X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเซียนเครื่องหอม

ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่สาม

 

มู่หวั่นชิวตักอาหารหมูมาจนเต็มตะกร้า แล้วแบกกลับมาอย่างยินดี ในตะกร้านอกจากพวกผักโขมและผักโขมหินที่หมูกินแล้ว นางยังเด็ดดอกไม้มากองหนึ่ง คิดว่าจะกลับไปลองดูว่าจะนำไปแช่ขี้ผึ้งได้หรือไม่ ในตำราวิชาการปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยพูดถึงการย่าง คั่ว อบ บดละลายน้ำ และอื่นๆ ซึ่งนางไม่เข้าใจแม้แต่น้อย มีเพียงการใช้ของเหลวที่ได้จากการแช่ดอกไม้มาทำเป็นขี้ผึ้งที่นางยังพอเข้าใจได้บ้าง

บนเขาก็มีดอกไม้ขึ้นเต็มไปหมด นางเองยังมีเวลาในการทดลอง

หากสำเร็จจริง เมื่อแลกเป็นเงินมาได้ แม้เพียงแค่น้อยนิด ก็จะสามารถช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ของหม่าจู้เอ๋อร์ได้บ้าง อย่างน้อยนางก็มิใช่คนอยู่นิ่งที่เอาแต่นั่งกินนอนกิน

“พี่จู้จื่อ” เจอหม่าจู้เอ๋อร์เข้ากลางทาง มู่หวั่นชิวก็มีใบหน้าเบิกบานราวดอกไม้ หม่าจู้เอ๋อร์รักนางมาก แม้ว่านางจะมีรูปร่างเล็ก แต่ก็เคยฝึกการต่อยเตะจากอาจารย์สอนวรยุทธ์มาบ้าง แบกผักแค่นี้ไม่นับว่าหนักอะไร แต่หม่าจู้เอ๋อร์ก็ไม่วางใจ ขอเพียงเขาไม่มีงาน ก็มักจะออกมารับนางเสมอ สองมือของมู่หวั่นชิวแบกตะกร้า ก่อนยิ้มเดินเข้าไปหา “พี่จู้จื่อมารับข้าอีกแล้วหรือ ข้าไม่เหนื่อยแม้แต่น้อย”

หม่าจู้เอ๋อร์รับตะกร้าที่นางแบกไว้บนหลังอย่างเงียบๆ สีหน้ากลัดกลุ้มอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“พี่เป็นอะไร” มู่หวั่นชิวรับรู้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติได้รางๆ นางจึงหยุดยืนนิ่งในทันใด

“เดินไปทางนี้” หม่าจู้เอ๋อร์แบกตะกร้าขึ้นหลัง แล้วดึงมือนาง เดินไปตามทางลาดเล็กๆ หลังเขาโดยไม่พูดอะไร

“พี่จู้จื่อ” หม่าจู้เอ๋อร์จูงมือนางเป็นครั้งแรก มู่หวั่นชิวขัดขืนอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่ามือของหม่าจู้เอ๋อร์มีแรงมาก จึงยอมแพ้ในที่สุด ปากก็ยังถามไม่หยุดว่า “พี่จู้จื่อจะพาข้าไปที่ใดหรือ”

จนกระทั่งไปถึงทางเล็กร่มรื่นที่อยู่หลังเขาแล้ว หม่าจู้เอ๋อร์จึงหยุดเดิน หลังจากวางตะกร้าลง เขาก็จ้องหน้ามู่หวั่นชิวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวไปหยิบห่อผ้าสีฟ้าห่อหนึ่งหลังต้นไม้ใหญ่ออกมายื่นให้นาง

“เดินไปตามทางเส้นนี้ ข้ามเขาสองลูกก็จะเป็นทางหลวง ท่านพ่อบอกว่าเดินตามถนนใหญ่ไปทางตะวันตก ก็จะเจอเมืองผิงเฉิง เจ้า…” เขากลืนน้ำลายลงคออย่างแรง “รีบไปเถอะ!”

“พี่จู้จื่อ!” มู่หวั่นชิวเรียกด้วยเสียงเศร้าสลด ใบหน้าเล็กซีดขาวในทันที “พี่จู้จื่อไม่ต้องการข้าแล้วหรือ ท่านอากับอาหญิงก็ล้วนไม่ต้องการข้าแล้ว?!” นางคว้าตัวหม่าจู้เอ๋อร์เอาไว้ “พี่บอกเองมิใช่หรือว่า ขอเพียงข้ายินดี จะอยู่ไปชั่วชีวิตก็ได้”

เมื่อมีความอบอุ่นของครอบครัวแล้ว นางก็กลัวเหลือเกินที่จะต้องเดินไปอย่างโดดเดี่ยว อยู่ในป่าเขาลูกใหญ่กับชีวิตระหกระเหิน เรียกฟ้า ฟ้าไม่ขานรับ เรียกดิน ดินไม่ขานตอบเสียอย่างนั้น แม้ว่าจะต้องไป ก็ต้องให้เวลานางเตรียมตัวบ้างจึงจะถูก!

“ข้า…” หม่าจู้เอ๋อร์อดกลั้นจนหน้าแดง ในดวงตาดำเต็มไปด้วยความเจ็บปวดสิ้นหวัง เขาสะบัดมือมู่หวั่นชิวออกทันใด แล้วโน้มตัวลงหยิบดินขึ้นมากำมือหนึ่งป้ายไปบนหน้านาง “ท่านแม่กำชับข้าว่า ใบหน้าของเจ้าทำให้คนคิดไม่ดีได้ง่ายที่สุด ให้ข้าทาขี้เถ้าให้เจ้า”

“พี่จู้จื่อ…” มู่หวั่นชิวผลักเขาออก เห็นเขาตะลึงไป ก็จับแขนเขาไว้อีกครั้ง “พี่จู้จื่อบอกข้าสิ ทำไมกัน”

“มีขุนนางใหญ่สองคนในชุดสีน้ำเงินเข้มขลิบแดง สวมหมวกสูงใบโตเพิ่งเข้ามาในหมู่บ้าน” สะบัดมือมู่หวั่นชิวแล้ว หม่าจู้เอ๋อร์ก็ปัดผงฝุ่นบนมือไปบนเสื้อผ้า แล้วแสดงท่าทาง “พวกเขาบอกว่ากำลังตามหาบุตรสาวขุนนางต้องโทษที่หลบหนีคนหนึ่งอยู่ ทั้งยังถามคนในหมู่บ้านว่ามีคนแปลกหน้ามาบ้างหรือไม่”

เป็นพวกมือปราบ!

ฟังคำบรรยายของหม่าจู้เอ๋อร์แล้ว มู่หวั่นชิวก็สั่นเหมือนถูกฟ้าฟาดไปทั่วร่าง นางยืนโงนเงน แทบจะล้มทั้งยืน ทว่ากลับถูกหม่าจู้เอ๋อร์ประคองเอาไว้

“คนในหมู่บ้านพูดว่าอย่างไร” มู่หวั่นชิวสงบจิตใจลงได้บ้างแล้ว นางจึงฝืนตัวเองถามอย่างสงบนิ่ง

“คนในหมู่บ้านล้วนพูดว่าเจ้าก็คือบุตรสาวขุนนางต้องโทษคนนั้น…” เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่ “หัวหน้าหมู่บ้านบีบให้ท่านพ่อท่านแม่มอบตัวเจ้าออกไป”

“ข้า…” มู่หวั่นชิวพูดไม่ออก นางเป็นบุตรสาวของขุนนางต้องโทษจริงๆ

แต่ในจิตใต้สำนึก นางไม่อยากให้ครอบครัวหม่าจู้เอ๋อร์รู้ชาติกำเนิดที่ไม่ดีของนางเลยสักนิด

“คนในหมู่บ้านล้วนพูดกันว่า หากเจ้าถูกจับกลับไป ไม่ตายก็ต้องถูกลงโทษอย่างหนัก จากนั้นจะต้องถูกส่งเข้าไปในซ่อง เป็นนาง…นางอะไรนะ…” หม่าจู้เอ๋อร์เกาหัว “ท่านแม่บอกว่าที่นั่นเป็นสถานที่ต่ำทรามอย่างมาก เป็นสถานที่ที่สตรีถึงแม้ต้องตายก็ให้ไปไม่ได้!”

นางโลมขุนนาง!

มู่หวั่นชิวราวกับถูกสูบเลือดไปในทันใด แม้แต่ริมฝีปากก็ยังซีดขาว นางรู้สึกราวกับฟ้าดินหมุนวน ดีที่จับมือของหม่าจู้เอ๋อร์ไว้แน่นจึงมิได้ล้มลงไป

ชาตินี้ตื่นมา นางก็พยายามดิ้นรนอย่างเต็มที่ นางไม่กลัวความลำบาก ไม่กลัวความเหน็ดเหนื่อย ไม่กลัวว่าจะไม่มีที่พึ่ง ไม่กลัวกระทั่งเสื้อผ้าหยาบ อาหารชืด ชีวิตบ้านป่าเมืองเขาที่ต้องทำงานลำบากทั้งวันทั้งคืน

ขอเพียงนางสามารถหลุดพ้นจากชะตาชีวิตหญิงคณิกาในชาติก่อน แล้วได้มีชีวิตเหมือนกับคนทั่วไป!

แต่โชคชะตาก็เหมือนมือใหญ่ที่ไร้เงา และเหมือนกับวงล้อที่นางไม่อาจเปลี่ยนรอยทางได้ กำลังใช้อำนาจอันยิ่งใหญ่ผลักมันกลับมาหานาง ไม่ว่านางจะดิ้นรนเพียงใด ก็จะดึงให้นางกลับมาในเส้นทางเดิมให้ได้ ไม่ยอมปล่อยให้นางได้ไกลห่าง ทั้งไม่ยอมให้นางถูกสะบัดออกจากวงล้อแห่งโชคชะตา

“ท่านแม่รู้ว่าเจ้าออกมาเก็บอาหารหมู จึงให้ข้าแอบมาส่งเจ้าหนีไป ท่านแม่บอกว่าซ่องนั้นถึงเจ้าตายก็ไปไม่ได้เด็ดขาด” รู้สึกว่ามู่หวั่นชิวสิบนิ้วเย็นเยือก หม่าจู้เอ๋อร์พลันร่างสะท้าน เขาพลิกมือจับตัวนางไว้ทันใด “พ่อ…พ่อเจ้าเป็นคนเลวจริงหรือ”

“ข้า…” มู่หวั่นชิวริมฝีปากสั่นเทา ในดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา จากนั้นก็ราวกับเปิดประตูเขื่อน น้ำตาพลันไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่

เป็นคนมาถึงสองชาติ กลับเป็นครั้งแรกที่นางเกลียดตัวเองที่มีบิดาเป็นนักโทษ

นางไม่กลัวที่จะบอกว่าบิดาเป็นใคร แต่นางกลัวว่าจะทำลายภาพลักษณ์ใสบริสุทธิ์ของนางในใจครอบครัวของหม่าจู้เอ๋อร์ โลกนี้ใครจะคิดว่านางเป็นคนเลวก็ได้ แต่ครอบครัวหม่าจู้เอ๋อร์ไม่ได้!

อย่างไรเสียก็เป็นพวกเขาที่ทำให้นางรับรู้ว่าโลกใบนี้ยังมีความอบอุ่นอยู่ นางเห็นพวกเขาเป็นดังญาติสนิทแล้ว ต่อให้ไปไกลสุดหล้าฟ้าเขียว นางก็หวังว่าในใจครอบครัวของหม่าจู้เอ๋อร์ นางจะยังคงเป็นเด็กสาวที่งดงาม บริสุทธิ์ และมีใจเมตตา

“เจ้าอย่าร้องไห้” ในสายตาของหม่าจู้เอ๋อร์ เด็กสาวตรงหน้าเข้มแข็งตลอดเวลา แม้ว่าจะเจ็บจะทุกข์เพียงใด นางก็จะกัดฟันทน เขาไม่เคยเห็นนางร้องไห้เช่นนี้มาก่อน ย่อมตกใจจนทำอะไรไม่ถูก จึงยกมือที่หยาบกระด้างใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาให้นาง “เจ้ามิใช่คนเลว เจ้าเป็นคนดี ท่านแม่ก็บอกว่าเจ้าไม่ใช่คนเลว…เจ้าก็อย่าร้องไห้อีกเลย เป็นข้าที่ไม่ดีเอง ที่จริงท่านแม่ไม่ให้ข้าถาม” คำพูดนั้นมาโดยไม่ได้เรียบเรียง “ข้าไม่ดีเอง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง…”

“จริงหรือ” มู่หวั่นชิวสะอื้นพร้อมกับเงยหน้าขึ้น “อาหญิงพูดว่าข้ามิใช่คนเลวจริงหรือ”

“อืม…” หม่าจู้เอ๋อร์พยักหน้าอย่างแรง “เจ้าดูสิ นี่ก็คืออาหารแห้งและเสื้อผ้าที่ท่านแม่ให้ข้าเอามาให้เจ้า”

หม่าจู้เอ๋อร์ก้มหน้าลงจะแกะห่อผ้าให้นางดู

มู่หวั่นชิวกลับกดมือเขาเอาไว้ “แล้วท่านอาล่ะ? ท่านอาว่าอย่างไรบ้าง”

“ท่านพ่อ…” หม่าจู้เอ๋อร์ชะงักไป “ท่านพ่อบอกว่าเจ้าเป็นเด็กที่มีชีวิตลำเค็ญ…”

“จริงหรือ! ท่านอาไม่ได้ว่าข้าเป็นคนเลวแน่หรือ” น้ำตายังไม่ทันแห้ง มู่หวั่นชิวก็ฉีกปากยิ้ม กระนั้นน้ำตาก็ยังคงไหลลงมาอย่างมิอาจควบคุมได้

“ใช่แล้ว ท่านพ่อบอกว่าเจ้าไม่ใช่คนเลว เจ้าอย่าได้ร้องไห้อีกเลย” หม่าจู้เอ๋อร์ถูมืออย่างร้อนใจ

“ข้าไม่ได้ร้องไห้ ข้าดีใจ เหอะๆ” มู่หวั่นชิวเปล่งเสียงหัวเราะที่ไม่น่าฟังยิ่งกว่าเสียงร้องไห้ “ท่านอากับอาหญิงล้วนไม่รังเกียจข้า ล้วนบอกว่าข้าเป็นคนดี เหอะๆ..”

มองเห็นน้ำตาพร้อมรอยยิ้มของมู่หวั่นชิวแล้ว หัวใจของหม่าจู้เอ๋อร์ก็พลันบีบตัวแน่น ความแสบนั้นเสียดแทงทะลุคอหอย เขารีบเบือนหน้านี้ ไม่ให้นางเห็นม่านน้ำที่ทะลักขึ้นมาในดวงตาของตน

เขาเป็นชาย…จะร้องไห้มิได้

มองดูท่าทางอิดออดของเขา มู่หวั่นชิวก็ก้มหน้าลงแก้ห่อผ้า “อาหญิงเตรียมอาหารแห้งให้ข้า?”

“วันนี้ที่บ้านไม่ได้นึ่งอาหารแห้ง…” หม่าจู้เอ๋อร์แอบเช็ดน้ำตา พูดเสียงดัง “ก็เลยเหลือแค่ของเก่าพวกนี้ ท่านแม่เอามาให้เจ้าหมดเลย” แล้วชี้ไปที่เสื้อผ้าเก่าชุดหนึ่งที่ซักจนซีด “ท่านแม่เพิ่งเย็บแก้ ให้เจ้าไว้เปลี่ยนระหว่างทาง”

“อืม พี่จู้จื่อช่วยขอบคุณอาหญิงแทนข้าด้วย” มู่หวั่นชิวพยักหน้าอย่างแรง มือก็สัมผัสถูกของแข็งชิ้นหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ นางจึงพลิกเปิดเสื้อขึ้นดู ใต้นั้นซ่อนเงินอีแปะเอาไว้สองพวง “ของสิ่งนี้!”

มู่หวั่นชิวเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ นางจำได้อย่างชัดเจน เงินนี้เป็นของล้ำค่าที่เป็นเงินก้นหีบของครอบครัวหม่าจู้เอ๋อร์ ซ่อนอยู่ในไหกระเบื้องสีดำใบหนึ่งซึ่งซ่อนอยู่ในตู้ที่ห้องตะวันออก ท่านแม่ของหม่าจู้เอ๋อร์มักจะแอบปิดประตูหน้าต่าง แล้วเอาออกมานับอยู่หลายรอบ

“อันนี้ให้เจ้าเอาไว้ใช้ระหว่างทาง”

“อาหญิงก็ให้เหมือนกัน?” มู่หวั่นชิวถามต่อ

“ต้องเดินทางไกลขนาดนั้น อาหารแห้งแค่นี้ไม่พอหรอก…” หม่าจู้เอ๋อร์พูดกลบเกลื่อน “ทั้งหมดสองพวงครึ่ง เจ้าก็ใช้ประหยัดสักหน่อย ไปถึงเมืองผิงเฉิงแล้ว ก็คอยดูว่ามีคนใจดียอมรับเจ้าบ้างหรือไม่”

“พี่จู้จื่อ…” มู่หวั่นชิวริมฝีปากสั่น “พี่ขโมยเงินอาหญิง” เห็นหม่าจู้เอ๋อร์หน้าขึ้นสีไม่พูดจา นางก็หยิบเงินขึ้นมาแล้วยัดคืนให้หม่าจู้เอ๋อร์ “เอากลับไปคืนอาหญิงเถอะ นี่ถือเป็นชีวิตของอาหญิง ถ้าหากอาหญิงรู้เข้าจะต้องเสียใจมากเป็นแน่”

เงินสองพวงครึ่งนี้ไม่ถือว่ามาก ก็แค่เพียงสองตำลึงเงินครึ่งเท่านั้น แต่นี่กลับเป็นทรัพย์สินทั้งหมดของหม่าจู้เอ๋อร์ ถือเป็นเงินก้นหีบที่เมียหม่าหย่งเก็บทีละเล็กทีละน้อยมาหลายปี!

“ข้ากับท่านพ่อล่าสัตว์แลกเงินมาได้ ในบ้านก็หาได้ขาดของกินไม่” หม่าจู้เอ๋อร์แย่งเงินมา แล้วก้มหน้ายัดเข้าไปในห่อผ้า ผูกห่อผ้าให้นางเป็นอย่างดี “เจ้าตัวลำพังคนเดียว อยู่นอกบ้าน จะไม่มีเงินได้อย่างไร”

“แต่ว่า…”

“เจ้าวางใจเถอะ กลับไปแล้วข้าจะขยันขึ้น ขอแค่เก็บฟืนให้มากหน่อยค่อยนำมาแลกเงินให้ท่านแม่ใช้ ท่านแม่ต้องดีใจมากเป็นแน่ แต่ว่า…” เขาสีหน้าเศร้าลง “เจ้าเดินทางคนเดียวต้องระวังตัว อย่าได้ถูกใครจับส่งไปที่…”

แม้จะไม่รู้ว่าซ่องคือสถานที่เช่นไร แต่เมื่อหม่าจู้เอ๋อร์คิดถึงตอนที่ท่านแม่พูดถึงคำนี้แล้ว ใบหน้านั้นกลับดูรังเกียจ เพียงเท่านี้เขาก็รู้ได้ทันทีว่า ที่นั่นมิใช่สถานที่ที่ดีแน่นอน ต้องเป็นสถานที่ที่ต่อให้มู่หวั่นชิวตายก็จะถูกส่งตัวไปมิได้!

มู่หวั่นชิวพลันตัวสั่น นางคิดถึงโชคชะตาเลวร้ายของตัวเองในชาติก่อน ก็ได้แต่ขบฟันแน่น “ได้ ข้าจะพกเอาไว้!” นางเงยหน้าขึ้นมองหม่าจู้เอ๋อร์ “บอกอาหญิงกับท่านอาด้วยว่า บุญคุณอันยิ่งใหญ่ของพวกท่าน ข้าจะไม่มีทางลืมชั่วชีวิต!”

“เจ้ารีบไปเถอะ ฟ้ามืดแล้วจะเดินทางลำบาก” เห็นนางไม่ปฏิเสธอีก หม่าจู้เอ๋อร์ก็มีสีหน้าสบายใจขึ้น จึงเงยหน้ามองฟ้า “เดิมทีเส้นทางตรงปากทางหมู่บ้านจะเดินทางสะดวก และใกล้กว่า แต่ทางเส้นนั้นคนสัญจรไปมามาก ท่านพ่อเกรงว่าเจ้าจะถูกขุนนางสองคนนั้นจับตัวเข้า จึงให้เจ้าเดินทางเล็กนี้ ถึงแม้จะเดินทางลำบากสักหน่อย แต่ว่าปลอดภัยกว่า”

“อืม” มู่หวั่นชิวรับห่อผ้าที่หม่าจู้เอ๋อร์ยื่นมาให้ แล้วพยักหน้าอย่างแรง เดินไปได้สองก้าว นางก็หันกลับมาเรียกเขาอีกครั้ง “พี่จู้จื่อ…”

“อืม”

“ข้าวางแผนจะไปที่เมืองซั่วหยาง หาโรงธูป แล้วเป็นนักปรุงเครื่องหอม”

“เจ้าทำได้แน่นอน” นึกถึงเรื่องที่มู่หวั่นชิวรู้เรื่องต่อมกลิ่นชะมดเช็ด และรู้หนังสือแล้ว หม่าจู้เอ๋อร์ก็พยักหน้าให้กำลังใจอีกฝ่าย จากนั้นแววตาของเขาก็สลดลง ถูมือสองข้างที่เต็มไปด้วยเนื้อด้าน “แต่น่าเสียดายที่ข้านอกจากล่าสัตว์แล้ว ก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย” ในน้ำเสียงของเขาฉายความเศร้าสลด ก่อนเงยหน้าขึ้นทันใด “ในหมู่บ้านมีนักบวชออกจาริกมาคนหนึ่ง ได้ยินว่าเขามีวรยุทธ์สูงส่ง เพียงใช้มือข้างเดียวก็สามารถยกกระถางหินใบใหญ่ทางตะวันออกของหมู่บ้านได้ ข้าจะไปขอให้เขาสอนวรยุทธ์ให้ รอจนฝึกได้แล้วก็จะไปหาเจ้าที่ซั่วหยาง ดูสิว่าใครจะกล้ารังแกเจ้าอีก!”

“ได้ ข้าจะรอพี่จู้จื่ออยู่ที่ซั่วหยาง” มู่หวั่นชิวพยักหน้า “ข้าจะตั้งใจเรียนวิชาปรุงเครื่องหอม ภายหน้าเมื่อได้เงินก้อนใหญ่แล้ว จะมารับท่านกับท่านอาและอาหญิงไปอยู่กันอย่างสุขสบายด้วย”

หม่าจู้เอ๋อร์พลันฉีกปากยิ้ม ยิ้มไม่น่าดูเสียยิ่งกว่าร้องไห้

มู่หวั่นชิวปวดใจ แต่ก็หมุนตัวไปทันที

หม่าจู้เอ๋อร์เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงตะโกนไล่หลังนางว่า “ถุงต่อมกลิ่นชะมดเช็ดตากลมแห้งข้าก็เอามาให้เจ้าแล้ว เจ้าไปถึงเมืองผิงเฉิงแล้ว ก็ขายมันไปเถอะ”

มู่หวั่นชิวตกตะลึง จากนั้นก็เม้มริมฝีปากแน่น ไม่ให้น้ำตาไหลลงมา

หม่าจู้เอ๋อร์เอาของมีค่าทั้งหมดในบ้านยัดใส่ห่อผ้าใบนี้ แบกมันไว้ มู่หวั่นชิวพลันรู้สึกว่ามันหนักอึ้ง

คิดถึงต่อมกลิ่นชะมดเช็ดชิ้นนั้น มู่หวั่นชิวก็คิดถึงดาบตัดวิญญาณยาวสามชุ่นของนาง คิดถึงแววตาปรารถนาในครั้งแรกที่หม่าจู้เอ๋อร์ได้เห็นมัน

เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ท่านพ่อเหลือไว้ให้ ในตอนนั้นทั้งที่รู้ว่าหม่าจู้เอ๋อร์ชอบเพียงใด นางก็ตัดใจให้ไม่ลง แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน นางเดินทางไปไกล หนทางรางเลือนอย่างมาก เป็นตายก็ยากจะคาดเดา บอกว่าจะหาเงินก้อนใหญ่กลับมา แต่นางไม่รู้เลยว่าจะมีชีวิตรอดกลับมาเจอหม่าจู้เอ๋อร์ ได้เจอครอบครัวเรียบง่ายเช่นนี้อีกหรือไม่ ทิ้งไว้ให้หม่าจู้เอ๋อร์เป็นที่ระลึกก็ยังดี

“อันนี้ให้พี่จู้จื่อ” มู่หวั่นชิวหยิบดาบตัดวิญญาณออกมา แล้วเดินกลับมาสองสามก้าวยื่นให้แก่เขา “รอพี่ฝึกวรยุทธ์แล้วคงจะได้ใช้มัน” นางพยายามเค้นรอยยิ้มพูดล้อเขา “พี่อย่าได้เห็นว่ามันเล็กเป็นอันขาด นี่เป็นดาบล้ำค่าที่มีชื่อในยุทธภพ ชื่อว่าตัดวิญญาณ พี่อย่าได้เอามันไปใช้เชือดหมูเด็ดขาดนะ”

หม่าจู้เอ๋อร์ตะลึงไป จากนั้นดวงตาดำก็เปล่งประกายราวกับเพชรระยิบระยับใต้แสงตะวัน เขายื่นมือไป แต่ก็ชะงักลงทันใด ก่อนผลักดาบล้ำค่ากลับคืน “ท่านพ่อล่าสัตว์ มีดล่าสัตว์ใหญ่ๆ เล็กๆ ในบ้านก็มีแล้วสี่ห้าด้าม ดาบเล็กกะทัดรัดนี้ เจ้าพกไว้ดีกว่า ระหว่างทางจะได้เอาไว้ใช้ป้องกันตัว”

“อาหญิงบอกว่า ข้าเป็นลูกผู้หญิง พกมีดติดตัวตลอดเวลาไม่ดี” นางกวัดแกว่งไม้ท้อขนาดใหญ่เท่าลำแขน ยาวสามฉื่อที่มือถืออยู่ “ข้ามีไม้ตีงูที่พี่ทำให้ข้าอันนี้ก็พอแล้ว”

“ข้าไม่เอา” หม่าจู้เอ๋อร์พูดออกมาอย่างยากเย็นแล้วก็เบือนหน้าหนี ไม่พยายามมองดาบล้ำค่าที่ทำให้เขาคันในหัวใจและรักจนวางไม่ลง นางเป็นหญิงเดินทางตามลำพัง จะไม่มีของป้องกันตัวได้อย่างไร

“พี่จู้จื่อ!” มู่หวั่นชิวเรียกเขาอย่างไม่พอใจ “ข้าแค่ให้พี่ไว้เป็นที่ระลึก”

เห็นหม่าจู้เอ๋อร์หันหน้ากลับมา นางจึงพูดอย่างเง้างอนอีกว่า “ข้ากลัวว่าพอพี่จู้จื่อโตขึ้นแล้วหน้าตาเปลี่ยน ยามที่เจอหน้ากันข้าจะจำไม่ได้ ถึงตอนนั้นแค่พี่เอาดาบนี่ออกมาเป็นหลักฐาน ข้าก็จำได้แล้ว”

“แต่ว่า…” หม่าจู้เอ๋อร์กัดริมฝีปาก

“พี่จู้จื่อเก็บไว้ให้ดี ข้าไปล่ะ” มู่หวั่นชิวโยนดาบไปตรงเท้าของหม่าจู้เอ๋อร์ แล้วหมุนตัวเดินจากไป

มองดูเงาร่างของมู่หวั่นชิวไกลออกไป ภาพเบื้องหน้าหม่าจู้เอ๋อร์พลันพร่ามัว เขาย่อตัวลงช้าๆ หยิบดาบตัดวิญญาณตรงเท้าขึ้นมา ก่อนจะลูบด้ามดาบที่อ่อนนุ่มนั้นเบาๆ ตรงนั้นยังมีความเย็นเยือกจากมือนางหลงเหลืออยู่

ทันใดนั้นหม่าจู้เอ๋อร์ก็เก็บดาบ ลุกขึ้นทันทีแล้วรีบวิ่งตามไป

ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบมาจากทางด้านหลัง มู่หวั่นชิวพลันหัวใจเต้นแรง นางกำไม้ตีงูในมือไว้แน่น ก่อนค่อยๆ หันหน้ามา

เป็นหม่าจู้เอ๋อร์ที่วิ่งตามมา!

“วิ่งช้าหน่อย ระวังเดี๋ยวจะหกล้ม” มู่หวั่นชิวรีบเข้าไปหา “พี่ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือ”

“ข้าจะส่งเจ้าไปผิงเฉิง” หม่าจู้เอ๋อร์พูดอย่างหนักแน่น “ทางนี้ยังต้องข้ามเขาอีกสองลูก ข้างหน้าล้วนเป็นป่า เจ้าไปคนเดียวข้าไม่วางใจ!”

“แต่ว่า…”

“ไปเถอะ” หม่าจู้เอ๋อร์ไม่ยอมให้นางพูดอีก รีบลากตัวนางเดินไปข้างหน้า

“ไม่ได้!” มู่หวั่นชิวยืนนิ่งอยู่กับที่ “ท่านอากับอาหญิงหาพี่จู้จื่อไม่เจอต้องร้อนใจมากเป็นแน่!”

ที่สำคัญไปกว่านั้น นางเป็นบุตรสาวของขุนนางต้องโทษ ทางที่จะไปนี้ย่อมอันตรายมาก เป็นตายยังมิอาจรู้ นางไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้กับเด็กหนุ่มผู้มีชีวิตเรียบง่ายและเห็นนางเป็นเหมือนน้องสาวร่วมสายเลือดเช่นนี้

นางเป็นเด็กกำพร้าคนหนึ่ง ตายแล้วก็แล้วไปเถอะ เหตุใดยังต้องทำให้หม่าจู้เอ๋อร์เดือดร้อน และทำให้ครอบครัวหม่าหย่งต้องเดือดร้อนด้วย สามารถอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ในเขาที่เรียบง่ายเช่นนี้ ทำให้นางได้สัมผัสถึงความอบอุ่นของการมีบ้านอีกครั้ง นางก็พอใจแล้ว

“เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่หลงทางหรอก ตอนสิบขวบข้าเคยตามท่านพ่อไปเมืองผิงเฉิงครั้งหนึ่ง” เห็นมู่หวั่นชิวยังไม่ยอมเดิน หม่าจู้เอ๋อร์ก็ร้อนใจจนหน้าขึ้นสี “ตอนนี้สายมากแล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ ระวังหัวหน้าหมู่บ้านจะตามมาถึงที่นี่”

“ไม่ได้ พี่จู้จื่อต้องรีบกลับไป ท่านอากับอาหญิงคงจะร้อนใจแย่แล้ว!”

“จู้จื่อ…จู้จื่อ…”

“จู้จื่อ…จู้จื่อ…”

ระหว่างที่ฉุดรั้งกันนั้น เสียงแม่ของหม่าจู้เอ๋อร์ก็ดังมาจากด้านหน้าของภูเขา ระหว่างนั้นก็มีเสียงของคนอื่นๆ ในหมู่บ้านดังปะปนมาด้วย

“แย่แล้ว ท่านแม่ตามมาแล้ว!” หม่าจู้เอ๋อร์สีหน้าเปลี่ยนไปทันใด “ต้องเป็นหัวหน้าหมู่บ้านที่บีบให้ท่านแม่มาตามหาพวกเราแน่นอน!” เขาฉุดมือมู่หวั่นชิวไว้แน่น “พวกเรารีบไปกันเถอะ ช้ากว่านี้จะไม่ทันกาล”

“ไม่ได้!” มู่หวั่นชิวสะบัดมือเขาอย่างแรง

“เจ้า!” หม่าจู้เอ๋อร์ร้อนใจจนหน้าเครียด เส้นเอ็นเขียวปูดขึ้นที่หน้าผาก

“พวกเราหนีไม่พ้นหรอก” มู่หวั่นชิวชี้ไปที่ยอดเขา “แค่พวกเขายืนอยู่บนยอดนั้น ก็เห็นทางเส้นนี้ได้แล้ว!”

“แล้วจะทำอย่างไรดี” หม่าจู้เอ๋อร์หันหน้าไปมองบนยอดเขา สิ่งที่มู่หวั่นชิวพูดไว้ไม่ผิดแม้แต่น้อย

“เอ่อ…” มู่หวั่นชิวก้มหน้าคิดสักครู่ “ข้าจะซ่อนตัวก่อน พี่จู้จื่อก็ล่อพวกเขาไปทางอื่น”

“ข้า…” หม่าจู้เอ๋อร์ลังเลใจ

“เร็วเข้า ชักช้าจะไม่ทันกาล!” มู่หวั่นชิวสั่งการอย่างเด็ดขาด แล้วชี้ไปยังตะกร้าแบกหลังที่อยู่ไม่ไกล “พี่ก็บอกว่าออกมาเก็บอาหารหมูเถอะ”

หม่าจู้เอ๋อร์รับคำทันควัน แล้วหันมาฉุดตัวมู่หวั่นชิวเอาไว้ “เร็วเข้า เจ้าไปหลบหลังต้นโหยวซาน* ต้นนั้นก่อน ตรงนั้นมีหลุมเล็กๆ อยู่หลุมหนึ่ง”

เมื่อเอากิ่งไม้บังตัวมู่หวั่นชิวดีแล้ว หม่าจู้เอ๋อร์ก็หยิบตะกร้าแบกหลังขึ้นมา แล้วพูดเสียงเบา “เจ้าซ่อนตัวอยู่ที่นี่ก่อน รอข้าล่อพวกเขาไปแล้ว จะกลับมาส่งเจ้า”

“อืม” เวลาหม่าจู้เอ๋อร์ดื้อรั้นจะเป็นเหมือนวัว กลัวว่าเขาจะไม่ยอมไป มู่หวั่นชิวจึงรับปากอย่างรวดเร็ว

“เวลาแค่ชั่วครู่ นึกว่าเจ้าไปตายที่ใดแล้ว หาอย่างไรก็หาไม่เจอ” ทันทีที่เจอหม่าจู้เอ๋อร์เดินมามีเหงื่อท่วมตัวอยู่บริเวณยอดเขา เมียหม่าหย่งก็ถามขึ้นทันที ก่อนจะเหลือบมองไปทางด้านหลังของเขา เมื่อไม่เห็นมู่หวั่นชิว นางก็ถอนหายใจยาวออกมา

“ไปเก็บอาหารหมูมา” หม่าจู้เอ๋อร์ยื่นตะกร้าแบกหลังให้มารดาดู แล้วมองไปยังเมียหลี่หมาจื่อและเมียหัวหน้าหมู่บ้านที่ยืนอยู่ข้างกายมารดา “หลังเขานี้ไม่ค่อยมีคนมา ผักฮุยช่ายจึงทั้งใหญ่ทั้งอ้วนนัก”

“มีแค่เจ้าคนเดียวหรือ” เมียหัวหน้าหมู่บ้านมองไปทางด้านหลังของเขา แล้วเหลือบมองทางเล็กที่ทะลุไปยังนอกเขา “เจ้าไม่ได้พาน้องสาวมาด้วยหรือ”

“น้องสาวอยู่บ้าน ใช้ขนแผงคอม้าถักถุงหอมอยู่น่ะ” เขามองหน้าเมียหลี่หมาจื่อ “ก่อนหน้านี้ไปเอายาที่บ้านท่านป้า เห็นท่านป้าถักได้สวย นางก็เลยชอบ”

เมียหัวหน้าหมู่บ้านหันหน้ามองเมียหลี่หมาจื่อ

“แม่หนูนั่นมีฝีมือ พอเห็นข้าถัก ก็ร้องอยากจะฝึกบ้าง แค่ไม่นานก็ทำเป็นแล้ว ทั้งยังถักได้สวยดีด้วย”

“อ้อ” เมียหัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้า แล้วหันไปทางหม่าจู้เอ๋อร์ “นางไม่อยู่บ้าน ในหมู่บ้านมีขุนนางใหญ่มา อยากจะพบนาง ข้ากับแม่เจ้าคิดว่านางขึ้นเขามากับเจ้าเสียอีก”

หม่าจู้เอ๋อร์มองหน้าเมียหัวหน้าหมู่บ้านแวบหนึ่งมิได้พูดอะไร

หม่าจู้เอ๋อร์เป็นน้ำเต้าปิดปากขึ้นชื่อของหมู่บ้าน นอกจากจะพูดกับมู่หวั่นชิวมากหน่อยแล้ว บางครั้งวันหนึ่งเขาก็จะไม่พูดเลยสักประโยค เห็นเขาเดินไปข้างหน้าโดยไม่ปริปากพูด เมียหัวหน้าหมู่บ้านก็ไม่ได้สงสัยอะไร เดินตามกลับไปพร้อมกัน ทว่าเมื่อเห็นในตะกร้าแบกหลังของเขามีดอกไม้อยู่มากมาย สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป แล้วพูดเสียงดังว่า “น้องสาวเจ้าออกมาพร้อมกับเจ้า!”

หม่าจู้เอ๋อร์สะดุ้ง จากนั้นก็เดินต่อไปโดยไม่พูดอะไร

“เจ้าหยุดนะ!” หลังจากเรียกรั้งเขาแล้ว เมียหัวหน้าหมู่บ้านก็หมุนตัวกลับไปที่ยอดเขาแล้วมองอย่างตั้งใจ

หม่าจู้เอ๋อร์กำหมัดแน่น หัวใจเต้นรัว

“ท่านน้า” พวกไก่เป็ดห่านและหมาในบ้านยังรอให้นางกลับไปให้อาหารอยู่ ยามที่เห็นเมียหัวหน้าหมู่บ้านวิ่งกลับไปที่ยอดเขาด้วยความระแวงอีกครั้ง เมียหลี่หมาจื่อพลันรู้สึกรำคาญใจ “ทางเส้นนั้นข้าดูมาหลายรอบแล้ว ไม่มีใครเลย” แล้วพูดอีกว่า “ในภูเขานี้มีหมาป่า งู เสือโคร่ง เสือดาว สัตว์อะไรก็มีทั้งนั้น อาชิวเป็นเด็กหญิงผอมบางตัวเล็กแบบนั้น จะกล้าเดินคนเดียวได้อย่างไร”

เมียหัวหน้าหมู่บ้านมองหน้าเมียหลี่หมาจื่อแวบหนึ่ง แล้วหันหน้าไปจับจ้องหม่าจู้เอ๋อร์ที่ยืนอยู่ไกลออกไป “ในตะกร้าแบกหลังของเจ้าทำไมมีดอกไม้มากมายแบบนี้”

หม่าจู้เอ๋อร์ตกใจ หันหน้ามามองทันใด ตลอดทางเขาไม่ได้ดูว่ามู่หวั่นชิวเก็บผักอะไรใส่มาในตะกร้าบ้าง

“เจ้าพูดมาสิ!” เมียหม่าหย่งก็ชักสีหน้าเช่นกัน สะกิดเขาอย่างแรง “ท่านน้าถามเจ้าน่ะ” แล้วหันหน้าไปทางเมียหัวหน้าหมู่บ้านที่เดินย้อนกลับมา “ท่านน้าท่านอย่าโกรธไปเลย เขาก็เป็นแบบนี้ ตีอย่างไรก็ไม่ยอมพูด!”

“แต่นี่ไม่ใช่เรื่องอื่น ขุนนางใหญ่ในเมืองอยากพบอาชิว กำลังรออยู่ในบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน เรื่องเป็นอย่างไร จู้จื่อเจ้าก็บอกมาสิ…” เมียหลี่หมาจื่อเห็นดอกไม้เต็มตะกร้าแบกหลังของหม่าจู้เอ๋อร์เช่นกัน หัวใจนางสลาย หากปล่อยอาชิวหนีไปได้จริง นางก็รับผลที่จะเกิดขึ้นไม่ไหวเช่นกัน

เมียหม่าหย่งชักสีหน้า หน้าผากถูกแสงแดดส่องจนเหงื่อผุด

“เอาไปตั้งในห้องนอนน้องสาว หอมดี!” ผ่านไปครู่ใหญ่ หม่าจู้เอ๋อร์จึงเปล่งเสียงพูดออกมาจนคอขึ้นสี แล้วหมุนตัวเดินลงเขาไป

เมียหลี่หมาจื่อหัวเราะพรวดออกมา นางอ้าปากคิดจะพูดอะไร แต่พอเหลือบเห็นเมียหัวหน้าหมู่บ้านมีสีหน้าดูถูกจึงหุบปากลง

จู่ๆ เมียหม่าหย่งก็เหมือนนึกอะไรออก จึงเอ่ยปากถาม “ตอนเจ้าออกมา ลงกลอนประตูหน้าต่างดีหรือไม่” เห็นเขาไม่ตอบ จึงถามต่ออีกหนึ่งประโยค “ทำไมเงินในห้องแม่จึงหายไป”

หม่าจู้เอ๋อร์หน้าแดงไปถึงคอ ก้มหน้าเดินต่อไปโดยไม่พูดอะไร

“จู้จื่อเป็นเด็กซื่อ เจ้าถามเขาจะมีประโยชน์อะไร” เมียหัวหน้าหมู่บ้านยิ้มเยาะ “ในบ้านเลี้ยงโจรร้ายไว้คนหนึ่ง เงินนั้นจะเหลือเก็บไว้ได้อย่างไรเล่า” แล้วพูดยั่วยุต่อไปอีก “มีพ่อเป็นโจร นางจะดีไปได้อย่างไร เจ้าดูสิ นางต้องขโมยเงินเจ้าหนีไปอย่างแน่นอน”

หม่าจู้เอ๋อร์หันหน้ากลับมาถลึงตาใส่เมียหัวหน้าหมู่บ้านทันใด

เมียหัวหน้าหมู่บ้านตกใจจนถอยหลังไปสองก้าว “เจ้า…เจ้าจะทำอะไร!”

“เงิน…เงินนั่นข้าเป็นคนเอาไปเอง” อึกอักอยู่ครู่ใหญ่ หม่าจู้เอ๋อร์จึงพูดออกมาด้วยใบหน้าขึ้นสี

“เจ้า!” เมียหม่าหย่งเสียงหลง ก้มตัวลงเก็บกิ่งไม้ขึ้นมาฟาดหม่าจู้เอ๋อร์อย่างแรง “เจ้าลูกเลว! ข้าวก็ไม่ได้ให้เจ้าอด เสื้อก็ไม่ได้ไม่ให้เจ้าใส่ แล้วเจ้ายังจะเอาเงินไปทำอะไร!”

“ท่านแม่” หม่าจู้เอ๋อร์ใช้แขนกันหัวเอาไว้ ปากก็ร้องเรียก

บนผิวสีแทนขึ้นเป็นรอยแดงยาวหลายรอยในทันที

“เจ้าบอกมานะ!” เมียหม่าหย่งตะโกนพูด “เจ้าเอาเงินไปทำอะไร!”

“ยังต้องถามอีกหรือ” เมียหัวหน้าหมู่บ้านแค่นเสียงสบถ “คงเอาไปเลี้ยงปีศาจน้อยคนนั้นแน่นอน”

นับจากมู่หวั่นชิวมาที่หมู่บ้านแห่งนี้ บ้านของหม่าจู้เอ๋อร์ก็โด่งดังขึ้น ทุกคนล้วนชอบไปที่บ้านของเขา ไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่มีธุระก็ล้วนไม่มาที่บ้านแล้วช่วยนางทำงานเหมือนแต่ก่อนอีก สิ่งนี้ทำให้เมียหัวหน้าหมู่บ้านไม่พอใจเป็นอย่างมาก นางเกลียดอาชิวเป็นพิเศษ เด็กหญิงตัวเล็กๆ แต่กลับมีความสงบนิ่งที่ไม่เข้ากับอายุของนาง ทั้งยังมีใบหน้าใสซื่อบริสุทธิ์น่าหลงใหล

“ไม่ใช่เสียหน่อย!” หม่าจู้เอ๋อร์หยุดยืนทันใด ปล่อยให้กิ่งไม้ของมารดาตีลงบนหัว เขาพูดด้วยเสียงหยาบกระด้าง “ในหมู่บ้านมีคนขายของหาบเร่มา ข้าเอาไปซื้อลูกกวาด!”

จบคำของหม่าจู้เอ๋อร์ก็ทำให้นางคิดถึงบุตรชายของตนเองที่ขโมยเงินในบ้านไปซื้อลูกกวาดเช่นกัน เมียหัวหน้าหมู่บ้านพลันปิดปาก

“ลูกชายข้าวันนี้ก็ขโมยเงินห้าอีแปะไปซื้อลูกกวาดเช่นกัน!” เมียหลี่หมาจื่อพูดอย่างไม่พอใจ “ครั้งหน้าหากเห็นคนขายของหาบเร่นั้นอีก ก็ให้ไล่ออกไปเถอะ จะได้ไม่มายั่วยุเด็กกลุ่มนี้ให้เสียเด็ก!”

“เจ้าเด็กตะกละ เจ้าเด็กตะกละ บะหมี่กำใหญ่วันละสามมื้อยังเลี้ยงเจ้าไม่อิ่มหรือ ถึงได้กล้ามาขโมยเงินไปซื้อลูกกวาดอีก!” เมียหม่าหย่งตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นก็ใช้กิ่งไม้ในมือตีไปบนตัวของหม่าจู้เอ๋อร์ราวกับเม็ดฝน “นั่นเป็นเงินที่เก็บไว้ขอเมียให้เจ้า เจ้ายังจะขโมยไปซื้อลูกกวาด ชาตินี้เจ้าคงต้องเป็นโสดไปทั้งชีวิต เจ้ารู้หรือไม่ จะแต่งหญิงสักคนในหมู่บ้านนี้ต้องใช้สินสอดมากเพียงใด!”

เมียหม่าหย่งเดินไปพลางตีไปพลาง หม่าจู้เอ๋อร์ใช้แขนบังหน้าไว้ ปล่อยให้มารดาตีโดยไม่ปริปากพูด แต่เท้ากลับไม่ได้หยุด วิ่งเหยาะๆ ต่อไปข้างหน้า เขากลัวว่าพวกนางจะเห็นมู่หวั่นชิวที่อยู่ในป่า

เมียหม่าหย่งไล่ตามเขาไม่ทัน จึงหยุดยืนหายใจหอบ “เจ้าคอยดูเถอะ ว่ากลับไปแล้วพ่อเจ้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”

หม่าจู้เอ๋อร์เอาเงินที่จะสู่ขอเมียตัวเองมาให้นางทั้งหมด กระนั้นแม่หม่าจู้เอ๋อร์ก็ยังตีเขาอีก

มู่หวั่นชิวที่อยู่ในป่ากัดฟันแน่น สิบนิ้วประสานกัน พยายามบังคับไม่ให้ตัวเองส่งเสียงร้องไห้ออกมา และไม่ให้พุ่งตัวออกไป

 

* ต้นโหยวซาน (Keteleeria fortune) เป็นพืชตระกูลสน จัดอยู่ในประเภทไม้ไม่ผลัดใบ เมื่อเติบโตเต็มที่จะสูงถึง 30 เมตร ลำต้นมีเส้นรอบวงมากกว่า 1 เมตร

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

Editor Jamsai: