X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักย้อนกาลสารทวสันต์

ทดลองอ่านนิยาย ย้อนกาลสารทวสันต์ เล่ม 1 บทที่ 3 – บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 52

บทที่สาม อวิ๋นเมิ่ง

 

ในที่สุดเชียนโม่ก็ได้กลับมาอยู่ในเพิงที่พักของทาสทั้งหลาย

ตอนเห็นหน้าหมาง เธอซาบซึ้งใจจนแทบร้องไห้ออกมา

แต่หมางเห็นหน้าเธอกลับตะลึงงันไปชั่วขณะ อาจเพราะก่อนหน้านี้รูปร่างหน้าตาของเชียนโม่ดูมอมแมมมาก บรรดาทาสที่เมื่อก่อนเคยคุ้นกับเธอ พอเห็นรูปร่างหน้าตาของเธอในวันนี้ต่างจำไม่ได้ มีเพียงอาหมู่สองแม่ลูกที่รู้จักเชียนโม่นานกว่าคนอื่นๆ จึงจำได้ก่อนใคร เข้ามาจับมือเธอพูดจีลีจัวลาอยู่พักใหญ่ด้วยความดีใจ

ทุกคนต่างตื่นตะลึง หลังจากจำเชียนโม่ได้ในที่สุดก็พากันเข้ามาห้อมล้อม คำพูดที่พวกเขาพูดออกมา แม้เชียนโม่ไม่อาจฟังเข้าใจทุกคำ แต่ก็รู้ว่าพวกเขาเฝ้าเป็นห่วงตนมาโดยตลอด เพียงรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ จิตใจพลันสงบลงมา

แน่นอนว่าเรื่องโรคระบาดกำเริบขึ้นอีกครั้งย่อมไม่ใช่เรื่องจริง สองคนที่นอนอยู่บนเสื่อเพียงเป็นไข้หวัดอย่างหนักเท่านั้น ทหารรักษาการณ์เฝ้ามองดูอยู่ไม่ไกล เชียนโม่ก็ไม่โอ้เอ้ เอาสมุนไพรที่หมางเก็บมาต้มน้ำด้วยท่าทางสมจริงสมจังแล้วให้คนป่วยดื่มลงไป จากนั้นก็เฝ้าอยู่ข้างๆ

 

ดึกแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกันไป เชียนโม่นั่งอยู่บนก้อนหิน เห็นหมางยังไม่กลับไป

ก่อนหน้านี้มีคนอยู่มาก พวกเขาไม่สะดวกจะพูดอะไรกัน เวลานี้ประจันหน้ากันอยู่เพียงสองคน ต่างก็แย้มยิ้ม

“โม่ เจ้าเป็นเช่นนี้ดีมาก” หมางกะพริบๆ ตา

เชียนโม่รู้ว่าความหมายของเขาก็คือเธอเนื้อตัวสะอาดสะอ้านเช่นนี้ดูดีมาก จึงอดหัวเราะไม่ได้ ในสถานการณ์เช่นเวลานี้ ต่อให้เธอทาหน้าจนดำเหมือนก้นหม้อก็ไม่มีผลอะไรแล้ว

“หมาง ขอบคุณเจ้ามาก!” เชียนโม่พูดจากใจจริง

“อ้อ…ไม่ต้องขอบคุณ” หมางคล้ายออกจะขัดเขิน เกาๆ ศีรษะ “ข้าก็แค่บอกคนพวกนั้นว่ามีคนล้มป่วยลงอีกแล้ว”

เชียนโม่เม้มๆ ปาก วันนี้ตอนรู้ว่าจะต้องไปปรนนิบัติฉู่หวัง เธอก็รู้สึกไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดี โชคดีที่เธอเห็นทาสคนหนึ่งไปส่งฟืนให้ห้องครัว เป็นคนที่อยู่ในกลุ่มตัดหญ้าด้วยกัน คนผู้นั้นอยู่ที่ลานบ้าน เชียนโม่เกิดความคิดขึ้นมาท่ามกลางความร้อนใจ อ้างว่าจะไปปลดทุกข์แล้วหลบเข้าไปที่ลานบ้าน หาแผ่นไม้เล็กๆ แผ่นหนึ่งมาได้ จึงใช้ถ่านเขียนตัวอักษรไว้บนแผ่นไม้แล้วให้ทาสคนนั้นนำไปให้หมาง

หมางเหลียวมองไปรอบๆ แล้วหยิบแผ่นไม้ออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นส่งให้เชียนโม่

ภายใต้แสงไฟที่ส่องสะท้อน บนแผ่นไม้มีตัวอักษรเขียนอยู่ไม่กี่ตัว ‘แสร้งมีโรคระบาดช่วยข้า’ เธอกับหมางมักสื่อสารกันด้วยวิธีกึ่งพูดกึ่งเขียนอยู่เสมอ จึงจำลายมือของกันได้ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้ใช้ประโยชน์

เชียนโม่มองดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็โยนแผ่นไม้เข้าไปในกองไฟทำลายหลักฐานเสีย เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องบรรทมฉู่หวังก่อนหน้านี้ เชียนโม่ยังคงรู้สึกหวาดกลัว หากช้ากว่านี้เพียงนิดเดียว เธอก็ไม่รู้จะยุติเรื่องอย่างไรจริงๆ

“ดีที่กงอิ่นรับปากเร็ว” เธอเอ่ย

“ไม่ใช่กงอิ่น” หมางสั่นศีรษะ “กงอิ่นไม่รับปาก เป็นอู่ต้าฟูมาพอดี และรีบไปหาเจ้าในทันที”

“อู่ต้าฟู?” เชียนโม่งุนงง นึกถึงคนที่ช่วยแก้สถานการณ์ให้ตนต่อหน้าฉู่หวัง ก่อนหน้านี้ก็เพราะเขาช่วยออกหน้าพูดจา กงอิ่นถึงได้ยอมให้เธอรักษาโรคระบาด คิดไม่ถึงว่าเขาจะช่วยเธออีกครั้งแล้ว เธออดแปลกใจไม่ได้ “อู่ต้าฟูผู้นี้มีชื่อสกุลหรือไม่”

“ไม่รู้” หมางกล่าว หยิบแผ่นไม้ไผ่กว้างสามนิ้วมือแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากด้านข้างแล้วใช้มีดหินสับเล่น “รู้เพียงผู้อื่นเรียกเขาว่าอู่ต้าฟู”

เชียนโม่พยักหน้า ถ้าคุณปู่อยู่ล่ะก็ บางทีอาจอาศัยเพียงสามคำนี้ก็สามารถรู้ถึงภูมิหลังกระทั่งยุคสมัยที่แน่ชัดออกมาได้ทั้งหมด เสียดายเธอไม่มีความสามารถเช่นนั้น ความรู้เหล่านั้นของคุณปู่ เธอรู้เพียงผิวเผิน หลังจากเข้ามหาวิทยาลัย สาขาวิชาที่เลือกก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์เลย

เธออดที่จะนึกถึงฉู่หวังขึ้นมาอีกไม่ได้

‘เจ้าชื่อโม่หรือ’ เขามองเธอด้วยแววตาวาววับ

ใจคอเริ่มไม่สงบขึ้นมาอีก เชียนโม่เพียงรู้สึกว่าตนเพิ่งจะผ่านเหตุการณ์ดุจ ‘เรื่องเล่าพิสดารแดนเทียนฟาง’* มา คนผู้นั้นเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเคยเป็นบุคคลเป้าหมายที่คุณปู่ศึกษาค้นคว้า…

หากคุณปู่รู้เข้าคงจะตื่นเต้นจนกระโดดขึ้นมา จากนั้นก็โยนผลงานด้านวิชาการกองโตมาให้แล้วรีบถามเขาว่าผลการศึกษาเหล่านี้ถูกต้องหรือไม่

ขณะจิตใจล่องลอย เชียนโม่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ แล้วหันไปมองทิศทางที่เพิ่งจากมาเมื่อครู่ มีแต่ความมืดยามค่ำคืน พอจะมองเห็นเค้าโครงเนินเขาตะคุ่มๆ แสงไฟเลือนรางกะพริบระยิบระยับอยู่บนไหล่เขา เชียนโม่รู้…ที่นั่นก็คือเรือนหลังนั้น

สองวันที่ผ่านมาคล้ายความฝันที่ซ้อนอยู่ในความฝันอีกทีหนึ่ง

“โม่” หมางพลันเอ่ยเสียงต่ำขึ้น “พวกเขาบอกว่าเจ้าไปปรนนิบัติฉู่หวังแล้ว”

เชียนโม่คิดไม่ถึงว่าเขาจะถามเรื่องนี้ “ไม่นับว่าปรนนิบัติ…ก็แค่พบหน้ากันครู่หนึ่ง”

หมางนิ่งเงียบไปชั่วขณะ “เขาเป็นอย่างไร แข็งแกร่งหรือไม่”

เชียนโม่ประหลาดใจ “แข็งแกร่งหรือ เจ้าหมายถึงด้านไหน” เธอเห็นสีหน้าเขาดูแปลกไปจากปกติ “หมาง เป็นอะไรไป”

หมางเป่าเศษไม้ไผ่ในมือทิ้ง ประกายตรงหว่างคิ้วดูเคร่งขรึม เขามองเชียนโม่พลางเอ่ยเสียงต่ำ “โม่ หากพวกข้าจะหนี เจ้าจะไปด้วยหรือไม่”

เชียนโม่ตะลึงงัน รีบกวาดสายตาไปรอบด้าน ในระยะรอบๆ ตัวหลายเมตรไม่มีคนอื่นอยู่

“หนี?” เชียนโม่ถาม “หนีอย่างไร”

“ถึงเวลาก็รู้เอง” เขาบอก “เจ้าตามข้าไปก็พอ ข้าจะพาเจ้าออกไปเอง”

เชียนโม่มองเขา หัวใจเต้นระรัวแรง

“หมาง” เธอมองจ้องไปที่รอยสักบนหน้าผากของเขา อดถามไม่ได้ “เจ้าเป็นใครกันแน่”

ดวงตาทั้งสองของหมางดูล้ำลึก มีประกายวิบวับสะท้อนออกมา ผ่านไปครู่หนึ่งก็สลายไปกลายเป็นแววเยาะหยันตนเอง “ข้าหรือ ก็แค่นักโทษคนหนึ่ง”

 

ฉู่หวังปล่อยตัวเชียนโม่กลับไปที่ถงซานแล้ว แต่ซูฉงยังไม่ยอมเลิกรา ให้คนขนแผ่นไม้ไผ่ที่มีตัวอักษรหนักสิบกว่าชั่งมาวางตรงหน้าฉู่หวัง กองสูงราวกับภูเขาลูกเล็ก

“ปีนี้ฤดูใบไม้ผลิน้ำท่วม ชายแดนทั้งสี่อดอยากหิวโหย ชนเผ่าซานหรงโจมตีชายแดนด้านตะวันตกเฉียงใต้ ไม่นานก็จะถึงภูเขาฟู่ซาน ชนเผ่าอี๋และหยางเยวี่ยก่อจลาจล ด้านตะวันออกเฉียงใต้ไม่สงบ พวกนั้นลงจากเนินหยางชิวมาแล้ว

* ‘เรื่องเล่าพิสดารแดนเทียนฟาง’ คือการล้อกับคำว่า ‘นิทานราตรีแดนเทียนฟาง’ หรือนิทานอาหรับราตรี เป็นคำอุปมา หมายถึงเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

เมืองจือฉีตกอยู่ในอันตราย คนของแคว้นยงวางแผนปลุกระดมพวกหมาน คนแคว้นหมีกำลังเคลื่อนไหวก่อความไม่สงบ เริ่มก่อการขึ้นเมื่อใด นครอิ่งตูย่อมตกอยู่ในอันตราย!” ซูฉงในมือถือป้ายหยก สีหน้าเคร่งขรึม “ภายในวุ่นวาย ภายนอกถูกรุกราน ผู้คนในแว่นแคว้นต่างร้อนใจ แต่ตลอดทั้งเดือนต้าหวังไม่ได้กลับเมืองหลวง เอาแต่ล่าสัตว์ดื่มสุรา! หากส่งผลกระทบต่อบ้านเมือง พวกกระหม่อมล้วนมีความผิด!”

สีหน้าและน้ำเสียงล้วนเฉียบขาด ทุกคำหนักแน่นดังกังวาน ขู่ขวัญเสียจนข้าราชบริพารที่อยู่ในตำหนักใบหน้าไร้สีเลือด

มีเพียงคนเดียวที่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน นั่นก็คือฉู่หวัง

เขานั่งอยู่บนตั่ง มือวางอยู่บนโต๊ะ นิ้วมือเคาะลงบนโต๊ะช้าๆ ฟังเสียงสูงและก้องกระหึ่มของซูฉง นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา

“ส่งผลกระทบต่อบ้านเมือง?” รอจนซูฉงพูดจบ ฉู่หวังจึงกล่าวอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ต้าฟูพูดเกินความเป็นจริงไปแล้ว”

ซูฉงเอ่ยเสียงเย็น “เช่นนั้นกระหม่อมจะอ่านหนังสือราชการให้ต้าหวังฟัง!” พูดจบเขาก็ก้าวเข้าไปหยิบแผ่นไม้ไผ่ขึ้นมาแผ่นหนึ่งแล้วอ่านออกเสียงออกมา เหล่าข้าราชบริพารที่อยู่รอบด้านเห็นเขาทำเช่นนี้ก็ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

อู่จวี่เห็นสภาพการณ์เช่นนี้ก็กล่าวกับเสี่ยวเฉินฝู “เรื่องนี้เกรงว่าต้าหวังคงไม่ต้องการให้คนเห็นมากนัก”

เสี่ยวเฉินฝูรู้ว่าพวกเขาจะปรึกษาเรื่องสำคัญ จึงรีบโบกมือพาคนอื่นๆ ล่าถอยออกไปนอกตำหนัก

รอคนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องออกไปหมดแล้ว ฉู่หวังมองซูฉงที่สีหน้าเต็มไปด้วยความดื้อรั้นแล้วยิ้มอย่างอับจนปัญญา

“เจตนาของท่าน กว่าเหรินรู้แล้ว ไม่ทราบว่ามีแผนการเลิศล้ำอะไรหรือไม่”

ซูฉงวางแผ่นไม้ไผ่ลง ประสานมือให้ฉู่หวัง “ต้าหวังไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำศึก!”

ฉู่หวังมองสบตาเขา มุมปากเหยียดตรง นัยน์ตาทั้งสองหม่นขรึม

 

แม้เชียนโม่จะนับว่าเคยปรนนิบัติฉู่หวังมาแล้ว แต่เวลานี้เมื่อถูกส่งกลับมาสู่สภาพเดิม เธอก็ต้องทำงานเหมือนเมื่อก่อน

ทาสทั้งหลายรวบรวมหญ้าได้มากพอแล้ว ฉวยโอกาสที่ดินฟ้าอากาศปลอดโปร่งเริ่มลงมือสร้างกระท่อม มีเสียงโครมดังขึ้น หญ้ามุงหลังคาบนกระท่อมหลังเก่าถูกรื้อลงมา เผยโครงไม้หยาบๆ บนหลังคาออกมาให้เห็น

เชียนโม่กับคนที่อยู่ข้างๆ ช่วยกันเอาเชือกมัดหญ้าใหม่ให้ดี แล้วส่งให้คนที่อยู่บนหลังคา การลงมือสร้างบ้านด้วยตัวเอง กล่าวสำหรับคนในยุคสมัยนี้เป็นเรื่องพื้นๆ ธรรมดาอย่างที่สุด นอกจากเชียนโม่แล้ว ทุกคนต่างทำงานด้วยความชำนิชำนาญ แม้แต่อาหลีเด็กหญิงอายุน้อยแค่นั้นก็ยังรู้จักสานตอกที่ใช้มัดหญ้าคา

เชียนโม่มองไปรอบๆ ก็ได้แต่ช่วยเล็กๆ น้อยๆ เอาหญ้าที่มัดเสร็จส่งให้คนบนหลังคา อุ้มกาน้ำคอยเอาน้ำให้คนดื่ม

เชียนโม่ไม่ได้ทำหน้าตามอมแมมผมเผ้ารุงรังเหมือนเมื่อก่อนอีก เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็สะอาดสะอ้าน ใครหลายคนเห็นเธอแล้วก็จำไม่ได้ มองมาด้วยสายตาตื่นตะลึงในความงาม ชายบางคนใจกล้าหน่อย ยังจงใจวิ่งมาตรงหน้าเธอ มองจ้องเธออย่างไม่เกรงใจแล้วยิ้มให้

งานซ่อมแซมและสร้างกระท่อม เปรียบกับการขุดแร่แล้วสบายกว่ามาก ทาสทั้งหลายยากนักจะได้ผ่อนคลาย ต่างอารมณ์ดีไม่น้อย

เชียนโม่กลับจิตใจไม่สงบ

เรื่องที่หมางพูดกับเธอเมื่อคืนวนเวียนอยู่ในใจของเธอตลอดเวลา

เชียนโม่แม้จะแทบทนรอไม่ไหว แต่ก็เป็นกังวลมาก พวกเธอคิดจะหนี แต่ทหารรักษาการณ์ที่นี่ก็มีไม่น้อย การปะทะกันเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงได้ยาก

นี่…คงพอจะนับได้ว่าเป็นการก่อการปฏิวัติตามที่เล่าลือกันมากระมัง เชียนโม่เพียรค้นหาความทรงจำในสมองอย่างหนักเกี่ยวกับข้อมูลของภูเขาถงลวี่ที่เธอเคยอ่านมา แต่กลับจำไม่ได้ว่ามีจุดไหนที่พูดถึงเรื่องทาสลุกขึ้นมาต่อต้าน

ตอนเธอไปตระเวนส่งน้ำให้ทั่วถึง เห็นทาสหลายคนกำลังแอบจัดเตรียมอาวุธ…ลูกศรที่ทำจากไม้ไผ่ ยังมีขวานหิน ดาบหิน แม้จะง่ายๆ หยาบๆ แต่ก็คมมาก หากจะฟันลงไปบนร่างคนให้เป็นแผลก็ไม่มีปัญหาแน่นอน

พวกอาหมู่ก็เห็นชัดว่ารู้เรื่องนี้ดี ทุกครั้งยามรอบด้านไร้ผู้คน พวกนางก็จะพูดคุยกันเบาๆ เชียนโม่พอฟังเข้าใจ พวกนางเฝ้าหวังว่าจะได้กลับไปหยางเยวี่ย

แผนการหลบหนี หมางเป็นคนกำหนดแต่เพียงผู้เดียว ช่วงเวลาที่เขาอยู่ที่ถงซาน เปรียบกับทุกคนแล้วดูเหมือนจะยาวนานที่สุด รู้ว่าจุดไหนเปราะบางที่สุด ช่วงเวลาไหนดีที่สุด

เสียดายช่วงนี้ฉู่หวังเสด็จมาที่ถงซาน พาทหารมาด้วยจำนวนมาก ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อพวกเธอ

โชคดีที่วันถัดมาจู่ๆ ราชรถของฉู่หวังและขบวนทหารก็ไปจากถงซาน สอบถามคนที่ไปทำงานในค่ายบัญชาการก็ได้ความว่าฉู่หวังเดินทางกลับนครอิ่งตูแล้ว

เชียนโม่รู้ โอกาสที่ว่าอยู่ไม่ไกลแล้ว

 

ดินฟ้าอากาศปลอดโปร่งแจ่มใส

ฉู่หวังนั่งอยู่บนรถม้า นัยน์ตาทั้งสองมองไปยังที่ไกล ออกจากถงซานมาได้ครึ่งวันแล้ว ทัศนียภาพรอบด้านไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก หมอกสลายไป ป่าเขาสายน้ำลำธารก็ปรากฏขึ้นมาในสายตา

เขาหลับตาลงพักสายตา เรื่องต่างๆ ก็ผุดขึ้นมาในสมอง ชนเผ่าหรงอี๋แต่ละทิศ แคว้นต่างๆ ยังมีวงศ์สกุลสูงศักดิ์ต่างๆ ในแคว้น…

‘…บ้านเมืองสายน้ำผืนแผ่นดิน ขอมอบไว้กับเจ้า…’ คำสั่งเสียก่อนสิ้นลมของพระบิดายังดังอยู่ข้างหู

‘…ฉู่เฉิงหวังสังหารพี่ชายช่วงชิงตำแหน่งขึ้นเป็นหวัง ก็เพื่อระบบการสืบสันตติวงศ์ ฉู่มู่หวังสังหารบิดาแย่งชิงตำแหน่ง ก็เพื่อระบบการสืบสันตติวงศ์ เห็นได้ว่าระบบการสืบสันตติวงศ์นี้ ยอมรับเพียงผู้ชนะเท่านั้น’ คำพูดที่กงจื่อเซี่ยพูดกับเขาเมื่อสองปีก่อนผุดขึ้นมาในสมองเสมอ

‘สยงหลี่ว์! เจ้าสังหารขุนนางใหญ่ตามอำเภอใจ ไม่กลัวเวรกรรมตามสนองหรือ’

ลมพัดมา กระดิ่งทองแดงที่ห้อยอยู่ใต้ชายคาไม้นอกห้องโดยสารในเรือดังขึ้นเบาๆ

ฉู่หวังลืมตาขึ้น ถึงได้พบว่าตนถึงกับเผลอหลับไป เขาดื่มน้ำไปคำหนึ่ง เอาแผ่นไม้ไผ่ที่ถืออยู่ในมือมาตลอดโยนลงบนโต๊ะ ฉับพลันนั้นก็ได้ยินเสียงเบาๆ เสียงหนึ่ง คล้ายเสียงเข็มเงินตกลงพื้น

เขาก้มหน้ามอง แล้วก็เห็นที่พื้นเรือมีสิ่งของชิ้นเล็กๆ สีดำชิ้นหนึ่งหล่นอยู่

ฉู่หวังเก็บขึ้นมามองดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงนึกขึ้นได้ นี่เป็นที่ติดผมที่ตนปลดมาจากเส้นผมของแรงงานหญิงโม่ผู้นั้น

หัวสมองพลันปลอดโปร่งขึ้น

เขานึกถึงภาพหญิงคนนั้นจ้องมองเขาด้วยแววตาหวั่นหวาด ปานประหนึ่งเขาเป็นน้ำเหนือที่ไหลบ่า เป็นสัตว์ที่ดุร้ายเช่นนั้น

คืนนั้นก่อเหตุวุ่นวายจนเรื่องต้องยุติลงไปเช่นนั้น ฉู่หวังเองก็คาดคิดไม่ถึง หลังจากมอบนางให้คนของกงอิ่นประจำถงซานพากลับไปแล้ว เขาก็ไม่ได้ถามถึงอีก ในฐานะประมุขของแว่นแคว้น ถึงกับถูกแรงงานหญิงคนหนึ่งปฏิเสธ หากต้องไปสอบถามเรื่องราวหลังจากนั้นอีก ดูเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีศักดิ์ศรีสักเท่าไร

แต่ต่อมาซื่อเหรินฉวีบอกเขาว่าแรงงานหญิงโม่ผู้นี้เป็นไปได้อย่างมากว่าจะมาจากสกุลสายหลิน เป็นคนในจงหยวน

ฉู่หวังประหลาดใจมาก หากเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดนางจึงมาระเหเร่ร่อนอยู่ที่หยางเยวี่ยได้ แล้วเหตุใดคนจงหยวนคนหนึ่งจึงรู้จักจัดการกับโรคระบาดที่แม้แต่คนทางใต้ยังรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า

เขานึกถึงดวงหน้างดงามขาวผ่องของนาง ยังมีท่าทางการพูดที่ติดๆ ขัดๆ ยามตอบคำถามของตน

แรงงานหญิง…ที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยปริศนาคนหนึ่ง

ฉู่หวังมองที่ติดผมในมือ ครู่เดียวก็โยนไว้บนโต๊ะ

พอพระอาทิตย์ตกดิน ขบวนเรือก็เข้าฝั่งจอดพักค้างแรม ฉู่หวังกับอู่จวี่และซูฉงปรึกษาราชกิจกันได้ครู่หนึ่งก็มีรายงานด่วนเข้ามา

“ซือหม่าเหว่ยจย่ากล่าวว่าเมืองขุยระยะนี้ร้อนอบอ้าว ภูมิอากาศเลวร้าย โรคระบาดแพร่กระจาย กรีธาทัพออกรบเกรงจะไม่ราบรื่น” ผู้ส่งข่าวบอก อู่จวี่ได้ยินแล้วตื่นตะลึง มองไปที่ฉู่หวัง เห็นหัวคิ้วของเขากระตุกเล็กน้อย

“โรคระบาด” เขาเอ่ยออกมาช้าๆ แต่ไม่มีท่าทีกลัดกลุ้ม

 

คนในเหมืองแร่ทองแดงมากเกินไป ไม่ใช่ทุกคนที่คิดจะหนี และเป็นไปไม่ได้ที่จะหนีไปได้ทั้งหมด ดังนั้นคนที่ตัดสินใจจะเข้าร่วมการหลบหนีในครั้งนี้ล้วนเป็นคนที่ถูกจับตัวมาจากหยางเยวี่ยและซูในช่วงหลัง พวกเขาเพิ่งมาได้ไม่นาน ยังไม่ถูกฝึกให้เชื่อง และอยากจะไปจากสถานที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด ที่สำคัญที่สุดก็คือคนเหล่านี้ส่วนใหญ่พูดภาษาฉู่ไม่ได้ จึงรักษาความลับไว้ได้

แผนการหลบหนีของหมาง เชียนโม่พอรู้คร่าวๆ แล้ว

หลายวันก่อน แรงงานทาสที่มาจากหยางเยวี่ยขุดพบอุโมงค์ใต้ดินธรรมชาติเส้นหนึ่งในอุโมงค์เหมืองแร่เข้าโดยบังเอิญ พวกเขาสำรวจดูแล้ว อุโมงค์ใต้ดินเส้นนี้ทะลุผ่านภูเขา ตัดตรงออกไปนอกเขตถงซานได้ แรงงานทาสทั้งหลายไม่ได้กระพือข่าวออกไป และฝังกลบปากถ้ำเอาไว้ นับแต่นั้นแผนการหลบหนีก็เริ่มแผ่ขยาย

สถานที่ตั้งของภูเขาถงลวี่ค่อนข้างห่างไกล การเดินทางทางบกไม่สะดวกรวดเร็วเท่าการเดินทางทางน้ำ แร่ทองแดงที่ขุดออกมาจะถูกขนไปที่ริมแม่น้ำก่อน แล้วลำเลียงขึ้นบรรทุกบนเรือลำใหญ่ จากนั้นก็ส่งออกจากเมืองเอ้อ แม่น้ำเล็กละแวกใกล้ถงซานน้ำค่อนข้างตื้น ทั้งมีจระเข้ ไม่เหมาะที่เรือใหญ่จะเทียบท่า หมางสืบข่าวมาแน่ชัดแล้ว ระยะนี้มีเรือใหญ่หลายสิบลำจะมาจากนครอิ่งตู เข้าเทียบท่าที่ริมแม่น้ำใหญ่ ทาสทั้งหลายหลังออกจากอุโมงค์ใต้ดินไปถึงริมแม่น้ำก็จะขึ้นเรือเหล่านั้นหนีไปได้

“แต่ที่ท่าเรือกับบนเรือก็มีทหารรักษาการณ์เฝ้าอยู่” เชียนโม่นึกถึงภาพเหตุการณ์ตอนตนถูกจับตัวมาแล้วขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น

“เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง” หมางกล่าว “ข้าย่อมมีวิธี”

เชียนโม่มองเขาอย่างแปลกใจ กลับเห็นเขาไม่มีท่าทีจะอธิบายเพิ่มเติม เธอจึงว่า “ทาสที่จะหลบหนีมีมากเพียงนี้ หากทหารรักษาการณ์ในเหมืองแร่พบเห็นเข้าจะต้องระดมกันมาแน่”

หมางไม่ตอบ กลับมองจ้องหน้าเธอ

“โม่” เขาถาม “เจ้ากลัวหรือไม่”

เชียนโม่งงงันอยู่ชั่วขณะ

พูดตามตรง บอกไม่กลัวก็โกหก เธอโตมาจนป่านนี้ กระทั่งทะเลาะวิวาทกับใครก็ไม่เคย มาวันนี้กลับต้องเข้าร่วมก่อการจลาจล

“ไม่ต้องกลัว” หมางกุมแขนเธอไว้พลางเอ่ยเสียงต่ำ แล้วยื่นขวานหินเล่มหนึ่งให้เธอ “ถึงเวลานั้นคอยตามข้า ถ้าพบทหารฉู่ก็ฟันลงไป อย่ามือไม้อ่อนเด็ดขาด!”

 

หมางเชื่อมั่นในตัวเองอย่างมาก ทาสทั้งหลายต่างก็มั่นอกมั่นใจ

ช่วงเวลาที่หมางเลือกก็สมเหตุสมผล กลางวันไม่ได้ ในเหมืองแร่ต้องทำตามลำดับขั้นตอน ทุกคนทำอะไรล้วนมีคนเฝ้าดู กลางคืนก็ไม่ได้ หลังจากเลิกงาน ทาสทั้งหลายก็จะถูกพันธนาการด้วยเชือกและกลับไปพักผ่อนยังเพิงที่พัก ช่วงจังหวะที่เขาเลือกคือช่วงเวลาที่ม่านราตรีเริ่มแผ่คลุมลงมา ผู้คุมและทหารรักษาการณ์ทั้งหลายทำงานมาทั้งวัน ต่างจะแยกย้ายกันไปนั่งพักกินอาหาร ช่วงเวลานี้การควบคุมทาสทั้งหลายจะหย่อนยานมากที่สุด

แต่เชียนโม่ยังคงรู้สึกกังวล ก็เหมือนที่เธอบอก คนที่จะหลบหนีมีจำนวนมากเกินไป หากผู้คุมพบเห็นเข้าและชักนำทหารมา นั่นก็เป็นเรื่องที่ต้องเสี่ยงตายกันแล้ว ในมือของทาสทั้งหลายมีเพียงไม้ไผ่กับก้อนหิน ทว่าทหารฉู่กลับมีอาวุธทุกรูปแบบและโล่ที่ทำจากทองแดง แค่คิดก็กลัวแล้ว

ในใจแม้จะรู้สึกกระสับกระส่ายร้อนรน แต่ภายนอกงานก็ยังต้องทำ เชียนโม่ตามหญิงออกเรือนแล้วหลายคนไปส่งอาหารที่เขตหลอมแร่ พลันพบว่าเตาหลอมแร่ลูกหนึ่งไม่เหมือนเตาลูกอื่น กลิ่นที่แผ่กระจายออกมาแสบจมูก คนที่อยู่รอบด้านต้องใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกไว้ สิ่งที่หลอมออกมาจากเตาลูกนั้นก็ไม่ใช่แร่ทองแดงเหลว หากแต่มีสีเงินระยิบระยับ

เชียนโม่มองไปทางเตาหลอมแร่ ในใจพลันมีแสงสว่างผุดวาบขึ้น

 

ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง อาทิตย์ยามสายัณห์ที่สุดขอบฟ้ายังเหลืออยู่ครึ่งดวง ใกล้จะถูกเมฆหนากลืนกินลงไปแล้ว

ทาสทั้งหลายฉวยโอกาสช่วงกินข้าวมารวมตัวในที่แห่งหนึ่งเงียบๆ หมางภายใต้สีหน้าที่สงบนิ่งมีความระแวดระวังซุกซ่อนอยู่ หลังจากเดินเตร่ไปรอบด้านรอบหนึ่ง แน่ใจแล้วว่าผู้คุมกับทหารรักษาการณ์ไม่ได้สนใจ จึงให้สัญญาณมือเงียบๆ

ทาสทั้งหลายแยกเป็นกลุ่มละสองคนสามคน หยิบเครื่องมือ หิ้วกระบุงไม้ไผ่ ทำทีจะไปทำงาน เดินไปทางบ่อแร่ หมางเดินอยู่ข้างหนึ่ง ทำทีเป็นพูดคุยกับคนอื่น เดินอ้อมผ่านผู้คุมหลายคนที่กำลังกินข้าวอยู่

“หมาง…” ในเวลานี้เอง จู่ๆ อาหลีก็เดินมากระซิบบอกอย่างร้อนรน “โม่หายตัวไปแล้ว”

หมางชะงักอึ้ง ย่นหัวคิ้ว “โม่”

เขากำลังจะถามต่อ พลันมีเสียงร้องตะโกนดังมาจากทางด้านหลัง หมางหันไป ใจพลันหนักอึ้ง แล้วก็เห็นกงอิ่นประจำถงซานนำคนมาตระเวนสังเกตการณ์ พอเห็นคนมากมายก็เอ่ยถาม “พวกเจ้าจะไปไหน”

หมางสีหน้าสงบนิ่ง รีบทำความเคารพ “เรียนท่านกงอิ่น พวกข้าได้รับคำสั่งให้ไปขุดแร่ที่บ่อขอรับ”

กงอิ่นมองเขาด้วยความฉงนสงสัย ขณะจะถามต่อ ฉับพลันนั้นเองก็มีเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว พื้นดินแทบจะเลื่อนลั่น

ทุกคนต่างตื่นตระหนก มองไปตามเสียง แล้วก็เห็นแสงไฟพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าอยู่ไกลๆ ควันหนาลอยตลบท่ามกลางแสงยามสายัณห์ เห็นแล้วทำให้คนอกสั่นขวัญแขวน

ซึ่งก็รวมถึงกงอิ่นด้วย ทุกคนต่างปากอ้าตาค้าง

“เป็นเตาหลอม!” มีคนร้องออกมาด้วยความตกใจ “เตาหลอม…ถูกฟ้าผ่าแล้ว!”

คราวนี้กงอิ่นถึงได้สติกลับคืนมา สีหน้าแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง รีบพาเหล่าผู้คุมเร่งรุดไปทันที

ทาสทั้งหลายอดที่จะตื่นตระหนกตกใจไม่ได้ ต่างยืนนิ่งอยู่กับที่ทำอะไรไม่ถูก

หมางมองไปทางด้านนั้น ตามองจ้องเขม็ง เสียงเมื่อครู่ไม่ต่างอะไรกับฟ้าผ่า ไม่มีใครเคยได้ยินเสียงฟ้าผ่าที่น่ากลัวเช่นนี้ และไม่มีใครเห็นสายฟ้าแลบ จู่ๆ ฟ้าก็ผ่าลงมาที่เตาหลอม

“หมาง!” ทันใดนั้นเสียงของเชียนโม่ก็ดังขึ้น เขามองไปก็เห็นเชียนโม่วิ่งมาอย่างรีบร้อน ใบหน้ามีรอยดำอยู่หลายแห่ง สีหน้าท่าทางดูตื่นเต้นมาก “พวกเขาถูกล่อไปแล้ว รีบหนีเร็ว!”

 

เส้นทางในเหมืองแร่แคบมาก ดีที่ผ่านการขุดแร่มาหลายปี ข้างในทั้งลึกทั้งยาว เพียงพอที่จะรับคนได้ทั้งหมด เตาหลอมที่ระเบิดดึงดูดความสนใจจากผู้คุมและทหารรักษาการณ์ ไม่มีใครสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวในอุโมงค์เหมืองแร่

ดินและหินที่ฝังกลบปากอุโมงค์ใต้ดินถูกคุ้ยออก ลมเย็นที่ทำให้คนรู้สึกเย็นสบายพัดโชยออกมา ประหนึ่งนำพากลิ่นอายของอีกโลกหนึ่งมาให้ เชียนโม่เดินตามหมาง ย่ำเหยียบลงไปบนดินหินที่ไม่แน่น กึ่งเดินกึ่งคลานมุดเข้าไปในอุโมงค์ใต้ดิน

คบไฟพอกล้อมแกล้มส่องสว่างรอบด้าน ข้างในล้วนเป็นหินธรรมชาติ ทั้งเปียกทั้งลื่น บางครั้งยังมีเสียงน้ำไหลจ๊อกๆ อุโมงค์ใต้ดินยาวมาก บางครั้งก็ขรุขระไม่เรียบ บางครั้งก็กว้างขนาดเดินสองสามคนได้ บางครั้งจะเดินผ่านคนเดียวก็ยังยาก ขบวนเดินไปบางครั้งช้าบางครั้งเร็ว แต่ตามเวลาที่ค่อยๆ ยาวนานขึ้น เชียนโม่ก็รับรู้ได้ว่าภูเขาถงลวี่กำลังถูกทิ้งห่างอยู่ข้างหลัง ในใจอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้

เธอเริ่มจินตนาการถึงเรื่องที่จะทำเมื่อกลับไปถึงหมู่บ้านแห่งนั้น เธอจะหาเป้สะพายหลังให้พบ แล้วลองเดินกลับไปตามเส้นทางตอนที่ตนมาถึงที่นี่ เธอเชื่อว่าในเมื่อเธอมาถึงโลกแห่งนี้ได้ ก็ย่อมมีเส้นทางที่จะกลับไปอย่างแน่นอน

เธอคิดถึงบ้านจะตายอยู่แล้ว คิดถึงคอมพิวเตอร์ คิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ รวมทั้งหญิงสาวห้องติดกันที่หอพักที่ยืมเงินแล้วไม่คืนคนนั้นด้วย

และเธอก็จะลาออกจากชมรมกิจกรรมกลางแจ้งเฮงซวยนั่นทันที เพื่อนร่วมชมรมอะไรกัน คนหายตัวไปก็ไม่มาตาม ชวนเข้าชมรมได้แล้วก็ไม่สนใจไยดีกันอีก…

จิตใจเต้นเร่าๆ เชียนโม่รู้สึกฝีเท้าเบาเร็วขึ้นมาก

“โม่” หมางพลันถามขึ้น “ฟ้าผ่านั่นมาได้อย่างไรหรือ”

เชียนโม่มองเขา กะพริบๆ ตาแล้วสั่นหัว “ข้าก็ไม่รู้”

หมางย่นหัวคิ้ว ร้องอ้อคำหนึ่งแล้วก็ไม่ได้ถามอีก

วิชาเคมีของเธอแต่ไรมาผลการเรียนก็ไม่เลว ตอนปิดเทอมฤดูหนาวปีนี้ยังไปติววิชาเคมีให้น้องสาวที่อยู่ข้างบ้าน มีเนื้อหาเกี่ยวกับดินปืน ส่วนผสมและอัตราส่วนเธอยังจำได้ เธอคิดไม่ถึงว่าที่แห่งนี้จะมีแร่ปรอท แร่ปรอทมีประโยชน์กว้างขวาง เวลาหลอมเป็นปรอทต้องใช้ดินประสิวและกำมะถัน เมื่อมารวมกับถ่านไม้ที่หาได้ทั่วไปก็สามารถทำดินปืนขึ้นมาได้

เธอเป็นผู้ร้ายครั้งแรก และก็ทำดินปืนเป็นครั้งแรก โชคดีที่ล้วนทำสำเร็จ แต่เธอไม่กล้าบอกใคร รวมถึงหมางด้วย นี่เป็นความลับ นั่นไม่ใช่สิ่งของในยุคสมัยนี้ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับตัวเธอเองเช่นกัน

เมื่อเดินออกจากอุโมงค์ใต้ดินมาได้ในที่สุด ทุกคนต่างโห่ร้องกระโดดโลดเต้น หมางกลับไม่กล้าชักช้าโอ้เอ้ รีบพาทุกคนเดินไปที่ริมแม่น้ำ

ดูเหมือนเขาจะรู้ลักษณะภูมิประเทศแถบนี้อย่างปรุโปร่ง เขาจุดคบไฟแล้วพาทุกคนวิ่งไปกลางทุ่งกว้างที่แทบจะมองไม่เห็นเส้นทางระยะหนึ่ง ไม่นานเชียนโม่ก็ได้ยินเสียงน้ำในแม่น้ำ

เมื่อกอหญ้าหนาทึบถูกแหวกออก เธอก็จำได้ในทันที ท่าเรือที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลก็คือท่าเรือที่เธอกับอาหมู่สองแม่ลูกถูกจับตัวมาในตอนนั้น แสงสว่างจากคบไฟทอดยาวติดต่อกันไม่ขาดสาย เรือหลายสิบลำจอดอยู่ที่ริมฝั่ง บนฝั่งมีศพคนตายจำนวนมากนอนเรียงระเกะระกะอยู่

เชียนโม่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนคอยสนับสนุนช่วยเหลืออยู่ที่นี่ พอเห็นซากศพเหล่านั้นเธอก็ต้องเอามืออุดปาก รีบเบนสายตาหนี

หมางคลี่ยิ้มออกมา สาวเท้าเร็วๆ เดินไปที่ริมฝั่ง คนที่เฝ้าอยู่ที่นั่นพอเห็นหมางก็ดูจะดีใจมาก คุกเข่าให้กับเขา ปากก็เอ่ยคำพูดมากมายซึ่งเชียนโม่ฟังไม่เข้าใจ

เชียนโม่มองหมาง พลันตระหนักว่าความเข้าใจที่ตนมีต่อเขาเรียกได้ว่าน้อยจนน่าสงสาร

หมางหันหน้ามา เห็นสีหน้าฉงนสงสัยของเชียนโม่ก็ไม่รู้สึกแปลกใจ

“โม่ เจ้าตามข้าไปขึ้นเรือ” เขาเอ่ย

เชียนโม่ไม่ได้ตอบรับ กลับเอ่ยถาม “เจ้าจะไปที่ใด”

หมางนิ่งเงียบไปชั่วขณะ “หยางเยวี่ย”

เชียนโม่งงงัน “เจ้าเป็นคนหยางเยวี่ย?”

“ไม่ ข้าเป็นคนซู” หมางกล่าว “ที่นี่ไม่เหมาะที่จะอยู่นาน เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่”

เชียนโม่คิดไปคิดมาแล้วสั่นหัว “ไม่ ข้าจะไปซู”

“โม่…” อาหมู่กับอาหลีเดินเข้ามา คล้ายรู้แล้วว่าเธอจะแยกไป ต่างมีท่าทีอึ้งตะลึง อาหมู่จับมือเธอ พูดอะไรหลายประโยค เชียนโม่พอเข้าใจคร่าวๆ นางจะให้เธอไปหยางเยวี่ยด้วยกัน

เชียนโม่ฝืนยิ้ม “ข้าจะกลับบ้าน”

อาหลีร้องไห้ออกมา หมางทำท่าคล้ายจะพูดอะไร คนที่อยู่ด้านหลังก็เดินเข้ามาร้องเร่งพวกเขาด้วยความร้อนใจ เชียนโม่รู้ว่าจะต้องจากกันเดี๋ยวนี้แล้ว แม้จะไม่อาจตัดใจ แต่ก็ไม่กล้าชักช้า เธอเช็ดน้ำตา กางแขนออกโอบกอดอาหมู่และอาหลี เหลือบไปเห็นหมางจึงกอดเขาด้วย

หมางตะลึงงันไปแล้ว

“ขอบใจเจ้ามาก” เชียนโม่มองเขา พูดจากใจจริง เธอโบกๆ มือแล้วตามกลุ่มคนที่ถูกจับตัวมาจากหมู่บ้านเดียวกันไปขึ้นเรือลำอื่น

ทาสที่ออกมาจากถงซานมีจำนวนมาก แต่เรือไม่ได้มีมากเช่นที่คาดการณ์ไว้ คนที่มาจากหมู่บ้านเดียวกับเชียนโม่มีจำนวนน้อย จึงแบ่งได้เรือเล็กลำหนึ่ง

ตอนเรือแล่นออกจากท่า มีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาจากทิศทางที่พวกเขาหนีมา ทุกคนรู้ดี นั่นคือทหารจากถงซานที่ไล่ตามมา ทาสทั้งหลายกลับไม่ได้หวาดกลัว คนหยางเยวี่ยและคนซูเกิดและเติบโตอยู่ริมน้ำ ไม้พายยาวและไม้ค้ำถ่อวาดลงไปบนผิวน้ำ เรือหลายสิบลำแล่นออกไปท่ามกลางความมืด ลูกศรหลายดอกปลิวมาแล้วร่วงลงในแม่น้ำเมื่อหมดแรงส่ง ถูกคลื่นพัดม้วนไป ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะเยาะจากผู้คนบนเรือ

สายลมเย็นยะเยือก เส้นผมของเชียนโม่ถูกพัดปลิว เธอรวบเส้นผม คิดจะหากิ๊บติดผมด้วยความเคยชิน จึงนึกขึ้นได้ว่าถูกฉู่หวังเอาไปแล้ว

กิ๊บติดผมอันนั้นก็เหมือนกับฉู่หวัง คงไม่ได้พบเจอกันอีกแล้วกระมัง

เชียนโม่คิดอยู่ในใจ แล้วก็รู้สึกดีใจขึ้นมา

ไม่นานท่าเรือถงซานก็ถูกทิ้งให้อยู่ข้างหลัง มองไม่เห็นอีก ความมืดยามราตรีกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา คนบนเรือไม่กล้าคลายความระแวดระวัง ผลัดเปลี่ยนกันพายเรือ เชียนโม่นั่งพิงอยู่บนกราบเรือ ขณะคิดจะหลับ ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงเอะอะเอ็ดตะโร เธอตกใจลืมตาขึ้น แล้วก็เห็นแสงไฟกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นมาไกลๆ ส่องสะท้อนให้เห็นตะคุ่มๆ ว่าเป็นเรือลำใหญ่

ทหารไล่ตามมาแล้ว!

เธออดตื่นตระหนกไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าเรือลำนี้จู่ๆ โผล่มาจากไหน

ทาสทั้งหลายที่เพิ่งหนีออกมาจากปากเสือมีสภาพดุจนกตื่นธนู* ออกแรงจ้ำพายสุดชีวิต คนที่ไม่มีไม้พายก็ใช้มือวักน้ำ เพียงหวังว่าจะไม่ถูกตามทัน แต่จะอย่างไรพวกเขาก็เป็นเรือเล็ก เร็วได้ไม่ถึงไหน เห็นเรือใหญ่ลำอื่นไปไกลแล้ว ทหารที่ไล่ตามกลับใกล้เข้ามาทุกที มีคนเกิดสติปัญญาขึ้นมาในขณะคับขัน เอาคบไฟโยนลงน้ำให้ดับ แล้วให้ทุกคนพายเรือไปจอดริมฝั่งเพื่อจะหลบซ่อนตัว

ทว่าคนฉู่สายตาแหลมคมยิ่ง ตามกัดแน่นไม่ปล่อย

มีเสียงสวบดังขึ้น ลูกศรดอกหนึ่งปลิวมาปักที่หัวเรือ ทุกคนต่างตกใจส่งเสียงกรีดร้องขึ้น

เชียนโม่เห็นบนเรือลำนี้ไม่มีอะไรพอเป็นที่กำบังได้เลยก็รีบขดตัวเข้าหากัน แต่แล้วในเวลานี้เองก็มีลูกศรปลิวมาอีก กราบเรือต้านไว้ได้เล็กน้อย แผ่นหลังของเชียนโม่พลันปวดแปลบ

“ต้าหวังมีบัญชา ให้เก็บธนูและศร!” มีเสียงตะโกนดังขึ้น ทหารทั้งหลายเห็นเป็นทหารราชองครักษ์ก็รีบเก็บธนูและศร

ทหารรายงานว่า “จับกุมเรือเล็กข้างหน้าได้ลำหนึ่ง ในเรือมีหญิงสาวอยู่คนหนึ่ง”

ทหารราชองครักษ์กำลังจะเข้าไปดู ใครคนหนึ่งเดินไปแล้วก้าวขึ้นบนหัวเรือ

ที่แผ่นหลังมีอะไรบางอย่างกำลังไหลลงมา เชียนโม่กัดฟันทนต่อความเจ็บปวด ไม่นานพลันพบว่าไม่มีลูกศรปลิวมาแล้ว จึงอดเงยหน้าขึ้นไม่ได้

เธอเห็นเรือใหญ่ลำหนึ่งลอยลำตระหง่านอยู่ด้านหลังราวกับกำแพงเหล็ก ข้างบนมีคนคนหนึ่งยืนอยู่แล้วมองลงมา สายตาทั้งสองข้างที่มองเธอประหนึ่งนักล่ากำลังมองสำรวจเหยื่อ

แสงไฟส่องสะท้อนใบหน้าของเขา หลังจากเห็นชัดว่าเขาเป็นใคร ร่างเธอก็พลันอ่อนระทวยสิ้นเรี่ยวแรง

“เอาตัวไป แล้วตามหมอมา” ฉู่หวังมองหญิงสาวในเรือลำนั้นแวบหนึ่ง สั่งเสียงเรียบแล้วหมุนตัวเดินจากไป

 

ราตรีกาลยังคงมืดมิด กงอิ่นประจำถงซานได้ยินว่าฉู่หวังกลับมาก็รีบพาคนออกไปพบ

กงอิ่นเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าของฉู่หวัง เหงื่อเย็นพลันซึมโชกแผ่นหลัง หลบไปยืนอยู่ข้างหนึ่ง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดัง

* นกตื่นธนู เป็นสำนวน ใช้เปรียบเทียบกับคนที่เคยผ่านเหตุการณ์ที่ไม่ดีมา และภายหลังเมื่อมีอะไรมากระทบเล็กน้อยก็จะตื่นกลัวอย่างมาก

“ได้ข่าวว่าเตาหลอมก็ถูกทำลายแล้ว สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง” ฉู่หวังก็ไม่พูดมาก มองแผ่นไม้ไผ่ที่บันทึกจำนวนคนที่หลบหนี สีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก

กงอิ่นกล่าว “พ่ะย่ะค่ะ วันนี้มีสายฟ้าฟาดลงมาทั้งที่ไม่มีฝน ผ่าเตาหลอมพังไปสามลูก กระหม่อมพาคนไปดู คิดไม่ถึงว่า…” พูดแล้วเขาก็รีบชี้แจง “แรงงานทาสพวกนั้นเจ้าเล่ห์มาก ขุดอุโมงค์ใต้ภูเขาจนทะลุ หาโอกาสหลบหนีไป! ต้าหวังโปรดวางพระทัย กระหม่อมได้ส่งกองทหารไปไล่โจมตีแล้ว จะต้องกำราบ…”

คำพูดยังพูดไม่ทันจบ ทหารราชองครักษ์ก็เดินเข้ามารายงานว่า “ต้าหวัง พวกกระหม่อมพบสิ่งเหล่านี้บนศพคนที่ถูกสังหารที่ริมฝั่งแม่น้ำ” พูดจบก็เอาหัวลูกศรหลายดอกขึ้นถวายฉู่หวัง

ฉู่หวังหยิบขึ้นมาดูดอกหนึ่ง เห็นรูปร่างลักษณะไม่ใช่ของแคว้นฉู่ก็ย่นหัวคิ้วแล้วว่า “คนซู”

“พ่ะย่ะค่ะ” ทหารราชองครักษ์กล่าว “กระหม่อมได้ตรวจสอบซักถามมาแน่ชัดแล้ว แรงงานทาสที่หลบหนีเหล่านี้มีคนผู้หนึ่งเป็นหัวหน้า คนผู้นี้มีชื่อว่าหมาง เป็นเชลยทาสที่ถูกจับตัวมาในสมัยอดีตหวังไปปราบปรามซู คนผู้นี้พูดได้หลายภาษา ทั้งรู้หนังสือ เป็นหัวหน้าในหมู่แรงงานทาส นอกจากนี้ในหมู่ผู้คุมมีสองคนที่หลังจากแรงงานทาสหลบหนีก็หายตัวไปไร้ร่องรอย”

แววตาของฉู่หวังยิ่งดูล้ำลึก ชำเลืองมองไปที่กงอิ่นประจำถงซาน

กงอิ่นตัวสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่อยู่ รีบคุกเข่าหมอบลงกับพื้น “ต้าหวัง! กระหม่อมไม่ทราบเรื่องจริงๆ! ก่อนหน้าที่กระหม่อมจะมาอยู่ที่ถงซาน คนเหล่านี้ก็อยู่ที่นี่แล้ว คนชื่อหมางผู้นั้นปกติก็เป็นเชลยทาสธรรมดา…”

“เชลยทาสธรรมดามีปัญญาสมคบกับคนภายนอกได้หรือ” ฉู่หวังกล่าวเสียงเย็น “ถงซานเป็นสถานที่สำคัญ เจ้าเป็นกงอิ่น ละเลยต่อหน้าที่ก่อให้เกิดภัยพิบัติ ยากจะหลีกพ้นความผิดได้!” พูดจบก็ให้คนเอาตัวกงอิ่นที่ตัวสั่นงันงกออกไปแล้วมีบัญชา “มอบตัวให้กรมอาญา แล้วให้จั่วถู* เฉิงฉงมารับตำแหน่งกงอิ่นประจำถงซานแทน”

เสี่ยวเฉินฝูเห็นฉู่หวังพิโรธหนัก สีหน้าพลันซีดเผือด ได้แต่มองญาติผู้น้องถูกพาตัวไป ไม่กล้าปริปาก

ฉู่หวังมองจำนวนคนที่เขียนอยู่บนแผ่นไม้ไผ่ หนึ่งพันสามร้อยห้าสิบสองคน ในใจอดกลัดกลุ้มไม่ได้

ปีนี้ทางใต้แห้งแล้งอดอยาก ภัยพิบัติมาก ฉู่หวังมีบัญชาให้เปิดยุ้งฉางทุกแห่ง ไม่ปิดกั้นลานล่าสัตว์ของราชวงศ์ พยายามบรรเทาทุกข์ให้ประชาชน สถานการณ์เพิ่งจะเริ่มดีขึ้น คิดไม่ถึงว่าชนเผ่าหรง ชนเผ่าอี๋ และชนเผ่าอื่นๆ ที่อยู่รอบด้านกลับเอาใจออกห่าง พากันรุกรานแคว้นฉู่ ฉู่หวังมีคำสั่งให้ปิดประตูเมืองจย่า เมืองซีสองแห่งเพื่อป้องกันแคว้นต่างๆ ในจงหยวนจะถือโอกาสพลอยผสมโรงไปด้วย ในแคว้นเองก็เตรียมทำสงครามจัดการกับเผ่าต่างๆ อย่างเต็มที่

การกรีธาทัพออกรบ อาวุธยุทโธปกรณ์คือสิ่งสำคัญที่สุดในบรรดาสิ่งสำคัญ ถงซานก็คือรากฐาน หากไม่เพราะเขาคิดจะสอบถามเรื่องทองแดงที่จะใช้ในการออกรบและย้อนกลับมาด้วยตัวเอง ถงซานแห่งนี้ยังไม่รู้จะเกิดเรื่องวุ่นวายถึงขั้นไหน

“ต้าหวัง” ราชองครักษ์เอ่ย “แรงงานทาสอีกกลุ่มที่หลบหนีไปเหล่านั้น จะสั่งให้ทหารไล่โจมตีอีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่ต้อง” ฉู่หวังกล่าว “ให้ทุกแห่งทางตะวันออกเฉียงใต้เตรียมการป้องกันอย่างเข้มงวด แล้วสืบข่าวมาให้แน่ชัด คนซูที่ชื่อหมางผู้นั้นมีฐานะเช่นไร”

ราชองครักษ์รับคำ กำลังจะล่าถอยออกไป พลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

“ต้าหวัง” เขาลังเลอยู่ชั่วขณะ “เมื่อครู่กระหม่อมได้ตรวจสอบเตาหลอมที่ถูกทำลาย ดูเหมือนจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล”

* จั่วถู เป็นขุนนางในสำนักราชวัง หน้าที่ภายในคือให้คำปรึกษาเกี่ยวกับกิจการงานเมืองแก่กษัตริย์ หน้าที่ภายนอกคือรับรองแขกบ้านแขกเมือง

หืม? ฉู่หวังมองไปที่เขา หัวคิ้วเลิกสูงเล็กน้อย

 

เชียนโม่สติรางๆ เลือนๆ อยู่ตลอดเวลา

เธอรู้ว่าตัวเองกำลังมีไข้ จิตสำนึกกลับไม่ค่อยแจ่มชัด

เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังวิ่งอยู่บนเส้นทางที่หลบหนี อยู่ในอุโมงค์ยาวที่มองไม่เห็นปลายทาง กำลังหาปากทางออก กำลังพายเรือสุดชีวิตอยู่ในแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว พยายามหนีจระเข้และลูกศรที่ไล่ตามมา

แต่บางครั้งเธอก็ฝันเห็นตัวเองได้กลับไปที่บ้านแล้ว กำลังนอนอยู่บนเตียงหลังใหญ่อย่างสบาย มองเห็นม่านหน้าต่างที่มีแสงอาทิตย์อบอุ่นส่องลอดเข้ามาถูกลมพัดปลิวไหวน้อยๆ ข้างหูมีเสียงบางอย่างที่ไม่ได้ยินมานาน คล้ายเสียงร้องขายเต้าฮวยที่ใต้ตึกในช่วงเช้าตรู่ และก็คล้ายมีใครกำลังพูดคุยเรื่องสัพเพเหระ ส่งเสียงเอะอะอึกทึก

เชียนโม่รู้สึกหนาว คิดจะไปปิดหน้าต่าง แต่ทำอย่างไรก็ลุกไม่ขึ้น

เสียงที่ดังอยู่ข้างหูดูชัดเจนมากขึ้น ดังหึ่งๆ เสียงนกร้องดังมาเข้าหูหลายคำ ไม่ใช่เสียงนกกระจอกที่ได้ยินอยู่เสมอ เสียงนกที่ร้องนี้ดังยาวกว่า ก้องและสูงกว่า แปลกหูกว่า…

เธอลืมตาขึ้น พอสัมผัสเข้ากับแสงสว่างก็รู้สึกปรับสายตาไม่ค่อยได้

ประสาทสัมผัสรอบตัวค่อยๆ ชัดเจนขึ้น

เธอนอนอยู่บนเตียงไม่ผิด ยังห่มผ้าห่ม มีความรู้สึกว่าพื้นโยกคลอนเล็กน้อย ยังมีเสียงน้ำ

ห้องโดยสารในเรือ?

เชียนโม่ขยับตัว พลันรู้สึกเจ็บที่แผ่นหลังอย่างรุนแรง เธอร้องโอยออกมาคำหนึ่งแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

“หากกว่าเหรินเป็นเจ้า จะนอนนิ่งๆ ไม่ขยับ” เสียงราบเรียบเสียงหนึ่งดังขึ้น

เชียนโม่ชะงักอึ้งไปชั่วขณะแล้วเอียงหน้าไป

ยังคงปรับสายตาให้เข้ากับแสงสว่างไม่ค่อยได้ เชียนโม่หรี่นัยน์ตาเล็กน้อย แล้วก็เห็นชายคนหนึ่ง เขาสวมเสื้อขาวหมวกดำนั่งอยู่ด้านข้าง มือหนึ่งถือแผ่นไม้ไผ่ มือหนึ่งถือพู่กัน คล้ายกำลังเขียนอักษร

เขาไม่ได้มองเชียนโม่ สนใจแต่สิ่งที่อยู่ในมือ

มองไปจากมุมที่เชียนโม่อยู่ เธอเห็นใบหน้าด้านข้างของเขาได้ชัดเจน แสงบางเบาส่องสะท้อนใบหน้า ขับเน้นให้เห็นขนคิ้วตรงหนาและดั้งจมูกที่โด่งเป็นสัน มีเชือกเล็กๆ เส้นหนึ่งเชื่อมติดกับหมวกและมีมุกประดับเม็ดหนึ่งอยู่ตรงหูของเขา ปลายเชือกมัดเป็นปมอย่างประณีตงดงามอยู่ตรงระหว่างขากรรไกรล่างและลำคอของเขา

เชียนโม่มองเขาแล้วก็รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก

 

ไม่มีใครพูดอะไร

ฉู่หวังเขียนเสร็จก็วางแผ่นไม้ไผ่และพู่กันลง แล้วจึงหันไปมองนาง

สตรีผู้นี้มองจ้องเขาเขม็ง ในดวงตาไม่มีแววหวาดกลัวแม้แต่น้อย

ฉู่หวังไม่ถือสา เอ่ยขึ้นช้าๆ “เจ้าคงจะแปลกใจ เพราะเหตุใดกว่าเหรินจึงไม่สังหารเจ้า”

เชียนโม่ไม่ตอบ

ฉู่หวังเอนพิงไปข้างหลัง เอามือวางลงบนโต๊ะ “พาเข้ามา”

ประตูไม้เปิดออก ซื่อเหรินพาคนผู้หนึ่งเข้ามาคุกเข่าหมอบลงเบื้องหน้าฉู่หวัง “ข้าน้อยกงหู คารวะต้าหวัง”

เชียนโม่มองเขา ในใจเริ่มหนักอึ้ง

ฉู่หวังเอ่ยขึ้น “เมื่อวานเรื่องเตาหลอมนั่น พูดมาเถิด”

กงหูรับคำ ชำเลืองมองเชียนโม่แวบหนึ่งแล้วว่า “เมื่อวานข้าน้อยอยู่ในโรงหลอม กำลังหลอมแร่ปรอท หญิงผู้นี้ก็เอาอาหารมาส่ง ท่าทางมีน้ำใจกระตือรือร้นยิ่ง ทั้งบอกว่าในโรงหลอมร้อนอบอ้าว เกลี้ยกล่อมพวกข้าน้อยให้ออกไปนอกโรงหลอม หลังจากนั้นเมื่อข้าน้อยกลับเข้ามาก็พบว่ากำมะถันกับดินประสิวในโรงหลอมหายไปจำนวนหนึ่ง”

ฉู่หวังเรียกราชองครักษ์มา เขาเอาบุ้งกี๋เล็กใบหนึ่งมาถวาย ในบุ้งกี๋มีสิ่งของบางอย่างคล้ายดิน

“กงหู” ฉู่หวังเอ่ยขึ้น “ตรวจสอบดูซิ ในดินนี่มีของที่หายไปของเจ้าอยู่หรือไม่”

กงหูรับคำ หยิบดินในบุ้งกี๋ขึ้นมาเอามือบี้แล้วดมดูก่อนจะเอ่ยขึ้น “ทูลต้าหวัง ในดินนี้มีกำมะถันกับดินประสิวอยู่พ่ะย่ะค่ะ!”

“ของสองสิ่งนี้โรงหลอมอื่นมีหรือไม่”

“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ” กงหูกล่าว “ในถงซานมีเพียงเตาหลอมที่ข้าน้อยควบคุมอยู่หลอมแร่ปรอท ของสองสิ่งนี้ราคาแพงมาก ต้องขอส่งมาโดยเฉพาะ หายากแทบจะไม่มีที่ไหน”

เชียนโม่นอนอยู่บนเตียง มองพวกเขาอย่างเฉยชา

คำพูดที่พวกเขาพูด เชียนโม่แม้จะฟังไม่เข้าใจทุกคำ แต่ก็พอรู้ความหมายคร่าวๆ

ละครเพลงนี้กำลังร้องเรื่องอะไร เธอรู้ดี เพียงแต่ในเมื่อเขารู้ความจริงแล้ว เพราะเหตุใดจึงไม่ลงโทษเธอทันที กลับไว้ชีวิต ทั้งยังให้หมอมารักษาเธอ

เชียนโม่นึกคำตอบออกในทันที

ฉู่หวังให้คนเหล่านั้นล่าถอยออกไปแล้วหันมามองเธอ

“เวลานี้ต้าหวังรู้ถึงความสามารถของข้าแล้ว ไม่กลัวข้าจะใช้พลังเทพและปีศาจทำให้ฟ้าร้องฟ้าผ่าลงมาอีกหรือ” เชียนโม่ไม่ยี่หระอะไรแล้ว ใช้ภาษาฉู่ที่ไม่ค่อยเคยคุ้นถามออกไป

ฉู่หวังกลับยิ้มอย่างไม่เห็นด้วย

“กว่าเหรินเองก็อยากเห็นฟ้าร้องฟ้าผ่า หากเจ้าคิดจะแก้แค้นหรือหนีไป ตอนนี้ก็ลองดูได้เลย” เขามองสบตาเธอ “กว่าเหรินเคารพเทพและปีศาจ แต่กลับไม่เชื่อถือสักเท่าใด โลกนี้มีสิ่งแปลกประหลาดมอมเมาผู้คนมากมาย กว่าเหรินไม่เคยเลอะเลือน”

น้ำเสียงของเขาไม่รีบไม่ร้อน “แรงงานหญิงโม่ กว่าเหรินเรียกกงหูมา ก็แค่ต้องการจะบอกเจ้า อย่าเห็นกว่าเหรินเป็นเด็กปั่นหัวเล่น”

เชียนโม่นิ่งเงียบ ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “ต้าหวังคิดจะทำเช่นใด สังหารข้าหรือ”

ฉู่หวังยิ้มหยัน

“ไม่ผิด กว่าเหรินอยากจะสังหารเจ้ายิ่งนัก” เขากล่าว “โรงหลอมในถงซานถูกทำลายไปเพราะเจ้าสามแห่ง รู้หรือไม่ว่าต้องใช้กำลังมากมายเท่าไรจึงจะชดเชยขึ้นมาใหม่ได้”

เชียนโม่เอ่ย “ข้ากับแรงงานทาสเหล่านั้นก็แค่ต้องการจะกลับบ้าน พวกเขาเดิมไร้ความผิด ต้องถูกจับตัวมาที่นี่ ถูกบังคับกดขี่ให้ทำงาน…”

“ไร้ความผิด?” ฉู่หวังเอ่ยแทรกขึ้น “เผ่าหยางเยวี่ยกับเผ่าซูฉวยโอกาสที่แคว้นฉู่อดอยากแห้งแล้ง ปล้นฆ่าเผาบ้านเรือน หากไม่เพราะเช่นนั้น คนแคว้นฉู่จะโจมตีกลับได้อย่างไร ชาวบ้านที่ถูกพวกเขาเข่นฆ่าสังหาร ใครบ้างไม่ใช่ผู้ไร้ความผิด ทหารที่เฝ้าเรือเหล่านั้น หรือล้วนเป็นคนไร้ญาติมิตร?”

เชียนโม่คิดจะโต้แย้ง แต่พลันนึกถึงซากศพที่เห็นเมื่อคืนเหล่านั้น บางคนศีรษะกับตัวอยู่คนละทาง แต่นัยน์ตายังคงเบิกถลน…

เธออยากจะบอกว่าไม่ใช่เช่นนั้น ใครหลายคนที่เธอรู้จักเช่นอาหมู่กับอาหลีล้วนจิตใจดีงามและใสซื่อ ไม่เคยข้องเกี่ยวกับการปล้นฆ่าเผาบ้านเรือน แต่ก็นึกถึงเมื่อก่อนตอนอ่านรายงานการขุดค้นพบต่างๆ ที่อยู่ในหนังสือของคุณปู่ ลำคอก็ตีบตันขึ้นมา สงครามแต่ไรมาก็ไม่เคยสนใจเรื่องจิตใจดีงามไม่ดีงาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสมัยนี้มีแต่คิดจะผนวกเอาดินแดนผู้อื่น สนใจแต่การช่วงชิงให้ทันกาล ไม่ใช่ข้ากลืนกินเจ้า ก็คือเจ้ากลืนกินข้า ไม่มีใครมีคุณธรรมอย่างแท้จริง

“แรงงานหญิงโม่ เจ้าอยากจะจากไปมากใช่หรือไม่” จู่ๆ ฉู่หวังก็เอ่ยขึ้น

เชียนโม่ในใจสั่นสะท้าน ช้อนตาขึ้นมองเขา เพียงเห็นเขาสีหน้าสงบนิ่ง มองสายสนกลในไม่ออก

หัวใจเต้นตึกตัก เธอตอบไปว่า “ใช่”

“เช่นนั้นกว่าเหรินจะยกทัพไปปราบแคว้นยง เจ้าต้องติดตามกว่าเหรินไปรักษาโรคระบาด”

เชียนโม่งงงัน

เธอคิดไม่ถึงว่าเงื่อนไขที่ฉู่หวังเสนอจะเป็นเรื่องนี้ ในใจรู้สึกผ่อนคลายลง แต่พร้อมกันนั้นก็เกิดความลังเลขึ้นมาหลายส่วน

แม้เธอจะเคยทำสำเร็จ แต่จะอย่างไรเธอก็ไม่ใช่หมอ ครั้งก่อนอาจเป็นเรื่องบังเอิญก็เป็นไปได้ ไหนเลยจะรับประกันได้ว่าจะได้ผลทุกครั้งไป

เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้ว เธอก็กัดๆ ริมฝีปาก “หากข้าไม่ไปเล่า จะเป็นอย่างไร”

“เจ้าต้องไปแน่” ฉู่หวังเอ่ยขึ้นช้าๆ “คนที่อยู่บนเรือลำเดียวกับเจ้ามีทั้งหมดสิบหกคน หากเจ้าฆ่าตัวตายหรือรักษาโรคระบาดให้หายไม่ได้ คนเหล่านี้ก็จะต้องตาย”

ลมหายใจของเชียนโม่พลันหยุดชะงัก

“คำพูดของต้าหวังน่าขัน” เชียนโม่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน “ชีวิตของผู้อื่นเกี่ยวอะไรกับข้า”

“ใช่ ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า” ฉู่หวังกล่าว “แต่เจ้าไม่รู้ว่าจะไปซูได้อย่างไร ถูกหรือไม่”

คำพูดประโยคเดียวตีเข้าที่กลางใจ เชียนโม่จ้องหน้าเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

ฉู่หวังไม่พูดอะไรให้มากความอีก มองนางอย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก

พริบตาที่เขากำลังจะก้าวเท้าออกจากห้อง เชียนโม่ก็รีบเอ่ย “ช้าก่อน!”

ฉู่หวังชะงักเท้า หันหน้ากลับมา

เชียนโม่มองเขา เอ่ยเสียงแหบแห้งทีละคำๆ “หากข้ารักษาหาย ต้าหวังต้องส่งตัวข้าและสิบหกคนที่อยู่ในเรือลำเดียวกันกลับซู”

ฉู่หวังแววตาลึกล้ำ

ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยขึ้น “ตกลง” แล้วเดินออกจากห้องไป

 

เรือใหญ่แล่นทวนน้ำ ไม่นับว่าเร็ว

หลังจากฉู่หวังออกไปแล้ว เชียนโม่ก็หลับตาลง แต่กลับไม่อาจหลับลงได้

เธอคิดไม่ถึงว่าระดับความสนใจที่ฉู่หวังมีต่อตนจะสูงถึงเพียงนี้ เขาเฉลียวฉลาดมาก สืบข่าวทั้งหมดหลังจากเธอมาถึงโลกแห่งนี้อย่างชัดเจน เขาทำการบ้านมาดีแล้วจึงมาเจรจาเงื่อนไขกับเธอ สายสนกลในทั้งหมดที่เธอมีล้วนเป็นเรื่องโปร่งใสในสายตาเขา

เธอไม่มีทางปฏิเสธ

เธอเคยมีความรู้สึกเช่นนั้นอยู่ครั้งสองครั้ง รู้สึกว่าตนไม่กลัวตาย ทว่าเวลานี้เธอกลัวขึ้นมาแล้ว

ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือก ระทดท้อสิ้นหวังอย่างที่สุด คนเราอาจโยนความหวาดกลัวทิ้ง เผชิญหน้ากับความตายอย่างไม่สะทกสะท้าน แต่ฉู่หวังหาได้ปิดตายเส้นทางทั้งหมด หากแต่เปิดเส้นทางหนึ่งให้เธอท่ามกลางความอับจน แม้จะเป็นเส้นทางที่เล็กและแคบ แต่ก็สว่างไสว คู่ควรแก่การลอง

เธอเชื่อเขาหรือ เชียนโม่ถามตัวเองอยู่ในใจ

เชียนโม่ครุ่นคิด รู้สึกว่าปัญหานี้ไม่มีคุณค่าพอที่จะมาถกเหตุผลอะไรแล้ว บาดแผลบนแผ่นหลังเตือนเธอถึงความรู้สึกของการมีชีวิตอยู่ตลอดเวลา ฉู่หวังพูดได้ถูกต้อง เธอไม่มีทางกลับไปซูได้ตามลำพังคนเดียว เธอไม่มีแผนที่ ไม่มีผู้นำทาง และไม่รู้ทิศทาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องภาษา ในยุคสมัยนี้รอบด้านมีแต่ทุ่งกว้างรกร้างป่าเถื่อน คนเช่นเธอจะเดินข้ามป่าเขาแม่น้ำไปตามลำพังคนเดียว ย่อมเป็นเรื่องล้อเล่นแน่นอน

เธอยังมีชีวิตอยู่ เธอไม่อยากตาย เธออยากกลับบ้าน เช่นนั้นทางเลือกเดียวของเธอก็คือยอมรับ

เชียนโม่มองเพดานเรือที่อยู่ด้านบน จิตใจที่สับสนว้าวุ่นค่อยๆ สงบนิ่งลงมา

ไม่ต้องกลัว ก็แค่เห็นแล้วน่ากลัวเท่านั้น…เสียงหนึ่งดังขึ้นมาในใจ สมัยเด็กเวลาเธอเห็นสัตว์ประหลาดรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวเหล่านั้น คุณปู่คุณย่าก็จะบอกเธอเช่นนี้

 

คงเพราะต้องการให้เชียนโม่หายไวๆ จะได้รีบมาทำงาน ฉู่หวังจึงส่งคนมาคอยดูแลเธอโดยเฉพาะ

คนผู้นี้เชียนโม่ไม่รู้สึกแปลกหน้า นางก็คือหญิงสูงวัยที่อยู่ในค่ายบัญชาการถงซานผู้นั้น นางเขียนหนังสือไม่ได้ เชียนโม่ได้แต่เรียกนางตามคนอื่นๆ ว่าซัง

ซังจะว่าแก่ก็ไม่แก่ อายุราวห้าสิบกว่า เส้นผมขาวไปครึ่งศีรษะ แต่แข็งแรงมาก กำลังวังชาเต็มเปี่ยม พอเอ่ยปากพูดทีก็พิรี้พิไรไม่จบไม่สิ้น อาการบาดเจ็บของเชียนโม่ความจริงไม่นับว่าหนักหนา ลูกศรที่ยิงมาในคืนวันนั้นกระทบถูกกราบเรือก่อนแล้วจึงกรีดลงมาบนแผ่นหลังของเธอเป็นแผล เชียนโม่ให้ซังทำมือเปรียบให้เธอดูถึงความยาวของบาดแผล รู้สึกว่าไม่นับว่าน่ากลัว เธอคิดว่าหัวลูกศรนั่นคงไม่สะอาด ถึงทำให้เธอติดเชื้อและมีไข้ ซังพอรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง รู้จักเอาสมุนไพรบางอย่างที่เรียกชื่อไม่ถูกมาตำแล้วพอกแผลที่หลังให้เชียนโม่ ยังต้มยาที่ไม่รู้ทำมาจากอะไร ทั้งดำทั้งขมให้เชียนโม่ ตอนเธอดื่มลงไปหัวคิ้วแทบจะผูกเป็นปม

คิดไม่ถึงว่ายานั่นจะได้ผลดียิ่ง หลังจากเชียนโม่นอนหลับไปตื่นหนึ่งไข้ก็ลดลง

บาดแผลของเธออยู่บนแผ่นหลัง มักปริแตกง่าย เชียนโม่ไม่อาจขยับตัวมาก จึงอยู่แต่ในห้องตลอด

แต่เธอก็ไม่ได้อยู่ว่าง

ประการแรก ภาษาฉู่ของเธอแม้จะกล้อมแกล้มถึงระดับสามารถเจรจาต่อรองกับฉู่หวังได้ แต่ยังคงเปลืองแรงมาก วันหน้าโอกาสที่จะสื่อสารกับคนอื่นก็มีแต่จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น เรียนรู้ให้มากอีกหน่อยไม่มีอะไรเสียหาย ประการที่สอง เธอรู้สึกว่าตนเองมีความเข้าใจยุคสมัยนี้ไม่มากพอ แม้เธอจะพอมีความรู้ด้านประวัติศาสตร์อยู่บ้าง แต่ก็กระจัดกระจายมากเกินไป จำเป็นต้องให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เฉพาะเจาะจงลงไปจึงจะมีประโยชน์

เสียดายที่ซังรู้อะไรไม่มากนัก เพียงบอกเชียนโม่ได้ว่าฉู่หวังมีนามว่าหลี่ว์ ทั้งนางก็ไม่อาจเขียนหนังสือมาสื่อสารแทนได้ เรื่องอื่นก็ได้แต่บ่นพึมพำพูดอะไรไม่ถูก

โชคดีที่ยังมีซื่อเหรินฉวี

เขามาเยี่ยมเชียนโม่อยู่เสมอ เป็นคนสุภาพอ่อนโยนและรู้หนังสือ

“พระนามหลังสิ้นพระชนม์ของอดีตหวัง” ซื่อเหรินฉวีมองตัวอักษรที่เธอใช้ถ่านไม้เขียนลงบนกระดาน แล้วกล่าวด้วยความแปลกใจ หญิงประหลาดผู้นี้ถามอะไรไม่ถาม มาถามพระนามในศาลบูชาของอดีตหวัง เขารู้สึกเหนือความคาดหมาย แต่ยังคงรับถ่านไม้มาแล้วเขียนตัวอักษร ‘มู่’ ลงไป

เชียนโม่มองตัวอักษรตัวนั้น ในใจดุจเมฆคล้อยเคลื่อนออกไปแลเห็นดวงอาทิตย์

ฉู่มู่หวัง

ในสมัยโบราณ เมื่อประมุขแห่งแว่นแคว้นสิ้นพระชนม์ลงจะได้รับการตั้งพระนามที่จะใช้ในศาลบูชา คนในยุคหลังก็จะเรียกพวกเขาด้วยพระนามในศาลบูชา แคว้นฉู่เริ่มจากอู่หวัง ไม่ใช้บรรดาศักดิ์ตามราชวงศ์โจวอีก หากแต่ตั้งตนขึ้นเป็นหวัง ประมุขแคว้นลำดับถัดมาล้วนมีพระนามในศาลบูชา เชียนโม่จำได้ ฉู่มู่หวังชื่อเสียงไม่ดีนัก เพราะเขาสังหารบิดาตัวเองเพื่อขึ้นเป็นหวัง และผู้เป็นประมุขต่อจากมู่หวัง ก็คือ…จวงหวัง

เชียนโม่ทึ่มทื่อ

ฉู่จวงหวังเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ต่อให้เป็นคนที่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ได้ไม่ดีก็ต้องรู้เรื่องของเขาสักเรื่องสองเรื่อง

ที่ชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันดีก็คือคำกล่าวแต่โบราณที่ว่า ‘ครั้นร้องผู้คนตกใจ’*

มีพระราชาหนุ่มคนหนึ่ง ทุกวันหมกมุ่นอยู่กับการเสพสุข ไม่ถามไถ่เรื่องบ้านเมือง วันหนึ่งขุนนางใหญ่คนหนึ่งถามเขาว่ามีนกใหญ่ตัวหนึ่ง สามปีไม่เคยขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ไม่บินไม่ส่งเสียงร้อง นี่คือนกอะไร พระราชาบอกว่านกใหญ่ตัวนี้ก็แค่ไม่บิน พอบินทีก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก็แค่ไม่ร้อง ร้องทีก็ทำให้คนตื่นตะลึง

วจนะนี้มีที่มาสองแห่ง อันแรกมาจากฉีเวยหวัง อีกอันก็คือฉู่จวงหวัง สมัยที่เชียนโม่ยังเด็ก คุณปู่เล่าให้เธอฟังเหมือนเล่านิทานเช่นนั้น เชียนโม่ยังจำได้ ในฉบับของฉู่จวงหวัง ขุนนางใหญ่ที่กล่าวตักเตือนผู้นั้นชื่อว่าอู่จวี่…

‘อู่ต้าฟูผู้นี้มีชื่อสกุลหรือไม่’

‘ไม่รู้ รู้เพียงผู้อื่นเรียกเขาว่าอู่ต้าฟู’

เชียนโม่พลันนึกถึงขุนนางใหญ่ข้างกายฉู่หวังผู้นั้น อดตะลึงงันไม่ได้

ซื่อเหรินฉวีเห็นนางสีหน้าแปลกประหลาดก็ลอบคิดว่าหญิงผู้นี้คงป่วยจนโง่งมไปแล้ว จึงส่ายหน้าแล้วเดินออกไป

ซังเดินเข้ามา คลำๆ หน้าผากนาง พูดจีลีกูลูอะไรมากมาย แล้วประคองเธอกลับไปนอนพักบนเตียง

เชียนโม่นอนคว่ำอยู่บนที่นอน ยังคงมีนิทานเหล่านั้นวนเวียนอยู่ในสมอง

เธอจำได้ว่าฉู่จวงหวังผู้นั้น ผลงานที่ทำให้คนสนใจที่สุดของเขาก็คือการปกครองบ้านเมืองและการทหาร เขาทำศึกตลอดชีวิต ต่อต้านแคว้นจิ้นที่อยู่ทางตอนเหนือ เป็นหนึ่งในห้าเจ้าผู้ครองแคว้นผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยชุนชิว* แต่เรื่องละเอียดกว่านี้เชียนโม่กลับจำไม่ได้แล้ว ในใจของเธออดนึกเสียดายไม่ได้ ปีนั้นตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย คุณปู่เคยถามเธอว่าจะเรียนประวัติศาสตร์หรือไม่ เดินตามเส้นทางการศึกษาวิจัยของท่าน แต่เชียนโม่รู้สึกว่าตนมีความสนใจไม่มากพอ สุดท้ายเมื่อดูคะแนนรวมและเป้าหมายในอนาคต เธอก็ตัดสินใจเลือกเรียนบัญชี

ฉู่จวงหวัง ฉู่จวงหวัง…เชียนโม่ท่องคำสามคำนี้ นึกถึงคำยกย่องสรรเสริญต่างๆ ในภายหลังว่าเขามุมานะบากบั่นต่อสู้เพื่อสร้างความเข้มแข็งเกรียงไกรยิ่งขึ้น มีสติปัญญาอันเฉียบแหลมและแผนการอันล้ำลึกพลางนึกถึงคนผู้นั้น แล้วก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจได้ คนที่เชี่ยวชาญการวางแผนในใจย่อมสามารถทำงานใหญ่ให้ประสบความสำเร็จได้ ข้อนี้เธอไม่มีอะไรต้องสงสัย ทว่าจะให้เธอแสดงท่าทียกย่องเขาเช่นที่เขียนไว้ในหนังสือเห็นจะยาก

* มาจากคำกล่าวเต็มว่า ‘ไม่ร้องก็ตามทำเนา ครั้นร้องผู้คนตกใจ’ อุปมาถึงคนที่ปกติใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายไม่พิสดาร แต่เมื่อใดที่เคลื่อนไหวขึ้นมาสามารถทำให้ผู้คนตกตะลึงได้

* ห้าเจ้าผู้ครองแคว้นผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยชุนชิว ได้แก่ ฉีเหิงกง ซ่งเซียงกง จิ้นเหวินกง ฉู่จวงหวัง และฉินมู่กง บางตำราก็กล่าวถึงอู๋หวังฟูไช อู๋หวังเหอหลีว์ และเยวี่ยหวังโกวเจี้ยน

‘คืนนี้เจ้ารั้งอยู่ที่นี่’ เสียงทุ้มต่ำในคืนวันนั้นของเขาคล้ายยังดังอยู่ข้างหู

เชียนโม่เหยียดมุมปาก คิดในใจ หากจะบอกว่าเขาเจ้าชู้รักความสำราญ กลับถูกต้องอย่างมาก!

 

หลังจากฉู่หวังออกไปแล้ว ก็ไม่ได้มาที่ห้องพักในเรือของเชียนโม่อีก

ผ่านไปสองวัน อาการบาดเจ็บของเชียนโม่ดีขึ้นมากแล้ว เธอรู้สึกว่าตนอยู่แต่ในห้องพักจนตัวแทบจะขึ้นราแล้ว จึงบอกซังว่าเธออยากออกไปเดินเล่น ซังดูบาดแผลของเธอแล้วก็ไม่ได้คัดค้าน หยิบเสื้อผ้ามาชุดหนึ่งให้เธอสวมใส่

เสื้อผ้าในยุคสมัยนี้ทั้งกว้างทั้งยาว ชายเสื้อต้องพันรอบตัวสองทบ แทบจะระพื้น ทำอย่างไรเชียนโม่ก็ไม่ค่อยเคยชิน ตอนเดินออกจากประตูห้องที่ต่ำเตี้ยก็ให้รู้สึกพันมือพันเท้าไปหมด เมื่อออกจากห้องพัก ลมแม่น้ำก็พัดโชยมา ชายเสื้อของเธอปลิวสะบัดขึ้น ปานประหนึ่งว่าวที่พร้อมจะลอยขึ้นทุกเมื่อ

เชียนโม่เคยเห็นเรือยนต์ขนาดใหญ่ในสมัยปัจจุบันมาแล้ว เรือลำนี้ในสายตาของเธอไม่นับว่าใหญ่มาก เธอเดินไปที่ข้างกราบเรือ เงยหน้ามองไป เพียงเห็นเนินเขาทอดยาวสูงๆ ต่ำๆ ติดกันเป็นลูกคลื่น ป่าไม้เขียวชอุ่ม ความรู้ด้านภูมิศาสตร์ของเชียนโม่ไม่นับว่าแย่ ความรู้สึกในการแยกแยะทิศทางก็ไม่เลว หลังออกจากถงซานมา เรือก็น่าจะแล่นมาตามแม่น้ำฉางเจียงไปทางตะวันตก ตอนนี้มาถึงไหนแล้ว

“ซย่า” ซังบอกเธอ

เชียนโม่งุนงง คิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอจำไม่ได้ว่ามีชื่อสถานที่เช่นนี้

ขณะกำลังเบิ่งตามองอยู่นั้นพลันมีเสียงพูดคุยดังมาจากด้านหลัง เธอหันหน้าไป พอเห็นเป็นฉู่หวังก็ตะลึงงัน

เขาสวมชุดปกติธรรมดา ดูอ่อนโยนน่าใกล้ชิดขึ้นบ้าง แต่ยังคงมีกลิ่นอายน่าเกรงขามแผ่ออกมา

ดวงตาทั้งสี่สบประสานกัน เชียนโม่มองเขา ยามกะทันหันไม่รู้ควรทำเช่นใด

“รีบทำความเคารพ!” ซังรีบดึงเสื้อเธอแล้วเอ่ยเสียงต่ำ

เชียนโม่ได้สติ ทำตามอย่างซัง ก้มหน้าคุกเข่าลง

“ไม่ต้องแล้ว” ฉู่หวังสีหน้าราบเรียบ มองเชียนโม่แวบหนึ่ง “อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง”

เชียนโม่คุกเข่าลงไปได้ครึ่งหนึ่ง จำต้องยืดตัวกลับ “ไม่เป็นไรมากแล้วเพคะ”

“เดิมทีก็ไม่เป็นไรมากอยู่แล้ว” ฉู่หวังกล่าวต่อ “อีกไม่กี่วันเมื่อถึงนครอิ่งตูแล้วก็จะต้องกรีธาทัพ เดินทางไหวหรือไม่”

เชียนโม่แอบค้อนอยู่ในใจ

“ไหวเพคะ”

ฉู่หวังส่งเสียงอืมออกมาคำหนึ่ง

เชียนโม่ยืนก้มหน้าอยู่ครู่หนึ่ง พบว่าฉู่หวังไม่มีทีท่าว่าจะพูดต่อไปอีก แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเดินจากไปเช่นกัน

เธอช้อนตาขึ้นเล็กน้อย พบว่าเขาก็เอามือจับกราบเรือมองทิวทัศน์อยู่ ไม่ต่างอะไรกับท่าทางเมื่อครู่ของเธอ

เชียนโม่รู้สึกอึดอัดใจ สภาพการณ์ในตอนนี้นับว่าอย่างไร เธอก็อยากชมทิวทัศน์เช่นกัน เขายืนอยู่ตรงนี้ เธอจะดูได้อย่างไร หรือจะให้เธอยืนก้มหน้าอยู่ข้างๆ เช่นนี้ไปตลอด

เชียนโม่ชำเลืองไปทางซัง กลับเห็นนางยืนอย่างสงบนิ่ง คล้ายเคยชินแล้ว เชียนโม่ย่นหัวคิ้ว เธอไม่อยากยืนคอยปรนนิบัติฉู่หวังเหมือนสาวใช้คนหนึ่ง หาไม่ก็หาข้ออ้างอะไรสักอย่างแล้วไปจากที่นี่เสียก็แล้วกัน…

“ยืนอยู่ทำไม เจ้าไม่ใช่จะออกมาชมทิวทัศน์หรือ” ฉู่หวังพลันเอ่ยขึ้น

เชียนโม่ต้องล้มเลิกความคิด มองเขาแล้วก็จำต้องเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างๆ เขา

 

มีคนบอกว่าเที่ยวสนุกหรือไม่ สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ไปเที่ยวที่ไหน หากแต่อยู่ที่ไปเที่ยวกับใครต่างหาก เชียนโม่รู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้ถูกต้องที่สุด

ก็เหมือนกับตอนนี้

ก่อนหน้านี้เธอชมทิวทัศน์ นั่นก็คือชมทิวทัศน์ แต่หลังจากข้างกายมีฉู่หวังเพิ่มมาคน ชมทิวทัศน์ก็กลายเป็นเรื่องแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง ภูเขาท้องทุ่งเขียวขจี ทัศนียภาพดั้งเดิมที่ในสมัยปัจจุบันจะได้เห็นก็แต่ในภาพยนตร์สารคดีเท่านั้นระผ่านหน้าไปไม่รู้เท่าไร เชียนโม่กลับไม่อาจตั้งอกตั้งใจชื่นชม เพราะเธอไม่อาจมองข้ามการดำรงอยู่ของคนข้างๆ ผู้นี้ได้

“ซื่อเหรินฉวีบอกว่าเจ้าถือกำเนิดจากสกุลสายหลิน” ฉู่หวังถาม

เชียนโม่เข้าใจความหมายของเขา ที่เขาถามคือซื่อ จุดประสงค์ก็เพื่อจะยืนยันภูมิหลังของเธอ

“ไม่ ข้าสกุลต้นหลิน” เชียนโม่บอกตรงไปตรงมา

ฉู่หวังงุนงง “ใต้หล้าไม่มีสกุลต้นหลิน”

“มี ข้าสกุลต้นหลิน”

ฉู่หวังเห็นนางสีหน้าเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ออกจะจนคำพูด

“แรงงานหญิงโม่” เสี่ยวเฉินฝูเอ่ย “เจ้าคงรู้ความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูงกระมัง”

เชียนโม่มองเขาแล้วว่า “นี่เป็นความจริง ใต้หล้ากว้างใหญ่เพียงนี้ รู้ได้อย่างไรว่าไม่มีสกุลต้นหลิน”

เสี่ยวเฉินฝูคิดไม่ถึงว่านางจะกล้าโต้แย้ง ขณะจะตำหนิตักเตือน ฉู่หวังกลับโบกมือให้เขาล่าถอยไป

ฉู่หวังถูกกระตุ้นให้เกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา คิดจะถามให้ถึงที่สุด “แรงงานหญิงโม่ เจ้าเขียนหนังสือได้ใช่หรือไม่”

“ใช่เพคะ”

“ที่เจ้าเขียนคือตัวอักษรฉู่” ฉู่หวังกล่าวอย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง “เจ้าบอกข้าซิ ใครสอนอักษรฉู่ให้เจ้า”

“ปู่ของข้า”

“เขาเป็นคนฉู่?”

เชียนโม่นิ่งคิด “นับว่าใช่”

“คนฉู่สอนอักษรฉู่ให้เจ้า แต่กลับไม่สอนภาษาฉู่”

เชียนโม่ยิ้มเหย “เพคะ”

ฉู่หวังคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แววตาขบคิด เขาให้คนเอาพู่กัน หมึก และแผ่นไม้ไผ่มายื่นให้เชียนโม่ “เขียนชื่อสกุลเจ้าลงไป”

เชียนโม่งงงัน รับเอามาแล้วทำตามที่เขาบอก เธอเคยฝึกเขียนพู่กันจีน แม้พู่กันในยุคสมัยนี้เธอจะใช้ได้ไม่ชินมือนัก แต่โดยรวมแล้วก็ไม่มีปัญหา

ฉู่หวังมองตัวอักษรสวยงามบนแผ่นไม้ “หลิน…” เขาอ่านแล้วย่นหัวคิ้ว “ข้างหลังคืออะไร ตัวอักษรของชนเผ่าป่าเถื่อนไร้อารยธรรมหรือ”

เชียนโม่มองสีหน้าของเขา ผ่านไปครู่หนึ่งก็พลันตระหนักขึ้นมา

คุณปู่เคยบอกว่าชื่อของเธอพบครั้งแรกในหนังสือประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่น แต่ยุคนี้อยู่ก่อนราชวงศ์ฮั่นนานมาก เกรงว่าเขาคงไม่รู้จักตัวอักษรนี้

ใต้ไปเหนือคือเชียน ตะวันออกไปตะวันตกคือโม่*

เชียนโม่เขียนคำว่า ‘หลิน’ ใหม่อีกครั้ง แล้วขีดเส้นตั้งไว้ข้างๆ เส้นหนึ่ง แล้วออกเสียง “เชียน” แล้วขีดเส้นขวางอีกเส้นหนึ่ง ออกเสียง “โม่”

เธอมองฉู่หวัง ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ชี้ไปที่ตัวอักษรบนแผ่นไม้ไผ่แล้วบอก “หลินเชียนโม่”

ฉู่หวังมองดวงตาสุกใสแวววาวของเชียนโม่ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก

ไม่นานเขาก็หมุนตัว เอาแผ่นไม้ไผ่ส่งให้เสี่ยวเฉินฝู “มีลมแล้ว สงสัยเดี๋ยวฝนคงตก ให้คนเรือเร่งเตรียมการ หาที่คลื่นลมสงบหลบฝน”

เสี่ยวเฉินฝูรับคำแล้วรีบไปถ่ายทอดคำสั่ง

เชียนโม่ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ไม่ผิดจากที่คาด เมฆดำทะมึนหลายกลุ่มกำลังรวมตัวกันอยู่เหนือศีรษะ อากาศกำลังจะเปลี่ยนแปลงแล้ว

ลมพัดพากลิ่นอายของน้ำฝนมาด้วยและพัดแรงขึ้นทุกที เชียนโม่กำลังคิดจะเดินกลับเข้าห้องพักในเรือ แต่แล้วจู่ๆ กลับถูกภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปดึงดูดสายตาเอาไว้ ภูเขาลูกนั้นไม่สูงมาก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ รูปร่างลักษณะค่อนข้างคุ้นตา คล้าย…

เชียนโม่สะท้านวาบขึ้นในใจ รีบมองอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ

มีภูเขาอีกลูกหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น คล้ายเฝ้ามองกันอยู่ไกลๆ แม้ไม่มีตึกสูงอยู่เคียงข้าง แต่รูปทรงที่ปกติเคยคุ้นหูคุ้นตา คล้ายนับแต่โบราณมาก็ไม่เคยเปลี่ยน

เชียนโม่มองเหม่อ หัวใจเต้นตึกๆ อย่างรุนแรง เรือแล่นปะทะลมผ่านหน้าภูเขาทั้งสองลูก เชียนโม่รู้แน่ชัด ตรงตำแหน่งนี้คือสะพานใหญ่สะพานหนึ่ง

“หญิงผู้นั้นกำลังทำอะไร” เม็ดฝนโตเท่าเม็ดถั่วโปรยลงมา ผู้คนต่างหาที่หลบ กลับเห็นเชียนโม่ยังคงยืนอยู่ที่หัวเรือ ไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย

ฉู่หวังได้ยินเข้าก็หันไปมอง ร้องเรียกออกไปคำหนึ่ง “แรงงานหญิงโม่!”

เชียนโม่กลับคล้ายไม่ได้ยินเช่นนั้น ยังคงยืนอยู่ที่นั่น

ลมพัดกระโชกแรงขึ้นทุกที ในแม่น้ำเริ่มมีคลื่นลม เรือลำใหญ่เริ่มโคลงเคลง เชียนโม่ยืนไม่มั่น แทบจะร่วงตกลงไป ดีที่ถูกฉู่หวังซึ่งเร่งรุดมาพุ่งกระโจนเข้าคว้าตัวจนล้มลงกับพื้นเรือไปด้วยกัน

“ไม่ต้องการชีวิตแล้ว อยากตายหรือ!” ฉู่หวังลุกขึ้นมานั่ง ตวาดด้วยความโมโห แต่ยังพูดไม่ทันจบก็พบว่าเชียนโม่กำลังร้องไห้เสียงแผ่วต่ำ คล้ายเด็กที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างที่สุดคนหนึ่ง บนใบหน้าแยกไม่ออกว่าเป็นน้ำฝนหรือหยาดน้ำตา

ฉู่หวังอึ้งตะลึง

“ต้าหวัง!” เหล่าผู้ติดตามเอาเสื้อหญ้ากันฝนและหมวกไม้ไผ่เร่งรุดมา ช่วยบังน้ำฝนให้เขา

ซังพยุงเชียนโม่ลุกขึ้นมา คิดจะดึงนางกลับไป กลับได้ยินฉู่หวังเอ่ยขึ้น “นางเดินไม่ไหว”

ซังงงงัน แล้วก็เห็นฉู่หวังลุกขึ้น ยื่นแขนออกไปอุ้มเชียนโม่ขึ้นมาแล้วเดินไปที่ห้องพักในเรือ

* เชียนโม่ แปลว่าทางสายเล็กที่ตัดสลับไปมาในทุ่งนา เชียนคือทางสายเล็กที่ตัดจากทิศใต้ไปทิศเหนือ โม่คือทางสายเล็กที่ตัดจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก

กลายเป็นเหตุการณ์ให้ตื่นตระหนกตกใจ ทุกคนมองฉู่หวังอุ้มหญิงแปลกประหลาดผู้นั้นเข้าไปในห้อง แล้วพากันวิพากษ์วิจารณ์

“เมื่อครู่นางทำอะไร โรคร้ายกำเริบอย่างฉับพลันหรือ”

“ไม่รู้เหมือนกัน คล้ายโรคร้ายกำเริบอย่างฉับพลัน”

“คนประหลาด…”

ตอนฉู่หวังวางร่างนางลงไปก็พบว่าที่แผ่นหลังของนางมีสีแดงจางๆ ซึมออกมาวงใหญ่

เขาขมวดหัวคิ้ว รีบเรียกซังมา แล้วมองเชียนโม่อีกครั้ง นางยังคงร้องไห้ ขดตัวอยู่เช่นนั้นไม่ขยับ

ในใจแม้จะสงสัยและร้อนใจ แต่ฉู่หวังก็ไม่ได้รั้งอยู่นาน กำชับซังให้ดูแลให้ดีแล้วหมุนตัวเดินออกไป

ซังไม่กล้าชักช้า หยิบเสื้อแห้งมาเปลี่ยนให้เชียนโม่ด้วยมือไม้คล่องแคล่วว่องไว แล้วตำยาสมุนไพรมาพอกให้นางพลางบ่นว่าไม่หยุดปาก “บอกเจ้าแล้วว่าอย่าเที่ยวขยับตัวส่งเดช แล้วนี่อะไร…จุ แผลปริแตกขนาดนี้ คืนนี้ถ้าจับไข้ล่ะก็ เจ้าได้ลำบากแน่!”

เชียนโม่ไม่ได้พูด ปล่อยให้นางจัดการ

 

กระบวนความคิดของเชียนโม่ยังคงหยุดนิ่งอยู่ที่ภูเขาและทุ่งกว้างแห่งนั้น รกร้างว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด ทว่าในสมองกลับมีความทรงจำอีกแบบหนึ่งทับซ้อนลงไป ในหนองน้ำที่มีพืชขึ้นปกคลุมหนาด้านหลังภูเขากุยซานนั่น คล้ายมีถนนหนทางที่เธอคุ้นเคยซ่อนตัวอยู่ ยังมีบ้านของเธอ…

เชียนโม่เช็ดน้ำตาบนใบหน้า มีเพียงความชื้นบนฝ่ามือที่ทำให้เธอรับรู้ถึงความเป็นจริงขึ้นมาบ้าง

สิ่งของยังอยู่คงเดิม แต่คนเปลี่ยนไปแล้ว

แม้ตอนที่อยู่ถงซานเธอก็เคยมีความรู้สึกเช่นนี้ แต่จะอย่างไรนั่นก็เป็นเพียงสถานที่ที่เธอเคยไปเท่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยใด เธอก็เป็นเพียงแขก ทว่าเมืองแห่งนั้นเป็นบ้านของเธอ เธอเคยเห็นสภาพความเจริญรุ่งเรืองของสถานที่แห่งนั้น ที่นั่นมีผู้คนที่เธอรักใคร่สนิทสนมคุ้นเคย มีทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ

แต่อยู่ที่นี่ สิ่งต่างๆ เหล่านั้นล้วนไม่มีอยู่ ในโลกของเธอ เหลือเพียงตัวเธอคนเดียวเท่านั้น

“…เพิ่งจะดีขึ้นหน่อยก็ไม่รู้จักระมัดระวัง หากไม่ใช่ต้าหวังช่วยเจ้า ก็คงเอาชีวิตมาทิ้งในแม่น้ำเปล่าๆ กระทั่งศพก็ยังหาไม่เจอ” ซังบ่นว่าไม่เลิก ในที่สุดก็พอกยาให้เชียนโม่เสร็จ ไม่นานประตูห้องพักก็เปิดออก เห็นฉู่หวังเดินเข้ามา

ซังรีบก้มลงหมอบกราบกับพื้น

“เป็นอย่างไร” ฉู่หวังเอ่ยถาม

“ทูลต้าหวัง แรงงานหญิงโม่ไม่เป็นอะไรมากเพคะ” ซังตอบ

ฉู่หวังส่งเสียงรับรู้คำหนึ่ง มองเชียนโม่ที่นั่งหลุบตาอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “กว่าเหรินจำได้ว่าเราเคยพูดกันแล้ว เจ้าต้องตามไปออกศึก ไม่อาจฆ่าตัวตายหรือหลบหนี…”

“ข้าจะไม่ทำอีก” เชียนโม่ตัดบทขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

ฉู่หวังชะงักอึ้ง แต่กลับเห็นเชียนโม่เงยหน้าขึ้นมองเขา ใบหน้าไม่มีแววเลอะเลือนอีก

“เมื่อครู่เป็นเรื่องไม่คาดคิด ต่อไปข้าจะไม่ทำอีก และจะไม่ทำอะไรเหลวไหล ต้าหวังวางพระทัยได้” เชียนโม่พูดจบก็ลงไปหมอบกราบเขาเป็นครั้งแรกพลางเอ่ยเสียงต่ำ “เมื่อเรื่องออกศึกเสร็จสิ้นแล้ว ต้าหวังได้โปรดรักษาสัญญา ปล่อยตัวข้ากลับซู”

ฉู่หวังไม่ได้คาดคิดว่าเชียนโม่จะเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา ท่าทีเต็มไปด้วยความจริงใจจนหาข้อพิรุธไม่พบ ในเวลาอันสั้นทำเอาเขาไม่รู้ควรตอบเช่นไรดี

เขาจ้องมองเชียนโม่ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าจดจำคำพูดนี้ไว้ให้ดี” พูดจบก็เดินออกไป

 

เชียนโม่พูดไปแล้วย่อมต้องทำ วันเวลาต่อจากนั้นเธอให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ซังให้เธอทำอะไรเธอก็ทำ แม้แต่ยาน้ำที่กลิ่นไม่ชวนดมเหล่านั้น เธอก็ดื่มลงไปโดยไม่แม้แต่จะย่นหัวคิ้ว

ตอนเชียนโม่เดินออกจากประตูห้องพักอีกครั้งก็เป็นอีกสามวันให้หลัง เธอยืนอยู่ที่กราบเรือมองไปรอบๆ แล้วก็ต้องตื่นตะลึงเมื่อพบว่าที่นี่ไม่มีรูปร่างลักษณะของแม่น้ำฉางเจียงให้เห็นแล้ว สายน้ำกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ขบวนเรือคล้ายแล่นอยู่ในท้องทะเลเช่นนั้น แต่เชียนโม่รู้ ตามทิศทางแล้วเป็นไปไม่ได้ที่ที่นี่จะเป็นทะเล เช่นนั้น…เป็นทะเลสาบหรือ เชียนโม่รู้สึกคลับคล้ายคลับคลา เธอจำได้ว่าทะเลสาบผอหยางอยู่ทางตะวันออก ส่วนทะเลสาบต้งถิง…ยังอีกไกลโขนี่นา…

ไม่นานนักตัวอักษรไม่กี่ตัวนี้ก็ผุดขึ้นมาในสมองของเชียนโม่ ‘หนองน้ำใหญ่อวิ๋นเมิ่ง’

อวิ๋นเมิ่งเป็นสถานที่ล่าสัตว์ของเจ้าผู้ครองแคว้นฉู่ในสมัยโบราณ พื้นที่กว้างนับพันลี้ และในสถานที่แห่งนี้มีที่ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปก็คือหนองน้ำอวิ๋นเมิ่ง หนองน้ำแห่งนี้ประกอบขึ้นด้วยทะเลสาบและพื้นที่ชื้นแฉะจำนวนนับไม่ถ้วน เคยพาดผ่านที่ราบเจียงฮั่น* มีชื่อเสียงดีงามมากมายในประวัติศาสตร์ ต่อมาภายหลัง เนื่องจากดินเลนและทรายในแม่น้ำฉางเจียงตกตะกอนทับถม หนองน้ำอวิ๋นเมิ่งจึงค่อยๆ แยกออกจากกันและหดเล็กลง มาถึงสมัยปัจจุบันนี้อวิ๋นเมิ่งที่ผู้คนพูดถึงก็เหลือเพียงทะเลสาบต้งถิงแล้ว

เชียนโม่เบิ่งตามองน่านน้ำแห่งนี้ อาทิตย์ยามสายัณห์ส่องสะท้อนผิวน้ำ ทิ้งเงากลับหัวสีแดงอมส้มเอาไว้ ปุยเมฆลอยละล่องทั่วท้องฟ้า นกน้ำบินกลับรังในตอนค่ำเป็นฝูงๆ ยามบินผ่านเหนือศีรษะ ปิดฟ้าบังตะวัน ดูยิ่งใหญ่และสวยงาม เมื่อมองย้อนกลับไป หมอกคลื่นกว้างไพศาล บ้านเกิดของเธอก็เป็นส่วนหนึ่งของหนองน้ำใหญ่แห่งนี้ แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว

“ทูตจากแคว้นฉินและแคว้นปาเดินทางมาถึงนครอิ่งตู อู่ต้าฟูได้ต้อนรับพวกเขาที่วังหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อีกด้านหนึ่งของเรือ ผู้ส่งข่าวที่นั่งเรือมาจากนครอิ่งตูทูลรายงานฉู่หวัง

ฉู่หวังขานรับคำหนึ่ง ดึงสายตากลับมาจากทางหัวเรือ “ทูตจากแคว้นฉินคือใคร”

“ทูลต้าหวัง คือกงซุนหรง”

“อ้อ” ดวงตาของฉู่หวังสาดประกายเล็กน้อย

กงซุนหรงเป็นบุตรชายคนโตของไท่จื่อ*แห่งแคว้นฉิน ฐานะไม่ธรรมดา แคว้นฉู่เพิ่งผ่านความอดอยากแห้งแล้ง กำลังทหารอ่อนแอ คิดจะทำศึกกับชนเผ่าหรงอี๋ที่อยู่รอบด้าน วิธีที่เหนื่อยน้อยแต่ได้ผลมากคือขอความช่วยเหลือ ครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ฉู่หวังได้แยกส่งทูตไปยังแคว้นปาที่อยู่ทางตะวันตกและแคว้นฉินที่อยู่ทางเหนือ เพื่อหวังจะเป็นพันธมิตรกัน ทั้งสองแคว้นต่างตอบรับ ทั้งทูตที่แคว้นฉินส่งมายังเป็นกงซุนหรง เห็นชัดว่าฉินป๋อเจ้าผู้ครองแคว้นฉินให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เพียงใด

ผู้ส่งข่าวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วว่า “ต้าหวัง ฟูเหริน** ให้กระหม่อมทูลต้าหวัง แคว้นไช่ก็ส่งต้าฟูมาพ่ะย่ะค่ะ”

* ที่ราบเจียงฮั่น อยู่ช่วงตอนกลางของแม่น้ำฉางเจียง ในมณฑลหูเป่ย

* ไท่จื่อ หมายถึงรัชทายาท

** ฟูเหริน (ฮูหยิน) ในสมัยชุนชิวหมายถึงภรรยาเอกของเจ้าผู้ครองแคว้น เทียบเท่ากับตำแหน่งชายาเอก เนื่องจากเป็นเพียงนครรัฐ จึงไม่มีตำแหน่งไทเฮาและฮองเฮา

ฉู่หวังได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าไร้แววกระเพื่อมไหว

“รู้แล้ว” เขาเอ่ยเสียงเรียบ พูดจบก็ลุกขึ้นยืน เหลียวมองผิวน้ำรอบด้านและขบวนเรือ ลมพัดโชยอยู่เหนือผิวน้ำ ระลอกคลื่นพลิ้วไหว ฉู่หวังยืนกุมกระบี่หันหน้ารับแสงอาทิตย์ยามเย็น ดวงหน้าที่หนุ่มแน่นเต็มไปด้วยความเร่าร้อนฮึกเหิม

“ต้าหวัง” ราชองครักษ์เดินเข้ามาถาม “คืนนี้เข้าฝั่งพักค้างแรมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ฉู่หวังมองเขาแวบหนึ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งกลับหันไปทางนายเรือที่กำลังมองสังเกตการณ์อยู่

“เอ้อโม่!” เขาเรียกเสียงสูงด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ใกล้ค่ำแล้ว ต้องเข้าฝั่งหลบสักหน่อยหรือไม่”

นายเรือและคนเรือทั้งหลายฟังคำพูดนี้แล้วต่างหัวเราะครืนใหญ่

“ต้าหวังโปรดอย่าหัวเราะเยาะ! พวกกระหม่อมก็คือจระเข้ใหญ่งูยาวในหนองน้ำแห่งนี้ ยังต้องหลบใครอีก” นายเรือกล่าวเสียงดัง

ฉู่หวังหัวเราะแล้วหันมากล่าวกับราชองครักษ์ “ไม่ต้องพักค้างแรม เดินทางต่อไปนครอิ่งตูในคืนนี้เลย!”

 

แสงอาทิตย์ลำสุดท้ายที่เหลืออยู่ถูกก้อนเมฆที่สุดขอบฟ้ากลืนหายไป ความมืดโรยตัวลงมา ผิวน้ำในหนองน้ำอวิ๋นเมิ่งกลับยังไม่สงบนิ่ง คบไฟส่องสว่างทั้งสี่ด้านของขบวนเรือ ประหนึ่งมังกรตัวยาวที่กำลังโลดแล่นอยู่ในแม่น้ำ ทะลวงผ่านความมืดมิด มุ่งหน้าไปทางตะวันตก

เชียนโม่เคยชินกับวันเวลาที่อยู่บนเรือแล้ว เธอฟังเสียงคลื่นในแม่น้ำตอนเข้านอน หลับสบายทั้งคืน

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เธอถูกเสียงอะไรบางอย่างทำให้ตกใจตื่น เสียงนั้นยาวและสูงแหลม คล้ายมีคนกำลังร้องตะโกน เชียนโม่รู้สึกแปลกใจจึงเดินออกจากห้องพักมาดู เพียงเห็นแสงอรุโณทัยยังไม่จับขอบฟ้า ในแม่น้ำมีไอหมอกแผ่คลุม คนเรือทั้งหลายร้องตะโกนอยู่ที่หัวเรือคล้ายกำลังส่งสัญญาณ และก็มีเสียงคนตอบกลับมาจากที่ไกล ไม่รู้ว่าเป็นใคร

ขณะที่เธอกำลังประหลาดใจอยู่นั้นก็เห็นลมพัดม้วนไอหมอก ไม่นานก็ปรากฏเงาดำตะคุ่มๆ ติดกันเป็นแพขึ้นในที่ห่างออกไปไม่ไกล รอจนเห็นชัดถึงรู้ว่าเป็นเรือจำนวนมาก จอดเรียงกันเป็นแถวเป็นแนวอยู่สองฟากฝั่ง บนเรือมีทหารสวมชุดเกราะยืนเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ดูองอาจผึ่งผายเปี่ยมอานุภาพ

เรือของฉู่หวังแล่นไปข้างหน้าช้าๆ เสียงเป่าเขาสัญญาณและเสียงร้องตะโกนคล้ายเป็นการแสดงความเคารพ น่าตื่นตะลึงยิ่ง

เชียนโม่ไม่เคยเห็นฉากแบบนี้มาก่อน อดตื่นตาตื่นใจไม่ได้ สายตามองไปที่ชุดเกราะและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ของทหารเหล่านั้นด้วยความเพลิดเพลิน เพียงรู้สึกดูเท่าไรก็ไม่พอ

“ถึงแล้ว” ซังกล่าว

เชียนโม่มองไปข้างหน้า ไม่ผิดจากที่คาด ฝั่งแม่น้ำอยู่เบื้องหน้านี้แล้ว และในที่ไกลออกไปกว่านั้น กำแพงเมืองสูงใหญ่เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่อยู่ท่ามกลางไอหมอก เพียงเห็นแค่มุมเดียว

…นครอิ่งตู

เชียนโม่แหงนหน้าน้อยๆ สายตามองจับนิ่ง

 

อิ่งตูคือเมืองหลวงของแคว้นฉู่ แต่สร้างขึ้นมาเมื่อใดนั้นกลับมีคำพูดที่แตกต่างกันไป และดูเหมือนคนแคว้นฉู่จะชอบเรียกสถานที่ที่เป็นเมืองหลวงว่าอิ่งตูทุกแห่ง ด้วยเหตุนี้สถานที่ตั้งของนครอิ่งตูจึงเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ อิ่งตูที่เหลืออยู่ในสมัยปัจจุบันมีแต่ซากปรักหักพัง เชียนโม่ไม่เคยไป ได้ยินคุณปู่บอกว่าที่นั่นเหลือเพียงกำแพงเมืองกับซากอาคารบ้านเรือนเล็กน้อย

ฉู่หวังเสด็จกลับมา มีคนมารอต้อนรับมากมาย ทอดสายตามองไป เสื้อผ้าสีสันสวยงาม หมวกรัดเกล้ามากมายตระการตา

ซือหม่าโต้วเจียวอายุสี่สิบกว่า รูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางน่าเกรงขามมีสง่าน่าเลื่อมใส ฉู่หวังลงจากเรือขึ้นฝั่ง ซือหม่าโต้วเจียวเดินนำหน้าเข้ามาพาทุกคนกราบถวายบังคมฉู่หวังด้วยเสียงก้องกังวาน “ถวายบังคมต้าหวัง”

“ซือหม่า” ฉู่หวังยิ้ม รับการคารวะ เขามองไปที่ฝูงคน “ลิ่งอิ่นอยู่ที่ใด”

“ทูลต้าหวัง ท่านพ่อไม่สบาย มารอต้อนรับไม่ไหว ให้กระหม่อมมาขออภัยโทษ” โต้วเค่อหวงบุตรชายของลิ่งอิ่นโต้วปันถวายบังคมฉู่หวังแล้วกราบทูล

“อ้อ” ฉู่หวังเอ่ยถาม “ไม่รู้อาการป่วยเป็นอย่างไรบ้าง”

“ท่านพ่อเจ็บที่เท้า เดินเหินไม่สะดวก ร่างกายส่วนอื่นไม่มีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ” โต้วเค่อหวงกล่าว

ฉู่หวังพยักหน้า

ทักทายตามมารยาทแล้ว ฉู่หวังก็ขึ้นรถม้า มีผู้ติดตามล้อมหน้าล้อมหลังเข้าไปในเมือง เชียนโม่กับซังเดินไปกับกลุ่มผู้ติดตาม เห็นรถม้าของฉู่หวังกลืนหายไปในหมู่ผู้คน คาดเดาว่าตนคงต้องเดินไปตลอดทางแล้ว

ทว่าไม่นานนักซื่อเหรินผู้หนึ่งก็เดินมา บอกว่าฉู่หวังมีบัญชาให้เชียนโม่ขึ้นรถ

เชียนโม่งงงัน คนรอบข้างต่างมองมาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น

“นั่นเป็นนางในคนใหม่ของต้าหวังหรือ” ซื่อเหรินลู่ที่มาจากวังของมู่ฟูเหรินพระมารดาของฉู่หวังมองเชียนโม่ที่อยู่บนรถแล้วกล่าวกับซื่อเหรินฉวีด้วยความสนใจ “รูปร่างหน้าตาไม่เลวเลย”

ซื่อเหรินฉวีสั่นศีรษะ “ไม่ใช่นางใน”

“อ้อ” ซื่อเหรินลู่ถาม “แล้วนางเป็นใคร”

“นางหรือ” ซื่อเหรินฉวียิ้ม เอ่ยช้าๆ “นางคือสิ่งล้ำค่าที่ต้าหวังพบในแม่น้ำ”

 

เปรียบกับบ้านเมืองในสมัยปัจจุบัน นครอิ่งตูไม่นับว่าใหญ่โตน่าตื่นตาตื่นใจ ถนนหนทางไม่ได้กว้างขวางขนาดรถม้าวิ่งได้หลายคัน อาคารบ้านเรือนก็ไม่สูง อีกทั้งใช่ว่าบ้านทุกหลังจะมีกระเบื้องใช้

ทว่าที่นี่กลับมีกลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์ บ้านเรือนหลากหลายรูปทรง บ้างก็เรียบง่าย บ้างก็โอ่อ่าสวยงาม บ้างก็ต่ำเตี้ย บ้างก็สูงใหญ่ สร้างอยู่รวมกัน เมื่อมองด้วยสายตาของคนในยุคปัจจุบันอาจจะดูไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ก็ดูมีสีสันมีชีวิตชีวา พอทราบข่าวว่าฉู่หวังกลับมา ผู้คนมากมายต่างเฮโลมาดูกันที่ถนน ส่งเสียงร้องตะโกนกันคึกคัก เชียนโม่นั่งอยู่บนรถ มองเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของคนเหล่านั้น ฟังคำพูดที่พวกเขาพูด รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังชมการแสดงนิทรรศการขนาดใหญ่อยู่

ไกลออกไปมีกำแพงสูงใหญ่อีกแห่งตั้งตระหง่านอยู่ เห็นชายคาปลายงอนเชิดสูงโดดเด่นอยู่รำไร แลประหนึ่งเทพเจ้ากำลังก้มลงมองเวไนยสัตว์ ซังบอกเธอว่าที่นั่นก็คือวังหลวง

ยิ่งเข้าใกล้วังหลวง บ้านเรือนก็ยิ่งสวยงาม ผู้คนที่มาห้อมล้อมเริ่มลดน้อยลง เมื่อรถม้าวิ่งเข้ามาในประตูวังที่สูงใหญ่ บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นน่าเกรงขาม พอเข้ามาหลังกำแพง ทัศนวิสัยพลันเปิดกว้าง ทอดสายตามองไปก็จะเห็นแท่นศาลาหอเก๋งปะปนกัน ชายคาตำหนักซ้อนกันเป็นตับ แลยิ่งใหญ่ทรงอานุภาพ เชียนโม่แม้จะเคยเห็นอาคารต่างๆ ที่บูรณะซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ แต่มาวันนี้เห็นแล้วยังคงรู้สึกว่าแตกต่าง ดูแปลกหูแปลกตาน่าตื่นตะลึง

มาถึงหน้าวังหลวง เชียนโม่มองไปก็เห็นอู่ต้าฟูผู้นั้นทันที

เขากับขุนนางกลุ่มหนึ่งยืนอยู่หน้าบันได เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูเป็นทางการมาก เปรียบกับตอนอยู่ถงซานแล้วดูเคร่งขรึมน่าเคารพขึ้นหลายส่วน

“ต้าหวัง” หลังจากทำความเคารพแล้ว อู่จวี่ก็เอ่ยขึ้น “กงซุนหรงแห่งแคว้นฉินอยู่ที่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!” พูดจบก็พาคนผู้หนึ่งก้าวออกมาข้างหน้า

ฉู่หวังมองไปก็เห็นคนผู้นั้นเป็นชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตน ศีรษะสวมหมวกทรงสูง สะพายกระบี่ยาวที่เอว ใบหน้ามีสีเข้มคล้ายถูกแดดเผา แต่กลับดูแล้วกระฉับกระเฉงกระปรี้กระเปร่า

เขาเดินเข้ามาหาฉู่หวัง เสียงหยกประดับกระทบกันเบาๆ ไม่อาจกลบเสียงฝีเท้าที่หนักแน่น

“คารวะต้าหวัง” กงซุนหรงทำความเคารพพลางกล่าวเสียงดังกังวาน

ฉู่หวังมองเขา ครู่หนึ่งก็ยิ้มแล้วทำความเคารพตอบ “ท่านกงซุนให้เกียรติมาเยือน ไม่ได้อยู่ต้อนรับเสียมารยาทแล้ว!”

บทที่สี่ คืนสู่นครอิ่งตู

 

ฉู่หวังกลับถึงวังหลวง หลังจากพักผ่อนเล็กน้อยก็เรียกประชุมขุนนางทันที ปรึกษาหารือเรื่องตอบโต้การโอบล้อมโจมตีของชนเผ่าหรงและชนเผ่าอี๋

ในท้องพระโรง บรรยากาศหนักอึ้ง ไม่มีท่าทีคึกคักเหมือนตอนต้อนรับฉู่หวังอีก

“ในแคว้นเกิดทุพภิกขภัย พวกซานหรงมาถึงภูเขาฟู่ซาน เนินหยางชิว แคว้นยงเป็นผู้นำชนเผ่าหมานก่อกบฏต่อแคว้นฉู่ แคว้นหมีพาพวกไป่ผูมาถึงเมืองเสวี่ยน” ฉู่หวังนั่งอยู่ในตำแหน่งสูงเอ่ยขึ้น “ท่านทั้งหลายมีแผนรับมือที่ดีหรือไม่”

เสียงพูดขาดคำ ไม่นานต้าฟูผู้หนึ่งก็ก้าวออกมา “กระหม่อมเห็นว่าย้ายเมืองหลวงไปอยู่บนเนินเขาสูง ก็จะแก้ปัญหาเร่งด่วนนี้ได้”

ขุนนางทั้งหลายต่างแสดงความคิดเห็นต่างๆ นานา มีคนคัดค้าน มีคนเห็นด้วย

“กลุ่มชาวหมานกลุ่มชาวอี๋ท่าทีดุดัน ชนเผ่าซานหรงก็ลงจากเนินหยางชิวแล้ว เมืองจือฉีตกอยู่ในอันตราย จือฉีอยู่ห่างจากนครอิ่งตูเพียงสองร้อยลี้ ถ้าถูกยึดไปเมื่อใด นครอิ่งตูก็ยากจะรักษาไว้ได้ ไม่สู้ย้ายเมืองหลวงเพื่อหลบภัยชั่วคราว”

“หากเสียนครอิ่งตูเมื่อใด ความเสียหายก็จะเกิดขึ้นอย่างมากมายมหาศาล ไม่สู้ถอยชั่วคราวเพื่อจะรักษา…”

“ช่างเป็นการถอยเพื่อจะรักษาที่ดียิ่งนัก!” ซูฉงยิ้มหยันและออกจากแถวมากล่าวตำหนิ “ศัตรูอยู่ตรงหน้า พวกท่านไม่คิดจะยกทัพไปปราบปราม กลับเอาแต่จะถอยหนี ช่างน่าอับอายขายหน้า!”

“ต้าฟูกล่าวเช่นนี้ก็ไม่ถูก!” มีคนออกมาคัดค้านทันที “พวกข้าคิดการวางแผนเพื่อบ้านเมือง ย้ายเมืองหลวงเป็นแผนชั่วคราว จะน่าอับอายขายหน้าได้อย่างไร”

“ถอยได้เพียงชั่วครู่ชั่วขณะ ไม่อาจปกป้องบ้านเมืองตลอดไปได้!” ในเวลานี้เองเหว่ยจย่าก็ออกจากแถวมา “กระหม่อมเห็นว่าเราย้ายไปได้ ข้าศึกก็ตามไปได้ ไม่สู้ยกทัพไปปราบปรามชาวยง ชาวหมี และชาวไป่ผู พวกเขาต่างเข้าใจว่าเราเกิดภัยแล้งอดอยาก ไม่อาจต้านทานกองกำลังข้าศึกได้ ถึงได้ยกทัพมารุกรานเรา หากเราสามารถยกทัพไปโจมตีแคว้นยง พวกเขาจะต้องเกิดความหวาดกลัวและถอนกำลังออกไป ส่วนไป่ผูเดิมก็อยู่กระจัดกระจายตามที่ต่างๆ อยู่แล้ว ย่อมจะแยกย้ายกันกลับเมืองของตน ยังจะมีใครมารุกรานเราอีก”

คำพูดนี้พอเอ่ยออกมาก็มีเสียงสนับสนุนดังกระหึ่มขึ้น

“กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” อู่จวี่แสดงท่าทีเห็นชอบทันที

ซูฉงก็กล่าวขึ้น “กระหม่อมก็เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

ฉู่หวังเพียงมองดู ไม่กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว แต่กลับส่งสายตาไปที่ซือหม่าโต้วเจียวซึ่งตลอดเวลาเอาแต่นิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา

“ซือหม่าเห็นอย่างไร” ฉู่หวังเอ่ยถาม

โต้วเจียวสีหน้าไม่สะทกสะท้าน มองทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรง แล้วหันมาประสานมือให้ฉู่หวัง “กระหม่อมเห็นว่าแผนของกงอิ่นดีมากพ่ะย่ะค่ะ”

ฉู่หวังตัดสินใจเด็ดขาดแล้วลุกขึ้นมาทันที กล่าวด้วยเสียงก้องกังวาน “กว่าเหรินตัดสินใจแล้ว จะยกทัพไปปราบยง!” พูดจบก็เลิกประชุม

ดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว ซื่อเหรินจุดเทียนในโถงด้านหน้าของวังกลางจนสว่างไสว

ฉู่หวังจัดงานเลี้ยงร่วมกับขุนนางทั้งหลายเพื่อต้อนรับกงซุนหรงและทูตจากแคว้นปา นักสังคีตบรรเลงสังคีตอยู่ในห้องโถง ซื่อเหรินเดินเข้ามาเป็นแถวยาวเหยียด จานชามช้อนตะเกียบอันประณีตงดงามวางเรียงเต็มโต๊ะอาหารของแขก

กงซุนหรงในมือถือจอกสุราหวาน คารวะสุรากับฉู่หวังแล้วต่างยกขึ้นดื่ม

“แคว้นฉู่กับแคว้นฉินมีความสัมพันธ์เกี่ยวดองกันจากการสมรส ข้าได้ยินมานานว่าฉินป๋อปรีชาสามารถ เสียดายยังไม่มีวาสนาได้พบ กงซุนท่านมาจากแคว้นฉิน ไม่ทราบระยะนี้ฉินป๋อสุขภาพแข็งแรงดีหรือไม่” ฉู่หวังนั่งอยู่ตำแหน่งสูง เอ่ยถามอย่างมีอัธยาศัยไมตรี

“เสด็จปู่สบายดี ขอบพระทัยต้าหวัง” กงซุนหรงตอบ

ฝั่งตรงข้าม โต้วเจียวมองประเมินกงซุนหรง คีบเนื้อปลาชิ้นหนึ่งเข้าปาก เขาเห็นด้วยที่ฉู่หวังจะยกทัพไปปราบยง ทว่าการผูกสัมพันธ์กับแคว้นฉินและแคว้นปากลับไม่ใช่ความปรารถนาของเขา ฉู่หวังไม่ได้ปรึกษาหารือกับเขาก็ส่งทูตไปขอเป็นพันธมิตร ทำให้เขาไม่สบายใจนัก

“ได้ยินว่ากงซุนเคยไปท่องเที่ยวมาหลายแคว้น” โต้วเจียวถามขึ้น

กงซุนหรงรู้ว่าโต้วเจียวเป็นซือหม่าของแคว้นฉู่ จึงยิ้มแล้วว่า “ข้าทำตามคำสั่งของพระบิดา เที่ยวเร่ร่อนแสวงหาความรู้ แต่ก็เพียงไม่กี่แว่นแคว้น”

“จิ้น ฉี หลู่ เยียน ล้วนเคยไปมาแล้วหรือ”

“แคว้นต่างๆ ทางตอนเหนือ ข้าล้วนเคยไปเหยียบมาแล้ว”

“กงซุนไปแคว้นจิ้นมาแล้วหรือ” โต้วเจียวยิ้ม “ข้ากับฟั่นฮุ่ยรู้จักกันมานาน ไม่ได้พบกันหลายปี ไม่ทราบหลังจากกลับไปแคว้นจิ้นแล้วเขาเป็นอย่างไรบ้าง”

คำพูดนี้พอเอ่ยออกมา ทุกคนในงานเลี้ยงต่างมองมา

ฟั่นฮุ่ยเดิมเป็นขุนนางแคว้นจิ้น ได้รับมอบหมายจากเหวินกงให้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญ ในราวสิบปีก่อนเมื่อจิ้นเสียงกงสิ้นพระชนม์ พระโอรสแย่งชิงราชบัลลังก์กัน ฟั่นฮุ่ยถูกพัวพันไปด้วยจึงหนีมาแคว้นฉิน ช่วยฉินป๋อบริหารราชการแผ่นดิน สองปีก่อนคนแคว้นจิ้นห่วงว่าฟั่นฮุ่ยช่วยแคว้นฉินอาจก่อให้เกิดภัยพิบัติต่อแคว้นตน จึงวางแผนหลอกต้มฉินป๋อ ล่อลวงฟั่นฮุ่ยกลับไป เรื่องนี้แม้จะไม่ถึงกับก่อให้เกิดไฟสงคราม แต่ก็กลายเป็นเรื่องตลกขบขัน โต้วเจียวเอ่ยถึงฟั่นฮุ่ยกับกงซุนหรงในงานเลี้ยง หลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะทำให้คนรู้สึกว่ามีความหมายอื่นซ่อนแฝงอยู่

ตรงตำแหน่งที่นั่งต่ำลงมา อู่จวี่กับซูฉงมองสบตากัน ต่างรู้สึกประหลาดใจ

เหว่ยจย่าชำเลืองตามองโต้วเจียว ยกสุราขึ้นจิบช้าๆ คำหนึ่งแล้วมองไปที่ฉู่หวัง ฉู่หวังกลับไม่มีท่าทีใดๆ

กงซุนหรงสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงยิ้ม

“ฟั่นฮุ่ยหรือ” เขากล่าว “ข้าเคยไปเยี่ยมคำนับ เขาอยู่ที่แคว้นจิ้นมีชื่อเสียงกว้างไกลว่าเป็นผู้มีคุณธรรมปัญญา แคว้นจิ้นแคว้นฉินปีหลังๆ มานี้ไม่เคยทำศึกกัน ก็ด้วยปัญญาความสามารถของฟั่นฮุ่ย”

โต้วเจียวเห็นกงซุนหรงอายุยังน้อยกลับรู้จักควบคุมอารมณ์ ก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย เขามองโต้วซัง ญาติผู้น้องที่นั่งอยู่ไม่ไกลนักแวบหนึ่ง โต้วซังเข้าใจความหมายและหันมากล่าวกับกงซุนหรง “ข้าได้ยินว่ากงซุนเคยทำศึกกับชนเผ่าหรง ชนเผ่าตี๋ ไม่ทราบว่าถูกต้องหรือไม่”

กงซุนหรงกล่าวตอบ “ไม่ผิด แคว้นฉินเจ้าผู้ครองแคว้นต้องเฝ้ารักษาการณ์ด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ทำศึกกับชนเผ่าหรงชนเผ่าตี๋เป็นเรื่องปกติธรรมดา”

โต้วซังกล่าวต่อ “ข้าเคยได้ยินว่าวิธีการรบของแคว้นท่าน จะให้ขบวนม้าอยู่หน้า รถและพลทหารอยู่ข้างหลัง บุกเข้าปะทะเข่นฆ่าสังหารทัพของข้าศึกจนโกลาหลอลหม่าน ชนเผ่าหรงตี๋เพียงได้ยินก็ขวัญหนีดีฝ่อ”

กงซุนหรงยิ้มบาง “การจัดวางกำลังในการสู้รบเช่นนี้ อดีตเจ้าผู้ครองแคว้นเป็นผู้ริเริ่มขึ้น เคยสร้างความเสียหายให้ชาวหรงอย่างหนัก และยึดคืนดินแดนผืนใหญ่ได้”

โต้วซังก็ยิ้ม “ข้ามีข้อสงสัยมานานเรื่องหนึ่ง ขบคิดเท่าไรก็ไม่เข้าใจ ไม่ทราบจะขอคำชี้แนะจากกงซุนได้หรือไม่”

กงซุนหรงกล่าว “ยินดีรับฟังรายละเอียด!”

“ข้าได้ยินว่าที่แคว้นของท่านเข้าร่วมเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ ด้วยมีจุดประสงค์จะขอแร่ทองแดง” โต้วซังยิ้ม “แคว้นของท่านมีวิธีการทำรบที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ยังจะต้องการทองแดงไปด้วยเหตุใด”

ทุกคนต่างสีหน้าแปรเปลี่ยน

คำพูดนี้ของโต้วซังออกจะเกินเลยไป ดูไม่มีความเคารพ ซูฉงขมวดคิ้ว คิดจะโต้แย้งสักสองประโยค แต่กลับถูกอู่จวี่กดบ่าไว้ เขาสั่นศีรษะ แสดงท่าทีให้ซูฉงมองไปที่ตำแหน่งสูง

ฉู่หวังนั่งตัวตรง ดูไม่ออกว่าพอใจไม่พอใจ โต้วเจียวที่อยู่ด้านข้างก็เอาแต่รินสุราให้ตนเอง คล้ายไม่ได้ยินอะไรเช่นนั้น

กงซุนหรงฟังคำพูดของโต้วซังแล้วก็ยิ้มๆ “แคว้นฉินทางตะวันตกมีชนเผ่าหรง ตี๋ ทางตะวันออกมีแคว้นจิ้น แม่ทัพและทหารของฉินแม้จะห้าวหาญ การปศุสัตว์แม้จะแข็งแกร่ง แต่จะอย่างไรก็ล้วนแต่เป็นร่างกายที่มีเลือดเนื้อ ข้าได้ยินว่าคนแคว้นฉู่อาศัยเรือโลดแล่นไปทั่วแม่น้ำลำคลอง วางกำลังเรือทำศึกทางน้ำ แทนกำลังคนได้นับหมื่น ไม่ทราบว่าคนแคว้นฉู่ทำลายข้าศึกก็ใช้เพียงเรือหรือ”

โต้วซังมีสีหน้าประหลาดใจ แต่ก็เอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว “เรื่องสำคัญของบ้านเมือง ก็ได้แก่การบวงสรวงเซ่นไหว้และการรุกล้ำก่อกวนของชนกลุ่มน้อยแถบชายแดน ทองแดงสามารถนำมาทำติ่ง* กุ่ย** ทำอาวุธยุทโธปกรณ์ แคว้นของท่านนอกจากม้าวัวแล้ว ไม่ทราบยังมีอะไรที่คู่ควรกับการนำมาแลกเปลี่ยนกับทองแดงของชาวฉู่หรือไม่”

“สิ่งที่แคว้นฉินนำมาทำการค้าหาใช่ม้าวัวไม่” กงซุนหรงเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ข้าได้ยินว่าวิธีทำภาชนะในสมัยโบราณ ภาชนะหนึ่งชิ้นต่อหนึ่งเบ้าหลอม ติ่งขนาดใหญ่หนึ่งใบต้องใช้เวลาทำหกเดือน เบ้าหลอมสิบอันทำออกมาสำเร็จเพียงใบเดียว เป็นเหตุให้ช่างฝีมือบ่นว่าเหนื่อยแต่ไม่ได้ผลงาน มาบัดนี้การทำภาชนะใช้วิธีแยกแม่พิมพ์หลอม ติ่งขนาดใหญ่ใช้เวลาเพียงเดือนกว่าก็แล้วเสร็จ ทำติ่งเหมือนกัน ไยสิ้นเปลืองเวลาแตกต่างกันมาก แคว้นฉู่ทางใต้มีชนเผ่าหมานและอี๋ ตะวันออกมีแคว้นอู๋ เหนือมีแคว้นเจิ้ง แคว้นซ่ง นอกจากนั้นยังมีแคว้นจิ้น กลุ่มขุนศึกที่ตั้งตนเป็นใหญ่คอยโอบล้อมจ้องหาโอกาส ไม่ต่างอะไรกับแคว้นฉิน ฉู่กับฉินแยกกันอยู่เหนือใต้ก็เหมือนแม่พิมพ์ที่แยกกันหลอม ร่วมแรงกันทำภาชนะ ตรึงสี่ด้านเอาไว้ ผลประโยชน์ที่ได้ไม่ใช่เพียงถงซานที่ใช้แรงงานเช่นม้าวัวจะมาเปรียบได้ นี่เป็นประการที่หนึ่ง”

* ติ่ง คือภาชนะสามขา มีหูสองข้าง ชาวจีนสมัยโบราณใช้เป็นหม้อหุงต้ม กระถางธูป และเครื่องประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์

** กุ่ย คือภาชนะใส่อาหารในสมัยโบราณ คล้ายหม้อปากกลม มีหูจับสองข้าง

กงซุนหรงดวงตาเปล่งประกายแวววาว “ประการที่สอง ระหว่างแคว้นฉินกับแคว้นฉู่หนทางห่างไกล ส่วนแคว้นจิ้นอยู่ติดชายแดน แคว้นฉู่มอบแร่ทองแดงให้แคว้นจิ้น แต่กลับไม่เป็นพันธมิตรกัน ไยมิใช่ความหนาบางไม่สมดุลหรอกหรือ”

ได้ฟังคำพูดนี้แล้ว ฉู่หวังเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ

ความเงียบแผ่ปกคลุมไปทั่วห้องโถง ผ่านไปครู่หนึ่งซูฉงก็หัวเราะแล้วปรบมือขึ้นเป็นคนแรก

ทุกคนพากันปรบมือตาม กล่าวยกย่องชมเชยออกมาพร้อมกัน มีคนร้องตะโกนขึ้น “คำพูดของกงซุน งดงามดุจผ้าไหมและเครื่องหยก!”

บรรยากาศเปลี่ยนพลิกไปในทันที โต้วซังลิ้นแข็งค้าง สีหน้าขาวครึ่งแดงครึ่ง ได้แต่มองไปทางโต้วเจียว

โต้วเจียวสีหน้าไม่สงบนิ่ง ในยามนี้ก็ได้แต่หัวเราะ ปรบมือสองทีอย่างไม่เต็มอกเต็มใจ

ฉู่หวังนั่งอยู่บนที่สูง แววตาค่อยๆ จับนิ่ง สายตาที่มองกงซุนหรงต่างไปจากเดิม กงซุนผู้นี้อายุไม่มาก แต่ฉินป๋อกลับมอบหมายให้เขามาทำหน้าที่ทูตยังแคว้นฉู่อย่างวางใจ ย่อมไม่ใช่ไม่มีเหตุผล

“ฉินฉู่แยกกันอยู่เหนือใต้ ต่างเป็นแคว้นที่อยู่ห่างไกล” ฉู่หวังเอ่ยขึ้น “อดีตหวังมองการณ์ไกล จึงผูกสัมพันธ์อันดีระหว่างฉินฉู่ ทำการค้าที่เอื้อประโยชน์ต่อกัน ร่วมกันต้านข้าศึกจากภายนอก ทั้งหมดนี้ยังเป็นสติปัญญาความสามารถของท่านทั้งหลายด้วย” พูดจบก็รับสั่งให้ซื่อเหรินเติมสุรา แล้วชูจอกให้กงซุนหรง

คำพูดไม่หนักไม่เบา เป็นบันไดเปิดทางลงให้พอดี

ฉู่หวังแสดงท่าทีเป็นมิตร กงซุนหรงย่อมไม่อาจไม่รับเจตนาดีของเจ้าบ้าน จึงยิ้มแล้วชูจอกให้ทุกคนตามมารยาทก่อนจะดื่มสุรา

 

หลังจากเชียนโม่มาถึงวังหลวง ซื่อเหรินฉวีใคร่ครวญถึงฐานะของเชียนโม่ ไม่ได้จัดให้นางอยู่ในตำหนักฝ่ายใน หากแต่ให้นางเข้าพักในห้องปีกข้างของเรือนพักในวังเช่นข้าราชสำนักทั่วไป

ไม่มีใครมาวุ่นวายกับเธอ เชียนโม่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ หลังจากเที่ยวชมโครงสร้างและการตกแต่งประดับประดาของตำหนักงดงามหลายหลังที่อยู่บริเวณใกล้เคียงแล้ว ก็ถามซื่อเหรินฉวีว่ามีตำราด้านการแพทย์ให้เธออ่านหรือไม่

“ตำราแพทย์?” ซื่อเหรินฉวีคิดอยู่ครู่หนึ่ง มีท่าทางลำบากใจ “ข้าก็ไม่รู้ ทว่าเรือนพักในวังแห่งนี้มีห้องเก็บตำราอยู่ห้องหนึ่ง ในนั้นมีตำราอักษรอยู่ไม่น้อย” เห็นเชียนโม่มีสีหน้าดีใจ ซื่อเหรินฉวีก็รีบกล่าว “ที่นั่นอยู่ในการควบคุมดูแลของเซ่าจั้ง* ข้าไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้”

เชียนโม่เองก็รู้ว่าซื่อเหรินฉวีเป็นเพียงคนรับใช้ ไม่มีอำนาจอะไร แต่ยังอยากจะลองดูสักครั้ง จึงขอร้องด้วยน้ำใสใจจริง “ต้าหวังพาข้ามาด้วยก็เพื่อจะให้รักษาโรคระบาด ข้าดูตำราก็เพื่อการนี้ เวลานี้กำลังจะกรีธาทัพอยู่รอมร่อ เห็นแก่เรื่องใหญ่เป็นสำคัญ ได้โปรดช่วยถามให้ข้าสักหน่อยเถิด”

ซื่อเหรินฉวีเห็นนางพูดมีเหตุผลก็ถอนหายใจ ยอมรับปาก

เซ่าจั้งผู้ดูแลห้องเก็บตำราเป็นชายแก่ท่าทางคร่ำครึคงแก่เรียนคนหนึ่ง หลังจากฟังซื่อเหรินฉวีแล้วก็หันมามองเชียนโม่ด้วยความฉงนสงสัย

* เซ่าจั้ง เป็นตำแหน่งเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลห้องเก็บรักษาตำรา

“คนผู้นี้คือหมอที่ต้าหวังจะพาไปรักษาโรคระบาด” ซื่อเหรินฉวีกล่าวแล้วทอดถอนใจ “ได้ยินว่าที่แนวหน้าไข้จับสั่นกำลังระบาด ไม่รู้ทหารล้มตายไปมากน้อยเท่าไรแล้ว ผู้น้อยคิดขึ้นมาคราใดก็ร้อนใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้…”

เขาพูดได้เศร้ารันทดยิ่ง แทบจะยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาอยู่แล้ว เซ่าจั้งโบกมืออย่างทนไม่ไหว “รู้แล้วๆ ในเมื่อเป็นคนที่ต้าหวังพามาก็เข้าไปเถิด” พูดจบเขาก็ให้ทั้งสองเข้าไปรอที่ห้องด้านหน้า ตนเองเข้าไปข้างใน มุดเข้าไปในชั้นวางที่นับไม่ไหว พักใหญ่ก็หอบม้วนไม้ไผ่ออกมากองใหญ่

“ตำราการแพทย์มีไม่มากนัก” เขาวางม้วนไม้ไผ่ลงบนโต๊ะแล้วกล่าวกับเชียนโม่ “ตำราล้ำค่า ไม่อาจนำออกไป เจ้าต้องอ่านที่นี่”

เชียนโม่ดีใจมาก รับปากทันที ทั้งกล่าวขอบคุณไม่หยุดปาก

 

ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว หลังงานเลี้ยงเลิกรา ซื่อเหรินทั้งหลายก็ถือโคม ประคับประคองบรรดาแขกเหรื่อที่เดินไม่ค่อยจะตรงทางออกจากงานเลี้ยง

อู่จวี่พาซูฉงที่ปากบอก ‘ข้ายังไม่เมา’ มาส่งให้คนรับใช้ของเขา รอจนพวกเขาไปแล้วก็แหงนมองไปเหนือศีรษะ ดวงจันทร์อยู่ตรงศีรษะพอดี แสงจันทร์สว่างสุกใส ภายใต้ม่านราตรีหมึกคราม หลังคาตำหนักสูงใหญ่แลคล้ายเนินเขา เงียบวิเวกและใหญ่โตโอฬาร

“เจ้าไม่กลับไปหรือ” เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง อู่จวี่หันกลับไปก็เห็นฉู่หวัง เขารีบทำความเคารพ

“ไม่กลับแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อู่จวี่กล่าว “กระหม่อมให้คนส่งจดหมายกลับไป บอกคืนนี้จะค้างในวัง”

ฉู่หวังรู้ว่าเขาทำเช่นนี้เพื่ออะไร ออกจะอับจนปัญญา “กว่าเหรินทำตัวเป็นโล่ขวางธนูอีกแล้ว หือ?”

อู่จวี่ยิ้มเหย รีบกล่าว “มิกล้า”

ในเวลานี้เอง ซื่อเหรินผู้หนึ่งก็เข้ามาทูลฉู่หวังว่ามู่ฟูเหรินต้องการพบเขา

ฉู่หวังรับคำ มองอู่จวี่แล้วยิ้มเยาะตนเอง “กว่าเหรินก็มีเรื่องที่หลบเลี่ยงไม่ได้” พูดจบก็ขึ้นรถ สั่งให้ไปวังเหยียนเหนียนของมู่ฟูเหรินทันที

อู่จวี่ส่งฉู่หวังแล้วก็ยืนอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินกลับเรือนพักข้าราชสำนักตามลำพัง

ยามค่ำคืนในวังเงียบสงบ ตามทางเดินในวังนอกจากอู่จวี่แล้วก็มีเพียงทหารลาดตระเวนกับซื่อเหรินผ่านเป็นครั้งคราว บริเวณเรือนพักในวังก็เงียบสงัด ทหารรักษาการณ์เห็นเขามาก็รีบเปิดประตู อู่จวี่กำลังจะเดินกลับห้องพักของตน คิดไม่ถึงว่าตอนเดินผ่านห้องเก็บตำรากลับเห็นข้างในยังมีแสงไฟสว่างอยู่

เขากับเซ่าจั้งปกติมีมิตรไมตรีต่อกัน รู้ว่าเซ่าจั้งเป็นคนที่เมื่อถึงเวลาเลิกงานก็จะไม่รั้งรออยู่ต่อ จึงอดแปลกใจไม่ได้และเดินเข้าไปดู

ในห้องเก็บตำรา เซ่าจั้งไม่อยู่ ที่โต๊ะกลับมีสตรีผู้หนึ่งนั่งอยู่ ในมือถือม้วนไม้ไผ่ คล้ายกำลังอ่านอย่างยากลำบาก หัวคิ้วขมวดแน่นเป็นปม

แรงงานหญิงโม่ อู่จวี่มองนาง อึ้งตะลึงไป

 

เชียนโม่อยู่ในห้องเก็บตำรา นั่งทีก็ปาเข้าไปครึ่งวัน ท้องฟ้ามืดค่ำลงทุกที เซ่าจั้งเห็นเชียนโม่ไม่มีท่าทีจะกลับไปก็ไม่ไล่ สั่งซื่อเหรินให้ดูแลฟืนไฟให้ดีแล้วก็กลับไปก่อน เชียนโม่เคยได้ยินเพื่อนร่วมงานของคุณปู่ที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับมนุษยชาติบอกว่าวิชาการแพทย์ช่วงแรกสุดกำเนิดมาจากเวทมนตร์คาถา แม้แต่ในยุคปัจจุบันก็ยังมีให้เห็นอยู่ ในชนเผ่าเก่าแก่บางชนเผ่า หมอผีก็อาจใช้ยารักษาอาการป่วยให้คนได้

แคว้นฉู่เองก็ไม่ยกเว้น เวทมนตร์เป็นที่นิยมกันแพร่หลาย ผู้คนยังคงเข้าใจว่าอาการเจ็บป่วยมาจากภูตผีปีศาจ วิชาการแพทย์จึงไม่ได้แยกออกจากเวทมนตร์คาถาอย่างสิ้นเชิง ตำรับตำราที่เซ่าจั้งหาออกมาให้เชียนโม่ ส่วนใหญ่ที่จดบันทึกไว้ก็เป็นเรื่องของหมอผี เมื่อพูดถึงการรักษาโรคอะไรก็หลีกไม่พ้นพิธีกรรมพิลึกกึกกือพวกเสี่ยงทายและการเต้นรำต่างๆ ส่วนที่พูดถึงการใช้ยาเพียงอย่างเดียวมีไม่มาก แม้กระนั้นเชียนโม่ก็ยังคงอ่านอย่างยากลำบาก ตัวอักษรในตำราเหล่านี้เธอไม่ได้รู้จักทั้งหมด บางส่วนอาจเพราะอยู่ในยุคแรกๆ ลักษณะของตัวอักษรจึงมีการเปลี่ยนแปลง บางส่วนก็เป็นคำนามที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ดูแปลกตาไปเสียทั้งหมด เชียนโม่ค่อยๆ อ่านไปทีละตัวๆ ที่ไม่รู้จักก็จดเอาไว้ คาดเดาความหมายคร่าวๆ ยังต้องแบ่งเครื่องหมายวรรคตอน แบ่งประโยคเอง ด้วยเหตุนี้เธอจึงอ่านได้ช้ามาก ทั้งยังใช้แผ่นไม้มาจดบันทึกอีกกองหนึ่ง

เชียนโม่รู้สึกไม่สบายขาอย่างมาก เธอไม่เคยชินกับการนั่งพับเข่าเช่นคนในยุคสมัยนี้ นั่งได้ไม่นานก็รู้สึกชาขาทั้งสองข้าง รอบด้านไม่มีผู้คน เธอก็จะเปลี่ยนท่านั่งอยู่ตลอดเวลา บางครั้งนั่งขัดสมาธิ บางครั้งก็ยื่นเท้าไปข้างหน้าเสียเลย

ขณะที่เธอกำลังก้มหน้าก้มตาศึกษาอยู่นั้นก็มีเสียงเคลื่อนไหวก๊อกแก๊กที่ด้านข้าง เชียนโม่เข้าใจว่าเป็นซื่อเหรินในห้องเก็บตำราและเงยหน้าขึ้น กลับพบว่าเป็นอู่จวี่ เชียนโม่ชะงักอึ้งไปชั่วขณะ พลันนึกขึ้นได้ว่าท่านั่งของตนไม่สุภาพอย่างมาก จึงรีบหดขาเข้ามาแล้วจะลุกขึ้นมาทำความเคารพ

“ไม่ต้องลำบาก ข้าแค่ผ่านมาเท่านั้น เห็นห้องเก็บตำรามีคน เลยเข้ามาดู” อู่จวี่พูดด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน ครู่หนึ่งก็ถูกแผ่นไม้ไผ่บนโต๊ะดึงดูดสายตา จึงหยิบขึ้นมาดูม้วนหนึ่ง

“ยาของหมอผี”

เชียนโม่กล่าวขึ้น “ต้าหวังจะให้ข้ารักษาโรค ตอนนี้ข้าอยู่ว่างๆ ก็เลยมาอ่านตำราที่ห้องเก็บตำรา”

เรื่องที่เชียนโม่จะตามกองทัพไป อู่จวี่ทราบเรื่องแล้ว จึงพยักหน้า “ตำราเหล่านี้ หมอผีแต่ละสมัยในอดีตรวบรวมไว้ เป็นสิ่งล้ำค่ายิ่ง”

เชียนโม่ยิ้มๆ อู่ต้าฟูผู้นี้คำพูด การกระทำ อากัปกิริยาล้วนมีกลิ่นอายของความสุภาพนุ่มนวล ทั้งเขายังเคยให้ความช่วยเหลือตนมาแล้วสองหน ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ในใจของเชียนโม่ก็รู้สึกสงบนิ่งลงมาก

อู่จวี่วางแผ่นไม้ไผ่ลง ครู่หนึ่งก็ถูกแผ่นไม้ไผ่ที่อยู่ข้างๆ ดึงดูดสายตาอีก เขามองๆ ดูแล้วก็ต้องแปลกใจ

แผ่นไม้ไผ่เหล่านั้นล้วนเพิ่งเขียนขึ้นมาใหม่ ตัวอักษรเล็กและเป็นระเบียบเรียบร้อย ทว่าลักษณะของตัวอักษรเหล่านั้นเขากลับไม่เคยเห็นมาก่อน

“ข้าเขียนไปเรื่อยเปื่อย” เชียนโม่รีบเก็บแผ่นไม้นั้นขึ้นมาแล้วพูดหน้าเหยๆ

อู่จวี่มองหญิงสาวแปลกประหลาดผู้นี้ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เพียงยิ้มๆ เขาพลันรู้สึกว่าคืนนี้ไม่ต้องพักผ่อนเร็วนักก็ได้พลางมองไปที่ชั้นวางตำราในห้องเก็บตำราแล้วเดินเข้าไป

เชียนโม่คิดว่าอู่จวี่มาถามๆ แล้วก็จะไป กลับเห็นเขาหอบม้วนไม้ไผ่สองม้วนออกมาแล้วนั่งลงที่โต๊ะของเซ่าจั้ง

เห็นนางมองมาด้วยสายตาประหลาดใจ อู่จวี่จึงเอ่ยขึ้น “ข้าเองก็มีตำราที่ยังอ่านไม่จบ ได้โอกาสมาอ่านต่อพอดี”

เชียนโม่เห็นเขาพูดเช่นนี้ก็ไม่อาจพูดอะไรได้อีก ครู่หนึ่งก็ดึงสายตากลับ อ่านตำราต่อไป

ในห้องเก็บตำราเงียบสงบยิ่ง เชียนโม่อ่านไปได้อีกหน่อยก็ถูกตัวอักษรหลายตัวทำให้จนมุม ขณะกำลังกลัดกลุ้มอยู่นั้นก็นึกถึงอู่จวี่ขึ้นมาได้

เธอชำเลืองมองเขา ลังเลอยู่ชั่วขณะ “อู่ต้าฟู ขอคำชี้แนะบางอย่างจากท่านจะได้หรือไม่”

อู่จวี่เงยหน้า ผงกศีรษะ “เรื่องอะไรหรือ”

เชียนโม่ลุกขึ้น นั่งตรงหน้าเขาโดยมีโต๊ะกั้นกลาง แล้วชี้ตัวอักษรบนแผ่นไม้ไผ่ให้เขาดู กล่าวอย่างเกรงอกเกรงใจ “ตัวอักษรเหล่านี้ข้าล้วนไม่รู้จัก”

อู่จวี่รับมาดู อดยิ้มไม่ได้

“เฉิน” เขาบอก แล้วให้เชียนโม่หยิบพู่กันและแผ่นไม้ไผ่เปล่ามา เขียนตัวอักษรลงไปตัวหนึ่ง “ตำราเล่มนี้เขียนไว้นานแล้ว มีตัวอักษรจำนวนมากที่แตกต่างจากเล่มอื่น เจ้าก็เลยไม่รู้จัก”

เชียนโม่ฟังเขาอธิบายตัวอักษรหลายตัวก็เข้าใจ ในใจพลันเกิดความคิด จึงนำศัพท์ใหม่ที่ตนจดไว้เหล่านั้นออกมาถาม อู่จวี่บอกไปทีละตัวจนครบ เชียนโม่พอเข้าใจความหมายส่วนใหญ่ แต่เธอก็ไม่รู้จักตัวยาสักเท่าไร บันทึกตำรายาบางอย่างก็ได้แต่ใช้พู่กันจดเอาไว้

อู่จวี่ชี้แนะว่า “เจ้าต้องหาคนที่รู้หนังสือและรู้จักตัวยา พาเจ้าไปในป่าเอาตัวยาสมุนไพรให้เจ้าดู จะได้รู้จักและจำได้ เจ้าจึงจะเข้าใจ”

เชียนโม่กล่าวขอบคุณ ในใจคิดอย่างอับจนปัญญา พูดง่าย เธอก็แค่ทาสคนหนึ่ง ไหนเลยจะมีคุณสมบัติไปเรียกใช้ผู้อื่น…

ทั้งสองพูดคุยเรื่องตัวอักษรบนแผ่นไม้ไผ่กันอยู่นาน อู่จวี่พูดจาสุภาพอ่อนโยนเป็นกันเอง เชียนโม่ฐานะต่ำต้อย แต่กลับไม่รู้สึกถูกดูหมิ่นดูแคลนแม้แต่น้อย ทำให้เธอรู้สึกว่าคนเช่นนี้หาได้ยาก เชียนโม่เองก็ไม่ตื่นเต้นหวั่นหวาดอีก มองอู่จวี่แล้วนึกถึงนิทานเรื่องนั้น ในใจก็เกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา

อู่จวี่สังเกตเห็นว่านางมองตน ทำท่าจะพูดแล้วก็ไม่พูด จึงเอ่ยขึ้น “ยังมีอักษรตัวไหนอีก”

เชียนโม่กล่าวอย่างระมัดระวังถ้อยคำ “ไม่มีตัวอักษร แต่อยากจะละลาบละล้วงถามเรื่องหนึ่ง”

“อ้อ”

เชียนโม่หยิบพู่กันขึ้นมา เขียนตัวอักษรคำว่า ‘จวี่’ ลงไปบนแผ่นไม้ไผ่ “อักษรตัวนี้ใช่นามของต้าฟูหรือไม่”

อู่จวี่มีท่าทีประหลาดใจ

“ถูกต้อง” เขาตอบ “ข้ามีนามว่าจวี่ ชื่อรองจ้งฉิง”

ใช่จริงๆ ด้วย…ความไม่แน่ใจที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยในใจของเชียนโม่ในที่สุดก็ได้รับการคลี่คลาย เธอมองอู่จวี่ นัยน์ตาแวววาวระยิบระยับ “ได้ยินว่าต้าหวังมัวเมาในสุรานารี ต้าฟูได้ตำหนิตักเตือนด้วยเหตุผล ต้าหวังจึงตระหนักและลุกขึ้นมาปรับปรุงตัวใหม่”

อู่จวี่มองนาง ความประหลาดใจยิ่งเพิ่มมากขึ้น “ใครเป็นคนบอกเจ้า ซื่อเหรินฉวีหรือ”

“ต้าฟูโปรดอย่าถาม” เชียนโม่กล่าว “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริงหรือ”

“จริงครึ่งไม่จริงครึ่ง” อู่จวี่ยิ้มเจื่อน “ข้าเคยทูลตักเตือนทัดทานด้วยเหตุผลจริง เพียงแต่ถ้าจะบอกว่าต้าหวังลุกขึ้นมาปรับปรุงตัวใหม่เพราะสาเหตุนี้ กลับเป็นคำพูดที่เกินความจริง” แววตาของเขาดูอ่อนโยน “ต้าหวังหาใช่คนเลอะเลือนเบาปัญญา”

 

ฟูเหรินของฉู่มู่หวังพระบิดาของฉู่หวังไม่มีพระโอรสและสิ้นพระชนม์ไปหลายปีแล้ว ในวังมีสนมอยู่ไม่น้อย ในบรรดาสนม ไช่จี* ให้กำเนิดพระโอรสองค์โตซึ่งก็คือฉู่หวัง หลังจากฉู่หวังขึ้นสืบทอดตำแหน่งจึงยกย่องไช่จีขึ้นเป็นมู่ฟูเหรินตามพระนามหลังสิ้นพระชนม์ของพระบิดา และย้ายไปประทับที่วังเหยียนเหนียน

* จี เป็นคำที่มีความหมายถึงหญิงงามในสมัยโบราณ มักใช้เป็นคำเรียกต่อท้ายชื่อแซ่ของสตรี และยังมีความหมายถึงนางรำ นางสนม รวมถึงนางบำเรอด้วย

ฉู่หวังกลับมาถึงในตอนกลางวันก็ยุ่งอยู่กับเรื่องในราชสำนัก ยังไม่ได้ไปเยี่ยมคำนับพระมารดา เวลานี้มู่ฟูเหรินส่งคนมาเร่งรัด ฉู่หวังก็ได้แต่ต้องเร่งรุดไป รถม้าจอดที่หน้าประตูวัง เพียงเห็นแสงเทียนสว่างไสว คนในวังมารอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นฉู่หวังเสด็จมาถึงก็พากันทำความเคารพ

ในห้องโถง เสียงพิณดังแผ่วโผย ตอนฉู่หวังก้าวเข้ามาได้ยินเสียงหัวเราะเสียงพูดคุย มองไปก็เห็นมู่ฟูเหรินนั่งในตำแหน่งสูง กำลังสนทนากับกุยสวิน ขุนนางแคว้นไช่ พอเห็นฉู่หวังเข้ามา ทุกคนต่างรีบทำความเคารพ

“ต้าหวังกลับมาแล้ว” มู่ฟูเหรินยิ้มแย้มเบิกบาน

“คารวะเสด็จแม่” ฉู่หวังเข้าไปทำความเคารพ มู่ฟูเหรินประคองเขาให้ลุกขึ้น แล้วมองเขาอย่างพินิจพิจารณา “แม่ได้ยินว่าต้าหวังออกตระเวนสังเกตการณ์ด้านตะวันออกและไปถงซาน คงลำบากไม่น้อย”

“การเดินทางสะดวก ไม่ลำบากอะไร” ฉู่หวังพูดจบก็มองไปด้านข้าง สายตาจับนิ่งไปยังร่างของเจิ้งจีซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ข้างพิณ

“ต้าหวัง” มู่ฟูเหรินเอ่ย “กุยต้าฟูมาถึงอิ่งตูตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน แต่ทำอะไรไม่ได้ด้วยต้าหวังไม่อยู่ จึงได้แต่มาอยู่เป็นเพื่อนข้ายายเฒ่าผู้นี้แก้เบื่อ”

กุยสวินรีบกล่าว “ฟูเหรินตรัสอะไรเช่นนั้น กระหม่อมได้รับพระบัญชาจากท่านเจ้าแคว้นให้มาเป็นทูตยังแคว้นฉู่ ย่อมสมควรรอคอยด้วยความเคารพ”

ไช่จวงโหวสิ้นพระชนม์ไปเมื่อปีที่แล้ว ไท่จื่อขึ้นสืบทอดตำแหน่งเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นไช่คนใหม่ ปีที่แล้วกุยสวินก็เคยมาเจริญสันถวไมตรี แจ้งให้แคว้นฉู่ทราบเรื่องเจ้าผู้ครองแคว้นคนใหม่ขึ้นสืบทอดตำแหน่ง เพื่อสืบต่อความสัมพันธ์อันดีของสองแว่นแคว้น มู่ฟูเหรินกับไช่โหวคนใหม่เป็นอาหลานกัน กับฉู่หวังจึงนับว่ามีความสัมพันธ์ฉันญาติต่อกัน ฉู่หวังออกต้อนรับกุยสวินด้วยตนเอง จัดงานเลี้ยงต้อนรับและทำพิธีเซ่นไหว้ศาลบรรพชน* ตามโบราณราชประเพณี

หลังจากนั้นแคว้นจิ้นเพราะไช่จวงโหวเคยปฏิเสธการไปร่วมเป็นพันธมิตรที่เมืองซินเฉิง จึงยกทัพมารุกรานแคว้นไช่ โอบล้อมเมืองหลวงไว้ สุดท้ายไช่โหวขอเจรจาสงบศึก ทัพจิ้นจึงยกทัพกลับแคว้น หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ไช่โหวก็เกลียดชังแคว้นจิ้นอย่างลึกซึ้ง และยิ่งเพิ่มความเอนเอียงมาทางแคว้นฉู่ กุยสวินมาในครั้งนี้ก็เพื่อจะแสดงไมตรีจิตต่อฉู่หวัง

ฉู่หวังสีหน้ามีอัธยาศัยไมตรี คารวะตอบกุยสวินตามมารยาทอันควรแล้วต่างลงนั่ง ฉู่หวังถามถึงไช่โหวเล็กน้อย กุยสวินตอบไปทีละเรื่อง

“ข้าจำได้ว่าฟูเหรินของไช่โหวเป็นบุตรสาวของฉีกั๋วกงกงซุนเฮย ไม่ผิดกระมัง” หลังจากถามสารทุกข์สุกดิบกันแล้ว มู่ฟูเหรินก็เอ่ยถามขึ้น

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ” กุยสวินตอบ

มู่ฟูเหรินยิ้มแล้วว่า “ตอนไช่โหวยังเป็นไท่จื่อ เคยเป็นทูตมาเยือนแคว้นฉู่ ตอนนั้นข้าได้พบกับเขา ได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ ยังได้ยินเขาบอกว่ามีบุตรสาวคนหนึ่ง อายุต่างกับต้าหวังไม่กี่ปี ก็เลยจำได้ชัดเจน”

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ” กุยสวินรีบเอ่ย “ท่านเจ้าแคว้นกับฟูเหรินมีพระธิดาหนึ่งคนนามซูจี ปีนี้เพิ่งอายุสิบห้า”

คำพูดนี้พอเอ่ยออกมา เจิ้งจีที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายมู่ฟูเหรินอดช้อนตาขึ้นชำเลืองมองฉู่หวังไม่ได้

ใบหน้าฉู่หวังมีรอยยิ้มบางๆ ไม่ได้พูดอะไร ยากจะอ่านสีหน้าได้ออก

“ข้าได้ยินว่าปีที่แล้วชาวจิ้นโจมตีแคว้นไช่ เคยทำลายกำแพงเมือง” ฉู่หวังเอ่ยถาม “ไม่ทราบตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

* ในสมัยโบราณเมื่อกษัตริย์หรือเจ้าผู้ครองแคว้นจะเสด็จประพาส ตรวจราชการ หรือกรีธาทัพจะต้องทำพิธีเซ่นไหว้บอกกล่าวให้บรรพชนรับรู้

“เวลานี้ยังซ่อมแซมอยู่ ประตูเมืองทางด้านตะวันตกและด้านเหนือก็ได้สร้างขึ้นใหม่แล้ว”

“ต้าฟูจงกลับไปทูลไช่โหว ไช่และฉู่เป็นแว่นแคว้นที่เป็นมิตรกัน หากมีความลำบากอะไรก็บอกข้าได้”

กุยสวินดีใจยิ่งนัก กล่าวขอบพระทัยไม่หยุด

เวลาล่วงเลยมามากแล้ว กุยสวินไม่กล้ารบกวนนาน หลังจากสนทนากันพอสมควรแล้วก็ทูลลาและกลับออกไป

มู่ฟูเหรินสั่งให้ซื่อเหรินยกน้ำแกงข้นมา และร่วมกินอาหารว่างมื้อดึกกับฉู่หวัง

เจิ้งจียกอ่างน้ำเข้ามาด้วยตัวเอง ปรนนิบัติฉู่หวังล้างมือบ้วนปากจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย

นางนั่งลงข้างกายฉู่หวัง ช่วยเขาพับแขนเสื้อขึ้น แล้วเอามือของเขาแช่ลงไปในน้ำอุ่น ลูบไล้จนทั่ว น้ำอุ่นเป็นน้ำแช่ดอกกล้วยไม้ มีกลิ่นหอมจรุงใจโชยมาอ่อนๆ ทำให้คนรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ

ฉู่หวังมองๆ เจิ้งจี นางก้มหน้าคล้ายตั้งอกตั้งใจยิ่ง ขนคิ้ววาดจนเรียวยาว ขับดุนดวงหน้างามเพริศพริ้ง ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกรักและสงสาร

“หลายวันก่อนแม่ไม่ค่อยสบาย เจิ้งจีมาอยู่ปรนนิบัติทั้งวันทั้งคืน ลำบากไม่น้อย” มู่ฟูเหรินที่นั่งอยู่ตำแหน่งสูงกล่าวขึ้น

“อ้อ” ฉู่หวังเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“ปรนนิบัติฟูเหรินเป็นเรื่องสมควร ไยต้องเอ่ยถึงเรื่องลำบาก” เจิ้งจีรีบกล่าว น้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง

มู่ฟูเหรินยิ้มน้อยๆ “มีความชอบเป็นเรื่องจริง เจ้าก็อย่าถ่อมตัวเลย”

ฉู่หวังได้ยินมู่ฟูเหรินกล่าวเช่นนี้ก็มีรับสั่งกับเสี่ยวเฉินฝู “ประทานกำไลหยกหนึ่งคู่ ผ้าไหมสามพับแก่เจิ้งจี”

เสี่ยวเฉินฝูรับพระบัญชา

เจิ้งจีรีบคุกเข่าฟุบร่างลงที่เบื้องหน้า กราบขอบพระทัยฉู่หวังและมู่ฟูเหรินที่ทรงเมตตา

มู่ฟูเหรินมองฉู่หวัง แล้วให้เจิ้งจีกับคนอื่นๆ ล่าถอยออกไป

“ได้ยินว่าต้าหวังจะยกกำลังทหารไปปราบแคว้นยง” นางถามขึ้น

“ไม่ผิด” ฉู่หวังตอบ

“ลิ่งอิ่นรับปากแล้วหรือ”

“ลิ่งอิ่นเท้าเจ็บ ไม่ได้มาราชสำนัก”

“อ้อ” มู่ฟูเหรินมองเขาด้วยแววตาแฝงความหมายลึกล้ำ “ลิ่งอิ่นเท้าเจ็บได้ประจวบเหมาะพอดี”

“ในที่ประชุมขุนนาง คนที่เสนอให้ย้ายเมืองหลวง กว่าครึ่งเป็นคนของสกุลรั่วเอ๋า” ฉู่หวังเอ่ยถึงเรื่องนี้ สีหน้าเคร่งขรึมลง “ราชกิจต่างๆ ในแคว้น ลิ่งอิ่นเป็นผู้ควบคุมบงการ หากลิ่งอิ่นขลาดกลัวไม่กล้าบุกไปข้างหน้า เจอเรื่องก็เอาแต่หลบหลีก เก็บเอาไว้จะมีประโยชน์อันใด หลังจากโต้วกู่อูถูแล้ว สกุลรั่วเอ๋าก็ไม่มีผู้ปรีชาสามารถอีก”

สกุลรั่วเอ๋าสืบเชื้อสายมาจากรั่วเอ๋าผู้นำชาวฉู่ในอดีต แยกออกเป็นสองสาย หนึ่งคือสกุลสายโต้ว อีกหนึ่งคือสกุลสายเฉิง

รั่วเอ๋าเป็นวงศ์สกุลที่มีอำนาจและอิทธิพลมากที่สุดในแคว้นฉู่ รับตำแหน่งลิ่งอิ่นและซือหม่ามาหลายชั่วอายุคน คนในวงศ์สกุลส่วนใหญ่ดำรงตำแหน่งสำคัญ สกุลรั่วเอ๋ายิ่งเติบใหญ่เข้มแข็ง ความสัมพันธ์กับราชวงศ์นับวันก็ยิ่งลึกซึ้ง ในสมัยเฉิงหวัง โต้วกู่อูถูรับตำแหน่งลิ่งอิ่น มีสติปัญญาความสามารถและซื่อสัตย์สุจริต ได้รับความเคารพเลื่อมใสจากเฉิงหวังและราชสำนักประชาชน ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้มีคุณธรรม แต่เฉิงจยาผู้มารับตำแหน่งต่อจากเขา แม้จะมีความสามารถแต่ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ รวบอำนาจการบริหารบ้านเมืองไว้เพียงคนเดียว ปีที่ฉู่หวังขึ้นสืบทอดตำแหน่ง เฉิงจยากรีธาทัพไปปราบปรามชนเผ่าซู ให้โต้วเค่อและกงจื่อเซี่ยรั้งอยู่นครอิ่งตูช่วยฉู่หวังบริหารราชการแผ่นดิน โต้วเค่อไม่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญมานาน ในใจมีความคุมแค้นอยู่แล้ว จึงร่วมมือกับกงจื่อเซี่ยจับตัวฉู่หวังเป็นตัวประกันแล้วมุ่งหน้าไปเมืองซางมี่ ดีที่ตอนผ่านเมืองหลูอี้ ต้าฟูหลูจี๋หลีหลอกสังหารคนทั้งสอง จึงรอดพ้นจากอันตรายในครั้งนั้นมาได้

เรื่องนี้ผู้ริเริ่มลงมือล้วนเป็นคนในสกุลรั่วเอ๋า ฉู่หวังเพิ่งขึ้นสืบทอดตำแหน่งก็ต้องมาพบกับการเปลี่ยนแปลง ต้องเผชิญกับความยากลำบากทุกข์ทรมานก็ยิ่งหูตาสว่างมากขึ้น

ลิ่งอิ่นโต้วปันซึ่งเป็นลิ่งอิ่นคนปัจจุบันเป็นบุตรชายของโต้วกู่อูถูขุนนางคนสำคัญในรัชกาลก่อน ซือหม่าโต้วเจียวก็มาจากสกุลรั่วเอ๋า ทำให้ฉู่หวังอดหวาดระแวงไม่ได้

มู่ฟูเหรินดูสีหน้าฉู่หวัง รู้ว่าบุตรชายผู้นี้มีเรื่องบางอย่างติดค้างอยู่ในใจ จึงไม่พูดอะไรอีก

“สกุลรั่วเอ๋ามีรากฐานแน่นหนาแข็งแรง ถ้าบุ่มบ่ามไปแตะต้อง อาจส่งผลกระทบต่อบ้านเมืองได้ ต้าหวังไม่อาจใจร้อน”

ฉู่หวังมองมารดาแล้วประสานมือ “ข้าทราบดี”

แม่ลูกสองคนต่างสนทนากันอย่างอบอุ่นมีความสุข

มู่ฟูเหรินดื่มน้ำแกงข้นปลาไปคำหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ “กุยสวินมาในครั้งนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ซูจีธิดาของไช่โหวเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มารดาของนางเป็นหญิงงามที่เลื่องชื่อ ซูจีคล้ายมารดามาก ถึงพร้อมทั้งคุณธรรมและความงาม ไช่โหวอยากจะเกี่ยวดองกับต้าหวังด้วยการแต่งงาน ไม่รู้ต้าหวังคิดเห็นเช่นไร”

ตอนมู่ฟูเหรินให้คนแจ้งข่าวให้ฉู่หวังทราบว่าแคว้นไช่ส่งทูตมา ฉู่หวังก็รู้แล้วว่าต้องมีเรื่องนี้อยู่ด้วยแน่นอน

ฉู่หวังขึ้นสืบทอดตำแหน่งมาได้เกือบสามปี ยังไม่ได้เข้าพิธีอภิเษกสมรส มู่ฟูเหรินเป็นกังวลในเรื่องนี้มาโดยตลอด นางมาจากแคว้นไช่ก็หวังว่าฉู่หวังจะสมรสกับสตรีแคว้นไช่ นับแต่ไช่โหวขึ้นเป็นเจ้าแคว้น นางก็เอ่ยถึงซูจีผู้นี้เสมอ แสดงเจตนาเป็นนัยครั้งแล้วครั้งเล่า มาบัดนี้ไช่โหวเป็นฝ่ายแสดงเจตจำนงว่าต้องการจะให้สองแคว้นเกี่ยวดองกันด้วยการสมรส มู่ฟูเหรินจึงไม่ปิดบังท่าทีอีก พูดต่อหน้าอย่างเปิดเผย

“ซูจีผู้นี้ เสด็จแม่เคยพบหรือ” ฉู่หวังไม่รีบร้อนแสดงท่าที เอ่ยถามขึ้น

“ซูจีอยู่แคว้นไช่ แม่จะเคยพบได้อย่างไร” มู่ฟูเหรินรู้เจตนาของเขาจึงยิ้มๆ “ทว่าไช่โหวกับฟูเหริน แม่เคยพบแล้ว รูปโฉมความงามของซูจีเป็นที่เล่าลือกันแพร่หลาย ต้าหวังวางใจได้”

“แคว้นไช่ พื้นภูมิสู้แคว้นซ่ง แคว้นเจิ้งไม่ได้ กำลังทหารก็สู้แคว้นจิ้น แคว้นฉินไม่ได้” ฉู่หวังเอ่ยช้าๆ “ข้าแต่งกับสตรีแคว้นไช่ มีประโยชน์อันใดต่อแคว้นฉู่”

มู่ฟูเหรินถูกคำพูดนี้ทำเอาพูดไม่ออก สีหน้าออกจะไม่ชวนมอง

“แคว้นไช่เป็นบ้านเกิดของแม่ ไช่โหวก็เป็นญาติพี่น้องของเจ้า” มู่ฟูเหรินกล่าว “แคว้นไช่แม้จะอ่อนแอ แต่ไม่เหมือนผู้อื่นที่เอาแต่คิดจะแว้งกัดเจ้า ต้าหวังคงยังไม่ลืมว่าแคว้นไช่เคยช่วยคนฉู่รบกับแคว้นเฉินจนพ่ายแพ้ไป”

“จะคิดร้ายต่อกันหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ ไม่ใช่ความเป็นญาติ” ฉู่หวังเอ่ยเสียงเย็น “ในบรรดาแคว้นต่างๆ ที่เป็นศัตรูกับฉู่ก็ไม่ขาดความเป็นญาติพี่น้องเกี่ยวดองกัน” พูดจบเขาก็เห็นมู่ฟูเหรินทำท่าจะโกรธ จึงผ่อนน้ำเสียงลง “เสด็จแม่ แต่งงานเป็นเรื่องฟ้าลิขิต ข้าได้มอบหมายให้ปู่อิ่น* เสี่ยงทายแล้ว เรื่องนี้ต้องค่อยๆ ปรึกษากันให้ดี”

มู่ฟูเหรินได้ยินคำพูดนี้ ทั้งเห็นเขามีท่าทีเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ก็ไม่อาจกล่าวต่อไปได้อีก

* ปู่อิ่น เป็นตำแหน่งขุนนางผู้ทำหน้าที่เสี่ยงทาย เทียบได้กับโหรหลวง

ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ทอดถอนใจ “แม่ก็หวังดีต่อเจ้า ตอนเจ้าสืบทอดตำแหน่งใหม่ๆ แคว้นต่างๆ พากันมอบหญิงงาม ตำหนักฝ่ายในมีนางในเต็มไปหมด แม่คิดว่าไม่นานคงมีลูกหลานเต็มบ้าน แต่จนบัดนี้สองปีกว่าแล้ว เจ้าก็ยังไม่มีลูกสืบสกุล แม่จะไม่ร้อนใจได้อย่างไร”

ฉู่หวังหัวเราะ “เสด็จแม่ร้อนใจมากหรือ เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะเรียกเจิ้งจีเยวี่ยจีมาปรนนิบัติก็แล้วกัน”

มู่ฟูเหรินถูกยั่วให้หัวเราะ ด่าด้วยสีหน้ายิ้มๆ “ลูกคนนี้ พูดจาไร้ยางอายเช่นนี้ได้อย่างไร!”

 

เวลาล่วงเข้าสู่ยามดึก มู่ฟูเหรินกับฉู่หวังหลังกินอาหารมื้อดึกแล้ว นางเห็นบุตรชายสีหน้าเหนื่อยล้าจึงไม่รั้งเขาไว้อีก ให้เขากลับวังไปพักผ่อน

ฉู่หวังเดินออกไป เพิ่งจะลงบันไดก็มีเสียงนุ่มนวลละมุนละไมเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ข้างกาย “น้อมส่งต้าหวัง”

ฉู่หวังหันไปมองก็เห็นเจิ้งจี

“ยังไม่พักผ่อนหรือ” เขาถาม

เจิ้งจีเอ่ยเบาๆ “ฟูเหรินกับต้าหวังยังไม่ได้พักผ่อน หม่อมฉันไม่กล้าไปพักก่อนเพคะ”

นางรูปร่างสูงสะโอดสะอง อ่อนหวานแช่มช้อย ยืนอยู่ภายใต้แสงจันทร์ดูบอบบางน่าทะนุถนอม นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เห็นฉู่หวังกำลังจ้องมองตน ในใจก็สั่นไหว ดวงตาทั้งสองทอประกายเฝ้ารอคอย

แต่ไม่ทันรอให้นางได้พูดต่อ เสียงอ่อนโยนของฉู่หวังก็ดังขึ้น “หลายวันมานี้เจ้าเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว อย่าลำบากอีกเลย ไปพักผ่อนเถิด”

เจิ้งจีงงงัน รีบทำความเคารพแล้วรับคำ

รอจนเสียงฝีเท้าของฉู่หวังไปไกลแล้ว นางจึงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง

ท้องฟ้ามืดมิด แสงเทียนก็ไม่อาจสลายความมืดได้ เจิ้งจีมองเงาร่างของฉู่หวังที่หายลับไปจากประตูวังด้านนั้น สีหน้าพลันหงอยเหงา ยืนนิ่งไม่ขยับ

 

เสี่ยวเฉินฝูหันหน้าไปมอง ทอดถอนใจอยู่ในใจ

แคว้นต่างๆ ที่อยู่รอบแคว้นฉู่ล้วนต้องขอความช่วยเหลือจากแคว้นฉู่ อดีตหวังโปรดปรานเรื่องอิสตรี แคว้นต่างๆ เอาใจในสิ่งที่เขาชอบ ในตำหนักฝ่ายในมีสาวงามจากทุกแว่นแคว้น สองปีก่อนฉู่หวังขึ้นสืบทอดตำแหน่ง แคว้นต่างๆ ก็รีบส่งสาวงามคนใหม่มาให้อีก ฉู่หวังไม่ปฏิเสธ รับเข้ามาไว้ในตำหนักฝ่ายในทั้งหมด เจิ้งจีผู้นี้แคว้นเจิ้งเป็นผู้ส่งมา เชี่ยวชาญการขับร้องร่ายรำ นางกับเยวี่ยจีที่มาจากแคว้นเยวี่ยได้รับความโปรดปรานที่สุด ปลายปีที่แล้วลิ่งอิ่นเฉิงจยาที่ล้มป่วยมานาน ในที่สุดก็ถึงแก่กรรม ไม่นานฉู่หวังถูกทัดทานตักเตือน ภายในเวลาชั่วคืนเดียวก็ยกเลิกเรื่องสนุกสนานรื่นเริงที่วังเกาหยางทั้งหมด ปล่อยให้นางในทั้งหลายในตำหนักฝ่ายในต้องเงียบเหงาอ้างว้าง

ฉู่หวังเป็นคนหนุ่มคนหนึ่ง ทุกคนต่างเข้าใจว่าเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ ไม่นานก็คงเปลี่ยนใจ แต่คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้กลับไม่มีทีท่าว่าจะหวนกลับ ในท้องพระโรงเขาจัดการคนที่ไร้ความสามารถจำนวนมาก ลงโทษคนที่คดในข้องอในกระดูก ปรับเปลี่ยนธรรมเนียมใหม่ ส่วนฝ่ายในฉู่หวังก็ลงมือสะสาง ขันทีบางคนที่ชอบไปมาหาสู่และสมคบกับขุนนางภายนอกอย่างใกล้ชิด ประจบสอพลอจนเป็นนิสัยก็ถูกลงโทษเช่นกัน ฉู่หวังดำเนินการอย่างรวดเร็วเฉียบขาด ดุจฝนที่เทกระหน่ำลงมาปานฟ้ารั่ว หลังจากผ่านไปแล้วทุกคนถึงได้ตระหนัก ต้าหวังผู้นี้ยามถอยจะสงบนิ่งเตรียมพร้อมรอโอกาส ยามรุกเพียงโจมตีคราเดียวก็ถูกเป้า เป็นบุคคลร้ายกาจน่ายำเกรงยิ่ง

เสี่ยวเฉินฝูปกติเป็นคนทำอะไรระมัดระวัง พอจะมีสติปัญญาอยู่บ้าง ในการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้นไม่เพียงไม่ถูกพัวพัน กลับได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดฉู่หวัง ช่วงที่ผ่านมาเขาปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายฉู่หวัง เห็นฉู่หวังรับช่วงการบริหารราชการแผ่นดิน ปฏิบัติราชกิจด้วยความมุมานะบากบั่น ทำงานหนักจนดึกดื่นทุกวัน ไม่มัวเมาอยู่กับสุรานารีเช่นแต่ก่อน

หลังจากย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ ฉู่หวังก็เสด็จประพาสตะวันออกไปถงซาน ข้างกายไม่ได้พาสนมนางในคนใดไปด้วย หลังกลับมาก็ไม่มีทีท่าว่าจะเรียกฝ่ายในมาปรนนิบัติ

ทุกคนต่างยกย่องฉู่หวังว่ามุมานะบากบั่นมีความสามารถ ไม่มีอะไรต้องละอายใจต่ออดีตหวัง แต่เสี่ยวเฉินฝูกลับกระจ่างแก่ใจดี

ในเมื่อฉู่หวังมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะเปลี่ยนแปลง ก็ต้องแสดงท่าทีออกมา

เจ้าผู้ครองแคว้นที่รักสนุกลุ่มหลงอิสตรีย่อมไม่อาจทำให้คนเลื่อมใสศรัทธา ฉู่หวังจำเป็นต้องแสดงออกมาทางการกระทำ ให้คนในแคว้นและขุนนางใหญ่ทั้งหลายได้รับรู้ว่าเขาเป็นคนที่สามารถตัดขาดจากการเสพสุขทั้งหมด และปกครองบ้านเมืองด้วยความมุมานะบากบั่น ดังนั้นทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับฉู่หวังผู้เสื่อมถอยในอดีตคนนั้น เขาจึงจงใจถอยห่าง

คิดถึงเรื่องเหล่านี้ก็ทำให้เสี่ยวเฉินฝูนึกถึงเรื่องในวันนี้ ช่วงก่อนหน้านี้มู่ฟูเหรินได้เรียกตนเข้าพบและสั่งกำชับเอาไว้ เสี่ยวเฉินฝูรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจไม่ทำ

“ต้าหวัง” ตอนฉู่หวังจะออกจากประตูวัง เสี่ยวเฉินฝูก็เดินเข้าไปกระซิบถาม “ต้าหวัง คืนนี้จะเรียกผู้ใดมาปรนนิบัติหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ฉู่หวังมองมา เสี่ยวเฉินฝูรีบกล่าว “ต้าหวัง ต้าฟูกุยสวินพาสตรีชาวไช่มาด้วยผู้หนึ่ง เชี่ยวชาญการร่ายรำ ต้าหวังจะให้ไปวังเกาหยาง…”

“ส่งกลับไป” อีกฝ่ายพูดยังไม่ทันจบ ฉู่หวังก็ตัดบททันที

เสี่ยวเฉินฝูตะลึงงัน

“นับแต่วันนี้ไป ผู้ที่มาติดสินบนด้วยหญิงงาม ปฏิเสธไปให้หมด” ฉู่หวังพูดจบก็ขึ้นรถม้าไป

เสี่ยวเฉินฝูคาดแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ จึงรับคำแล้วรีบตามไป

“ต้าหวัง กลับวังหรือพ่ะย่ะค่ะ” เขาถาม

ฉู่หวังมองท้องฟ้า ดึกแล้ว แต่ในใจยังมีเรื่องต่างๆ อยู่มากมาย ยังไม่อยากพักผ่อน เขานึกถึงอู่จวี่ คาดเดาว่าเวลานี้อู่จวี่ก็คงยังไม่ได้พักผ่อน จึงสั่งการ “ไม่ ไปเรือนพักในวังหลวง”

 

รถม้าวิ่งกึงกังไปตามถนนในวัง ออกจากเขตพระราชฐานชั้นใน มาถึงเรือนพักในวังหลวง ประตูใหญ่ลั่นดาลแล้ว ยามเฝ้าประตูพอเห็นฉู่หวังก็รีบเปิดประตู

“อู่ต้าฟูไม่อยู่ในห้องพัก อยู่ที่ห้องเก็บตำราพ่ะย่ะค่ะ” ซื่อเหรินในเรือนพักได้ยินฉู่หวังตรัสถามจึงทูลตอบ “ต้าหวังเชิญเสด็จไปที่ตำหนัก กระหม่อมจะไปตามอู่ต้าฟูมาพ่ะย่ะค่ะ”

ฉู่หวังคิดไปคิดมาก็บอก “ไม่ต้องไปรบกวนเขา ข้าจะไปที่ห้องเก็บตำราเอง”

ห้องเก็บตำราอยู่ไม่ไกล ฉู่หวังไม่ได้ขึ้นรถ หากแต่เดินไป เมื่อมาถึงลานด้านหน้าห้องเก็บตำราก็เห็นแสงไฟสว่างไสว มองเห็นเงาคนที่อยู่ข้างใน

ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงพูดคุยหัวเราะดังออกมา คล้ายมีอิสตรี

ฉู่หวังค่อยๆ ชะงักฝีเท้า

ในห้องเก็บตำรา เชียนโม่กำลังสอบถามเรื่องซุบซิบนินทา ในยุคสมัยนี้เชียนโม่ยังคงไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนัก จึงสอบถามอู่จวี่ถึงเรื่องของแคว้นฉู่กับแคว้นต่างๆ อย่างเช่นฉู่หวังจะทำสงคราม จะทำสงครามกับใคร เพราะอะไรต้องทำสงคราม เวลานี้ราชวงศ์โจวแห่งจงหยวนคือกษัตริย์องค์ไหน แคว้นใหญ่ที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นมีใครเป็นผู้นำเป็นต้น ความรู้เฉพาะด้านเหล่านี้เธอมีไม่มาก หวังจะได้ยินชื่อที่คุ้นหูจากปากของอู่จวี่สักชื่อสองชื่อ เสียดาย ไม่มีคนไหนทำให้เธอรู้สึกคุ้นหูเลย ตอนเธอได้ยินอู่จวี่เอ่ยถึงแคว้นฉีก็ถามขึ้น “แคว้นฉีมีเหิงกงหรือไม่”

“มี” อู่จวี่กล่าว

เชียนโม่นัยน์ตาเปล่งประกาย

“สิ้นพระชนม์ไปสามสิบปีแล้ว”

เฮ้อ…ท่าทางดีอกดีใจของเชียนโม่แข็งค้างอยู่บนใบหน้า

“เพราะเหตุใดจึงถามถึงฉีเหิงกง เจ้ารู้จักกับชาวฉีหรือ” อู่จวี่ถาม

เชียนโม่รีบสั่นหัว “แค่เคยได้ยินเรื่องของฉีเหิงกงมาบ้างเล็กน้อย” พูดแล้วเธอก็เริ่มครุ่นคิด ยังมีใครที่พอรู้จักอีกหรือไม่ แคว้นฉู่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ เธอตรวจดูแผนที่ในสมอง คิดออกเพียงแคว้นอู๋กับแคว้นเยวี่ย จากนั้นก็เขียนชื่อฟูไชกับโกวเจี้ยน* ลงไปบนแผ่นไม้แล้วว่า “ฟูไชแห่งแคว้นอู๋ โกวเจี้ยนแห่งแคว้นเยวี่ย ต้าฟูเคยได้ยินหรือไม่”

“ฟูไช…โกวเจี้ยน” อู่จวี่มองแผ่นไม้ สั่นศีรษะด้วยความประหลาดใจ “ไม่รู้จัก อู๋ป๋อนามจวี้เปย เยวี่ยโหวนามอู๋เหริ่น” พูดจบเขาก็สนอกสนใจขึ้นมา “ฟูไช โกวเจี้ยนที่เจ้าพูดถึงเป็นใครหรือ”

เชียนโม่ยิ้มเหย คนมีชื่อเสียงขนาดนี้อู่จวี่ยังไม่รู้จัก แสดงว่าแปดส่วนสองคนนี้คงยังไม่เกิด ทว่าเรื่องของสองคนนี้มหัศจรรย์พันลึกอย่างที่สุด ตัดเบื้องหลังสำคัญบางส่วนออก นำมาเป็นเรื่องพูดคุยเล่นก็ไม่เลว เชียนโม่กำลังคิดจะเริ่มสนทนาเรื่องซุบซิบนินทากับอู่จวี่ พลันนึกขึ้นได้ว่าระหว่างสองคนนี้ยังมีบุคคลสำคัญอีกคนชื่ออู่จื่อซวี** ดูเหมือนยังมีความสัมพันธ์กับแคว้นฉู่ด้วย ไม่รู้…

อู่จวี่เห็นนางลังเล ขณะคิดจะถามต่อ พลันเห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่นอกประตูก็อดตะลึงงันไม่ได้

“ต้าหวัง” เขารีบลุกขึ้น ทำความเคารพฉู่หวัง

เชียนโม่พลันได้สติ หันมองไปที่ประตู แล้วก็ต้องตื่นตระหนก รีบฟุบหมอบไปที่ด้านข้าง

บรรยากาศรื่นรมย์เมื่อครู่สลายไปหมด หัวใจของเธอแขวนลอยขึ้นมา ไม่รู้ดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ ฉู่หวังเหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่นี่

ฉู่หวังมองพวกเขา ยิ้มแล้วเดินเข้ามากล่าวกับอู่จวี่ “ไม่ต้องมากมารยาท กว่าเหรินนึกถึงเรื่องกรีธาทัพ นอนไม่หลับ เลยอยากมาปรึกษาหารือกับเจ้า” พูดจบก็มองเชียนโม่ที่หมอบอยู่กับพื้น

* ช่วงปลายยุคชุนชิว แคว้นเยวี่ยและแคว้นอู๋ซึ่งอยู่ติดกัน โกวเจี้ยนขึ้นครองแคว้นเยวี่ยต่อจากบิดา อู๋หวังเหอหลี่ว์เห็นเป็นโอกาสดีจึงยกทัพมาตีแคว้นเยวี่ยแต่กลับพ่ายแพ้ได้รับบาดเจ็บและสิ้นพระชนม์ ฟูไชผู้เป็นบุตรจึงขึ้นครองแคว้นอู๋สืบต่อมา โกวเจี้ยนเกรงว่าปล่อยไว้วันหน้าอาจเป็นภัยต่อแคว้นเยวี่ยจึงยกทัพไปตี แต่ฟูไชเตรียมการรับมือไว้อย่างดี โกวเจี้ยนพ่ายแพ้ถูกจับเป็นเชลยอยู่แคว้นอู๋สามปี ระหว่างนั้นโกวเจี้ยนพยายามทำตัวนอบน้อมให้ฟูไชตายใจ และปล่อยโกวเจี้ยนกลับแคว้นเยวี่ย ภายหลังโกวเจี้ยนได้ยกทัพไปตีแคว้นอู๋จนพ่ายแพ้ยับเยิน ฟูไชฆ่าตัวตาย แคว้นอู๋ล่มสลายลง

** อู่จื่อซวีเป็นบุตรของอู่เช่อ อู่เช่อเป็นอาจารย์ของรัชทายาทเจี้ยนแห่งแคว้นฉู่ ต่อมารัชทายาทถูกใส่ร้ายว่าก่อกบฏ อู่เช่อถูกสังหาร อู่จื่อซวีลี้ภัยไปแคว้นอู๋ และได้ช่วยเหอหลีว์ขึ้นเป็นอู๋หวัง ต่อมาอู่จื่อซวีได้กราบทูลทัดทานให้ฟูไชสังหารโกวเจี้ยนหลายครั้งแต่ไม่เป็นผล ภายหลังฟูไชได้ประทานกระบี่ให้อู่จื่อซวีปลิดชีพตนเอง

อู่จวี่พูดชี้แจง “เมื่อครู่ตอนกระหม่อมกลับมา เดินผ่านห้องเก็บตำรา เห็นแรงงานหญิงโม่กำลังตรวจอ่านตำรา จึงเข้ามาดูพ่ะย่ะค่ะ”

“ตำรา?” ฉู่หวังมองไปที่โต๊ะของเชียนโม่ หยิบแผ่นไม้ไผ่เหล่านั้นขึ้นมาดู ครู่หนึ่งก็เอาแผ่นไม้ไผ่ที่เชียนโม่จดบันทึกไว้มาดู

เชียนโม่ช้อนตาขึ้นมองเงียบๆ ไม่ผิดจากที่คาด เธอเห็นสายตาของฉู่หวังจับนิ่ง

“ล้วนเป็นตำรารักษาโรค” อู่จวี่เห็นแล้วเอ่ยขึ้น “แรงงานหญิงโม่ไม่รู้จักอักษรบางตัว กระหม่อมจึงช่วยอธิบาย”

ฉู่หวังพยักหน้า เอ่ยถามด้วยความสนใจ “แรงงานหญิงโม่ เจ้ารักษาโรคระบาดได้ ยังมีโรคที่เจ้าไม่รู้จักอีกหรือ”

“รักษาโรคช่วยคน ไม่มีใครรับรองได้ว่าจะไม่เกิดการผิดพลาด” เชียนโม่ตอบอย่างครุ่นคิด พูดจบก็กลัวฉู่หวังจะไม่เชื่อถือและถอนคำพูดที่เคยรับปากไว้ก่อนหน้านี้ จึงรีบเอ่ยเสริมขึ้น “แต่ข้าจะทำสุดความสามารถ”

ฉู่หวังไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ผ่านไปครู่หนึ่งก็หันไปกล่าวกับอู่จวี่ “เรื่องกรีธาทัพ เจ้าไปปรึกษาหารือกับกว่าเหรินที่ตำหนักอีกสักหน่อยเป็นอย่างไร”

อู่จวี่ยิ้ม ตอบอย่างมีมารยาท “กระหม่อมกำลังคิดเช่นนั้นพอดี”

ฉู่หวังไม่พูดอะไรอีก มองเชียนโม่แวบหนึ่งแล้วเดินออกไป

เสียงฝีเท้าของคนทั้งสองดังห่างออกไป กระทั่งเงียบหายไป เชียนโม่จึงเงยหน้าขึ้นมา มองท้องฟ้าด้านนอกที่มืดมิดแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก

 

วันรุ่งขึ้นฉู่หวังจัดทัพทหารด้วยตนเอง ยกไปปราบปรามข้าศึกทางตะวันตกเฉียงเหนือ

เขาไม่ได้ยกกำลังเข้าโจมตีชนเผ่าซานหรงที่ยึดครองหยางชิวโดยตรง หากแต่มีบัญชาให้ทัพฉู่ที่รวมพลอยู่เมืองขุยโจมตีแคว้นหมีและชาวผู

ฉู่หวังก็ออกทำศึกด้วยตนเอง คนที่อยู่รักษาเมืองหลวงก็คือลิ่งอิ่นโต้วปัน อู่จวี่ และซูฉง

“อิ่งตูและวังหลวงก็ขอมอบให้ลิ่งอิ่นช่วยดูแล” ก่อนออกเดินทาง ฉู่หวังได้กล่าวกับลิ่งอิ่นโต้วปันที่มาส่ง

โต้วปันอายุราวหกสิบ ใบหน้าผ่ายผอม ประสานมือคารวะฉู่หวัง “ต้าหวังโปรดวางพระทัย พวกกระหม่อมแม้ตายก็ต้องรักษาเมืองหลวงไว้ให้ได้”

ฉู่หวังพยักหน้า แล้วมองไปทางอู่จวี่และขุนนางคนอื่นๆ “บ้านเมืองกำลังลำบาก พวกท่านทั้งหลายต้องสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ช่วยลิ่งอิ่นดูแลบ้านเมือง รักษาแคว้นฉู่ของเราเอาไว้”

ทุกคนต่างหมอบกราบรับพระบัญชา

เชียนโม่อยู่ในหมู่ชาวบ้านผู้ติดตาม ตามกองกำลังทหารขบวนยาวเหยียดออกจากเมือง เสียงล้อรถและเสียงฝีเท้าดังอึกทึก เสียงผู้คนจ้อกแจ้กจอแจ หอกยาวทวนยาวที่ทหารหาญถืออยู่ในมือดูละลานตา ข้างหน้ามองไปไม่เห็นหัวแถว ข้างหลังมองไปไม่เห็นท้ายแถว ในหมู่ทหารที่ออกศึกมีไม่น้อยที่เป็นชาวอิ่งตู ข้างทางมีคนมาส่งจำนวนมาก มีคนกำชับสั่งเสีย มีคนร่ำไห้ เดินตามขบวนไม่ยอมจากไป

เชียนโม่ได้รับอนุญาตเป็นพิเศษให้นั่งไปกับรถเทียมวัวที่บรรทุกของ เด็กหนุ่มที่ขับรถรูปร่างผอมบาง ดูแล้วน่าจะอายุสิบกว่า เมื่อครู่หญิงกลางคนคนหนึ่งจับมือเขาไว้พูดอะไรบางอย่างกับเขาทั้งน้ำหูน้ำตา หลังแยกจากกันขอบตาของเด็กหนุ่มก็แดงก่ำมาตลอด

เชียนโม่มองพวกเขา แล้วก็เริ่มตระหนักขึ้นมาว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นการไปเพื่อจะทำศึกสงคราม

ทำสงครามย่อมมีคนบาดเจ็บ มีคนล้มตาย บางคนอาจไปแล้วไม่ได้กลับมาอีก รวมถึงเธอเองด้วย ที่แตกต่างกันก็คือพวกเขาล้วนมีญาติมิตร คนหนึ่งตายไปแล้ว คนที่เหลืออยู่ก็ย่อมโศกเศร้า แต่เธอ…ไม่ว่าจะอยู่หรือตายก็ไม่มีใครสนใจ…

ขณะกำลังใจลอย ฉับพลันนั้นเชียนโม่ก็มองเห็นอู่จวี่

เขากับขุนนางใหญ่หลายคนยืนอยู่บนเนินข้างถนน ดูเหมือนมาส่งคนออกรบเช่นกัน ตอนรถเทียมวัวแล่นผ่าน เขาก็มองมาเห็นเชียนโม่

ในที่สุดก็มีคนรู้จักกับเขาคนหนึ่ง! เชียนโม่คิดในใจ ยิ้มและโบกมือให้เขา

ใบหน้าอู่จวี่คล้ายมีแววประหลาดใจ ครู่หนึ่งก็ผงกศีรษะให้นาง

“คนผู้นั้นคือใคร” ซูฉงอยู่ข้างๆ เหลือบมาเห็นเข้าจึงเอ่ยถาม

“แรงงานหญิงผู้หนึ่ง” สายตาของอู่จวี่จับนิ่งอยู่ที่เงาด้านหลังพลางเอ่ยตอบ

ซูฉงประหลาดใจ ขณะคิดจะถามก็พลันเห็นคนแคว้นฉินอยู่ในขบวนด้วย

“อย่างไรกัน กงซุนหรงก็ตามต้าหวังไปด้วยหรือ” เขากล่าว

อู่จวี่ชำเลืองมองเขา “กงซุนหรงเดิมก็มาด้วยความเป็นพันธมิตร แล้วเหตุใดจะไม่ไป”

ซูฉงกล่าว “เมื่อคืนพี่น้องสกุลโต้วพูดจากดดันเขาฉอดๆ ต้าหวังก็ทนนั่งเฉยได้ ไม่กลัวกงซุนหรงโกรธตาถมึงทึงขึ้นมาจริงๆ ล้มเลิกความเป็นพันธมิตร”

อู่จวี่ไม่ใส่ใจ “โต้วเจียวโต้วซังแม้จะไม่มีเจตนาดี แต่กลับมีคำพูดประโยคหนึ่งพูดได้ถูกต้อง…คนฉินมาทำศึกครั้งนี้ จุดมุ่งหมายอยู่ที่ทองแดง ในเมื่อต่างมีจุดมุ่งหมายของตน คำพูดหยอกล้อประโยคสองประโยคนับเป็นอย่างไรได้!”

ซูฉงคิดไปคิดมาก็เห็นว่ามีเหตุผล จึงไม่พูดอะไรอีก

อู่จวี่มองไปทางขบวนอีกครั้ง รถเทียมวัวของเชียนโม่มองไม่เห็นแล้ว มองไปทางด้านหน้า รถม้าของฉู่หวังก็ไม่เห็นแม้เงา ขบวนยิ่งใหญ่เกรียงไกร ที่สุดขอบฟ้าเมฆก่อตัวดำทะมึน ดูเหมือนพายุฝนกำลังรอการมาถึงของพวกเขาอยู่

 

ฉู่หวังออกทำศึกครั้งนี้ไม่ได้ไปทางเรือเช่นตอนไปถงซาน หากแต่ไปทางบก นำรถศึกและพลเดินเท้า

เชียนโม่เคยเห็นรถศึกที่ขุดค้นพบในพิพิธภัณฑ์มาไม่น้อย ทว่าของจริงเหล่านั้นล้วนขุดออกมาจากหลุมที่ฝังไปพร้อมคนตาย ต่อให้รักษาดีเพียงใดก็ผุพังไปจนเหลือเพียงกระดูกหัวม้ากับชิ้นส่วนกองหนึ่ง ต้องดูภาพสมบูรณ์ประกอบจึงจะรู้ว่าส่วนไหนคือส่วนไหน ทว่าเวลานี้รถศึกต่างๆ ที่อยู่ตรงหน้าเรียงเป็นแถวยาวดุจมังกรเคลื่อนตัวไปด้วยกัน อานุภาพยิ่งใหญ่เกรียงไกร

รถศึกในยุคสมัยนี้เป็นกำลังในการทำศึกที่สำคัญยิ่ง จำนวนรถศึกมากหรือน้อยถึงกับเป็นมาตรฐานบ่งบอกกำลังความสามารถที่มีอยู่อย่างแท้จริงของแคว้นหนึ่ง เชียนโม่จำได้ ในหนังสือบอกไว้ว่าแคว้นฉู่เริ่มแข็งแกร่งขึ้นตั้งแต่ยุคชุนชิว* พอถึงยุคจั้นกั๋ว** ก็กลายเป็นแคว้นใหญ่มีรถม้านับหมื่นคัน แต่ในเวลานี้…เธอนับอย่างตั้งอกตั้งใจ รถศึกเหล่านี้มีเพียงสามสี่ร้อยคัน กระทั่งพันคันก็ยังไม่ถึง

* ยุคชุนชิว (770-476 ปีก่อนคริสตศักราช) คือช่วงเวลาที่จีนยังแบ่งเป็นแคว้นต่างๆ ต่อสู้แย่งชิงอำนาจกัน ขณะเดียวกันก็มีสำนักคิดของขงจื่อ (ขงจื๊อ) เป็นรากฐานทางสังคมและการปกครองเกิดขึ้น

** ยุคจั้นกั๋ว (475–211 ปีก่อนคริสตศักราช) เป็นช่วงเวลาที่ราชวงศ์โจวทั้งสองล่มสลาย เกิดสงครามแบ่งแยกดินแดน ก่อนที่ฉินซื่อหวง (จิ๋นซีฮ่องเต้) จะปราบปรามหกแคว้น และรวบรวมแผ่นดินจีนให้เป็นหนึ่งเดียว

คนรอบข้างไม่รู้ถึงความคิดต่างๆ ของเชียนโม่ แต่กลับออกจะแปลกใจเกี่ยวกับฐานะของนาง นางเป็นสตรีเพียงคนเดียวในขบวน แต่กลับไม่ใช่สนมนางในของฉู่หวัง บอกว่านางเป็นแรงงานหญิงคนหนึ่ง แต่สิ่งที่นางได้รับกลับดีเสียยิ่งกว่าผู้ติดตามข้างกายฉู่หวัง ทั้งยังได้นั่งบนรถ

เด็กหนุ่มที่ขับรถชื่อจย่า บางครั้งเชียนโม่นั่งเบื่อแล้วก็เป็นฝ่ายขอแลกหน้าที่กับเขา ผลัดเปลี่ยนกันขับรถ จย่ารู้สึกดีต่อนาง ไม่นานทั้งสองก็สนิทสนมคุ้นเคยกัน จากการพูดคุย เชียนโม่ได้รู้ว่าพ่อแม่ของจย่าเดิมเป็นชาวบ้านธรรมดา แต่เพราะติดหนี้ผู้อื่นจึงจำต้องขายจย่าให้เป็นทาสในบ้านวงศ์สกุลสูงศักดิ์แห่งหนึ่ง ฉู่หวังจะกรีธาทัพออกศึก วงศ์สกุลสูงศักดิ์น้อยใหญ่ในแว่นแคว้นล้วนต้องส่งคนมาช่วยทำศึก จย่าจึงถูกส่งตัวเข้ามา ทำหน้าที่ขับรถในขบวน

เชียนโม่มองใบหน้าของเขายังมีเค้าความไร้เดียงสาอยู่ก็อดสะท้อนใจไม่ได้ ผู้คนในยุคสมัยนี้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก เติบโตเป็นผู้ใหญ่รู้ประสากันเร็วมาก หากอยู่ในยุคสมัยของเธอ จย่าอาจยังเป็นเด็กที่วันๆ ในสมองคิดเพียงอยากกลับบ้านให้เร็วหน่อยจะได้ไปเล่นเกม

“เจ้ากลัวหรือไม่” เธอถาม

จย่าชำเลืองมองผู้อื่นแล้วพยักหน้าอย่างขัดเขิน

“เจ้ากลัวหรือไม่” เขาย้อนถาม

เชียนโม่เม้มๆ ปาก ไม่ได้ตอบ บอกไม่กลัวก็โกหก แต่เชียนโม่รู้อะไรมากกว่าคนอื่นอยู่บ้าง ฉู่หวังยังหนุ่มแน่น ดูจากสภาพการณ์ในตอนนี้ แคว้นฉู่ก็ยังไม่เจริญรุ่งเรืองสักเท่าไร ยังมีระยะห่างก่อนที่เขาจะได้รับการยกย่องขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นผู้ยิ่งใหญ่อยู่อีกช่วงหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เชียนโม่จึงมั่นใจว่าฉู่หวังจะยังไม่ตายเร็ว อย่างน้อยครั้งนี้ก็ยังไม่ตาย นั่นก็หมายความว่าไม่ว่าการทำศึกในครั้งนี้จะได้รับชัยชนะหรือไม่ ขอเพียงเธอติดตามเขา โอกาสที่จะรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ได้ย่อมมีมาก

แต่เชียนโม่คิดไปคิดมาก็รู้สึกไม่แน่ว่าจะเป็นเช่นนั้น

เธอมาเพื่อจะรักษาโรคระบาด คงไม่ต้องออกไปแนวหน้า อยู่แนวหลังกับอยู่ข้างกายฉู่หวัง เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เชียนโม่รู้สึกว่าอยู่แนวหลังปลอดภัยกว่า

“เจ้าไม่กลัวหรือ” จย่าถามต่อ ไม่ตอบไม่เลิกรา

เชียนโม่ตื่นจากภวังค์ มองเขาแล้วถาม “เจ้าวิ่งเร็วหรือไม่”

จย่าพยักหน้า

“ว่ายน้ำเป็นหรือไม่”

“เป็น”

เชียนโม่กะพริบๆ ตา มองไปรอบๆ แล้วกระซิบ “ถ้าเจอข้าศึก เจ้าไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น หนีให้สุดชีวิต”

 

หนทางที่จะไปทำศึกไม่ราบรื่นนัก

ถนนหนทางในยุคสมัยนี้สร้างอย่างง่ายๆ หยาบๆ พอฝนตกลงมาไม่กี่ทีก็เต็มไปด้วยโคลนเลน เดินทางลำบาก รถเทียมวัวต้องลดน้ำหนักบรรทุกลง เชียนโม่ไม่อาจนั่งอยู่บนรถ ต้องลงมาเดินเท้ากับจย่า โชคดีในความโชคร้ายก็คือก่อนออกเดินทางซังได้ช่วยจัดเตรียมสิ่งของต่างๆ มากมายให้เชียนโม่ มีที่หลับที่นอน ยังมีหมวกไม้ไผ่และเสื้อหญ้ากันฝน แต่ก่อนตอนอยู่ถงซานแม้จะลำบาก แต่ฝนก็ไม่ค่อยตก เวลานี้เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่ฝนตกแต่เชียนโม่ไม่ได้กางร่ม สวมใส่สิ่งของเหล่านี้เดินไปบนดินเลน

ตอนค่ำหยุดพักค้างแรม ไม่ง่ายเลยกว่าจย่าจะหาหญ้าแห้งมาได้กองหนึ่ง เอามาก่อไฟ

ฝนตกลงมา ทุกหนแห่งมีแต่น้ำ มีประสบการณ์จากภูเขาถงลวี่มาแล้ว เชียนโม่เรียนรู้ที่จะไม่คิดเล็กคิดน้อย นั่งอยู่ข้างรถเทียมวัวอย่างไม่คิดอะไรมาก เอาเสื้อผ้ามาผิงไฟ กินอาหารแห้งด้วยกันกับจย่า

ไม่นานซื่อเหรินฉวีก็มาหาเชียนโม่ บอกว่าฉู่หวังต้องการพบ

จย่าได้ยินพระนามของฉู่หวังก็อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ

เชียนโม่กลับไม่แปลกใจ รับคำแล้วบอกจย่าว่าไปไม่นานก็จะกลับมา ก่อนจะตามซื่อเหรินฉวีไป

ในกระโจม ฉู่หวังเพิ่งปรึกษาข้อราชกิจกับขุนนางที่ตามเสด็จแล้วเสร็จ ได้ยินซื่อเหรินทูลว่าแรงงานหญิงโม่มาถึงแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นมาจากแผนที่

นางยังคงสวมชุดคนรับใช้ หลังจากเดินทางมาหนึ่งวัน สารรูปดูเหน็ดเหนื่อยทรุดโทรมลงหลายส่วน ที่เท้ายังมีโคลนเลนติดอยู่ คงเพราะสวมหมวกไม้ไผ่ เส้นผมของนางจึงดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย แต่กลับขับดุนให้ใบหน้าดวงนั้นยิ่งดูมีชีวิตชีวา แสงเทียนในกระโจมสั่นไหว นัยน์ตาคู่นั้นสุกใสแวววาวราวกับพูดได้เช่นนั้น

“บาดแผลเป็นอย่างไรบ้าง” ฉู่หวังเอ่ยปากถามขึ้น

เชียนโม่แปลกใจ คนผู้นี้เอาแต่ถามถึงบาดแผลของเธอ คล้ายกลัวเธอจะทำงานไม่ไหว ตัวเองจะเสียเปรียบเช่นนั้น

“ไม่เป็นไรแล้วเพคะ” เชียนโม่กล่าว

ฉู่หวังพยักหน้า “อีกสองวันก็จะถึงเมืองหลัว มีรายงานว่ามีโรคไข้จับสั่น เจ้าต้องไปช่วยรักษา”

เชียนโม่รู้ว่าย่อมต้องมีวันนี้ก็รับปาก

หลังจากฉู่หวังสั่งกำชับเสร็จก็ไม่ได้พูดอะไรอีก โบกมือให้นางล่าถอยออกไป ตัวเองก็ดูแผนที่บนโต๊ะต่อ ใบหน้าภายใต้แสงเทียนเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง

เชียนโม่เดินออกไป ยังคิดจะกลับไปหาจย่า ซื่อเหรินฉวีกลับเดินเข้ามาบอกว่า “แรงงานหญิงโม่ เจ้าไม่ต้องกลับไปแล้ว ต้าหวังให้ข้าจัดกระโจมที่พักให้เจ้าแล้ว”

เชียนโม่ประหลาดใจ พูดตามตรง เธอไม่อยากรั้งอยู่ที่นี่ แต่ซื่อเหรินฉวีไม่เปิดโอกาสให้เธอได้พูดอะไร สั่งให้คนไปเอาสัมภาระเดินทางของเธอมา

แม้จะบอกว่าเป็นกระโจมที่พัก แต่ความจริงแล้วโกโรโกโสมาก ก็แค่มีเพิงบังฝนที่คนอื่นไม่มีเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น ตกกลางคืนเชียนโม่ใช้ผ้าห่มพันตัว ไม่ง่ายเลยกว่าจะหลับลงได้

 

ฉู่หวังไปเดินตรวจตราบริเวณใกล้เคียงรอบหนึ่งกลับมา เหลือบไปเห็นเงาร่างในกระโจมเล็กที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล

บนพื้นมีกองไฟ หญิงผู้นั้นขดตัวอยู่ในกระโจม บนร่างมีเสื้อตัวยาวห่ออยู่ ใบหน้าด้านข้างโผล่ออกมาครึ่งหนึ่ง คล้ายกำลังหลับสนิท ฉู่หวังมองๆ ขณะคิดจะหมุนตัวไป เชียนโม่พลันขยับตัวคล้ายถูกยุงรบกวน สุดท้ายก็เอาหน้าซุกเข้าไปในเสื้อตัวยาวเสียเลย

“ต้าหวัง” ซื่อเหรินฉวีเดินมาเอ่ยเสียงต่ำ “จะเสวยพระกระยาหารหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่ต้อง” ฉู่หวังกล่าวตอบ ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยถาม “มีอ้ายเฉ่าหรือไม่”

ซื่อเหรินฉวีงงงันแล้วตอบ “มีพ่ะย่ะค่ะ”

“เอามาสุมในกองไฟละแวกใกล้ๆ นี้สักหน่อย” ฉู่หวังพูดจบก็เดินเข้ากระโจมไป

เป็นไปตามที่ฉู่หวังกล่าว หลังจากนั้นสองวันทัพฉู่ก็มาถึงเมืองหลัว

เชียนโม่ถามซื่อเหรินฉวีมาแล้ว ที่นี่เดิมก็เป็นแคว้น ชื่อแคว้นหลัว ถูกฉู่อู่หวังเข้ายึดครอง ต่อมาจึงตั้งเป็นเมือง กองทัพฉู่ที่ตั้งมั่นรักษาการณ์อยู่ที่เมืองหลัวมีจำนวนหมื่นกว่าคน ชาวยงรุกรานด้านตะวันออก เมืองหลัวเป็นด่านสำคัญที่ต้องพิทักษ์รักษาไว้ให้ได้ คิดไม่ถึงว่ากลับต้องมาเจอกับไข้จับสั่น ทำให้เจ้าเมืองร้อนใจมาก

เชียนโม่มีประสบการณ์ในการรักษาจากภูเขาถงลวี่มาแล้ว จึงไม่ลนลาน เธอตรวจดูคนป่วยอย่างละเอียด และซักถามข้อปลีกย่อยเกี่ยวกับอาการป่วยของพวกเขา แน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรต่างจากโรคระบาดที่ภูเขาถงลวี่ในครั้งนั้น ฉู่หวังให้ความสำคัญกับเรื่องรักษาโรคมาก ส่งคนกว่าหนึ่งร้อยมาช่วยเชียนโม่เก็บตัวยาสมุนไพร เคี่ยวยาและตามเธอไปดูแลคนป่วย

เพื่อจะรักษาโรคไข้จับสั่น ทหารและชาวบ้านในเมืองหลัวได้ทำพิธีร่ายรำขับไล่ภูตผีปีศาจ แต่ก็ไม่ได้ผลอะไรแม้แต่น้อย เดิมก็หวาดผวากระสับกระส่ายร้อนใจอยู่ตลอดเวลา ตอนแรกที่ได้ยินว่าหญิงสาวที่ฉู่หวังพามาด้วยรักษาโรคระบาดได้ก็ยังไม่ค่อยเชื่อ ทว่าหลังจากนั้นไม่นานคนป่วยที่ได้กินยาก็เริ่มดีขึ้น ทุกคนต่างเห็นด้วยตาตนเองก็เปลี่ยนจากทุกข์ใจมาเป็นดีอกดีใจ

“คิดไม่ถึงว่าหมอท่านนี้จะเก่งกาจเช่นนี้” เจ้าเมืองดีใจมาก หันไปกราบคารวะฉู่หวัง “เป็นพระเมตตาของต้าหวังโดยแท้!”

ฉู่หวังยิ้ม “เพราะไท่อีและซือมิ่ง* ช่วยปกปักรักษา”

เขามองไปยังที่ห่างออกไปไม่ไกล เชียนโม่กำลังยกยาถ้วยหนึ่งเดินเข้าไปในเพิง แล้วนั่งลงที่ข้างเตียงผู้ป่วยคนหนึ่ง เงาร่างนั้นกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่เฉกเช่นที่นางเคยให้คำมั่นไว้

พูดตามตรง ตอนได้ยินว่าการรักษาประสบความสำเร็จ ฉู่หวังถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เขายกทัพมาทำศึกทางตอนเหนือในครั้งนี้ เดิมก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากอยู่แล้ว แคว้นฉู่เพิ่งผ่านภัยแล้งมา กำลังโภคทรัพย์เหือดแห้ง หลายด้านประสบความลำบากยากแค้น ขวัญกำลังใจของทัพฉู่ก็ได้รับผลกระทบ ถ้าต้องมาถูกบั่นทอนด้วยโรคระบาดอีกก็เกรงว่าคงยากจะรับไหว

โชคดีที่เขาไม่ได้มองผิด แรงงานหญิงโม่ผู้นี้พอจะมีความสามารถอยู่บ้าง

 

ข่าวการรักษาโรคระบาดในเขตเมืองหลัวแพร่กระจายออกไป กงซุนหรงแห่งแคว้นฉินได้ยินแล้วก็ประหลาดใจมาก

“สตรีที่สามารถรักษาโรคไข้จับสั่นได้” เขาตื่นตะลึง “เป็นใครกัน”

“ได้ยินว่าเป็นแรงงานหญิงคนหนึ่ง” ผู้ติดตามตอบ

กงซุนหรงพยักหน้า มีท่าทีสนใจมาก ดินแดนทางตอนใต้ กล่าวสำหรับคนทางตอนเหนือแล้วใช่จะย่างก้าวเข้าไปได้ง่ายๆ ที่นี่ภูมิประเทศดินฟ้าอากาศล้วนแตกต่างจากทางเหนืออย่างสิ้นเชิง อากาศร้อนชื้นเป็นพิษที่ซุกซ่อนอยู่ตามป่าเขาลำน้ำยิ่งทำให้คนได้ยินแล้วหน้าเปลี่ยนสี แม้แต่ชาวโจวที่แข็งแกร่งเกรียงไกรในตอนนั้นก็ยังเคยเผชิญกับโรคไข้จับสั่นในระหว่างยกทัพมาโจมตีแคว้นฉู่ ทำให้ต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อย

ถ้าสามารถรักษาได้…

ผู้ติดตามมองสีหน้าของกงซุนหรง เอ่ยเสียงต่ำ “กงซุน ผู้น้อยได้ยินว่าหญิงผู้นั้นอยู่ในทัพฉู่ หรือว่า…”

* ไท่อีคือเทพผู้ก่อกำเนิดฟ้าดิน ซือมิ่งคือเทพผู้ควบคุมดูแลชะตาชีวิตของมนุษย์

“แล้วอย่างไร” กงซุนหรงเอ่ยเสียงเรียบ “อย่าลืมว่าฉินและฉู่เป็นพันธมิตรกันแล้ว ไม่อาจกำเริบเสิบสาน”

ผู้ติดตามได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็ได้แต่รับปาก

 

ยามราตรี เชียนโม่ให้ผู้ป่วยคนสุดท้ายดื่มยาลงไป

คนผู้นั้นเป็นทหารหนุ่มคนหนึ่ง เขาพูดพึมพำกับเธอสองประโยค เขาคงเป็นคนเมืองหลัว เชียนโม่ฟังไม่ออกแม้แต่คำเดียว แต่ดูจากสีหน้าท่าทางของเขา เชียนโม่รู้ว่าเขากำลังขอบคุณตน

เชียนโม่ยิ้มให้เขา ให้เขาพักผ่อน แล้วลุกขึ้นเดินออกจากเพิงที่พัก

เธอแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ดวงจันทร์ลอยอยู่ตรงศีรษะ เที่ยงคืนแล้ว

สองวันมานี้เธอทำงานหนักไม่รู้วันรู้คืน ร่างกายเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้ายิ่ง แต่ความฮึกเหิมในการทำงานเต็มเปี่ยม เธอเป็นคนเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง ไม่มีจิตใจเป็นห่วงเป็นใยเช่นผู้เป็นหมอ แต่เพราะเรื่องที่จะกลับบ้านทำให้สองเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องเดียวกัน ตอนนั้นเธอรับปากฉู่หวังไว้ว่าจะรักษาโรคไข้จับสั่นให้หาย เมื่อรักษาหายแล้วฉู่หวังก็จะปล่อยเธอไป ส่งเธอกลับไปที่ดินแดนของชนเผ่าซูแห่งนั้น

ตอนนี้เธอทำสำเร็จลุล่วงแล้ว

เชียนโม่คิดการวางแผน บางทีพรุ่งนี้เธออาจไปเอ่ยถึงเรื่องนี้กับฉู่หวังได้แล้ว ให้เขาทำตามคำมั่นสัญญา

ขณะเดินกลับที่พัก เชียนโม่เดินผ่านนายทหารหลายคน ได้ยินพวกเขากำลังพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้นฮึกเหิม เหมือนกำลังพูดถึงการทำศึกที่แนวหน้า ทัพฉู่ออกโจมตีชาวหมีและไป่ผู รุกไล่จนพวกเขาล่าถอยไปแล้ว

เชียนโม่ใจเต้นแรงขึ้นมา นี่เป็นข่าวดี ทำศึกได้ชัยชนะ ฉู่หวังย่อมต้องดีใจ ในเวลาเช่นนี้เอ่ยเรื่องคำสัญญากับเขาเป็นช่วงจังหวะที่ไม่เลวเลย…

แต่แล้วในเวลานี้เองก็มีเสียงตะโกนอย่างร้อนรนของซื่อเหรินฉวีดังมาจากข้างหน้า

“แรงงานหญิงโม่! แรงงานหญิงโม่!” เขาวิ่งพลางกวักไม้กวักมือเรียกนาง

เชียนโม่งงงัน ซื่อเหรินฉวีก็ตรงเข้าคว้าแขนนาง ดึงให้วิ่งไปข้างหน้า “เร็ว! รีบตามข้าไปดูต้าหวัง!”

“เกิดอะไรขึ้นหรือ” เชียนโม่ไม่เข้าใจ

ซื่อเหรินฉวีหอบเหนื่อยหายใจไม่ทัน กวาดตามองไปรอบด้านแล้วกระซิบเสียงต่ำ “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! ต้าหวังล้มป่วยแล้ว!”

 

แคว้นฉู่เพิ่งผ่านภัยอดอยากแห้งแล้ง ฉู่หวังกรีธาทัพออกทำศึก เสบียงกรังเป็นเรื่องตึงเครียดที่สุด

เพื่อจะปลุกเร้าขวัญกำลังใจของทหาร การกรีธาทัพในครั้งนี้ฉู่หวังไม่ได้พาพ่อครัวจากวังหลวงมาด้วย ตลอดทางที่ผ่านมา ทุกมื้อก็จะกินอาหารร่วมกับนายทหารในกองทัพ หลังจากมาถึงเมืองหลัว เขายังเคยไปตรวจเยี่ยมทหารที่ป่วยในเพิงที่พักด้วยตนเอง การกระทำเหล่านี้ได้ผลเป็นอย่างมาก ทหารของแคว้นฉู่ทุกระดับชั้นขวัญกำลังใจพุ่งสูงขึ้น หลังจากนั้นไม่นานก็มีข่าวชัยชนะตามมา แคว้นหมีและไป่ผูถอยทัพ

ฉู่หวังดีใจเป็นอย่างยิ่ง รีบเรียกประชุมปรึกษาหารือ สั่งให้ถอนค่ายพักในวันรุ่งขึ้นแล้วยกกำลังเข้าโจมตีแคว้นยง

แต่ในคืนนั้นเองฉู่หวังกลับมีไข้สูงขึ้นมาอย่างฉับพลันกะทันหัน เสี่ยวเฉินฝูที่คอยดูแลปรนนิบัติกลัวจนมือไม้อ่อนไปหมด รีบให้คนไปตามเชียนโม่

เชียนโม่มาถึงห้องพักของฉู่หวัง เพียงเห็นเขานอนอยู่บนเตียง มีผ้าห่มหนาคลุมตัว เสี่ยวเฉินฝูเอาผ้าชุบน้ำหมาดๆ วางอยู่บนหน้าผากของเขา เชียนโม่เดินเข้าไปตรวจดูอย่างละเอียด ดวงตาทั้งสองของเขาหลับสนิท ลมหายใจถี่กระชั้น คล้ายไม่สบายตัวอย่างมาก คลำดูที่หน้าผากก็ร้อนจัด

จู่ๆ ฉู่หวังก็ลืมตาขึ้น ประกายตาดุดันทำเอาเชียนโม่สะดุ้งตกใจ

“กว่าเหรินไม่ได้ป่วย…” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว น้ำเสียงกลับคล้ายกำลังเพ้อ

เชียนโม่อับจนปัญญา “ต้าหวังป่วยหรือไม่ ข้าจะเป็นคนบอกเอง” พูดจบเธอก็หันไปทางเสี่ยวเฉินฝู “ต้าหวังเริ่มมีอาการมานานแค่ไหนแล้ว”

“ก็ตั้งแต่หลังจากกินอาหารเย็น” เสี่ยวเฉินฝูตอบ “ตอนแรกต้าหวังบอกว่ารู้สึกเย็น สั่งให้ข้าไปเอาเสื้อมา แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มึนหัวลงไปนอนพัก ตอนข้าไปดูก็ตัวร้อนสูงไม่ลด”

เชียนโม่นิ่งเงียบ คลำมือของฉู่หวังที่ใต้ผ้าห่ม จับชีพจรของเขาแล้วแหวกเปลือกตาดู ดูฝ้าที่ลิ้น อย่างน้อยดูจากสภาพที่เห็น นี่เป็นอาการของไข้มาลาเรียไม่ผิดแน่

มีคนรายงานเรื่องนี้ให้ซือหม่าโต้วเจียวและขุนนางใกล้ชิดหลายคนทราบแล้ว พวกเขาเร่งรุดมา เห็นฉู่หวังอยู่ในสภาพเช่นนี้ต่างก็มีสีหน้าร้อนใจ

“ซือหม่าพูดไว้ไม่ผิด” ผู้คนรอบข้างเริ่มพากันแสดงความคิดเห็น “นี่จะทำอย่างไรกันดี”

“พรุ่งนี้ก็จะโจมตีแคว้นยงแล้ว ต้าหวังกลับมาประชวร…”

“เรื่องนี้เป็นความบกพร่องของพวกเจ้า!” โต้วเจียวกล่าวตำหนิพวกเสี่ยวเฉินฝู “ตอนต้าหวังเสด็จไปตรวจเขตโรคระบาด ข้าก็บอกแล้วว่าโรคไข้จับสั่นยากแก่การระวัง ต้าหวังฐานะสูงศักดิ์ ให้ไปเสี่ยงอันตรายง่ายๆ ได้อย่างไร เวลานี้การศึกกำลังคับขัน หากเกิดอะไรขึ้นกับต้าหวัง กองทัพจะทำอย่างไร แคว้นฉู่จะทำอย่างไร พวกเจ้าจะต้องได้รับโทษอย่างหนัก!”

เสียงของเขาดังก้องกังวานน่าหวาดหวั่น เสี่ยวเฉินฝูและคนอื่นๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเขา” ในเวลานี้เองมีเสียงหนึ่งดังขึ้น “โรคนี้จะฟักตัวอยู่ระยะหนึ่งแล้วจึงปะทุออกมา ต้าหวังประชวรในวันนี้ น่าจะติดโรคมาตั้งแต่ถงซานแล้ว”

โต้วเจียวงงงัน แล้วก็เห็นผู้พูดเป็นสตรีผู้หนึ่ง นางนั่งอยู่ข้างเตียงฉู่หวัง เอามือของเขาวางกลับเข้าไปในผ้าห่มแล้วลุกขึ้นยืน

เชียนโม่มองมาที่โต้วเจียวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เวลานี้ต้าหวังกำลังประชวร ทุกท่านโปรดลดเสียงลงหน่อย”

โต้วเจียวคิดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าโต้แย้งเขา อดโมโหไม่ได้ เอ่ยเสียงเย็น “ทาสต่ำต้อยมาจากไหนกัน”

ท่าทางของเขาเปี่ยมพลังอำนาจดุดัน เชียนโม่หวั่นหวาดขึ้นมาหลายส่วน แต่ก็ไม่ยอมอ่อนข้อ ในใจของเธอก็มีเพลิงโทสะ เดิมคิดว่าพรุ่งนี้ตนก็จะบอกเรื่องที่จะจากไปกับฉู่หวังได้แล้ว คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เขาก็จะล้มป่วย พอจะทำการรักษา คนกลุ่มนี้ก็มาก่อกวน

“กว่าเหรินไม่เป็นไร” ในเวลานี้เองเสียงของฉู่หวังก็ดังขึ้น

ทุกคนต่างมองด้วยความแปลกใจ แล้วก็เห็นฉู่หวังประคองตัวขึ้นมานั่งบนเตียง

เชียนโม่เองก็ประหลาดใจ ชายตาไปเห็นซื่อเหรินฉวีขยิบตาให้ เธอลังเลอยู่ชั่วขณะแล้วก็รีบเข้าไปประคองเขา

โต้วเจียวและคนอื่นๆ รีบทำความเคารพ

“กว่าเหรินไม่เป็นไร” ฉู่หวังพูดจาช้ากว่าปกติเล็กน้อย แต่ก็ไม่อ่อนแรง สีหน้าของเขาออกจะซีด แต่ดวงตาทั้งสองดูมีกำลังฮึกเหิม “พวกท่านไม่ต้องพูดอะไรกันมาก ยังคงทำตามแผนที่ตกลงกันไว้ พรุ่งนี้ถอนค่ายออกเดินทาง ยกทัพไปปราบยง!”

ทุกคนได้ยินฉู่หวังตรัสเช่นนี้ก็พากันรับคำ

ฉู่หวังโบกๆ มือ ทุกคนต่างไม่กล้ารั้งอยู่ต่อ พากันล่าถอยออกไป

โต้วเจียวยังอยากจะพูดอะไรอีก เสี่ยวเฉินฝูก้าวออกมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ซือหม่า ต้าหวังติดโรคไข้จับสั่น ยังต้องทำการรักษา ซือหม่ายังคง…” เขาเน้นย้ำคำว่าไข้จับสั่นเล็กน้อย โต้วเจียวสีหน้าแปรเปลี่ยน มองฉู่หวังแวบหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินออกไป

ในที่สุดในห้องก็เงียบสงบลง เชียนโม่ประคองฉู่หวังกลับลงนอนอีกครั้ง

เมื่อครู่เห็นชัดว่าเขาแข็งใจประคองตัวไว้ หลังจากนอนลงก็กลับไปอยู่ในสภาพอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเช่นก่อนหน้านี้ทันที เชียนโม่คลำๆ หน้าผากของเขา ยังคงร้อนแทบลวกมือ

เพิงที่พักทางด้านโน้นยังมียาน้ำอยู่ ซื่อเหรินฉวีไปแบ่งเอามา เชียนโม่ให้เสี่ยวเฉินฝูยกศีรษะฉู่หวังขึ้นเล็กน้อยแล้วป้อนยาไปที่ปากของเขา

“ต้าหวัง เสวยพระโอสถ” เสี่ยวเฉินฝูเอ่ยเสียงนุ่มนวลอยู่ด้านข้าง

ฉู่หวังลืมตาขึ้นมา สายตากลับจับนิ่งอยู่ที่ใบหน้าเชียนโม่

“เมื่อครู่เจ้าบอกว่า…ที่กว่าเหรินล้มป่วยอยู่นี้ ติดมาจากถงซานหรือ” เขาเอ่ยเสียงแผ่ว

เชียนโม่แปลกใจ คิดไม่ถึงว่าเขาจะถามเรื่องนี้ “ใช่เพคะ”

“เจ้ารู้ได้อย่างไร”

เชียนโม่พูดไม่ออก ตอนอยู่โรงเรียน ชมรมที่เธอเป็นสมาชิกเคยจัดให้มีการฝึกอบรมหัวข้อพิเศษเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยของชุมชนหลายครั้ง ไข้มาลาเรียเป็นโรคที่พบได้บ่อย ความรู้พื้นฐานทั่วไปเธอยังมีอยู่บ้าง ตอนนั้นข้อแนะนำของอาจารย์ที่มาอบรมก็คือเมื่อได้รับเชื้อไข้มาลาเรียให้รีบส่งโรงพยาบาล แต่อยู่ที่นี่ก็คงได้แต่ใช้ตำรายาของคุณย่ามารักษา

เรื่องเหล่านี้เธอจนปัญญาจะอธิบายให้ฉู่หวังเข้าใจได้ ได้แต่บอกว่า “โรคนี้ก็เป็นเช่นนี้ คนที่ถ่ายทอดตำรายาให้ข้าเป็นคนบอก”

ฉู่หวังมองนาง ไม่ได้พูดอะไรอีก ครู่หนึ่งก็ประคองถ้วยดื่มยาลงไป

“ขม…” เพิ่งดื่มได้สองคำ ฉู่หวังก็นิ่วหน้า เบือนหน้าหนี

เชียนโม่จนปัญญา จำต้องเติมน้ำลงไปเล็กน้อยแล้วป้อนต่อ

กว่าฉู่หวังจะดื่มยาหมดแล้วกลับนอนลงไป เชียนโม่เองก็เหงื่อท่วมตัว ซื่อเหรินฉวีหยิบเสื้อผ้าแห้งมา เปลี่ยนเสื้อที่ชื้นไปด้วยเหงื่อให้ฉู่หวังแล้วห่มผ้าห่มให้ใหม่ รอจนจัดการทุกอย่างเสร็จ เชียนโม่ก็กลับเข้ามา เอาผ้าที่ชุบน้ำเย็นบิดหมาดมาวางไว้บนหน้าผากให้เขา

ฉู่หวังคล้ายรู้สึกสบายขึ้นแล้ว ใบหน้าดูสงบขึ้น ไม่นานก็หลับไป

เชียนโม่นั่งอยู่ข้างๆ มองเขา แต่ร่างกายก็เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าเต็มที

เวลาดึกโขแล้ว เสี่ยวเฉินฝูเดินเข้ามา “แรงงานหญิงโม่ คืนนี้เจ้า…”

“ข้าจะเฝ้าอยู่ที่นี่” เชียนโม่เอ่ยเสียงเรียบ

สีหน้าของเสี่ยวเฉินฝูดูผ่อนคลายลง มองนางแวบหนึ่ง แล้วหันไปจัดสรรผู้ติดตามให้เฝ้าเวรยาม

ค่ำคืนนี้ฉู่หวังผ่านไปด้วยความทุกข์ทรมาน ร่างกายเดี๋ยวหนาวจนตัวสั่น เดี๋ยวก็ร้อนจนคล้ายถูกไฟเผา ลำคอคล้ายถูกคนบีบไว้เช่นนั้น

แต่ทุกครั้งที่เขากำลังทุกข์ทรมานอย่างมาก ก็จะมีเรื่องที่ทำให้เขายิ่งทุกข์ทรมานมากขึ้น มีอยู่หลายครั้งที่เขากำลังสะลึมสะลือก็ถูกคนยกศีรษะขึ้นมา จากนั้นปากก็ถูกกรอกยาน้ำที่ฝาดขม ฉู่หวังแต่ไรมาก็เกลียดการดื่มยา เขาคิดจะบอกให้ผสมน้ำผึ้งลงไป แต่กลับพูดอะไรไม่ออก ทันใดนั้นจมูกของเขาก็ถูกบีบเอาไว้ ยาน้ำก็ไหลเข้ามาในปากคำโตๆ…

ฉู่หวังในใจโกรธโมโห ได้แต่ก่นด่าในช่วงมีสติเลือนราง รอข้าตื่นขึ้นมาเมื่อไรจะลากไปให้รถแยกร่างให้หมด…

แต่ไม่นานเขาก็เริ่มรู้สึกว่าความรู้สึกหนักอึ้งราวกับหินก้อนใหญ่กดทับร่างไว้ค่อยๆ เบาลง คล้ายสมัยเด็กตอนจมน้ำ ขณะกำลังสิ้นหวังอยู่นั้นก็มีมือคู่หนึ่งยื่นมาดึงตัวเขาขึ้นจากน้ำ

หน้าผากรู้สึกเย็นๆ คล้ายมีใครกำลังเช็ดให้เบาๆ

เขาหลับตาอยู่ รู้สึกเหมือนนอนอยู่บนก้อนเมฆ จิตใจสงบ…

หลังจากหลับใหลไปอย่างยาวนาน เขาก็ถูกเสียงนกร้องจุ๊บๆ จิ๊บๆ ทำให้ตื่นขึ้น

ครั้นลืมตาขึ้น มีแสงสว่างจางๆ ลอดเข้ามาจากนอกหน้าต่าง ส่องกระทบผ้าม่าน แลดูโปร่งใสและนุ่มนวล

ฉู่หวังยังคงรู้สึกตัวหนักๆ อยู่บ้าง พอขยับตัว ผ้าเปียกผืนหนึ่งก็ลื่นหล่นลงมาจากหน้าผาก จากนั้นเขาก็พบว่าที่ข้างเตียงมีคนอยู่

เชียนโม่ฟุบอยู่ที่โต๊ะไม่ขยับ กำลังหลับสนิท ที่ข้างเท้านางมีอ่างไม้ใบหนึ่งวางไว้ ในนั้นมีน้ำอยู่

ฉู่หวังงงงัน นึกถึงเรื่องต่างๆ เมื่อคืนตอนที่ตนรู้สึกไม่สบาย นางก็อยู่ข้างๆ คอยดูแลตลอดเวลากระมัง

นางนอนอยู่ใกล้มาก ฉู่หวังเอียงหน้า เห็นแพขนตาที่หลุบต่ำของนาง บนผิวพรรณละเอียดนวลเนียนมีประกายสุกใสจางๆ

เขาคิดจะปลุกนางให้ตื่นขึ้นมา แต่อ้าปากขึ้นแล้วกลับหุบลง

ในห้องเงียบมาก คล้ายเงียบจนได้ยินเสียงหายใจเบาๆ ของนาง

หลังจากจ้องมองอยู่พักหนึ่ง ฉู่หวังก็ดึงสายตากลับแล้วหลับตาลง ร่างกายรู้สึกเกียจคร้าน ไม่อยากขยับแม้แต่น้อย เขาคิดในใจ นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ทำเช่นนี้ เพียงนอนเงียบๆ ก็รู้สึกมีความสุขอย่างมาก

แต่ช่วงเวลาเช่นนี้ไม่ได้คงอยู่นานนัก เสี่ยวเฉินฝูเดินเข้ามา พบว่าฉู่หวังตื่นอยู่ก็ตกใจและดีใจ รีบก้าวเข้ามา “ต้าหวัง…”

ฉู่หวังยกมือทำท่าให้เขาเงียบเสียง ทว่าไม่ทันแล้ว เชียนโม่ได้ยินเสียงก็ตื่นขึ้นมา

เห็นฉู่หวัง เชียนโม่ก็รีบยืดตัวขึ้นมาขยี้หูขยี้ตา

“ข้า…” เชียนโม่กลัวเสี่ยวเฉินฝูจะว่าเธอละเลย กำลังจะอธิบาย ลำคอกลับคล้ายมีอะไรคาอยู่ พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

“เอาน้ำมา” ในเวลานี้เองฉู่หวังก็เอ่ยปากขึ้น สายตาชำเลืองมองใบหน้าที่ถูกทับจนเป็นรอยแดงของนาง “กว่าเหรินกระหายน้ำแล้ว”

 

ฉู่หวังปลอดภัยดีแล้ว แม้เรื่องนี้จะอยู่ในความคาดหมายของเชียนโม่อยู่แล้ว แต่เห็นเขาอาการดีขึ้น เธอก็ยังรู้สึกวางใจลง

หลังจากซื่อเหรินฉวีช่วยผลัดเปลี่ยนภูษาให้ฉู่หวังแล้ว เชียนโม่ก็เดินเข้ามา มือข้างหนึ่งวางไปบนหน้าผากของเขา อีกข้างหนึ่งก็วางอยู่ที่หน้าผากตนเอง ฝ่ามือนั้นนุ่มนิ่ม มีความเย็นเล็กน้อย ครู่หนึ่งก็เอามือออก แล้วจับมือฉู่หวังมาตรวจดูชีพจร

“ต้าหวังยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่เพคะ” เชียนโม่ถาม

ฉู่หวังมองนาง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงบอก “ไม่สบายไปทั่วทุกส่วน”

เชียนโม่อึ้งตะลึงไปชั่วขณะ “ทั่วทุกส่วน?”

“มึนหัว ร่างกายไม่มีเรี่ยวแรง”

เชียนโม่เข้าใจแล้ว “เพิ่งหายจากไข้ มึนหัวไร้เรี่ยวแรงเป็นเรื่องปกติ ต้าหวังพักผ่อนให้มากก็จะดีขึ้น”

ฉู่หวังส่งเสียงอืมออกมาคำหนึ่ง รอซื่อเหรินฉวีติดตะขอสายคาดเอวให้เสร็จก็ถามเสี่ยวเฉินฝู “ยามอะไรแล้ว ไม่ใช่บอกวันนี้จะถอนค่ายหรือ”

เสี่ยวเฉินฝูรีบทูล “ใกล้ยามอู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่ต้าหวังบรรทมอยู่ พวกกระหม่อมเกรงจะรบกวนต้าหวัง…”

ยังพูดไม่ทันจบ ใบหน้าของฉู่หวังก็เคร่งขรึมลง “เมื่อคืนกว่าเหรินพูดไปแล้ว เช้าวันนี้ให้ถอนค่าย พวกเจ้าไม่ได้ยินหรือ ซือหม่าอยู่ที่ใด ไปตามเขามา!”

เสี่ยวเฉินฝูรีบรับคำแล้วล่าถอยออกไป

ไม่นานโต้วเจียวก็มาถึง เห็นฉู่หวังยืนอยู่หน้าห้องโถงก็รีบทำความเคารพ

ฉู่หวังสีหน้าไม่พอใจ ตำหนิเขาพักใหญ่

โต้วเจียวชี้แจง “ต้าหวังประชวร พวกกระหม่อมจึงปรึกษากัน เลื่อนเวลาออกไปอีกสักหน่อย”

“กว่าเหรินยังไม่ตาย!” ฉู่หวังตะคอก “เรื่องถอนค่ายปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว เหตุใดยังจะเปลี่ยนแปลง ทำให้การยกทัพไปปราบปรามเกิดความล่าช้า เป็นความผิดของกว่าเหริน! ถ่ายทอดคำสั่ง ออกเดินทางเดี๋ยวนี้ ไม่อาจโอ้เอ้ชักช้าอีก!”

โต้วเจียวจำต้องทำความเคารพอีกครั้ง แล้วล่าถอยออกไปถ่ายทอดคำสั่ง

“ต้าหวังหายเร็วเช่นนี้ ไม่ใช่บอกว่าเป็นไข้จับสั่นหรือ” โต้วซังเห็นโต้วเจียวกลับมาก็รีบเข้าไปถาม

โต้วเจียวมองๆ ราชรถของฉู่หวังด้วยสีหน้าไม่พอใจ ไม่ได้ตอบ กลับเอ่ยถาม “คนของต้าหวังที่รักษาไข้จับสั่นได้ผู้นั้นเป็นแรงงานหญิงอะไร”

“แรงงานหญิงโม่” โต้วซังกล่าว “ได้ยินว่าเดิมเป็นแรงงานหญิงในถงซาน”

โต้วเจียวคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไร ส่งเสียงอืมคำหนึ่งแล้วถ่ายทอดคำสั่งของฉู่หวังออกไป ตัวเองก็ตรงไปขึ้นรถ

 

เสียงรัวกลองเป่าสัญญาณดังไปทั่วบริเวณ

เรื่องฉู่หวังติดโรคระบาดเล่าลือกันไปทั่วตั้งแต่ตอนเช้าตรู่ ทั้งผู้น้อยผู้ใหญ่ต่างตื่นตระหนกตกใจ นอกจากเป็นห่วงเขาแล้วก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ว่าการยกทัพออกมาปราบปรามข้าศึกในครั้งนี้ยังจะดำเนินต่อไปได้หรือไม่ คิดไม่ถึงว่าฉู่หวังจะปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนในชุดจอมทัพ แล้วสั่งให้ถอนค่ายออกเดินทาง แม้สีหน้าของเขาจะยังดูออกว่าป่วย แต่กลับไม่มีท่าทีอ่อนแอให้เห็น ชาวฉู่ทุกคนต่างมีขวัญกำลังใจฮึกเหิม ไชโยโห่ร้องขึ้นแล้วถอนค่ายทันที

ทุกหนแห่งมีแต่คนทำงานยุ่งวุ่นวาย เหล่าผู้ติดตามฉู่หวังต่างก็เดินไปเดินมา เก็บข้าวของเอาขึ้นไปไว้บนรถ สัมภาระของเชียนโม่มีไม่มาก หลังจากเก็บเรียบร้อยก็มองผู้คน อดรู้สึกสองจิตสองใจไม่ได้

เธอได้ยินว่าการออกเดินทางครั้งนี้ก็จะไปปราบปรามแคว้นยงแล้ว แคว้นยงอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ นั่นก็หมายความว่าอีกไม่นานกองทัพของทั้งสองฝ่ายอาจจะต้องประจันหน้ากัน เรื่องเข้าสนามรบไม่ได้อยู่ในแผนการของเชียนโม่ อาการป่วยของฉู่หวังไม่เป็นไรแล้ว เธอไม่น่าจะต้องติดตามไปด้วยแล้วกระมัง เดิมทีเธอคิดว่าเธอทำหน้าที่ของตนเสร็จสิ้นแล้ว วันนี้ก็จะบอกฉู่หวังขอแยกจากไป…

“แรงงานหญิงโม่!” เสียงซื่อเหรินฉวีดังขึ้น เขาหันมากวักมือให้ “เจ้ายืนอยู่ตรงนั้นทำอะไร ต้าหวังจะขึ้นรถแล้ว รีบไปเตรียมตัว!”

เชียนโม่รับคำ จำต้องเดินเข้าไป

ฉู่หวังแม้จะดีขึ้นแล้ว จะอย่างไรก็ล้มป่วยหนัก ร่างกายยังอ่อนแอ การออกเดินทางในครั้งนี้เขาไม่นั่งราชรถที่ดูมีสง่าน่าเกรงขามอีก หากแต่เปลี่ยนมานั่งรถอัน* ที่สี่ด้านปิดมิดชิด นั่งได้นอนได้ บรรดาซื่อเหรินได้เอาผ้าห่มหนาๆ มาปูไว้ในรถ เพื่อฉู่หวังจะได้พักผ่อนได้สะดวก ทั้งเอายาที่เคี่ยวเสร็จแล้วใส่ไว้ในโถทองแดง เตรียมไว้ดื่มระหว่างทาง

ทุกสิ่งจัดเตรียมพร้อมสรรพ เมื่อฉู่หวังมาถึง มองๆ การจัดวางภายในรถแล้วก็เหยียดมุมปากออกอย่างน้อยครั้งจะได้เห็น

ว่ากันตามสัตย์จริง การล้มป่วยในครั้งนี้ทำให้ปณิธานความมุ่งมั่นของเขาหดหายไปมาก เขากรีธาทัพมาด้วยตนเองก็เพื่อสร้างอานุภาพ รวบรวมจิตใจผู้คน เขาปรารถนาจะเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นที่มีความเข้มแข็งเด็ดขาด บุกไปทางไหนข้าศึกก็แหลกราบไปทางนั้นในสายตาของทุกคน ทว่าคนคำนวณจะอย่างไรก็ไม่สู้ฟ้าลิขิต เขาถึงกับเกือบจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เสียแล้ว

“ต้าหวัง เชิญเสด็จขึ้นรถพ่ะย่ะค่ะ” คนขับรถประสานมือแล้วเอ่ยขึ้น

ฉู่หวังขึ้นนั่งบนรถ กวาดตามองไปรอบด้าน เห็นในอ่างเคลือบที่มุมหนึ่งมีผ้าเปียกวางอยู่ ความทรงจำเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมา แววตาของเขาสั่นไหว

ก็ใช่จะเลวร้ายไปเสียทั้งหมด…ในใจมีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“แรงงานหญิงโม่…” ในเวลานี้เองมีเสียงคนทักทายกันดังมาจากด้านนอก ฉู่หวังรีบหันหน้าไปทันที

เชียนโม่เดินเข้ามาพลางมองฉู่หวัง

“ต้าหวัง ข้ามีเรื่องจะกราบทูล” เชียนโม่กล่าว ในดวงตามีแววกังวลใจรำไร

ฉู่หวังประหลาดใจ สีหน้าอ่อนโยนอย่างน้อยครั้งจะได้เห็น “เรื่องอันใด”

“ก่อนหน้านี้ต้าหวังเคยให้คำมั่นกับข้า หากข้ารักษาโรคไข้จับสั่นได้ก็จะส่งข้ากับพวกอีกสิบหกคนกลับซู” เชียนโม่เม้มปาก พยายามทำให้ตนเองดูเป็นมิตรและมีความสามารถในการเกลี้ยกล่อม “บัดนี้ข้ารักษาโรคไข้จับสั่นเรียบร้อยแล้ว ต้าหวังโปรดปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาด้วย”

สายตาของฉู่หวังมองจ้องเขม็ง

“เจ้าจะจากไป?” เสียงของเขาแยกไม่ออกว่าพอใจหรือไม่พอใจ

เชียนโม่ผงกศีรษะ

“กว่าเหรินไม่อนุญาต!”

หัวใจของเชียนโม่จมดิ่ง “เพราะเหตุใด”

“กว่าเหรินยังไม่หายดี”

* รถในสมัยโบราณมีทั้งแบบนั่งและแบบยืน รถอันเป็นรถนั่งขนาดเล็กสำหรับขุนนางและสตรีชนชั้นสูง โดยทั่วไปใช้ม้าลากตัวเดียว หากมียศสูงจะใช้ม้าลากสี่ตัว

เชียนโม่รีบอธิบาย “อาการประชวรของต้าหวังไม่มีอะไรมากแล้ว เพียงดื่มยาตามเวลา ไม่นานก็จะหายดี”

ฉู่หวังไม่รีบไม่ร้อน “เจ้าเคยบอกว่าโรคไข้จับสั่นจะฟักตัวอย่างน้อยครึ่งเดือนอาการจึงจะปรากฏออกมา ในทัพฉู่อาจมีคนติดโรคมาแต่ยังไม่ปรากฏอาการ หากเจ้าไปเสียแล้ว ถึงตอนนั้นใครจะรักษา”

“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา” เชียนโม่กล่าว “ข้าได้บอกวิธีรักษาให้นายทหารไว้แล้ว แม้จะมีคนเป็นขึ้นมาอีกก็สามารถรักษาได้”

ฉู่หวังมองนางอย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง

“อ้อ ตอนนั้นเจ้ารับปากว่าจะรักษาโรคด้วยตัวเอง มาบัดนี้กลับผลักภาระให้ผู้อื่น แรงงานหญิงโม่ เจ้าบอกเจ้าปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาแล้ว ก็คือแบบนี้หรือ”

เชียนโม่อ้าปากขึ้น แล้วก็พูดไม่ออก

ฉู่หวังกลับไม่สนใจนาง หันหน้าไปตรัสเสียงเย็น “เสี่ยวเฉินฝู ไม่ใช่ยังมีรถอันอีกคันหรือ ให้แรงงานหญิงโม่นั่งไป ตามอยู่หลังรถกว่าเหริน!”

เชียนโม่ยังคิดจะพูดอะไร ฉู่หวังกลับสั่งคนขับให้ออกเดินทาง เสียงตวัดแส้ดังขึ้น ล้อรถเคลื่อนออก เชียนโม่รีบหลบเข้าข้างๆ เธอมองรถม้าของฉู่หวัง ทั้งร้อนใจทั้งหงุดหงิด โกรธจนกระทืบเท้าเร่าๆ “ข้าจะกลับบ้าน!”

ฉู่หวังกลับคล้ายไม่ได้ยิน รถม้าและขบวนเคลื่อนตัวไปข้างหน้าท่ามกลางฝุ่นจางๆ

 

กองทัพเดินทางออกจากเมืองหลัว มุ่งไปทางตะวันตกอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร

ฉู่หวังร่างกายไม่แข็งแรง หลังจากปรึกษาหารือกับซือหม่าและขุนนางทั้งหลายแล้วก็ปรับแผนการและยุทธวิธี ให้ต้าฟูหลูจี๋หลีนำทัพหน้าเข้าโจมตีเมืองฟางเฉิงของแคว้นยง โต้วเจียวเป็นทัพหลัง ฉู่หวังเคลื่อนทัพช้ากว่าสักหนึ่งก้าว เข้าตีเมืองจวี้ซื่อทางตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้นยง

เช้าตรู่ของวันที่สองหลังออกเดินทาง กงซุนหรงแห่งแคว้นฉินก็มาทูลลาฉู่หวัง

“ทัพฉินกำลังจะข้ามภูเขาหนานซานมาแล้ว กระหม่อมเป็นต้าซู่จั่ง* จึงต้องขอแยกตัวไปก่อน” เขากล่าวอย่างนอบน้อม

ฉู่หวังยิ้มน้อยๆ ลุกขึ้นมา “เช่นนั้นคนแคว้นฉู่จะรอกงซุนท่านกลับมาอีกครั้งที่แคว้นยง” พูดจบก็ให้ซื่อเหรินฉวีนำสุรามา รินให้กงซุนหรงด้วยตนเอง

ทั้งสองพูดจาตามมารยาทอีกครู่หนึ่ง กงซุนหรงยกสุราขึ้นดื่มหมดจอก ยิ้มพลางทำความเคารพอีกครั้งแล้วลาจากไป

เพิ่งจะออกจากกระโจมก็มีคนผู้หนึ่งเดินสวนมา แทบจะชนเข้ากับกงซุนหรง

กงซุนหรงเขม้นตามอง กลับเห็นสตรีผู้หนึ่งประคองถาดไม้เคลือบสี บนถาดมียาอยู่ถ้วยหนึ่ง

กงซุนหรงรู้จักสตรีนางนี้ ผู้ติดตามเคยชี้ให้เขาดูแล้วบอกว่านางก็คือแรงงานหญิงโม่ที่รักษาโรคไข้จับสั่นได้

ซื่อเหรินฉวีรีบดึงตัวเชียนโม่แล้วทำความเคารพกงซุนหรง “แรงงานหญิงผู้นี้ไม่รู้จักมารยาท กงซุนโปรดอภัย!”

เชียนโม่ก็ถอยไปอยู่ข้างหลังซื่อเหรินฉวีแล้วก้มหน้าลง

“ไม่เป็นไร” กงซุนหรงเอ่ยเสียงเรียบ ถอนสายตาจากร่างของเชียนโม่แล้วเดินออกไป

 

* ต้าซู่จั่ง เป็นบรรดาศักดิ์และตำแหน่งขุนนางของแคว้นฉินในยุคชุนชิว มีอำนาจสูงสุดในการบริหารและการทหาร เทียบได้กับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี

เชียนโม่ชำเลืองตามองเงาร่างคนผู้นั้น ไม่ว่าเขาหรือผู้ติดตามข้างกายเขาล้วนแต่งเนื้อแต่งตัวต่างจากชาวฉู่ที่อยู่รอบด้าน เธอเคยถามซื่อเหรินฉวี ซื่อเหรินฉวีบอกว่าพวกเขาเป็นชาวฉิน

คนแคว้นฉิน

เชียนโม่ในใจเกิดความอยากรู้อยากเห็น จึงอดมองให้มากหน่อยไม่ได้ อู่จวี่เคยบอกชื่อเจ้าผู้ครองแคว้นฉินในเวลานี้ให้เธอรู้ เขียนอยู่บนแผ่นไม้ไผ่ ขีดต่างๆ ของตัวอักษรค่อนข้างซับซ้อน เชียนโม่ไม่รู้จัก ได้ยินว่าคนผู้นี้เป็นกงซุน ไม่รู้…

“แรงงานหญิงโม่!” ในเวลานี้เองเสียงของฉู่หวังก็ดังมาจากกลางกระโจม ทำให้กระบวนความคิดของเธอชะงักงัน

เชียนโม่อับจนปัญญา จำต้องหมุนตัว เดินเข้าไปในกระโจมของฉู่หวัง

อีกไม่นานก็จะเร่งรุดไปข้างหน้าต่อ ฉู่หวังแต่งกายเรียบร้อยแล้ว กำลังนั่งอยู่ที่ตั่งดูแผนที่ ตอนเชียนโม่เข้ามา เขาไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง “ไปไหนมาตั้งนาน ไม่รู้หรือว่าจะออกเดินทางอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว”

เชียนโม่แอบค้อนขวับอยู่ในใจ

ออกเดินทางเดี๋ยวนี้อะไรกัน เขาเองก็ไม่ใช่พูดจาไร้สาระอยู่กับกงซุนหรงตั้งนานหรอกหรือ

“เมื่อครู่ยายังเคี่ยวไม่เสร็จ ข้าไปรอเอายา” เชียนโม่พูดพลางเอาถ้วยยาวางลงบนโต๊ะของฉู่หวัง

เพิ่งจะเดินออกไป ฉู่หวังก็เอ่ยขึ้นอีก “แรงงานหญิงโม่ หยิบกระบี่บนชั้นวางนั่นมาซิ”

เชียนโม่ไม่ส่งเสียง เดินไปตามที่เขาสั่ง นั่นเป็นกระบี่สั้นที่ประณีตงดงามเล่มหนึ่ง ด้ามกระบี่ทำมาจากสำริดวาดลวดลายเป็นสีเงินสีทอง ฝักกระบี่ทำจากหนัง ทั้งแข็งทั้งหนาคล้ายท่อนไม้ ก็ไม่รู้เป็นหนังอะไร

เชียนโม่เพียงมองดู ไม่มีแก่ใจจะชื่นชมสักเท่าไร

พูดแล้วก็กลุ้ม นับแต่ฉู่หวังป่วย เธอก็แทบจะกลายเป็นสาวใช้ของเขาไปแล้ว

ตอนแรกเชียนโม่เพียงเคี่ยวยายกยา ตรวจอุณหภูมิของร่างกายและจับชีพจรให้เขา แต่ดูเหมือนฉู่หวังจะไม่ได้เห็นเธอเป็นหมอและให้ความเคารพ กลับเรียกใช้เธออย่างเป็นธรรมชาติ

“แรงงานหญิงโม่ ข้าหิวแล้ว ข้าวปลาอาหารอยู่ที่ใด”

“แรงงานหญิงโม่ เอาน้ำมา”

“แรงงานหญิงโม่ หยิบแผ่นไม้ไผ่ม้วนนั้นมา”

“แรงงานหญิงโม่ มาหนุนเบาะให้สูงขึ้นหน่อย”

“แรงงานหญิงโม่…”

ขอเพียงรถไม่ได้กำลังวิ่งอยู่ เชียนโม่ก็ต้องถูกเรียกมาอยู่ข้างกายฉู่หวังให้เขาเรียกใช้ ทำให้เธอกลัดกลุ้มมาก เธอเคยบ่นกับเสี่ยวเฉินฝู เสี่ยวเฉินฝูกลับแสดงท่าทีไม่มีกำลังพอจะช่วยเหลืออะไรได้

‘ต้าหวังประชวร จะรักษาเช่นไรเจ้ารู้ดีที่สุด เจ้ามาคอยปรนนิบัติดูแลย่อมเหมาะสมที่สุดแล้ว’ พูดจบเขาก็มองเชียนโม่ ปั้นหน้าบึ้งตึง ‘แรงงานหญิงโม่ อย่าลืมว่าเจ้าเป็นแรงงานหญิงคนหนึ่ง ไม่ว่าอยู่ที่ถงซานหรือที่นี่ และไม่ว่าเจ้าจะรักษาโรคไข้จับสั่นได้หรือไม่ ทุกสิ่งในตัวของเจ้า รวมทั้งชีวิตของเจ้า อำนาจชี้เป็นชี้ตายล้วนขึ้นกับต้าหวัง ครั้งก่อนอยู่ที่ถงซานเจ้ากระทำการมิบังควร ต้าหวังไม่ได้สังหารเจ้า นับว่าต้าหวังพระทัยกว้างมีเมตตามากแล้ว เจ้าต้องจำใส่ใจไว้!’

เสี่ยวเฉินฝูเวลาพูดจามักชอบกระทบกระเทียบเปรียบเปรย เชียนโม่ไม่อยากโต้แย้งกับเขา ตนเองจะอย่างไรก็ต่อต้านขัดขืนไม่ได้อยู่แล้ว

“ยาเคี่ยวเสร็จแล้วกระมัง” พอวางพู่กันหมึกลง ฉู่หวังก็ถามอีก

“เสร็จแล้วเพคะ” เชียนโม่พูดพลางผลักถ้วยยาไปข้างหน้าเล็กน้อย

ฉู่หวังยังคงมองแผนที่ หยิบถ้วยยามาดื่มลงไปคำหนึ่งแล้วก็คายออกมาทันที

คิ้วของเขาแทบจะขมวดมุ่นอยู่ด้วยกัน “ขมเพียงนี้!”

เชียนโม่ในใจกระหยิ่มยิ้มย่อง กลั้นหัวเราะ กล่าวอย่างมีเหตุผลเต็มปากเต็มคำ “ต้าหวัง ยาดีย่อมขมปาก”

“ก่อนหน้านี้ไม่ได้ขมถึงเพียงนี้!”

“ต้าหวังไม่ใช่เร่งให้ข้ารักษาให้หายเร็วๆ จะได้ไม่ทำให้การศึกต้องเสียหายหรอกหรือ” เชียนโม่สีหน้าเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ “ไม่กินยาแรงหน่อย จะหายเร็วได้อย่างไร”

ฉู่หวังพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ถลึงตาใส่เชียนโม่

เชียนโม่กลับยิ้มกริ่มแล้วผลักถ้วยยาไปข้างหน้าอีกครั้ง “ต้าหวัง อย่าลืมว่าต้องออกเดินทางเดี๋ยวนี้แล้ว ไม่อาจโอ้เอ้ชักช้า”

เห็นเขาขมวดคิ้วดื่มยาลงไป ท่าทางอยากบันดาลโทสะแต่ก็ด่าไม่ออก เชียนโม่ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา ทว่าเพื่อป้องกันไม่ให้เขาพอหายขมแล้วก็จะคิดบัญชีกับตนทันที พอเห็นเขาดื่มหมด เชียนโม่ก็รีบเก็บถ้วยเก็บถาด หมุนตัวจะจากไป

“ช้าก่อน” ขณะจะก้าวออกจากกระโจม ฉู่หวังกลับเรียกเธอเอาไว้

เชียนโม่หันหน้ากลับมา แล้วก็เห็นฉู่หวังหยิบกระบี่สั้นที่เธอหยิบมาให้เมื่อครู่ลุกขึ้นเดินมาหา

“กระบี่นี้เจ้าเก็บไว้ให้ดี” เขากล่าว

เชียนโม่งงงัน

ฉู่หวังเอากระบี่สั้นวางลงในมือของเชียนโม่ “ข้างหน้าก็คือแคว้นยง ในกองทัพมีเพียงเจ้าที่ไม่มีอาวุธ”

กระบี่สั้นแม้จะเล็ก แต่ก็มีน้ำหนัก เชียนโม่ถืออยู่ในมือ ออกจะทำอะไรไม่ถูก

“แต่ข้า…ใช้ไม่เป็น” เธอกล่าว

ฉู่หวังเห็นชัดว่าไม่สนใจจะต่อปากต่อคำ เพียงกวาดตามองเธออย่างเฉยเมย

เชียนโม่รู้ เขาทำเช่นนี้ก็นับว่าเมตตาอย่างถึงที่สุดแล้ว จำต้องค้อมคำนับแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ “ขอบพระทัยต้าหวัง” พูดจบก็ล่าถอยออกไปนอกกระโจม

 

วันเวลาต่อจากนั้นทุกอย่างก็ราบรื่นขึ้นมาก ฝนไม่ได้ตกลงมาอีก ถนนหนทางแห้งผาก ฉู่หวังเคลื่อนทัพไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว

ตอนเข้าเขตเมืองจวี้ซื่อ ข้างหน้าก็มีข่าวของหลูจี๋หลีส่งมาถึง เขานำกำลังทหารเข้าโจมตีเมืองฟางเฉิงของแคว้นยง คนยงต้านทานอย่างเหนียวแน่น โจมตีติดต่อกันหลายวันก็ไม่มีความคืบหน้า ตอนซือหม่าฝ่ายซ้ายจื่อหยางชวงนำกำลังทหารเข้าโจมตี ได้พลาดท่าเสียทีถูกคนยงจับตัวเป็นเชลย

การศึกประสบอุปสรรค ทุกคนต่างรู้สึกหนักใจ ฉู่หวังกลับมองไม่ออกว่าพอใจหรือไม่พอใจ เพียงมีบัญชาให้หลูจี๋หลีตั้งมั่นรักษาการณ์

หลังจากนั้นไม่นาน รายงานผลการรบครั้งใหม่ก็มาถึง จื่อหยางชวงซึ่งถูกขังอยู่ที่เมืองฟางเฉิงสามวันได้อาศัยร่องน้ำหนีออกมาได้ จากนั้นก็รับคำสั่งหลูจี๋หลี เร่งออกเดินทางในยามค่ำคืนมาเฝ้าฉู่หวัง

“ทัพยงผู้คนมาก ชาวปี้ ชาวซู ชาวอวี๋ล้วนมารวมตัวกัน กระหม่อมเห็นว่าต้าหวังควรรวบรวมทัพทั้งหมดของแคว้นฉู่บุกเข้าโจมตีในทันที!”

เหล่าขุนนางพากันแสดงความคิดเห็น มีคนเห็นด้วย มีคนคัดค้าน

คนที่สนับสนุนเห็นว่าข้าศึกอยู่ตรงหน้า ในเมื่อชาวฉู่ยกทัพมาแล้ว ทั้งมีชาวปาและชาวฉินให้ความช่วยเหลือก็ควรลงมือทำศึกให้เต็มที่สักครั้ง เพื่อสั่งสอนชนเผ่าหมานและอี๋ที่ถือโอกาสพลอยประสมโรงฉกฉวยผลประโยชน์เหล่านี้

คนที่คัดค้านก็เห็นว่าชาวฉู่เดินทางมานับพันลี้เพื่อบุกเข้าจู่โจม เดิมก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงอยู่แล้ว ส่วนชาวยงและชาวหมานทั้งหลายกลับนั่งรอทำศึกอย่างสบาย ทั้งคุ้นเคยชัยภูมิดี หลับหูหลับตาเข้าโจมตีย่อมไม่เป็นผลดี

“รถศึกสองร้อยคันของข้าจะต้องพังประตูเมืองฟางเฉิงได้แน่นอน ให้ชาวยงมัดร่างตัวเองมาขอความเมตตา!” โต้วเจียวกล่าวด้วยความฮึกเหิม

“ไม่ได้!” ต้าฟูพานวังกล่าว “ชาวยงยึดชัยภูมิไว้หมดแล้ว ครั้งก่อนทุ่มกำลังเข้าโจมตีก็ไม่สำเร็จ ทัพฉู่ได้รับความเสียหายหนัก ทัพปาทัพฉินยังมาไม่ถึง ถ้าทุ่มกำลังเข้าโจมตีอีกย่อมไม่เป็นผลดีต่อเรา!” พูดจบก็ประสานมือไปทางฉู่หวัง “ต้าหวัง กระหม่อมมีแผนการ”

ฉู่หวังเอ่ยถาม “แผนการอะไร”

“ศึกครั้งนี้มาจนวันนี้ชาวยงยังไม่ถูกพิชิต จิตใจของพวกเขาย่อมหยิ่งผยอง ทัพเราต้องแสร้งทำเป็นพ่ายแพ้ชั่วคราว ถ้าพวกเขาตามรุกไล่โจมตี เราก็ยอมอ่อนข้อให้อีกครั้ง ถึงตอนนั้นชาวยงย่อมผ่อนคลายความระแวดระวังลง ส่วนทัพของเราย่อมเคียดแค้น ถึงเวลานั้นก็รวบรวมกำลังบุกเข้าโจมตีอีกครั้ง ย่อมได้ชัยชนะแน่นอน”

โต้วเจียวย่นหัวคิ้ว “หรือจะให้ทัพเราไม่ทำศึก เอาแต่ล่าถอย”

พานวังกล่าว “ถอยเพื่อจะรุก เหตุใดจึงบอกไม่ทำศึก”

มีคนยิ้มหยัน “ก่อนหน้านี้ตอนปรึกษาหารือเรื่องจะกรีธาทัพหรือไม่ ก็เคยพูดเรื่องถอยเพื่อจะรุกกันแล้ว ยังจำคำโต้แย้งของพวกท่านได้หรือไม่”

ต้าฟูจื่อเป้ยรีบกล่าว “การถอยในครั้งนี้ต่างจากการถอยในครั้งนั้น การรุกในครั้งนี้ก็ไม่ใช่การรุกในครั้งนั้น จะเอามาพูดรวมกันได้อย่างไร”

พานวังไม่สนใจการโต้เถียงกันของทุกคน หันมากล่าวกับฉู่หวัง “ต้าหวัง ยังทรงจำเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่เฝินเม่า* อดีตหวังยกทัพเข้ายึดครองดินแดนสิงสีได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ การศึกในครั้งนั้นประสบอุปสรรค เฝินเม่าก็ถอยทัพรอจังหวะ ภายหลังก็ตีโต้กลับจนได้รับชัยชนะ”

ฉู่หวังครุ่นคิดอยู่ในใจ ใบหน้านิ่งสงบดุจผิวน้ำ

 

เสียงโต้แย้งในกระโจมยังคงดังเอะอะ เชียนโม่มองไปทางด้านนั้นแวบหนึ่งแล้วมองท้องฟ้า จากนั้นก็เรียกจย่าให้ไปเก็บยาสมุนไพรด้วยกัน

เพราะฉู่หวังต้องปรึกษาหารือข้อราชกิจ วันนี้จึงตั้งค่ายเร็วเป็นพิเศษ ดวงอาทิตย์สีส้มลอยอยู่เหนือขอบฟ้าด้านตะวันตกคล้ายไข่แดงเค็ม ค่ายพักตั้งอยู่ริมทะเลสาบใหญ่แห่งหนึ่ง สายลมยามเย็นพัดโชยมาเบาๆ ผิวน้ำกระเพื่อมไหวเป็นชั้นๆ ซัดสาดริมฝั่ง ในป่ามีนกน้ำเกาะอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน บรรดานกเหล่านั้น ที่มีจำนวนมากที่สุดคือนกกระยาง บินว่อนเต็มท้องฟ้า ปีกสีขาวสะอาดอาบย้อมด้วยแสงอาทิตย์ยามสายัณห์ ดูงดงามยิ่ง

จย่ารู้จักพืชสมุนไพรบางชนิด อีกทั้งมีวิธีรับมือกับพวกงูแมลงต่างๆ หลังจากเชียนโม่ค้นพบความสามารถนี้ของเขา ทุกครั้งที่ไปเก็บยาสมุนไพรก็จะต้องพาเขาไปด้วย ทั้งสองแบกกระบุงไม้ไผ่ เดินไปเดินมาอยู่บนเนินเขาริมทะเลสาบ จย่าถือกิ่งไม้ยาวกิ่งหนึ่งอยู่ในมือ ส่วนเชียนโม่ก็เดินตามหลังเขาไปทุกฝีก้าว ใช้กระบี่สั้นที่ฉู่หวังให้ตัดพืชสมุนไพร ไม่นานเท่าไรกระบุงไม้ไผ่ก็เริ่มเต็ม เชียนโม่เอาหวงฮวาเฮากำมือหนึ่งใส่ลงไปในกระบุงแล้วลุกขึ้น เช็ดๆ เหงื่อที่ไหลลงมาบนใบหน้า

* เฝินเม่า คือพระนามของฉู่ลี่หวัง (758-741 ก่อนคริสตศักราช) ได้ยกทัพเข้ายึดครองดินแดนสิงสีซึ่งเป็นดินแดนของชาวผู

ลมพัดมาต้องผิวกายพาให้รู้สึกเย็นสบาย เชียนโม่มองขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไป ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงไปจากเดิมเล็กน้อย ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็นภูเขาอู่ตังที่เห็นอยู่ไกลๆ เปลี่ยนเป็นสีม่วงอมดำ ยิ่งแลสูงตระหง่าน

ภูมิภาคแถบนี้เดิมทีเชียนโม่ไม่รู้ว่าคือที่ไหนในสมัยปัจจุบัน ตลอดทางที่ผ่านมาเห็นแต่ภูเขาแม่น้ำเนินเขาติดต่อกันยาวเหยียด ทุกแห่งปกคลุมไปด้วยป่าดงดิบผืนใหญ่ ต่อให้เชียนโม่เคยมาก็จำอะไรไม่ได้ กระทั่งเธอมองเห็นเทือกเขาสูงแห่งหนึ่งอยู่ไกลๆ รูปร่างลักษณะคล้ายเคยรู้จัก ทำให้เธอนึกถึงภาพทิวทัศน์ที่คุณปู่เคยถ่ายรูปไว้

เชียนโม่รู้สึกว่าเรื่องบางอย่างก็ออกจะแปลกประหลาดมหัศจรรย์ เห็นอยู่ว่าตัวเธออยู่ในต่างถิ่นต่างแดน ทั้งยังบอกกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าที่นี่ไม่ใช่โลกของเธอ ทว่ากลับมีอะไรบางสิ่งบางอย่างโผล่ขึ้นมาอยู่เสมอ และบอกกับเธอว่าฉันอยู่ที่นี่นะ!

เมื่อตัดอารมณ์ต่างๆ ทิ้งไป คำพูดที่ว่าโลกย่อมเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ส่วนใหญ่ก็คงเป็นเช่นนี้เอง เชียนโม่คิดอย่างเย้ยหยันตัวเอง หากตอนนี้เธอปีนขึ้นไปบนภูเขา หาก้อนหินสักก้อนบนนั้นแล้วสลักชื่อตัวเองลงไป อีกหลายพันปีให้หลัง เชียนโม่คนที่ตามคุณปู่คุณย่ามาเที่ยวภูเขาอู่ตังก็จะเห็นใช่หรือไม่

แต่หลังจากมาวิเคราะห์ดูแล้ว เธอก็รู้สึกว่าอาจไม่แน่ ถ้าโลกใบนี้กับโลกใบนั้นของเธอทับซ้อนกันอยู่จริง เช่นนั้นเรื่องนี้ก็กลายเป็นเรื่องจริงไปแล้ว และเธอก็รู้แล้ว…

“โม่…” เสียงของจย่าดึงเธอออกมาจากความครุ่นคิด เขามองมาที่ด้านหลังของเชียนโม่ สีหน้าตื่นตะลึง

เชียนโม่เหลียวมองไปตามสายตาของเขา แล้วก็เห็นฉู่หวังไม่รู้มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร

เอ๋? เชียนโม่อึ้งตะลึง เขาไม่ใช่ปรึกษาราชกิจอยู่หรือ

“กระบี่ที่กว่าเหรินให้เจ้า เจ้าเอามาใช้ตัดยาสมุนไพรหรือนี่” ฉู่หวังชำเลืองตามองกระบี่ในมือของนาง ย่นหัวคิ้ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

เชียนโม่อึกอัก

เดิมทีเธอใช้เคียวหิน แต่ของสิ่งนั้นใช้ไม่ดีจริงๆ ทื่อเป็นที่สุดทั้งยังลับยาก นับแต่ได้กระบี่สั้นมา เชียนโม่ลองเอามาใช้ดู มันทั้งคมทั้งไว จึงได้เอามาใช้

คิดไม่ถึงว่าจะถูกฉู่หวังจับได้คาหนังคาเขา

“ข้าต้องเก็บยาสมุนไพร ไม่มีของมีคมอื่นให้ใช้ จำต้องใช้กระบี่เล่มนี้” เธอบอกไปตามตรง

ขมับของฉู่หวังกระตุกเล็กน้อย มองกระบี่สั้นที่ตนเคยชื่นชอบถือติดมือไม่ยอมวาง มาบัดนี้กลับมีใบหญ้าติดเต็มราวกับเป็นเครื่องมือทำนา ในใจรู้สึกเสียใจ หญิงผู้นี้ถึงกับไม่รู้จักดีชั่ว!

เขาไม่อธิบายใดๆ ก็แย่งเอาไป มองดูแล้วคิดจะเช็ดให้สะอาด แต่พบว่าไม่มีผ้าเช็ดหน้า จะใช้ชายแขนเสื้อก็ไม่เหมาะ

“ซื่อเหรินฉวี!” เขาร้องเรียกออกมาคำหนึ่งอย่างหมดความอดทน

ซื่อเหรินฉวีรีบเข้ามา ฉู่หวังส่งกระบี่สั้นให้เขา “เอาไปเช็ดให้สะอาด!” พูดจบก็หันมาทางเชียนโม่

มองสบเข้ากับสายตาที่ดูไม่เป็นมิตรเข้า ใจของเชียนโม่ก็รู้สึกหวั่นหวาดขึ้นมา

“เข้ามาในกระโจม กว่าเหรินรู้สึกหนักศีรษะ” ฉู่หวังเอ่ยเสียงเย็นก่อนหมุนตัวเดินจากไป

เชียนโม่รู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก

ตอนเดินตามฉู่หวังกลับเข้าไปในกระโจม เธอไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว มองเงาด้านหลังของฉู่หวังด้วยความฉงน คนผู้นี้ทำให้คนจับอารมณ์ไม่ถูก เธอระมัดระวังตัว กลัวว่าไม่รู้เมื่อไรจะก่อเรื่องทำให้เขาชักสีหน้าใส่อีก

ซื่อเหรินฉวีเข้ามาผลัดเปลี่ยนภูษาให้ฉู่หวัง

เชียนโม่ยืนอยู่ด้านข้าง สายตามองไปที่อื่น

รอจนเขานอนลงบนเตียง เชียนโม่จึงเดินเข้าไป จับมือเขาขึ้นมาตรวจดูชีพจร

“กระบี่เล่มนั้นหลอมขึ้นตอนกว่าเหรินขึ้นสืบทอดตำแหน่ง ใช้ช่างฝีมือดีที่สุดของแคว้นฉู่” ฉู่หวังพลันเอ่ยขึ้น

เชียนโม่งงงัน ผ่านไปครู่หนึ่งก็นึกได้ว่าคำพูดนี้เขาพูดกับตน เธอมองไป เพียงเห็นฉู่หวังหลับตาลงครึ่งหนึ่ง

“มันเคยช่วยกว่าเหรินสังหารศัตรู ไม่เคยใช้ตัดหญ้า”

นี่กำลังชี้แจงให้เราฟังหรือ

หลังจากอึ้งตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เชียนโม่ก็พยักหน้าติดๆ กัน สักพักก็อดเอ่ยขึ้นไม่ได้ “แต่ข้าเห็นว่าของใช้สำคัญที่การใช้งาน ไม่ใช่ว่ามาจากไหน”

“หืม?” ฉู่หวังลืมตา ชำเลืองมองนาง “หมายความว่าอย่างไร”

เชียนโม่กล่าว “ของใช้ทุกอย่างล้วนมีประโยชน์การใช้สอยเป็นพื้นฐาน กระบี่ของต้าหวัง ตอนแรกเป็นของมีคม ต่อมาก็เป็นกระบี่ ต้าหวังใช้สังหารศัตรู ข้าใช้ตัดหญ้า ล้วนเป็นการใช้งาน ล้วนไม่มีอะไรผิด”

ใบหน้าของฉู่หวังมีแววประหลาดใจ

“ไร้มารยาท” ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยขึ้น

เชียนโม่เบ้ๆ ปาก คิดเสียว่าตนสีซอให้ควายฟังอีกแล้ว เธอตรวจชีพจรเสร็จก็วางมือเขากลับลงไป

“ต้าหวังบอกหนักศีรษะ เป็นมานานแค่ไหนแล้วเพคะ” เธอเปลี่ยนเรื่องพูด

ฉู่หวังกลับไม่ตอบ ท่าทางครุ่นคิด “คำพูดเมื่อครู่ ใครเป็นคนพูดกับเจ้า”

“ปู่ของข้า” เชียนโม่ตอบ ยื่นมือไปคลำหน้าผากของเขา มือเพิ่งจะแตะถูก ซื่อเหรินก็เข้ามารายงานว่าโต้วเจียวมาแล้ว

ฉู่หวังขานรับคำหนึ่งแล้วลุกขึ้น เชียนโม่รีบถอยไปอยู่ด้านข้าง

“ต้าหวัง กระหม่อมขอออกศึก!” โต้วเจียวพอเข้ามาถึงก็ลงหมอบกราบฉู่หวังอย่างเป็นทางการ

ฉู่หวังมองเขา ออกจะอับจนปัญญา

หากวิจารณ์ด้วยจิตใจที่สงบเยือกเย็น โต้วเจียวผู้นี้กำลังความสามารถเลิศล้ำ กับราชวงศ์ก็นับว่าเคารพนบนอบ ฉู่หวังก็พึ่งพาอาศัยเขาอยู่ไม่น้อย แต่คนผู้นี้บางครั้งบ้าระห่ำอวดดีเกินไป ชอบแย่งความดีความชอบกับผู้อื่น ครั้งก่อนฉู่หวังมอบหมายให้หลูจี๋หลีนำทัพหน้าไปโจมตีแคว้นยง โต้วเจียวก็ไม่พอใจอยู่แล้ว ครั้งนี้มาขอออกศึกก็ด้วยจิตใจที่อยากจะวัดความสูงต่ำของฝีมือ

“กว่าเหรินตัดสินใจแล้ว ซือหม่าไม่ต้องพูดอีก” ฉู่หวังเอ่ยขึ้น

โต้วเจียวรีบกล่าว “ต้าหวังยกทัพมาปราบยงด้วยตนเอง มาถึงประตูบ้านแล้วกลับหนี เรื่องนี้หากแพร่ออกไป ไยมิใช่ทำให้คนหัวเราะเยาะ…”

“โต้วเจียว!” ฉู่หวังสีหน้าแปรเปลี่ยนทันที ตวาดก้อง “ท่านลืมคำพูดของอดีตลิ่งอิ่นแล้วหรือ นี่เป็นพระบัญชา ท่านกล้าไม่ปฏิบัติตาม?”

น้ำเสียงและสีหน้าที่เฉียบขาดของเขา แม้แต่เชียนโม่เองก็ตกใจ

โต้วเจียวสีหน้าแปรเปลี่ยน รีบสำรวมกิริยาท่าที คุกเข่าลงหมอบกราบ “กระหม่อมมิกล้า!”

ฉู่หวังมองเขา ครู่หนึ่งสีหน้าท่าทางก็ผ่อนคลายลง

“เจตนาของซือหม่า กว่าเหรินเข้าใจดี ยกทัพมาครั้งนี้ซือหม่าก็มีความดีความชอบ” ฉู่หวังกล่าวต่อ “แผนโจมตียง กว่าเหรินกับขุนนางทั้งหลายได้ปรึกษาหารือและตกลงกันแล้ว ทุกฝ่ายเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันจึงจะประสบผลสำเร็จ ซือหม่าเข้าใจหรือไม่”

โต้วเจียวสีหน้าไม่สงบ แต่ก็ไม่มีความเห็นต่างอีก ลงหมอบกราบฉู่หวัง “กระหม่อมเข้าใจ” พูดจบก็กราบอีกครั้ง แล้วลุกขึ้นล่าถอยออกไป

ฉู่หวังมองเขาจากไป รอจนไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าแล้วจึงแค่นเสียงฮึออกมา

ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็หันมามองที่ด้านข้าง แววตายังคงมีประกายแหลมคม เชียนโม่มองประสานสายตากับเขา ร่างสั่นสะท้านขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“เหตุใดจึงไม่คลำศีรษะแล้ว” ฉู่หวังสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก กลับนอนลงอีกครั้ง “รีบมา!”

 

หน้าที่แล้ว1 of 52

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: