

“แล้วอยากฮู้อะหยังกันแน่”

“อ้ายแค่อยากฮู้ว่าลมตางล่าง* นี้มันเป็นอย่างใดพ่อง” เอ่ยจบชายหนุ่มก็ยืดตัวขึ้นเต็มความสูงของตัวเอง เงยหน้าสูดลมหายใจยาวๆ ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีชวนให้คนฟังหมั่นไส้ “ลมตางบน** นี่มันเย้นเย็น สดชื่นดีแต๊ๆ”

“อ้ายน้อยสิงห์คำ!”

“บ่ต้องฮ้องชื่อยาวขนาดนั้นก่ได้”

คำแก้วเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่อีกฝ่ายยังทำหน้าระรื่นอยู่ได้

“จะหาว่าน้องเตี้ยแม่นก่อ…ถ้าอ้ายมีลูกขึ้นมา ขอหื้อลูกเกิดมาเตี้ยพ่องแล้วจะฮู้สึก”

“อ้ายสูงขนาดนี้ลูกจะเตี้ยผิดพ่อได้อย่างใด”

“คนเฮามันบ่แน่เน้อ อะหยังก่เกิดขึ้นได้” คราวนี้หญิงสาวยิ้มด้วยความลำพองใจ

“ถ้าลูกจะเตี้ยก่เพราะว่ามันได้แม่มันนะก่ะ!”

รอยยิ้มของคนฟังชะงักค้าง…ไม่รู้ว่าทำไมคำพูดของสิงห์คำถึงทำให้รู้สึกจั๊กจี้แบบแปลกๆ

จริงอยู่ว่าพ่อสูงแบบนี้ถ้าลูกจะตัวเตี้ยก็ต้องได้แม่มานั่นแหละ ไม่อย่างนั้นจะให้เหมือนคนข้างบ้านหรือ แต่ท่าทางคล้ายแฝงความหมายอะไรบางอย่างของคนพูดนี่สิ…ร่างบางกลอกตาไปมา ใบหน้าร้อนฉ่าจนต้องยกมือทั้งสองข้างปิดแก้มตัวเองไว้เพราะกลัวว่าเขาจะเห็นความผิดปกติ แล้วจึงรีบร้องบอกลิ้นรัวเป็นพัลวัน

* ตางล่าง แปลว่าข้างล่าง

** ตางบน แปลว่าข้างบน

“อ้ายบ่เป็นหยังก็ดีละ น้อง…น้องจะไปแล้ว”

“ไปไหน”

“ไปซ้อมฟ้อน…นี่คนอื่นเปิ้นคงจะไปถึงกันหมดละ”

“อ้ายไปโตย”

คราวนี้หญิงสาวหันไปมองด้วยความห่วงใย

“อ้ายปิ๊กบ้านเต๊อะ อาบน้ำอาบท่า หายามาทาแผลจะดีกว่า”

“อ้ายบ่เป็นหยังแต๊ๆ เช็ดหน้าเช็ดตาแล้ว”

“แต๊กา” เธอถามด้วยสีหน้าไม่เชื่อสักนิด…ก็โดนไปทั้งเข่าทั้งศอกขนาดนั้นยังว่าไม่เจ็บอีก แต่อีกฝ่ายยังยืนยันหนักแน่น

“แต๊ก่ะ”

คำแก้วถอนหายใจยาวๆ ใส่คนที่ไม่เจียมตัวซะเลยว่าอยู่ในสภาพไหน ก่อนจะหันกายหมายจะเดินนำไปก่อน ชายหนุ่มฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่ายลืม…แทนที่จะเอาผ้าเช็ดหน้าคืนให้เจ้าของไปก็แอบเก็บมันเอาไว้กับตัว

“รอกำเดียวก่อนคำแก้ว”

หญิงสาวชะงักแล้วหันกลับมามองตามเสียงเรียกทางเบื้องหลัง จึงเห็นว่าคนตัวโตกำลังเหยียดแขนขึ้นไปเก็บดอกไม้บนต้นไม้มาให้ ดอกสีขาวเล็กๆ นั้นออกดอกพรั่งพรูตัดกับสีเขียวเข้มของใบ

ดอกแก้ว***…เหมือนกับชื่อของเธอ

สิงห์คำเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอ คนถูกมองเหมือนจะอ่อนระทวยด้วยสายตาร้อนแรงคู่นั้น

ชายหนุ่มยกดอกไม้ขึ้นมาจรดปลายจมูกของตน สูดกลิ่นหอมเย้ายวนใจของมันนิดหนึ่งก่อนจะค่อยๆ บรรจงเหน็บดอกไม้ที่มวยผมของหญิงสาว โดยที่ตลอดเวลานั้นเขาไม่ยอมละสายตาจากเธอเลย

เมื่อดอกไม้ถูกเหน็บเอาไว้แล้วคำแก้วก็รู้สึกราวกับเขาดอมดมอยู่ที่เรือนผมของตน หัวใจดวงน้อยสั่นสะท้าน พร้อมกันนั้นก็ยังได้ยินถ้อยคำบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนอบอุ่นใจ

“คราวนี้บ่ว่าช่างฟ้อนคนไหนๆ ก็งามบ่เท่าน้องของอ้ายแล้ว”

เธอก้มหน้าหลบเลี่ยงสายตาอีกฝ่าย ได้แต่หลุบตามองพื้นแอบยิ้มกับตัวเองแล้วค่อยเอื้อนเอ่ยออกมาเบาๆ

“ยินดีเจ้า”*

 

ต้นฉำฉาขนาดหลายคนโอบถือเป็นไม้ใหญ่ที่ยืนต้นคู่บ้านคู่เมืองมาอย่างยาวนาน ข้างใต้เป็นลานโล่งกว้าง พื้นดินเรียบแน่นไม่มีแม้แต่เศษหิน ดิน หรือหญ้า เมื่อมีกิจการงานใดสำคัญก็มักจะมาใช้สถานที่นี้เป็นที่ชุมนุมกัน เพียงแต่วันนี้ไม่มีงานชุมนุมใด ทั่วบริเวณจึงมีเพียงเสียงลมพัดใบไม้เสียดสีกัน เสียงนกร้องแว่วมาจากที่ไกลลิบๆ

แม้ใต้ต้นไม้จะมีร่างของคนผู้หนึ่งยืนอยู่แต่กลับไม่ขยับเขยื้อน เพียงทอดสายตามองออกไปไกลจึงดูราวกับเป็นเงาร่างที่ไม่อาจจับต้องได้ เพียงแค่ยื่นมือออกไปก็อาจหายวับไปกับตา

หญิงสาวผู้หนึ่งก้าวเข้าไปหาเขา…ชายหนุ่มซึ่งเป็นคนที่เธอรักอย่างหมดหัวใจ เธอไม่ต้องกลัวคำครหาที่มาพบกับผู้ชายสองต่อสองเช่นนี้ ผู้หญิงต่ำต้อยอย่างเธอยังจะกลัวคำนินทาอะไรอีก

*** ดอกแก้ว คือดอกพิกุล

* ยินดีเจ้า แปลว่าขอบคุณ เนื่องจากสมัยก่อนคนเหนือไม่ใช้คำว่า ‘ขอบคุณ’

สิงห์คำคือพี่ชายที่คอยปกป้องเธอมานานหลายปี ช่วยเหลือเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่อ่อนแอจากการถูกคนอื่นรังแกจนความผูกพันที่มีมาเนิ่นนานก่อเกิดเป็นความรัก แม้ต่างคนต่างไม่เคยพูดเรื่องความสัมพันธ์อย่างจริงจัง แต่คนอื่นๆ ต่างก็รู้ดี…นอกจากเธอแล้วสิงห์คำไม่เคยมีสายตาไว้มองผู้หญิงคนไหนอีก

แม้หญิงสาวแรกรุ่นผู้นี้จะไม่ใช่หญิงที่ดีพร้อมที่สุดหรือสวยที่สุด แต่กลับทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอยากปกป้องและอยากดูแลมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

ร่างสูงใหญ่หันมามองตามที่เสียงหวานเอ่ยเรียก แผ่นอกผึ่งผายเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยมัดกล้าม ท่อนล่างนุ่งผ้าแบบเคว็ดม่าม** ที่ชายผ้ารั้งขึ้นมาถึงโคนขาเพื่อความสะดวกในการเคลื่อนไหว เผยให้เห็นรอยสักยันต์ด้วยหมึกสีดำจากบั้นเอวลงมาเสมอเข่า บ่งบอกถึงความกล้าแกร่งของชายชาตินักรบ

“อ้ายมารอน้องตั้งแต่เช้าแล้วคำแก้ว อยู่บ้านจิตใจมันก็ฮ้อน บ่อาจอยู่นิ่งเฉยได้” สิงห์คำเอ่ยออกมาประโยคแรกก็เข้าเรื่องทันที…สิ่งที่ทำให้จิตใจของเขาพลุ่งพล่านตั้งแต่ได้ทราบข่าว

“เพราะเรื่องงานวันพูก*** แม่นก่อ” เสียงหวานของคำแก้วเอ่ยถามแม้เจ้าตัวจะรู้ดี เพราะเธอเองก็หนักใจไม่ต่างอะไรกับเขาเลย

“น้อง…บ่เข้าพิธีเลือกม้าขี่บ่ได้กา”

ชายหนุ่มหมายถึงงานเลือกสตรีผู้จะมาอยู่ในตำแหน่งม้าขี่ สื่อกลางระหว่างชาวเมืองกับเทพซึ่งเป็นที่นับถือและคอยปกปักรักษาเมืองนี้มายาวนาน เมื่อมีเรื่องร้ายแรงท่านก็จะเตือนผ่านทางม้าขี่ โดยเฉพาะเรื่องสำคัญๆ เช่นโรคระบาดที่จะเกิดหรือการศึกสงครามจากเมืองต่างๆ ที่มารุกรานให้สามารถหาทางรับมือได้ทันท่วงที ตำแหน่งม้าขี่จึงมีความสำคัญอย่างมาก แม้แต่เจ้าเมืองก็ยังต้องให้ความเคารพนับถือ

“อ้ายก่ฮู้ว่าตระกูลของน้องในแต่ละรุ่นล้วนต้องมีคนรับหน้าที่เป็นม้าขี่ของปู่เจ้า ท่านช่วยปกปักฮักษาบ้านเมืองของเฮา ป้าหอมเองก่เป็นพี่สาวของพ่อน้อง ตอนนี้ป้าเจ็บป่วยหนัก…คงจะอยู่ได้อีกบ่เมินแล้ว”

หญิงสาวหยุดไปครู่หนึ่งเพราะรู้สึกเสียใจกับอาการที่ทรุดลงของญาติผู้ใหญ่ก่อนจะกล่าวต่อ

“มันถึงเวลาต้องหาคนมาแทนตำแหน่งหื้อเร็วที่สุด…”

“แล้วถ้าน้องถูกเลือกล่ะ” สิงห์คำตอบสวนตั้งแต่อีกฝ่ายยังพูดไม่ทันจบ

“น้องก่จะทำเพราะถือเป็นหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่ง”

“ถึงแม้ว่าการเป็นม้าขี่จะทำหื้อน้องบ่อาจแต่งงานได้อั้นกา”

“ปู่เจ้าต้องการม้าขี่ที่ถือเพศพรหมจรรย์ หากน้องถูกเลือกก็ต้องทำตามฮีตฮอย* ที่ถือมานานเช่นกัน” ริมฝีปากบางยังคงมีรอยยิ้มติดอยู่จางๆ แม้ในใจจะเต็มไปด้วยเงาเมฆมืดทะมึน

“แล้วอ้ายล่ะ น้องเกยกึ๊ดถึงหัวอกอ้ายก่อ หากน้องเป็นม้าขี่ก็เท่ากับบ่อาจอยู่ร่วมกันทั้งชีวิต”

น้ำเสียงของสิงห์คำที่เคยกล้าแข็งมาบัดนี้กลับอ่อนแรงลง ไม่กังวานเปี่ยมอำนาจเหมือนก่อน

“หากน้องเป็นคนที่ปู่เจ้าเลือกแล้ว เช่นนั้น…ก็คงเพราะเฮาบ่มีวาสนาต่อกัน”

“คำแก้ว…”

ก้อนบางอย่างจุกแน่นอยู่ในอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม เจ็บปวดใจกับสิ่งที่ได้ยิน

“อ้ายบ่เชื่อว่าจะมีเหตุผลแค่นั้นที่ทำหื้อน้องกล้ายอมรับตำแหน่ง หากน้องบ่ต้องการเข้าพิธี อ้ายอาจจะพอช่วยเหลือได้”

** เคว็ดม่าม คือหนึ่งในวิธีการนุ่งผ้านุ่งของชายชาวล้านนา มุ่งเน้นความกระชับรัดกุมสามารถมองเห็นสะโพกและรอยสักได้ชัดเจน สะดวกในการทำงานและการต่อสู้

*** วันพูก แปลว่าพรุ่งนี้

* ฮีตฮอย แปลว่ารีตรอย ขนบธรรมเนียม

น้ำเสียงของชายหนุ่มเริ่มมีความคาดหวัง…ด้วยอำนาจของครอบครัว เขาเชื่อว่าจะสามารถหาช่องทางตัดชื่อของคำแก้วออกไปได้ หญิงสาวจนใจที่จะกล่าวจึงได้แต่เดินเลี่ยงไปโดยไม่กล้ามองหน้าเขา สิงห์คำยังเดินตามมาขวางหน้าเอาไว้แล้วเชยคางเรียวให้เงยหน้าขึ้นมามองตน

“เป็นเพราะผ้าพวกนั้นแม่นก่อ พวกมันทำหื้อน้องยอมแม้กระทั่งละทิ้งอ้าย!” น้ำเสียงของคนพูดราวกับจะคร่ำครวญ แม้ไม่มีน้ำตาสักหยดแต่สิงห์คำก็คล้ายเหี่ยวเฉาไปทั้งตัวและใจ…ไม่ต่างอะไรกับต้นไม้ที่ยังยืนต้นแต่ก็ตายทั้งเป็น

คำแก้วเบือนหน้าหนี หลบเลี่ยงสายตาคมที่ราวกับจะมองเธอทะลุปรุโปร่ง

“ผ่ออ้ายหื้อดี แล้วบอกมาตามตรง” ชายหนุ่มถามย้ำ

ร่างบางถอยออกมาสองสามก้าว…

บางที…บางทีหากเขาเข้าใจเช่นนั้น มันอาจจะดีกว่าสำหรับทั้งสอง

“อ้ายก็ฮู้ว่าน้องกึ๊ดอย่างใด…ผ้าพวกนั้น ผ้าซิ่นตีนจกที่มีแต่ชนชั้นสูงใส่ได้ น้องบ่ใช่ลูกเจ้าลูกนายที่ไหน จึงได้แต่มองแม่ป้าน้าอาทอมันไปมอบหื้อคนอื่นที่เกิดมาพร้อมฐานะสูงส่ง ทางเดียวที่น้องจะได้ใส่คือการเป็นม้าขี่ของปู่เจ้า ได้รับการยอมรับนับถือจากคนอื่นซึ่งเป็นสิ่งที่ชีวิตนี้บ่เคยได้รับ น้องเลือกเกิดบ่ได้ แต่ตอนนี้…หากเลือกได้ น้องขอเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง!”

จริงอยู่ว่านี่ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดที่ทำให้เธอกล้าเดินเข้าสู่พิธีในวันพรุ่งนี้ แต่ถ้อยคำที่กล่าวออกมาแฝงความจริง เป็นปมที่ฝังลึกจนยากจะลบเลือน แล้วน้ำตาก็พลันพรั่งพรูออกมาอย่างรวดเร็ว

ร่างสูงใหญ่สาวเท้าเข้าไปโอบกอดร่างเล็กเอาไว้ด้วยความรักลึกซึ้งสุดใจ หญิงสาวสามารถสัมผัสถึงความรู้สึกนั้นได้ หัวใจของเธอร่ำร้อง เนืองนองไปด้วยน้ำตา…อยากจะลืมเลือนทุกสิ่งที่พูดออกไป ละทิ้งความมุ่งมั่นแล้วไขว่คว้าเอาความสุขอันแสนสั้นเป็นที่ตั้ง

ทว่าบางอย่างก็ฉุดรั้งเธอเอาไว้ ไม่ได้!

“อ้ายก็ฮู้ว่าถึงน้องบ่ได้เป็นม้าขี่ก็ใช่ว่าเรื่องของเฮาจะเป็นไปได้โดยง่าย ฐานะของเฮาต่างกันเกินไป อ้ายเกิดมาพร้อมชาติกำเนิดที่ดี ครอบครัวทางพ่อเป็นตระกูลนักรบกล้าแข็ง รับใช้ท่านเจ้าเมืองมาเมินนาน ครอบครัวทางแม่ก็ร่ำรวยเพราะเป็นคนค้าขาย จะยอมรับแม่ญิงที่มีพื้นเพอย่างน้องได้กา”

“ต่อไปภายภาคหน้า ครอบครัวของอ้ายก็จะต้องเห็นความดีของน้องเหมือนอย่างที่อ้ายเห็น อ้ายขออย่างเดียว ขอหื้อน้องเชื่อ…ว่าอ้ายจะปกป้องน้องได้ แล้วอ้ายจะบ่ยอมหื้อไผกล้าดูถูกน้องเลย”

คำแก้วถอยห่างจากอ้อมกอดที่แสนอบอุ่น ไม่มีคำพูดใดๆ จะกล่าวอีกแล้ว เพียงบอกสั้นๆ ก่อนจะจากไป

“หลังจากงานพิธีแล้วเฮาค่อยอู้กันใหม่เต๊อะ บางทีน้องอาจบ่ใช่คนที่ถูกเลือกเพราะยังมีญาติพี่น้องคนอื่นหลายนัก”

 

แม้ในยามค่ำคืนอากาศจะเย็นสบาย ทว่าเหงื่อเม็ดเป้งๆ กลับผุดขึ้นตามหน้าผากและไรผมของชายหนุ่มในชุดขาว ดวงตาภายใต้เปลือกตาที่ปิดสนิทกลอกไปมา เวลาเนิ่นนานผ่านไปจึงค่อยลืมตาพร้อมกับสูดลมหายใจดังเฮือกใหญ่ ราวกับคนกำลังจะขาดใจต้องรีบฮุบอากาศเอาไว้

ดวงตาคู่คมจ้องหญิงสาวตรงหน้าเขม็ง…ไม่รู้ตัวเลยว่ามือที่จับกันนั้นบีบแน่นแค่ไหน

เป็นความรู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าครั้งไหน แม้จะเคยเห็นกรรมของคนอื่นมานับไม่ถ้วน ทั้งจากการสัมผัสตัวผู้อื่นโดยบังเอิญหรือจากคนที่มีวาสนาต่อกันมาขอความช่วยเหลือ แต่ครั้งนี้กลับแตกต่างออกไป ไม่เหมือนการมองเห็นเรื่องราวของคนอื่น…เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับตัวเขาเอง

ความรู้สึกของสิงห์คำชัดเจนในความรู้สึกของชัชพลจนเกินไป…เขาเจ็บจริงและเศร้าใจจริงๆ

มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป

รัตน์สิกาบอกกับตัวเองเช่นนั้น บรรยากาศอ่อนหวานที่ล่องลอยอ้อยอิ่งก่อนที่ชายหนุ่มจะหลับตาลงค่อยๆ สลายหายไป มือใหญ่ที่ประสานกันอย่างอบอุ่นบีบแน่นเข้ามาจนเจ็บเหมือนกระดูกแทบร้าว แต่หญิงสาวก็ยังกัดฟันทนเพราะกลัวจะรบกวนเขา หลังจากอีกฝ่ายลืมตาขึ้นมาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำแฝงความแข็งกร้าว ดวงตาคมคู่นั้นจ้องมองดูเธอทว่าคล้ายไม่มอง…มันเลยผ่านไปไกล…ไกลเกินกว่าที่จะล่วงรู้ได้

“เป็นยังไงบ้างคะ พอจะรู้รึยังว่าวิญญาณร้ายนั่นคือใคร”

“ยังไม่รู้เลย” เขาตอบห้วนสั้น น้ำเสียงเหนื่อยล้าเต็มที

“แล้วพอจะรู้รายละเอียดอะไรบ้างไหมคะ”

“ไม่มาก แต่ว่า…” คนพูดหยุดคิดนิดหนึ่ง มีบางอย่างที่สะกิดใจเขา แต่ก็ไม่รู้ว่ามันสำคัญพอที่จะบอกเล่าไหม อีกฝ่ายจึงกระตุ้นด้วยความสงสัยใคร่รู้

“แต่ว่าอะไรล่ะคะ อย่าพูดค้างคาสิคุณศีล”

“ถ้าผมเดาไม่ผิด ในอดีตที่ผ่านมาคุณเคยเป็นม้าขี่” ชายหนุ่มบอกได้โดยที่ยังไม่ต้องมองเห็นนิมิตหลังจากวันนั้น เขานึกรู้ได้ว่าคำแก้วจะต้องได้ตำแหน่งที่เธอต้องการอย่างแน่นอน

“ม้าขี่?”

“ใช่ ก็ร่างทรงแบบย่าคุณไง”

“อ้อ พอจะเข้าใจค่ะ แต่…ย่าของฉันเคยบอกว่าฉันเองมีองค์เทพปกปักรักษาอยู่ แล้วตอนที่ฉันลำบากโดนวิญญาณทำร้าย เทพท่านหายหัวไปไหนเนี่ย!” ในตอนท้ายประโยคน้ำเสียงของหญิงสาวไม่สบอารมณ์นัก ไหนย่าย้ำนักย้ำหนาว่าเธอมีองค์ยังไงล่ะ พอเจอปัญหาล่ะดันไม่ยอมมาช่วย

ชัชพลได้ยินข่าวใหม่ที่เพิ่งได้รับรู้จึงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกตามที่เขาเข้าใจ

“บางทีถ้ามันเป็นวิบากกรรมที่คุณต้องเผชิญก็คงช่วยอะไรไม่ได้มากน่ะ อาจจะแอบช่วยเล็กๆ น้อยๆ แต่ช่วยให้คุณหลุดพ้นจากบ่วงกรรมไปไม่ได้”

แต่ทำไมถึงไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของเทพที่คุ้มครองใบบุญอยู่เลย…นั่นคือทำถามที่อยู่ในใจของเขา

“แล้วคราวนี้…จะเอาไงต่อดีคะ”

“วันนี้ผมเหนื่อยแล้วจริงๆ” ชายหนุ่มเอ่ยตัดบท

“อ้าว คุณศีล”

“ก็ค่อยๆ คิดหาทางกันไป”

มาถึงตอนนี้รัตน์สิกาเพิ่งสังเกตว่าใบหน้าของชัชพลแดงก่ำแค่ไหน ไม่ใช่แดงระเรื่อเหมือนอย่างก่อนหน้านั้น หากดูราวกับคนหน้าแดงเพราะพิษไข้ ขณะที่ริมฝีปากขาวซีดอ่อนโรยแรง หัวใจของเธอก็พลันอ่อนยวบ บอกด้วยน้ำเสียงห่วงใย

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปพักผ่อนกันเถอะค่ะ หน้าตาคุณดูไม่ค่อยดีเลย”

ทั้งสองจึงพากันออกมาจากห้องพระอย่างเงียบๆ ร่างบางหันมองคนข้างตัวอย่างเป็นห่วง แต่อีกฝ่ายกลับจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง เธอคิดว่าอีกฝ่ายมักจะเป็นแบบนี้เสมอ ครุ่นคิดกับตัวเองตลอดเวลา สิ่งที่พูดออกมาไม่รู้ว่าเหลืออยู่กี่เปอร์เซ็นต์ของความจริงทั้งหมดที่เขาทราบ

เมื่อเดินมาถึงห้องนอนของชัชพลก่อน ขณะที่เจ้าของห้องกำลังผลักบานประตูจะเข้าไปก็ถูกเรียกไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวค่ะคุณศีล”

คนฟังชะงักแต่ไม่เอ่ยอะไรทั้งยังไม่หันมามองอีกด้วย รัตน์สิกาจ้องมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ…ไม่เหมือนหญิงสาวผู้เต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเองอย่างที่เป็นมา

“ฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่คุณได้รู้ได้เห็นจากการจับมือนั่นมันคืออะไร แล้วถ้าถามจริงๆ จังๆ ฉันก็ไม่ได้อยากรู้ เพียงแต่ว่า…ไม่ว่าสิ่งที่คุณเห็นมันจะเลวร้ายแค่ไหน ฉันอาจเคยทำร้ายใครบ้างไม่มากก็น้อย ก็แหงสิ ถ้าเป็นคนดีจริงไม่เคยทำร้ายใครจะมีวิญญาณตามมารังควานขนาดนี้เหรอ” หญิงสาวหัวเราะเสียงขื่น ไม่มีคำตอบใดจากร่างสูง มีเพียงการที่เขายังยืนอยู่ตรงนั้นที่บอกว่ากำลังรับฟังอยู่ “แต่ฉันอยากจะขอร้อง…อย่าทำแบบนั้นอีก รู้ไหมว่ามันเจ็บ”

“ผมขอโทษด้วยละกันที่เผลอจับมือคุณแรงไป”

“น่าแปลกที่ฉันไม่ได้เจ็บเพราะแรงบีบที่มือแต่มันเจ็บที่ใจ ขอร้องอย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้นเลย”

มีเพียงความเงียบที่โอบคลุม ก่อนเธอจะได้ยินประโยคสั้นๆ ตอบกลับมา

“คุณอย่าคิดมากเลย”

คนพูดเดินผ่านเข้าไปด้านในห้องแล้วปิดประตูดังปัง! ถ้อยคำคล้ายปลอบประโลมของเขาไม่ทำให้เธอดีขึ้นเลย…ไม่เลยสักนิด

 

เส้นทางวิ่งลาดด้วยซีเมนต์คดเคี้ยวรอบสวนสาธารณะ บรรยากาศแสนร่มรื่นยังคงเป็นเฉกเช่นที่เคยเป็นมา แต่น่าเสียดายที่หัวใจของเขาไม่ได้สงบร่มเย็นตามบรรยากาศรอบตัว ใบหน้าคมคายเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ หัวใจเต้นถี่รัวจนเกือบถึงขีดสุด แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงไม่ยอมหยุดวิ่ง ครั้นเห็นว่าใกล้สุดเส้นทางแล้วฝีเท้าจึงผ่อนช้าลงเพื่อให้ร่างกายปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงได้ทัน

แผ่นอกกว้างสะท้อนขึ้นลงตามจังหวะลมหายใจ เสื้อยืดคอกลมสีขาวกับกางเกงวอร์มไม่อาจปกปิดรัศมีบางอย่างที่แผ่ออกมา เมื่อเจ้าตัวรับรู้ถึงจังหวะหัวใจที่ช้าลงบ้างแล้วจึงเดินไปหย่อนตัวลงที่เก้าอี้เหล็กดัดตัวยาวซึ่งทางสวนสาธารณะนำมาวางไว้ตามจุดต่างๆ

เสียงถอนหายใจดังผะแผ่ว ไม่ใช่เพราะความเหนื่อยจากการวิ่ง แต่เหนื่อย…เพราะรู้ว่าตัวเองกำลัง ‘ยึด’ อะไรบางอย่างเอาไว้

แม้เขาจะเลือกเดินเส้นทางธรรมนี้มานาน ได้รับการสั่งสอนจากพระอาจารย์มนูและนำมาปฏิบัติ สภาวะจิตก็ได้รับการพัฒนาไปอย่างก้าวหน้า มีจุดมุ่งหมายในชีวิต ไม่ไหลเรื่อยไปตามกระแสแห่งกิเลส

แต่ชัชพลเป็นปุถุชนที่ยังไม่หลุดพ้น…ความยึดติดยังมีอยู่

เขาปลงไม่ได้…

เวลาที่เห็นหน้ารัตน์สิกา ความหลังที่เคยมีต่อกันก็ผุดขึ้นมา ความรู้สึกตามติดจนไม่อยากเจอ ไม่อยากมองหน้า ไม่อยากพูดด้วย แม้จะ ‘รู้’ ยึดอะไรเอาไว้มันก็เหนื่อยและหนัก ปล่อยวางต่างหากที่เบาโล่งและสบาย

นี่ไม่ใช่แค่กรรมของหญิงสาวแล้วล่ะ คงจะเป็นกรรมของเขาด้วยที่ยึดติดความรู้สึกในอดีตถึงเพียงนี้

“สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย”

น้ำเสียงนุ่ม กังวาน ทว่าในวันนี้หางเสียงกลับแลดูปลดปลง เมื่อชัชพลหันไปมองตามเสียง…ก็พบผู้มาใหม่ เป็นชายหนุ่มเจ้าของเสียงปริศนานั่นเอง!

ร่างที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เหล็กดัดข้างๆ กันนั้นเป็นชายหนุ่มผมยาวประบ่า เขาเสยผมที่หน้าผากขึ้นเผยรูปหน้าเรียวงาม คิ้วเข้มคมเหนือดวงตาที่ทั้งคมทั้งโต แววตาเป็นประกายวิบวับ จมูกโด่ง ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อ แฝงแววขี้เล่นไว้เล็กน้อย

เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดที่มาปรากฏตัว ริมฝีปากบางเฉียบของหนุ่มมนุษย์ก็เหยียดยิ้มออกมานิดๆ ทว่าไม่มีแก่ใจจะล้อเล่นเหมือนเคย

“เป็นมนุษย์นี่มันลำบากเนอะ”

‘พี่’ ยังอุตส่าห์ตอบเรียบเรื่อยอย่างอารมณ์ดี

“เป็นมนุษย์มันก็มีข้อดี ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ข้อเสีย…โลกมนุษย์อยู่กึ่งกลางระหว่างสวรรค์กับนรก ทุกสิ่งอยู่ที่เลือกเองว่าจะขึ้นไปอยู่ข้างบนหรือลงไปอยู่ข้างล่าง…”

เจ้าตัวทำมือไม้ประกอบ ฝ่ามือบนซ้อนอยู่บนหลังมือล่างแต่มีช่องว่างตรงกลางเสมือนมีสามชั้น บนหลังมือขึ้นไปคือสวรรค์ ส่วนต่ำใต้จากฝ่ามือลงมาคือนรก และช่องว่างตรงกลางนั้นคือภพภูมิมนุษย์นั่นเอง

“อีกทั้งภพภูมิมนุษย์นี่แหละเหมาะแก่การสั่งสมบุญบารมี ขนาดเทพข้างบนนั่นก็ยังต้องมีการจุติ..แล้วยังพวกเทพที่อยู่ข้างล่างจะอยากได้ร่างทรงไปทำไม ก็เพราะพวกเขาไม่มีกายหยาบ…ได้แต่พึ่งพาร่างกายของร่างทรง แต่วิธีนี้ถ้าจะว่าดีมันก็ดี คือพัฒนารุดหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าหากยังยึดติดอยู่กับชื่อเสียงก็ดี ลาภสักการะก็ดี ก็ยากที่จะหลุดพ้นสู่ภพภูมิชั้นสูง”

“แล้วเทพประจำตัวของใบบุญเป็นใครเหรอครับ ทำไมผมถึงไม่เห็นจะรับรู้ได้เลย”

พอเอ่ยถึงเรื่องนี้เขาก็ไม่ลืมนึกถึงรัตน์สิกา การปรากฏตัวของอีกฝ่ายคงหมายถึงพร้อมที่จะพูดคุยกันจริงจังเสียที แต่คำตอบคลุมเครือที่ได้รับก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย

“อย่าถามเลย…บางอย่างมันก็พูดไม่ได้”

“พี่ช่วยพูดอะไรตรงๆ ได้ไหม เจอกันทีไรก็วกไปวนมาแบบนี้ตลอด ไม่ก็มาแป๊บเดียวแล้วหาย ผมเริ่มรู้สึกเหมือนพายเรือในอ่างเข้าไปทุกที”

นัยน์ตาดำกลมโตตวัดมองผู้อ่อนวัยกว่าพลางคิดว่าจะจัดการอย่างไรให้มันรู้สำนึก รู้ที่ต่ำที่สูงซะบ้าง…ครั้นสัมผัสความเคร่งเครียดจริงจังที่แผ่ออกมาจากอีกฝ่ายก็ทำได้เพียงถอนหายใจ

“นี่ก็ช่วยเท่าที่จะช่วยได้ เจ้าถูก ‘ปิด’ มากหน่อย เราก็ถูก ‘ปิด’ น้อยหน่อย บางเรื่องรู้แต่ก็พูดไม่ได้ เจ้าก็น่าจะเข้าใจดีไม่ใช่รึ”

“อย่างนั้นพี่พอจะบอกอะไรผมได้บ้างเกี่ยวกับผีสาวที่ติดตามคอยทำร้ายใบบุญอยู่”

“เท่าที่ได้เจอมา เจ้าคิดว่าฝ่ายนั้นมีฤทธิ์เดชระดับไหน” อีกฝ่ายถามกลับแทนคำตอบ คนฟังขมวดคิ้วนิดหนึ่งแล้วจึงบอก

“ก็พอตัว จ้องผมแบบตรงๆ ได้ ก็ถือว่าเหนือกว่าวิญญาณทั่วไป”

“แต่ก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้”

“ก็ใช่” ชายหนุ่มยังคงไม่เข้าใจว่านี่เกี่ยวกันตรงไหน แต่ก็พยายามคิดตาม “อืม…ถ้านับจริงๆ ก็ถือว่ากลางๆ ยายผีนี่น่ากลัวเพราะคนที่เธอทำร้ายคือใบบุญ ทำร้ายคนที่ไม่มีทางสู้ แถมยังไม่นึกเฉลียวใจด้วยซ้ำว่าถูกทำร้ายอยู่ แต่ถ้าหากคิดจะสู้กับผมล่ะก็…”

ท้ายประโยคเจ้าตัวหัวเราะหึๆ เป็นเชิงว่าถ้าแน่จริงก็ลองดู ชัชพลอาจมีจิตเมตตาต่อดวงวิญญาณที่น่าเวทนา แต่หากเป็นวิญญาณที่บังอาจมาทำตัวร้ายกาจกับเขาล่ะก็…

‘พี่’ เผยยิ้มออกมานิดหนึ่งซึ่งแฝงแววบางอย่างก่อนจะเอ่ยประโยคที่กระแทกอกเขาดังปัง!

“แล้วเจ้าคิดว่า…ผีที่มีพลังแค่นี้จะมีความแค้นข้ามภพข้ามชาติได้เชียวหรือ”

ชายหนุ่มมนุษย์เงียบ ก้มหน้านิ่งคิด…คิดตามตรรกะ เหตุและผล ความเป็นไปได้ บวกกับประสบการณ์ที่ผ่านมา ครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตาอีกฝ่าย

“พี่หมายถึง…วิญญาณพวกนี้มีผู้บงการมาอีกที!?”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 25

Comments

comments

Jamsai Editor: