บทที่ 5
ถ้าไม่ติดว่ากลัวจับตัวรัตน์สิกาแล้วจะเห็นอะไรๆ ที่ไม่ค่อยอยากเห็นเท่าไหร่ ชัชพลก็อยากจะช่วยหิ้วปีกหญิงสาวขึ้นบันไดมากกว่ามองสภาพทุลักทุเลเช่นนี้ ร่างบางสาวราวบันไดขึ้นมาช้าๆ ทีละขั้นๆ ดูแสนจะเหน็ดเหนื่อย ทั้งที่เคยวิ่งปร๋อขึ้นลงอย่างง่ายดายตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่
“นั่งตรงโน้นก่อนเถอะ” เขาบอกพลางชี้ไปทางเก้าอี้ไม้บริเวณโถงชั้นบน หญิงสาวมองตามทิศทางนั้น สมองมึนเบลอไปหมด แม้แทบจับใจความสิ่งที่เขาพูดไม่ได้แต่ก็ก้าวไปทางทิศนั้นโดยอัตโนมัติ เมื่อยืนอยู่ชิดเก้าอี้ก็ยังไม่ยอมนั่งลง จวบจนชายหนุ่มกระตุกชายแขนเสื้อนั่นแหละ
มีเพียงความเงียบที่โอบล้อมทั้งสองเอาไว้…ชัชพลหย่อนตัวลงตรงกันข้ามแล้วจ้องมองอีกฝ่ายที่นั่งนิ่งราวกับตุ๊กตาปั้น แม้ดวงตาซึ่งเคยไร้แววในตอนแรกจะกลับมากระจ่างใสแล้วหากก็ยังมองเหม่อผ่านเขาไป ไม่มีจุดโฟกัสใดๆ ทั้งสิ้น จะมีก็แต่ใบหน้าราบเรียบไร้อารมณ์รวมถึงลำคอระหงที่เชิดแข็งค้างอยู่อย่างนั้น
สิ่งที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายยังเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจไม่ใช่รูปปั้นก็เห็นจะเป็นแพขนตาที่กะพริบเป็นจังหวะ เส้นเลือดบริเวณคอที่เต้นตุบๆ อย่างเห็นได้ชัด และหน้าอกที่สะท้อนขึ้นลงเพราะหายใจถี่หนัก
อาการของคนตรงหน้าทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหนักใจขึ้นมาทันที
“ใบบุญ”
หญิงสาวยังคงไม่รับรู้ราวกับเกิดอาการหูดับไปชั่วขณะ เขาจึงต้องเรียกอีกครั้งโดยเพิ่มระดับเสียงให้มากขึ้น คราวนี้เริ่มได้ผลเมื่ออีกฝ่ายหันหน้ามาหาช้าๆ
“คุณ…ไหวไหม” น้ำเสียงที่กล่าวออกไปเจือความเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย
“ใช่…ไหว…รู้สึกเหมือน…โลกมันโอนเอนไปมาเลย…เมื่อกี้นี้…แผ่นดินไหวรึเปล่า”
คนฟังมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยใจกับคำตอบ สองคนถามตอบกันแต่ไม่เข้าใจกัน
“ผมหมายถึงตอนนี้คุณเป็นยังไงบ้าง”
“อ๋อ…” รัตน์สิกาทำเสียงเป็นเชิงรับรู้แล้วจึงบอกว่า “เหมือนจะเป็นไข้ รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ยังไงไม่รู้”
“จำได้รึเปล่าว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น”
“อ๊ะ…นี่มันกี่โมงแล้ว ฉันต้องรีบไปปรึกษาเรื่องงานกับคุณยายบัวทิพย์” หญิงสาวอุทานขึ้นมาโดยไม่สนใจที่จะตอบคำถาม
“นี่มันตีสาม! ยังไม่มีใครเขาตื่นขึ้นมาหรอกคุณ”
“อะ…อ๋อ ตีสาม แล้วคุณตื่นขึ้นมาทำไมเหรอคะ ตื่นเช้าจัง”
เธอถามด้วยสีหน้าท่าทางซื่อๆ จนคนฟังต้องเบือนหน้าหนีและส่ายศีรษะอย่างระอาใจ
“มานี่มา” ร่างสูงลุกขึ้นเดินนำไปก่อน แต่อีกฝ่ายกลับยังนั่งนิ่งอยู่แล้วถามช้าๆ
“ไป…ไหน”
ชัชพลเหนื่อยใจจะตอบ รู้สึกปวดหัวขึ้นมาตงิดๆ จึงกวักมือเรียกเพียงนิดหนึ่งโดยไม่ตอบอะไรอีก แต่เพราะเป็นเขาแล้วมันจึงเป็นสิ่งที่ทำให้คนมองทำตามโดยไม่อาจปฏิเสธได้ ชายหนุ่มเดินนำเข้าสู่ห้องห้องหนึ่ง เมื่อกดสวิตช์ไฟแล้วก็ทำเอาดวงตาของรัตน์สิกาแสบพร่าไปหมด เนื่องจากรู้สึกว่าแสงสว่างยิ่งกว่าเวลากลางวันทั้งที่หากเงยหน้าขึ้นมองหลอดไฟบนเพดานก็จะพบว่าเป็นหลอดตะเกียบแบบประหยัดไฟด้วยซ้ำ เธอจำต้องหลุบตาลงต่ำมองพื้นแล้วเดินตามเขาเหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรม เมื่อเขานั่งเธอก็นั่ง เมื่อเขาเอ่ยคำว่า ‘กราบ’ เธอก็ทำตามโดยไม่อิดออด
“เอาล่ะ ทีนี้หลับตาแล้วนั่งสมาธิ”
“นั่งสมาธิ” เธอทวนคำเบาๆ
“ใช่ คุณต้องนั่งสมาธิ รวบรวมสติให้กลับคืนมาให้ได้” ประโยคหลังๆ แทบไม่เข้าหูด้วยซ้ำ แต่เธอก็ทำตามที่เขาบอกแต่โดยดี
รัตน์สิกาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ เหมือนจมดิ่งสู่ความเงียบสงบ แล้วจึงได้ยินเสียงนุ่มทุ้มเรียกชื่อ ‘ปลุก’ ให้เธอฟื้นตื่นขึ้นมาอย่างแท้จริง
“ไหวไหม” เขาถามช้าชัด เป็นประโยคคำถามที่ตอกย้ำว่าเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาเธอเบลอไปมากแค่ไหน
“ยังไหวน่า…” น้ำเสียงหนักแน่นทำให้คนฟังถอนหายใจด้วยความโล่งอก
พอมาถึงตอนนี้หญิงสาวเพิ่งจะมีสติกวาดตามองไปรอบตัว และก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าตนเองกำลังนั่งอยู่ในห้องพระที่มีขนาดกว้างขวาง ดูใหญ่แต่ทว่าก็เรียบง่ายด้วยมีเพียงโต๊ะหมู่ขนาดใหญ่ลดหลั่นกันลงมาเป็นชั้นๆ ชั้นบนเป็นพระพุทธรูปปางต่างๆ ต่อมาจึงเป็นอัครสาวกของพระพุทธเจ้า และรูปปั้นพระอริยสงฆ์ที่เธอจำไม่ได้ว่าเป็นใครบ้าง แสงไฟสีเหลืองนวลยิ่งขับให้องค์พระพุทธรูปและรูปปั้นต่างๆ โดดเด่นมากยิ่งขึ้น เธอจึงเดาว่านั่นคงเป็นสาเหตุของแสงสว่างเจิดจ้าที่ได้รับรู้ในตอนแรก เป็นแสงไฟที่สะท้อนกับรูปปั้นทองเหลืองของพระพุทธรูป…มั้ง
“เอาล่ะ พอจะลองเล่าได้ไหมว่าเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นกับคุณ อย่าบอกนะว่าจำไม่ได้” ชายหนุ่มเข้าเรื่องทันที
“อ้อ เมื่อกี้ จำได้สิคะ เพราะฉันเห็นคนเรียก…”
“มีคนเรียก?”
“ใช่ค่ะ พอมองผ่านหน้าต่างออกไปก็เห็นใครกวักมือเรียกอยู่ไหวๆ เหมือนจะเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เพราะมันมืดมากก็เลยมองไม่เห็นใบหน้าของเธอ” แม้จะมีความสงสัยอยู่บ้างกับสิ่งที่พบเจอ แต่รัตน์สิกาก็บอกเล่าไปเท่าที่จำได้
“คุณเพิ่งมาอยู่ไม่กี่วัน แถวนี้ไม่มีใครรู้จักคุณหรอก แล้วจะมาเรียกทำไม”
“จริงๆ นะคะ ก็อีกฝ่ายยังเรียกชื่อฉันอยู่เลย ถ้าไม่รู้จักอย่างที่คุณว่าจะเรียกชื่อฉันถูกได้ยังไงกัน” หญิงสาวยืนยันอย่างหนักแน่นแล้วจึงเป็นฝ่ายถามบ้าง
“แล้วคุณมาเจอฉันได้ยังไงคะ”
“ผมได้ยินเสียงตอนคุณเปิดประตูก็เลยออกมาดูเพราะอยากรู้ว่าคุณจะไปไหน ขาดเหลืออะไรรึเปล่า…ตามประสาเจ้าบ้านที่ดีน่ะ แต่ตอนที่ออกไปข้างนอกบ้านเท่าที่ผมเห็น…ไม่มีคนอย่างที่คุณว่าเลยนะ”
“เอ๊ะ คุณนี่ ก็ฉันเห็นจริงๆ นี่นา ไม่งั้นจะเดินออกไปทำไม” ร่างบางเริ่มออกอาการเถียง แต่ก็เป็นเพราะเธอเชื่อมั่นสายตาตนเองว่าเห็นจริงๆ
ชัชพลอยากจะบอกอีกฝ่ายนัก บางทีสิ่งที่ตามองเห็นก็ไม่ได้ยืนยันว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป แต่ตอนนี้เขาเข้าใจว่าเธอคงไม่เชื่อจึงทำได้เพียงตอบแบบแฝงความนัย
“เอาเถอะ ต่อให้คุณบอกว่าคุณเห็นจริงๆ แต่ก็ไม่ควรจะเดินออกไปแบบนั้น ถ้าคุณเจอสถานการณ์แบบนี้อีกก็ขอให้รวบรวมสติไว้กับตนเองให้ดี จะได้ฉุกใจยั้งคิดแล้วแยกแยะได้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร เพราะถ้าหากอีกฝ่ายเขาคิดจะทำร้ายคุณล่ะ มาเรียกตอนกลางคืนแบบนี้คงไม่ใช่ผู้ประสงค์ดี…คุณเข้าใจใช่ไหม”
รัตน์สิกาได้แต่นิ่งเงียบเหมือนเด็กที่ถูกผู้ใหญ่ดุ แต่เพราะเห็นจริงตามที่เขาพูดจึงรับคำเบาๆ
“เข้าใจแล้วค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นกราบพระก่อนเถอะ แล้วก็กลับไปนอนต่อซะ”
ชัชพลไม่ได้คิดจะบอกถึงความสามารถพิเศษของตนเองหรือสิ่งที่ได้พบเห็นในคืนนี้ เพราะมันเป็นเรื่องยากที่จะอธิบาย…มนุษย์คนหนึ่งที่เห็นภูตผีและเทพเทวดา เจอวิญญาณเร่ร่อนมาขอส่วนบุญเป็นว่าเล่น ดังนั้นหากไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวเอง เวลาเจอใครที่ต้องการความช่วยเหลือ ถ้าไม่ร้ายแรงมากเขาก็ต้องทำแบบลับๆ หรือบอกแบบอ้อมๆ เพราะคนบางจำพวกก็ไม่เชื่อถือในสิ่งที่เขาเห็น หรืออาจจะกลัวว่าเขามีจุดมุ่งหมายแอบแฝงอยู่ แถมยังไม่อาจบอกเล่าประสบการณ์อันโชกโชนที่ได้พบเจอมาเพราะจะเป็นการนำความเสื่อมมาสู่ตนเองอีกด้วย
ความคิดแบบนั้นติดจนกลายเป็นนิสัยว่าจะไม่ยอมเปิดเผยตัวตนให้ใครได้รู้ความพิเศษ ถ้าไม่ใช่เพราะจำเป็นมากๆ ก็มีเพียงคนใกล้ชิดเท่านั้นที่ได้รับรู้…ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้ยังถือว่าไม่ใกล้ทั้งสองข้อเลย
ด้วยเหตุนั้นชายหนุ่มจึงไม่ได้ขยายความอะไรอีก ทำเพียงก้มลงกราบพระอย่างเงียบๆ
วันต่อมารัตน์สิกาไม่ได้พูดคุยอะไรกับชัชพลมากนัก เพราะอีกฝ่ายออกไปข้างนอกบ้านและเธอก็วุ่นเรื่องงานอยู่กับบัวทิพย์ จนตอนค่ำถึงได้พบร่างสูงใหญ่ยืนกอดอกอยู่ตรงระเบียงของโถงชั้นบน หญิงสาวทำท่าจะก้าวไปหาแต่แล้วก็หยุดยืนอยู่ครู่หนึ่งราวกับกำลังชั่งใจ
เพราะทุกครั้งที่อยู่ใกล้กันเขามักจะมีสีหน้าท่าทางไม่พอใจเสมอ เช่นตอนอยู่ที่วัดป่าชายหนุ่มสามารถพูดคุยอย่างเป็นกันเองกับจิตตา แต่สงวนถ้อยคำกับเธออย่างเห็นได้ชัด
ลึกๆ แล้วหญิงสาวปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกผูกพันกับเขา…ราวกับรู้จักกันมาเนิ่นนาน อยากพูดคุยด้วยไมตรีแบบที่เขาคุยกับคนอื่น แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงความห่างเหิน และยิ่งถูกทำเย็นชาใส่มันก็ยิ่งเจ็บปวดไม่น้อยเหมือนกัน…หากทิฐิก็ทำให้แสดงออกถึงสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึก เมื่ออีกฝ่ายไม่อยากสนิทสนมด้วย เธอก็ไม่ต้องการเช่นเดียวกัน
ทว่าการติดค้างคำขอบคุณเขาจากเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมาทำให้รัตน์สิกาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินไปยืนเกาะราวระเบียงอยู่ข้างๆ
“ทำอะไรอยู่เหรอคะ”
“ยืนดูอะไรเรื่อยเปื่อย คุณยังไม่นอนอีกเหรอ”
เมื่อชัชพลหันมา ดวงตาเปี่ยมอำนาจคู่นั้นก็ทำให้คนถูกมองชะงักราวตกต้องมนตร์ เนิ่นนานกว่าที่หญิงสาวจะรวบรวมสติกลับมาได้แล้วเอ่ยตอบ
“เอ่อ…ยังไม่ง่วงเลยค่ะ” เห็นคนฟังไม่ได้พูดอะไรอีกเธอจึงบอกออกมาว่า “เรื่องเมื่อคืนนี้ขอบคุณมากนะคะ”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่ต้องขอบคุณหรอก”
“ยังไงก็เถอะ ฉันต้องขอบคุณอยู่ดี ถ้าไม่มีคุณฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อคืนจะเจอเรื่องอะไรบ้าง”
ชายหนุ่มบอกปัดก่อนจะฉวยโอกาสนี้ถามสิ่งที่ค้างคาใจ ซึ่งสำหรับคนฟังแล้วอาจดูนอกเรื่องไปนิด
“ช่วงนี้คุณเป็นไงบ้าง…ผมรู้สึกว่าตอนเราเจอกันครั้งแรกที่วัดคุณดูผอมกว่านี้มาก” เขาลองหยั่งเชิงดู ทั้งที่ใจจริงอยากรู้ว่าช่วงนี้ชีวิตของเธอมีความผิดปกติอย่างไรมากกว่า
“สังเกตฉันด้วยเหรอคะ นึกว่ามองผ่านเลยไปตลอดเสียอีก”
ไม่มีคำตอบ…ดวงตาคู่คมยังคงมองตรงแน่วออกไป
“ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรนะคะ แต่ถ้าเป็นก่อนหน้านี้น่ะใช่ เจอปัญหาหลายๆ อย่าง เครียดจนพ่อกับแม่แนะนำให้ไปบวช แล้วก็ได้เจอคุณนั่นแหละค่ะ พอบวชกลับมาก็ได้ข่าวดีเรื่องงานเลย”
เธอบอกอย่างไม่คิดปกปิด คงเพราะคนที่มักจะทำหน้ากระด้างเย็นชานั้นอุตส่าห์ละลายน้ำแข็งบนใบหน้าแล้วชวนคุย ไม่ใช่ถามคำตอบคำเหมือนก่อนหน้านี้ที่พอเขาไม่มีอารมณ์จะพูดด้วยเธอก็หมดอารมณ์พูดตามไปโดยปริยาย
“ดูคุณจะรักงานนี้มาก”
“มาก…” หญิงสาวลากเสียงยาวเพื่อยืนยัน “มันเป็นงานที่ฉันชอบและคิดว่าน่าจะทำได้ดี ละครเรื่องแรกที่มีส่วนร่วมก็เป็นละครพีเรียดที่ต้องใช้ผ้าโบราณ ฉันเลยรู้สึกว่า…อะไรจะดีเท่านี้อีก”
ชายหนุ่มตอบรับเป็นเชิงว่าเข้าใจแล้ว เธอเลยเป็นฝ่ายถามต่อ
“ว่าแต่คุณทำงานอะไรเหรอคะ ตอนกลางวันฉันเห็นคุณอยู่บ้าน ออกไปแค่ครู่เดียวแล้วก็กลับมา”
“ผมมีร้านผ้าทออยู่ในเมืองแล้วก็ที่กรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เป็นผ้าทอมือจากชาวบ้านที่นี่แหละ ทางร้านก็มีผู้จัดการกับพนักงานดูแลผมเลยไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไรด้วย นานๆ จะไปดูร้านและกลุ่มทอผ้าตีนจกที่ชาวบ้านจัดตั้งขึ้น”
“ชื่อร้านอะไรเหรอคะ”
เมื่อเขาบอกชื่อแล้วรัตน์สิกาจึงร้องอ๋อขึ้นมาทันที เพราะร้านที่กรุงเทพฯ อยู่บริเวณจุดศูนย์กลางทางการค้า และเธอเองก็ผ่านบ่อยเสียด้วย แล้วก็ได้แต่มองผ่านกระจกหน้าต่างร้านตาปรอย เพราะครั้งหนึ่งที่ตัดสินใจเดินเข้าไปดูตามประสาคนชอบผ้าทอก็ต้องหน้าซีดเมื่อพลิกป้ายดูราคา
“ว้าว…ฉันเคยเข้าไปดูร้านคุณที่กรุงเทพฯ ด้วย แต่ไม่ได้ซื้อหรอกเพราะตอนนั้นยังเรียนอยู่ก็เลยมีเงินจำกัด ราคาเอาเรื่องเหมือนกันนะคะ”
“สินค้าที่ส่งไปขายกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เป็นงานคุณภาพดี ราคาก็เลยสูงตามไปด้วย…ที่จริงงานหัตถกรรมมันมีต้นทุนสูงอยู่แล้วเพราะเป็นงานละเอียดอ่อน กว่าจะปั่นฝ้าย กว่าจะทอออกมาเป็นผืน แล้วคุณลองคิดดูว่ากว่าช่างทอผ้าจะทอได้ผืนหนึ่งต้องใช้เวลาเท่าไหร่ และแต่ละวันที่ผ่านไปคนเราก็ต้องกินต้องใช้นะคุณ”
เห็นเขาอธิบายอย่างจริงจังเต็มทีหญิงสาวก็หัวเราะร่วนแล้วจึงรีบบอก
“เข้าใจแล้วค่ะ”
ทั้งสองนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งเหมือนต่างฝ่ายต่างไม่รู้จะพูดอะไร ทว่าร่างสูงก็ไม่ได้มีท่าทีอึดอัดใจที่ต้องอยู่ใกล้เธอแต่ประการใด รัตน์สิกาจึงตัดสินใจถามสิ่งที่ค้างคาใจและเชื่อว่าเขาจะตอบตามตรง
“คุณศีล ฉันถามอะไรสักอย่างหนึ่งสิคะ”
ชัชพลมีสีหน้าสงสัยเล็กน้อยแต่ไม่บอกปฏิเสธ
“ลองว่ามาสิ”
“ทำไมตั้งแต่ตอนแรกที่เราเจอกันคุณก็ดูไม่ค่อยชอบหน้าฉันเลย…ห้ามมุสานะ” เธอสำทับท้ายเอาไว้
ชายหนุ่มนิ่งเงียบพักหนึ่ง ในหัวพยายามคิดว่าควรจะอธิบายอย่างไร สุดท้ายก็ทำเพียงกล่าวออกไปสั้นๆ แต่มันก็ถือเป็นความจริงที่สุด
“คุณหน้าเหมือนผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมเคยรู้จักเมื่อนานมาแล้ว และผมก็รู้สึกไม่ค่อยดีกับเธอเท่าไหร่…”
“งั้นเหรอคะ…ฉันพอจะเข้าใจแล้ว ตอนคุณเห็นหน้าฉันที่เหมือนคนที่ไม่ชอบก็คงจะน่าอารมณ์เสียไม่น้อยเหมือนกัน”
“คุณไม่เข้าใจหรอก” เขาบอกเรียบๆ แต่ตรงตามใจตัวเองที่สุดแล้ว…เธอไม่มีวันเข้าใจ!
“แต่คุณก็ต้องเข้าใจนะคะว่าฉันไม่ใช่เธอคนนั้น ที่เหมือนก็คงเป็นเพียงภายนอก แต่ลักษณะนิสัย ความคิดจิตใจมันต่างกันแน่นอน ฉันไม่ได้บอกว่าตัวเองดีกว่าหรือยังไงนะ แต่ฉันก็คือฉัน สิ่งที่เธอทำไม่ดีกับคุณไว้…ฉันไม่ได้ทำ และจะไม่มีวันทำอย่างแน่นอน”
ชัชพลไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นในอดีตอันไกลโพ้นนั่น แต่ความรู้สึกในตอนนั้น…มันเจ็บปวดใจจนเกินไป
“ผมขอโทษด้วยละกัน ต่อไปนี้จะพยายามแยกแยะว่าคุณไม่ใช่เธอคนนั้น”
…ไม่ใช่เธอคนนั้นอีกแล้ว เขาต่อในใจ
“ขอบคุณที่เข้าใจค่ะ” หญิงสาวยิ้มอย่างโล่งใจ เป็นครั้งแรกที่ได้พูดคุยกับเขาอย่างเป็นจริงเป็นจัง
ในสายตาของเธอ คำจำกัดความของชัชพลก็เห็นจะเป็นคำว่า ‘ผู้ชายที่เหมือนมีเมฆหมอกคลุม’ ยากที่จะบอกว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นคนยังไง…แข็งกระด้าง เย็นชา อ่อนโยน หรือใส่ใจกันแน่
หลังจากวันนั้นสถานการณ์ทุกอย่างผ่านไปอย่างเรียบง่าย ตอนกลางวันรัตน์สิกาปรึกษาหารือกับบัวทิพย์เรื่องความเหมาะสมในการเลือกผ้าให้แก่ตัวละครต่างๆ แม้แต่เหล่าข้าทาสบริวารก็ต้องให้สมจริงที่สุด นอกจากนั้นยังเน้นศึกษาหาความรู้เรื่องผ้ากับบัวทิพย์ให้คุ้มค่ากับเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ เพราะบุคคลที่เปี่ยมด้วยความรู้เหมือนสารานุกรมผ้าที่มีชีวิตเช่นนี้ใช่ว่าจะพบเจอกันได้ง่ายๆ
ส่วนกลางคืนก็นอนหลับสบายดีจนเจ้าตัวยังนึกแปลกใจว่าเหตุใดการนอนแปลกที่เช่นนี้กลับทำให้หลับสนิทเสียยิ่งกว่าตอนนอนอยู่บ้านของตัวเองเสียอีก
หญิงสาวไม่ทราบเลยว่าสาเหตุที่เธอสามารถนอนหลับอย่างปกติสุขได้เป็นเพราะในยามค่ำคืนจะมีชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนเฝ้ามองออกไปนอกหน้าต่างทุกคืน และคืนนี้ก็เป็นคืนสุดท้ายที่รัตน์สิกาจะพักอยู่ที่นี่ ชัชพลยืนเพ่งมองฝ่าความมืดอย่างมุ่งมั่นและคาดหวังแต่ก็หาสัญญาณแห่งความผิดปกติใดๆ ไม่ได้เลย
“ทำไมไม่ยอมโผล่หางออกมานะ จะได้รู้กันไปว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ โดยไม่คาดว่าจะมีเสียงหนึ่งตอบคำขึ้นมาได้
“ก็เพราะว่ามันไม่มีหางน่ะสิ”
เสียงปริศนาที่ไม่ได้รับรู้ผ่านทางหู…แต่ปรากฏขึ้นในกึ่งกลางกะโหลกทำเอาริมฝีปากบางเฉียบกระตุกมุมปากทีหนึ่ง
“ผมรู้ว่าผีมันไม่มีหาง แต่พอดีว่าเป็นคำเปรียบเปรยที่พวกมนุษย์ชอบพูดกันน่ะ”
“มันคือมุก…ถ้าจะให้ดีก็ช่วยขำด้วย” เจ้าของเสียงปริศนาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ อีกฝ่ายจึงหลุดหัวเราะออกมาจริงๆ “ความรู้สึกช้าเกินไปไหม”
แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าแต่ชัชพลเดาได้ว่าขณะนี้ผู้พูดต้องทำหน้าตายอยู่แน่ๆ
“คือการจะเล่นมุกอะไรมันก็ต้องได้เห็นสีหน้าท่าทางคนพูดด้วยถึงจะขำ แต่พี่มาแค่เสียงแบบนี้ผมจะรับมุกทันไหมล่ะ”
“เจ้ายังจะอยากเห็นหน้าเราไปทำไม บุรุษเหมือนกันมองกันไปก็ไม่มีอะไรเจริญตาเจริญใจ…ไม่เหมือนใบหน้านวลของสตรีผู้นั้นหรอก”
“นี่ถ้าพี่เป็นผู้หญิง ผมจะแอบคิดว่าพี่หึงนะเนี่ย” เอ่ยยังไม่ทันจบประโยค ลมร้อนก็ปัดผ่านศีรษะวูบหนึ่งคล้ายเจอฝ่ามือที่มองไม่เห็นตบเอา คนโดนตบจึงยกมือลูบศีรษะตัวเองพลางหัวเราะในลำคอ
หลังจากนั้น…เกิดเสียงยวบยาบบนที่นอน ชายหนุ่มหันไปมองเตียงของตัวเองก็พบว่ามีรอยยุบลงไปคล้ายมีคนนั่ง เพียงแต่มองไม่เห็นตัวของอีกฝ่ายเท่านั้น
“ถึงกับหาที่นั่งแบบนี้แสดงว่ามีเรื่องต้องพูดกันยาวสินะ” คนพูดถอนหายใจคราหนึ่ง แววขี้เล่นหายไป เหลือเพียงความจริงจัง
ชัชพลคิดใคร่ครวญกับตัวเองอยู่นานจนในที่สุดก็ตกลงใจมาคุยกับบัวทิพย์ในตอนเช้าตรู่ เมื่อเคาะประตูห้องและได้รับเสียงตอบรับแล้วจึงผลักบานประตูให้เปิดออก พบหญิงชรานั่งอยู่บนเก้าอี้โยกกำลังปะชุนเสื้อผ้าที่ขาดอยู่ เขาจึงเอ่ยด้วยความเป็นห่วง
“เดี๋ยวนี้คุณยายสายตาไม่ค่อยดีแล้วทำไมยังเย็บผ้าล่ะครับ ระวังเข็มจะตำด้วย”
“อากาศมันเย็นดีน่ะลูก บรรยากาศก็เงียบสงบเลยมีแก่ใจจะเย็บเสื้อที่ขาดมานานแล้ว เล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่อยากจะไปจ้างคนอื่น…ว่าแต่ศีลมีอะไรรึเปล่า”
ร่างสูงหย่อนตัวลงนั่งกับพื้นแทบเท้าของอีกฝ่ายแล้วเริ่มการสนทนาอย่างแท้จริง
“ได้ยินว่าใบบุญเลือกผ้าที่จะขอยืมไปใช้เรียบร้อยแล้ว และหลังจากนี้ก็คงจะกลับกรุงเทพฯ ผมเลยมีเรื่องอยากจะขอร้องคุณยายสักอย่าง…ได้ไหมครับ”
“มีอะไรลองว่ามาสิ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงยายก็ต้องทำให้อยู่แล้ว”
“ผมอยากจะขอให้คุณยายชวนใบบุญอยู่ต่ออีกสักหน่อย”
“มีเรื่องอะไรรึเปล่าลูก” บัวทิพย์วางเข็มกับด้ายในมือลงแล้วหันมาให้ความสนใจมากขึ้น หากหลานชายเป็นเหมือนลูกหลานบ้านอื่นก็คงจะชวนให้คิดว่าเขาเกิดถูกตาต้องใจรัตน์สิกาจนอยากยื้อตัวหญิงสาวเอาไว้แน่ๆ แต่เมื่อเป็นประโยคที่กล่าวออกมาจากปากชายหนุ่มตรงหน้านี่สิ…แว่นตาวงโตของหญิงชรามิอาจปกปิดความหวั่นวิตกที่ฉายชัดออกมาได้
“ผมคิดว่าเธอกำลังถูกวิญญาณติดตามอยู่”
“ตายจริง…” ผู้สูงวัยอุทานพร้อมกับที่ดวงตาเบิกกว้างขึ้นทันทีทันใด
“เมื่อหลายคืนก่อนผมเจอวิญญาณยืนอยู่นอกเขตรั้วบ้าน แถมวิญญาณนั่นยังพยายามจะเรียกให้ใบบุญออกไปหาอีกด้วย”
“แล้วแบบนี้หนูใบบุญจะเป็นอะไรมากรึเปล่า”
“ตอนนี้คิดว่าคงไม่เป็นไรครับ เพราะวิญญาณที่ผมเห็นเข้ามาในเขตบ้านเราไม่ได้ แต่ถ้าหากเธอกลับไปกรุงเทพฯ แล้ว ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป ผมเลย…รู้สึกเป็นห่วงอยู่บ้าง”
“น่ากลัวเสียจริง ศีลต้องช่วยเธอนะลูก เคยช่วยคนอื่นมามากแล้ว ช่วยเหลือวิญญาณมาก็มากมาย นี่คนกันเองแท้ๆ ยายเอ็นดูหนูใบบุญเหมือนลูกเหมือนหลาน อย่าปล่อยให้เธอเป็นอะไรไปนะ”
ฝ่ามือเหี่ยวย่นด้วยเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลากุมมือใหญ่เอาไว้เพราะความปริวิตก ชัชพลจึงต้องรีบปลอบไม่ให้อีกฝ่ายเครียดจนเกินไป
“ใจเย็นๆ ครับคุณยาย อาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรหรืออาจไม่มีอะไรก็ได้ เพียงแต่ผมอยากจับตาดูอีกสักระยะหนึ่ง ประเด็นคือตอนนี้ต้องรู้ก่อนว่าฝ่ายนั้นเขาต้องการอะไร”
“จ้ะๆ ดีแล้ว” น้ำเสียงเคร่งเครียดของหญิงชราอ่อนลง
“ทุกอย่างมันยังไม่ชัดเจนผมก็เลยยังไม่อยากบอกให้ใบบุญรู้ เพราะคงต้องคุยกันยาวเลยทีนี้ เขาจะเชื่อเรื่องของผมไหมยังไม่รู้เลย”
“หนูใบบุญคงจะเชื่ออยู่แล้ว ยายได้ยินมาว่าญาติทางฝั่งพ่อของเธอนี่เป็นร่างทรงเชียวนะ ก็คงจะเชื่อถือเรื่องลี้ลับอยู่บ้าง”
“อย่างนั้นเหรอครับ…เอาเป็นว่าผมขอรบกวนคุณยายนี่แหละครับ ถ้าเรื่องมันไม่มีอะไรก็จะได้จบไป ไม่ต้องคุยกันมาก”
“ได้จ้ะ แล้วยายจะลองคุยให้นะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องอยู่ที่อีกฝ่ายเขาด้วยว่าจะยอมอยู่ต่อไหมนี่สิ”
“ผมเชื่อฝีมือคุณยายอยู่แล้ว”
บัวทิพย์ได้ยินเช่นนั้นแล้วจึงยิ้มออก ฝ่ามือแห้งกร้านยกขึ้นลูบศีรษะผู้เป็นหลานชายและยังเป็นญาติที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวอีกด้วย
ชายหนุ่มซึมซับเอาความเอื้ออาทรมาจากผู้สูงวัยกว่า ในขณะที่กำลังคิดด้วยแรงสังหรณ์ว่า…บ่วงกรรมที่พ่วงพันกันมาทำให้ต้องพบเจอกับรัตน์สิกาอีกครั้ง บางทีเรื่องนี้อาจเกี่ยวกับตัวเขาด้วยก็เป็นได้ แต่ก็ไม่อาจคาดคิดเลยว่าสิ่งที่เขาและเธอจะประสบในภายภาคหน้านั้นจะดีร้ายมากแค่ไหนกันแน่
ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรที่จะทำให้รัตน์สิกาอยู่ที่นี่ต่อไป เพียงแค่บัวทิพย์เอ่ยปากชักชวนอย่างจริงใจ บอกให้อยู่เที่ยวต่ออีกสักหน่อยเพราะช่วงที่ผ่านมาเธอแทบไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนเลย ไหนๆ ก็ได้มาแล้วควรจะไปเที่ยวสถานที่ใกล้เคียงเสียบ้าง อีกฝ่ายก็ตอบตกลงโดยง่ายเพราะแค่หญิงชราอยากให้อยู่ต่อเธอก็ดีใจมากแล้ว
และเหตุผลอีกอย่างหนึ่งก็คือ…
หญิงสาวรู้สึกสบายใจที่จะอยู่ที่นี่ มีชีวิตสดใสและหัวสมองโล่งโปร่ง ไม่รู้สึกหม่นหมองเหมือนที่เคยเป็น โดยเฉพาะเวลานอนหลับที่แต่ก่อนมักจะนอนกระสับกระส่ายด้วยความวุ่นวายใจ และสะดุ้งตื่นขึ้นมาในกลางดึกเสมอ ซึ่งเป็นปัญหาที่หญิงสาวประสบมานานจนจำแทบไม่ได้แล้วว่ามันเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่
ร่างบางที่นั่งอยู่ข้างคนขับหันหน้ามองชมนกชมไม้ไปตามทาง ก็ถ้าจะให้เธอหันไปมองหน้าคนขับน่ะหรือ…แม้ว่าจากมุมนี้จะเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายได้ดี คิ้วเข้มเหนือดวงตาคม สันจมูกโด่ง และริมฝีปากบาง ไหนจะยังท่อนแขนล่ำๆ ที่จับพวงมาลัยรถด้วยท่าทางสบายๆ รวมๆ แล้วหน้าตาก็หล่อเหลาใช้ได้ เสียแต่ทำหน้าตาเคร่งเครียดจนดูแล้วไม่ค่อยเจริญหูเจริญตาเท่าไหร่ แต่หญิงสาวจำต้องยอมทนเพราะหมู่บ้านทอผ้าที่เขาจะพาไปนั้นดึงดูดใจเธอเสียเหลือเกิน
เสียงเพลงในรถดูเหมือนว่าจะดังจนเกินไป รัตน์สิกาจึงคิดจะกดปุ่มลดเสียงลง แต่ก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ชัชพลยื่นมือออกมา ปลายนิ้วของทั้งสองจึงแตะกันนิดหนึ่ง เพียงเท่านั้นชายหนุ่มก็รีบชักมือออกมาทันทีราวกับกลัวของร้อน
หญิงสาวตวัดสายตาใส่คนที่ทำกิริยาราวกับแขยงเธอเสียขนาดนั้น ฝ่ายคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถจึงรีบบอก
“ผมแค่ไม่ชอบแตะเนื้อต้องตัวใคร โดยเฉพาะผมเป็นผู้ชายส่วนคุณน่ะเป็นผู้หญิง”
คนพูดไม่ได้อธิบายว่าที่เขาไม่ชอบถูกตัวใครนั้นเป็นเพราะหลายครั้งที่สัมผัสคนอื่นแล้วมักจะเห็นกรรมของคนเหล่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่มันก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ดังนั้นเขาจึงตัดปัญหาด้วยการแตะตัวคนอื่นให้น้อยที่สุด ยกเว้นบัวทิพย์ผู้เป็นยายซึ่งเขาสะดวกใจที่จะกอดมากที่สุดเพราะไม่เคยเห็นอะไรๆ จากอีกฝ่ายเลย
“ฉันเป็นผู้หญิงยังไม่ได้คิดอะไรเยอะเท่าคุณเลย”
เธอเอ่ยอย่างหมั่นไส้ใส่พ่อคนหวงเนื้อหวงตัว แต่อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรสักคำ ใบหน้ายังคงความราบเรียบ มุมปากไม่กระดิกแม้สักองศา เพียงปรายตาที่เปี่ยมด้วยอำนาจคู่นั้น หากเพียงหางตาของเขาก็ราวกับมีลำแสงพุ่งใส่จนคนถูกมองต้องยกมือเป็นเชิงว่าผิดไปแล้ว
ใช้เวลาไม่นานรถของชัชพลก็จอดหน้าบ้านไม้สองชั้นหลังหนึ่งซึ่งใต้ถุนโล่งกว้างมีกี่ทอผ้าตั้งไว้ หญิงวัยกลางคนกำลังนั่งทอผ้าอยู่ท่ามกลางเสียงเพลงจากวิทยุทรานซิสเตอร์ ชายหนุ่มจึงรีบลงจากรถไปเอ่ยทักทายกับเจ้าบ้านอย่างคนคุ้นเคยกันดี
“สวัสดีครับป้าพิน”
“อ้าว คุณศีล มาเยียะใด* เจ้า” ป้าพินหรือยุพินกล่าวหลังจากรับไหว้ผู้มาใหม่แล้ว
* มาเยียะใด แปลว่ามาทำอะไร
“พาเพื่อนมาแอ่วครับ เปิ้น** อยากเห็นวิธีการทอผ้า ผมก็เลยพามาหาป้าพินช่างทอผ้ามือหนึ่งของอำเภอเฮา”
ด้วยความที่เป็นคนไม่ชอบพูดมากเขาจึงไม่อยากเล่าเท้าความให้ยืดยาว ฟากหญิงสาวที่ถูกพามานั้นกลับนิ่งค้างเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินเขา ‘อู้คำเมือง’ จึงอดแปลกใจไม่ได้ แล้วก็ยิ่งแปลกใจตัวเองเข้าไปอีกเมื่อรู้สึกว่าเวลาที่ชายหนุ่มพูดแบบนั้นแล้วดูน่ารักอยู่ไม่น้อย ราวกับว่าคนตรงหน้ากับคำพูดคำจาแบบนี้นี่แหละคือตัวตนที่แท้จริงของเขา
“ใบบุญ นี่ป้าพินคนทอผ้าตีนจกลายที่คุณถูกใจนักหนาไง คนสุดท้ายที่ทอเป็นก็คือป้าพินนี่แหละ จนตอนหลังผ้าทอพื้นเมืองได้รับความนิยมมากขึ้น เลยเริ่มมีการหันมาศึกษาลายผ้านี้เพิ่ม”
ร่างบางพยายามขับไล่ความคิดที่กระจัดกระจายแล้วตั้งใจฟัง ในขณะที่หญิงวัยกลางคนส่งยิ้มกว้างราวกับยิ้มออกมาด้วยหัวใจของนาง
“คุณศีลก็อู้เกินไป ช่างทอมือหนึ่ง…เกินไปละ”
ผู้มาเยือนทั้งสองหย่อนตัวลงนั่งบนตั่งไม้โดยที่ยังไม่ทันได้กล่าวอะไรก็มีเด็กสาวคนหนึ่งเดินเลี้ยวเข้าประตูบ้านมา เธอสวมเสื้อแขนสั้นเก็บชายเสื้อไว้ในผ้าซิ่นที่แม้ไม่ได้มีลวดลายอลังการแต่ก็ดูสวยสมวัย น้อยครั้งที่จะเห็นวัยรุ่นแต่งตัวแบบนี้ในชีวิตประจำวัน รัตน์สิกาจึงให้ความสนใจไปที่ผู้มาใหม่
“น้องน้ำมิ้นมาพอดี วันนี้บ้านนี้หยังมาครึกครื้นแต๊ว่า” ป้าพินเป็นคนเอ่ยขึ้นมาก่อน เด็กสาวยกมือไหว้ทุกคนด้วยกิริยามารยาทเรียบร้อยอย่างน่าชื่นชม หากชายหนุ่มหนึ่งเดียวในที่นั้นมีท่าทีอึดอัดใจขึ้นมาทันที
“บ่นึกว่าวันนี้อ้ายศีลจะมา น้ำมิ้นจะได้เยียะขนมไปฝากยายบัวทิพย์โตย” น้ำเสียงหวานเอ่ยเจื้อยแจ้วเป็นธรรมชาติ หากอีกฝ่ายกลับไม่ตอบคำอะไร
รัตน์สิกาคิดว่าชัชพลมักจะทำหน้าเป็นน้ำแข็งใส่เธอ แต่กับสาวน้อยคนนี้เขากลับเป็นน้ำแข็งทั้งตัว! ขนาดเธอนั่งข้างๆ ยังรู้สึกหนาวเย็นยะเยือก แต่ดูท่าสาวร่างเล็กคนนั้นจะไม่รู้ตัวเลยเพราะยังคงส่งสายตาหวานเชื่อมมาให้
“ชื่อใบบุญแม่นก่อ* มานั่งนี่มา มีอะหยังก็ถามได้เน้อ”
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวรับคำพลางพยายามกลั้นยิ้ม รู้สึกอยากจะหัวเราะลั่นแต่ก็กลัวคนตัวโตจะสาดพลังน้ำแข็งใส่เธอด้วย หลังจากย้ายไปนั่งข้างกายป้าพินก็พบว่าพออยู่มุมนี้แล้วยิ่งเห็นใบหน้าไม่สบอารมณ์ของชายหนุ่มได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ในขณะที่น้ำมิ้นเดินไปหย่อนตัวลงนั่งขนาบข้างแม่ครูของตน เนื่องด้วยเป็นทำเลที่เห็นหน้าของคนที่หมายปองได้ดีที่สุด
“นี่น้องน้ำมิ้นบ้านอยู่ข้างๆ มาเฮียนทอผ้าตีนจกกับป้า ยังมีคนรุ่นใหม่ชอบผ้าทออย่างอี้ป้าก่** ดีใจ๋” ประโยคนั้นบอกกับรัตน์สิกา คนฟังพยักหน้ารับแล้วหันไปยิ้มให้เด็กสาวที่แม้จะสงสัยในความเป็นมาของเธอแต่ก็ยิ้มให้ตามมารยาท หากเพียงครู่เดียวก็หันไปส่งสายตาให้ชายหนุ่มต่อ
หญิงสาวส่งยิ้มล้อเลียนให้ชัชพล…นั่งได้ก้นยังไม่ทันอุ่นด้วยซ้ำเขาก็ผุดลุกขึ้น
“เดี๋ยวผมจะไปเยี่ยมแม่อุ๊ยคำ คุณอยู่ที่นี่ก่อนนะ เชิญคุยกับป้าพินตามสบาย…ผมฝากโตยเน้อป้า กำเดียว*** มา” ท้ายประโยคเขาหันไปบอกกับผู้เป็นเจ้าบ้านแล้วก้าวยาวๆ จากไป
“อ้าว ทิ้งกันแบบนี้ได้ไงคุณ” เธอได้แต่ตะโกนตามหลังเพราะอีกฝ่ายพูดจบก็หมุนตัวเดินอาดๆ ไปแล้ว
“บ่เป็นหยัง บ้านแม่อุ๊ยคำอยู่ใกล้ๆ นี้เอง ก็บ้านอุ๊ยของน้องน้ำมิ้นนี่แหละ อุ๊ยคำกับบัวทิพย์เปิ้นสนิทกัน คุณศีลก็เลยสนิทกับอุ๊ยคำโตย…ได้ยินว่าหนูชอบลายผ้าตีนจกของหมู่บ้านเฮาเป็นพิเศษกา” หญิงวัยกลางคนชวนคุย เธอจึงละความสนใจจากชัชพลมาคุยด้วย ในขณะที่น้ำมิ้นได้แต่มองตามร่างสูงตาละห้อยก่อนจะลุกไปนั่งอยู่หน้ากี่ทอผ้าอีกหลังหนึ่ง
** เปิ้น เป็นคำสรรพนามบุรุษที่สาม
* แม่นก่อ แปลว่าใช่ไหม
** ก่ แปลว่าก็
*** กำเดียวแปลว่า แป๊บเดียว
“หนูได้ยินคุณยายบัวทิพย์บอกว่าลายผ้านี้เกือบจะหายสาบสูญไปแล้ว ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะคะ”
ช่างทอผ้ามือหนึ่งของอำเภอคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“สมัยก่อน…หมายถึงสักสองร้อยสามร้อยปีปู้น อำเภอเฮาก็เป็นเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง มีเจ้าเมืองปกครองเมือง แล้วผ้าตีนจกลายนี้จะมีแค่แม่ญิงชนชั้นสูงเท่านั้นที่ใส่ได้ ที่อื่นไผ* ๆ อาจจะใส่ซิ่นตีนจกได้ขอแค่มีเงินพอแต่บ่ใช่ลายนี้ในเมืองแถบนี้ เลยทำหื้อบ่ได้มีการทออย่างแพร่หลายเท่าใด คนที่ทอได้ก็มีแค่บ่กี่คน ต้นตระกูลของป้าก็เป็นหนึ่งในนั้น แล้วต่อมาตอนเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อบ่มีเจ้าบ่มีนายแล้วจะทอหื้อไผได้ล่ะ คนธรรมดาก็บ่มีไผกล้าใส่ จนสุดท้ายคนที่ทอได้ก่เหลือแค่ป้าอย่างที่หนูฮู้มานั่นแหละ”
“เป็นแบบนี้นี่เอง…”
“ว่าแต่…ที่ป้าอู้มาย้าวยาวนี่หนูเข้าใจแม่นก่อ”
คนฟังได้ยินแล้วยังต้องหลุดขำ
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูเข้าใจ”
“ดีละๆ”
“ต้องขอบคุณป้ามากนะคะที่ทำให้ลายผ้าโบราณแบบนี้ยังคงอยู่”
ไม่รู้เพราะอะไรเมื่อเธอได้ฟังประวัติของผ้าที่ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนานแล้วกลับอดไม่ได้ที่จะรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา แต่ในขณะที่ส่งยิ้มให้ป้าพินน้ำตาก็พลันรื้นขึ้นมา จนต้องใช้ความพยายามอดกลั้นไว้อย่างสุดความสามารถ
คุยกับป้าพินเรื่องผ้าก็แล้ว เรื่องงานของเธอก็แล้ว จนลามไปถึงเรื่องเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ชัชพลก็ยังไม่กลับเสียที เมื่อเจ้าบ้านพักจากการทำงานเพื่อรับประทานอาหารเที่ยง หญิงสาวจึงเอ่ยขอตัวออกมาเดินเล่นข้างนอกเพื่อฆ่าเวลา
ร่างบางเดินไปตามถนนสายเล็กๆ ชาวบ้านยังคงใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย กลางวันแบบนี้ต่างคนก็ต่างออกไปทำงานด้านการเกษตรกรรม บรรยากาศจึงมีแต่ความสงบเงียบ ผ่านบ้านไปแต่ละหลังก็มักจะพบเห็นกี่ทอผ้า สมกับเป็นหมู่บ้านแห่งการทอผ้าจริงๆ
ไม่น่าเชื่อว่าแต่ก่อนจะเป็นถึงเมืองเมืองหนึ่ง
หญิงสาวเดินอย่างเชื่องช้า เหลียวซ้ายมองขวาอย่างสบายใจ แต่กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็พบว่ายิ่งเดินยิ่งรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เธอยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นตามไรผม แต่ยิ่งเช็ดเท่าไหร่กลับพบว่ายิ่งมีมากขึ้นทุกที จึงคิดว่าอาจเป็นเพราะเที่ยงแล้วแต่เธอยังไม่ได้ทานอาหารกลางวันเลย คนที่พาเธอมาก็ปล่อยลอยแพกันเสียอย่างนั้น สุดท้ายจึงเดินวกกลับไปยังบ้านของป้าพินซึ่งบางทีชัชพลอาจจะกลับมาแล้ว
ร่างกายของรัตน์สิกาค่อยๆ อ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนซวนเซเสียหลัก โชคดีที่มีรั้วของบ้านหลังหนึ่งให้เธอได้พิงเอาไว้ แสงแดดที่แต่แรกพบว่าไม่ได้ร้อนจัดกลับแผดเผาและเจิดจ้าเสียจนต้องหรี่ตาลง เธอประคองตัวเองให้ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยการยันรั้วปูนที่ดูเก่าคร่ำคร่านั้นทีละก้าว…ทีละก้าว…
เธอมองเห็นรถของชัชพลที่จอดอยู่ด้านหน้าบ้านของป้าพินแล้ว…อีกเพียงแค่ไม่ไกลเท่านั้น แต่ราวกับเรี่ยวแรงทั้งหมดแทบจะไม่เหลืออยู่เลย
เดินแค่แป๊บเดียวเท่านั้น ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายเพื่อมุ่งไปยังเป้าหมายที่อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม แต่แข้งขาก็เหมือนถูกฉุดรั้งเอาไว้ เดินไปได้อีกแค่สองก้าวเธอก็ยกขาไม่ขึ้นเพราะกล้ามเนื้อทุกส่วนสั่นระริก เท่าที่ยันร่างไว้กับรั้วและยืนได้แบบนี้ก็ดีมากแค่ไหนแล้ว
รัตน์สิการู้ตัวว่าเธอจะไม่สามารถไปถึงรถของชัชพลได้อย่างแน่นอน…
คุณอยู่ที่ไหน คุณศีล หญิงสาวคิดได้เพียงเท่านั้นก่อนที่สติทั้งมวลจะดับวูบลง!
* ไผ แปลว่าใคร
บทที่ 6
ขอโทษนะคุณ
มีเพียงถ้อยคำนี้ในห้วงสำนึกก่อนที่ชัชพลจะตัดสินใจเดินจากมา เพราะรู้ทั้งรู้ว่าการพารัตน์สิกาออกมาข้างนอกถือเป็นความเสี่ยงชนิดหนึ่ง แต่ก็ต้องยอมลองเสี่ยงดู
ประโยคสนทนากับ ‘พี่’ ในคืนก่อนผุดขึ้นมาทันที
‘บ้านของเจ้าที่เป็นดั่งป้อมปราการอาจจะช่วยปกป้องเอาไว้ได้…ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่ตลอดไปหรอก อย่างไรเสียหญิงสาวคนนั้นก็ต้องออกไปเผชิญกับบางสิ่งที่รอคอยอยู่ภายนอก จะไม่ดีกว่าหรือหากลองก้าวออกจากกำแพงนี้โดยที่ยังอยู่ในสายตาของเจ้า เพื่อจะมองเห็นผู้ที่อยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งได้ชัดเจนขึ้น‘
ด้วยเหตุนั้นเขาจึงต้องยอมถอยห่างออกมา ซุ่มเงียบอยู่เพื่อรอตอนปลาฮุบเหยื่อ เมื่อนั้นก็จะได้รู้ดำรู้แดงกันไปเสียที
เพียงแค่ยอมถอยออกมาได้ไม่นานเท่านั้น ชายหนุ่มเงยหน้ามองฟ้าที่มีความผิดปกติเกิดขึ้น…ในสายตาของคนทั่วไปฟ้าใสก็ยังคงสดใสอยู่เช่นเดิม คงมีเพียงเขาเท่านั้นที่รับรู้ถึงเมฆหมอกแห่งความมืดทะมึนซึ่งเริ่มปกคลุมไปทั่ว คล้ายปุยเมฆที่กระจายไปทั่วท้องฟ้า เสียแต่มันไม่ใช่สีขาวกระจ่างตาแต่กลับกลายเป็นทึมเทา
สัมผัสรับรู้ถึง ‘บางสิ่ง’ ที่กำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ…เขาได้แต่หลีกเร้นอยู่ในมุมหนึ่ง รอคอยอย่างสงบนิ่งเหมือนพยัคฆ์ที่ซุ่มรอเหยื่อ เมื่อหญิงสาวออกมาจากบ้านของป้าพินแล้วเดินเตร็ดเตร่โดยไม่รู้ตัวเลยว่าแต่ละก้าวของตนจะมีกลุ่มควันสีดำเกาะติด และยิ่งมากขึ้นทุกที…เสมือนใยแมงมุมที่พันติดไปทั่วร่าง ความอดทนเฮือกสุดท้ายของคนที่คอยสังเกตการณ์อยู่จึงเกือบจะสิ้นสุดลง ถ้าไม่ใช่เพราะหมอกสีดำซึ่งไร้ที่มาที่ไปนั้นจู่ๆ ก็หลอมรวมกันจนเกิดเป็นเงาร่างบางอย่าง…
หากถามว่าเป็นสีเช่นไร มันคือสีดำ…ที่ดำมืดจนถึงที่สุด
หากถามว่าเป็นความมืดขนาดไหน ก็คือมืดมิด…จมอยู่ลึกลงไป
และหากถามว่าเป็นความลึกมากเท่าใด มันคือความลึก…จนถึงขั้นที่แสงสว่างไม่อาจส่องถึงได้เลย
กลิ่นอายแห่งความมุ่งมาดปรารถนาในบางอย่าง เร้นลับ รุนแรง ชัชพลรู้สึกอึดอัดในอก เหมือนออกซิเจนในแถบนี้เบาบางเกินไปจนหายใจแทบไม่ได้
เงาร่างมืดทะมึนที่ก่อร่างสร้างตัวในลักษณะของตัวคนไม่ห่างจากรัตน์สิกาเท่าไหร่กำลังยืนมองสภาพของร่างบางที่ยืนพิงรั้วอยู่อย่างอ่อนแรงโดยมีเงาดำตะคุ่มรายล้อมรอบกายราวกับสัตว์ป่าที่กำลังรุมทึ้งเหยื่ออันแสนโอชะอยู่
เสียงหัวเราะแหลมเล็กดังขึ้น
“ฮิๆๆ”
ชั่วขณะที่ฝ่ายนั้นส่งเสียงหัวเราะด้วยความยินดีปรีดา เกราะกำบังตัวตนก็คลายออกจนสามารถมองเห็นร่างที่แท้จริงได้
เป็นเพศหญิง…ทว่ารูปกายภายนอกที่เขาเห็นแทบไม่อาจนับว่าเป็นผู้หญิงได้เลย
เส้นผมหยักศกยาวสยายลงมาถึงบั้นเอวแต่กลับไม่ใช่กลุ่มผมดำสลวยอย่างที่ควรจะเป็น ในเมื่อมันเหลือเพียงปอยผมสีหม่นที่กระจายเป็นหย่อมๆ ยังสามารถมองเห็นถึงหนังศีรษะขาวๆ ที่โผล่ออกมาจากบริเวณซึ่งไร้เส้นผมปกคลุม แขนขายาวเก้งก้างนั้นผ่ายผอมจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก สวนทางกับลำตัวที่ท้องป่องคล้ายในท้องบวมน้ำอยู่ แต่ที่สะดุดตาเห็นจะเป็นฝ่ามือและฝ่าเท้าที่แผ่กว้างออกอย่างผิดปกติ มีพังผืดเชื่อมระหว่างนิ้วเหมือนสัตว์จำพวกครึ่งบกครึ่งน้ำ
ชายหนุ่มถามกับตัวเองว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าคือตัวอะไรกันแน่ และต้องใช้เวลาเนิ่นนานขนาดไหนหรือเจอกับอะไรมา วิญญาณดวงหนึ่งถึงมีรูปร่างลักษณะเช่นนี้ได้ หลังจากนั้น…คำตอบก็วูบขึ้นมาในห้วงความคิด
ผีพรายน้ำ
ชั่วขณะนั้นเองรัตน์สิกาก็ทรุดลงกับพื้น ร่างสูงรีบวิ่งเข้าไปหาส่งผลให้กลุ่มควันสีดำที่พัวพันรอบตัวหญิงสาวเหล่านั้นแตกฮือไม่ต่างอะไรกับฝูงผึ้งที่ถูกสะกิดรัง เสียงกรีดร้องแว่วมาแผ่วเบา ทว่าพวกมันยังคงไม่ยอมหนีหายไปไหน ได้แต่ล่องลอยฉวัดเฉวียนเหนือตัวพวกเขา
ดวงวิญญาณที่พอจะเรียกได้ว่า…ผีสาวถึงกับผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่งเมื่อเห็นว่ามีแขกผู้ไม่ได้รับเชิญโผล่เข้ามาในงานเลี้ยงอันแสนรื่นรมย์นี้ ดวงตาแสบพร่าเพราะความสว่างจ้าของผู้มาใหม่จนต้องยกมือที่เต็มไปด้วยพังผืดนั้นป้องตาตนเอง นางหลับตาลงราวกับกำลังรวบรวมพลังทั้งหมดที่ตนมี รูปกายก็ยิ่งมืดทะมึนเข้าไปใหญ่ ครั้นลืมตาขึ้นมาอีกครั้งจึงสามารถจ้องมองอีกฝ่ายตรงๆ ได้
“ต้องการอะไร…ทำไมถึงต้องทำแบบนี้” ชัชพลเริ่มการเจรจา ใบหน้าของอีกฝ่ายถูกปกคลุมด้วยความมืดจนไม่อาจมองเห็นรายละเอียด มีเพียงความเกรี้ยวกราดที่แผ่ออกมาจนรู้สึกได้…ดูท่างานนี้งานยาก
“อย่า…มา…ยุ่ง!” เสียงแหลมหวีดร้องออกมาพร้อมกับเงยหน้ามองกลุ่มควันสีดำที่แผ่กระจายอยู่ด้านบน เมื่อตวัดสายตาไปทางชายหนุ่ม หมอกควันพวกนั้นก็รวมตัวกันแล้วโฉบเข้ามาใส่ร่างของเขาอย่างรวดเร็วและแรง แต่ก่อนที่พวกมันจะได้ทำอะไรนั้น…
“ออกไป!”
บังเกิดเกราะแก้วครอบกายหญิงชายทั้งคู่ซึ่งมีลักษณะโปร่งแสง แต่เมื่อสังเกตดีๆ จะเห็นเป็นประกายระยิบระยับ วินาทีที่ความดำมืดปะทะกับความสว่างก็เกิดเป็นแรงกระแทกจนกลุ่มก้อนสีดำพวกนั้นกระเด็นกระดอน ไม่ต่างอะไรกับลูกเทนนิสที่ถูกปามากระแทกกำแพงแกร่ง…แล้วหายลับไปจากสายตา
เสียงฮึดฮัดขัดใจดังมาจากผีสาวที่ยังยืนหยัดอยู่…
“ใบบุญไปทำอะไรไว้ถึงไม่พอใจจนต้องตามราวีกันขนาดนี้”
“มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า” ผู้พูดตวาดด้วยความไม่พอใจ
“ขนาดเธออยู่กันคนละภพภูมิแล้วยังมาก่อความวุ่นวาย ผมกับใบบุญเป็นเพื่อนร่วมโลกกันทำไมถึงจะยุ่งไม่ได้”
“อยากยุ่งอย่างนั้นหรือ ได้…แต่เจ้าไม่ใช่คนเริ่มเรื่องนี้ก็ไม่อาจเป็นคนจบเรื่องได้เช่นกัน!”
เอ่ยจบนางก็พุ่งปราดเข้าหา ยื่นฝ่ามือข้างขวาที่แผ่กว้างผิดรูปนั้นหมายจะทำลายเกราะแก้วให้แหลกลาญคามือ แต่เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสก็คล้ายดั่งปลายบุหรี่จุดติดไฟ ฝ่ามือถูกเผาไหม้แล้วแผ่ลามไปอย่างรวดเร็ว
“กรี๊ดดดดดดดด…”
เสียงกรีดร้องโหยหวน คร่ำครวญหวนไห้ดั่งว่าจะขาดใจดังขึ้น พร้อมกันกับที่เจ้าของเสียงนั้นจำต้องล่าถอยด้วยรู้ดีว่าไม่อาจต่อกรกับชายหนุ่มได้เลย รูปกายผอมแห้งพุงโตสลายกลายเป็นหมอกควันสีดำที่ค่อยๆ ปลิวกระจายไปตามลม แต่ถึงกระนั้นก็ทิ้งเสียงสะอื้นกระซิกๆ ดังก้องอยู่พักหนึ่ง
ความเงียบและท้องฟ้าปลอดโปร่งกลับคืนมาอีกครา เจ้าของดวงตาฉายแววเปี่ยมอำนาจก้มมองคนที่ทรุดตัวพิงรั้วไม่ได้สติอยู่
“นี่คุณ…รู้ตัวบ้างไหมเนี่ยว่าเคยไปทำอะไรเอาไว้ถึงต้องมาเจอยายผีร้ายกาจนี่”
ดวงอาทิตย์สาดแสงแรงกล้า ฉาบทอให้ทั่วทุกหนแห่งเต็มไปด้วยประกายสีทองสดใส แม้แต่ใต้ถุนบ้านช่างทอผ้ามือหนึ่งของอำเภอก็ยังสัมผัสได้ถึงไอร้อนผะผ่าว โชคยังดีที่มีลมพัดโกรกพาอากาศเย็นสบายเข้ามาขับไล่ความร้อนออกไปบ้าง…ไม่มีใครสงสัยหญิงสาวที่ไปเดินอยู่ในยามพระอาทิตย์ตรงหัวแล้วเป็นลมล้มพับไป ยิ่งเจ้าตัวมีร่างบอบบางอ้อนแอ้นเสียอย่างนั้น
รัตน์สิกานอนอย่างไร้สติสัมปชัญญะอยู่บนตั่งไม้ ในขณะที่ผู้เป็นเจ้าบ้านและลูกศิษย์คอยช่วยกันพัดวีให้อยู่
“แม่ครู” น้ำมิ้นสะกิดหญิงวัยกลางคนผู้เป็นอาจารย์ของตน
“มีอะหยังลูก”
เด็กสาวชี้ให้เห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้น อีกฝ่ายจึงทันได้สังเกตและพบว่าหางตาของร่างบางที่นอนเหยียดยาวอยู่มีน้ำตาซึมออกมา
ยังไม่มีใครได้กล่าวอะไรต่อ หน้าอกของหญิงสาวก็สะท้อนขึ้นลงด้วยแรงสะอื้น เสียงอู้อี้ในลำคอเล็ดลอดออกมาเพียงแผ่วเบา แต่ก็ดูราวกับเป็นเสียงร้องไห้คร่ำครวญที่หนักหนาสาหัสนักในความฝันของเธอ…น้ำตาก็พรั่งพรูออกมาจนบริเวณขมับและกกหูเปียกไปหมด
“คุณศีล”
ป้าพินหันไปเรียกชายหนุ่มซึ่งยืนหันหลังให้และจมอยู่กับความคิดของตนเองมาเนิ่นนาน ในขณะที่น้ำมิ้นมองหญิงที่มีวัยวุฒิมากกว่าตนไปสักสามถึงสี่ปีนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น…เด็กสาวผู้อ่อนเยาว์ยังคงไม่เข้าใจ มันเป็นความฝันเช่นไหนกันนะที่ทำให้คนคนหนึ่งร้องไห้ราวกับหัวใจแหลกสลายได้เช่นนี้
ร่างสูงสาวเท้าเข้ามาเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นจึงเรียกอีกฝ่าย เสียงนุ่มทุ้มของเขาเอ่ยออกไป เสียงสะอื้นไห้กลับยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกที…
เห็นดังนั้นสตรีต่างวัยที่นั่งขนาบข้างจึงต้องช่วยกันเขย่าตัวให้คนที่หลับใหลอยู่ได้ฟื้นคืนสติขึ้นมาเสียที นานสักพักหนึ่งกว่ารัตน์สิกาจะสะดุ้งลุกพรวดขึ้นมา
“คุณเป็นอะไรรึเปล่า” ชัชพลเอ่ยถามในทันที
“เป็น…เป็นอะไรเหรอคะ” เจ้าตัวถามอย่างงัวเงียและงุนงง ไม่ทันรู้ว่าน้ำเสียงที่เอ่ยออกไปนั้นสั่นพร่าแค่ไหน ป้าพินจึงเป็นฝ่ายอธิบาย
“เมื่อกี้หนูเป็นลมไปน่ะ แดดมันร้อนเหลือหลายขนาดนี้ดันไปเดินแอ่ว แล้วยังนอนน้ำตาไหลพรากๆ บ่ฮู้ฝันร้ายอะหยังนักหนา”
“เป็นลม…น้ำตาไหล?” เธอทวนคำช้าๆ เพิ่งตระหนักว่าหน้าอกของตนยังสะท้อนขึ้นลงด้วยแรงสะอื้น นิ้วเรียวยกขึ้นแตะหางตาโดยอัตโนมัติ พบว่าแม้แต่เส้นผมบริเวณข้างศีรษะก็เปียกไปหมด “อ๊ะ…” หญิงสาวชะงักค้างอยู่อย่างนั้นเพราะพยายามรวบรวมความคิดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทุกอย่างก็ดูเลือนรางเหลือเกิน จำได้เพียงอย่างเดียวคือฝันอะไรบางอย่าง…แต่มันเกี่ยวกับอะไรล่ะ ทุกอย่างมืดทึบ ตีบตันจนแม้จะนึกยังไงก็นึกไม่ออก
“น้ำมิ้นบ่เคยเห็นไผฝันแล้วร้องไห้ดังเท่าคุณมาก่อนเลย คนเฮา…ฝันร้ายมากสุดๆ ก็คงแค่น้ำตาไหลโดยบ่ฮู้ตัว แม่นก่อแม่ครู” สาวน้อยหันไปถามผู้สูงวัยที่ผ่านโลกมามากกว่าเธอ ยุพินจึงได้แต่อือออรับคำด้วยไม่รู้จะกล่าวอย่างไร…ความฝัน ใครจะบังคับได้เล่า
“คุณฟื้นก็ดีแล้ว ถ้ายังไงเรากลับบ้านกันก่อนดีกว่า คุณจะได้ไปพักผ่อนต่อให้เต็มที่”
แม้จะสะกิดใจอยู่บ้าง แต่เขาก็รู้ดีว่าป่วยการที่จะคาดคั้นเอาบางสิ่งที่หลบเร้นอยู่ภายในนั้นออกมา ตอนนี้…สิ่งสำคัญคือไม่ควรปล่อยให้รัตน์สิกาอยู่ที่นี่นาน เพราะเกรงว่าผู้ที่มุ่งหมายในทางร้ายอาจจะกลับมาอีกก็เป็นได้
หญิงสาวเอ่ยขอบคุณสองหญิงต่างวัยที่คอยดูแล ก่อนที่ทั้งสองจะออกเดินทางจากหมู่บ้านทอผ้าแห่งนั้น
“ไหนคุณบอกว่าจะกลับบ้านไงคะ” รัตน์สิกาเอ่ยขึ้นในตอนที่รถเลี้ยวเข้าไปในวัดแห่งหนึ่ง
คงเพราะที่นี่เป็นอำเภอเล็กๆ วัดในแถบนี้จึงไม่ได้ใหญ่โตนัก วิหารและอุโบสถถูกสร้างอย่างเรียบง่าย หลังไม่เล็กไม่ใหญ่ตามจำนวนประชากรที่มีไม่มาก ยิ่งในเวลานี้ไม่ใช่วันสำคัญอะไรเป็นพิเศษ บรรยากาศโดยรอบจึงมีเพียงความเงียบสงบ
“ไหนๆ ก็ผ่านมาทางนี้แล้ว แวะทำบุญหน่อยแล้วกัน” ชายหนุ่มบอก พอจอดรถเสร็จแล้วร่างสูงก็ตรงดิ่งไปยังร้านขายของชำที่หน้าวัด ปล่อยให้อีกฝ่ายยืนรออยู่พร้อมความสงสัย สักพักหนึ่งเขาจึงกลับมาพร้อมกับถังสังฆทานชุดหนึ่ง
“ไปถวายสังฆทานกันก่อนเถอะ”
ชัชพลพูดจบก็เดินนำลิ่วไปอย่างรู้ทาง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเธอจึงได้แต่เดินตามไปเพราะคิดว่าได้มาทำบุญแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย จึงปัดความสงสัยที่มีทิ้งไปเสียหมด
หลังจากถวายสังฆทานแล้วทั้งสองก็เดินออกมาจากบริเวณกุฏิเจ้าอาวาส หญิงสาวมุ่งไปที่รถแต่กลับพบว่าร่างสูงได้เดินเลยผ่านไปแล้วหยุดยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งก่อนจะหันมากวักมือเรียก เธอจึงตามไปหา แล้วขวดน้ำในมืออีกฝ่ายที่เข้าใจแต่แรกว่าซื้อมาดื่มนั้นถูกยื่นมาให้
“กรวดน้ำ แล้วว่าตามผมนะ”
ชายหนุ่มเป็นคนกล่าวนำคำกรวดน้ำที่รัตน์สิการู้สึกว่าแปลกแตกต่างไปจากคนอื่น แต่ถึงกระนั้นก็เอ่ยตามเขาอย่างไม่ติดขัด โดยเฉพาะท่อนหนึ่งที่ยามกล่าวก็รู้สึกสะกิดใจเล็กน้อย…
“…ข้าพเจ้าขอชดใช้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า ทั้งอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ ไม่ว่าจะอยู่ภพไหนภูมิไหน ขอจงมีส่วนในการกรวดน้ำครั้งนี้…”
เมื่อน้ำในขวดถูกเทออกจนเกลี้ยงแล้ว…สายลมกระโชกแรงพัดมาวูบหนึ่ง ม้วนเอาใบไม้แห้งและฝุ่นผงปลิวตลบขึ้นจนมองแทบไม่เห็นอะไร ต้นไม้ในบริเวณวัดก็ส่ายไหวไปมาเพราะแรงลม…แล้วหยุดลงในไม่กี่วินาทีต่อมา เหลือเพียงความนิ่งเงียบสนิท
บุรุษผู้มีสัมผัสพิเศษรับรู้ได้ในทันทีทันใดนั้น…ไม่ยอม
ร่างสูงยกมือขึ้นกุมขมับตัวเอง ในขณะที่พยายามคิดในแง่ดีตามประสบการณ์ที่ผ่านมาว่า…พวกเจ้ากรรมนายเวรแรกๆ ก็มักจะเป็นแบบนี้กันทั้งนั้น หากจับจุดได้ว่าต้องการอะไรเป็นการแลกเปลี่ยนแล้ว จะขอให้ปล่อยวางก็ไม่ใช่เรื่องยาก…ทว่าจุดจุดนั้นมันคืออะไรกันล่ะ
“คำอธิษฐานกรวดน้ำของคุณแปลกดีนะคะ ฉันยังไม่เคยได้ยินใครกรวดน้ำแบบนี้”
คนฟังไม่ตอบคำกลับแล้วเดินไปทิ้งตัวนั่งบนม้าหินอ่อนที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นมา
“คุณเชื่อเรื่องกรรมไหม…กรรมที่เป็นผลจากการกระทำ ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว”
“ฉันดูเป็นคนไม่เชื่อเรื่องเวรกรรมขนาดคุณต้องถามแบบนี้เลยเหรอคะ” หญิงสาวตอบกลั้วหัวเราะ
“แล้วคุณเคยก่อกรรมไว้กับใครบ้างรึเปล่าล่ะ” หัวคิ้วของคนถามยกขึ้นข้างหนึ่ง ในใจอยากถามอะไรที่ตรงๆ ไปเลยแต่ก็ต้องห้ามใจไว้ พยายามกดน้ำเสียงให้ราบเรียบที่สุด
“โห…คุณนี่ เป็นคำถามที่มองฉันในแง่ร้ายมากๆ ขอตอบไว้ตรงนี้เลยนะคะว่าไม่ พ่อแม่ฉันสอนให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ โดยเฉพาะแม่ของฉันนี่นะ…ลองฉันคิดจะทำชั่วสิ ถ้าแม่รู้ฉันได้โดนบ่นจนหูชาแน่ๆ”
“รู้จักบาปบุญแต่ก็ไม่แน่ว่าอาจจะเคยมีกรรมที่ไม่ได้ตั้งใจก่อก็ได้ ในขณะที่คุณทำอะไรโดยไม่คิด นั่นอาจสร้างความเจ็บแค้นแก่คนอื่นก็เป็นได้”
เธอเอียงคอมองเขาเพราะรู้สึกว่าอีกฝ่ายพยายามจะเน้นเรื่องที่ว่าเธอสร้างกรรมกับใครเอาไว้เสียเหลือเกิน แต่ด้วยความมั่นใจจึงยืนยันอย่างหนักแน่น
“ไม่มีหรอกค่ะ ฉันเป็นคนที่มีชีวิตเรียบง่ายที่สุดคนหนึ่ง วันๆ ก็สนใจแต่เรื่องเรียน อยู่กับครอบครัว ไม่เคยไปทำร้ายใคร ไม่เคยพูดจารุนแรง ด่าทอ หรือว่าร้ายคนอื่น ดังนั้นแม้แต่จะคิดก็ไม่มีค่ะ”
สิ่งที่ชัชพลได้รับรู้ก็เป็นเครื่องยืนยันว่ารัตน์สิกาไม่เคยทำกรรมหนักจนถึงขั้นที่จะต้องมีเจ้ากรรมนายเวรตามราวี ดังนั้นเธอก็คงจะไม่คาดคิดเรื่องที่มีวิญญาณตามทำร้ายตัวเองอยู่
แล้วยายผีสาวนั่นโผล่มาจากไหนล่ะ
“ทำไมถึงต้องถามแบบนั้นด้วยคะ คุณพูดเหมือนฉันเคยไปทำกรรมกับใครไว้อย่างนั้นแหละ”
“ผมก็แค่คิดว่า…ทุกสิ่งที่เราทำในปัจจุบันย่อมต้องส่งผลต่ออนาคตภายหน้า ในทางกลับกัน…ผลที่เราได้รับในตอนนี้ก็อาจมีเหตุมาจากอดีตได้ ที่ผมถามก็เพราะไม่อยากให้คุณมีกรรมพ่วงพันกับใครเขา”
ซึ่งอันดับแรกก็ผมนี่ไง
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ผู้หญิงที่เคยบวชร่วมวัดกับคุณคนนี้ คุณคิดว่าจะไปฆ่าคนตายได้หรือไงคะ”
“ก็ไม่แน่” เขาตีรวนจึงโดนคนฟังชักสีหน้าใส่
“นี่คุณ มองฉันเป็นคนยังไงเนี่ย”
“ว่าแต่คุณน่ะ สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนบ้างรึเปล่า” ชายหนุ่มถามเสียงเข้ม แล้วจึงได้ยินเสียงหัวเราะจืดเจื่อนเป็นคำตอบ
“ก็…ไม่ค่อยได้สวดเท่าไหร่ค่ะ” หญิงสาวบอกเสียงอ่อย
“คำพูดก็ดูดีอยู่หรอก แต่การกระทำ…เฮ้อ”
“ก็คิดจะสวด แต่พอจะนอนก็ลืมทุกที ง่วงจนคลานขึ้นเตียงบ่อยๆ จะไปมีเวลาสวดมนต์ก่อนนอนได้ยังไงคะ”
“อย่าเอาเวลามาอ้าง” เขาตวัดสายตามอง ทำเอาอีกฝ่ายกลายเป็นเต่าหัวหดอยู่ในกระดอง เรื่องอื่นอาจพอเถียงได้แต่เรื่องนี้เธอเถียงไม่ออกจริงๆ
“ขอโทษค่า…”
“ผมขอได้ไหมคุณ หมั่นสวดมนต์ไหว้พระถือศีลห้าอย่าให้ขาด นี่ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อตัวคุณเอง”
หางเสียงของเขาเจือแววบางอย่างที่ทำให้คนฟังยอมพยักหน้ารับโดยง่าย
ใกล้ถึงวันจัดฟิตติ้งแล้วรัตน์สิกาต้องนำผ้าที่ยืมจากพิพิธภัณฑ์ไปกรุงเทพฯ แต่แล้วเธอก็ต้องแปลกใจอย่างมากเมื่อชัชพลยืนยันที่จะเดินทางไปพร้อมกันโดยให้เหตุผลว่ามีธุระจะต้องไปทำอยู่แล้ว
เธอไม่อยากเชื่อเท่าไหร่นักเพราะเท่าที่รู้จักกันมาชัชพลถือเป็นคนติดบ้านคนหนึ่ง ไม่ชอบออกจากอาณาจักรของเขา การที่จะออกเดินทางไกลแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการพาเสือออกจากถ้ำซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย
ในวันที่ต้องเดินทางบัวทิพย์ออกมายืนส่งแขกที่กลายมาเป็นคนสนิทกันแล้ว…ร่างสูงซึ่งจัดการยกสัมภาระใส่ท้ายรถเรียบร้อยจึงเดินเข้าไปโอบกอดผู้สูงวัยแล้วบอกด้วยความเป็นห่วง
“ดูแลตัวเองด้วยนะครับ อีกไม่กี่วันผมก็กลับมาแล้ว”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ทำอย่างกับยายเป็นเด็กๆ อย่างนั้นแหละ…ว่าแต่ทำไมถึงไม่ยอมบอกหนูใบบุญสักทีล่ะ” ท้ายประโยคบัวทิพย์หันมากระซิบข้างหูหลานชายที่กำลังโอบไหล่ตนอยู่
“ผมขอรู้รายละเอียดมากกว่านี้อีกสักนิด ตามลงไปกรุงเทพฯ ครั้งนี้ผมจะต้องรู้ให้ได้ว่ามันเป็นเรื่องอะไรกันแน่”
ได้ยินเช่นนั้นหญิงชราจึงตบไหล่กว้างแล้วกล่าวด้วยเสียงที่กลับมามีระดับปกติอีกครั้ง
“ฝากดูหนูใบบุญด้วยนะ”
อีกฝ่ายรับคำแล้วถอยออกมา รัตน์สิกาจึงยกมือไหว้เจ้าของพิพิธภัณฑ์ผ้าพร้อมเอ่ยลา
“กลับแล้วนะคะคุณยาย ขอขอบคุณที่ช่วยดูแลหนูมาตลอด คุณยายใจดีมากๆ หนูจะไม่ลืมพระคุณเลยค่ะ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก อย่าได้พูดถึงขนาดนั้นเลย เป็นหนูนั่นแหละที่คอยดูแลยายตั้งหลายอย่าง แล้วเวลาเราได้คุยกันตามประสาผู้หญิงมันก็สนุกดีนะ สมใจอยากมีหลานสาวแล้ว เพราะตาศีลน่ะเขาเป็นผู้ชายจะให้มาคุยกันแบบพวกเรามันก็ไม่ใช่”
ฟากหลานชายที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักจะมีกลิ่นตุๆ ที่หัวคล้ายกลิ่นอะไรเน่าๆ ก็เอ่ยขึ้นทันที
“อะไรกัน เดี๋ยวนี้มีแบ่งเป็นพวกเขาพวกเราด้วยเหรอครับ”
บัวทิพย์ได้ยินอย่างนั้นแล้วถึงกับยิ้มกว้างจนตาหยี แต่ก็ไม่ได้คิดจะง้อคนตัวโตแต่ขี้ใจน้อยเลยสักนิด แถมโบกมือเป็นเชิงไล่ให้อีกฝ่ายไปขึ้นรถรอได้แล้ว ก่อนจะหันมาหาร่างบางอีกครั้ง
“ไปเถอะจ้ะ ออกจากที่นี่สายก็จะถึงกรุงเทพฯ ช้าไปด้วย”
“ดูแลตัวเองด้วยนะคะ”
“ไม่ต้องเห็นว่าเราเป็นคนอื่นคนไกลกัน ว่างๆ ก็กลับมาอีกนะหนูใบบุญ”
“ได้เลยค่ะ ไว้ถ้ามีเวลาหนูจะกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ นะคะ…ลาล่ะค่ะ”
รัตน์สิกาและบัวทิพย์ต่างไม่รู้ว่า…อีกไม่นานเลยที่หญิงสาวจะต้องกลับมาที่นี่อีกครั้ง!
การเดินทางลงไปกรุงเทพฯ ครั้งนี้เป็นการใช้รถยนต์แทนที่จะนั่งเครื่องบินเหมือนอย่างตอนขามา หญิงสาวมองข้างทางอย่างตื่นตาตื่นใจ แต่พอผ่านไปสักระยะหนึ่งก็ชินกับเส้นทางที่มีแต่ป่าและทางโค้ง เมื่อเริ่มรู้สึกเวียนหัวจึงขยับตัวเอนเบาะเพื่อเตรียมจะพักสายตา แต่ชัชพลที่นั่งเงียบมาโดยตลอดกลับเอ่ยทำลายความเงียบนั้น
“สรุปว่าผมกลายเป็นคนขับรถจริงๆ แล้วใช่ไหม”
“ก็ใช่แล้วนี่คะ…คุณเป็นคนขับรถจริงๆ”
ถึงจะตอบแบบนั้นแต่เธอก็ยอมปรับเบาะให้ตั้งตรงตามเดิม
“แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะคะ”
“ก็อย่าเพิ่งหลับสิคุณ มาด้วยกันก็นั่งเป็นเพื่อนกันก่อน”
“ฉันตื่นอยู่แล้วมันช่วยอะไรคุณได้ล่ะ ช่วยให้ขับรถดีขึ้นก็ไม่ได้สักหน่อย”
“อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ง่วงไปมากกว่านี้”
“ทำอย่างกับว่าถ้าฉันชวนคุยแล้วคุณอยากคุยด้วยอย่างนั้นแหละ”
“ผมไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย ถ้าคุณถามมาผมก็ตอบไป แต่ถ้าจะให้เป็นฝ่ายชวนคุยก่อนผมก็ไม่รู้จะพูดอะไร” ชายหนุ่มร้องอุทธรณ์
“ฉันก็กลัวเป็นเหมือนน้องน้ำมิ้นนี่คะ…คนเขาอุตส่าห์พูดคุยทักทาย คุณนี่เงียบกริบแถมยังพยายามชิ่งหนีอีก” รัตน์สิกาพูดกลั้วหัวเราะ สีหน้าของเขาจึงเปลี่ยนไปในทันที
“คุณก็รู้ว่าน้องเขาต้องการอะไรจากผม และมันก็เป็นสิ่งที่ผมให้ไม่ได้เสียด้วย ดังนั้นก็อย่าให้ความหวังเป็นดีที่สุด”
“ทำไมล่ะ น้องก็ดูเป็นคนดีนะคะ เป็นแม่ศรีเรือน มารยาทรึก็เรียบร้อยอ่อนหวาน หน้าตาก็สะสวยตามแบบฉบับสาวเหนือ ได้ผู้หญิงแบบนี้มาเป็นแฟน ดูแลคุณและคุณยาย…นี่มันนางฟ้าจุติลงมาชัดๆ”
ชัชพลได้ยินแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่งราวกับกำลังชั่งใจว่าควรพูดดีไหม ก่อนจะกล้าพูดออกมาตามตรง
“อันที่จริงน้องเขาก็ดีไม่มีที่ติ แต่ปัญหามันอยู่ที่ตัวผมเอง…เพราะชาตินี้ผมไม่คิดที่จะแต่งงาน”
“หมายความว่ายังไงคะ”
“ผมตั้งใจเอาไว้ว่าจะบวชตลอดชีวิต”
รอยยิ้มที่แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าของคนฟังจืดเจื่อนลงโดยที่เขาไม่ทันสังเกต เธอควรจะร่วมอนุโมทนาบุญแต่หัวใจกลับรู้สึกว่างโหวงแบบแปลกๆ จึงนิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนจะเอ่ยทีเล่นทีจริงด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้สดใสตามเดิม
“น่าเสียดายนะ”
“เสียดายอะไรครับคุณ”
“เสียดายคุณไง เดี๋ยวนี้ผู้ชายดีๆ ก็หายากมากอยู่แล้ว ผู้ชายดีและเพอร์เฟ็กต์อย่างคุณยังคิดที่จะครองตัวเป็นโสด เตรียมจะบวชตลอดชีวิต ก็เท่ากับสูญเสียทรัพยากรอันมีค่าไปคนหนึ่งแล้ว”
“พูดแบบนี้แปลว่าถ้าผมไม่คิดบวช คุณจะจีบผมรึไง”
จู่ๆ ชายหนุ่มก็ละสายตาจากถนนเบื้องหน้าแล้วหันมาถาม หญิงสาวรีบเบือนหน้าหนีเพราะรู้ตัวว่าไม่กล้าสู้ดวงตาคมคู่นั้น อึ้งไปพักหนึ่งกว่าเธอจะหาเสียงของตัวเองเจอ
“ปล่อยคุณไปที่ชอบๆ เถอะค่ะ”
รัตน์สิกาไม่กล้าหันไปมองหน้าอีกฝ่ายอีก เพราะกลัวว่าสายตาและสีหน้าจะเผยอะไรบางอย่างออกไป แต่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของเขาเลยพยายามเปลี่ยนเรื่องไปทางอื่น
“ที่จริง…นั่งเครื่องน่าจะดีกว่า ฉันว่าระดับคุณคงไม่มีปัญหาเรื่องราคาตั๋วหรอก มันเร็วกว่า ไม่ต้องมานั่งขับรถเป็นวันๆ แบบนี้ กว่าจะถึงล่ะเหนื่อยแย่”
“ผมไม่ชอบนั่งเครื่อง มันอึดอัด ขับรถเองแบบนี้ก็สบายๆ ไม่ต้องฝากชีวิตไว้ในมือใคร”
“โห…” คนฟังอึ้งกับความคิดของเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ
“ว่าแต่คุณจะไปกรุงเทพฯ ทำไมกันแน่ จู่ๆ ก็มีธุระด่วนขึ้นมาเสียอย่างนั้น คุณเคยบอกว่าที่ร้านมีผู้จัดการและพนักงานดูให้แล้วนี่คะ” หญิงสาวถามด้วยความคลางแคลงใจ ชัชพลรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อเหตุผลที่เขายกขึ้นมาอ้างอย่างฉับพลันจึงชี้ไปที่เบาะหลังซึ่งมีผ้าที่หยิบยืมมาจากพิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณบัวทิพย์วางอยู่
“คุณรู้ไหมว่าผ้าที่นางเอกละครของคุณใส่น่ะมันมีราคาเท่าไหร่”
“ไม่รู้สิคะ ฉันไม่ได้ถามรายละเอียดจากคุณยายเพราะว่าผ้านั้นพี่พัฒน์กับพี่เก๋เป็นคนมาขอยืม…แต่ถึงขนาดผู้กำกับต้องเป็นคนมาคุยเองก็คงจะมีราคาไม่น้อย”
“เจ็ดหลัก…ผ้าผืนนั้นมีราคาประมาณการอยู่ที่เจ็ดหลัก และตัวเลขตัวแรกสุดก็ไม่ใช่เลขหนึ่งเสียด้วย”
“โอ้โห ฉันก็พอรู้ว่าเป็นผ้าที่เก่าแก่มากแต่ไม่คิดว่าจะแพงขนาดนี้ ทำไมคุณยายถึงกล้าให้ยืมล่ะคะ”
“คุณยายท่านรักผ้าทอ ท่านคงเล็งเห็นแล้วว่าถ้าละครของคุณได้ออกอากาศ กระแสผ้าทอจะเฟื่องฟูมาก หากทำให้คนอื่นชื่นชอบขึ้นมาได้อีกก็คงจะเป็นเรื่องดี ทีแรกก็ตั้งใจว่าฟิตติ้งเสร็จจะให้คนที่ร้านไปรับแล้วนำกลับมาคืน เริ่มถ่ายทำค่อยให้ยืมไปอีกครั้ง แต่ผมยังไม่ค่อยวางใจ”
“กลัวฉันหอบผ้าไปแล้วเชิดหนีรึไงคะ”
“คุณยายท่านเชื่อใจคุณ แต่ผมไม่เคยเชื่อใจใครนอกจากตัวเอง”
ไม่มีคำตอบใดๆ จากร่างบาง…ชายหนุ่มละสายตาจากท้องถนนแล้วหันมามองเธอแวบหนึ่ง
“ทำไม…โกรธเหรอที่ผมไม่เชื่อใจ”
“เปล่าค่ะ พอจะเข้าใจเพราะฉันก็แค่คนที่คุณเพิ่งพบเจอได้ไม่นาน แต่สิ่งที่ฉันไม่เข้าใจคือความคิดของคุณ ในหัวสมองคุณมันซ่อนอะไรเอาไว้มากมายเกินไป คุณเป็นคนซับซ้อนจนยากที่ใครๆ จะเข้าถึง”
“ก็ดีแล้วล่ะ ผมไม่อยากให้ใครมาเข้าใจผม…เมื่อไม่สามารถเข้าถึงตัวตนก็จะไม่มีใครรู้จุดอ่อนที่เอามาใช้ทำร้ายกันได้”
“แต่คุณจะโดดเดี่ยว…” เธอแย้ง แต่อีกฝ่ายกลับยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“ไม่เป็นไร ผมชินและยินดีกับสิ่งที่เป็น ถ้าคุณเป็นผม คุณจะรู้ว่าคนเราน่ากลัวมากแค่ไหน ไม่มีใครรู้ว่าภายใต้รอยยิ้มของคนคนหนึ่งจะซ่อนอะไรเอาไว้ได้มากมาย”
อาจเพราะชีวิตที่ผ่านมาได้หล่อหลอมตัวตนของเขาให้กลายเป็นแบบนี้…ชาชินกับเหล่าวิญญาณที่มาร้องขออย่างตรงไปตรงมา ต้องการอะไรก็บอกกันตรงๆ ไม่ใช่รอยยิ้มเสแสร้งสวนทางกับความรู้สึกในจิตใจของคน
มีผู้คนมากมายเหลือเกินที่เขาได้มองเห็นกรรมของคนเหล่านั้น ไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญหรืออะไรก็ตาม บางทีรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงามอาจจะภูมิฐาน น่าเชื่อถือ แต่กลับซ่อนปีศาจร้ายไว้ภายใน สิ่งเลวร้ายที่บางคนทำน่าสะอิดสะเอียนเสียยิ่งกว่าภาพดวงวิญญาณที่มาพร้อมน้ำเลือดน้ำหนองเสียอีก
ไม่มีอะไรในโลกนี้น่ากลัวเท่ากับจิตใจคนอีกแล้ว…
รัตน์สิกาตื่นๆ หลับๆ สลับกันไปมา กว่าจะถึงกรุงเทพฯ ก็ค่ำมืดแล้ว ชัชพลมาส่งเธอที่บ้านก่อนที่เขาจะเดินทางไปยังคอนโดฯ ของตนเองซึ่งได้ซื้อเอาไว้เป็นที่พักตอนลงมาทำธุระที่กรุงเทพฯ เมื่อเห็นหญิงสาวไม่ยอมเอาผ้าโบราณที่มีราคาแพงแสนแพงนั้นไปด้วยจึงเอ่ยทัก
“ทำไมไม่เอาไปด้วยล่ะคุณ เสร็จแล้วผมค่อยไปเก็บคืนมา” คนพูดลืมตัวไปว่าก่อนหน้านี้เคยยืนยันเสียหนักแน่นว่ามาด้วยกันเพราะเป็นห่วงผ้า
“เชื่อใจแต่ตัวเองนักก็เอาไปเองเถอะค่ะพ่อคุณ พูดขนาดนี้แล้วฉันจะกล้าเอามาด้วยเหรอ
“แล้วผมจะไปถูกไหมเนี่ย” ชายหนุ่มตะโกนไล่หลังไป อีกฝ่ายเพียงแค่โบกไม้โบกมือให้โดยไม่หันหลังกลับมาอีก
“คุณมีเบอร์โทรฉันแล้วนี่ ถ้าหลง…พรุ่งนี้ก็โทรมาแล้วกัน”
ร่างเพรียวบางเดินเข้าไปในบ้านและพบกับมารดาซึ่งกำลังลงบันไดมาพอดี หญิงวัยกลางคนอยู่ในชุดนอนแล้ว แต่เส้นผมซอยสั้นดัดเป็นลอนยังเปียกชุ่มอยู่เพราะเพิ่งอาบน้ำสระผมเสร็จ
“กลับมาแล้วเหรอลูก”
“ค่ะแม่”
“เห็นโทรมาบอกว่าจะติดรถกลับลงมาพร้อมหลานชายเจ้าของพิพิธภัณฑ์ นั่นน่ะเหรอคุณศีลที่เคยเล่าให้แม่ฟัง”
“ใช่ค่ะ คนนั้นแหละที่หนูเคยโทรมานินทา เอ๊ย…เคยเล่าให้ฟัง”
“ดูท่าจะหน้าตาดีเนอะ ขนาดแม่มองจากระเบียงไกลๆ ก็ยังรู้สึกถึงออร่าความหล่อเลย” สายตาของผู้พูดมองมาอย่างมีนัย คนถูกมองจึงต้องรีบเบรกอีกฝ่ายดังเอี๊ยด
“อย่าไปยุ่งกับเขาเลยค่ะแม่ คนนี้สร้างกำแพงน้ำแข็งสูงลิบล้อมรอบตัวเอาไว้ ที่สำคัญคือเขาบอกว่าชาตินี้จะไม่แต่งงาน หนูยังไม่อยากเป็นมารผ้าเหลืองหรอก” แปลกที่น้ำเสียงของเธอติดจะประชดเล็กน้อยจนเจ้าตัวยังแอบตกใจเล็กๆ
นางขจีจึงเปลี่ยนเป็นถามไถ่บุตรสาวว่า
“แล้วนี่กินข้าวกินปลามารึยังล่ะลูก”
“ยังเลยค่ะ มีอะไรกินบ้างคะเนี่ย” รัตน์สิกาบอกอย่างออดอ้อน
“หายไปซะนานนึกว่าจะลืมกับข้าวฝีมือแม่ซะแล้ว”
“ใครจะไปลืมได้ล่ะคะ คิดถึงอาหารแซ่บๆ ของครัวขจีโภชนานี้จะแย่”
หญิงวัยกลางคนจึงจับจูงลูกสาวคนเดียวไปยังห้องอาหาร ซึ่งพอรู้ว่าลูกจะกลับมาวันนี้ก็ได้ตระเตรียมทำกับข้าวรอไว้หลายอย่าง หญิงสาวซัดจนอิ่มแปล้ให้สมใจอยากก่อนจะรีบขึ้นห้องไปอาบน้ำพักผ่อน
กว่าจะอาบน้ำสระผมเป่าไดร์ให้แห้ง เวลาก็ล่วงเลยจนดึกดื่นค่อนคืนแล้ว เธอรู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งกว่าปกติทั้งที่ตอนนั่งรถมาหลับไปตั้งหลายงีบแต่ก็ยังรู้สึกนอนไม่พออยู่ดี หัวสมองมึนชา ร่างกายหมดเรี่ยวแรง จนเมื่อเดินไปทิ้งตัวลงที่เตียงด้วยสภาพหนังตาแทบจะปิด พอหัวถึงหมอนก็คล้ายสลบไปในทันที
…โดยลืมที่จะสวดมนต์ก่อนนอนอย่างที่ได้ปฏิบัติในหลายวันมานี้…
เสียงหายใจแผ่วเบาสม่ำเสมอดังขึ้น ด้วยเจ้าตัวกำลังอยู่ในช่วงหลับลึกจึงไม่ทราบเลยว่าภายในห้องเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง…
หมอกควันสีดำพัดผ่านเข้ามาในห้อง เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ แล้วก่อเป็นรูปร่าง ทว่าไม่เห็นรายละเอียดอื่นใดนอกจากความมืดทะมึน เงาดำนั้นทาบทับบนตัวหญิงสาวคล้ายกำลังก้มลงมองบุคคลที่อยู่ในห้วงนิทรา
เสียงหัวเราะปริศนาดังขึ้นมาเบาๆ
“ฮิๆๆ…”
รัตน์สิกาตื่นมาพร้อมกับอาการความดันต่ำ เมื่อลุกจากเตียงก็ซวนเซเพราะรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาทันที
“นึกว่าจะหายแล้วซะอีก” เจ้าตัวบ่นพึมพำกับตนเองเพราะไม่เกิดอาการเช่นนี้นานแล้ว ตั้งแต่ตอนไหนนะ…อาจจะเป็นช่วงที่ไปบวชแล้วสุขภาพร่างกายก็ดูเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น หรือเพราะได้รับอากาศดีๆ จากพิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณบัวทิพย์ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยป่าเขา
“แหม…ทีตอนไปอยู่บ้านคนอื่นล่ะไม่เห็นเป็นอะไร ตื่นมาลั้ลลาได้ตั้งแต่เช้า พอต้องไปทำงานดันมาหน้ามืด”
ระหว่างที่กำลังทำกิจวัตรประจำวันชัชพลก็โทรมาสอบถามเรื่องการเดินทางแล้ว เธอจึงบอกเส้นทางอย่างละเอียด อีกฝ่ายทบทวนแผนที่ที่วาดขึ้นในสมอง คิดว่าพอจะไปถูกแล้วจึงวางสายไป
มีบางอย่างเล็กๆ ที่สะกิดใจให้หญิงสาวรู้สึกห่วงพะวงกับผ้าซึ่งอยู่ในการดูแล หากก็เดาว่าเป็นเพราะคำพูดของชายหนุ่มเมื่อวันก่อนที่กดดันจึงเดินไปเปิดหีบไม้แกะสลักใบย่อมๆ ซึ่งภายในบรรจุผ้าซิ่นวางพับทบซ้อนกันอยู่ มือเรียวพลิกดูผ้าโดยคร่าวก็พบว่าครบถ้วนเป็นปกติดี
เสียงถอนหายใจของร่างบางดังขึ้น พร้อมๆ กับที่เสียงของนางขจีแว่วมา
“ใบบุญ กับข้าวเสร็จแล้วนะลูก”
“ค่ะแม่…เดี๋ยวลงไปค่ะ” เธอตะโกนตอบกลับแล้วจึงปิดฝาหีบด้วยความโล่งใจ
คล้อยหลังของร่างบางเพียงครู่ ฝาหีบไม้ซึ่งแกะสลักเป็นลวดลายเครือเถาค่อยๆ เปิดแง้มขึ้นเล็กน้อย
บังเกิดเสียง ‘ฉ่า…’ พร้อมควันสีเทาล่องลอยออกมา กลิ่นเหม็นไหม้กรุ่นกำจายก่อนจะสลายไปในอากาศ
ฝาหีบงับลง แว่วเสียง ‘แอ๊ด…’ เพียงแผ่วเบา
ครู่เดียว…ทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบนิ่ง ราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นเลย
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments