บทนำ
“ซานหลาง…ซานหลาง…”
เมื่อความรู้สึกอันน่าหลงใหล ความต้องการอันไร้ที่สิ้นสุดนั้นถาโถมเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า มู่หวั่นชิวก็เผลอร้องครางออกมาอย่างลืมตัว มีเพียงในเวลานี้เท่านั้น ยามที่เขากับนางผสานไออุ่นร่างกาย รวมลมหายใจเข้าเป็นหนึ่ง เจ้ามีข้า ข้ามีเจ้าแล้วเท่านั้น นางจึงจะมีความรู้สึกว่าเขาเป็นของนางหมดทั้งตัวและหัวใจจริงๆ
นางเป็นหญิงที่มาจากหอคณิกา ซานหลางจึงไม่ชอบที่จะให้นางเปิดตัวพบใคร จำต้องล้างเครื่องประทินโฉม แล้วขลุกตัวอยู่แต่ในเรือนเฉินเซียงอย่างเงียบๆ คอยเฝ้าดูอยู่เบื้องหลังเขาเช่นนี้ ตั้งแต่เขายังเป็นเพียงผู้บัญชาการกองรถศึก ต่อมาเป็นแม่ทัพกุยเต๋อ สุดท้ายก็ได้เลื่อนขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ฮู่กั๋ว นานวันเข้าซานหลางของนางก็มีภารกิจที่ยุ่งขึ้นทุกที แม้จำนวนครั้งที่มาหาจะน้อยลง ทว่านางก็มิได้โอดครวญเสียใจแต่อย่างใด
ขอเพียงเขาคิดถึงนางเป็นครั้งคราวเช่นนี้ หาเวลาว่างมาพบนางบ้าง แค่นี้นางก็ดีใจแล้ว การรอคอยเขาอยู่ทุกคืนวันนั้นก็หาใช่สิ่งที่ยากลำบากอะไร
สตรีเมื่อได้รักแล้ว หัวใจก็จะวางลงต่ำราวกับเศษผงธุลี
ถึงแม้ว่า…นางจะเป็นหญิงคนหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางเศษผงธุลีนั้นก็ตามที
“ซานหลาง…ซานหลาง…” หยาดเหงื่อผสานหยาดน้ำตาค่อยๆ ไหลลงอาบหน้า มู่หวั่นชิวพร่ำเรียกชื่อของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับต้องการเก็บเกี่ยวช่วงเวลาเหล่านี้ไว้ตลอดกาล
แรงกระตุ้นราวสายน้ำที่ดึงดูดวิญญาณนั้นค่อยๆ จางไป เพียงรับรู้ว่าเขาจะถอนกายออก มู่หวั่นชิวก็รีบกอดเขาไว้แน่น “ซานหลาง…อย่าไป…”
“ชอบหรือไม่” สองตาที่ปิดแน่นค่อยๆ เปิดออกจ้องมองนาง
“ชอบ…ข้าชอบมาก…” น้ำตาแห่งความยินดีไหลอาบแก้มลงมาอีกครั้ง นิ้วเรียวที่เปียกชื้นลูบไล้บนใบหน้าของเขาที่หล่อเหลางามสง่าเป็นสันชัดเจน ใบหน้านี้นางมองได้อย่างมิรู้เบื่อ “ขอเพียงเป็นซานหลาง อาชิวก็ชอบแล้ว”
“อย่างนั้นหรือ” เขาดึงมือออกมาลูบใบหน้างดงามหมดจดของนาง นิ้วมือค่อยๆ เลื่อนลงด้านล่าง “แบบนี้…แบบนี้…แล้วแบบนี้เล่า” ทั้งที่มือของเขาพยายามหยอกเย้า แต่ในดวงตากลับไม่มีความรักอยู่ในนั้นแม้แต่น้อย “เจ้าชอบหมดเลย?”
“ซานหลาง…ซานหลาง…” กระแสความร้อนไหลทะลวงไปทั่วสรรพางค์กาย ร่างงามพลันสั่นสะท้าน มู่หวั่นชิวเผลอครางออกมาอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะเริ่มหยัดร่างขึ้นมา “อาชิวชอบ…”
“แม้จะเป็นกลางวันแสกๆ อย่างนี้น่ะหรือ” แววตาของเขาเย็นชาในทันใด “เจ้าก็ชอบ?”
เนื่องจากฟังไม่ออกว่าน้ำเสียงของเขาได้แปรเปลี่ยนไป มู่หวั่นชิวที่ถูกปลุกเร้าความรู้สึกขึ้นมาอีกครั้งจึงพยักหน้าอย่างลืมตัว “ซานหลางมาเมื่อใด อาชิวก็ชอบทั้งนั้น”
“สมกับที่มาจากหอคณิกา แพศยาเสียจริง!” ในตอนที่นางถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุด จู่ๆ เขาก็ถอนกายออกในฉับพลัน ก่อนกระโดดลงพื้นไป
“ซานหลาง…อย่าไป…” บนร่างอันเปลือยเปล่า แม้จะรับรู้ได้ถึงความหนาวเย็น ทว่ามู่หวั่นชิวที่อยู่ในอารมณ์รักก็ยังร้องโอดครวญเรียกเขา แววตาพร่ามัวเลื่อนไปตามร่างของเขาที่ไปยืนอยู่บนพื้นแล้ว
ทันใดนั้นสมองของนางก็มึนงง เสียงดังอื้ออึงอยู่ในหู ความรู้สึกที่ถูกปลุกเร้าพลันหายไปไม่เหลือร่องรอย ร่างของนางแข็งเกร็งอยู่ตรงนั้น
ไม่รู้ว่าฉากบังตาตรงหน้าเตียงถูกย้ายไปตั้งแต่เมื่อใด บนพื้นมีคนยืนอยู่เต็มไปหมด ฮูหยินนำอนุของเขามาดูนางด้วยรอยยิ้ม สาวใช้สองคนรีบเข้ามาเช็ดตัวและสวมเสื้อผ้าให้เขา
เป็นไปได้อย่างไร…เป็นไปได้อย่างไร
ซานหลางปล่อยให้พวกนางเข้ามาในเรือนเฉินเซียง ดูพวกตนทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร!
ในตอนแรกนางไม่สนใจฐานะ ไม่ถือสาว่าเขาจะมีสตรีมากมายเพียงใด นางเพียงติดตามเขาไปโดยไม่โอดครวญหรือเสียใจ สิ่งเดียวที่ขอก็คือให้นางได้มีที่ยืนเป็นของตัวเอง ไม่อนุญาตให้ภรรยาและอนุก้าวเข้ามาในเรือนเฉินเซียง เป็นเขาที่รับปากกับนางเองนี่นา
แล้วพวกนางเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดนางจึงไม่ได้ยินเสียงอะไรแม้แต่น้อย…
สติที่เลอะเลือนค่อยๆ ชัดเจนขึ้น สายตาของนางไปอยู่ที่ถ้วยหยกขาวบนโต๊ะใบนั้น ใช่แล้ว…ข้าวต้มรังนกที่เพิ่งดื่มไปชามนั้นต้องถูกวางยากำหนัดเป็นแน่ มู่หวั่นชิวหลับตาลงช้าๆ แล้วถอนหายใจ…มู่หวั่นชิวเอ๋ย มู่หวั่นชิว สมน้ำหน้าเจ้าแล้วที่เป็นเช่นนี้ สมน้ำหน้าแล้วที่ต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้…ทั้งที่เจ้าออกมาจากหอคณิกา ทั้งยังเคยเป็นสายลับกำลังสำคัญที่สุดของเขา เหล่านี้ล้วนเป็นวิธีการที่เจ้าใช้บ่อยที่สุด ทว่าวันนี้กลับติดกับมันเสียเอง
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง สายตาของนางก็ไปอยู่บนใบหน้าของเขาที่หล่อเหลางามสง่าเป็นสันชัดเจน ไม่ว่าคิ้ว ดวงตา หรือริมฝีปากบางๆ ที่มีเอกลักษณ์นั้น ทำให้นางมองพันรอบก็ไม่เพียงพอ อ่านหมื่นรอบก็ไม่รู้เบื่อ เมื่อได้ยินว่าข้าวต้มรังนกเป็นของที่เขาส่งมา พอรู้ว่าเขาเป็นห่วง นางก็ดีใจ จนหลงคิดไปว่านั่นเป็นหยดน้ำค้างที่สวยงามที่สุดบนโลกใบนี้ จึงชิมไปโดยที่แยกแยะไม่ออกว่าเขาได้เตรียมยาพิษอันงดงามบนโลกนี้ไว้ให้กับนาง
เขาเบื่อนางไปนานแล้ว!
นางช่างโง่งมงาย โง่งมงายไม่เปลี่ยนเลย…
ความหวาดกลัวพลันหายไปจนสิ้น เพียงพริบตา ในดวงตาของมู่หวั่นชิวก็สว่างกระจ่างขึ้น แววตาเลื่อนไปที่ตัวหงซิ่วสาวใช้ที่ติดตามนางมาหลายปี
“บ่าวเห็นคุณหนูหน้าแดง เอาแต่เรียกชื่อของท่านแม่ทัพ…” หงซิ่วบิดผ้าเช็ดหน้าแน่น “บ่าวจึงคิดว่าท่านป่วย ก็เลย…ก็เลยไปเชิญท่านแม่ทัพกับฮูหยิน…”
เสียงนั้นเบาราวยุงบิน หงซิ่วไม่กล้ามองตาของมู่หวั่นชิว
“ได้ยินว่าเจ้าป่วย ข้าจึงรีบเร่งไปเชิญท่านหมอมา กลัวว่าหากชักช้าจะทำให้ท่านแม่ทัพปวดใจ…” ฮูหยินยังคงมีท่าทางใจดีดังเดิม แม้น้ำเสียงจะอบอุ่นเหมือนที่ผ่านมา ทว่าวาจาต่อมากลับเต็มไปด้วยการประชดประชัน “คิดไม่ถึงว่าเจ้ากลับรีบเร่งดึงตัวท่านแม่ทัพมาจากโถงประชุม เพื่อมาทำเรื่องเช่นนี้!”
ได้ยินในห้องมีเสียงดังหึ่งๆ ขึ้นมา มู่หวั่นชิวจึงพบว่าที่ด้านหลังอนุหลายคนนั้น ยังมีท่านหมอยืนอยู่อีกสองคน พวกเขาต่างก็หน้าแดงไปถึงลำคอ ก้มหน้าจนชิดอก กระนั้นในแววตาที่ส่งมาทางนางอยู่บ่อยครั้งกลับเต็มไปด้วยแรงปรารถนาอันน่าอายที่เกิดจากการร่วมรักอันร้อนแรงเมื่อครู่…
“ร่วมรักกลางวันแสกๆ ช่างไร้ยางอาย!” ฮูหยินยกมือขึ้น ในห้องพลันเงียบเสียงลงทันที นางจึงพูดต่อไปว่า “อาชิว เจ้ารู้ความผิดของตนเองหรือไม่” เห็นมู่หวั่นชิวจ้องหน้าท่านแม่ทัพนิ่งไม่พูดจา ฮูหยินก็ยกมุมปากยิ้มเยาะ แล้วหันไปเรียกคน “ใครก็ได้เข้ามาที…”
ยายแก่สองคนเดินเข้าไปคำนับ
“เอาตัวนางไปตรึงบนลาไม้ แห่รอบถนนสามวัน!”
ลงทัณฑ์ด้วยลาไม้?!
อนุทั้งหลายพากันกรีดร้องออกมา
สิ่งที่เรียกว่าลาไม้ ก็คือลาที่ทำมาจากไม้ บนหลังลาจะมีท่อนไม้ปลายแหลมขนาดเท่านิ้วหัวแม่มืออยู่ ขณะที่คนถูกลงทัณฑ์ถูกบังคับให้ขึ้นหลังลาไม้ ท่อนไม้ปลายแหลมก็จะคอยทิ่มแทงกายท่อนล่าง ยามที่ลาไม้เคลื่อนตัว ท่อนไม้ปลายแหลมก็จะขยับยื่นหด ทิ่มแทงจนกายท่อนล่างของผู้ถูกลงทัณฑ์เลือดอาบ ให้คนผู้นั้นต้องเจ็บจนใจแทบขาดทีเดียว
นี่เป็นโทษหนักที่สุดที่แคว้นต้าโจวใช้ลงโทษหญิงแพศยา อย่าพูดถึงสามวันเลย เพียงแค่วันเดียวก็ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตได้แล้ว ทว่าฮูหยินยังคงใช้การลงทัณฑ์อันโหดร้ายนี้กับมู่หวั่นชิว!
แม้ความรู้สึกที่พวกนางมีต่อหญิงสาวจากหอคณิกาตรงหน้า ที่มีรูปโฉมงดงามราวเทพธิดาจุติลงมา แต่กลับงามราวนางมารเมื่ออยู่บนเตียงจะเป็นความเกลียดเข้ากระดูกดำเพียงใดนั้น แต่เมื่อเกิดเป็นหญิงเช่นเดียวกัน ภาพเหตุการณ์ในยามนี้ยังคงก่อให้เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจพวกเดียวกันขึ้นมา
เห็นฮูหยินยังนิ่งไม่ขยับ จึงพากันเลื่อนสายตาไปที่ตัวท่านแม่ทัพ หวังว่าเขาจะคิดถึงความรักที่ผ่านมา แล้วจัดการลงโทษหญิงผู้นี้ให้จบสิ้นไป!
หลังจากยื่นมือไปปัดชุดไหมตัวยาวที่เพิ่งสวมเมื่อครู่ ซึ่งเดิมทีก็ไม่มีฝุ่นผงติดอยู่เรียบร้อยแล้ว เขาจึงเหลือบมองมู่หวั่นชิวด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง ก่อนจะก้าวเท้าเดินออกไปข้างนอก
“ท่านแม่ทัพ…” หงซิ่วทรุดเข่าลงบนพื้น ขวางหน้าเขาเอาไว้ “บ่าวขอร้องท่านแม่ทัพ ท่านพันไม่สน หมื่นไม่สน ก็ขอให้เห็นแก่ที่คุณหนูติดตามท่านอย่างภักดี เห็นแก่ความรักมานานหลายปี ขอท่านได้โปรดปล่อยคุณหนูไปเถอะเจ้าค่ะ…” เห็นเขาไม่มองหน้ามู่หวั่นชิวแม้แต่น้อย หงซิ่วจึงขยับตัวคลานมาครึ่งก้าว ขวางหน้าเขาไว้ไม่ยอมปล่อย “ท่านแม่ทัพ คุณหนูอยู่ในหอชุนเซียงมาหลายปี ยอมอยู่ที่นั่นเพื่อท่านโดยไม่ปริปากบ่นมาตลอด คอยรวบรวมข่าวให้ท่านอย่างเต็มที่ ช่วยให้ท่านเอาชนะตระกูลหลีแห่งเมืองต้าเยี่ยและตระกูลเจิงแห่งเมืองผิงเฉิง จนท่านก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ฮู่กั๋ว แม้นางไม่มีความชอบ แต่ก็ถือว่ามีความพยายาม บ่าวเพียงขอร้องท่าน หากท่านไม่ชอบคุณหนูแล้วจริงๆ ก็ปล่อยคุณหนูกลับหอชุนเซียงไปเถอะเจ้าค่ะ…”
เรื่องก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ เขาอาศัยความสามารถยอดเยี่ยมของตนเองเท่านั้น จะถือเป็นผลงานของนางได้อย่างไร พอได้ฟังคำพูดนี้แล้ว ในดวงตาของซานหลางก็ฉายแววเยือกเย็นทันที พลันเตะหงซิ่วออกไปอย่างแรง
แม้จะถูกเตะจนล้มลงกับพื้น แต่หงซิ่วก็ยังพยายามจะลุกขึ้น หลังเช็ดเลือดที่ไหลลงมาตรงจมูกแล้ว ก็นึกอยากจะเข้าไปอีก แต่เมื่อประสานกับแววตาดุดันของท่านแม่ทัพ ร่างของนางก็ทนไม่ไหวพลันสั่นเทาขึ้นมา หงซิ่วจึงหมุนตัวทันใด ไปกอดขาของฮูหยินแทน แล้วเอาแต่โขกศีรษะ “บ่าวขอร้องฮูหยินเจ้าค่ะ ขอร้องฮูหยินได้โปรดปล่อยคุณหนูในครั้งนี้ไปด้วยเจ้าค่ะ ท่านรับปากบ่าวแล้วว่าจะแค่ขังนางเอาไว้ ไม่ให้นางมายั่วยวนท่านแม่ทัพได้อีก ท่านบอกว่าจะไม่ลงทัณฑ์นาง…”
“คนโง่! กล้ามาพูดจาเหลวไหลต่อหน้าคนอื่นอีก…” ฮูหยินสีหน้าเคร่งขรึม “ใครก็ได้เข้ามาที ลากตัวนางออกไป โบยให้ตาย!”
“ฮูหยิน บ่าวขอร้องท่าน ปล่อยคุณหนูไปเถอะเจ้าค่ะ การลงทัณฑ์แบบนั้นคุณหนูต้องรับไม่ไหวแน่…” หงซิ่วตะโกนอย่างสิ้นหวัง กอดขาฮูหยินไว้แน่นไม่ยอมปล่อยมือ
มียายแก่สองคนเข้ามาแกะมือของหงซิ่วออก แล้วลากตัวนางออกไป
“คุณหนู…คุณหนู เป็นบ่าวที่ทำร้ายท่านเจ้าค่ะ ถึงบ่าวตายไปก็ไม่สาสมกับความผิด…”
น้ำเสียงเศร้าสลดของหงซิ่วดังวนอยู่ในห้อง เนิ่นนานก็ยังไม่จางไป ภายในห้องเงียบจนแม้แต่เข็มหล่นก็ยังได้ยินเสียง
สายตาทุกคู่มารวมอยู่ที่ตัวท่านแม่ทัพ ไม่รู้ว่าเขาได้ฟังคำพูดของหงซิ่วแล้ว จะเกิดสำนึกแล้วปล่อยมู่หวั่นชิวไปหรือไม่
มู่หวั่นชิวก็จ้องเขาไม่วางตาเช่นกัน หากเขายังมีความรักต่อนางสักนิด คงไม่ทำเช่นนี้กับนาง
เขาไม่ได้หันหน้ามา เพียงแค่กวาดตามองทุกคนช้าๆ แวบหนึ่ง จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินออกไป
บรรดาอนุต่างรู้ตัวพากันกระจายตัวไปสองฟาก เปิดเป็นทางให้
“ท่านแม่ทัพ” มู่หวั่นชิวไม่ได้เรียกซานหลางอย่างอ่อนโยนอีกแล้ว เสียงของนางเย็นเยือกราวน้ำแข็ง เย็นจนทำให้ใจคนหนาวสั่น
ภายใต้สายตาของทุกคน นางค่อยๆ เดินลงมา ร่างที่ไม่มีไขมันแม้แต่น้อย งดงามจนทำให้คนลืมตาไม่ขึ้น ราวกับเป็นรูปปั้นที่มีมาแต่โบราณ บริสุทธิ์ไร้มลทิน ทำให้คนมิอาจเกิดใจอกุศลขึ้นมาได้อีก
ยามที่ประสานกับดวงตาสิ้นหวังของนาง ในดวงตาเขามีความยากจะทนไหวแวบผ่าน แต่กลับถูกความเกลียดชังกลบไปในทันที เขาหมุนตัวกลับแล้วก้าวยาวออกไปทันใด
“หยุดนะ!” มู่หวั่นชิวตะโกน แล้วคว้ากระบี่งามบนผนังห้องลงมา
ไม่รู้ว่าองครักษ์สองคนกระโดดออกมาจากที่ใดมาขวางหน้าท่านแม่ทัพเอาไว้
“เจ้าจะทำอะไร!” เขาหมุนตัวมา ในดวงตาเต็มไปด้วยความรังเกียจ “จะฆ่าข้า?”
“แม้ว่าอาชิวจะเป็นหญิงคณิกา แต่ตอนที่ติดตามท่านแม่ทัพมาก็ยังบริสุทธิ์อยู่ หลังจากนั้นก็ยังรักษาตัวเองเพื่อท่านแม่ทัพ…”
สองตาสิ้นหวังของมู่หวั่นชิวมีความหวังอยู่รางๆ รักก็รักแล้ว นางหาได้รู้สึกเสียใจไม่ ทั้งยังรู้ตัวว่าตนเองมีฐานะต้อยต่ำ นางจึงไม่หวังจะได้ทั้งใจของเขา ขอเพียงเขาให้นางสักเล็กน้อยก็พอ ความรักแค่เพียงเล็กน้อยนี้ก็ทำให้โลกของนางเต็มไปด้วยดอกไม้หอมแล้ว
“หญิงในหอคณิกา คู่ควรกับคำว่าบริสุทธิ์หรือ” ฮูหยินยิ้มเยาะ
มู่หวั่นชิวไม่ได้มองนาง ยังคงจ้องหน้าเขาไม่วางตา “อาชิวรู้ว่าไม่คู่ควรกับท่านแม่ทัพ ซึ่งอาชิวก็ไม่กล้าขอฐานะ ไม่กล้าขอความร่ำรวย ไม่กล้าขออะไรเลย หวังเพียงสามารถเฝ้าอยู่ข้างท่านแม่ทัพอย่างเงียบๆ หวังว่าตอนที่ท่านว่างจะคิดถึงบ้าง มาหาอาชิวบ้างก็พอ หัวใจรักนี้สวรรค์เป็นพยานได้ เหตุใดท่านแม่ทัพจึงใจร้ายเช่นนี้!”
“ลูกสาวอัครเสนาบดีเลว นางโลมในหอคณิกา คู่ควรแล้วหรือ!”
เสียงเย็นเยือกของเขาดังก้อง บรรดาอนุต่างรู้สึกหนาวเหน็บ แต่ละคนเงียบราวจักจั่นในฤดูหนาว
เพียงพริบตา ห้องที่เต็มไปด้วยคน กลับเงียบสงัดราวกับสุสานร้าง
“ท่านแม่ทัพเห็นอาชิวครั้งแรก ก็คือในหอคณิกา!” อาชิวถามเสียงเย็นชา “เป็นท่านที่เฝ้าคอยตาม ขอร้องสิ่งต่างๆ มากมาย ทว่าตอนนี้กลับพูดว่า ‘คู่ควร’ อย่างนั้นหรือ?!”
ผ่านไปเนิ่นนาน ในห้องก็ยังไม่ได้ยินเสียงอะไรแม้แต่น้อย
“ฮ่า…ฮ่า…ฮ่า…” ท่ามกลางความเงียบงัน จู่ๆ มู่หวั่นชิวก็หัวเราะเสียงแปลกแปร่งออกมา ฟังดูวังเวงราวกับผีในสุสาน “หากรู้ว่าเป็นเช่นวันนี้แต่แรก ตอนนั้นจะทำไปทำไม…ทำไปทำไม…” นางมองตาของเขาอย่างสิ้นหวัง “พี่น้องในหอคณิกาล้วนบอกว่า ชายหนุ่มไร้ความรักจริง อย่าได้เสียตัวแล้วเสียหัวใจไปด้วย แต่อาชิวไม่เชื่อ อาชิวคิดว่าท่านแม่ทัพเป็นหนึ่งเดียวในโลกนี้ เป็นคนที่ควรค่าให้อาชิวฝากใจฝากกายไว้ อาชิวเคยคิดว่าจะไม่เสียใจ แต่วันนี้อาชิวเสียใจแล้ว…”
ท่ามกลางสายตาประหลาดใจ นางร้องเพลงแห่งสัญญาที่เคยมีขึ้นเบาๆ เสียงนั้นราวเสียงนกร้องกลางหุบเขากว้าง ไพเราะแต่โศกเศร้า บีบเค้นน้ำตาคน
“ยามวสันต์ท่องเที่ยว ดอกซิ่งละล่องติดเกศา พานพบบุรุษบ้านใดหนา รูปโฉมงามสง่าน่ายล ข้าหมายตบแต่งร่วมชีวี ชาติภพนี้พึงใจสมดั่งหมาย แม้ถูกทอดทิ้งให้เดียวดาย ก็ไม่อับอายนึกเสียใจ!*”
“อาชิวเสียใจแล้ว อาชิวเสียใจแล้ว…เสียใจแล้วจริงๆ” นางพร่ำพูดเสียงเบา หัวเราะแปลกประหลาดราวกับนางมาร “ชาตินี้ รักนี้ อาชิวรักจนมิอาจรักได้แล้ว หากมีชาติหน้า อาชิวจะไม่ขอรักใครอีก!”
เมื่อคำสาบานจบลง ของเหลวสีแดงสดพลันกระเซ็นออกมาจากลำคอ กลีบดอกไม้นับไม่ถ้วนโปรยปรายร่วงหล่นลงมาในทันที ทำให้สายตาทุกผู้คนต้องพร่ามัว…
บทที่หนึ่ง
“ว้าย!” เสียงร้องดังขึ้น มู่หวั่นชิวพลันตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย แล้วดีดตัวลุกขึ้นนั่ง
เสียงกบร้องรับกัน ดวงจันทร์ลอยสูงเด่น รอบข้างเต็มไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่นของหญ้าป่า ทั้งที่ผืนป่ายามค่ำคืนช่างน่าหลงใหลเพียงนี้ เหตุใดนางในชาติก่อนจึงไม่ทันได้เห็นเล่า
ทั้งยังรู้สึกว่าเป็นทุกข์…
“คุณหนูฝันร้ายอีกแล้วหรือขอรับ” มู่จงที่เฝ้าอยู่ไม่ไกลถูกเสียงกรีดร้องทำให้ตกใจตื่น เขาจึงรีบลุกขึ้นมา
เพียงเห็นมู่หวั่นชิวที่เหม่อมองท้องฟ้า ในดวงตาเขาก็ฉายแววซับซ้อน
คุณหนูใหญ่ที่เดิมสูงศักดิ์ ทั้งเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ ด้วยบิดาต้องโทษ จำต้องระหกระเหินในชั่วข้ามคืน นอนกลางดินกินกลางทราย ไม่ว่าใครก็คงฝันร้ายติดต่อกันกระมัง มู่จงถอนหายใจเสียงเบาๆ หยิบเสื้อบนพื้นขึ้นมาคลุมตัวนาง แล้วจึงหันไปยังกองไฟที่ใกล้ดับซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป พลางเติมกิ่งไม้ลงไป จากนั้นพูดว่า
“ต้องให้คุณหนูมานอนกลางป่า เป็นเรื่องสุดวิสัยแล้ว เป็นเพราะพวกเราเป็นนักโทษหนีคดีจึงเข้าพักที่โรงเตี๊ยมไม่ได้ คุณหนูควรฉวยโอกาสที่ฟ้ายังไม่สว่างนอนพักอีกสักครู่เถอะขอรับ พรุ่งนี้ยังต้องเร่งเดินทางอีก…” เห็นมู่หวั่นชิวไม่พูดอะไร จึงพูดต่อไปว่า “พรุ่งนี้ก็จะดีขึ้นแล้ว ทันทีที่ไปถึงเมืองเครื่องหอมต้าเยี่ย พวกเราก็จะอยู่ห่างจากเมืองหลวงอันคังไกลขึ้น คุณหนูก็จะเข้าพักในโรงเตี๊ยมได้แล้ว…”
“เมืองต้าเยี่ย?” ท่าทางเหม่อลอยของมู่หวั่นชิวพลันตื่นเต้นขึ้นมาทันที “พรุ่งนี้ก็ถึงแล้ว?”
“ใช่ขอรับ…” ในแววตาของมู่จงฉายประกายสดใส “พรุ่งนี้พวกเราก็จะถึงเมืองต้าเยี่ยแล้ว คุณชายรองตระกูลเจิงแห่งเมืองผิงเฉิงที่เป็นสหายเก่าแก่ของนายท่านจะรอรับคุณหนูอยู่ที่เมืองต้าเยี่ยขอรับ”
“พรุ่งนี้…” มู่หวั่นชิวพึมพำ
ใช่แล้ว พรุ่งนี้ของชาติก่อน มู่จงที่ดูเหมือนภักดีผู้นี้จะร่วมมือกับโจร ชิงสมบัติที่นางนำติดตัวมา แล้วขายนางให้กับหอคณิกาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองต้าเยี่ย…หอชุนเซียง
นับจากนั้น ชีวิตยากลำบากในหอคณิกาช่วงนั้นก็จะถือเป็นจุดด่างพร้อยในชีวิตของนางที่มิอาจลบล้างได้อีก เมื่อตกมาอยู่ในคาวโลกีย์แล้ว ไม่ว่าต่อไปนางจะมีชีวิตอย่างเงียบๆ เพียงไร หรือมีเรือนร่างที่บริสุทธิ์อย่างไร เข้มแข็งขนาดไหน จะรักเขามากเพียงใด ก็ไม่มีทางเป็นหญิงที่ออกหน้าออกตาของเขาได้ ไม่มีทางหนีพ้นโชคชะตาที่จะถูกทอดทิ้งอย่างไม่ไยดีไปได้ สุดท้ายยังคงได้ชื่อว่าเป็นหญิงแพศยา ต้องดื่มด่ำความเกลียดชังไปจนตาย
โชคยังดีที่พอตื่นมาในชาตินี้แล้ว ยังเป็นช่วงก่อนหน้าที่นางจะถูกขายเข้าไปในหอคณิกา นางยังพอมีเวลาหาทางดิ้นรนได้ทัน ชาติก่อนผ่านไปแล้ว ชาตินี้โชคชะตาของนางจะปล่อยให้ผู้อื่นมาควบคุมอีกมิได้เป็นอันขาด!
