X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเซียนเครื่องหอม

ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่สี่

 

ดวงตะวันคล้อยต่ำลงทางทิศตะวันตก อาทิตย์อัสดงย้อมท้องฟ้าให้แดงไปครึ่งผืน

หลังจากกินอาหารเย็นแล้ว หัวใจหม่าจู้เอ๋อร์ราวกับมีต้นหญ้าขึ้นมามากมาย เขาเหม่อมองไก่เป็ดในเล้า เมียหม่าหย่งเรียกเขาหลายครั้งก็ยังไม่มีการตอบสนอง จึงเดินเข้าไปเขกหัวบุตรชายทีหนึ่ง “ตายแล้วหรือ วิญญาณของเจ้าถึงได้ลอยไปที่ไหนแล้ว”

“ท่านแม่!” หม่าจู้เอ๋อร์กุมหัวตะโกนเรียก

“เอาสิ่งนี้ไปส่งที่บ้านหัวหน้าหมู่บ้าน” เมียหม่าหย่งตักถั่วฝักยาวตุ๋นเนื้อกระต่ายมาเต็มชาม

หม่าหย่งเพิ่งจะล่ากระต่ายป่ามาได้ตัวหนึ่ง

“ท่านแม่” มองดูเนื้อในชามแล้ว หม่าจู้เอ๋อร์ก็เอ่ยเสียงเครียด ในดวงตาเต็มไปด้วยไฟโกรธ “ข้าไม่ไป!”

“ขุนนางใหญ่สองคนนั้นยังไม่จากไป ทุกบ้านล้วนส่งอาหารไปให้ ถ้าพวกเราไม่ไป หัวหน้าหมู่บ้านจะขุ่นเคืองเอาได้” เมียหม่าหย่งรู้ดีว่าหม่าจู้เอ๋อร์เกลียดขุนนางใหญ่สองคนนั้น นางจึงพูดเสียงอ่อนลง แล้วถอนหายใจ “พวกนั้นเป็นขุนนางใหญ่ที่มาจากเมืองหลวง ฟังท่านน้าบอกว่า แค่พวกเขาพูดมาคำหนึ่งก็สามารถเอาชีวิตคนได้แล้ว… พวกเราจะไปหมางใจด้วยได้อย่างไร รีบไปเถอะ พวกเขาถามอะไร เจ้าก็ตอบไป อย่าเอาแต่เงียบ ตีอย่างไรก็ไม่ยอมพูดเด็ดขาด”

“อย่าให้เขาไปเลย” หลังจากให้อาหารหมูเสร็จ หม่าหย่งก็วางถังอาหารหมูไว้ตรงลานบ้าน แล้วเข้าห้องไปล้างมือ จากนั้นเป็นคนรับชามไปถือไว้เอง “ข้าจะไปดูสักหน่อย”

“พ่อตาหนู…” แม่หม่าจู้เอ๋อร์รู้สึกสงสาร “เจ้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

“จู้จื่อพูดไม่เป็น อย่าให้เขาพูดคำผิดต่อหน้าขุนนางใหญ่เลย”

เมียหม่าหย่งคิดแล้วก็เห็นด้วย จึงผลักหม่าจู้เอ๋อร์ที่ยืนเหม่ออยู่ตรงนั้นอีกครั้ง “อย่ามัวยืนเหม่อ ไปเก็บฟืนที่พ่อเจ้าหามาสิ”

“พ่อตาหนู ขุนนางใหญ่สองคนนั้นไม่ได้ถามเรื่องอาชิวเลยหรือ”

หม่าจู้เอ๋อร์ย่อตัวนั่งอยู่ข้างเตาไฟ ฟังพ่อแม่ของเขาคุยกัน

“ถามแล้ว ข้าก็บอกไปว่าไม่เห็นนางตั้งแต่เช้าแล้ว” หม่าหย่งชะงักไปชั่วครู่ “จู้จื่อส่งนางไปหรือ”

เมียหม่าหย่งเหลือบมองห้องทางตะวันตก “ตั้งแต่บ่ายกลับมาไม่พูดอะไรสักคำ ถามอย่างไรก็ไม่ตอบ” นางถอนหายใจ “เจ้าว่า พ่อของอาชิวจะเป็นคนเลวร้ายจริงหรือ”

หม่าหย่งพ่นควันออกมาทันใด เคาะกล้องยาสูบตรงฐานที่นอน แล้วผูกติดกับถุงยาสูบ ก่อนนำไปวางบนม้านั่งบนพื้น “เด็กหญิงอายุสิบกว่าขวบจะรู้อะไร แม่จู้จื่อ นอนเถอะ”

มองเห็นไฟในห้องทางตะวันออกดับลงแล้ว หม่าจู้เอ๋อร์ก็ขบฟันแน่น แอบหยิบห่อผ้าที่เตรียมเอาไว้แล้วตรงหลังประตู เดินย่องออกจากประตูไป

“น้องสาว…น้องสาว…” หม่าจู้เอ๋อร์กวาดกิ่งไม้ตรงจุดที่มู่หวั่นชิวซ่อนตัวเมื่อกลางวันอย่างร้อนรน “อาชิว…อาชิว…” น้ำเสียงร้อนใจแฝงเสียงสะอื้น

ไม่มีเงาร่างของนาง!

หม่าจู้เอ๋อร์ย่อตัวนั่งตรงนั้นราวคนโง่ แสงจันทร์เย็นสาดส่องลงบนร่าง สีหน้าของเขาซีดขาวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ทันใดนั้น เขาหยิบห่อผ้าแล้วหมุนตัววิ่งไปตามทางภูเขา เพิ่งจะเดินอ้อมต้นไม้ใหญ่ ก็ชนเข้ากับร่างของใครคนหนึ่ง หม่าจู้เอ๋อร์ตัวสั่นในทันใด ถอยหลังไปสองก้าว แล้วเงยหน้ามองไป

“ท่านพ่อ” ทันทีที่เห็นว่าเป็นหม่าหย่ง หม่าจู้เอ๋อร์ก็เรียกเขาเสียงสลด

“ตอนกลางวันเจ้าซ่อนตัวนางไว้ที่นี่หรือ” เห็นห่อผ้าในมือของหม่าจู้เอ๋อร์ หม่าหย่งจึงถามขึ้น

“นางไปแล้ว” หม่าจู้เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นทันใด ในดวงตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง “ดึกดื่นแบบนี้มีแต่สัตว์ร้าย นางต้องตัวคนเดียวอยู่ในป่า”

“เจ้าตามนางไม่ทันหรอก” ในดวงตาหม่าหย่งฉายความเป็นห่วง เข้าไปฉุดหม่าจู้เอ๋อร์เอาไว้ เสียงพูดอ่อนลง “กลับกันเถอะ”

“ท่านพ่อ!” หม่าจู้เอ๋อร์สบถเสียงเครียด ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ยอมกลับ

“อาชิวสงบนิ่งกว่าเจ้า สมองก็ดีกว่าเจ้า นางไม่เป็นอะไรหรอก” พ่อของหม่าจู้เอ๋อร์หันไปมองทางเล็กที่ลำบากและยาวไกลทอดตัวยาวราวงูเลื้อยเข้าไปในป่าลึก แล้วถอนหายใจเบาๆ จนแทบไม่ได้ยิน ทุกคนต่างมีชะตาชีวิตของตนเอง จะเดินออกจากภูเขาไปได้หรือไม่ ต้องดูที่โชคชะตาของนางแล้ว

“ท่านพ่อ…” หม่าจู้เอ๋อร์เรียกอย่างเวทนา “นางเป็นแค่เด็กหญิงตัวเล็กคนหนึ่ง”

หม่าหย่งตัดบทคำพูดของเขา “เงินที่เจ้าขโมยแม่ไป เจ้าให้นางไปหมดเลยหรือ”

“ข้า…” หม่าจู้เอ๋อร์ก้มหน้าลงอย่างลนลาน ผ่านไปเนิ่นนาน จึงส่งเสียงตอบ “อืม” แล้วเหลือบมองสีหน้าของหม่าหย่ง

หม่าหย่งสีหน้าเคร่งเครียด มองไม่เห็นความยินดี กระชากห่อผ้าของหม่าจู้เอ๋อร์แล้วก็หมุนตัวเดินกลับทันที “นั่นเป็นเหมือนชีวิตของนาง กลับไปยอมรับผิดกับแม่เจ้าเสียดีๆ”

“ข้าล่าสัตว์แลกเงินได้เช่นกัน” หม่าจู้เอ๋อร์ยืนนิ่งตรงนั้นอย่างดื้อรั้น

ทิ้งอาชิวอยู่ในหุบเขาใหญ่แบบนี้คนเดียว เขาไม่วางใจจริงๆ ตอนนี้นางต้องหลบไปค้างแรมที่ใดสักแห่ง ถ้าเขาเร่งเดินทางสักนิด ย่อมหานางเจอแน่นอน

“ถ้ารู้ว่าเจ้าแอบพานางหนีไปตอนกลางคืน ขุนนางใหญ่ในเมืองคงจับพ่อกับแม่เจ้าไป” หม่าหย่งไม่ได้หันหน้ามา

หม่าจู้เอ๋อร์ร่างสั่นเทา สีหน้าซีดขาวในทันที ยืนอยู่ตรงนั้นเหม่อมองแผ่นหลังบิดาของเขาที่เริ่มโค้งงอเล็กน้อย ภายใต้แสงจันทร์ จอนผมสองข้างของหม่าหย่งสะท้อนเป็นแสงสีเงิน

“ท่านพ่อ” ออกเดินไปได้สิบกว่าก้าว หม่าหย่งจึงได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตึงๆ ตามมา “ข้าจะฝึกวรยุทธ์กับนักบวชอู๋อิน”

ท้องฟ้าครามไกลหมื่นลี้ ทว่ายามนี้กลับไม่มีลมแม้แต่น้อย ดวงอาทิตย์ร้อนแรงส่องจนพื้นดินมีควันระอุ บนพื้นดินโคลนสีเหลืองมีรอยแตกขนาดเท่านิ้วมือกระจายไปทั่ว ราวกับรอยย่นบนหน้าผากของผู้เฒ่าอายุเจ็ดสิบปีที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ในไร่ข้าวโพดกว้างผืนหนึ่งนอกประตูเมือง ใบแห้งม้วนงอไปหมด แห้งเหี่ยวคอตกราวกับกำลังขออาหารจากคนผ่านทางที่เหนื่อยล้าไร้เรี่ยวแรง จู่ๆ ลูกหมาดำตัวหนึ่งกระโจนออกมาจากในไร่ ทำให้เป็ดหลายตัวตกใจร้องก้าบๆ วิ่งแยกไปสองข้างทาง เกิดเป็นกลุ่มฝุ่นผงลอยคลุ้ง

ทหารเฝ้าประตูเมืองหานต้าโหย่วกับหวังชีเปลือยร่างท่อนบน สวมเพียงชุดแขนกุดสีเทาที่พิมพ์อักษร ‘ทหาร’ สีแดงเหลืองเอาไว้ หลบอยู่ในซอกร่มเงาตรงประตูเมืองอย่างไร้ความสดชื่น

“ให้ตายเถอะ ดวงอาทิตย์ช่างโหดเหลือเกิน ถ้าฝนยังไม่ตกลงมาอีก คงต้องมีคนตายจริงๆ” หานต้าโหย่วขว้างก้อนหินไล่ลูกหมาดำที่กระโจนมาถึงหน้าประตูเมือง

“ได้ยินว่าฝ่าบาทจะทรงปลดรัชทายาท ในราชสำนักก็เพิ่งฆ่าขุนนางใหญ่ผู้ภักดีต่อรัชทายาทไปคนหนึ่ง จึงได้ถูกฟ้าลงโทษ…” หวังชีขยับตัว เปลี่ยนไปอยู่ในที่ที่เย็นสบายกว่า แผ่นหลังแนบติดกับกำแพง เลื่อนสายตาจากคนเดินผ่านไปมาที่ถูกแสงอาทิตย์ส่องจนเหี่ยวแห้งเหมือนพืชพรรณในไร่ไปยังคูเมืองที่แห้งผากจนเห็นก้นน้ำ “ให้ตายสิ ต้องมีคนตายแน่ๆ แม้แต่คูเมืองก็ยังแห้งเหือด ท่านปู่ข้าบอกว่านี่ถือเป็นภัยพิบัติใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบร้อยปี”

หานต้าโหย่วรู้สึกขนลุกตัวเย็นวูบ จากเดิมที่ไร้ความสดชื่นพลันยืดตัวตรงขึ้นทันใด เขามองไปที่หน้าประตูเมือง เห็นคนเดินผ่านไปมาต่างก้มหน้าก้มตา ไม่ได้สนใจที่พวกเขาคุยกัน จึงสบายใจขึ้น แล้วพิงตัวกลับไปตามเดิม แต่รู้สึกว่าจุดที่พิงเมื่อครู่ร้อนวูบวาบ จึงขยับตัวไปทางหวังชี “คำพูดนี้จะพูดส่งเดชมิได้ ระวังจะไม่มีข้าวให้กิน”

“ก็มีแต่เจ้าที่ขี้ขลาด!” หวังชีแค่นเสียงสบถอย่างไม่สบอารมณ์ “นี่เป็นเขตของรัชทายาท จะกลัวอะไรอีก นายท่านตระกูลเจิงจงรักภักดีต่อรัชทายาท ถึงรัชทายาทจะถูกปลด เขาก็หาได้เกรงกลัวไม่ ยังคงสวมใส่เสื้อผ้างดงามไปกินอาหาร แล้วเจ้าเล่าจะกลัวอะไร!” เขาชี้เข้าไปในเมือง “ชาวเมืองต่างพากันโจษจันไปทั่ว แล้วอย่างนี้ทางการจะจ้องจับแต่เจ้าหรือ”

บรรพบุรุษตระกูลเจิงทำการค้ามาแล้วสามรุ่น ได้ยินว่านอกจากอาชีพค้าประเวณีแล้ว ร้านรับฝากเงิน บ่อนการพนัน ร้านค้า โรงรับจำนำ โรงน้ำชา ร้านค้าธัญพืช ร้านค้าเกลือ ต่างก็เปิดไปทั่วแคว้นต้าโจว อีกทั้งนายท่านเจิงยังเป็นรองข้าหลวงรักษาการขั้นสาม ถึงแม้จะเป็นตำแหน่งที่ใช้เงินเพื่อให้ได้มา แต่ก็นับว่าเป็นขุนนาง คนเขาอยู่ที่แคว้นต้าโจวกระทั่งเหยียบพื้นยังสะเทือน ย่อมไม่เกรงกลัวอยู่แล้ว

พวกเขาเป็นเพียงทหารเฝ้าประตูตัวเล็กๆ จะเทียบกับอีกฝ่ายได้อย่างไร

หานต้าโหย่วไม่เห็นด้วยกับคำพูดของหวังชี แต่หวังชีเป็นลาถึก หานต้าโหย่วย่อมขี้เกียจจะหาเรื่องด้วย จึงช้อนตามองไปที่นอกเมือง

“ราษฎรทุกข์ยากทุกพื้นที่ต่างก็เริ่มทะลักเข้ามาในเมือง หากฝนยังไม่ตกอีก เกรงว่าชีวิตของพวกเราต้องแย่ไปด้วยแน่นอน” เห็นหานต้าโหย่วไม่พูดจา หวังชีมองดูครอบครัวที่มีอยู่สามชีวิต สวมชุดขาดเก่า กำลังเดินเข้าประตูเมือง แล้วพูดกับตัวเอง

รอถึงตอนที่ราษฎรทุกข์ยากอัดเข้าไปไม่ได้อีก พวกเขาที่เป็นทหารเฝ้าประตูเมืองเหล่านี้คงไม่อาจมีชีวิตที่เป็นสุขเช่นนี้แล้ว

“ดูสิ มาอีกคนแล้ว” คิดถึงพวกเขาที่อาจไม่มีชีวิตที่เป็นสุขแล้ว หานต้าโหย่วก็จ้องมองไปไกลแล้วก่นด่าว่า “ให้ตายเถอะ พืชพรรณแห้งตายจนหมดแล้ว ก็พากันวิ่งเข้ามาที่นี่ คิดว่าในเมืองนี้เป็นสวรรค์กระมัง สุดท้ายก็เข้ามาขออาหารเหมือนกันมิใช่หรือ!” ถ่มน้ำลายแล้วพูดว่า “วุ่นวายจนไม่มีที่จะให้อยู่แล้ว แม้แต่พวกเราก็ไม่มีเวลาว่าง สู้อยู่บ้านคอยให้สวรรค์ส่งน้ำฝนมาให้ดีกว่า ได้ยินว่าท่านเจ้าเมืองใต้เท้าสวีส่งเด็กไปในแม่น้ำเจ้ามังกรทุกวัน กำลังขอฝนอยู่น่ะ”

“อย่าไปฟังใต้เท้าสวีผายลมเสียงดังเลย น้ำในแม่น้ำเจ้ามังกรแทบจะแห้งอยู่แล้ว ถ้ามีเทพเจ้ามังกรอยู่จริง คง…” พูดได้เพียงครึ่งเดียว ก็เห็นหานต้าโหย่วหันหน้ามา หวังชีก็รู้สึกเช่นกันว่าคำพูดนี้ดูหมิ่นเทพเจ้าเกินไป จึงรีบปิดปาก ตาก็มองไปที่นอกประตูเมือง เห็นร่างเล็กในชุดขาดวิ่นกำลังถือไม้ตีสุนัขพยุงตัวเดินโงนเงนมาทางพวกเขา “เอ๋? คนผู้นี้ผอมมากเลย ดูกระดูกนั้นสิ น่าจะไม่ได้กินอาหารมาครึ่งเดือนแล้วกระมัง”

หานต้าโหย่วก็มองตามไปเช่นกัน “ให้ตายเถอะ ยังเป็นเด็กผู้หญิงเสียด้วย”

“ผิงเฉิง ผิงเฉิง…”

มองเห็นตัวอักษรสีเขียวอมเทาว่า ‘ผิงเฉิง’ ทรงพลังบนกำแพงเมืองจากที่ไกล มู่หวั่นชิวตื่นเต้นจนสั่นไปทั้งตัว “ในที่สุดข้าก็เดินออกมาจากเขาได้แล้ว!”

คิดถึงตนเองที่ต้องอยู่ร่วมกับสัตว์ป่าในหุบเขา นอนกลางดินกินกลางทราย หวาดหวั่นทุกคืนวัน น้ำตาของมู่หวั่นชิวก็พลันไหลพรากลงมา ในที่สุดนางก็มาถึงเมืองผิงเฉิงแล้ว เพียงผ่านเมืองผิงเฉิงแล้วเดินต่อไปทางใต้ ก็จะถึงเมืองซั่วหยางที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองเครื่องหอมเล็ก เป็นสถานที่ปรุงเครื่องหอมที่นางใฝ่ฝัน

มู่หวั่นชิวถอนหายใจ แล้วทรุดตัวลงนั่งบนพื้น

นับไม่ถูกแล้วว่าเดินมานานกี่วัน นางรู้เพียงแค่ว่าตุ่มน้ำใต้เท้าทั้งสองข้างนี้สมานแล้วแตก แตกแล้วสมาน จนถึงตอนนี้ทุกก้าวย่างล้วนรู้สึกเจ็บราวกับถูกไฟลน ทว่าเมื่อเห็นประตูเมืองอยู่ตรงหน้านี้ก็ไม่ต้องร้อนใจอีกต่อไป นางสามารถพักผ่อนได้แล้ว

อาหารแห้งที่ซื้อที่เมืองก่อนหน้านี้กินหมดไปตั้งแต่เมื่อคืน มู่หวั่นชิวคลำเงินอีแปะไม่กี่เหรียญในห่อผ้าเก่าๆ ก่อนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ไม่กลัว…ไม่กลัวอีกแล้ว อีกครู่ขอเพียงเข้าเมืองก็จะมีของกินแล้ว มู่หวั่นชิวด้านหนึ่งปลอบใจตัวเอง ด้านหนึ่งก็เงยหน้าขึ้น ทันทีที่สายตาไปตกลงบนตัวคนที่อยู่ตรงซอกประตูเมือง พวกเขาสวมชุดแขนกุดสีเทาที่พิมพ์อักษร ‘ทหาร’ สีแดงเหลืองเอาไว้ เพียงเท่านั้นนางก็ตัวสั่นขึ้นมาอย่างแรง

ในฐานะบุตรสาวขุนนางต้องโทษ นางต้องเร่ร่อนไปทั่วตามลำพัง ตลอดทางนี้ต่อให้มีทหารผ่านมาแค่คนเดียว ก็สามารถทำให้นางใจเต้นได้เป็นเวลานาน หลังจากเลื่อนสายตาหนีทหารแล้ว มู่หวั่นชิวก็ขยับตัว แต่ยังไม่ได้ลุกขึ้น นางแอบเหลือบมองไปบนประตูเมือง โชคยังดีที่บนกำแพงเมืองไม่มีแผ่นป้ายประกาศรูปหน้าคนติดอยู่ และไม่มีภาพวาดอะไรทั้งนั้น ที่นี่ไม่เหมือนหมู่บ้านเล็กๆ ในหุบเขา ที่พอมีคนแปลกหน้ามาเยือนสักคน เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ คนในหมู่บ้านก็รู้กันหมดแล้ว

ที่นี่เป็นเมืองใหญ่ ชาวบ้านที่ไปมาก็มีจำนวนมาก เด็กสาวที่สวมเสื้อผ้าขาดวิ่นเช่นนางก็มีให้เห็นได้ทั่วไป

“ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัวหรอก มือปราบคนใดก็คงไม่สงสัยว่าข้าเป็นนักโทษหนีคดี” มองดูชาวเมืองทุกข์ยากที่มีสภาพเหมือนกับนางเดินเข้าออกประตูเมืองแล้ว มู่หวั่นชิวก็ได้แต่ปลอบตัวเองอยู่ในใจ

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ นางก็ใช้ไม้ตีสุนัขกัดฟันพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมา

ไม่ว่าอย่างไร นางก็เป็นนักโทษหนีคดี อย่ามาอยู่หน้าประตูเมืองเช่นนี้จะดีกว่า

มู่หวั่นชิวสัมผัสได้ถึงสายตาของทหารสองคนตรงซอกประตูเมืองที่คอยมองมาที่ตนอยู่ตลอด นางพลันรู้สึกว่าประตูเมืองผิงเฉิงนี้ช่างยาวนัก นางยืดตัวตรง พยายามทำให้ตัวเองดูเป็นธรรมชาติและสงบนิ่ง ก่อนจะค่อยๆ เดินทีละก้าวเข้าไปในเมืองผิงเฉิง

“ไปๆๆๆ” เห็นหมั่นโถวร้อนๆ บนแผงขายของ มู่หวั่นชิวก็ควักเงินหนึ่งอีแปะแล้วกระโจนเข้าไป ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ ก็ถูกเสี่ยวเอ้อร์ผลักออก “พวกขอทาน ไปให้ไกล อย่าทำให้หมั่นโถวของข้าสกปรก!”

“ใครเป็นพวกขอทาน เจ้าตาบอดหรือ!” เดิมทีก็หิวจนแทบเป็นลมอยู่แล้ว พอถูกคนผลักออกมาอย่างรังเกียจอีก มู่หวั่นชิวพลันมีไฟโทสะพุ่งขึ้นมาทันที

เสี่ยวเอ้อร์คนนั้นหันหน้าไปอย่างรังเกียจ

มองดูหมั่นโถวที่ร้อนระอุ มู่หวั่นชิวยังคิดจะเดินเข้าไป แต่กลับถูกคนฉุดไว้จากด้านหลัง “แม่หนูน้อย ตรอกนี้มิใช่ที่ที่คนจนจะมาอยู่ได้ เจ้าเดินตรงไปข้างหน้า พอถึงร้านตัดเสื้อแล้วให้เลี้ยวซ้าย ที่นั่นของราคาถูก แล้วยังมีนายท่านเจิงที่ตั้งเพิงแจกจ่ายข้าวต้มอยู่ที่ตรอกปาเต้าวานอีก คงพอให้เจ้าอิ่มท้องได้”

มู่หวั่นชิวหันหน้าไป เห็นท่านยายผมขาวโพลนคนหนึ่ง

“ท่านยาย แต่ว่าข้ามีเงิน” มู่หวั่นชิวแบมือให้เห็นเงินอีแปะในฝ่ามือ

ท่านยายมองนางแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้า แล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

เห็นสายตาของท่านยาย มู่หวั่นชิวจึงก้มหน้าลงดูตัวเองเช่นกัน ถึงแม้มือเท้าจะสะอาด แต่เสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยรอยปะชุนได้ถูกกิ่งไม้เกี่ยวขาดจนเป็นริ้ว และเต็มไปด้วยฝุ่นดำ เป็นใครก็คงคิดว่าตนเป็นขอทาน นางจึงสงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็ว

นางมิใช่บุตรสาวอัครเสนาบดีผู้สูงศักดิ์คนนั้นอีกแล้ว!

มือที่ยื่นออกไปกำเป็นหมัด กำเหรียญหนึ่งอีแปะนั้นไว้ในมือแน่น มู่หวั่นชิวโค้งคำนับท่านยาย พูดขอบคุณ ก่อนจะหมุนตัวแล้วค่อยๆ เดินไปตามทางที่ท่านยายชี้บอก

เสี่ยวเอ้อร์ที่ขายหมั่นโถวเพิ่งจะใช้กระดาษไขห่อหมั่นโถวไปสองลูก แล้วส่งแขกร่างอ้วนคนหนึ่งไป พอเงยหน้าขึ้น ทันเห็นแผ่นหลังของมู่หวั่นชิว ก็ต้องกะพริบตาแล้วกะพริบตาอีก ตัวเองอาจจะตาลาย คนจนกระทั่งต้องมาขอทานคนหนึ่ง เหตุใดท่าทางตอนเดินจึงได้ดูงดงามเช่นนี้ ดูสง่างามเพียงนี้?

อ้าปากขึ้น แต่เสี่ยวเอ้อร์ที่ขายซาลาเปากลับรู้สึกว่าคอแห้งผาก พูดอะไรไม่ออก เขาเพียงใช้สายตามองส่งมู่หวั่นชิวจนเดินหายเข้าไปในตรอกด้านหน้า เสี่ยวเอ้อร์จึงตบปาก แล้วพูดพึมพำกับตนเองว่า “มองคนผิดอีกแล้ว ได้ยินว่าคุณหนูตระกูลเจิงทั้งหลายชอบสวมชุดชาวบ้านออกมาข้างนอก ไม่แน่ว่านางอาจจะเป็นคนตระกูลเจิงก็ได้!” หมั่นโถวลูกที่อยู่ในมือพลันถูกบีบจนแบน “อยู่ดีๆ ก็พลาดโอกาสได้รู้จักคนสูงศักดิ์เสียได้!”

บังเอิญเจอภัยแล้งครั้งใหญ่ ตลอดทางที่มานี้อาหารเครื่องดื่มจึงแพงขึ้นอย่างน่าตกใจ เดิมทีหมั่นโถวเพียงลูกละสามอีแปะ กลับขึ้นราคาเป็นสิบอีแปะ แม้นางจะประหยัดแล้วประหยัดอีก จนมาถึงเมืองผิงเฉิง ในห่อผ้าของมู่หวั่นชิวก็มีเงินเหลือไม่ถึงหนึ่งพวงแล้ว เดิมทีนางไม่เคยคิดจะเข้าพักที่โรงเตี๊ยม กลับคิดจะไปที่วัดเบียดนอนกับคนเร่ร่อนเหล่านั้น แต่ตอนนี้หลังถูกเสี่ยวเอ้อร์ตะคอกใส่ มู่หวั่นชิวจึงเปลี่ยนใจ

นางลองถามดูแล้ว เมืองผิงเฉิงห่างจากเมืองซั่วหยางเป็นระยะทางอย่างน้อยหกเจ็ดวัน ซึ่งเป็นการคำนวณจากการนั่งรถม้า ทว่าถ้านางเดินไปทีละก้าว คงต้องใช้เวลานานกว่านั้น ถ้าหนึ่งวันกินขนมเปี๊ยะข้าวโพดไปสองชิ้น เงินไม่กี่ร้อยอีแปะในห่อผ้านี้คงไปไม่ถึงเมืองผิงเฉิงอย่างแน่นอน นางทำได้เพียงต้องขายต่อมกลิ่นชะมดเช็ดชิ้นนั้นแล้ว

นางที่เป็นคนมาสองชาติรู้ดีว่าเสื้อผ้าสำคัญต่อคนผู้หนึ่งอย่างมาก ถ้านางไปด้วยเสื้อผ้าขาดรุ่ยเช่นนี้ ต่อมกลิ่นชะมดเช็ดนั้นไม่เพียงจะขายไม่ได้ราคา อาจจะถูกคนอื่นแย่งไปได้

หลังจากอาบน้ำอุ่นแล้ว มู่หวั่นชิวก็เปิดห่อผ้า หยิบเสื้อผ้าที่มีอยู่เพียงชุดเดียวออกมา บนสาบตรงหน้าอกเสื้อสีเขียวอมเทา เมียหม่าหย่งปักลายดอกไม้เล็กๆ ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่บ้านด้วยด้ายสีแดงอย่างประณีต เห็นได้ว่าแม้จะยากจนเพียงใด เมียหม่าหย่งก็ยังอยากให้นางแต่งตัวอย่างสวยงาม

เดิมทีเป็นชุดผู้ชาย เมื่อถูกเอามาแก้เช่นนี้ ก็ดูไม่ค่อยเข้ากันนัก เทียบกับชุดบนตัวนางที่ถูกเกี่ยวขาดนี้ไม่ได้เลย แม้จะไม่มีลายอะไร แต่เมื่อซักสะอาดแล้วเอามาสวม กลับสวยงามเรียบง่าย ดูมีความงามแบบกลางๆ แต่ชุดในมือนี้กลับถูกซักจนซีด มีรอยปะชุน และยังมีปักลายดอกไม้เล็กๆ สีแดงเพลิง ดูขัดตายิ่งนัก อยู่หมู่บ้านในหุบเขาก็ยังพอใส่ได้ แต่เอามาที่เมืองผิงเฉิงด้วยเช่นนี้กลับดูเชยไปเสียมาก

เสื้อตัวนี้น่าเกลียดจริง!

มู่หวั่นชิวสะบัดเสื้อออกก็นึกอยากจะหัวเราะ แต่พอฉีกยิ้ม น้ำตาก็ไหลลงมาอย่างมิอาจควบคุม เสื้อผ้าแม้จะน่าเกลียดปานใด แต่ฝีเข็มและด้ายแน่นหนานี้ก็เผยให้เห็นถึงความรักความจริงใจของเมียหม่าหย่ง และมุมมองความงามที่เรียบง่ายของคนในหมู่บ้าน

อาหญิงทำเพื่อนางอย่างเต็มที่แล้ว

เสียงเคาะประตูดังลอยมา มู่หวั่นชิวจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า

เป็นเสี่ยวเอ้อร์ที่ยกกาน้ำร้อนเข้ามา “น้ำร้อนที่นายหญิงต้องการต้มเสร็จแล้ว นายหญิงอยากจะดื่มชาอะไรขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์มองสำรวจเสื้อผ้าที่ดูไม่เข้ากันบนตัวมู่หวั่นชิวแล้วพยายามกลั้นหัวเราะ “ข้าน้อยจะไปชงมาให้”

รู้สึกเหมือนบนใบหน้าของตนร้อนผ่าว มู่หวั่นชิวพยายามยืดตัวตรง “น้ำเปล่าก็พอ เจ้าวางไว้ตรงนั้นเถอะ”

นางไม่มีเงินพอจะดื่มชา

เสี่ยวเอ้อร์ตะลึงไป แล้วเบ้ปาก จากนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง “นายหญิงก็รู้ว่า ตอนนี้เจอภัยแล้งครั้งใหญ่ บ่อน้ำในเมืองล้วนแห้งเหือด น้ำนี้เป็นน้ำที่โรงเตี๊ยมจ้างคนไปตักมาจากบนเขาหลงเฉวียนที่ห่างออกไปสามสิบลี้ แม้ท่านจะไม่ชงชา ก็ต้องจ่ายเงินนะขอรับ”

“เป็นเงินเท่าใด” มู่หวั่นชิวขมวดคิ้ว

“ไม่มาก กานี้หนึ่งอีแปะขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

เงินหนึ่งอีแปะ!

เงินหนึ่งอีแปะสามารถซื้อขนมเปี๊ยะข้าวโพดได้ครึ่งชิ้น ชงชาดอกไม้ธรรมดาสักกาดื่มได้ครึ่งวันแล้ว เขาไปปล้นเงินเสียเลยจะดีกว่า

มู่หวั่นชิวขมวดหัวคิ้ว กำลังจะเอ่ยปากพูด สายตาก็เหลือบเห็นดวงอาทิตย์ร้อนแรงที่นอกหน้าต่าง จึงถอนหายใจ จริงสิ แม้แต่คูเมืองก็ยังแห้งเหือด ตอนนี้น้ำก็คงจะแพงกว่าน้ำมันจริงๆ

นางหมุนตัวกลับไปหยิบเงินเหรียญหนึ่งยื่นให้

เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มเบิกบานในทันที “หากนายหญิงมีอะไรจะสั่ง ก็บอกได้เลยนะขอรับ”

“อืม” มู่หวั่นชิวนิ่งคิดสักครู่ “พี่เสี่ยวเอ้อร์ ในเมืองนี้มีโรงธูปที่รับซื้อวัตถุดิบเครื่องหอมหรือไม่”

“นายหญิงถามถูกคนแล้ว” เสี่ยวเอ้อร์หัวเราะแหะๆ “ท่านมาดูทางนี้ขอรับ”

เสี่ยวเอ้อร์กวักมือเรียกมู่หวั่นชิวมาที่หน้าต่าง แล้วก็ชี้ออกไปด้านนอก “ออกจากตรอกด้านหน้านั้นแล้ว เลี้ยวขวาเดินตามถนนใหญ่ไปทางใต้ ผ่านสองทางแยก ก็จะเป็นถนนบ่อนที่คึกคักที่สุดในเมืองผิงเฉิง ตรงปากทางล้วนเป็นโรงธูป ท่านไปถึงแล้วก็เลือกเอาได้เลย” เขาเหลือบตามองห่อผ้าบนเตียง “นายหญิงมีเครื่องหอมจะขายหรือ” แล้วพูดต่อไปว่า “ข้าน้อยช่วยท่านขายได้ รับรองว่าขายได้ราคาดีแน่นอน”

“ไม่มี” มู่หวั่นชิวส่ายหน้า

ถูกดึงเงินไปแล้วหนึ่งอีแปะ นางไม่อยากให้เสี่ยวเอ้อร์มาคว้าอะไรไปอีก

เสี่ยวเอ้อร์หัวเราะขัดเขิน “หากนายหญิงไม่มีอะไรเรียกใช้แล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อน ถ้ามีท่านก็ตะโกนเรียกที่หน้าประตูนะขอรับ” มู่หวั่นชิวพยักหน้าพูดรับคำ เดินใกล้จะถึงประตูแล้ว เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เสี่ยวเอ้อร์จึงหันหน้ามาอีกครั้ง “นายหญิงมาได้จังหวะพอดี วันนี้เซียนพนันทิพย์กุมารมาที่เมืองผิงเฉิง”

“เซียนพนันทิพย์กุมาร?” มู่หวั่นชิวตะลึงไป “พี่เสี่ยวเอ้อร์หมายถึงเหลิ่งกัง คุณชายสี่ตระกูลเหลิ่งน่ะหรือ”

“ใช่ๆๆๆ เขานั่นล่ะ” เสี่ยวเอ้อร์พยักหน้าหงึกๆ “คนผู้นี้มีวิชาเหนือชั้นมาแต่เกิด เจ็ดขวบก้าวเข้าบ่อนพนัน พนันแต่ละครั้งก็ต้องชนะ ตอนนี้เขาอายุแค่สิบห้าปี แต่กลับกลายเป็นแขกคนสำคัญของตระกูลเจิงในเมืองผิงเฉิงแล้ว ได้ยินว่าเพราะอยากเห็นวิชาเหนือชั้น แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังเรียกตัวเขาเข้าวัง” เขาถอนหายใจ “เซียนพนันทิพย์กุมาร แคว้นต้าโจวร้อยปีจะมีมาสักคน…” เสี่ยวเอ้อร์พูดพลางเปิดประตู “เขาพักอยู่ที่ร้านป๋ออี้ ได้ยินว่าพรุ่งนี้จะเล่นต่อเนื่องสิบแปดตา ท่านอย่าพลาดโอกาสนี้เด็ดขาดนะขอรับ”

“พรุ่งนี้?” มู่หวั่นชิวเกิดความคิดในใจ นางหมุนตัวกลับในทันที “พรุ่งนี้วันที่เท่าไรหรือ”

“ท่านช่างเลอะเลือนนัก พรุ่งนี้เป็นวันที่สิบแปดเดือนเจ็ดปีหนานตี้ที่ยี่สิบขอรับ” ส่ายหน้าเดินออกไปจากห้องแล้ว เสี่ยวเอ้อร์ก็ปิดประตู ปากก็พูดว่า “หน้าตาท่าทางรึก็ดี ทำไมแต่งตัวเชยแบบนั้น”

ได้ยินเสียงพูดของเสี่ยวเอ้อร์แล้ว มู่หวั่นชิวก็ยืนส่องตนเองดูอยู่หน้าคันฉ่อง รู้สึกว่าสองแก้มร้อนผ่าว ทันใดนั้นนางก็เดินหลายก้าวไปที่หน้าเตียง เปิดห่อผ้าออกนับเหรียญในนั้นอย่างตั้งใจ…

ทั้งหมดห้าร้อยหกสิบอีแปะ นับเงินแล้ว มู่หวั่นชิวก็ส่ายหน้าอย่างเศร้าใจ เงินแค่นี้แม้แต่จะกินข้าวก็ยังไม่พอ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องซื้อเสื้อผ้าเลย

เสื้อผ้าที่ดูดีสักหน่อยตามท้องตลาด อย่างน้อยก็ต้องใช้เงินหกถึงเจ็ดร้อยอีแปะ

ลงกลอนประตูแน่นหนาดีแล้ว มู่หวั่นชิวก็ไปหากรรไกรมาด้ามหนึ่ง แล้วถอดเสื้อบนตัวออก นางอยากจะเลาะดอกที่เมียหม่าหย่งปักไว้ออก เมื่อกรรไกรแตะโดนตัวดอกก็พลันรู้สึกลังเลขึ้นมา

นี่ถือเป็นความตั้งใจของอาหญิง แม้จะใส่ไม่ได้แต่เก็บไว้เป็นที่ระลึกได้!

เมื่อคิดไปคิดมา มู่หวั่นชิวก็สวมเสื้อใหม่อีกครั้ง แล้วออกไปขอเข็มกับด้ายจากเสี่ยวเอ้อร์ จากนั้นหยิบเสื้อผ้าที่เพิ่งเปลี่ยนเมื่อครู่นี้ขึ้นมา ก่อนจะนั่งลงข้างเตียงแล้วเย็บปะไปอย่างเงอะงะ

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

Editor Jamsai: