บทที่แปด
“ทำไมมารอตรงนี้กันหมดล่ะ” เห็นชุ่ยหงและสาวใช้อีกคนที่ถูกส่งมาคอยปรนนิบัติมู่หวั่นชิวยืนอยู่นอกประตูทั้งคู่ จางหมัวมัว*จึงเอ่ยปากถาม “แม่นางไป๋ยังเก็บของไม่เสร็จอีกหรือ”
“แม่นางไป๋ไม่ให้บ่าวคอยรับใช้เจ้าค่ะ” ชุ่ยหงย่อตัวคำนับตอบกลับ
“นางให้ออกมา พวกเจ้าก็ออกมาหรือ ไม่รู้หรือว่านายท่านกำลังเร่งอยู่!” จางหมัวมัวอ้าปากก็พูดอบรม “ไม่กลัวนางจะหนีออกไปทางหน้าต่างหรือ!”
วันนี้ครบกำหนดเวลาสามวัน เกี้ยวได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว รอก็แต่ให้มู่หวั่นชิวมาถึง ตอนนี้เห็นนางไล่สาวใช้สองคนออกมา จางหมัวมัวเกรงว่ามู่หวั่นชิวจะแอบหนีออกไป จึงถลึงตาใส่คนทั้งสอง จากนั้นนางก็ก้าวเท้าจะบุกเข้าไปในห้อง แต่เท้าเพิ่งแตะลงขอบประตูก็ชะงักไป ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดเสียงอ่อนลงว่า
“แม่นางไป๋เก็บของเสร็จหรือยัง” ไม่มีเสียงตอบกลับมา นางจึงพูดต่อไปว่า “เกี้ยวเตรียมพร้อมแล้ว นายท่านกำลังรออยู่เจ้าค่ะ”
“จางหมัวมัวรอสักครู่ อีกครู่ข้าก็จะเสร็จแล้ว”
ได้ยินเสียงตอบกลับ จางหมัวมัวก็สบายใจขึ้น นางตั้งใจจะเอียงตัวไปข้างหน้า แต่เมื่อคิดอีกทีก็ถอยกลับมา แล้วยืนรออยู่ตรงหน้าประตู
ได้ยินนอกประตูไม่มีเสียงใดแล้ว มู่หวั่นชิวก็หันหน้ามองตัวเองในคันฉ่องอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นนางก็ยื่นมือไปดึงปิ่นหยกออก คลายผมที่รวบมวยไว้เมื่อครู่ ผมดำราวหมึกพลันสยายลงมาในพริบตา ผมราวไหมดำทิ้งตัวยาวมาถึงช่วงเอว
“ในเมื่อไม่สามารถไว้ทุกข์ให้ท่านพ่อท่านแม่ได้ อย่างน้อยทำแบบนี้ได้ก็ดี” มู่หวั่นชิวพูดพึมพำ
ชาติก่อนเพราะเข้าไปอยู่ในหอคณิกา นางจึงไม่เคย และไม่กล้าไปเซ่นไหว้ท่านพ่อท่านแม่ กลัวว่าท่านพ่อท่านแม่ที่อยู่ในปรโลกเห็นท่าทางลำบากของนางแล้วจะตายตาไม่หลับ ในชาตินี้นางจึงตั้งใจที่จะเซ่นไหว้อย่างดีบนแท่นพิธีสูงนั้น
มู่หวั่นชิวหยิบผ้าบางสีดำที่เตรียมเอาไว้มาคลุมหน้าอย่างช้าๆ จากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้น
บริเวณด้านล่างแท่นพิธีขอฝนที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้ามังกรมีคนอยู่เนืองแน่นแล้ว
บนแท่นพิธีสูงสามจั้ง หันไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือวางโต๊ะไม้แดงหอมสลักลายมังกรเอาไว้ตัวหนึ่ง ตรงกลางของเซ่นไหว้ที่กองสูงราวภูเขา วางแผ่นป้ายยาวหนึ่งฉื่อเอาไว้ ภาพสลักมังกรเขียวตัวหนึ่งบนแผ่นป้ายราวกับมีชีวิต
ที่ด้านล่างแท่นพิธีมีขบวนมือกลอง มือเป่า ตีฆ้อง เสียงดังสนั่น เด็กกลุ่มหนึ่งหัวเราะกระโดดโลดเต้นอยู่ริมแม่น้ำ ดูครึกครื้นเหมือนกำลังฉลองวันขึ้นปีใหม่
สองฝั่งบันไดไม้แดงตรงหน้าแท่นพิธีขอฝน ก็มีขุนนางประจำเมืองมากันพร้อมหน้านานแล้ว พวกเขายังรู้สึกละอายใจต่อชาวเมืองผิงเฉิง เมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่ดูคึกคักเช่นนี้ บรรดาขุนนางจึงพากันยืนตรงแขนแนบลำตัว ไม่กล้าเหลือบมองอะไรทั้งสิ้น บนหน้าผากถูกแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาจนเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ
เสียงฆ้องรัวเร็ว จากนั้นตามด้วยเสียงตะโกนของขบวนองครักษ์ “ถอยไปๆ ใต้เท้าสวีมาถึงแล้ว!”
“แม่นางไป๋มาแล้ว!”
“อย่าโวยวาย แม่นางไป๋มาขอฝนแล้ว!”
ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นก่อน กลุ่มคนที่ล้อมอยู่หน้าแท่นพิธีพากันตะโกนขึ้นมาทันใด เพียงผู้ควบคุมกลองโบกมือ เสียงฆ้อง เสียงกลองก็หายไปในทันที ผู้คนที่ล้อมอยู่หน้าแท่นพิธีพากันถอยไปสองข้าง เปิดเป็นทางกว้างหนึ่งจั้ง
ขบวนองครักษ์ในชุดดำวิ่งเหยาะๆ มาตรงหน้าแท่นพิธีขอฝน ก่อนหยุดยืนอยู่ด้านล่างแท่นพิธี จากนั้นก็หมุนตัวกลับ แบ่งเป็นสองแถวยืนอยู่สองข้าง ตามด้วยเกี้ยวคันใหญ่สีเขียวหนึ่ง น้ำเงินหนึ่ง ค่อยๆ ถูกแบกเข้ามาหยุดลงตรงหน้าบันไดสีแดง
องครักษ์เข้าไปพลิกเปิดม่านเกี้ยว ใต้เท้าสวีก็โน้มร่างก่อนเดินลงมาจากเกี้ยว
เขาหยุดยืนอยู่หน้าเกี้ยว สายตามองผ่านเหล่าขุนนางที่โค้งคำนับอยู่ กวาดตามองไปยังกลุ่มคนที่ดูคึกคัก ราวกับไม่มีใครมองเห็นเขา ทุกคนกลับสนใจมองดูแต่เกี้ยวสีน้ำเงินที่ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา ปากก็โห่ร้องอย่างลืมตัว ใต้เท้าสวีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เดินเข้าไปพลิกเปิดม่านเกี้ยวนั้นด้วยตัวเอง
เห็นรอยยิ้มมีเมตตาของใต้เท้าสวีแล้ว มู่หวั่นชิวก็ตะลึงไป จากนั้นจึงโน้มตัวเล็กน้อย ค่อยๆ เดินลงมาจากเกี้ยว
ทุกเสียงเงียบลงในทันที
ทุกคนพลันเบิกตาโต นี่คือหญิงสาวที่สวมเสื้อเก่าขาดคนนั้นจริงหรือ?!
นางคลุมผ้าบางสีดำปิดหน้า ผมดำราวหมึกสยายลงมาถึงช่วงเอว เอวบางร่างน้อย ชุดขาวราวหิมะ เมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์แล้วคล้ายจะส่งผ่านความลึกลับบางอย่างออกมา ราวกับเทพเซียนบนสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์ และเหมือนเทพธิดาบนยอดน้ำแข็งพันปี พลิ้วไหวสงบนิ่ง ทำให้คนไม่กล้ามีใจไม่เคารพแม้เพียงน้อย
เห็นมู่หวั่นชิวในแบบนี้แล้ว แม้แต่ใต้เท้าสวีเองก็ยังตะลึงไปชั่วครู่ น้ำเสียงดูกระตือรือร้นขึ้นในพริบตา “เชิญแม่นางไป๋”
“ขอบคุณใต้เท้าสวี” มู่หวั่นชิวย่อตัวเล็กน้อย ราวกับเทพธิดาลงมาบนโลกมนุษย์
“มิกล้าๆ” พูดคำว่ามิกล้าต่อกันสองครั้งแล้ว ใต้เท้าสวีก็ไร้คำพูดที่จะกล่าวต่อ จึงรีบปิดปาก ขยับตัวเปิดทางขึ้นบันได
มู่หวั่นชิวมองดูแท่นพิธีสูงแล้ว หัวใจของนางก็พลันสั่นไหว
วันนี้ที่มาขอฝนเพราะใต้เท้าสวีขอร้อง เขาได้มาพลิกเปิดม่านเกี้ยวให้นางด้วยตัวเอง ทันทีที่นางขอฝนได้แล้วก็จะหมดประโยชน์ ใต้เท้าสวีจะปล่อยนางที่มีเงินมหาศาล ทว่ากลับไม่มีอำนาจ ไร้ซึ่งบารมีไปหรือ
ในเมื่อตัวตกไปอยู่ในจวนว่าการเจ้าเมือง หลังจากขอฝนแล้ว…นางจะเอาตัวรอดอย่างไร
ไม่สนใจแล้ว เดินหนึ่งก้าว นับหนึ่งก้าวก็แล้วกัน
หลังจากสูดหายใจเข้ายาว มู่หวั่นชิวก็นำสองมือมากุมกัน ยืดหลังตรง แล้วก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า
สายลมเอื่อยโชยมา ผมดำขลับและชุดขาวปลิวพลิ้วไปตามลม
“เทพธิดาลงมาบนโลกมนุษย์แล้ว” ท่ามกลางกลุ่มคน ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่ตะโกนขึ้นมาก่อน ริมแม่น้ำเจ้ามังกรที่แต่เดิมเงียบสงบ พลันคึกคักขึ้นในพริบตา
“เทพธิดาๆ”
“ขอฝนๆ”
ใต้เท้าสวีขมวดคิ้ว เขายกมือโบกไปทางมือกลอง มือเป่า ดนตรีก็เริ่มบรรเลงขึ้นมาทันที กลบเสียงตะโกนของชาวเมืองได้ในฉับพลัน
มู่หวั่นชิวที่กำลังจะก้าวเท้าขึ้นบันไดพลันหันหน้ามาทันใด
ฝนในครั้งนั้นไม่ต้องรอให้ใครขอ สุดท้ายก็จะตกลงมาเอง การขึ้นไปบนแท่นพิธีนี้ของนางมิใช่เพื่อขอฝน แต่ทำเพื่อเซ่นไหว้พ่อแม่พี่น้องที่ถูกสังหารที่เมืองอันคังต่างหาก
หากจะบรรเลงดนตรีเคล้างานเศร้าก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับใช้เสียงกลองอึกทึกเช่นนี้ในการเซ่นไหว้ จะให้ครอบครัวของนางที่อยู่ในปรโลกสงบสุขได้อย่างไรเล่า
“แม่นางไป๋จะให้ข้าขึ้นไปด้วยหรือไม่” วันนี้หากได้ขึ้นไปบนแท่นพิธีขอฝนกับนางที่ดูเหมือนเป็นเทพธิดา ทั้งยังมีผู้คนคอยจ้องมองมามากมาย ก็นับเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจเช่นกัน!
เมื่อมองดูมู่หวั่นชิวในชุดขาวปลิวพลิ้วแล้ว ทำให้ใต้เท้าสวีหลงลืมผลที่นางจะขอฝนไม่ได้ไป ลืมกระทั่งเป้าหมายที่เขาเคยวางไว้แต่แรกที่ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ก็ห้ามขึ้นไปบนแท่นพิธีขอฝนกับมู่หวั่นชิวเด็ดขาด
น่าเสียดายที่พอเสียงของเขาออกไปก็กลืนหายไปกับเสียงดนตรี
เขาขมวดคิ้ว รู้สึกเสียใจที่สั่งให้บรรเลงดนตรีในเวลานี้
ชาติก่อนเพื่อเก็บรวบรวมข่าวให้ซานหลางแล้ว มู่หวั่นชิวเคยใช้เวลานานในการเรียนอ่านปาก ต่อให้เสียงดนตรีดังกึกก้อง แม้หูจะฟังไม่ได้ยิน นางก็อ่านปากของใต้เท้าสวีได้เข้าใจ ทว่านางไม่อยากให้เขาตามขึ้นไปด้วย จึงทำเป็นไม่ได้ยินเสียง นางย่อตัวคำนับใต้เท้าสวีพอเป็นมารยาท แล้วหมุนตัวเดินขึ้นบันไดไปสองสามขั้น จากนั้นจึงหมุนตัวกลับมา ยกมือขึ้นแล้วลดมือลง เป็นท่าทางบอกให้ลดเสียง
เสียงดนตรีหยุดลงทันที
“เพื่อแสดงความเคารพต่อเจ้ามังกร ตอนที่ข้าน้อยขอฝน อยากจะให้สงบสักหน่อย” มู่หวั่นชิวอธิบายต่อใต้เท้าสวี
“ได้ๆ” ตะลึงไปชั่วครู่ ใต้เท้าสวีจึงตอบกลับ แล้วหันไปสั่งองครักษ์ “ถ่ายทอดคำพูดของแม่นางไป๋ลงไป”
ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ องครักษ์อีกคนก็ตะโกนว่า “คุณชายหลีมาถึงแล้วขอรับ!”
ใต้เท้าสวีสะดุ้ง หันหน้ามองไปทันที
บุรุษชุดขาวบนม้าดำ…กำลังขี่ม้าเข้ามาอย่างช้าๆ
มู่หวั่นชิวเหลือบเห็นว่าใบหน้าใต้เท้าสวีเปลี่ยนเป็นนอบน้อมอย่างมากในพริบตา นางก็เกิดความคิดในใจ วันหน้าหากต้องการออกจากจวนว่าการเจ้าเมืองอย่างปลอดภัย คงต้องยืมบารมีของคุณชายหลีผู้นี้แล้ว!
ม้ามาหยุดตรงหน้าแท่นพิธีขอฝน คุณชายหลีก็ลงจากม้า แล้วมอบม้าให้กับองครักษ์ ก่อนมองดูมู่หวั่นชิวที่อยู่บนบันไดแวบหนึ่ง กำลังจะก้าวเดินไปหานาง ใต้เท้าสวีก็รีบเดินเข้ามาหา “คุณชายหลีมาแล้วหรือ”
น้ำเสียงนอบน้อมนั้นแฝงความยินดีไว้หลายส่วน
เขาสร้างแท่นพิธีขอฝนภายใต้สายตาของทุกคน ยิ่งได้คุณชายหลีมาช่วยเสริมบารมีให้ ก็นับเป็นหน้าเป็นตาของเขาอย่างมาก
“พิธีเซ่นไหว้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ข้าไม่มาร่วมได้อย่างไร” คุณชายหลียิ้มอย่างสบายอารมณ์
พูดจบ เขาก็เดินไปทางมู่หวั่นชิวโดยไม่ได้หันไปมองใต้เท้าสวีอีกเลย
รอยยิ้มบนใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นกระด้าง ในดวงตาใต้เท้าสวีฉายความดุร้าย เขาหมุนตัวกลับอย่างช้าๆ มองดูคนงามคู่หนึ่งบนบันไดอย่างดุดัน
พวกเขาราวกับเทพบุตรเทพธิดาคู่หนึ่ง สวมชุดขาวปลิวพลิ้วยืนอยู่ตรงนั้น ลำแสงเปล่งประกายไปทั่ว แสบตาจนแทบจะลืมไม่ขึ้น
ผ่านไปเนิ่นนาน เบื้องล่างแท่นพิธีที่เงียบสงัดจึงมีเสียงดังขึ้น
ราวกับจงใจตอบรับเสียงโห่ร้องของทุกคน คุณชายหลีจึงเข้าไปจับไหล่มู่หวั่นชิวอย่างสนิทสนม มู่หวั่นชิวตัวเกร็งไปชั่วครู่ แล้วก็อ่อนลง ก่อนจะเดินเข้าไปหาเขาอย่างสนิทสนม
มีเพียงต้องทำให้ใต้เท้าสวีมั่นใจว่า คุณชายหลีกับนางต่างเป็นสหายสนิทกัน หลังจากจบพิธีขอฝนแล้ว เขาจึงจะไม่กล้าแตะต้องนางส่งเดช
แม้ไม่รู้ว่าคุณชายหลีผู้นี้เป็นใคร แต่จากท่าทีนอบน้อมที่ใต้เท้าสวีมีต่อเขาแล้ว มู่หวั่นชิวก็คาดเดาว่า คนผู้นี้ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่มากอย่างแน่นอน
เห็นนางไม่เพียงไม่หลบ แต่กลับเดินเข้าหาตนอย่างสนิทสนม คุณชายหลีก็ตกใจเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างน่าหลงใหล เสียงหัวเราะทุ้มต่ำเปี่ยมด้วยพลังนั้นทำให้มู่หวั่นชิวหัวใจกระตุก
“คุณชายหลีมาแล้วหรือ…” ใช้เสียงที่มีเพียงพวกเขาสองคนได้ยิน ใบหน้านางแม้จะยังมีรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงกลับเรียบเฉย ดวงตากลมโตในผ้าคลุมดำคู่นั้นกระจ่างใสจนเห็นถึงก้นบึ้ง
จ้องหน้านางอยู่นาน คุณชายหลีก็โน้มตัวเข้ามา เขาแนบหน้าข้างใบหูของมู่หวั่นชิว แล้วพูดว่า “ถ้าเจ้ารู้สึกเสียใจ เปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังทันเวลา ขอเปลี่ยนไปเป็นเด็กบูชายัญขอฝนแทนก็ได้ เพียงแค่เจ้ากลั้นหายใจตอนที่ลงไปในน้ำ ที่ก้นแม่น้ำเจ้ามังกรจะมีคนไปคอยรับเจ้าเอง”
การขอฝนไม่ใช่การพนัน ที่แม้ไม่มีวิชาการพนัน แล้วจะยังสามารถเล่นโกงได้ อย่างไรสวรรค์ก็คงไม่ร่วมเล่นกลโกงกับเด็กสาวอย่างนางหรอก!
ยากนักจะได้เจอคนที่ฉลาดหลักแหลมเช่นนี้ ทั้งยังทำให้เขาถูกชะตานางอีกด้วย จึงไม่อยากให้นางตายเลยจริงๆ แค่มองดูนางในชุดขาวปลิวพลิ้วราวกับเทพธิดากำลังยืนอยู่บนบันไดจากที่ไกลๆ เขาก็เปลี่ยนใจเรื่องที่จะมองนางอย่างไม่สนใจอีก รีบควบม้าตามมาทันที
ที่แท้เขาให้นางเป็นเด็กบูชายัญขอฝนก็เพื่อช่วยนาง!
“คุณชายหลีไม่เชื่อว่าข้าขอฝนได้หรือ!” แม้ในใจจะรู้สึกซาบซึ้งอยู่บ้าง แต่มู่หวั่นชิวกลับพูดว่า “พวกเรามาพนันกันดีหรือไม่ ให้คุณชายหลีรอดูผลในจวนว่าการเจ้าเมือง หากข้าขอฝนได้ ถือว่าข้าชนะ”
“ถ้าเจ้าแพ้ล่ะ?”
“ข้าตาย…” ราวกับกำลังพูดเรื่องอากาศดีไม่ดี สีหน้าของมู่หวั่นชิวจึงนิ่งเรียบไม่สะทกสะท้าน
มือที่โบกพัดชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นคุณชายหลีก็โบกเบาๆ อีกครั้ง
“ถ้าข้าชนะ หลังฝนหยุดตกแล้ว คุณชายหลีต้องพาข้าไปท่องเที่ยวที่เขาเฟิ่งหวง” ดวงตากลมโตเป็นประกายลึกล้ำมองหน้าเขา “ท่านกล้าพนันหรือไม่เล่า”
เขาเฟิ่งหวงเป็นจุดเชื่อมต่อไปยังเมืองใหญ่ต่างๆ ไม่ว่าจะเมืองซั่วหยาง เมืองต้าเยี่ย หรือเมืองอื่นๆ ขอเพียงไปถึงที่นั่นได้ นางก็จะเป็นจักจั่นลอกคราบ เดินทางไปยังเมืองซั่วหยางได้แล้ว
“คุณชายสูงสง่า อาชิวจึงเลื่อมใสอย่างมาก สามารถติดตามคุณชายไปท่องเที่ยวได้ ชาตินี้อาชิวก็ไม่เสียดายอะไรอีกแล้ว” เห็นเขานิ่งเงียบอยู่นาน มู่หวั่นชิวจึงพูดอธิบาย
ทั้งที่กำลังหลอกใช้เขาอยู่ แต่กลับพูดจายกยอถึงเพียงนี้!
มองดูดวงตาลึกล้ำตรงหน้าที่กระจ่างใสไม่มีอะไรเคลือบแฝง คุณชายหลีก็ยิ่งรู้สึกเคืองขุ่น แต่ที่มากกว่านั้นคือความรักและเห็นใจ
หญิงที่เกิดมาฉลาดเฉลียวเช่นนี้ กลับต้องมาตายไปแบบนี้ ช่างน่าเสียดายเสียจริง เขาถอนหายใจ “เจ้าเป็นนักพนันมาแต่เกิดจริงๆ!” แล้วพับพัดลงทันใด “หากอยากจะไปท่องเที่ยว เจ้าก็ต้องมีชีวิตรอดให้ได้เสียก่อน!”
มองดูแผ่นหลังเขาเดินจากไป มู่หวั่นชิวก็ยิ้มเศร้า หากไม่ลองเดิมพันสักตั้ง นางจะเปลี่ยนชะตาชีวิตในหอคณิกานั้นได้อย่างไร
หยิบธูปขึ้นมาเตรียมจะจุด นางก็เหลือบเห็นป้ายสลักเจ้ามังกรที่งดงามราวของจริงวางอยู่บนโต๊ะ มู่หวั่นชิวจึงวางธูปลง แล้วยื่นมือไปลูบเบาๆ
ที่ตรงนี้ควรจะเป็นป้ายวิญญาณของท่านพ่อท่านแม่จึงจะถูก
บิดาเป็นขุนนางต้องโทษ นางจึงไม่กล้าวางป้ายวิญญาณบนนั้นให้ใครเห็น แต่อย่างน้อยก็ควรจะเว้นที่ตรงนี้ให้ว่างเอาไว้!
แต่ว่าหากเอาป้ายสลักเจ้ามังกรลงมาเช่นนี้ นางจะพูดกับชาวเมืองด้านหลังว่าอย่างไร
มองไปโดยรอบแล้ว มู่หวั่นชิวก็ตัดสินใจเด็ดขาด สองมือถือป้ายสลักเจ้ามังกรมาหยุดยืนตรงหน้าแท่นพิธีขอฝน คำนับไปทางแม่น้ำเจ้ามังกรสามครั้งอย่างเคารพ ทันใดนั้นท่ามกลางสายตางุนงงของทุกคน นางก็ออกแรงโยนป้ายสลักเจ้ามังกรลงแม่น้ำเจ้ามังกรไป
เบื้องล่างแท่นพิธีพลันส่งเสียงอื้ออึงขึ้นทันที
มู่หวั่นชิวสงบสติ มือกดทาบไปตรงตำแหน่งหัวใจที่เต้นโครมคราม พยายามไม่หันไปมองกลุ่มคนเบื้องหลัง ท่ามกลางเสียงอื้ออึงของทุกคนนั้น นางจุดธูปสามดอกอย่างช้าๆ แล้วหันไปทางเมืองอันคัง พลางคำนับสามครั้ง
ชาติก่อน…บิดามารดาของนางก็ถูกฝังไว้ที่เขาลั่วรื่อทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองอันคัง
ปักธูปเสร็จแล้ว มู่หวั่นชิวก็คุกเข่าลงบนเบาะ เทสุราสามจอกรดลงบนพื้น “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกมาเซ่นไหว้พวกท่านแล้ว”
พูดถึงท่านพ่อ มู่หวั่นชิวก็น้ำตาไหลพรากราวกับสายฝน
ในใจแอบพูดกับบิดามารดา ขณะที่นางคุกเข่าตรงนั้นเนิ่นนานไม่ยอมลุกขึ้น
ไม่รู้ว่ามู่หวั่นชิวกำลังอธิษฐานอะไร แต่บริเวณแท่นพิธีก็ค่อยๆ เงียบเสียงลง ทุกคนมองไปยังหญิงสาวบนแท่นพิธีที่ร่างสั่นเล็กน้อย ทว่ากลับยังคุกเข่าไม่ยอมลุกขึ้น
นางกำลังทำอะไร…
ขอฝนอยู่แน่หรือ…
จนกระทั่งเห็นนางโขกหัวอีกหลายที แล้วค่อยๆ ลุกขึ้น จากนั้นจึงหมุนตัวเดินลงมาจากแท่นพิธีขอฝนอย่างเชื่องช้า ทุกคนยังมีความรู้สึกไม่เชื่อถืออยู่บ้าง
แค่นี้ก็เสร็จแล้ว?
ง่ายเพียงนี้เชียว?
แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว?…สวรรค์จะบันดาลฝนมาให้จริงหรือ
เคยเห็นนักบวช นักพรต ทำพิธีมามาก แต่การทำพิธีของหญิงสาวเช่นนี้ พวกเขาก็เพิ่งจะได้เห็นเป็นครั้งแรก จนกระทั่งนางมายืนนิ่งอยู่ที่ด้านล่างแท่นพิธี ทุกคนจึงได้สติคืนมา
พิธีขอฝนเสร็จสิ้นอย่างง่ายดายเช่นนี้จริงหรือ!
ฝูงชนส่งเสียงอื้ออึงขึ้นอีกครั้ง
“ลือกันว่าเจ้ามังกรอยู่ที่ทะเลตงไห่ เหตุใดแม่นางไป๋จึงหันหน้ากราบไหว้ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือล่ะ” นักพรตผู้นำพิธีอดกลั้นอยู่นานก่อนจะก้าวออกมา
“ข้าไม่สนิทกับเจ้ามังกรทะเลตงไห่” มู่หวั่นชิวตะลึงไปเล็กน้อย แต่แล้วก็ตอบไปอย่างสงบนิ่ง
“ไม่…ไม่สนิท!” นักพรตผู้นำพิธีตกตะลึง หรือนางจะรู้จักกับเจ้ามังกรทะเลซีเป่ย?
นางจึงไปขอร้องเจ้ามังกรทะเลซีเป่ย!
ในแววตาฉายความนับถือ ทั้งยังฉายความอิจฉา แต่แล้วนักพรตผู้นำพิธีก็ส่ายหน้า ไม่ถูกๆ…ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าบนโลกนี้มีเจ้ามังกรทะเลซีเป่ยอยู่ด้วย!
ปากขยับแล้วขยับอีก เขาอยากจะสอบถาม แต่เมื่อเห็นท่าทางสง่างามราวเทพธิดาของมู่หวั่นชิวแล้ว คำพูดที่อยู่ตรงปลายลิ้นกลับหยุดไป
ท่ามกลางสายตาผู้คน หากเขาพูดอะไรไม่เข้าที เกิดถูกหญิงสาวผู้นี้ตอกกลับมา ต่อไปใครจะเชื่อวิชาอาคมของเขาอีก
เขายังไม่อยาก…ทุบหม้อข้าวของตัวเอง!
“เช่นนั้น…” ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นักพรตผู้นำพิธียังคงไม่เชื่ออย่างสนิทใจ เปลี่ยนมาถามว่า “แล้วเหตุใดแม่นางไป๋ต้องโยนป้ายสลักเจ้ามังกรทะเลตงไห่ลงในแม่น้ำเจ้ามังกรด้วยล่ะ” ยังคงถามต่อไปอีกว่า “แม่นางไป๋ไม่กลัวว่าทำผิดต่อเจ้ามังกรตงไห่แล้ว จะเกิดความวุ่นวายหรือ”
ด้านล่างแท่นพิธีพลันสงบเงียบลงทันที นี่เป็นหมอกที่ครอบคลุมจิตใจของทุกคนตลอดพิธีการขอฝนนี้ ทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวมาโดยตลอด
“มังกรกลับคืนทะเล จึงจะบินขึ้นสู่สวรรค์ เรียกเมฆปล่อยฝนให้ตกลงมาได้” หลังจากจับมือชุ่ยหงโน้มตัวขึ้นเกี้ยวแล้ว มู่หวั่นชิวก็ปิดม่านเกี้ยวลง เสียงคำพูดสองคำสุดท้ายหายไปในเกี้ยวนั้น
“มังกรกลับคืนทะเล จึงจะเรียกเมฆปล่อยฝนให้ตกลงมาได้หรือ” มองเกี้ยวที่เคลื่อนไกลออกไป นักพรตผู้นำพิธีก็พร่ำพูดออกมาอย่างเลื่อนลอย
หรือที่ฝนไม่ตก เป็นเพราะพวกเขาใช้วิธีผิด แบกเจ้ามังกรมาตากแดดตากลมทุกวัน ทำให้เจ้ามังกรพิโรธ จึงได้เกิดภัยแล้งที่ไม่เคยเจอมาในรอบร้อยปี…
นักพรตผู้นำพิธีส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ เพียงใช้สายตาส่งเกี้ยวของมู่หวั่นชิวไกลออกไป แล้วส่ายหน้าอีกครั้ง เขายังคงรู้สึกงุนงงอยู่เช่นเดิม
“เจ้าบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกับเขามิใช่หรือ” เพิ่งมาถึงประตู มู่หวั่นชิวก็ถูกสวีหรูที่มีท่าทางดุร้ายขวางเอาไว้
“เขา?” มู่หวั่นชิวคลึงขมับ “ใครกัน”
ในน้ำเสียงของมู่หวั่นชิวแฝงความรำคาญไว้ ต้องคุกเข่ามาตลอดช่วงเช้า ก็เหนื่อยทั้งกายใจมากแล้ว ยามนี้นางก็แค่อยากจะนอนอยู่เงียบๆ สักครู่หนึ่ง
“เจ้ายังแกล้งโง่อีก!” สวีหรูวิ่งเข้ามาคว้าคอเสื้อของนางเอาไว้
“คุณหนูใหญ่มีอะไรค่อยๆ พูดก็ได้เจ้าค่ะ” จางหมัวมัวที่คอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้างดึงตัวสวีหรูออกด้วยรอยยิ้ม “บ่าวไพร่มองกันเต็มไปหมด ถ้าเรื่องแพร่ออกไป…”
“ใครกล้า!” สวีหรูถลึงตามองบ่าวไพร่ที่ยืนนิ่งเงียบคอยปรนนิบัติอยู่สองข้าง “พวกเจ้าออกไปให้หมด!”
“คุณหนูใหญ่…”
“เจ้าก็ออกไปด้วย…” ชุ่ยหงอ้าปากหมายจะเกลี้ยกล่อม แต่พอถูกสวีหรูตะคอกนางก็ตกใจจนตัวสั่น มองมู่หวั่นชิวอย่างเห็นใจแวบหนึ่งแล้ว ก็เดินตามทุกคนออกไปเช่นกัน
มองดูสวีหรูที่เอาแต่ใจเช่นนี้ มู่หวั่นชิวก็นึกถึงตัวเองที่เอาแต่ใจในชาติก่อนขึ้นมา จึงแอบถอนหายใจ ข้าที่เป็นเมื่อก่อนทำให้ผู้อื่นเกลียดได้เพียงนี้เชียวหรือ น่าเสียดาย ชาติก่อนข้ากลับไม่รู้สึกตัวเลย
คิดไปพลาง มู่หวั่นชิวก็เดินอ้อมตัวสวีหรู เดินเข้าไปในห้อง
“เจ้าหยุดนะ!” คุณหนูใหญ่หมุนตัวมาตะโกนเรียกนาง
แม้จะหยุดยืนอยู่ตรงนั้น แต่มู่หวั่นชิวก็มิได้หันหน้ากลับมา
“ได้ยินว่าวันนี้เจ้ากับคุณชายหลีกระซิบกระซาบกันข้างหู ทั้งยังโอบกอดกันต่อหน้าผู้คนบนแท่นพิธีขอฝน!” สวีหรูเดินก้าวมาด้านหลังมู่หวั่นชิว มองดูผมเงางามของนาง
คิดว่ามีเรื่องอะไรเสียอีก…ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้ มู่หวั่นชิวเข้าใจแล้ว
เดิมทีนางก็ไม่คิดจะทำลายชื่อเสียงของตัวเองเช่นนี้หรอก แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพ่อลูกที่ดุร้ายคู่นี้แล้ว นางที่กำพร้า ทั้งยังไร้ที่พึ่งพา จำต้องรีบหาที่พึ่งพิงให้ได้โดยเร็ว มุมปากของนางมีรอยยิ้มบางๆ ก่อนที่มู่หวั่นชิวจะก้าวเท้าเดินต่อไปข้างหน้า
นางไม่มีแรงจะข้องแวะกับคุณหนูใหญ่ที่เอาแต่ใจผู้นี้แล้วจริงๆ
“เจ้าหยุดนะ!” เห็นอีกฝ่ายมองตนเองเป็นเพียงเงา สวีหรูก็ใบหน้าแดงก่ำจนไปถึงลำคอ นางขยับตัวไปขวางหน้ามู่หวั่นชิวไว้ “บอกมา พวกเจ้ามีความเกี่ยวพันกันอย่างไร!”
“สหายเก่า…” จนเกือบจะชนตัวสวีหรู มู่หวั่นชิวจึงรีบชะงักฝีเท้า ปากก็พูดเสียงเรียบ
“สหายเก่า?” สวีหรูตะลึงไป จากนั้นก็แสดงท่าทางไม่เชื่อ “หากเป็นแค่สหายแล้วพวกเจ้าจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร เจ้า…” นางมองหน้ามู่หวั่นชิวที่นิ่งเฉยด้วยสีหน้าแดงก่ำ “ท่ามกลางสายตาทุกคน เจ้ายังกล้าทำเรื่องเช่นนั้นออกมา ไม่กลัวว่าจะแต่งไม่ออกหรือ?!”
แต่งไม่ออกหรือ…
มู่หวั่นชิวหัวเราะเย็นชา ชาตินี้…นางไม่แต่งงานกับใครแน่นอน
“เจ้าพูดมาสิ!” สวีหรูจับแขนอีกฝ่ายเขย่าอย่างแรง แวบแรกที่ได้เห็นหลีจวิน นางก็มีใจให้แล้ว ตัดสินใจไว้แต่แรกว่าจะไม่แต่งงานกับใคร นอกจากเขา แต่นี่นางยังไม่ทันได้แต่งเข้าบ้านเลย เขาจะไปเล่นหูเล่นตากับหญิงอื่น กระทั่งโอบกอดกันต่อหน้าธารกำนัลได้อย่างไร
หนำซ้ำยังเป็นหญิงสาวผอมดำที่เคยเป็นขอทานอีกด้วย!
“เรื่องนี้ไม่ต้องให้คุณหนูกังวลหรอก” เสียงของมู่หวั่นชิวเย็นเยือก สะบัดตัวออกจากสวีหรู
“เจ้า…” สีหน้าแดงก่ำ สวีหรูยกมือขึ้นตวัดตบไปที่ใบหน้าของมู่หวั่นชิวทันที
นอกจากท่านพ่อแล้ว ในจวนนี้ก็ไม่มีใครกล้าทำเช่นนี้กับนาง!
มือที่ฟาดมาถูกมู่หวั่นชิวพลิกมือจับเอาไว้ อย่างไรเสียนางก็เคยฝึกวรยุทธ์กับอาจารย์มาหลายวัน มู่หวั่นชิวออกแรงเพียงนิด สวีหรูก็ร้อง เจ็บจนสีหน้าซีดขาว
แต่มู่หวั่นชิวกลับไม่ยอมปล่อย ถ้าพูดถึงความเอาแต่ใจแล้ว นางในชาติก่อนเอาแต่ใจยิ่งกว่าใครทั้งหมด!
“วันนี้ข้าทำพิธีขอฝน จำต้องกักตัวเข้าสมาธิอยู่แต่ในห้องเพื่อรอจนกว่าฝนจะตก หากคุณหนูใหญ่มารังควาน จนเสียเวลาการขอฝนไป คุณหนูจะรับผิดชอบไหวหรือ” จนกระทั่งบนใบหน้าสวีหรูมีเม็ดเหงื่อผุดซึม มู่หวั่นชิวจึงยอมปล่อยนางไป
“เจ้า…” ถอยหลังตึงๆๆๆ ไปหลายก้าว สวีหรูจึงยืนได้อย่างมั่นคง หยาดน้ำคลอเต็มสองตาขณะที่ถลึงตาใส่อีกฝ่าย
เดิมทีนางก็อยากจะพูดว่าเจ้าโกหก
แต่เมื่อประสานกับสายตาเย็นเยือกของมู่หวั่นชิวแล้ว สวีหรูก็ปิดปากเงียบในทันที
หากมู่หวั่นชิวขอฝนไม่ได้จริง ความผิดก็จะถูกโยนใส่ตัวนาง นั่นมิใช่เรื่องล้อเล่น แม้จะมีนิสัยป่าเถื่อนเพียงไร แต่สวีหรูก็ยังเข้าใจถึงความร้ายแรงในเรื่องนี้ บิดาของนางบอกไว้ว่า หญิงสาวผู้นี้ขอฝนไม่ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงได้ขังนางไว้ในจวน รอให้กำหนดสามวันผ่านพ้นไป จะได้สังหารอีกฝ่ายเพื่อเซ่นไหว้ฟ้าดิน ทั้งยังให้เหตุผลกับชาวเมืองผิงเฉิงได้อีกด้วย
ที่สำคัญคือ ท่านพ่อบอกว่าบนตัวหญิงสาวผู้นี้มีเงินก้อนโตอยู่ จะปล่อยให้นางตกไปอยู่ในมือคนอื่นไม่ได้!
เพื่อให้ได้เงินก้อนนั้นแล้ว มู่หวั่นชิวต้องตาย!
ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร นางจะขัดขวางมู่หวั่นชิวทำการขอฝนไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นเพียงข้ออ้างของอีกฝ่ายก็ตาม
เพียงความคิดแวบผ่าน นางก็เกิดแผนขึ้นในใจ แอบคิดว่า ข้าลืมไปได้อย่างไร พรุ่งนี้นางก็จะถูกเอาไปเซ่นไหว้ฟ้าดินแล้ว แม้จะล่อหลอกคุณชายหลีแล้วอย่างไร นางจะทำอะไรได้ ข้ายังต้องกลัวอะไรอีก
“ได้…” คิดถึงตรงนี้ สวีหรูก็หัวเราะเหอะๆ ขึ้นมาทันใด “เช่นนั้นเจ้าเข้าสมาธิไปก็แล้วกัน!”
เหตุใดนางจึงคิดตกได้อย่างฉับพลัน…
มองดูแผ่นหลังของสวีหรูแล้ว มู่หวั่นชิวก็ส่ายหน้า แม้จะรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง แต่นางกลับไม่ได้คิดอะไรมาก ต้องคุกเข่ามาตลอดช่วงเช้านี้ทำให้นางอ่อนล้าเหลือเกิน อยากจะนอนแช่น้ำอุ่นสักหน่อย จึงสั่งชุ่ยหงว่า “ข้าอยากจะเข้าสมาธิ ใครก็ห้ามรบกวน”
ชุ่ยหงตอบรับคำ ปิดประตูแล้วเดินออกไปอย่างเบาเสียง
มู่หวั่นชิวเพิ่งล้มตัวลงบนเตียง นางก็นอนหลับสนิทไปในทันที
สะลึมสะลือตื่นขึ้นมา ก็เป็นเวลาที่พระจันทร์ลอยอยู่บนฟ้าแล้ว
ชุ่ยหงเตรียมอาหารเย็นไว้แล้ว พอเห็นนางตื่นนอน จึงพูดว่า “แม่นางไป๋ออกฌานแล้วหรือเจ้าคะ อาหารเย็นจัดเตรียมไว้แล้ว ท่านจะกินตอนนี้เลยหรือไม่”
ออกฌาน?
มู่หวั่นชิวรู้สึกขำทันใด ชุ่ยหงคิดว่านางเป็นเทพเซียนจริงๆ หรือ นางพยายามปั้นหน้านิ่ง แล้วพูดเสียงเรียบ “ยกเข้ามาสิ”
“เจ้าค่ะ…” ชุ่ยหงรีบตอบรับ แล้วเดินไปที่ประตู จากนั้นก็หันมาถามอีกว่า “เมื่อครู่คุณชายหลีมาหา พอได้ยินว่าท่านเข้าฌานอยู่ จึงมิได้มารบกวนเจ้าค่ะ”
“แล้วเขาล่ะ?”
“พักอยู่ในจวนนี้เจ้าค่ะ แม่นางไป๋อยากพบเขาหรือเจ้าคะ บ่าวจะพาท่านไป…”
“ดี…” คำว่าดีเพิ่งจะออกจากปาก มู่หวั่นชิวก็นึกถึงสวีหรูผู้เอาแต่ใจขึ้นมา จึงเปลี่ยนคำพูด “ช่างเถอะ กินอาหารดีกว่า”
แสงจันทร์กระจ่าง ดวงดาวพร่างพราว บนท้องฟ้าที่มืดดำนี้ ไม่มีเมฆแม้แต่น้อย
“ท้องฟ้าปลอดโปร่งแบบนี้ ฝนจะตกได้จริงหรือ” หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ชุ่ยหงก็เดินไปกลางลานพร้อมกับมู่หวั่นชิว นางมองไปบนท้องฟ้าที่มืดดำแล้วถอนหายใจ
หากคืนนี้ฝนไม่ตก หญิงสาวผู้นี้ก็ไม่มีชีวิตรอดในวันพรุ่งนี้แล้ว
มู่หวั่นชิวเงยหน้ามองท้องฟ้าเช่นกัน ท่าทางเหม่อลอย นางราวกับกลับไปในชาติก่อน ในคืนวันนี้เป็นเพราะไม่เชื่อฟังแม่เล้า นางจึงถูกตีอย่างหนักอีกครั้ง ต้องทนหิว ถูกแม่เล้าหอชุนเซียงขังไว้ในห้องมืดเล็กห้องหนึ่ง มีเพียงช่องลูกกรงเหล็กเล็กๆ ที่พอจะมีแสงดาวลอดเข้ามา ทำให้นางยังมีความหวัง นางพยายามเขย่งปลายเท้า มองออกไปข้างนอก ท้องฟ้าแต่เดิมที่ยังกว้างใหญ่ จู่ๆ กลับเปลี่ยนโฉมหน้าไป จากนั้นก็มีเมฆดำเข้ามาปกคลุมไปทั่ว เกิดฟ้าแลบ ฟ้าร้อง แล้วก็เริ่มมีฝนตกหนัก เม็ดฝนไหลลงมาตามช่องหน้าต่างเล็กๆ นางที่กลัวฟ้าร้องแต่เด็ก ตกใจจนเอาแต่ขดตัวอยู่ตรงมุมห้อง เรียกฟ้า ฟ้าไม่ขาน เรียกดิน ดินไม่ตอบ…
“แม่นางไป๋” เห็นหางตาของอีกฝ่ายมีน้ำตาไหลออกมา ชุ่ยหงจึงเรียกเสียงเบา
“อ้อ…” มู่หวั่นชิวได้สติคืนมา ก่อนพบว่าตนมีน้ำตาไหลออกมาตั้งแต่เมื่อใดก็มิรู้ จึงรีบหมุนตัวกลับ “คืนนี้ฟ้าสวยจริง”
มองดูแผ่นหลังยืดตรงของนางแล้ว ชุ่ยหงก็ขยับปาก คิดจะพูดอะไรแต่ก็หยุดไว้
เสียงพิณเอื่อยๆ ดังลอยมา ไพเราะสบายอารมณ์ ราวกับอยู่บนเขาสูง เหมือนมีสายน้ำไหล
เงี่ยหูฟังแล้ว มู่หวั่นชิวก็เดินไปทางลานด้านหลัง
“แม่นางไป๋” ชุ่ยหงตะลึงไป รีบเรียกแล้ววิ่งตามไป “ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ”
นายท่านมีคำสั่ง คืนนี้ต้องเฝ้านางเอาไว้ให้ดี พรุ่งนี้จะได้ทำการเซ่นไหว้ฟ้าดินได้
ตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรจะให้มู่หวั่นชิวหนีไปไม่ได้เด็ดขาด
* หมัวมัว เป็นคำเรียกหญิงสูงวัย มีความหมายหลากหลาย ทั้งย่า ยาย แม่นม ป้า และยังเป็นคำเรียกหญิงรับใช้อาวุโสในเชิงยกย่อง รวมถึงนางข้าหลวงอาวุโสในวังด้วย
Comments
comments