“คุณหนูเป็นอะไรไปขอรับ” ประสานเข้ากับสายตาเย็นเยือกอย่างฉับพลันของมู่หวั่นชิว มู่จงก็หนาวสะท้านขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
นับจากคุณหนูฝันร้ายติดต่อกันมาหลายคืน อารมณ์ของนางก็เปลี่ยนไปมาก จากที่เคยเย่อหยิ่งวางอำนาจ นางกลับดูกลัดกลุ้มขึ้นกว่าเดิม และเงียบขรึมลงไปมาก วันหนึ่งจะพูดเพียงไม่กี่ประโยค มักจะใช้แววตาที่เขาเองก็ไม่เข้าใจมามองเขา และบ่อยครั้งที่นางจะนั่งอยู่แบบนี้เป็นค่อนคืน โดยไม่พูดไม่จาอะไร
ไม่รู้เพราะเหตุใด ทุกครั้งที่ประสานกับแววตาเช่นนี้ของนาง มู่จงมักเกิดความหวาดหวั่น
“ไม่มีอะไร” มู่หวั่นชิวได้สติคืนมา “ท่านอาจงนอนก่อนเถอะ ข้าอยากจะนั่งคนเดียวสักพัก”
หลบสายตาของมู่หวั่นชิวแล้ว มู่จงก็รับคำเสียงอู้อี้ นอนหันหลังให้นางในที่ไม่ไกลออกไป
ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังขึ้นด้านหลัง มู่หวั่นชิวแอบเช็ดน้ำตาข้างแก้ม เหม่อมองท้องฟ้าสีหม่น
หลังจากตื่นขึ้นมา นางก็ชอบมานั่งเงียบๆ เช่นนี้ โดยไม่ได้คิดอะไร เอาแต่นั่งนิ่งเงียบ หากในชาตินี้ สามารถสูดอากาศอิสระแบบนี้ได้บ่อยครั้ง ได้กลิ่นหอมของหญ้าป่าแบบนี้ได้มากสักหน่อย สัมผัสเสน่ห์ของธรรมชาติเช่นนี้ แม้จะเป็นเพียงชาวบ้านป่าบ้านเขา หรือเป็นหญิงที่ต้องไปอยู่ในที่อันไกลโพ้น นางก็พึงพอใจแล้ว ยังจะต้องไปเกิดในตระกูลขุนนางใหญ่เพื่ออะไร
นางในชาติก่อน ช่างโง่ ช่างเย่อหยิ่ง ช่างเอาแต่ใจ และช่างบ้าคลั่งเสียจริง
“ด้านหน้ามีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง คุณหนูไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะขอรับ” ทางตะวันออกเพิ่งจะมีแสงโผล่พ้นขึ้นมารำไร มู่จงจึงลุกขึ้น “อาหารแห้งไม่พอแล้ว บ่าวจะไปเก็บผลไม้ป่ากลับมาให้พอประทังความหิวไปก่อน…”
“ได้!” มู่หวั่นชิวคว้าห่อผ้าติดตัวขึ้นมาด้วย
“คุณหนู…” มู่จงรีบร้องเรียก
ถึงแม้ห่อผ้าจะเล็ก แต่ด้านในกลับเต็มไปด้วยของมีค่า เพียงพอจะซื้อโรงธูปดีๆ สักโรงที่เมืองเครื่องหอมต้าเยี่ยได้เลย จะให้นางหอบหนีไปมิได้เด็ดขาด
ไม่ทันสังเกตเห็นเขาชักสีหน้า มู่หวั่นชิวจึงรีบถามว่า “ท่านอาจงมีอะไรอีกหรือ”
“บ่าว…” มู่จงชะงักเสียงไป “ฟ้ายังไม่ทันสว่างดี อย่างไรให้บ่าวไปกับคุณหนูดีหรือไม่” เห็นนางขมวดคิ้ว จึงพูดเสริมต่อไปว่า “ที่นี่เป็นภูเขารกร้าง บ่าวเกรงว่าคุณหนูไปคนเดียว แล้ว…”
“ไม่ต้องหรอก” มู่หวั่นชิวพูดอย่างเคร่งขรึม “เดินทางบนภูเขามานานขนาดนี้ ข้าคุ้นเคยแล้ว ตอนนี้ก็สายแล้วด้วย ท่านอาจงไปเก็บผลไม้ป่าก่อนเถอะ อีกครู่พวกเรารีบออกเดินทางกัน คนจะได้น้อยสักหน่อย”
มู่จงจับจ้องห่อผ้าในมือนาง ขยับริมฝีปากสองสามครั้ง สุดท้ายยังคงรับคำ แล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในป่าทันที
หลังจากที่ล้างหน้าล้างตาอย่างลวกๆ แล้ว มู่หวั่นชิวก็เปิดห่อผ้าออกดู นิ้วเรียวลูบไปบนเครื่องประดับของมีค่าที่ส่องประกายวาววับ นี่เป็นสิ่งที่ท่านแม่จัดเตรียมไว้ให้นางก่อนจะจากมา ซึ่งเป็นของติดตัวตอนแต่งงานของนาง มู่หวั่นชิวลูบไปทีละเม็ด ในแต่ละเม็ดล้วนส่งผ่านความรักและความหวังของท่านแม่ที่มีต่อตัวนาง ชั่วขณะนั้นราวกับคำพูดของท่านแม่ดังขึ้นที่ข้างหูอีกครั้ง
‘อาชิว ไปกับท่านอาจงเถอะ เขาเป็นคนจรที่ท่านพ่อเจ้ารับมาเลี้ยงตั้งแต่เด็ก ต่อไปก็จะดูแลเจ้าเหมือนเป็นลูกสาว เจ้าจำไว้นะ ไม่ว่าในจวนจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าอย่าได้กลับมาเด็ดขาด อย่าล้างแค้นให้แม่กับท่านพ่อของเจ้าเด็ดขาด ขอเพียงเจ้ามีชีวิตที่ดี ได้แต่งงานกับคนดี แม้แม่อยู่ในปรโลกก็นับว่าตายตาหลับแล้ว…ทรัพย์สินมากมายจะนำภัยมาสู่ตัวได้ ถึงแม้ในจวนจะมี แต่แม่ไม่กล้าให้เจ้าเอาติดตัวไปมากนัก ของพวกนี้พอให้เจ้าไปถึงเมืองเครื่องหอมต้าเยี่ยแล้วซื้อโรงธูปสักโรงก็พอที่จะทำการค้าอย่างดีได้แล้ว”
ท่านแม่…กลับหวังเพียงให้นางมีชีวิตในชาตินี้อย่างเป็นสุขเท่านั้น!
ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใดที่ใบหน้าของมู่หวั่นชิวเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ชาติที่แล้วตอนที่พักแรมอยู่กลางป่ากับมู่จง นางโอดครวญร้อยพันอย่าง บ่นว่าในบ้านมีเงินทองกองเป็นภูเขา แต่ท่านแม่กลับไม่ยอมให้นางเอาติดตัวมามากกว่านี้ ทำให้นางต้องมานอนกลางป่ากลางเขา ได้รับความทุกข์ยากเช่นนี้ ผ่านมาหนึ่งชาติ นางจึงเข้าใจความพยายามของท่านแม่แล้ว
เพราะการโอดครวญเกี่ยวกับสมบัติเล็กน้อยนี้ไม่หยุด จึงนำโชคร้ายที่ทำให้นางต้องไปเป็นนางคณิกา!
“ท่านแม่…ท่านวางใจได้ ในชาตินี้ลูกจะต้องมีชีวิตที่ดีแน่นอน” สายตาเหม่อมองไปยังแสงทองที่เริ่มปรากฏที่ปลายขอบฟ้า มู่หวั่นชิวก็พูดพึมพำขึ้นมา
ผ่านไปพักใหญ่ นางจึงรีบก้มหน้าลงมัดห่อผ้า ก่อนจะหิ้วห่อผ้ายืนขึ้นแล้วออกเดิน หลังจากมองไปยังทางเล็กคดเคี้ยวริมแม่น้ำ นางก็หยุดเดินอีกครั้ง
มู่หวั่นชิวชอบวรยุทธ์ ไม่ชอบอักษรมาตั้งแต่เด็ก ด้วยเหตุนี้ท่านพ่อจึงเชิญอาจารย์มาสอนวรยุทธ์ให้นางโดยเฉพาะ แต่ล้วนเป็นการขยับหมัดวาดขาทั่วไป เพียงแค่ทำให้ร่างกายของนางแข็งแกร่งและคล่องแคล่วกว่าหญิงทั่วไปเท่านั้น จะนำไปเทียบกับมู่จงได้อย่างไร เขานั้นเป็นถึงองครักษ์ประจำกาย ซ้ำยังมีวรยุทธ์ล้ำเลิ ศซึ่งก็ได้ท่านพ่อเป็นผู้อบรมฝึกสอนมาโดยเฉพาะ ภายในป่าลึกรกร้างแห่งนี้ ทั้งนางยังนำของมีค่าติดตัวมาด้วย ย่อมจะหนีอีกฝ่ายไม่พ้นอยู่แล้ว
ความคิดแวบผ่านสมอง มู่หวั่นชิวจึงย่อตัวลงเปิดห่อผ้าออกอีกครั้ง หยิบห่อผ้าเล็กๆ ด้านในที่ห่อด้วยเสื้อออกมา แล้วหยิบป้ายหยกชิ้นหนึ่งเก็บใส่อกเสื้อ เมื่อคิดสักครู่ก็หยิบออกมาใหม่ ของมีค่าเหล่านี้พอตกกลางคืนไม่รู้ว่ามู่จงจะแอบนับไปแล้วไม่รู้กี่รอบ หากขาดไปสักชิ้น เขาคงจะเกิดความสงสัย ย่อมไม่ปล่อยนางไปเป็นแน่
แต่เมื่อมองเสื้อผ้าในมือ มู่หวั่นชิวใจยังคงคิดไปมากมายไม่สิ้นสุด ถึงแม้จะทิ้งของมีค่าเอาไว้ สุดท้ายแล้วร่างกายของนางนี้ก็ยังใช้แลกเงินได้ มู่จงที่มีวรยุทธ์ล้ำเลิศจะปล่อยนางจากไปหรือ
เมื่อชาติก่อน เขาก็ขายนางเข้าหอคณิกาเพื่อแลกเงินนี่นา
ลังเลอยู่ชั่วครู่ นางก็ขบฟันอย่างแรง
มู่หวั่นชิวคุกเข่าลงนั่งบนพื้น แล้วพลิกเปิดค้นห่อเสื้อ จริงดังคาด นางเจอตำราเล่มหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในห่อผ้า จึงหยิบออกมาช้าๆ บนนั้นเขียนอักษรอย่างงดงามไว้ว่า ‘วิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ย’
สิ่งนี้จึงเป็นของล้ำค่าที่ท่านพ่อท่านแม่ทิ้งไว้ให้แก่นางอย่างแท้จริง!
ชาติก่อน หลังจากนางถูกขายเข้าไปในหอคณิกา บังเอิญมีโอกาสเจอตำราเล่มนี้ ทว่าน่าเสียดาย นางในชาติก่อนนั้นกลับโง่เกินไป ไม่รู้ค่าของเคล็ดวิชานี้ ซานหลางบอกว่าชอบ นางก็มอบให้เขา ให้อีกฝ่ายเอาไปใช้เป็นสินสอดขอแต่งงานกับหลิ่วเฟิ่งคุณหนูใหญ่ตระกูลหลิ่ว หลิ่วเฟิ่งจึงได้ใช้เคล็ดวิชาการปรุงเครื่องหอมเล่มนี้ เข้าสู่วงการปรุงเครื่องหอมได้อย่างราบรื่น เอาชนะตระกูลหลีแห่งต้าเยี่ยที่ได้ฉายาว่าเป็นผู้นำวงการปรุงเครื่องหอมไป ก่อนจะก้าวกระโดดขึ้นเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลร่ำรวยแห่งแคว้นต้าโจว สร้างประโยชน์มากมายให้กับงานยิ่งใหญ่ของเขา
ชาตินี้…ความผิดพลาดเช่นเดียวกันนั้น นางจะไม่ทำผิดอีกเป็นครั้งที่สอง!
หลังจากเหม่อมองแม่น้ำที่ไหลแรง ทันใดนั้นมู่หวั่นชิวก็ซ่อนตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยไว้กับตัว
ตอนนี้เป็นช่วงฤดูร้อน ผลไม้ป่ากลางภูเขามักจะมีให้เห็นได้โดยทั่ว มู่จงรีบเด็ดมาจำนวนหนึ่ง แล้วเดินกลับมาอย่างรวดเร็ว นับจากตื่นจากฝันร้ายคืนนั้น ห่อผ้าของมู่หวั่นชิวก็ไม่เคยห่างจากมือนาง สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง โดยเฉพาะในวันนี้ที่นางเดินตามริมแม่น้ำไปทางใต้เป็นระยะทางอีกครึ่งวัน มู่หวั่นชิวไม่จำเป็นต้องให้เขาคุ้มครองนางก็สามารถหาทางไปยังเมืองเครื่องหอมต้าเยี่ยได้ เขากังวลใจจริงๆ ว่านางจะเอาของมีค่าหนีไป
เดินมาถึงข้างกองไฟที่ดับมอดแล้วยังไม่เห็นมู่หวั่นชิว มู่จงจึงมองไปที่ริมแม่น้ำ เนื่องจากบริเวณนั้นถูกกั้นด้วยต้นไม้สูงต่ำมากมาย ทำให้เห็นสภาพการณ์ริมแม่น้ำได้ไม่ชัดเจน เขาจึงตัดสินใจเดินไปที่นั่น ทว่าเดินไปเพียงสองก้าวก็หยุดลง
อย่างไรเสียก็เป็นคุณหนู ตอนนางล้างหน้าล้างตา เขาที่เป็นบ่าวก็ควรจะหลบเลี่ยง
“ช่วยด้วย! ”
ในขณะที่มู่จงกำลังลังเลใจอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียง ‘ตู้ม’ ดังสนั่นมาจากทางริมแม่น้ำ ก่อนตามติดมาด้วยเสียงกรีดร้องของมู่หวั่นชิว เขาไม่คิดอะไรมากอีก รีบวิ่งไปทางริมแม่น้ำทันที
ที่ริมแม่น้ำว่างเปล่า มู่หวั่นชิวหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว บนผิวน้ำที่ไหลแรงนั้น เสื้อสีชมพูอ่อนของนางยังคงลอยอยู่ ก่อนจะจมหายไปตรงจุดที่กระแสน้ำเชี่ยวกราก
หลังมองเห็นรองเท้าปักลายข้างหนึ่งตกอยู่ริมแม่น้ำ มู่จงก็รีบกระโดดลงไปในแม่น้ำทันที
แม้จะเป็นฤดูร้อน แต่แม่น้ำกลางเขาก็ยังหนาวจนเข้ากระดูก มู่จงตัวสั่นในทันที เมื่อได้สติคืนมา เขาก็เหม่อมองเสื้อสีชมพูอ่อนที่ค่อยๆ จมหายไป ทันใดนั้นเขาก็หันหน้ากลับไปมองบนฝั่ง
โชคยังดี…โชคยังดียิ่งนักที่ห่อผ้ายังอยู่!
มู่จงว่ายกลับขึ้นฝั่งแล้ว เขาก็เปิดห่อผ้าออก พลางนับของอย่างตั้งใจ
“ไม่ขาดแม้แต่ชิ้นเดียว เห็นทีนางคงพลัดตกน้ำไปจริงๆ” มู่จงถอนหายใจยาว มองไปยังแม่น้ำไหลเชี่ยวแล้วพูดพึมพำ
มู่จงเก็บห่อผ้ามาผูกไว้ข้างเอวอย่างรวดเร็ว เดินไปได้สองก้าวก็เหยียบเข้ากับห่อเสื้อผ้าที่ตกกระจายอยู่บนพื้น จึงชะงักฝีเท้า จากนั้นก็เตะห่อผ้าลงไปในน้ำอย่างแรง ในดวงตาฉายแววดุร้าย
“ตายไปก็สบายเจ้า แต่น่าเสียดายเงินสองพันตำลึงของข้า!”
แม้ปากพ่นคำด่า แต่มู่จงก็มิได้หันกลับมา เขายังคงเดินเลียบแม่น้ำไปทางใต้…
ดวงตะวันค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ยอดไม้ น้ำในแม่น้ำถูกแสงส่องจนเป็นประกายระยิบระยับ เหมือนโซ่เงินเส้นยาวที่ทอดตัวอยู่ในหุบเขา ยามที่ลมภูเขาพัดผ่าน ต้นไม้ริมฝั่งทั้งสองด้านก็ส่งเสียงเสียดสีกัน เผยให้เห็นถึงความเงียบสงบในหุบเขา หลังจากคิดว่ามู่จงคงไม่กลับมาแล้ว มู่หวั่นชิวจึงค่อยๆ ปีนลงจากต้นการบูรที่มีลำต้นขนาดเท่าสองคนโอบ
มู่หวั่นชิวเก็บรองเท้าจากริมแม่น้ำมาใส่แล้วมองไปยังแม่น้ำที่ส่องประกาย ห่อเสื้อผ้าของนางหายไปแล้ว
นางพลันถอนหายใจ แค่เสื้อผ้าไม่กี่ชุดเขายังไม่ยอมทิ้งไว้ให้ข้าเลย ก่อนหันไปมองทางเล็กคดเคี้ยวที่อยู่ด้านหลัง
ในความทรงจำเมื่อชาติก่อน หลังจากล่องใต้ไปตามทางเส้นนี้แล้ว ไม่ไกลจากนั้นก็จะเป็นทางหลวงเส้นหนึ่ง เดินทางต่อไปราวครึ่งวันก็จะถึงเมืองเครื่องหอมต้าเยี่ย โรงธูปขนาดใหญ่ในแคว้นต้าโจวหลายโรงล้วนมีสาขาหลักอยู่ที่นั่น ถือเป็นสวรรค์ในฝันของนักปรุงเครื่องหอมโดยแท้
มู่หวั่นชิวซ่อนตำราวิชาการปรุงเครื่องหอมไว้ในอกเสื้อ หากนางจะเป็นนักปรุงเครื่องหอม เมืองต้าเยี่ยย่อมเป็นที่แรกที่นางจะเลือก แต่ว่าที่นั่นมีความทรงจำอันโหดร้ายในชาติก่อนของนาง และยังมี ‘เขา’ อยู่ เพียงแค่คิดถึงในชาติก่อนที่นางถูกบีบให้ต้องปาดคอในเรือนเฉินเซียงแล้ว ความเคียดแค้นมหาศาลก็ทะลักเข้ามาในใจ มู่หวั่นชิวกำหมัดแน่น เล็บมือพลันจิกเข้าไปในเนื้อ เลือดสดค่อยๆ ไหลลงมาตามซอกนิ้ว ก่อนจะหยดลงพื้นทีละหยด…
ในที่สุดนางก็หลุดพ้นจากการควบคุมของมู่จงแล้ว ความอดทนที่เก็บกดไว้ในใจนานหลายวันก็พลันปะทุออกมา ความมุ่งมั่นหนึ่งเกิดขึ้นในใจ ข้าจะแก้แค้น! ข้าจะกลับไปฆ่าพวกนางด้วยมือตัวเอง! มู่หวั่นชิววิ่งอย่างบ้าคลั่งไปตามทางที่มู่จงเดินจากไป
ตุบ! วิ่งไปได้ไม่ไกล มู่หวั่นชิวก็สะดุดหินก้อนหนึ่งล้มลง ร่างคะมำล้มลงบนพื้นไปทั้งตัว
นางนอนนิ่งอยู่บนพื้น
ทันใดนั้น เสียงร้องสะเทือนฟ้าดินก็ดังออกมาจากร่างงาม ความเศร้าโศกและโกรธแค้นดังระงมไปทั่วผืนป่าทันที ทำให้ฝูงนกภูเขาตกใจจนบินวนอยู่กลางอากาศ พลอยส่งเสียงร้องดังตามไปด้วย
ผืนป่าคร่ำ…แผ่นดินครวญ
เนิ่นนานผ่านไป…
มู่หวั่นชิวพลิกตัวขึ้นนั่ง บนพื้นก็เปียกเป็นวงกว้าง ดินโคลนและน้ำตาทำให้ใบหน้าขาวนวลสกปรก ตัวนางพลันได้สติคืนมา จึงส่ายหน้าอย่างแรง
ไม่…กลับไปไม่ได้!
ที่นั่นมีมู่จงบ่าวผู้เลวร้ายอยู่ ถ้าไปแล้วนางจะต้องถูกจับไปขายที่หอชุนเซียงอย่างแน่นอน คนล้วนพูดว่าชะตาชีวิตสวรรค์เป็นผู้ลิขิต มนุษย์มิอาจกำหนดได้ แต่นางไม่เชื่อ ในชาตินี้นางจะต้องเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตอันเลวร้ายของนางที่ต้องเข้าไปอยู่ในหอคณิกาแห่งนั้นให้จงได้
เช็ดน้ำตาจนแห้งแล้ว มู่หวั่นชิวก็หันไปมองภูเขากว้างไกลที่ด้านหลัง หากข้ามเขาลูกนี้ แล้วเดินต่อไปทางตะวันตกก็จะถึงเมืองผิงเฉิงที่เลื่องชื่อเรื่อง ‘การพนัน’ หลังผ่านเมืองผิงเฉิง เดินทางต่อไปทางตะวันตกเฉียงใต้ก็คือเมืองซั่วหยางที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองเครื่องหอมเล็ก แคว้นต้าโจวเป็นแคว้นใหญ่ที่มีชื่อเสียงจากเครื่องหอมจนถูกขนานนามว่าเป็นแคว้นที่ผลิตเครื่องหอมได้ดี และแถบเมืองซั่วหยางก็ถือเป็นต้นกำเนิดวัตถุดิบเครื่องหอม ซึ่งวัตถุดิบเครื่องหอมกว่าครึ่งของแคว้นต้าโจวก็ล้วนมาจากที่นั่น หลังจากแปรรูปจากที่นั่นแล้วก็จะถูกลำเลียงมาที่เมืองต้าเยี่ยเพื่อปรุงเป็นเครื่องหอมได้อีกหลายชนิด
จะเป็นนักปรุงเครื่องหอม ที่ซั่วหยางก็ถือเป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลย
เพียงความคิดแล่นผ่านหัว มู่หวั่นชิวก็กัดริมฝีปากของตนอย่างแรง เมื่อชาติที่แล้วนางไม่เคยไปเมืองซั่วหยางมาก่อน ที่นั่นสำหรับนางอาจเป็นเหมือนโลกที่ไม่รู้จัก คิดไปแล้วแม้จะรู้สึกกลัวอยู่บ้าง แต่นางก็ต้องสู้สักยกมิใช่หรือ
การมีชีวิตอีกครั้งนั้นไม่ง่าย ในชาตินี้แม้การแก้แค้นจะสำคัญเพียงใด แต่นางก็อยากจะฝืนเปลี่ยนชะตาชีวิตของตนเองมากกว่า
เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้ว มู่หวั่นชิวก็ลุกขึ้นจากพื้น หยิบกิ่งไม้ขนาดเท่าท่อนแขนขึ้นมาท่อนหนึ่ง ก่อนจะดึงดาบตัดวิญญาณขนาดยาวสามชุ่น*ที่ซ่อนอยู่ในตัวออกมา เหลาท่อนไม้นั้นให้เป็นไม้ตีสุนัขขนาดยาวสามฉื่อ**
อยู่กลางเขามักพบเจออสรพิษร้ายได้ทั่วไป โชคดีที่ตอนเด็กนางเคยร่ำเรียนกับอาจารย์สอนวรยุทธ์อยู่ช่วงหนึ่ง ร่างกายจึงยังนับว่าคล่องแคล่วแข็งแกร่งอยู่บ้าง ขอเพียงไม่ได้เจอกับฝูงหมาป่า เชื่อว่าหากเจอสัตว์แค่ตัวสองตัว อย่างน้อยก็จะเข้าใกล้ตัวนางไม่ได้
มู่หวั่นชิวให้กำลังใจตัวเอง พลางก้าวเท้าเข้าไปในป่ามุ่งหน้าสู่หุบเขาลึก
“ทำไมไม่ได้อะไรอีกแล้ว” หม่าหย่งเหม่อมองกับดักสัตว์ที่ว่างเปล่าในมือ พลางบ่นพึมพำ
หลายปีมานี้ กับดักที่เขาวางไว้ไม่เคยว่างเปล่า แต่ครั้งนี้น่าประหลาดจริงเชียว กับดักของเขาเป็นแบบนี้มาสองวันแล้ว หากเหยื่อที่วางไว้ถูกกินไปก็ไม่ว่ากัน แต่ไม่ใช่ว่าเขาดักสัตว์ไม่ได้เลยสักตัวเช่นนี้
“แปลกประหลาดยิ่งนัก หรือโลกนี้มันจะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ” มองดูกับดักในมือแล้ว หม่าหย่งก็เงยหน้ามองฟ้าอันกว้างไกลที่สดใสไร้ปุยเมฆ “เจอภัยแล้งหนักในรอบร้อยปี พืชพรรณในนาเห็นได้ว่าแทบจะไม่ได้ผลเก็บเกี่ยว หรือสิงสาราสัตว์เหล่านี้จะเห็นสัญญาณเตือน สามารถหนีรอดกับดัก และกินเหยื่อไปได้?” เขาส่ายหน้าแล้วส่ายหน้าอีก “ไม่น่าเชื่อเลย…ไม่น่าเชื่อแม้แต่น้อย”
หม่าหย่งบ่นพึมพำ แล้วตรวจสอบกับดักอย่างละเอียดอีกครั้ง กับดักนี้ไม่มีปัญหาอะไร เขาขยับดัดอยู่นาน ก่อนวางเหยื่อใหม่อีกครั้ง แล้วเอาดินกลบอย่างระมัดระวัง
เขาหันกลับไปแบกหมูป่าที่เพิ่งล่าได้มาเมื่อสักครู่ แล้วใช้ง้าวตวัดตัดพุ่มไม้ จากนั้นหม่าหย่งก็เดินลงเขาไป
เพิ่งเดินมาถึงกลางทาง จู่ๆ หม่าหย่งก็ชะงักฝีเท้า หลังก้มหน้าลงครุ่นคิดสักครู่ เขาก็ซ่อนหมูป่าไว้ในกับดักข้างทาง ก่อนจะเดินกลับไปตามทางเดิมอย่างเงียบๆ
อาทิตย์อัสดงย้อมท้องฟ้าให้แดงไปครึ่งผืน ลมเย็นสบายยามพลบค่ำพัดจนใบไม้เกิดเสียงเสียดสีกันไปมา หม่าหย่งที่นอนเฝ้าอยู่ในพุ่มไม้มาทั้งวัน จู่ๆ ก็ตื่นขึ้นมาจากความง่วง เขาเหลือบมองกับดักสัตว์ที่อยู่ไม่ไกลบนพื้น ก็พบว่ามันยังอยู่ดีอยู่ เขาจึงถอนหายใจ ดวงตะวันใกล้จะตกดินแล้ว หากเขายังไม่ไปอีก กลับไปถึงบ้านฟ้าคงมืด คนทางบ้านจะร้อนใจเอาได้
กำลังคิดจะลุกขึ้น ก็ได้ยินเสียงดังแกรบ หม่าหย่งตกใจ หันกลับไปอย่างช้าๆ ตัวฮวน*ตัวหนึ่งติดเข้ากับกับดัก กำลังดิ้นพล่านหมายเอาชีวิตรอด
หม่าหย่งฉีกปากยิ้มแหะๆ ออกมา
ว่าอยู่แล้วเชียว กับดักสัตว์ที่เขาทำนั้นถือเป็นที่หนึ่งในหมู่บ้าน จะดักสัตว์ไม่ได้ได้อย่างไร
ในใจคิดอยู่ แต่หม่าหย่งยังคงไม่ขยับเขยื้อน เขาซ่อนตัวอยู่กลางพุ่มไม้ นึกอยากจะดูว่าใครกันหนอที่อาจหาญ ในที่โล่งแจ้งเช่นนี้ ยังกล้ามาขโมยสัตว์ของเขาอีก
ผ่านไปราวสองเค่อ** ตัวฮวนก็หยุดดิ้น มันนอนแน่นิ่งอยู่กับที่ คิดว่าคงจะตายแล้ว ในตอนที่หม่าหย่งหมดความอดทน จะออกไปเก็บซากนั้น เสียงดังสวบสาบก็ดังลอยมา พุ่มไม้พุ่มหนึ่งฝั่งตรงข้ามขยับไหว คนสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ตัวผอมและไม่สูง ค่อยๆ คลานออกมา นางมองซ้ายแลขวา ไม่พบว่ามีสิ่งผิดปกติอะไร จึงรีบวิ่งเข้าไปปลดซากสัตว์ออกจากกับดัก แล้ววิ่งหนีไปทันที
“หยุดนะ!” เด็กน้อยเพิ่งจะหมุนตัวไป หม่าหย่งก็พุ่งตัวออกมา “ที่แท้เป็นเจ้านี่เองเจ้าหัวขโมย”
ร่างเล็กตัวสั่นงันงกหยุดอยู่กับที่ในทันที
“อายุยังน้อย เรียนอะไรไม่เรียน เจ้ากลับมาเรียนรู้การเป็นขโมย!” หม่าหย่งคว้าคอเสื้อเด็กน้อย “แม่เจ้าไม่ได้สอนหรือว่าการขโมยของเป็นเรื่องน่าอายที่สุด!”
“ท่านอา…ข้าหิว…” เด็กน้อยผอมบางที่หวาดกลัวพลันเงยหน้าขึ้นมา นางก็คือมู่หวั่นชิวที่เพิ่งรอดพ้นจากเงื้อมมือของมู่จงมานั่นเอง
เวลาเพียงไม่กี่วัน เสื้อผ้าบนร่างนางก็ถูกกิ่งไม้เกี่ยวขาดเป็นแถบๆ ซ้ำยังดูเก่ามาก ใบหน้าเล็กเปื้อนดำ มีเพียงสองตาโตที่ตาขาวตาดำแยกกันอย่างชัดเจน ส่องประกายวับวาว ฉายแววลึกลับ จ้องมองหม่าหย่งด้วยความหวาดกลัว
“เป็นเด็กผู้หญิงเสียด้วย!” มือที่ยกสูงชะงักกลางอากาศ หม่าหย่งถอนหายใจ “ทำไมเจ้าถึงวิ่งเข้ามาในหุบเขาลึกนี้เพียงคนเดียวเล่า แล้วคนทางบ้านเจ้าล่ะ”
“ข้า…” เมื่อคิดถึงท่านพ่อที่ได้รับโทษถูกประหารทั้งตระกูล น้ำตาก็เอ่อขึ้นมาที่ขอบตาทันที มู่หวั่นชิวกะพริบตาแรงๆ “ข้าตามที่บ้านมาหาญาติที่เมืองผิงเฉิง แต่กลับเจอสัตว์ร้ายไล่ทำร้ายมา จึงพลัดหลงกัน แล้วก็เดินเรื่อยๆ จนมาถึงที่นี่…” นางถูกหมีดำตัวหนึ่งไล่ตามจนหลงทางจริงๆ ก่อนจะวิ่งวนมาจนถึงที่นี่ ดวงตาสั่นไหวของมู่หวั่นชิวมองหน้าหม่าหย่ง “ท่านอาพาข้าไปที่เมืองผิงเฉิงได้หรือไม่”
“ผิงเฉิงห่างจากที่นี่เป็นระยะทางยี่สิบกว่าวัน อาไปไม่ได้หรอก” หม่าหย่งส่ายหน้า “ยายหนู เจ้ากลับไปกับลุงก่อน รอให้ถึงปลายปีในหมู่บ้านมีคนไปเดินตลาด ค่อยพาเจ้าไปหาญาติ…ดีหรือไม่”
มองดูมู่หวั่นชิวที่ผอมบาง หม่าหย่งก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความเห็นใจ
แต่ว่าพวกเขาเป็นเพียงชาวเขา เดิมทีก็ไม่มีเงินอะไร ทั้งยังต้องตื่นแต่เช้ามืดมาทำงาน เข้าเมืองสักครั้ง จะนับเป็นเรื่องง่ายได้อย่างไรกัน
ขอเพียงมีที่กินอยู่สักที่ นางก็ไม่รีบร้อนที่จะไปเมืองซั่วหยางแล้ว ช้าไปอีกสักปีจะเป็นไร
“ขอบคุณท่านอา…” มู่หวั่นชิวฉีกปากยิ้ม เผยให้เห็นแผงฟันขาวเรียงกัน ดูน่ารักเป็นอย่างมาก
หม่าหย่งถอนหายใจ “ช่างเป็นเด็กดีเสียจริง”
อึกๆ ข้าวต้มถ้วยหนึ่งถูกมู่หวั่นชิวกินจนหมดภายในพริบตา นางขยับปากเหมือนยังติดใจในรสชาตินั้นอยู่ ผ่านชีวิตมาสองชาติ นางไม่เคยรู้เลยว่าข้าวต้มข้าวโพดง่ายๆ ชามหนึ่งจะหอมหวานได้ถึงขนาดนี้
มองดูเศษข้าวต้มที่ติดอยู่ข้างชาม นางก็นึกอยากจะยกถ้วยขึ้นมาเลียให้สะอาดเสียด้วยซ้ำ ทว่าความเรียบร้อยที่ได้รับการอบรมมานานในจวนอัครเสนาบดี ทำให้นางต้องสะกดความต้องการนั้นเอาไว้
ประตูถูกเปิดออก เมียหม่าหย่งยกอาหารแห้งจากข้าวโพดจานหนึ่งและไชเท้าเส้นตากแห้งนึ่งชามหนึ่งเดินเข้ามา เห็นมู่หวั่นชิวกินข้าวต้มชามใหญ่หมดภายในพริบตาก็รู้สึกตกใจ “จุ…จุ ดูเด็กคนนี้สิ หิวไม่เบาเลย…” วางข้าวปลาอาหารลงบนโต๊ะแล้ว ก็หยิบอาหารแห้งชิ้นหนึ่งยื่นให้นาง “อาชิวอย่าใจร้อน กินช้าลงหน่อยเถิด แล้วก็กินกับสักนิด…” จากนั้นก็หยิบถ้วยขึ้นมา “จะกินข้าวต้มอีกหรือไม่”
ใบหน้าเล็กของมู่หวั่นชิวขึ้นสี แล้วเม้มริมฝีปาก “ข้าวต้มข้าวโพดหอมจริงๆ ท่านอา”
“เจ้าก็แค่หิว…” เมียหม่าหย่งหัวเราะออกมา “พอกินบ่อยเข้า เจ้าก็จะร้องโอดครวญเอง”
ประตูพลันถูกเปิดแง้มออก ดวงตาดำเล็กคู่หนึ่งมองลอดผ่านช่องประตูเข้ามา
“มาเอาไป…” เมียหม่าหย่งยื่นถ้วยออกไป “ตักข้าวต้มมาให้น้องชิวอีกถ้วย อยู่ในบ้านตัวเองแท้ๆ ทำไมถึงทำตัวเหมือนเป็นโจรเยี่ยงนี้!”
นอกช่องประตูนั้นมีมือข้างหนึ่งยื่นมารับถ้วยเอาไป
“เขาเป็นลูกชายของข้าเอง ชื่อหม่าจู้เอ๋อร์ ปีนี้อายุสิบสี่ปีแล้ว โตกว่าเจ้าหนึ่งปี ต่อไปอาชิวก็เรียกเขาว่าพี่จู้จื่อก็แล้วกัน” ประตูปิดลงเสียงดังปึก เมียหม่าหย่งมองดูมู่หวั่นชิวกินอาหารไป พลางเริ่มพูดบ่นขึ้นมา “จู้จื่อดีทุกอย่าง ติดที่นิสัยขี้อายเกินไป ชอบทำตัวไม่ต่างจากหญิงสาว”
ระหว่างที่พูดอยู่ หม่าจู้เอ๋อร์ก็ยกข้าวต้มเต็มถ้วยผลักประตูเข้ามาอย่างระมัดระวัง คิดว่าคงได้ยินคำพูดของมารดา สีหน้าของหม่าจู้เอ๋อร์จึงขึ้นสีเล็กน้อย เขามองหน้ามารดาอย่างไม่พอใจ แต่ก็ถูกเมียหม่าหย่งถลึงตาใส่ “อย่ามาเหม่ออยู่ตรงนี้ ไปช่วยพ่อเจ้าไล่เป็ดเข้าเล้า ให้อาหารหมูเถอะ แล้วก็รีบกลับมากินข้าว พ่อเจ้าหิวมาทั้งวันแล้ว” นางรับถ้วยข้าวต้มมายื่นให้มู่หวั่นชิว “อาชิวกินง่ายๆ ก่อนสักมื้อเถอะนะ อาของเจ้าเพิ่งจะล่าหมูป่ามาได้ตัวหนึ่ง พรุ่งนี้พวกเราจะได้กินเนื้อหมูป่ากัน”
มู่หวั่นชิวกินข้าวจนเต็มปาก นางปิดปากแน่น แล้วพยักหน้าอย่างแรง หลังจากเห็นสายตาของหม่าจู้เอ๋อร์ลอบมองมาอีกครั้ง นางจึงขยิบตาให้เขาอย่างซุกซน ทำให้หม่าจู้เอ๋อร์หน้าแดงไปถึงติ่งหู แล้วหมุนตัววิ่งออกไป
ไม่นานก็กลับมาอีกครั้ง เอาลูกท้อที่ทั้งใหญ่และแดงสองลูกวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะวิ่งออกไปราวกับเหาะอีกหน
เมียหม่าหย่งส่ายหน้าอย่างรักเอ็นดูและจนใจ
มู่หวั่นชิวมองดูลูกท้อสีแดงยั่วใจสองลูกที่ถูกเช็ดอย่างสะอาดแล้ว นางก็เม้มปากยิ้มออกมา
หมู่บ้านในหุบเขาแห่งนี้มีบ้านคนอยู่สิบกว่าหลังคา เรื่องแปลกใหม่จึงกระจายไปอย่างรวดเร็ว มู่หวั่นชิวเพิ่งจะวางถ้วยข้าวลง เรือนด้านตะวันออกของบ้านหม่าหย่งก็มีคนมากันจนแน่นขนัด
เพราะเป็นบุตรสาวของขุนนางต้องโทษ มู่หวั่นชิวจึงใช้ผมปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งไว้ นางก้มหน้าลงเล็กน้อย พลางคำนับทักทายทุกคนตามเมียหม่าหย่ง ทุกคนเพียงคิดว่านางขี้อาย จึงดึงตัวนางมาถามโน่นถามนี่ “ข้าแซ่ไป๋ ชื่อไป๋ชิว จะเดินทางไปหาญาติที่เมืองผิงเฉิง แต่ถูกหมีดำไล่ตามจนพลัดกัน” มู่หวั่นชิวทวนคำพูดที่บอกกับหม่าหย่งเมื่อกลางวันนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นางไม่กล้าพูดชื่อแซ่จริง จึงใช้อักษรไป๋ซึ่งเป็นตัวประกอบของตัวมู่มาเป็นแซ่แทน
หม่าจู้เอ๋อร์อยู่ในห้องครัวคอยหักกิ่งไม้เพื่อต้มน้ำ หลังจากฟังเพื่อนบ้านในเรือนตะวันออกพูดชมกันเซ็งแซ่แล้ว เขาก็หัวเราะแหะๆ
บ้านของหม่าหย่งเป็นเรือนไม้สามห้อง เข้าประตูมาก็เป็นห้องครัว มีห้องตะวันออกและห้องตะวันตกอีกอย่างละห้อง เมียหม่าหย่งเก็บฟูกผ้าฝ้ายลายดอกสีเขียวเข้มบนเตียงในห้องด้านตะวันตก แล้วเปลี่ยนเป็นฟูกนอนที่ยาวเพียงครึ่งหนึ่ง “ในบ้านไม่ค่อยมีใครมา ก็เลยมีฟูกผ้าห่มแค่ไม่กี่ผืน อาชิวก็ทนนอนสักคืนเถิด พรุ่งนี้จะให้อาของเจ้าเอาฟืนในบ้านไปขาย แล้วทำใหม่สักผืน…” เมียหม่าหย่งพูดพลางหอบเอาฟูกผ้าฝ้ายลายดอกเดินไปทางห้องตะวันออก ปากก็เรียกหม่าจู้เอ๋อร์ “จู้จื่อคืนนี้ก็นอนที่ห้องตะวันออกนะ ห้องตะวันตกให้น้องชิวพัก!”
หม่าจู้เอ๋อร์ที่กำลังเขี่ยไฟในห้องครัว เหยียบสะเก็ดไฟจากฟืนอยู่สองสามที แล้วดึงแผ่นเหล็กที่วางอยู่ด้านข้างมาปิดปากเตา จากนั้นจึงหันกลับไปรับฟูกในมือของเมียหม่าหย่งมา ก่อนจะเดินไปส่งให้ที่ห้องตะวันตก
“เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมไม่รู้ความแบบนี้…” เมียหม่าหย่งเดินตามมาทางด้านหลัง “ห้องตะวันตกให้น้องสาวเจ้าพัก ”
อย่างไรอาชิวก็เป็นเด็กหญิง มานอนเบียดกับพวกนางสองผัวเมียก็ไม่ค่อยสะดวก เห็นหม่าจู้เอ๋อร์ปูฟูกกลับไปที่เดิมโดยไม่พูดอะไรสักคำแล้ว เมียหม่าหย่งพลันร้อนใจจนหน้าแดงก่ำ คิดจะเข้าไปดึงฟูกลงมา
หม่าจู้เอ๋อร์ปัดมือของมารดาที่ยื่นมา แล้วม้วนฟูกบาง “ข้าจะปูอันนี้”
“เจ้าเด็กคนนี้ มีอะไรพูดดีๆ ก็ได้…” เมียหม่าหย่งจิกตามองเขาแวบหนึ่ง
“ไม่ต้องหรอก ข้าตัวเล็ก ฟูกผืนนั้นก็พอใช้แล้ว” เทียบกับช่วงหลายวันมานี้ที่นางต้องอยู่กลางป่าเขา ยามนี้เมื่อมีที่นอน มีฟูกยาวครึ่งหนึ่งปูไว้ ก็เป็นเหมือนสวรรค์แล้ว เห็นเมียหม่าหย่งยังชักสีหน้า มู่หวั่นชิวจึงรีบอ้าปากยับยั้ง
หม่าจู้เอ๋อร์หันหน้ามามองนางแวบหนึ่ง แต่มิได้พูดอะไร
“ข้านอนพื้นหญ้าจนชินแล้ว ไม่ปูฟูกก็ได้” มู่หวั่นชิวพูดเสริม
หม่าจู้เอ๋อร์หยุดชะงัก แล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้หันมามอง
“เด็กคนนี้…เด็กคนนี้นี่” เมียหม่าหย่งพร่ำบ่น นั่งลงข้างเตียงดึงมืออาชิวมาแล้วพูดว่า “นิสัยดื้อรั้นของเขา ตีอย่างไรก็ไม่ยอมพูด ถ้าเขาชอบปูผืนสั้นนอน อาชิวก็อย่าสนใจเขาเลยนะ”
“พี่จู้จื่อใจดี” อาชิวตาแดงเล็กน้อย
กำลังพูดอยู่ หม่าจู้เอ๋อร์ก็ยกถังไม้ควันระอุเคาะประตูเดินเข้ามา
“นี่เจ้าจะทำอะไรอีก” เมียหม่าหย่งที่กำลังจะลุกขึ้นถามอย่างสงสัย ตอนที่อาชิวมาถึงเพิ่งจะอาบน้ำนี่นา
“ให้น้องสาวแช่เท้า” หม่าจู้เอ๋อร์สองตาจ้องไปบนพื้น เหมือนกับบนพื้นก็คือเท้าของมู่หวั่นชิว “นี่เป็นน้ำจากหญ้าซวินอี* ลบรอยแผลเป็นได้”
“แช่เท้า?” เมียหม่าหย่งตะลึงไป ก่อนจะหันมามองเท้าของมู่หวั่นชิว “เท้าของอาชิวเป็นอะไร”
มู่หวั่นชิวรีบซ่อนเท้าไว้ใต้ฟูกอย่างรวดเร็ว
“เจ้าออกไปก่อน” เห็นอีกฝ่ายไม่ยอมยื่นเท้าออกมา เมียหม่าหย่งก็หันไปบอกให้หม่าจู้เอ๋อร์ออกไปก่อน แล้วดึงขาของนางออกมา “จุ…จุ เด็กคนนี้ ทำไมถึงได้บาดเจ็บแบบนี้ กางเกงของจู้จื่อที่เจ้าใส่ก็ยาวเกินจนปิดเอาไว้ พูดกันมาทั้งคืนข้าถึงมองไม่เห็น”
เห็นใต้ฝ่าเท้าขาวนุ่มนิ่มสองข้างของมู่หวั่นชิวเต็มไปด้วยตุ่มน้ำและแผล แม้แต่ท้องน่องก็มีบาดแผลเขียวคล้ำแดงคล้ำอยู่ไม่น้อย เมียหม่าหย่งพูดบ่นขึ้นมา “เด็กคนนี้ช่างลำบากเหลือเกิน” พลันหันหน้าตะโกนออกไปนอกประตู “พ่อตาหนู! เจ้าไปดูที่บ้านหลี่หม่าจื่อทางหัวมุมตะวันออกของหมู่บ้านทีว่ามียาสมานแผลหรือไม่ แล้วซื้อกลับมาสักหน่อย…”
หลี่หม่าจื่อเป็นท่านหมอเพียงคนเดียวในสิบกว่าหลังคาเรือนของหมู่บ้าน
“ตอนที่ถูกหมีดำไล่ตาม รองเท้าข้าหลุดไปข้างหนึ่ง เลยถูกกิ่งไม้เกี่ยวเอา ข้าไม่เจ็บหรอกอาหญิง” คนที่มีความละเอียดแค่มองก็จะพบว่าตุ่มน้ำเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาในวันเดียวกัน เมื่อคิดว่านางเป็นนักโทษหนีคดี มู่หวั่นชิวไม่กล้าให้ใครรู้ นางจึงระวังตัวอยู่ตลอด กลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกหม่าจู้เอ๋อร์ที่ดูเหมือนทึ่มๆ เห็นเข้า “ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว ท่านอย่าให้ท่านอาออกไปอีกเลย”
“ขาบาดเจ็บขนาดนี้ จะไม่เจ็บได้หรือ” เมียหม่าหย่งคว้าเท้าของมู่หวั่นชิวมาแช่ลงในน้ำหญ้าซวินอี “ให้อาของเจ้าไป เจ้าไม่ต้องสนใจ…”
“ไม่เจ็บ จริงๆ นะ…” เห็นเมียหม่าหย่งถลึงตาให้ มู่หวั่นชิวจึงเม้มปากแน่น
เทียบกับชาติก่อนแล้ว สิ่งนี้ไม่นับว่าหนักหนาอะไร
ชาติก่อนยามที่นางถูกขายเข้าหอคณิกา แล้วไม่ยินยอมที่จะรับแขก นางก็ได้รับความลำบากไม่น้อย แม่เล้าในหอชุนเซียงเคยเปลื้องผ้านาง แล้วโยนไปบนแผ่นกระดานเหล็กร้อนๆ ตอนเหยียบลงไปเท้าก็พอง ยกเท้าขึ้นข้างหนึ่ง อีกข้างก็ถูกนาบ นางได้แต่กระโดด จนกระทั่งทนไม่ไหวจำต้องร้องขอชีวิต ตอนที่ถูกปล่อยตัวออกมา ใต้ฝ่าเท้าทั้งคู่ก็ถูกนาบจนเละไปหมดแล้ว
ความเจ็บปวดทะลวงใจเช่นนั้น หลังจากนั้นอีกหลายปี ทุกครั้งที่นึกถึง ก็ยังรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมา
ตอนนี้มีตุ่มน้ำแค่ไม่กี่อัน ที่สำคัญก็คือ แม้นางจะลำบาก แต่ก็มีฐานะที่บริสุทธิ์ ชาติก่อนเพราะถูกบีบเข้าไปในกลุ่มคนชั้นต่ำ แม้จะมีชุดงาม อาหารรสเลิศเพียงใด แต่ยังคงโดนคนด่าทอหัวเราะเยาะ ตัวนางกลับทำอะไรไม่ได้สักนิด แม้ว่าภายหลังจะได้ไถ่ตัวออกมา และรักษาเรือนร่างเพื่อเขาแล้ว แต่ยังคงมิอาจหลุดพ้นชื่อไม่ดีว่าเป็นนางคณิกา ติดตามเขาไปอีกนานหลายปี ก็ไม่มีแม้แต่ฐานะที่ชัดเจน
‘ลูกสาวอัครเสนาบดีเลว นางโลมในหอคณิกา คู่ควรแล้วหรือ!’
คิดถึงคำพูดไร้ไมตรีของเขาแล้ว ความเคียดแค้นก็ทะลักล้นขึ้นมาในใจ มู่หวั่นชิวขบฟันแน่น ไม่ยอมให้น้ำตาที่เอ่อในดวงตาได้ไหลลงมา
ชาตินี้ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใด นางจะต้องมีชีวิตเหมือนคนทั่วไปให้ได้!
* มาจากบทประพันธ์ ‘คำนึงแดนสวรรค์’ ของเหวยจวง (ประมาณ ค.ศ. 836-910) กวีสมัยราชวงศ์ถัง
* ชุ่น เป็นหน่วยมาตราวัดของจีนสมัยโบราณ เทียบความยาวประมาณ 1 นิ้ว ระยะ 10 ชุ่นเป็น 1 ฉื่อ (เชียะ)
** ฉื่อ (เชียะ) เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน สมัยโบราณเทียบระยะประมาณ 10 นิ้ว หรือหนึ่งส่วนสามเมตร ปัจจุบันยังใช้คำนี้ในความหมายว่า ‘ฟุต’
* ตัวฮวน (Meles meles) หรือแบดเจอร์ยุโรป เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่กินเนื้อ อยู่ในวงศ์เพียงพอน
** เค่อ หน่วยนับเวลาของจีนที่มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ เทียบเวลาประมาณ 15 นาที
* หญ้าซวินอี หมายถึงลาเวนเดอร์
Comments
comments