ตอนที่ 4
“เดิมทีคิดจะรอให้คุณชายใหญ่กลับมาจัดการเหยาอี๋เหนียง แต่ถ้าไม่ได้เม็ดกันชื้นมาโดยเร็ว เครื่องหอมในคลังก็จะต้องเสียหายหมด” หลีชิงเล่าเรื่องสองเดือนที่ผ่านมานี้พลางแอบชำเลืองดูสีหน้าของหลีจวิน
ทั้งที่ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากหลีจวินก็ไล่อนุภรรยาที่แต่งอย่างเป็นทางการออกไปอย่างนี้ อย่าว่าแต่หลีจวินที่เป็นบุตรชายคนโตของตระกูลใหญ่เลย ต่อให้เป็นลูกอนุภรรยาก็คงจะโกรธเกรี้ยวมิใช่น้อย
เป็นเพราะมองไม่ออกถึงความยินดีหรือโกรธเกรี้ยวของหลีจวิน หัวใจหลีชิงจึงยกสูงถึงคอหอย เขาพูดอย่างระวังตัวอีกว่า “โชคดีที่ได้เม็ดกันชื้นเหล่านี้มา มิเช่นนั้นครั้งนี้ตระกูลหลีคงจะพินาศแน่”
หนึ่งในกฎเจ็ดออกก็คือความหึงหวง มู่หวั่นชิวยังไม่ทันแต่งเข้าบ้านก็ทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้แล้ว หลีชิงกลัวจากใจจริงว่านายน้อยเลือดร้อนผู้นี้จะไปคิดบัญชีกับนาง
ตระกูลหลีในตอนนี้ไม่อาจขาดมู่หวั่นชิวที่มีสุดยอดฝีมือติดตัวไปได้ แม้แต่นายท่านหลีเองก็ยังเอาอกเอาใจนางทุกวันเลย
“สินค้าในคลังยังดีอยู่หรือ” หลีจวินยื่นนิ้วชี้ออกไป ค่อยๆ บดเม็ดกันชื้นสีฟ้าใสในถาดทีละเม็ด
ฟังน้ำเสียงของหลีจวินดูเหมือนจะไม่โกรธ หลีชิงจึงค่อยโล่งอก ปากก็รีบพูดว่า “ดีกว่าปีที่ผ่านมาอีกขอรับ ปีที่ผ่านมาในฤดูนี้แม้สินค้าที่เก็บไว้จะมีไม่มาก แต่อย่างน้อยก็จะขึ้นราจนเสียหมด ปีนี้มีเม็ดกันชื้นแล้วก็ไม่ขึ้นราเลย ส่วนที่ขึ้นราก่อนหน้านี้ก็ถูกแม่นางไป๋กู้คืนมาได้ วางทิ้งไว้อีกครึ่งปีก็ไม่เป็นปัญหา” เขาพูดพลางเห็นหลีจวินหยิบหนังสือสัญญาหลายชุดที่อยู่ข้างมือขึ้นมาแล้วรีบอธิบายว่า “เหล่านี้ล้วนเป็นตอนที่คุณชายใหญ่ไม่อยู่ นายท่านกับโรงธูปไป่เยี่ยทำขึ้นมา…”
เพียงแค่อ่านสัญญาไปฉบับหนึ่ง หลีจวินก็กำห้านิ้วแน่น เขาพยายามสะกดใจไม่ให้ตนเองฉีกสัญญาทิ้ง
ที่เขาไม่ให้ท่านพ่อรู้ว่านางก็คือเฮยมู่ เพื่อปกป้องความปลอดภัยของนางกับโรงธูปไป่เยี่ย
แต่หลีจวินฝันก็คิดไม่ถึงว่ามู่หวั่นชิวจะใจกล้าถึงเพียงนี้ ใช้ชื่อเฮยมู่บีบให้ท่านพ่อเขาทำหนังสือหย่าเหยาจิ่นนั้นไม่ว่าอะไร แต่นี่นางกลับทำสัญญาที่ไม่เป็นธรรมมากมายอย่างนี้ขึ้นอีก!
นิ่งเงียบอยู่นาน หลีจวินจึงยิ้มออกมา
ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังมาตลอด เสือน้อยตัวนี้ในที่สุดก็โผล่กรงเล็บออกมาแล้ว แม้แต่ท่านพ่อเขาก็ยังกล้ารังแก ไม่รู้ว่าหากเขาเปิดโปงนางซึ่งหน้าขึ้นมา นางจะมีท่าทางเป็นอย่างไร
หลีจวินรอคอยอยู่ในใจลึกๆ
เห็นหลีจวินมีรอยยิ้ม หลีชิงก็เบาใจขึ้นมาก คิดว่าเขาคงพอใจกับสัญญาหลายฉบับนี้มากจึงพูดเอาใจว่า “ครั้งนี้ตระกูลหลีได้กำไรแล้ว โดยเฉพาะน้ำหอมสังสารวัฏ แต่ละขวดได้กำไรกว่าหนึ่งตำลึง” สัญญาเหล่านี้ล้วนเป็นเขาตามนายท่านหลีไปทำด้วย ในสายตาของเขาการมอบสิทธิ์การขายให้เช่นนี้ ถือว่าตระกูลหลีได้ทั้งชื่อเสียงและกำไร เป็นการได้เปรียบครั้งใหญ่
ได้กำไรอย่างนั้นหรือ
หลีจวินเลิกคิ้วขึ้น
คนอื่นไม่รู้ แต่เขารู้อย่างชัดแจ้ง ไป๋ชิวกับเฮยมู่ล้วนเป็นคนคนเดียวกัน!
มู่หวั่นชิวทำสัญญากับตระกูลหลีไว้ตามเงื่อนไขสัญญา ระหว่างห้าปีที่นางอยู่ในตระกูลหลี สูตรลับที่คิดค้นได้ทั้งหมดต้องเป็นของตระกูลหลี ตอนนี้นางกลับกุมสูตรลับไว้ในมือโดยอาศัยชื่อของเฮยมู่ จากนั้นอาศัยรูปแบบความร่วมมือนี้มอบสิทธิ์การขายให้กับตระกูลหลี ทำเช่นนี้นางก็สามารถแบ่งกำไรไปทันทีครึ่งหนึ่ง ในทางกลับกันท่านพ่อเขายังรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของนางอีกด้วย
นี่เรียกว่าอะไร
เอาตัวเองไปขายซ้ำยังช่วยคนอื่นนับเงินอีก!
เพียงคิดว่าหากท่านพ่อรู้ว่าตัวเองถูกหญิงสาวคนหนึ่งหลอกจนหัวปั่นแล้วจะโกรธเกรี้ยวเพียงใด ในใจหลีจวินก็รู้สึกรุ่มร้อน เขารู้สึกว่าเรื่องนี้จัดการยากมาก…ยากมากจริงๆ
หากเปลี่ยนเป็นคนทั่วไป เขาจะใช้วิธีการที่รุนแรงโดยไม่ลังเล ทำให้อีกฝ่ายต้องขาดทุนย่อยยับแน่
แต่มู่หวั่นชิวไม่เหมือนกัน นางเป็นดวงใจของเขา
ด้านหนึ่งเป็นพ่อบังเกิดเกล้า ด้านหนึ่งก็เป็นหญิงที่รัก เมื่อต้องอยู่คั่นกลางระหว่างคนทั้งสอง เขาต้องทำอย่างไรจึงจะยกถ้วยน้ำให้นิ่งเสมอกันได้เล่า
ทำอย่างไรจึงจะลงโทษมู่หวั่นชิวให้กลัวและเกรง ทั้งยังเป็นการระบายความเคืองขุ่นให้กับท่านพ่อได้บ้าง
กำลังคิดอยู่ ฉินเจี้ยนก็เคาะประตูเดินเข้ามา “นายท่านหลีกลับมาแล้ว”
หลีจวินรีบยืนขึ้น แล้วเดินมารับที่ประตูด้วยตนเอง “ท่านพ่อกลับมาแล้วหรือ ใต้เท้าจั่วเรียกท่านไปพบเพราะมีเรื่องอะไรหรือ” เขาหันหน้าไปสั่งฉินเจี้ยน “ยกน้ำชาให้นายท่าน”
รับน้ำชาที่หลีจวินเทให้มาแล้วก็ดื่มอึกๆ ไปครึ่งถ้วย นายท่านหลีจึงผ่อนลมหายใจออกมา
หลีจวินฉวยโอกาสถาม “เห็นท่านพ่อสีหน้าไม่ดี ใต้เท้าจั่วทำให้ท่านลำบากใจหรืออย่างไร”
“ทำให้ลำบากใจหรือ” เส้นเลือดบนหน้าผากนายท่านหลีเต้นตุบๆ “เขาคิดจะทำให้ตระกูลหลีตายต่างหาก!”
หลีจวินตัวสั่นกระตุก โบกมือไปทางหลีชิง
หลีชิงรีบพาทุกคนออกไปอย่างเงียบๆ ทันที
“ใต้เท้าจั่วเป็นสุนัขรับใช้ของอิงอ๋อง” หลีจวินเทน้ำให้บิดาจนเต็มถ้วย ปากก็พูดกล่อม “ย้ายเขามาที่ต้าเยี่ยก็เพื่อต่อกรกับตระกูลหลี ท่านพ่ออย่าได้โกรธไปเลย ถ้าท่านโกรธก็เท่ากับตกหลุมพรางของพวกเขาจริงๆ ทนอีกสักนิด พวกเราได้หลักฐานที่อิงอ๋องคิดกบฏมาแล้ว เชื่อว่าพวกเขาคงจะวางอำนาจได้อีกไม่นาน!” เห็นสีหน้านายท่านหลีผ่อนคลายลงจึงถามต่อไปว่า “ว่าแต่มีเรื่องอะไรหรือท่านพ่อ”
“เดินหนึ่งก้าวล้มหนึ่งก้าว หนึ่งปีมานี้ตระกูลหลีผ่านมาอย่างยากลำบาก ทุกวันนี้พ่อหวาดหวั่นเหมือนเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ” นายท่านหลีถอนหายใจยาว “ไม่รู้ว่าจะทนได้ถึงวันที่องค์รัชทายาทกลับมามีอำนาจอีกครั้งได้หรือไม่”
ในสายตาเศร้าสลดเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ชั่วพริบตาเขาราวกับแก่ลงไปหลายปี
“ท่านพ่อ…” หลีจวินเรียก “ก่อนฟ้าสางย่อมเป็นเวลาที่มืดมิดที่สุด พวกเราใกล้จะได้เห็นแสงรุ่งอรุณแล้ว” น้ำเสียงเคร่งเครียด เขาพูดทีละคำอย่างหนักแน่น “ท่านพ่อต้องเชื่อมั่น ต่อให้ตระกูลหลีจะล่มสลาย ขอเพียงพวกเรายังมีชีวิตอยู่ก็ต้องมีวันฟื้นคืนมาอีกครั้ง!”
ในดวงตาเศร้าสลดมีประกายแสงแวบผ่าน นายท่านหลีพยักหน้าอย่างหนักแน่น
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงพูดขึ้นว่า “ใต้เท้าจั่วคิดจะสร้างศาลเจ้าแม่กวนอินแห่งหนึ่งที่เขาฉี่หลิง อยากให้พ่อค้าทุกกลุ่มออกแรงช่วยเหลือ…”
“ก็แค่หาข้ออ้างให้บริจาคเงิน เขาต้องการเท่าใด พวกเราให้ไปก็พอ!” หลีจวินพูดอย่างโมโห
สักวันเขาจะทำให้พวกเขาต้องคายออกมาเป็นเท่าตัว!
“ถ้าง่ายอย่างนั้นก็ดีสิ…” นายท่านหลีส่ายหน้า “น่าเจ็บใจที่สุดคือใต้เท้าจั่วเอาแต่พูดว่าจะรักษาระเบียบของกลุ่มการค้า ไม่ให้บริจาคเงินวุ่นวายเด็ดขาด บอกว่าจะใช้อากรท้องที่มาสร้างกุศลยิ่งใหญ่ให้กับประโยชน์สุขนี้!”
“อากรท้องที่?” หลีจวินขมวดคิ้ว “ไม่นับเรื่องที่ทางการโกงกิน นับแค่ต้นทุนการสร้างศาลเจ้าแม่กวนอินแห่งหนึ่งอย่างน้อยต้องใช้กว่าแสนตำลึง อากรที่เหลือในท้องที่ล้วนมีตัวเลขเขียนลงไว้ ไหนต้องนำไปเลี้ยงดูทหารองครักษ์อีก เขาจะเอาเงินมากมายมาจากที่ใด”
“เล่ห์กลก็อยู่ที่ตรงนี้!” นายท่านหลีกัดฟันกรอดๆ “การสร้างศาลเจ้าแม่กวนอินมีกำหนดเวลาสามปี ใต้เท้าจั่วบอกว่าภายในสามปีนี้ทุกกลุ่มการค้าในต้าเยี่ย นอกจากอากรที่ต้องจ่ายเป็นประจำแล้ว ทุกปียังต้องจ่ายอากรสร้างคุณูปการอีกส่วน ใช้เป็นเงินทุนในการสร้างศาลเจ้าแม่กวนอิน และยังสัญญาว่าหลังจากสร้างศาลเจ้าแม่กวนอินเสร็จแล้ว จะสลักชื่อร้านค้าลงในป้ายสรรเสริญตามคุณูปการมากน้อย สืบทอดไปชั่วลูกชั่วหลาน…”
“อากรสร้างคุณูปการ” หลีจวินเลิกคิ้วขึ้น “มีวิธีเก็บอย่างไร มีพระราชโองการลงมาหรือไม่”
“ใต้เท้าจั่วบอกว่าในเมื่อเป็นอากรสร้างคุณูปการก็จะให้เหมือนกันทุกคนไม่ได้ ต้องเก็บตามความสามารถมากน้อยของทุกคนจึงจะยุติธรรม ในแต่ละกลุ่มก็จะมีกฎเกณฑ์ต่างกัน สำหรับกลุ่มเครื่องหอมนั้น อากรสร้างคุณูปการจะเก็บเปลี่ยนแปลงไปตามราคาเครื่องหอม เครื่องหอมที่ราคาต่ำกว่าหนึ่งตำลึงครึ่งจะเก็บเพิ่มสามในร้อยส่วน”
หลีจวินพยักหน้า “นี่ก็ไม่สูงมาก ร้านเครื่องหอมทั่วไปพอรับไหว”
“ที่สำคัญคือการเก็บที่เปลี่ยนแปลงไปตามราคาเครื่องหอมนี้ต่างหาก ราคาระหว่างหนึ่งตำลึงครึ่งถึงสามตำลึงเก็บเพิ่มสิบห้าในร้อยส่วน สามตำลึงถึงห้าตำลึงเก็บเพิ่มสามสิบในร้อยส่วน สูงกว่าห้าตำลึงเก็บเพิ่มสี่สิบในร้อยส่วน”
“สามสิบในร้อยส่วน!” หลีจวินพูดเสียงเข้ม “เขาบ้าไปแล้วหรือ มองไปทั่วแคว้นต้าโจวนี้ การค้าของกลุ่มใดบ้างจะมีกำไรสูงอย่างนี้” แล้วพูดอีกว่า “นี่ยังไม่นับอากรของทางราชสำนัก เครื่องหอมที่ทำออกมาเงินที่ขายได้ยังไม่พอจะจ่ายค่าอากรนี้เลย การค้าเช่นนี้ใครยังจะทำอีก!”
นายท่านหลีทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ “เขาบ้าไปแล้ว เขาคิดจะบีบตระกูลหลีของพวกเราให้ตาย!”
หลีจวินไม่พูดจา หัวคิ้วขมวดเป็นปม
ผ่านไปครู่ใหญ่นายท่านหลีจึงผ่อนลมหายใจออกมา “จวินเอ๋อร์ดูสิ มองไปทั่วแคว้นต้าโจว นอกจากน้ำหอมสังสารวัฏกับขี้ผึ้งเหลวกลิ่นดอกไม้ของตระกูลหลีแล้ว ยังมีเครื่องหอมของบ้านใดที่มีราคาเกินหนึ่งตำลึงครึ่งอีก เม็ดหอมเศร้าอาดูรของร้านอี้เหอก็ขายแค่หนึ่งตำลึง หากดูตามราคานี้ต้องจ่ายอากรเพียงสามในร้อยส่วนก็ยังพอรับได้ แม้จะไม่มีพระราชโองการ พวกพ่อค้าก็คงไม่รวมตัวกันเพื่อประท้วงไปถึงเบื้องบนหรอก” เขาเปลี่ยนประเด็นพูดไป “มีเพียงตระกูลหลีของพวกเรา ขี้ผึ้งเหลวกลิ่นดอกไม้ขายถึงสามตำลึง เฉลี่ยแล้วแต่ละขวดต้องรับภาระอากรสี่ร้อยห้าสิบอีแปะ น้ำหอมสังสารวัฏขายถึงห้าตำลึง แต่ละขวดต้องรับภาระอากรหนึ่งตำลึงครึ่ง ราคาที่ทำสัญญากับโรงธูปไป่เยี่ยก็เป็นราคาตายตัว น้ำหอมสังสารวัฏซื้อมาขวดละสามตำลึง ขายออกไปห้าตำลึง หักค่าใช้จ่ายหนึ่งตำลึงครึ่งนี้แล้วยังเหลืออีกครึ่งตำลึง แม้แต่อากรของราชสำนักยังไม่พอจ่ายเลย!”
“อากรสร้างคุณูปการนี้มีเพื่อจัดการตระกูลหลี!”
“จวินเอ๋อร์พูดไม่ผิด อากรสร้างคุณูปการนี้กำหนดขึ้นเพื่อจัดการตระกูลหลี!” นายท่านหลีเปลี่ยนประเด็นพูดไป “แต่เขาก็ทำได้อย่างไม่มีข้อบกพร่อง การสร้างศาลเจ้าแม่กวนอินเป็นกุศลใหญ่ในการสร้างประโยชน์สุขที่สืบทอดไปยาวนาน อากรของเขานี้เพิ่มได้อย่างมีเหตุผล พ่อค้าทั่วต้าเยี่ยไม่มีใครคัดค้านแน่ หากมีเพียงตระกูลหลีที่คัดค้านจะมีประโยชน์อะไร ดีไม่ดี เขาอาจจะสวมหมวกให้เราว่าเย่อหยิ่ง ขัดขวางความเจริญในท้องที่จนไม่ให้ความร่วมมือ” เขาถอนหายใจยาว “ทั้งที่รู้ว่าถูกเขาป้ายสี แต่ตระกูลหลีกลับไม่อาจขัดขืนได้!”
“ถึงอย่างนั้นก็ปล่อยให้เขาฆ่าแกงเช่นนี้ไม่ได้!” หลีจวินตบโต๊ะดังปัง
นายท่านหลีสะดุ้ง ความเหี่ยวเฉาหายไปจนสิ้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหลีจวิน “จวินเอ๋อร์มีแผนดีหรือไม่” แล้วส่ายหน้าอีกครั้ง “จวินเอ๋อร์อย่าคิดต่อต้านเลย ต่อสู้กับทางการ ต่อให้กิจการทางบ้านใหญ่โตเพียงใด พวกเราก็เป็นเพียงเอาไข่ไปกระทบหินเท่านั้น!”
ผลประโยชน์ล้วนต้องมีบารมี หากไม่มีบารมีแล้ว ผลประโยชน์จะมาจากที่ใด
ไม่มีการคุ้มครองขององค์รัชทายาท บารมีของตระกูลหลีในตอนนี้ก็เทียบกับคนอื่นมิได้เลย
“ท่านพ่อพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก…” คิดดูสักครู่ หลีจวินจึงพูดว่า “เขาอยากจะอุดปากพวกพ่อค้า ข้าก็จะทำให้คนเหล่านี้ออกหน้ามาช่วยพูดให้ตระกูลหลี!” เขาลังเลสักครู่ “พวกเราเป็นพ่อค้า ที่ว่าผลประโยชน์ไม่พอก็ไม่ทำ ในเมื่อการค้าขายนี้ไม่ได้กำไร พวกเราก็ไม่ต้องทำ!”
“ไม่ทำ?” นายท่านหลีสงสัยไม่คลาย “ตอนนี้ร้านหลีจี้ยืนหยัดได้ด้วยเครื่องหอมสองชนิดนี้ จะไม่ทำได้อย่างไร” แล้วพูดอีกว่า “ใต้เท้าจั่วอยากให้พวกเราหยุดทำเครื่องหอมในทันที จวินเอ๋อร์ทำอย่างนี้ไม่ตรงตามใจของเขาหรือ”
“นี่เป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น…” หลีจวินส่ายหน้า “อากรสร้างคุณูปการวางแผนไว้อย่างรอบคอบเช่นนี้ แต่ใต้เท้าจั่วลืมไปจุดหนึ่ง”
แสงสว่างวาบขึ้นตรงหน้า นายท่านหลีเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ แต่ก็คล้ายยังไม่มั่นใจ เขาจึงโน้มตัวไปข้างหน้า “อะไรหรือ”
“กลุ่มคนที่ใช้น้ำหอมสังสารวัฏ”
“กลุ่มคนที่ใช้?” นายท่านหลีขมวดคิ้ว ทันใดนั้นดวงตาก็เปล่งประกาย “จวินเอ๋อร์พูดถูก คนมีชื่อเสียงในต้าเยี่ยนี้ ต้องมีคนที่มีอำนาจเหนือฟ้าอยู่บ้าง” ในดวงตาเขาฉายความดุดัน “ดี เช่นนั้นพวกเราก็หยุดทำเครื่องหอม ปล่อยให้เป็นไปตามที่จั่วเฟิงต้องการ!”
หลีจวินพยักหน้า “แต่ว่าท่านพ่อต้องมีการเตรียมการ การค้าของตระกูลหลีต้องซบเซาไประยะหนึ่ง” หลายเดือนมานี้เครื่องหอมอื่นของตระกูลหลีแทบจะหยุดทำไปหมดแล้ว เพียงอาศัยน้ำหอมสังสารวัฏกับขี้ผึ้งเหลวกลิ่นดอกไม้มาคอยพยุงเอาไว้
นายท่านหลีสีหน้าสลด “จวินเอ๋อร์ยังต้องคิดหาวิธีจัดการเครื่องหอมในคลังเหล่านั้นด้วย”
“มีสินค้าเก็บไว้ทั้งหมดเท่าใด” หลีจวินเพิ่งกลับมา ยังไม่ทันได้ตรวจสมุดบัญชี
“คำนวณถึงปลายเดือนที่แล้วก็มีเก็บไว้สามล้านแปดแสนหกหมื่นเม็ด”
“มากอย่างนี้เชียวหรือ” หลีจวินหัวคิ้วขมวดขึ้นมา
“ใช่แล้ว” นายท่านหลีพยักหน้า “มีเม็ดกันชื้นอยู่ ถึงเครื่องหอมจะไม่เป็นไรไปชั่วระยะหนึ่ง แต่มีสินค้าเก็บในคลังจำนวนมากเช่นนี้ กองเอาไว้อย่างนี้วันแล้ววันเล่า ทุกวันพ่อคิดขึ้นมาหัวใจก็เจ็บเหมือนถูกเข็มแทง!” เขาเอามือตบโต๊ะอย่างแรง น้ำเสียงไร้เรี่ยวแรงอย่างมาก
“ท่านพ่อ…” หลีจวินเรียกเสียงเบา
นายท่านหลีเงยหน้าขึ้นทันใด “จวินเอ๋อร์ไปเชิญแม่นางไป๋มาช่วยปรับแก้เม็ดหอมเหล่านั้นได้หรือไม่”
เขาอยากจะขอร้องนานแล้ว แต่ทุกครั้งที่คิดถึงท่าทางของนางที่ไม่ใส่ใจเกียรติยศหรือการดูหมิ่น มีเพียงท่าทีนิ่งเงียบเฉยชา นายท่านหลีก็เกิดความหวาดหวั่น เขาอยู่มาจนอายุปูนนี้ ผ่านการต่อสู้มาหลายครั้ง แต่พอเผชิญหน้ากับหญิงสาวคนนี้แล้วเขากลับไม่เคยได้เปรียบอะไรเลย นางไม่ใช่คนที่จะเอายศถาบรรดาศักดิ์อะไรมาซื้อตัวไปได้ง่ายๆ และยิ่งไม่ใช่คนที่จะก้มหัวให้กับคนที่มีบารมี
ทนทุกข์ใจมานานมากแล้ว เขาก็ยังหาจุดอ่อนอะไรของมู่หวั่นชิวที่จะให้เขาใช้งานไม่ได้เลย และด้วยเหตุนี้แม้มีใจอยากขอให้นางช่วยปรับแก้เม็ดหอมให้ตระกูลหลี แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปาก กลัวว่าหากทำเสียเรื่องก็จะไม่มีทางย้อนกลับได้
หลีจวินกลับมาแล้ว นายท่านหลีจึงตัดสินใจเอาปัญหายุ่งยากนี้ผลักให้แก่บุตรชาย
“ให้แม่นางไป๋ปรับแก้” หลีจวินไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน เขาจึงตกใจมาก
“นอกจากนางแล้วก็ไม่มีใครช่วยสินค้าชุดนี้ได้อีก…” นายท่านหลีสีหน้าสลดลง แสดงละครเศร้าต่อหน้าบุตรชาย “เม็ดหอมสามล้านกว่าเม็ดเชียวนะ หากช่วยกลับมาไม่ได้ รากฐานตระกูลหลีคงต้องล่มสลายแน่นอน!”
หลีจวินพยักหน้าอย่างเด็ดขาด “ไม่ได้!”
“จวินเอ๋อร์…” นายท่านหลีหน้าบึ้งตึง
หลีจวินมองหน้าบิดาอย่างจริงจัง “นี่ไม่ใช่เม็ดหอมบุปผาสวรรค์ก่อนหน้านี้ที่จะบอกว่าแก้ก็แก้ได้ มีถึงสามล้านกว่าเม็ดและชนิดก็ปนเปกันไป จุดอ่อนสูตรลับของกู่ฉินเดิมทีก็มีน้อยอยู่แล้ว จะปรับแก้สักชนิดยังไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นับประสาอะไรกับเม็ดหอมมากมายหลากชนิดเช่นนี้”
ที่สำคัญยิ่งกว่าคือหากเรื่องนี้ถูกอิงอ๋องล่วงรู้เข้า อิงอ๋องย่อมไม่มีทางปล่อยให้มู่หวั่นชิวมีชีวิตรอดไปได้เด็ดขาด!
คิดถึงความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นในใจตอนที่ได้ยินข่าวว่ามู่หวั่นชิวถูกลอบฆ่า สายตาของเขาก็มีความมุ่งมั่นเพิ่มมากขึ้น
เขายอมให้เม็ดหอมของตระกูลหลีชุดนี้เสียไป แต่จะผลักนางไปสู่อันตรายไม่ได้!
เงินทองยศศักดิ์เป็นของนอกกาย รวมไปถึงทรัพย์สินบารมีของตระกูลหลีด้วย เสียไปแล้วก็สร้างใหม่ได้ มีแค่ชีวิตที่มีเพียงครั้งเดียว
“จวินเอ๋อร์!” น้ำเสียงนายท่านหลีฉายความฉุนเฉียวรางๆ
“ลูกกลัวว่ารอจนนางปรับแก้เสร็จ เม็ดหอมชุดนี้คงหมดประสิทธิภาพไปแล้ว” เห็นบิดาโมโหจริงๆ หลีจวินจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “คิดจะช่วยกู้เม็ดหอมเหล่านี้ ดีที่สุดคือคิดหาวิธีขายออกไป”
“ขายออกไป?” นายท่านหลีถลึงตาใส่ “จวินเอ๋อร์ก็เห็นแล้ว มีเครื่องหอมของร้านอี้เหอเป็นตัวเปรียบเทียบอยู่ตรงนั้น สินค้าของพวกเรากองทิ้งไว้อีกสิบปีก็อย่าคิดจะขายออกไปได้เลย!”
“ถึงแม้เครื่องหอมของร้านอี้เหอจะดี แต่คุณภาพเครื่องหอมของพวกเราก็ถือเป็นชั้นเลิศเช่นกัน” หลีจวินพูดอย่างเด็ดขาด “แค่เพียงสถานการณ์บีบบังคับ มีคนคอยข่มขู่ยุยงอยู่เบื้องหลังจึงขายออกไปไม่ได้แม้แต่เม็ดเดียว”
“จวินเอ๋อร์คิดจะรอให้องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์แล้วค่อยขายออกไปหรือ” นายท่านหลีพูดประชด “ถ้าองค์รัชทายาททรงถูกถอดไปเลย ตระกูลของพวกเราไม่ต้องรอความตายหรือ”
“ท่านพ่อคลายโกรธลงด้วย…” หลีจวินโน้มตัวไปเทน้ำชาให้บิดา “ท่านลืมเรื่องเมื่อวานที่ลูกบอกท่านไปแล้วหรือ ลูกช่วยองค์รัชทายาทแคว้นเฉินมา ช่วยให้เขาขึ้นครองราชย์ได้อย่างราบรื่น เขาได้สาบานเป็นพี่น้องกับลูกแล้ว”
นายท่านหลีดวงตาเปล่งประกาย “จวินเอ๋อร์คิดจะขายสินค้าชุดนี้ไปที่แคว้นเฉินหรือ”
“ลูกคิดจะลองดู…” หลีจวินพยักหน้า “ก่อนกลับมาลูกเคยพูดถึงความลำบากของตระกูลหลีให้ฮ่องเต้แคว้นเฉินฟัง เขารับปากจะให้พวกเราตั้งสาขาที่แคว้นเฉิน เครื่องหอมของพวกเราชุดนี้ล้วนออกมาจากมือของกู่ฉิน ถือเป็นของชั้นเลิศเช่นกัน ในเมื่อขายที่ต้าโจวไม่ได้ก็ขนไปที่แคว้นเฉิน ใช้เป็นทุนในการเปิดสาขาเสียเลย”
ที่เขายอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไปช่วยฮ่องเต้แคว้นเฉินนั้น ก็เพื่อจะได้ไม่ผลักมู่หวั่นชิวไปอยู่ใต้คมดาบของอิงอ๋อง น้ำใจที่มีนี้ เขาจะยอมปล่อยไปได้อย่างไร
“เช่นนี้ก็ยิ่งดี…” นายท่านหลีพยักหน้า “บุญคุณช่วยชีวิตใหญ่เทียมฟ้า เรื่องเล็กแค่นี้ฮ่องเต้แคว้นเฉินคงไม่นั่งนิ่งดูดายแน่นอน!”
พูดคุยรายละเอียดกันอีกนิด นายท่านหลีจึงลุกเดินออกไป
หลีจวินเดินมาส่งเขาออกนอกประตูด้วยตนเอง พอหันหน้ากลับมาก็พบฉินเจี้ยนยืนอยู่ด้านหลังจึงถามว่า “มีเรื่องอะไร”
“แม่นางไป๋มารอท่านนานแล้วขอรับ เห็นท่านกับนายท่านกำลังปรึกษางานลับอยู่ บ่าวจึงไม่กล้ารบกวน”
หลีจวินดวงตาเปล่งประกาย “นางอยู่ที่ใด”
“เรือนถานเซียงขอรับ”
หลีจวินก้าวเท้าเดินไปทันที เดินไปไม่กี่ก้าวก็หมุนตัวย้อนกลับมาหยิบสัญญาบนหัวโต๊ะนั้นขึ้นมา
“พี่หลี…” เห็นหลีจวินเข้ามา มู่หวั่นชิวก็วางถ้วยชาลงแล้วยืนขึ้นอย่างยินดี
“ปล่อยให้อาชิวรอนานแล้ว รีบนั่งเถอะ” หลีจวินนั่งลงตรงข้ามมู่หวั่นชิว แล้วมองสำรวจนาง “เมื่อคืนอาชิวพักผ่อนดีหรือไม่ ยาเหล่านั้นกินหมดหรือยัง” นางอยู่ในถ้ำนานเกินไปและยังแช่ร่างอยู่ในบึงน้ำด้วย เขาย่อมกลัวว่านางจะถูกไอเย็นจนป่วย เมื่อวานจึงตั้งใจให้คนเคี่ยวยาส่งไปให้
“ดื่มหมดแล้ว ขอบคุณพี่หลี” มู่หวั่นชิวพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้อ่อนแออย่างนั้น” เห็นฉินเจี้ยนยกชามาให้ จึงรับไปเทให้หลีจวินหนึ่งถ้วย “พี่หลีดื่มชา”
เห็นนางกระตือรือร้นผิดปกติ หลีจวินจึงยิ้มสดใส แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่วางสัญญาในมือลงบนโต๊ะ แล้วยื่นมือไปรับถ้วยชา
สายตาเลื่อนไปยังสัญญาที่หลีจวินเพิ่งวางลง ร่างมู่หวั่นชิวก็แข็งเกร็งไป เหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาที่นางฉวยโอกาสช่วงเวลาลำบากของตระกูลหลีทำขึ้นกับนายท่านหลี คนอื่นไม่รู้ แต่หลีจวินต้องรู้แน่ว่าสัญญาเหล่านี้นางได้ประโยชน์อย่างมาก ดูเหมือนการปล้นชิงตามไฟ
ตามหลักแล้วก็ดูเป็นเรื่องที่ยินยอมทั้งสองฝ่าย และตัวสัญญานั้นตระกูลหลีก็ได้ประโยชน์เช่นกัน นางเองก็ไม่ได้ผิดสัญญา ถึงหลีจวินจะมีบัญชีก็คิดมาถึงตัวนางไม่ได้ แต่วันนี้นางมีเรื่องมาขอร้องเขา เมื่อถูกหลีจวินเปิดโปงต่อหน้าเช่นนี้ก็ย่อมรู้สึกร้อนตัวอยู่บ้าง สายตาเหลือบไปทางหลีจวิน ประสานเข้ากับสายตาแฝงรอยยิ้มของเขาพอดี
มู่หวั่นชิวตัวสั่น นางเลื่อนสายตาไปทางอื่นทันที เพียงชั่วครู่ก็หันไปพูดด้วยรอยยิ้มสดใสอีกครั้ง “สัญญานี้…”
“สัญญานี้มาได้ทันเวลา แก้ไขปัญหาของตระกูลหลีได้พอดี” หลีจวินยิ้มบางๆ “ข้าตั้งใจมาขอบคุณอาชิว ถ้าอาชิวยื่นมือเข้าช่วยไม่ทันกาล เกรงว่าครั้งนี้ตระกูลหลีคงต้องล่มสลายแน่นอน”
นี่กำลังขอบคุณนางอยู่หรือ
มู่หวั่นชิวกะพริบตา เหตุใดนางฟังคำพูดนี้แล้วถึงแสลงหูยิ่งนัก
อยากจะชี้แจง แต่ก็รู้สึกว่ายิ่งพูดอาจจะยิ่งเลวร้าย มู่หวั่นชิวจึงปิดปาก เพียงก้มหน้ามองรองเท้าปักลายดอกของตนเอง
“อาชิวมาพบข้ามีเรื่องอะไรหรือ” ท่ามกลางความเงียบหลีจวินจึงเอ่ยปากถาม
“เอ่อ…” มู่หวั่นชิวเงยหน้าขึ้นมองฉินเจี้ยนที่ยืนอยู่ด้านข้าง
หลีจวินโบกมือให้เขา ฉินเจี้ยนจึงก้าวเท้าเดินออกไป
“พี่หลีช่วยข้าซื้อทะเบียนเรือนสักฉบับได้หรือไม่” ลังเลอยู่ครู่ใหญ่มู่หวั่นชิวจึงบากหน้าพูด
“ทะเบียนเรือน?” หลีจวินตกตะลึง “อาชิวมีทะเบียนเรือนแล้วมิใช่หรือ”
“ไม่ใช่ของข้า…”
หลีจวินยกถ้วยชาขึ้นโดยไม่ได้พูดจา
“เป็นของเฮยมู่” มู่หวั่นชิวเล่าเรื่องที่ทางการต้องการทะเบียนเรือนของเฮยมู่ออกมา “วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว พรุ่งนี้ต้องมอบออกมา…” นางมองหน้าหลีจวิน “ขอเพียงสามารถซื้อทะเบียนเรือนได้ จะอยู่ในฐานะใดก็ได้ไม่เป็นไรเลย” ในเวลาอันสั้นเช่นนี้สามารถทำได้ก็ไม่ง่ายแล้ว คิดจะเลือกฐานะคงเป็นไปไม่ได้
อีกอย่างในเขตเมืองต้าเยี่ยนี้หากมีฐานะที่ดีเกินไป เกรงว่าจะถูกหร่วนอวี้กับจั่วเฟิงตรวจสอบพบได้ง่ายมาก
“อ้อ…” หลีจวินพยักหน้า แล้วถามอย่างสงสัย “ใต้เท้าหร่วนให้กำหนดเวลาไว้สองเดือน เหตุใดอาชิวไม่รีบทำเล่า”
ทะเบียนเรือนไม่เหมือนกับเอกสารอื่น ไม่เพียงต้องผ่านทางการ ยังต้องหาพยานเช่นหัวหน้าหมู่บ้านหรือไม่ก็หมอตำแยมาด้วย อาศัยเวลาเพียงแค่วันเดียวจะทันได้อย่างไร
“สองเดือนก่อนก็ให้โม่อวี่ไปที่เมืองอันซุ่นแล้ว” มู่หวั่นชิวสีหน้าสลด “ใครจะรู้ว่าถึงตอนนี้เขาจะยังไร้ข่าวคราว”
“โม่อวี่ไปที่เมืองอันซุ่นหรือ” หลีจวินนั่งตัวตรง “สองเดือน” เขาขมวดคิ้ว “ขี่ม้าเร็วก็ควรจะกลับมาแล้ว คงไม่ใช่…” อยากจะพูดว่าคงไม่ใช่เกิดเรื่องแล้วกระมัง แต่เห็นสีหน้าเศร้าสลดของมู่หวั่นชิว เสียงของเขาก็ขาดห้วงไป ก่อนจะตะโกนไปทางประตู “เจี้ยนเอ๋อร์!”
ฉินเจี้ยนผลักประตูเข้ามา “คุณชาย…”
“ส่งข่าวให้หลีผิงทันที ให้เขาตรวจสอบที่อยู่ของอวี่เอ๋อร์ อย่างไรต้องหาคนให้เจอ”
หลีผิงคือสายลับของตระกูลหลีในเมืองอันซุ่น
“ขอรับ” ฉินเจี้ยนรับคำ แล้วรีบเดินออกไป
หลีจวินพูดโอดครวญ “เรื่องนี้เจ้าควรจะ…” นึกถึงความหมางเมินของพวกเขาสองคนก่อนที่เขาจะเดินทางไปแคว้นเฉิน เสียงของหลีจวินก็ขาดห้วงไป ก่อนจะเปลี่ยนมาถามว่า “อาชิวเคยคิดจะเอาเงินทุนของโรงธูปไป่เยี่ยโยกไปที่อันซุ่น แล้วก็จะซื้อทะเบียนเรือนที่นั่น คิดย้ายโรงธูปไป่เยี่ยไปที่อันซุ่นหรือ”
รู้ดีว่าเรื่องเหล่านี้โกหกเขาไม่ได้ มู่หวั่นชิวจึงยิ้มเศร้า “เงินทุนส่วนใหญ่ของโรงธูปไป่เยี่ยถูกพี่หลีระงับไว้แล้ว ข้าจะโยกโรงธูปไป่เยี่ยไปได้อย่างไร”
หลีจวินหน้านิ่งไป จากนั้นจึงพูดอย่างเปิดเผยว่า “คนอันซุ่นแม้เรียบง่ายเป็นมิตร ให้ความเคารพอาจารย์เครื่องหอมเป็นพิเศษ แต่ว่า…” เขาเปลี่ยนประเด็นพูดไป “อาชิวคงไม่รู้ว่าคนที่นั่นมีใจเดียวกัน ไม่ต้อนรับคนนอก หากยังไม่มีการเตรียมการที่พร้อมสรรพแล้วไปเช่นนี้ อาชิวจะต้องขาดทุนย่อยยับแน่ คงต้องเสียป้ายโรงธูปไป่เยี่ยที่กว่าจะสร้างมาได้ไปจนหมด” ตอนที่ไปซื้อวัตถุดิบจากอันซุ่นเพื่อซื้อใจเจ้าถิ่นให้ได้นั้น เขาถือได้ว่าฝ่าฟันอุปสรรคมามากมาย
ที่แท้เขาคิดว่าการระงับเงินทุนส่วนใหญ่ของโรงธูปไป่เยี่ยเอาไว้เช่นนี้ก็เพื่อยับยั้งนางไม่ให้บุ่มบ่ามย้ายโรงธูปไป่เยี่ยไปที่อันซุ่น ด้วยกลัวนางจะขาดทุน!
มู่หวั่นชิวหัวใจอบอุ่น ริมฝีปากขยับแต่กลับไม่ได้พูดจา นางยกน้ำชาขึ้นดื่มทีละอึก
หลีจวินก็ไม่พูดอะไร เพียงนั่งอยู่เงียบๆ
ผ่านไปครู่ใหญ่มู่หวั่นชิวจึงวางถ้วยชาลง “ทะเบียนเรือนนั่น…พี่หลี…มั่นใจหรือไม่ว่าจะซื้อมาได้”
“ซื้อทะเบียนเรือนสักฉบับไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก แต่ว่า…” หลีจวินเปลี่ยนประเด็น “ไม่เพียงแค่ทางการ คนจากทุกที่ล้วนจับตามองโรงธูปไป่เยี่ย ถ้าหากเฮยมู่เป็นคนที่ไม่มีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งอะไร ไม่มีคนคอยคุ้มกัน โรงธูปไป่เยี่ยก็จะ…” หลีจวินไม่ได้พูดต่อ เขามองมู่หวั่นชิวอย่างเงียบๆ
ใครว่าไม่ใช่เล่า
แต่ว่านางเป็นบุตรสาวขุนนางต้องโทษ จะหลบทางการยังแทบไม่ทัน แล้วจะให้นางไปซื้อเบื้องหลังอันแข็งแกร่งให้เฮยมู่ได้จากที่ใด
มู่หวั่นชิวถอนหายใจเอื่อยๆ แล้วพูดว่า “ใส่ใจอะไรมากไม่ได้แล้ว ผ่านด่านทางการไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน แม้จะรู้ว่าเฮยมู่ไม่มีเบื้องหลังแข็งแกร่งอะไร แต่อย่างน้อยคนที่ต้องการจะกลืนโรงธูปไป่เยี่ยเหล่านี้ก็ต้องเป็นคนที่มีชื่อเสียงบารมี ต้องค่อยๆ กินทีละคำมิใช่หรือ” นางยิ้มพลางมองหน้าหลีจวิน “ตอนนี้โรงธูปไป่เยี่ยกับตระกูลหลีร่วมมือกันแน่นแฟ้น หากหนึ่งเสียเกียรติอีกหนึ่งก็เสียเกียรติ ที่หนึ่งมีเกียรติอีกหนึ่งก็มีเกียรติไปด้วย เชื่อว่าถ้าโรงธูปไป่เยี่ยมีภัย พี่หลีคงไม่นั่งนิ่งดูดายเด็ดขาด…ใช่หรือไม่”
หลีจวินจะร้องไห้ก็มิใช่หัวเราะก็ไม่เชิง เขาชี้ไปที่ใบสัญญาบนโต๊ะ “อาชิวคิดหาวิธีทำสัญญาเหล่านี้กับท่านพ่อ ก็เพื่อวันหนึ่งหวังให้ตระกูลหลีช่วยออกหน้าแก้ไขความลำบากให้เจ้าสินะ”
คิดหาทุกวิธีที่จะให้สูตรลับทั้งหมดมาอยู่ภายใต้ชื่อโรงธูปไป่เยี่ย และให้ร้านหลีจี้แค่เพียงสิทธิ์ในการขายนี้ ไม่ใช่เพื่อหาผลประโยชน์อะไรจากหลีจี้ แต่นางทำเพื่อเอาร้านหลีจี้กับโรงธูปไป่เยี่ยผูกติดไว้ด้วยกัน สุดท้ายตระกูลหลีจะต้องคอยออกหน้าบังลมบังฝนให้นาง
ถูกหลีจวินเปิดเผยความลับต่อหน้า มู่หวั่นชิวก็ไร้หนทางจะรับมือจริงๆ นางจึงบากหน้าพูดว่า “ตอนที่ทำสัญญาเหล่านี้ไปก็นับว่าข้าได้ช่วยแก้ปัญหาของร้านหลีจี้ให้แล้ว ตอนนี้โรงธูปไป่เยี่ยมีภัย พี่หลีจะไม่สนใจข้าจริงหรือ” น้ำเสียงนางฟังดูปลิ้นปล้อน
เจ้าแก้ปัญหาได้ และฉวยโอกาสปล้นชิงตามไฟเช่นกัน! ในใจพูด แต่พอเห็นสีแดงราวแสงสายัณห์ที่ปรากฏบนแก้มนางแล้ว หลีจวินก็ใจร้ายกับนางไม่ลง
คิดสักครู่จึงพูดว่า “ข้ากับฮ่องเต้แคว้นเฉินองค์ใหม่เป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน สามารถขอซื้อฐานะการเป็นพระญาติจากแคว้นเฉินให้เฮยมู่ได้ อาชิวอยากได้หรือไม่”
พระญาติแคว้นเฉิน!
มู่หวั่นชิวเลือดสูบฉีด ใบหน้าแดงเรื่อ “จริงหรือ!”
หากเฮยมู่ได้ฐานะพระญาติแคว้นเฉินมา เช่นนั้นโรงธูปไป่เยี่ยก็มีชื่อเสียงสมฐานะแล้ว ต่อไปใครจะกล้ามาคาดหวังอยากได้อีก
แต่ว่า…มู่หวั่นชิวแววตาสลดลงอีกครั้ง “แคว้นเฉินไกลอย่างนั้น ถึงพี่หลีจะซื้อทะเบียนเรือนได้ แต่เวลาแค่วันเดียวก็คงเอากลับมาไม่ได้!”
“หากแสดงตัวว่าเป็นพระญาติ ยังจะมีใครกล้าบีบให้เอาออกมาภายในวันเดียวอีกเล่า” หลีจวินพูดอย่างคลุมเครือ เขาเปลี่ยนประเด็นพูดไป “ในเมื่ออาชิวมาขอร้องข้า เรื่องนี้ข้าต้องช่วยแน่นอน แต่ว่า…” เขายิ้มสดใสพลางมองหน้ามู่หวั่นชิว “อาชิวจะขอบคุณข้าอย่างไร”
“เอ่อ…” มู่หวั่นชิวตกตะลึง
เรื่องนี้นางยังไม่ได้คิดไว้ นางช่วยตระกูลหลีไว้หลายครั้งจึงเชื่อว่าหลีจวินจะไม่พูดเรื่องเงื่อนไขกับนาง สายตาเลื่อนไปที่สัญญาบนโต๊ะ นางพลันเข้าใจเรื่องราวในทันที เขาตั้งใจจะแก้แค้นข้า
ประสานกับสายตาเปื้อนยิ้มของหลีจวินแล้ว มู่หวั่นชิวก็กลืนคำว่าจะใช้สูตรลับแลกเปลี่ยนลงไปแล้วถามอย่างหวาดหวั่นว่า “พี่หลีอยากได้อะไรหรือ”
ในเมื่อเขาตัดสินใจจะคิดบัญชีกับนาง เงื่อนไขก็ให้เขาเป็นคนพูดก่อนดีกว่า
“อืม…” หลีจวินนิ่งเงียบชั่วครู่จึงพูดว่า “ข้าต้องการหุ้นสามในสิบส่วนของโรงธูปไป่เยี่ย” แล้วพูดเน้นย้ำว่า “หุ้นลมสามในสิบส่วน!” ไม่ใช่คิดอยากจะแย่งชิงโรงธูปไป่เยี่ยไปจากนาง แต่มีเพียงการร่วมทำกิจการไปกับนางเท่านั้น เขาจึงจะมีโอกาสอยู่ข้างกายนางได้ตลอดไป
หุ้นลมสามในสิบส่วน?
มู่หวั่นชิวลุกพรวดขึ้นมา
นางก็แค่ฉวยโอกาสตอนที่ตระกูลหลีอยู่ในช่วงลำบากหากำไรเพียงไม่กี่ตำลึงเท่านั้น เขาสิดีจริง ยังย้อนกลับมากัดหุ้นสามในสิบส่วนของโรงธูปไป่เยี่ยเสียได้ อีกทั้งยังเป็นหุ้นลมอีกด้วย!
ถ้ารับปากเขาไปจริง เงินที่ได้กำไรจากตระกูลหลีก็ต้องไหลกลับไปที่ตระกูลหลีอีกน่ะสิ
นางไม่เท่ากับลงแรงไปอย่างเสียเปล่าหรือ!
“ไม่ได้!” มู่หวั่นชิวพูดตอกตะปูอย่างหนักแน่นแล้วค่อยๆ นั่งลง “พี่หลีเปลี่ยนเป็นเงื่อนไขอื่นเถอะ” แล้วพูดอีกว่า “ข้าสามารถให้สูตรลับสองสามสูตรแก่ตระกูลหลีโดยไม่คิดเงิน”
เดิมทีคิดจะให้สูตรลับเพียงสูตรเดียว แต่เงื่อนไขที่หลีจวินเสนอออกมานั้นสูงเกินไป นางจึงเปลี่ยนคำพูดกะทันหัน
“สูตรลับตระกูลหลีมีมากมายแล้ว” หลีจวินส่ายหน้า
ถ้าสูตรลับของตระกูลหลีใช้ได้จริง พวกเขาจะเก็บสินค้ากองสุมไว้ในคลังมากมายอย่างนั้นได้อย่างไร
คิดถึงสินค้ากองสุมในคลังของตระกูลหลีแล้ว มู่หวั่นชิวก็เกิดความคิดในใจ “ข้าสามารถช่วยตระกูลหลีปรับแก้เครื่องหอมที่กองสุมเหล่านั้นได้” นางพูดอีกว่า “ไม่คิดเงิน ไม่ขอแม้แต่อีแปะเดียว!”
แม้จะไม่มีตัวเลขที่แน่นอน แต่นางก็รู้ว่าเครื่องหอมของตระกูลหลีที่กองสุมไว้อย่างน้อยต้องมีสองถึงสามล้านเม็ด เงื่อนไขของนางนี้เท่ากับว่านางต้องทำงานให้กับตระกูลหลีโดยไม่ได้เงินอย่างน้อยครึ่งปีถึงหนึ่งปี!
ก่อนหน้านี้ไม่มีชื่อเสียงก็แล้วไปเถอะ แต่นางในตอนนี้อยู่ระดับขั้นปรมาจารย์จะใช้เงินก็ไม่ต้องกังวลใดๆ อย่าว่าแต่ทำงานโดยไม่ได้อะไรเลย ที่สำคัญยิ่งกว่าคือการกระทำของนางยังเป็นการยื้อชีวิตตระกูลหลีเอาไว้ด้วย
นี่เป็นสิ่งยั่วเย้าที่ยิ่งใหญ่มาก
ไม่มีใครปฏิเสธได้ พูดจบ มู่หวั่นชิวก็มองหลีจวินไม่วางตา
“ไม่ได้!” เหนือความคาดหมายหลีจวินกลับพูดปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
“นั่นเป็นเครื่องหอมหลายล้านเม็ดเชียวนะ!” มู่หวั่นชิวลุกขึ้นมานั่งตัวตรง
เขาคิดจะทำอะไร
คงไม่ใช่เพื่อมาระบายอารมณ์กับนาง จนไม่ห่วงแม้แต่ความเป็นความตายของตระกูลหลีกระมัง
“เรื่องนั้นข้ามีวิธีจัดการ” หลีจวินห้านิ้วเคาะโต๊ะ แล้วพูดอย่างสบายอารมณ์
“พี่หลีมีวิธีหรือ” มู่หวั่นชิวจ้องหน้าหลีจวิน “พี่มีวิธีอะไร”
หลีจวินไม่ยอมตอบ
มู่หวั่นชิวค่อยๆ นั่งลง เพียงชั่วครู่ก็โน้มตัวมาข้างหน้า “มีเพียงเงื่อนไขนี้จริงหรือ ไม่มีทางอื่นให้เจรจาเลยหรือ”
“ไม่มี” หลีจวินพยักหน้า “ถ้าอาชิวตกลงพวกเราก็ทำสัญญากันทันที”
มู่หวั่นชิวนั่งเงียบๆ มือใต้แขนเสื้อกำแล้วคลาย คลายแล้วกำแน่น ทันใดนั้นนางก็ลุกพรวดขึ้น “พี่หลีไม่จริงใจก็ช่างเถอะ” แล้วก้าวเท้าเดินออกไป
หลีจวินยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับ ห้านิ้วเคาะโต๊ะเป็นจังหวะ
มู่หวั่นชิวมือจับประตู ร่างพลันชะงักไป ได้ยินด้านหลังยังคงอยู่ในความเงียบ ดูเหมือนหลีจวินจะไม่สนใจกับการจากไปของตนจริงๆ นางจึงถอนหายใจเฮือกแล้วหมุนตัวกลับมาทันใด “ให้ท่านสองส่วน สูงกว่านี้ไม่ได้แล้ว!”
หลีจวินชะงักห้านิ้ว “สองครึ่ง”
ลังเลสักครู่มู่หวั่นชิวจึงพยักหน้าอย่างแรง “ได้!” นางเปลี่ยนประเด็นพูดไป “ต้องใช้ชื่อของท่านเข้าหุ้น โรงธูปไป่เยี่ยไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลหลี!”
นางไม่อยากรวมเข้ากับตระกูลหลี
ขอแค่นางตอบตกลงก็พอ ส่วนรูปแบบนั้นไม่สำคัญ ได้ฟังคำพูดนี้แล้ว หลีจวินก็ยิ้มอย่างสบายใจ “แล้วแต่เจ้า”
ให้โม่เสวี่ยกลับไปหยิบตราประทับแล้ว การทำสัญญาก็เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว ในมือถือสัญญาที่เสียสิทธิ์หลักนี้ไว้ กำไรสองส่วนครึ่งของโรงธูปไป่เยี่ยถูกคนขุดเอาไปเช่นนี้ มู่หวั่นชิวก็ปวดใจจนแทบกระโดด นางพูดอย่างไม่ยินดีว่า “พูดกันดีแล้วนะ พี่ต้องซื้อการเป็นพระญาติกลับมาให้ได้ ไม่เช่นนั้นอย่าโทษที่ข้าจะยกเลิกสัญญา” นางขบกรามดังกรอดๆ
เห็นท่าทางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของนาง หลีจวินก็รู้สึกพอใจ เขาลุกขึ้นไปที่หน้าโต๊ะหนังสือ แล้วหยิบซองจดหมายฉบับหนึ่งในลิ้นชักออกมายื่นให้นาง
“นี่คืออะไร” มู่หวั่นชิวรับไปอย่างสงสัย หน้าซองไม่ได้ปิดผนึกไว้ นางจึงดึงออกมา แล้วก็ต้องเบิกตาโตในทันที “เหลียนจวิ้นอ๋อง*!” นางมองหน้าหลีจวิน “นี่เป็นฐานะที่ซื้อให้กับเฮยมู่หรือ”
มองดูพระราชโองการบนพื้นผ้าเหลืองที่มีตราประทับหยกของแคว้นเฉินซึ่งแต่งตั้งเฮยมู่เป็นเหลียนจวิ้นอ๋องประทับอยู่ มู่หวั่นชิวก็มือสั่น “เป็นไปได้อย่างไร พี่หลีเอามาได้อย่างไร”
นี่เป็นสิ่งที่เขาแลกมาด้วยชีวิต
ช่วยเหลือจ้าวหงรัชทายาทแคว้นเฉิน ช่วยให้เขาขึ้นครองราชย์ได้อย่างราบรื่น สิ่งแรกที่จ้าวหงทำก็คือทำตามสัญญาสาบานเป็นพี่น้องกับหลีจวิน แต่งตั้งเขาเป็นเหลียนจวิ้นอ๋อง แต่อย่างไรเสียหลีจวินก็เป็นชาวแคว้นต้าโจว ได้รับการแต่งตั้งเป็นอ๋องจากแคว้นอื่นเช่นนี้ หากฝ่าบาทแคว้นต้าโจวทรงรู้เข้าก็จะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยว่าขายบ้านเมืองได้ เหลือให้เป็นชนักกับคนที่มีใจคิดไม่ดี โดยเฉพาะในช่วงเวลาละเอียดอ่อนนี้ที่อิงอ๋องไม่มีเรื่องใดก็อยากจะคัดกระดูกในไข่ไก่** ออกมาสักสองชิ้น
ดังนั้นฮ่องเต้แคว้นเฉินจึงเสนอให้เขาเปลี่ยนฐานะในแคว้นเฉิน คิดว่าเขาก็กำลังอยากสร้างฐานะให้เฮยมู่ที่มู่หวั่นชิวปลอมตัวอยู่เช่นกัน หลีจวินจึงใช้ชื่อเฮยมู่ซึ่งเป็นชื่อปลอมที่มีอยู่นี้เสียเลย จากการดำเนินการของจ้าวหงฮ่องเต้แคว้นเฉิน ไม่เพียงทำทะเบียนเรือนที่สมบูรณ์ให้แก่เฮยมู่ ยังยกที่ดินที่แคว้นเฉินสร้างจวนอ๋องไว้ให้เขาอีกด้วย
หลีจวินในตอนนี้ก็คือท่านอ๋องของแคว้นเฉินอย่างเต็มตัวแล้ว
เล่าเหตุการณ์ให้มู่หวั่นชิวฟังอย่างง่ายๆ สุดท้ายหลีจวินก็พูดว่า “เอกสารนี้เป็นฐานะของข้าในแคว้นเฉิน แค่อาชิวรู้ไว้คนเดียวก็พอ อย่าบอกให้คนนอกรู้” เพราะมีสาเหตุมาจากมู่หวั่นชิว แม้แต่บิดาก็ยังไม่ทราบฐานะนี้ของเขา
“นี่ก็หมายความว่าเฮยมู่ก็เปลี่ยนเป็นพี่หลีอย่างนั้นหรือ” ในสมองมึนงง มู่หวั่นชิวยังรู้สึกไม่เข้าใจ
คิดถึงคำพูดที่มู่หวั่นชิวบอกว่านางกับเฮยมู่หมั้นหมายกัน มุมปากหลีจวินก็ยกยิ้ม เพียงพริบตาสีหน้าของเขาก็กลับมาสงบนิ่งดังเดิม “พี่บุญธรรมให้ข้าตั้งชื่อได้ตามใจชอบ ข้าเองก็คิดชื่ออะไรดีๆ ไม่ออกจึงใช้ชื่อเฮยมู่ ใต้หล้านี้มีคนชื่อซ้ำกันมากมาย ถ้าอาชิวไม่ยินดีก็แล้วไป” แล้วยื่นมือไปหยิบพระราชโองการกับเอกสารทะเบียนเรือนในมือมู่หวั่นชิวมา “แล้วข้าจะเขียนจดหมายถึงพี่บุญธรรมให้เขาทำฐานะใหม่ให้เจ้าอีกฉบับ”
เหม่อมองสองมือที่ว่างเปล่า ผ่านไปครู่ใหญ่มู่หวั่นชิวจึงดึงสติคืนมา แล้วเข้าไปแย่งเอกสารทะเบียนเรือนมาทันที “สัญญาก็ทำไปแล้ว ใช้อันนี้ก็แล้วกัน” เขาฉลาดอย่างนั้น เหตุใดจะคิดชื่อดีๆ ไม่ได้ นี่เห็นได้ชัดว่าเขาอยากช่วยเหลือนางตั้งแต่แรกแล้ว ถึงตัวจะพูดเหมือนไม่ใส่ใจเช่นนี้ แต่มู่หวั่นชิวก็ยังรู้สึกอบอุ่นใจ ปากพูดกลับเสียงแข็งไปว่า “เหลือแค่วันเดียวแล้ว ข้าก็ใช้ฉบับนี้แหละ”
หลีจวินยิ้มส่ายหน้า
ขอเพียงเฮยมู่มีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้อยู่ สุดยอดสูตรลับของนางก็สามารถเอาออกมาได้หมดแล้ว ในที่สุดโรงธูปไป่เยี่ยก็สามารถทำการใหญ่ได้!
เหมือนมีใจสื่อถึงกัน มู่หวั่นชิวกำลังคิดอยู่ก็ได้ยินหลีจวินพูดว่า “เฮยมู่มีฐานะเบื้องหลังแล้ว โรงธูปไป่เยี่ยของอาชิวก็ไม่ต้องเก็บมือเก็บเท้าไว้อีกต่อไป”
มู่หวั่นชิวพ่นหัวเราะออกมา “ข้ากำลังคิดเรื่องนี้อยู่เลย ก่อนหน้านี้เพื่อไม่ให้โรงธูปไป่เยี่ยเติบโตเร็วเกินไป สุดยอดสูตรลับมากมายในตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยข้าล้วนไม่กล้าเอาออกมาใช้ ตอนนี้ดีแล้ว…”
“อาชิวเคยคิดหรือไม่…” พูดยังไม่จบก็ถูกหลีจวินตัดบท “โรงธูปไป่เยี่ยตั้งอยู่ในซั่วหยางที่ได้ฉายาว่าเมืองเครื่องหอมเล็ก ค้าขายวัตถุดิบเครื่องหอมจะดีกว่า”
“ตอนแรกที่ซื้อร้านหานจี้ไว้ข้าก็อยากจะค้าขายวัตถุดิบเครื่องหอมเช่นกัน แต่เพราะกลัวร้านเหยาจี้จะกีดกันจึงเปลี่ยนมาทำเครื่องหอมแทน พี่หลีพูดได้ถูกแล้ว ทำการค้าวัตถุดิบเครื่องหอมที่ซั่วหยางย่อมได้กำไรมากกว่าเครื่องหอม แต่น่าเสียดายตลาดวัตถุดิบเครื่องหอมเมืองซั่วหยางล้วนถูกร้านเหยาจี้ควบคุมไว้ทั้งหมด” คิดถึงเรื่องที่เพิ่งไล่เหยาจิ่นไป มู่หวั่นชิวก็ชะงักเสียงพูด นางแอบมองไปทางหลีจวิน
หลีจวินกำลังขมวดคิ้วครุ่นคิด “ตระกูลหลีแตกหักกับตระกูลเหยาแล้ว หลีฟานเพิ่งนำสารการค้ากลับมา ราคาวัตถุดิบเครื่องหอมที่ร้านเหยาจี้เสนอให้ตระกูลหลีสูงกว่าที่ส่งให้กับตระกูลหลิ่วถึงหนึ่งเท่าตัว”
“ขออภัยด้วย…” มู่หวั่นชิวเม้มริมฝีปาก
นึกถึงเรื่องที่ไล่เหยาจิ่นขึ้นมาได้ในทันที หลีจวินจึงเงยหน้ามองไปทางมู่หวั่นชิว
ริมฝีปากสีแดงของนางเม้มเบาๆ สองแก้มแดงเรื่อราวกับดอกท้อเดือนสามบานสะพรั่งอยู่กลางแสงตะวันในฤดูใบไม้ผลิ หัวใจเขาพลันเต้นกระตุก คำพูดตำหนิจึงไม่ได้หลุดออกจากปากแต่กลับพูดว่า “ตระกูลเหยาไปเข้ากับอิงอ๋องแล้ว ไม่มีอาชิวพวกเขาก็ต้องแตกหักกับตระกูลหลี สุดท้ายก็ขึ้นราคาสูงอยู่ดี แต่ทางโรงธูปไป่เยี่ยนั้น มิสู้อาชิวนำมาแปรรูปวัตถุดิบเครื่องหอมแทน แล้วส่งมาให้ร้านหลีจี้ทั้งหมดเถอะ”
ตอนที่ซื้อโรงธูปไป่เยี่ย นางก็เคยฝันว่าจะมีสักวันที่นางสามารถขายวัตถุดิบเครื่องหอมให้ร้านหลีจี้ได้ คิดไม่ถึงว่าเวลาเพียงสองปีนางก็ทำได้แล้ว!
ทันใดนั้นมู่หวั่นชิวก็รู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน
“ได้” ผ่านไปครู่ใหญ่นางจึงพยักหน้าอย่างแรง “ปีนี้งานประชันเครื่องหอมเมืองซั่วหยางเพิ่งผ่านไป ข้าให้ท่านลุงซุนรับอาจารย์เครื่องหอมอีกชุดไว้ แล้วให้ส่งคนมาให้ข้าฝึกสอนด้วยตัวเองที่ต้าเยี่ย พี่หลีวางใจได้ ถ้าเรื่องแปรรูปวัตถุดิบเครื่องหอม ความรู้ของข้าย่อมดีกว่าของร้านเหยาจี้แน่นอน” โรงธูปไป่เยี่ยเริ่มแปรรูปวัตถุดิบเครื่องหอมแล้ว ซุนมือไวกับซานนีเอ๋อร์ในที่สุดก็มีที่ให้ใช้วิชาได้เสียที คิดถึงความลิงโลดตอนพวกเขาได้ยินข่าวนี้ มู่หวั่นชิวก็หัวใจเต้นรัว
ที่สำคัญยิ่งกว่าคือหากโรงธูปไป่เยี่ยเอาการค้าหลักไปไว้ที่การแปรรูปวัตถุดิบเครื่องหอม ไม่ชนกับการค้าหลักของตระกูลหลีแล้ว ก็ยิ่งสามารถรับรองความร่วมมือในระยะยาวของพวกเขาได้
หลีจวินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้…”
มู่หวั่นชิวก็ยิ้มอย่างดีใจ
ทันใดนั้นรอยยิ้มก็กระด้างไป นางเงยหน้าขึ้นมองหลีจวิน “ตลาดวัตถุดิบเครื่องหอมเมืองซั่วหยางถูกร้านเหยาจี้ครอบครองผู้เดียวมาตลอด โรงธูปไป่เยี่ยยากจะกางแขนขาได้ในเวลาอันสั้น ในเวลาปีสองปีนี้เกรงว่าจะส่งมาไม่พอกับความต้องการของร้านหลีจี้”
อย่างไรเสียที่มาของสินค้าล้วนถูกตระกูลเหยาควบคุมเอาไว้ ถ้าคิดจะทำการค้าวัตถุดิบเครื่องหอมที่เมืองซั่วหยางจริง หากร้านเหยาจี้ไม่ล่มโรงธูปไป่เยี่ยก็ยากจะผงาดขึ้นมาได้
คงไม่ใช่เพราะนางไล่เหยาจิ่นไป เขาจึงผลักโรงธูปไป่เยี่ยของนางออกไปสู้กับร้านเหยาจี้แทนหรอกนะ
มู่หวั่นชิวคิดไปคิดมา เสียงพูดก็ชะงักไป
หลีจวินมองนางแวบหนึ่ง “ที่อาชิวกังวลก็ถูก ถ้าร้านเหยาจี้ไม่ล่ม ตระกูลหลีก็อย่าคิดจะซื้อวัตถุดิบเครื่องหอมจากเมืองซั่วหยางได้เลย” เขาถอนหายใจ “ข้าวางเส้นสายไว้ในเมืองผู่หยางกับอันซุ่นแล้ว เดิมทีคิดว่าถ้าวันใดแตกหักกับร้านเหยาจี้ก็จะหันไปทางผู่หยางกับอันซุ่นแทน ใครจะรู้ว่าวัตถุดิบเครื่องหอมของผู่หยางจะขึ้นราคาเช่นกัน”
“วัตถุดิบเครื่องหอมของผู่หยางก็ขึ้นราคาแล้วหรือ” มู่หวั่นชิวตกใจ
หลีจวินพยักหน้า “อิงอ๋องเป็นคนทำ บีบให้พ่อค้าเมืองผู่หยางขึ้นราคาวัตถุดิบเครื่องหอมของตระกูลหลี” เขามองหน้ามู่หวั่นชิว “ตอนนี้สายตาของตระกูลหลีก็มองได้เพียงเมืองซั่วหยางแล้ว ในเมื่อมาถึงขั้นนี้ พวกเราก็ต้องทำลายการผูกขาดตลาดวัตถุดิบเครื่องหอมของร้านเหยาจี้นี้ให้สิ้นซาก!”
“โรงธูปไป่เยี่ยของข้าไม่แน่ว่าจะสู้ร้านเหยาจี้ได้”
มู่หวั่นชิวน้ำเสียงแฝงความกังวล
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตระกูลเหยามีอำนาจกว้างใหญ่ในเมืองซั่วหยาง มีพื้นที่ในการปลูกวัตถุดิบเครื่องหอมในปริมาณมาก และมีแหล่งที่มาของวัตถุดิบที่เพียงพอเลย ดูแค่เพียงอำนาจเงิน นางที่เป็นหญิงตัวคนเดียวทั้งยังเพิ่งเข้าสู่วงการนี้จะมีอำนาจเทียบกับร้านเหยาจี้ได้อย่างไร
เมื่อพูดถึงเฮยมู่ที่มีฐานะเบื้องหลังอันยิ่งใหญ่ลึกลับยากจะคาดเดาแล้ว นั่นล้วนเป็นเพียงเสือกระดาษที่เอาไว้หลอกผู้อื่น ไม่อาจทนรับการโจมตีนี้ได้ไหวแน่ ในสนามการค้าหากคิดจะสู้ด้วยความแข็งแกร่ง สู้ด้วยความโหดเหี้ยม และคิดจะเป็นใหญ่เพียงฝ่ายเดียวแล้ว จำเป็นต้องอาศัยความสามารถที่แท้จริง!
ตระกูลหลีคงไม่เอาเงินออกมาให้นางไปสู้กับตระกูลเหยากระมัง
“อาชิวไม่ต้องเป็นห่วง การสู้กับตระกูลเหยาไม่ต้องให้เจ้าออกหน้า เจ้าแค่ส่งวัตถุดิบเครื่องหอมชั้นเลิศให้ตระกูลหลีอย่างสบายใจก็พอ ข้าได้ซื้อร้านวัตถุดิบเครื่องหอมหลี่จี้ของเมืองซั่วหยางเอาไว้แล้ว” นับจากซุนมือไวถูกมู่หวั่นชิวชิงตัวมา การค้าของร้านหลี่จี้ก็ตกลงไปอย่างมาก ทนได้ไม่ถึงหนึ่งปีก็สู้ต่อไปไม่ไหว จำต้องแขวนป้ายขายทิ้ง
“พี่หลีจะสู้กับตระกูลเหยาด้วยตัวเองหรือ”
“สาขาหลักของตระกูลหลียังอยู่ในน้ำลึกในไฟร้อน ข้าปลีกตัวไปไม่ได้ ท่านพ่อจึงเตรียมให้น้องสามนั่งคุมที่เมืองซั่วหยางแล้ว”
คุณชายสามหลีเฮ่อ?
มู่หวั่นชิวเกิดความคิดในใจ ในชาติก่อนเป็นเพราะเหยาจิ่นแต่งงานกับคุณชายสามหลีเฮ่อ แล้วขอแยกบ้านในตอนที่ตระกูลหลีเจอปัญหา พวกเขาได้นำสูตรลับจำนวนมากของตระกูลหลีไปด้วย กลายเป็นหญ้าต้นสุดท้ายที่ทำให้ตระกูลหลีล่มสลาย
ให้เขาไปเมืองซั่วหยางอย่างนี้ ในชาตินี้เขาจะไปอยู่กับเหยาจิ่น แล้วสร้างการโจมตีทั้งนอกและในจนทำให้ตระกูลหลีต้องถึงแก่ชีวิตอีกหรือไม่
อย่างไรเสียพวกเขาก็มีวาสนาต่อกัน
แม้ว่าในจำนวนพี่น้องสี่คนของหลีจวิน นอกจากเขาแล้ว หากพูดถึงคนที่มีปัญญาและมีความสามารถที่สุดก็ต้องยกให้คุณชายสามหลีเฮ่อ นายท่านหลีส่งเขาไปเมืองซั่วหยางถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่พอคิดถึงเรื่องต่างๆ ในชาติก่อนแล้ว มู่หวั่นชิวยังคงรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
กำลังพูดอยู่ เห็นมู่หวั่นชิวสีหน้าผิดปกติ หลีจวินจึงถามอย่างสงสัย “อาชิวเป็นอะไรไป”
ริมฝีปากขยับ มู่หวั่นชิวอยากจะยับยั้งไม่ให้หลีเฮ่อไปเมืองซั่วหยาง ลังเลอยู่นาน คิดว่าตนเองเพิ่งไล่เหยาจิ่นออกจากตระกูลหลีย่อมไม่สะดวกที่จะยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องภายในของตระกูลหลีอีก นางจึงกลืนคำพูดที่ริมฝีปากลงไป แล้วเปลี่ยนมาพูดว่า “เช่นนี้ก็ดี ให้พี่หลีส่งคนไปคอยควบคุม เชื่อว่าตระกูลเหยาคงไม่กล้าทำอะไรมาก”
หลีจวินยิ้มแล้วพูดอย่างมั่นใจ “ภายหน้าพอไล่ตระกูลเหยาไปแล้ว เมืองซั่วหยางก็จะกลายเป็นเขตของโรงธูปไป่เยี่ยกับตระกูลหลีแล้ว!”
“ขอให้เป็นไปตามคำมงคลของพี่หลีเถอะ” มู่หวั่นชิวพูดประชด “ภายหน้าหลังจากที่ไล่ตระกูลเหยาไปแล้ว พี่หลีอย่าได้ทำเรื่องกระต่ายตายจับสุนัขต้ม* หันกลับมาเป็นปรปักษ์กับโรงธูปไป่เยี่ยเด็ดขาดเชียวนะ”
หลีจวินหัวเราะเสียงดัง “โรงธูปไป่เยี่ยมีหุ้นของข้าอยู่ ข้าจะเป็นปรปักษ์กับตนเองได้อย่างไร” แล้วพูดอีกว่า “ถ้าอาชิวไม่วางใจ เพิ่มหุ้นให้ข้าอีกสองส่วนก็พอ”
มู่หวั่นชิวเบ้ปากใส่เขา “ฝันไปเถอะ ถูกท่านได้หุ้นไปสองส่วนครึ่งเปล่าๆ เช่นนี้ ข้าปวดใจจนแทบจะทะลักออกมาแล้ว” จากนั้นก็ลุกขึ้น “สายมากแล้ว ข้าจะกลับไปเตรียมตัวสักหน่อย จะได้รับมือกับการตรวจสอบจากใต้เท้าหร่วนได้”
หลีจวินมองไปที่กาน้ำหยดเช่นกัน “ในเมื่ออาชิวมาแล้ว จะไม่ไปเยี่ยมคุณชายเจิงสักหน่อยหรือ”
นึกได้ว่าเจิงฝานซิวกำลังพักรักษาตัวอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลหลี มู่หวั่นชิวจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าพี่หลีไม่เตือนสติ ข้าคงลืมไปแล้ว” แล้วถามว่า “พี่เจิงพักอยู่ที่ใด”
“อยู่เรือนด้านหลัง ข้าพาเจ้าไปเอง” หลีจวินยืนขึ้นมา
แม้จะเคยมานับครั้งไม่ถ้วน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มู่หวั่นชิวเพิ่งรู้ว่าด้านหลังของเรือนถานเซียงยังมีสถานที่ซ่อนอยู่ เลี้ยวตรงมุมประตูก็จะเป็นทางเดินยาวไปถึงสวนดอกไม้เล็ก ดอกฉูจวี๋* เดือนเก้ากำลังเบ่งบาน มู่หวั่นชิวยืนอยู่ตรงหน้าดอกเบญจมาศป่าที่ราวกับเป็นตะเกียงอันเล็กน่ารักท่ามกลางพื้นสีขาวสะอาดดุจหิมะด้วยความสุขใจ “นานแล้วที่ไม่ได้ออกมาเดินเล่น ดอกเบญจมาศสวยอย่างนี้แล้ว…”
เห็นนางมีความสุข หลีจวินก็ไม่ได้รีบร้อน เพียงยืนเอามือไพล่หลังมองนางยิ้มบางๆ อยู่ด้านข้าง
ด้วยกำลังมีความสุข มู่หวั่นชิวจึงไม่ทันเห็นว่าบนหอเล็กที่แกะสลักงดงามแห่งหนึ่งตรงมุมตะวันตกเฉียงใต้ของสวนดอกไม้นั้น มีสายตาสองคู่จ้องมองนางไม่วางตา
นั่นคือเจิงฝานซิวกับมู่หรงบุตรชายอัครเสนาบดีที่ถูกหลีจวินช่วยกลับมาจากตำบลจื่อถง น้องชายแท้ๆ ของนาง
“เจ้าดูให้ดี นางคือพี่สาวที่พลัดพรากกันไปของเจ้าหรือไม่” จับจ้องอยู่นาน เจิงฝานซิวจึงเอ่ยปากถาม
เขย่งเท้าดูอยู่นาน มู่หรงจึงส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอก พี่สาวข้าไม่อ่อนโยนเรียบร้อย ไม่ดูงามสง่าดูสูงศักดิ์เช่นนี้หรอก…” เขาเงยหน้ามองเจิงฝานซิว “ท่านคงไม่รู้ว่าพี่สาวข้าดุมากเลย!” แล้วใช้มือทำท่า “วันๆ เอาแต่ถือแส้ตีคน ข้ากลัวนางจะตาย!”
ตอนอยู่ในจวนอัครเสนาบดีนั้น มู่หรงยังเป็นเด็ก เขาจำอะไรไม่ค่อยได้อยู่แล้ว และก็กลัวมู่หวั่นชิวมาก ยามที่เห็นนางก็จะรีบหลบ กอปรกับผ่านชีวิตมาสองชาติ ท่าทางของมู่หวั่นชิวย่อมเปลี่ยนแปลงไปแล้ว จะมีเงาของหญิงสาวที่เย่อหยิ่งเอาแต่ใจในจวนอัครเสนาบดีผู้นั้นอยู่ได้อย่างไร มีเพียงรูปโฉมที่พอจะแยกแยะได้ แต่เมื่อใบหน้าถูกนางทาจนดำเช่นนี้ มู่หรงจะจำนางได้อย่างไรเล่า
มองอยู่นานจึงส่ายหน้าราวกับกลองป๋องแป๋ง
เจิงฝานซิวยังไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ ถามเสียงเข้มว่า “พี่สาวเจ้าดีดพิณ เดินหมากล้อมเป็นหรือไม่”
“ไม่เป็น นางนอกจากรำดาบ ควงกระบอง และถือแส้ตีคนแล้ว เรื่องอื่นล้วนทำไม่เป็น!” มู่หรงส่ายหน้าอย่างแรงอีกครั้ง “ตอนท่านพ่อมีชีวิตพูดบ่อยครั้งว่าถ้านางเรียนดีดพิณ เดินหมาก เขียนอักษร หรือวาดภาพได้ แม่หมูคงปีนขึ้นต้นไม้ได้แล้ว!”
เจิงฝานซิวพ่นลมหายใจพรวด แล้วกระแอมเบาๆ ขึ้นมา
* จวิ้นอ๋อง เป็นตำแหน่งเชื้อพระวงศ์ชายลำดับที่สอง รองจากชินอ๋อง
** คัดกระดูกในไข่ไก่ เป็นสำนวน หมายถึงคอยหาเรื่องจับผิด ข้อผิดพลาด หรือข้อเสีย
* ‘กระต่ายตายจับสุนัขต้ม’ เป็นสำนวน หมายถึงเมื่อหมดประโยชน์แล้วก็กำจัดทิ้ง เหมือนเมื่อล่ากระต่ายได้แล้วก็เอาสุนัขล่าเนื้อมาฆ่ากิน มักใช้คู่กับสำนวน ‘วิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน’ ซึ่งมีความหมายเหมือนกัน
* ฉูจวี๋ หมายถึงดอกเดซี่
(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 23 กุมภาพันธ์ค่ะ)
Comments
comments