X
    Categories: LOVEตราบแผ่นดิน... สิ้นกาลเวลาทดลองอ่าน

ทดลองอ่านนิยาย ตราบแผ่นดิน… สิ้นกาลเวลา เล่ม 1 บทที่ 3 – บทที่ 4

บทที่ 3 หลวงตา

 

“แม่หญิง!” แม่อ่อนตาเหลือกถลาตามมา พร้อมๆ กับร่างสามร่างในภาพรางเลือน

คนหนึ่งคือคุณหญิงผู้เป็นมารดาของแม่หญิงไพลิน ส่วนอีกสองคนเป็นชายสูงวัยและชายหนุ่ม ทั้งหมดต่างจ้องมองตรงมายังร่างของหล่อน

“อะไรกัน อะไรกัน ตายแล้ว! ไพลิน” คนที่เรียกตัวเองว่าแม่ร้องตกอกตกใจในขณะที่ณิรชาทั้งจุกทั้งเจ็บ พยายามยันตัวเองลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล

ชายหนุ่มผู้อ่อนวัยสุดรีบก้าวข้ามชานเรือนเข้ามาประคอง นั่นยิ่งทำให้ตกใจไปใหญ่ ก็หล่อนนุ่งชุดที่เขาเรียกว่าผ้าแถบ ออกจะโป๊ขนาดนี้ แล้วคนนี้เป็นผู้ชาย… ชายหนุ่มเสียด้วย

“นี่…อย่านะ” หญิงสาวใช้มือที่ไม่ค่อยมีแรงปัดออก แต่เขาไม่สนใจ อุ้มหล่อนกลับเข้าไปในห้องแล้ววางบนฟูกเหมือนเดิม ณิรชากลิ้งตัวออกมา ลากผ้าห่มไปคลุมร่างแล้วซุกตัวอย่างนั้น

“คุณเป็นใคร!” ณิรชามองทุกคนที่เข้ามาในห้อง ไม่มีใครที่พอจะรู้จักสักคน หันไปอีกทางก็เห็นภาพตัวเองสะท้อนในเงากระจก พร่าไม่ใสสดเหมือนกับที่เคยใช้เป็นประจำ แต่ก็กระจ่างใจว่าร่างที่นั่งตัวสั่นหน้าตาตื่นนั้นไม่ใช่ตัวเองที่เคยเห็นมายี่สิบกว่าปี ไม่ว่าจะทั้งตบทั้งหยิกตัวเองเท่าไหร่ ทว่าทุกอย่างไม่ได้พร่าเลือนหายไปดังเช่นความฝันที่ผ่านมา

เวรกรรม! หล่อนคร่ำครวญในใจ สำนึกได้ว่าไม่มีโลกเดิมอีกแล้ว สมองรีบทำงานอย่างรวดเร็ว ที่นี่จะเป็นที่ไหนก็ตามแต่ คนอย่างณิรชาต้องรอดได้เสมอ

“แม่ แม่จ๋า” ณิรชามองหาที่พึ่ง โผเข้าหาคุณหญิงพลอยศรี

“เป็นอะไรไปลูก” อ้อมแขนนุ่มอบอุ่นปลอบประโลม

“อ่อน แม่หญิงเป็นอะไร” ชายสูงวัยน่ายำเกรงถามเสียงกังวล

“ไม่ทราบเจ้าค่ะ ตื่นขึ้นมาก็ถามบ่าวว่าเป็นใคร ที่นี่ที่ไหน จำอะไรไม่ได้ จำไม่ได้แม้แต่ตัวเองเจ้าค่ะ”

ชายคนที่หนุ่มที่สุดเพ่งมองมาทางหล่อนหน้าเคร่ง ก่อนจะถอดพระเครื่องที่คอออก จรดหน้าผากแล้วสวมให้กับณิรชา

“พ่อดวง” คุณหญิงเอ่ยนาม ถึงพอเดาได้ว่าน่าจะเป็นหลวงเสนาผู้เป็นพี่ชายของแม่หญิงไพลินที่แม่อ่อนเอ่ยถึง

“เป็นสิริมงคลขอรับ อาจจะกำลังตกใจ ต้องรอสักพัก แค่ตื่นขึ้นมาก็ดีแล้วขอรับ ดีกว่านอนไม่ได้สติ” เขาตอบเสียงขรึม

“จริงของลูกนะคุณหญิง พาลูกไปข้างนอก ไปรับลมก่อนดีกว่า ไพลิน ออกมาคุยกับพ่อมา”

“เจ้าค่ะ ไพลิน ออกไปข้างนอกดีไหมลูก”

หญิงสาวพยักหน้ารับคำชวนแบบงงๆ ทั้งอ่อนทั้งคุณหญิงต่างประคองร่างที่กะปลกกะเปลี้ยออกมา ไม่เคยรู้สึกแข้งขาอ่อนอย่างนี้มาก่อน ไม่ใช่เพราะกลัวหรอก แต่คิดว่าเป็นเพราะกล้ามเนื้อไม่ได้ออกแรงมาเป็นเวลานานเกินไปเหมือนคนเป็นอัมพาต

เด็กสาวคนนี้คงล้มป่วยมาเป็นเวลานานพอสมควรทีเดียว

ชายกลางคนอยู่บนตั่ง แม่อ่อนประคองให้ณิรชาก้มลงกราบฝากเนื้อฝากตัวกับผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน รู้ล่ะว่าต้องอาศัยบ้านนี้ไปก่อน จนกว่า…จนกว่าจะถึงเวลา

รู้สึกอุ่นใจเมื่อท่านทั้งสองลูบศีรษะรับขวัญ

น่าสงสารทั้งสองท่าน ลูกสาวที่แท้จริงไปอยู่ที่ไหนเสียก็ไม่ทราบ

หากพระที่ห้อยคอเป็นพวงนี่หนักชะมัด หล่อนยกมือไหว้ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของพระทั้งพวง เป็นพี่ชาย เออ…ลองมีสักคนคงดี

หญิงสาวแอบๆ มองคนที่เป็นพี่ชายอย่างพินิจ เพราะอยากเห็นคนโบราณแท้ นี่ไง! ต้องมาดูของจริงถึงที่ เหมือนในรูปวาดตามผนังวัด มีรอยสักลงอักขระบ้างตามตัวแต่ไม่ยักเต็มพืดอย่างที่เคยจินตนาการ ยกเว้นเสียแต่คนที่นี่กินหมากกันจนฟันดำไปหมด

“ดีขึ้นไหมลูก”

“เจ้าค่ะ” หญิงสาวรับคำเสียงแผ่ว เลียนแบบสำเนียงที่เคยได้ยิน พอได้มานั่งรับลมค่อยเริ่มสบายตัว ไม่อึดอัด

“อ่อน…” คุณหญิงเรียกอ่อนที่เฝ้าอยู่ไม่ไกล

“เจ้าค่ะ”

“ช่วงนี้เจ้าต้องดูแลแม่หญิงอย่าให้คลาดสายตานะ”

“เจ้าค่ะ” อากัปกิริยาของอ่อน รับประกันได้ว่าจะเป็นเช่นรับปากจริงๆ

“พรุ่งนี้กระผมว่าจะไปกราบหลวงตาแล้วนิมนต์ท่านมาที่บ้าน”

หล่อนมองทางโน้นทีทางนี้ที หูฟังหลวงเสนาหารือกับบิดามารดา

“ดีเหมือนกัน ท่านคงดีใจนัก วันก่อนท่านส่งยามาให้ เห็นจะเป็นยาของท่านนั่นแหละที่ทำให้แม่ไพลินดีขึ้น”

“แม่ก็คงต้องส่งข่าวไปข้างในวังเหมือนกัน สมเด็จท่านคงดีพระทัย”

คราวนี้ณิรชาหูผึ่ง แม่หญิงไพลินไปเกี่ยวอะไรกับในวัง ขืนหล่อนต้องเข้าไปยุ่งในวัง เฟอะฟะอย่างนี้คงได้เจอโทษประหารเข้าสักรอบแน่ๆ

“ไม่นะ ไม่ไป” หญิงสาวค้านเสียงหลงก่อนจะแผ่วเสียงลง

“ลูกยังไม่หาย” นึกชมตัวเองว่าพูดได้ดีมาก ดูโบราณดี

ทั้งหมดนั่งคุยกันโดยมีหญิงสาวนั่งฟังเป็นส่วนมาก รู้สึกเหนียวตัวอย่างบอกไม่ถูก อยากอาบน้ำขึ้นมา อ่อนเห็นทีจะรู้ใจ

“คุณหญิงเจ้าขา บ่าวขอพาแม่หญิงไปเช็ดหน้าเช็ดตัวก่อนนะเจ้าคะ”

ผู้สูงวัยกว่าพยักหน้า หญิงสาวจึงถูกประคองโดยบ่าวอีกสองคนเข้าไปในห้อง

“พี่อ่อน ฉันอยากอาบน้ำ อาบแบบน้ำเยอะๆ” ณิรชาคิดถึงฝักบัวใจจะขาด แต่ทราบดีว่าคงเป็นไปไม่ได้

“จะดีหรือเจ้าคะ เช็ดตัวก็พอเจ้าค่ะ”

“ไม่เอา” อยากทราบเหมือนกัน คนที่นี่ใช้ห้องน้ำห้องท่าอย่างไร

“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ แหม…แม่หญิง บ่าวตามแทบไม่ค่อยทันเลยนะเจ้าคะ… เอาเถอะ ให้ไปขออนุญาตคุณหญิงก่อนนะเจ้าคะ ท่านเป็นห่วง ถ้าท่านอนุญาต เดี๋ยวจะสั่งบ่าวลงท่าเป็นเพื่อนอีกสักสิบคน”

“สิบคน!” ณิรชาอดหัวเราะไม่ได้ ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยมีแรง “ไม่มากไปหน่อยหรือจ๊ะ พี่อ่อน”

บ้านนี้คงมีฐานะ จะอาบน้ำทั้งทียังเอิกเกริกขนาดนี้

“ไม่มากหรอกเจ้าค่ะ เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยกัน นังพวกว่ายน้ำแข็งๆ ก็มี บ่าวจะให้มันตักน้ำขึ้นมาให้ ส่วนบ่าวจะขัดผิวให้สบายตัวนะเจ้าคะ”

“เอ้า! โอเค” พอพูดไปแล้วก็ต้องเผลอปิดปากตัวเอง

“อะไรเจ้าคะ โอเค” คำแปลกๆ ที่ได้ยินไม่คุ้นหู ทำให้คนฟังต้องถามซ้ำ

“เปล๊า!” ณิรชาไม่พูดอะไรต่อ และพยายามจะไม่พูดมาก ตอนนี้ต้องฟังเอาไว้ก่อน เอาเถอะน่า ผ่านมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ เมืองนอกก็ไปมาแล้ว จะมาตายเอาที่นี่คงไม่ใช่หรอก ที่แน่ๆ ต้องหาข้อมูลให้มากกว่านี้ บางทีโลกนี้อาจเป็นโลกคู่ขนานกับโลกของหล่อนก็ได้

แต่ท้ายสุดก็ไม่ได้ไปอาบน้ำที่ท่าเพราะผู้ใหญ่ไม่อนุญาต ซึ่งหล่อนก็เข้าใจและยอมทำตาม แม่อ่อนเสนอโดยการให้บ่าวตักน้ำขึ้นมาบนบ้าน นั่งเก้าอี้ตัวเล็กๆ แล้วให้อาบน้ำในห้องเล็กๆ ที่จัดเป็นส่วนลับในบ้าน อย่างน้อยก็สบายตัวกว่าเช็ดตัว

 

ทั้งๆ ที่เคยคิดเล่นๆ ว่าอยากกลับไปอยู่ในอดีต แต่ใช่ว่าการหลงยุคมาอยู่ที่อยุธยาตอนนี้จะเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะสำหรับณิรชาแล้ว หากจะคิดว่าพวกเพื่อนๆ ทำเรื่องตลกมาหยอกล้อ ทว่าที่เห็นและเป็นอยู่ก็…ไม่ใช่ สิ่งที่ยิ่งเป็นไปไม่ได้คือหล่อนไม่ได้อยู่ในร่างของตัวเอง

หากเมื่อคิดว่าเป็นฝัน ฝันนี้ก็ช่างเหมือนจริงและไม่สามารถปลุกให้ตัวเองตื่นได้

ณิรชายังมีห่วง…มีเพื่อน…มีสิ่งที่อยากจะทำในโลกปัจจุบัน ไม่ว่าจะซาบซึ้งดื่มด่ำกับอดีตมากเพียงไหนแต่ก็ไม่สามารถยอมรับสิ่งต่างๆ รอบตัวที่เปลี่ยนไปเพียงชั่วคืนได้

ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางเลือกนอกจากพยายามจำต้องทำใจรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นและทำให้ดีที่สุด อย่างน้อยก็อาศัยความสามารถพิเศษในการปรับตัวได้ง่ายและรวดเร็วจากการที่เดินทางไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ น่าจะพอมีประโยชน์บ้าง

อาการเจ็บป่วยเป็นอาการที่ลำบากอยู่แล้ว แต่เรื่องธุระส่วนตัวยิ่งเป็นเรื่องลำบากใจไม่น้อย ณิรชาอาศัยเรียกอ่อนทุกครั้งให้มาอำนวยความสะดวก น่าขำตอนแรกแม่อ่อนไม่เข้าใจคำว่าเข้าห้องน้ำของหญิงสาว แม้ตัวหล่อนเองยังต้องเรียนรู้ภาษาของคนอยุธยาตอนปลายเพื่อไม่ให้แตกเหล่าเช่นกัน โชคดีที่เป็นคนหัวไวช่างจดจำถึงได้พอกล้อมแกล้มไปได้บ้าง

เช้านี้ก็เช่นกัน หญิงสาวลุกขึ้นได้จากการประคองของอ่อน ดูมีเรี่ยวแรงขึ้นทีละน้อย คงเพราะเจอยาหลวงตานั่นแหละ ตอนแรกๆ ดื่มแล้วจะอาเจียนหมดแรง แต่พอสักพักก็ดีขึ้น อาการมึนๆ ลดไปไม่น้อย เพิ่งรู้ว่าแม่หญิงไพลินคนนี้มีแผลเล็กที่ศีรษะแต่หายแล้วในช่วงที่นอนป่วย ซึ่งกินระยะเวลายาวนานนับเดือน

“สามเดือนเจ้าค่ะ แทบไม่หายใจเลย ใครๆ ก็ว่าคงต้องสิ้นแล้ว” อ่อนสาธยายให้ฟังถึงอาการของร่างนี้

“แม่หญิงจะรับข้าวต้มไหมเจ้าคะ คุณแม่ท่านให้ข้างล่างเตรียมไว้ วันนี้อยู่กันพร้อมหน้า ท่านให้ตั้งสำรับข้างนอก”

“อืม ดีเหมือนกัน” หญิงสาวรับคำ อ่อนจึงพาหล่อนออกไปยังห้องโถงกลางซึ่งมีคนนั่งรออยู่

“เอ้า! มาพอดีเลยแม่ไพลิน มากินข้าวกับพ่อแม่กับพี่ดวงที่นี่เร็ว”

ท่านเจ้าคุณกวักมือเรียก ในขณะที่พี่ชายที่ชื่อดวงขยับที่ให้หล่อนนั่งระหว่างเขากับมารดา

คุณหญิงลูบหลังไหล่ “ขวัญมานะลูกนะ”

“เจ้าค่ะคุณแม่” กับคนทั้งหมด ณิรชาคุ้นกับคุณหญิงที่สุดแล้ว

“เจ้าดีขึ้นแล้วใช่ไหม” เสียงทุ้มนุ่มทอดอ่อนด้วยความอาทร เห็นใกล้ๆ แล้วรู้สึกคุ้น พอนึกว่าเขามีส่วนละม้ายคุณหญิง ผิวของเขาเป็นสีนวลอ่อนไม่เข้ม โครงหน้าเรียว ดูท่าเป็นคนใจดี

หญิงสาวพยักหน้า ยังไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่

“เดี๋ยวบ่าวไปเอาข้าวต้มมาให้นะเจ้าคะ” อ่อนกระซิบพลางกระวีกระวาดถอยไปข้างล่าง

“คงเป็นเพราะพ่อดวงที่ช่วยน้องอีกแรง น้องถึงได้หายดีขึ้นเรื่อยๆ”

“ตอนนี้เห็นจะไม่เป็นไรแล้วขอรับ นะ…” ประโยคหลังเขาหันมาชวนหล่อนคุย แล้วหัวเราะเบาๆ เมื่อหล่อนยังคงมองดูเขาอยู่เช่นนั้น

“เออ…ไพลิน เจ้ามัวแต่จ้องพี่เขาอยู่อย่างนั้นทำไมกัน ทำราวไม่เคยเห็น” ท่านเจ้าคุณผู้บิดาเองก็เห็นขัน

หญิงสาวไม่ทราบจะตอบว่าอย่างไรเช่นกัน เลยต้องเสตอบไปอย่างอื่น

“พี่ดวงไปไหนมา ทำไมฉันไม่เห็น” ประโยคที่จัดเรียงอาจจะเพี้ยนไปบ้างแต่คงไม่มากนัก

ผู้เป็นพี่ชายยิ้มอ่อน “พี่ไปราชการ เจ้านายของพี่ท่านสั่งให้พี่กับเพื่อนอีกสองสามคนไปหัวเมืองทางเหนือ เพิ่งกลับมา”

พอดีกับอ่อนยกสำรับมา ชายหนุ่มจึงสั่ง “อ่อน…จัดข้าวให้ฉันอีกที่หนึ่ง จะกินข้าวกับน้อง”

แม่อ่อนรับคำ ชายหนุ่มรับประทานอาหารเช้าไปพร้อมกับคุยไปด้วย ฟังจากการสนทนาแล้วก็พอจับใจความได้ว่าพี่ชายของแม่หญิงไพลินเป็นข้าราชการเหมือนลูกขุนนางทั่วๆ ไป น่าจะคล้ายๆ กับตำรวจกึ่งทหาร ต้องออกไปปราบโจรอยู่เนืองๆ แต่เขาเองไม่ได้คุยละเอียดนักเพราะดูเหมือนคุณหญิงผู้มารดาไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่

“ลำบากอย่างนี้น่าจะกลับเข้ามาทำงานที่สบายๆ หน่อยนะ พ่อกับแม่ก็มีเส้นสายอยู่ไม่น้อย เฮ้อ…แม่ล่ะเป็นห่วง ให้ไปอยู่กับคุณพ่อก็ไม่เอา”

ท่านเจ้าคุณเองก็คงรับราชการอยู่กรมกองอื่นที่ไม่ต้องออกไปบู๊กับเขาเป็นแน่

“คุณหญิง…อย่าเร่งเร้าลูกเช่นนั้น พ่อดวงเขาไม่เหมาะใจถ้าต้องมาทำงานกรมเดียวกับพ่อ จะเป็นที่ติฉินได้”

“อิฉันเองไม่เห็นจะว่าแปลกสักนิด บ้านไหนๆ เขาก็ทำกัน ลูกๆ ส่วนใหญ่ก็ทำงานกับพ่อทั้งนั้น มีบ้านเรานี่แหละที่ไม่เหมือนคนอื่น”

หลวงเสนาคงเห็นว่าจะยืดเยื้อ จึงบอกกับมารดาเสียงอ่อน

“คงไม่ได้หรอกขอรับคุณแม่ กระผมรักชอบงานทางนี้เสียแล้ว จะให้เข้าไปทำงานในกรมกับคุณพ่อคงไม่ไหว นี่ไพลิน…เจ้าตักข้าวน้อยเหลือเกิน มา…พี่จะตักให้ เจ้าไม่ชอบกินของแห้งๆ พวกนี้พี่รู้ดี แต่ต้องทนเอานะเจ้า”

ท้ายๆ เขาหันมาเอาใจใส่กับณิรชาที่ฟังเพลิน อยากจะบอกว่ากับข้าวเหล่านี้อร่อยจะตาย แต่อุบเอาไว้น่าจะดีกว่า ดูท่าพี่ชายคนนี้จะรักน้องสาวมากนัก กิริยาที่เขาตักข้าวให้แม่หญิงไพลินนั้นดูละมุนละไม หญิงสาวอดยิ้มไม่ได้

“เจ้ายิ้มอะไรกันนะไพลิน”

“ก็…ฉันดีใจ ดีใจ…ดีเหลือเกินที่ยังไม่โชคร้ายจนเกินไปนัก ตื่นขึ้นมา ฉันก็มีคุณพ่อคุณแม่และพี่ชายที่แสนดีนี่คะ”

หล่อนตอบตามจริง จากใจจริงของคนชื่อณิรชาเสียด้วยซ้ำ ซึ่งทำให้ทุกคนถึงกับยิ้มด้วยความพึงใจ คุณหญิงขยับเข้ามาใกล้ โอบตัวหล่อนให้ซุกตัวกับเนื้อนิ่ม

“พอหายไข้ก็กลับมาปากหวาน เฮ้อ…คงไม่เป็นไรแล้วล่ะ หมดทุกข์หมดโศกนะลูก”

หญิงสาวซุกหน้ากับอ้อมแขนอบอุ่นโดยมีคนอื่นๆ อยู่ข้างๆ ในเมื่อหลงมาแบบนี้ แทนที่จะหมดอาลัยตายอยากก็คงต้องเดินหน้าต่อไปจนกว่าจะตื่นจากฝันนั่นแหละ ที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร หล่อนจะลองใช้ชีวิตในยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลายดู จากความรู้ที่มีอยู่อาจจะพอช่วยเหลือใครได้บ้าง เผื่อวันข้างหน้าจะได้ไม่เสียใจกับอดีตที่ผ่านไป

 

ตั้งแต่หลงมาอยู่ที่นี่ ณิรชาพยายามปรับตัวให้เข้ากับสิ่งรอบข้างมากที่สุด ที่จริงก็เหนื่อยเหมือนกัน แต่โดยนิสัยไม่ใช่คนที่ปรับตัวยาก อีกอย่าง…เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้แก้ไขอะไรไม่ได้ ต้องเลยตามเลยกันให้ถึงที่สุด

มีบ้างที่หญิงสาวจะรู้สึกเศร้าซึมหม่นหมอง และคนที่พอจะปรับทุกข์ได้เห็นจะมีแต่แม่อ่อนเท่านั้น ถึงไม่รู้เรื่องแต่เจ้าหล่อนก็รับฟัง ส่วนท่านเจ้าคุณและคุณหญิงก็ไม่อยากให้ท่านผิดสังเกตนัก ถึงอย่างไรเจ้าของร่างนี้ก็เป็นบุตรีของท่าน เท่าที่ทราบแม่หญิงไพลินนั้นเดิมใกล้ชิดกับคุณหญิงมาก จึงเกรงว่าจะทำพลาดพลั้งให้ท่านเสียใจแล้วจะเป็นเรื่อง

จะว่าไปหล่อนคงโลดโผนอะไรมากไม่ได้ในตอนนี้ ต่อให้จิตใจแข็งแรงขนาดไหนแต่ร่างกายของแม่หญิงไพลินที่เพิ่งฟื้นไข้นั้นยังอ่อนแรงอยู่มากเหมือนกัน

 

“พี่ดวง” หญิงสาวขยับตัวเอี้ยมเฟี้ยมมากขึ้นเมื่อเห็นว่ามีใครเดินตรงเข้ามา ณิรชาชวนแม่อ่อนมานั่งรับลมใต้ต้นไม้ กำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่เช่นกัน

“เป็นอย่างไรบ้างไพลิน ดีขึ้นหรือไม่ล่ะเจ้า” พี่ชายของหล่อน หรืออีกนัยหนึ่งคือพี่ชายของแม่หญิงไพลินเข้ามานั่งบนแคร่ ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ

“ดีขึ้นบ้างแล้วค่ะ ว่าแต่พี่ดวงไปไหนมาหรือคะ ไม่เห็นเสียหลายวัน” ตั้งแต่ออกมาจากห้องพักได้ก็ไม่ได้พบเขามากนัก ข่าวว่าช่วงนี้เขามีงานราชการ แต่ไม่เห็นมีใครให้รายละเอียดได้

“พี่มีงานราชการจริงๆ นั่นแหละ ช่วงนี้จึงไม่ใคร่ได้กลับบ้าน เจ้าก็รู้ดีอยู่นี่”

“เอ้อ… ฉันคงลืมไปจริงๆ สติฉันนี่…” อยากเขกกะโหลกตัวเองนัก เป็นน้องสาวแท้ๆ ยังไม่ทราบเรื่องราวของพี่ชายสักเท่าไหร่เลยปล่อยไก่ออกไปตัวเบ้อเริ่ม ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเก็บปากเก็บคำเรื่องที่เมื่อครู่นี้เห็นเรือที่มาส่งตามลำคลองแวบๆ กับใครอีกคนหนอ หญิงสาวไม่กล้าถามต่อ

“คงฟั่นเฟือนไปแล้วจริงๆ” ณิรชารำพึงให้ดูน่าสงสารเอาไว้ก่อน

“อย่าเพ่อคิดไปเช่นนั้น” มือใหญ่วางบนศีรษะ แผ่วเบาแต่หนักแน่น ไม่รู้สินะ ดูเหมือนว่าแต่ก่อนมาหลวงเสนาสรศักดิ์ผู้พี่ไม่ได้สนิทสนมกันนักกับแม่หญิงไพลิน หญิงสาวไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ประเดี๋ยวจะลองเลียบเคียงถามแม่พี่เลี้ยงคงดี

 

ชีวิตของแม่หญิงไพลินนั้นดูสุขสบายเหมือนกับลูกคนรวยทั่วๆ ไป ซึ่งไม่ว่าจะเป็นยุคไหนก็เหมือนๆ กัน แม่หญิงไพลินนั้นมีอ่อนเป็นบ่าวคนสนิท และเจ้าหล่อนเป็นผู้เดียวที่ถูกยึดเอาไว้เชื่อมโยงกับโลกที่จากมา

หญิงสาวไม่สนใจว่าแม่หญิงคนเก่าจะเคยปฏิบัติเช่นไรกับพี่เลี้ยงคนนี้ แต่ในเมื่อตอนนี้ร่างนี้คือณิรชา อ่อนก็คือเพื่อนรักของหล่อน

“พี่อ่อน” หญิงสาวย่องออกมาจากห้องในคืนวันหนึ่ง เรือนไทยสมัยก่อนนั้นแยกฝ่ายหญิงฝ่ายชายออกจากกัน ห้องของหล่อนเลยอยู่ด้านในโดยมีอ่อนนอนเฝ้าตามคำสั่งของคุณหญิงพลอยศรี

“อะไรเจ้าคะ แม่หญิง” อ่อนงัวเงียเมื่อถูกเขย่าตัว

“เข้ามานอนในห้องเถอะ เดี๋ยวยุงก็หามหรอก” หลายครั้งแล้วที่บอก แต่กลับถูกปฏิเสธทุกที

“บ่าวนอนตรงนี้ดีแล้วเจ้าค่ะ แม่หญิงหายแล้ว บ่าวไม่มีกิจอันใดให้เข้าไป”

“ถ้าอย่างนั้นพี่อ่อนก็ไปนอนสบายๆ ที่ห้องของพี่เถอะ”

“อุ๊ย! นอนที่ไหนๆ ก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละเจ้าค่ะ นอนนี่ก็สบายดี ไม่ต้องไปเบียดกับนังชุ่ม นังจ่อย ดีเสียอีก ไอ้พวกข้างล่างมันสุมไฟไล่ยุงให้คุณท่าน ไม่มียุงมากวนเจ้าค่ะ”

“สบายจริงหรือ” ณิรชายิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะเดินกลับเข้าไปข้างใน คว้าหมอนกับผ้าห่มออกมาวางหน้าห้องเหมือนกัน

“ทะ ทำอะไรเจ้าคะ” คนสนิทหน้าตาตื่น

“อ้าว! ก็พี่อ่อนบอกว่าตรงนี้สบายดี ฉันเลยมานอนบ้างเผื่อจะได้รู้ว่ามันสบายอย่างไร”

“โอ๊ย! ตายแล้ว จะมานอนได้อย่างไร เข้าห้องไปเถอะเจ้าค่ะ ดึกแล้ว เดี๋ยวจะพานไม่สบาย”

“ไม่! ถ้า…พี่อ่อนไม่เข้าไปกับฉัน”

“อภิโธ่ อภิถัง บ่าวจะได้โดนโบยหลังลายสิเจ้าคะ”

“ก็โบยฉันด้วยแล้วกัน” หญิงสาวดื้อแพ่ง ล้มตัวลงนอนหน้าห้องสบายใจ แต่คนเป็นบ่าวกลับนั่งหายใจเฮือกใหญ่

“ยอมแล้วเจ้าค่า ยอมแล้ว” คนยอมแพ้ค้อนปะหลับปะเหลือก

แน่ล่ะ ไม่ว่าจะเป็นพรรณพิลาศหรือแม่อ่อนก็ต้องยอมแพ้ณิรชามาโดยตลอด แต่ก่อนจะเก็บของเข้าห้อง หญิงสาวได้ยินเสียงกุกกักอยู่ตรงชานเรือนด้านหน้า

“เอ๊ะ! ใครมาดึกดื่นอย่างนี้”

“อ้อ…เสียงคุณหลวงเจ้าค่ะ บ่าวจำได้ คงเพิ่งกลับมา” อ่อนนี่เก่งนะ ได้ยินแต่เสียงกระดานลั่นก็จำได้ว่าเป็นใคร

ด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำให้อดไม่ได้ที่จะย่องไปแอบดูจากฉากที่กั้นเอาไว้ เห็นหลังหลวงเสนาสรศักดิ์เดินลับเข้าไปในเขตส่วนตัว

“แล้ว…คุณหล… เอ้อ…พี่ชายของฉันเขาไปไหนมาหรือ”

“บ่าวไม่ทราบดอกเจ้าค่ะ เข้านอนกันเถอะนะเจ้าคะ” หล่อนถูกรุนหลังให้เข้าไปในห้อง โดยยอมให้พี่เลี้ยงคนสนิทนอนห่างออกไปได้ กว่าจะจัดท่านอนก็เสียเวลาไปอีกโข

“เป็นอะไรไปเจ้าคะ”

“ฉันกลัวนอนโป๊…ผ้าหลุดเวลานอนน่ะสิ” เพื่อนสาวต่างชาติบางคนของณิรชานิยมถอดเสื้อนอนตัวเปล่ากันหลายคน บอกว่าสบายดี แต่หล่อนคนหนึ่งล่ะที่ขอนอนแบบครบชุดดีกว่า

“ใครๆ เขาก็นอนแบบนี้กันทั้งนั้น” ใช่สิ นุ่งผ้าแถบนอน ก็นั่นแม่หญิงไพลินนี่

“ฉันไม่ชอบนี่”

“เอาเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราเอาผ้าที่เก็บในหีบมาเย็บก็แล้วกันเจ้าค่ะ”

“ไม่มีขายหรือ ฉันเย็บเสื้อไม่เป็นหรอก”

“ไม่มีใครเขาขายกันหรอกเจ้าค่ะ อีกอย่างแม่หญิงจะกลัวอะไร ฝีมือเย็บผ้านั้นแม่หญิงไม่เป็นรองใคร” ตอนหลังถึงทราบว่าพอมีตามตลาดเหมือนๆ กับคนในยุครัตนโกสินทร์นั่นแหละ เพียงแต่คนชั้นสูงไม่นิยมเท่านั้น

“ฉันจำไม่ได้ คงเย็บไม่ได้แล้ว”

คนเป็นบ่าวอึ้งไปเล็กน้อย “ก็…ค่อยหาคนมีฝีมือมาช่วยก็คงได้เจ้าค่ะ อย่าห่วงไปเลย”

เสียงปลอบลอยมาในที่สุด ไม่ต่างกับเสียงปลอบที่เคยได้รับมาตลอดชีวิต ณิรชายิ่งคิดถึงพรรณพิลาศ พันรบ พวกเขาจะทราบไหมว่าหล่อนระเห็จมาอยู่ที่นี่ อยู่ในโลกอีกใบเสียแล้ว ป่านนี้ร่างที่อยู่โลกโน้นเล่าจะมีสภาพอย่างไร คิดไปคิดมาในที่สุดก็หลับไป และก็เหมือนกับทุกครั้งที่ภาวนา ขอให้ตื่นขึ้นมา…กลับสู่โลกเดิม

 

หลังจากที่ร่างของแม่หญิงไพลินเริ่มฟื้นคืนกำลัง ณิรชาก็ยังเป็นณิรชา เริ่มรู้สึกเบื่อ เริ่มมองหาสิ่งใหม่ๆ ที่อยู่ไกลตัวออกไป หญิงสาวเดินตามเมื่อเห็นอ่อนเตรียมตัวนุ่งผ้าแถบเรียบร้อยกว่าวันอื่นๆ คล้ายจะไปไหนสักที่

“พี่อ่อน จะไปไหน”

“ไปข้างนอกนี้หน่อยเดียวเจ้าค่ะ คุณหญิงท่านใช้”

“ไปด้วยได้ไหมล่ะ” ตั้งแต่พอมีเรี่ยวแรง แม่หญิงไพลินยังแทบไม่ได้จรดเท้าเหยียบดินสักเท่าไหร่ จะลงเรือนทีไรก็ถูกห้าม

“ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ต้องขออนุญาตคุณท่านก่อน แม่หญิงเพิ่งหายไข้ ท่านคงไม่ให้ไปหรอก”

หญิงสาวอดขันไม่ได้ เกือบลืมไปแล้วว่าประเพณีไทยแต่เดิมจะต้องขออนุญาตพ่อแม่ก่อน

ที่โลกโน้น หลังจากที่ปู่ย่าตายายสิ้นไปแล้ว หล่อนใช้ชีวิตคนเดียวมานานจนลืมไปว่าเวลาจะไปไหนต้องขออนุญาต ไม่ใช่แค่ ‘แจ้งให้ทราบ’ เฉพาะแค่บางเรื่องเท่านั้น

“คุณแม่คงไม่อนุญาตจริงๆ ด้วย” หล่อนหมดหวัง พอนึกถึงเรื่องที่เผชิญอยู่นี่

อ่อนคงเห็นหล่อนน่าสงสารกระมังถึงได้ถอนใจ “แม่หญิงลองไปขอดูสิเจ้าคะ บ่าวไปทำธุระให้คุณท่านไม่ไกล นั่งเรือไปไม่นานหรอกเจ้าค่ะ ถ้าบอกว่าจะเอาบ่าวไปสักสี่ห้าคน ท่านอาจจะอนุญาต”

“เดี๋ยวฉันจะลองดู” ณิรชาหน้าชื่น รีบออกจากห้อง จะด้วยวาทศิลป์ในการพูดหรือเพราะถูกรับรองว่าจะดูแลโดยอ่อนและบ่าวอีกลำเรือหนึ่ง หรือเพราะจุดหมายปลายทางที่ไปนั้นไม่ไกลเท่าไหร่ก็ตาม แม่หญิงไพลินกลับได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกกับอ่อน เรื่องที่เจ้าตัวจะไปเงียบๆ เลยกลายมาเป็นเอิกเกริก

เรือสามลำแล่นตามกันไปเป็นขบวน ณิรชาในร่างแม่หญิงไพลินมองซ้ายมองขวาสองฝั่งน้ำด้วยความตื่นตา บ้านเมืองยุคเก่านี่มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก มีเรือนแพ บ้านริมน้ำ และเด็กๆ กระโดดลงน้ำตูมตาม ทุกอย่างดูแปลกตาและแตกต่างจากที่จินตนาการเอาไว้ หล่อนถามอ่อนไม่หยุดจนเมื่อถึงจุดหมายปลายทางซึ่งเป็นท่าเรือเล็กไม่พลุกพล่านเท่าไหร่ อ่อนไปเอาของให้คุณหญิงนิดเดียวเท่านั้น ซึ่งณิรชาไม่ได้รบเร้าตามไป

“แม่หญิงรอตรงนี้นะ อย่าไปไหน บ่าวไปเดี๋ยวเดียวเท่านั้น พวกเอ็งเฝ้าแม่หญิงไว้ อย่าให้พลัดตาเชียว”

อ่อนกำชับพลางสั่งบ่าวไพร่ที่ติดตามไปด้วยอย่างเข้มงวด พี่เลี้ยงพอจะทราบว่าตอนนี้แม่หญิงไพลินเหมือนเด็กเล็กๆ ไม่สามารถจดจำถนนหนทางได้เหมือนเดิม

หญิงสาวนั่งรอใต้ร่มไม้แถวท่าเรือนั้นอย่างสงบเสงี่ยม พยายามนึกว่าเส้นทางและอาณาเขตที่เห็นน่าจะเป็นที่ไหนที่หล่อนเคยรู้จักบ้าง เวลาสองร้อยกว่าปี ทุกอย่างเปลี่ยนไปมากมายจนเดาเค้าโครงเดิมไม่ออก ตรงที่คิดว่าน่าจะเป็นคลองก็กลับไม่ใช่ มองไปมองมาไม่สามารถบอกได้เลยว่าในอนาคตจะเป็นส่วนไหนของเกาะอยุธยา

ในเวลาไม่นานนักพี่เลี้ยงคนสนิทถึงเดินกลับมา ดูท่าจะเสร็จธุระเรียบร้อยแล้ว

“กลับกันเถอะเจ้าค่ะ” คนสนิทชักชวน

แต่แล้วก็มีเรืออีกลำมาเทียบท่าเรือนั้น เป็นพระสงฆ์ทั้งลำเรือ อ่อนชะงักพลางดึงตัวหล่อนให้หยุด

ณิรชามองเรือที่มีพระสงฆ์รูปหนึ่งที่อยู่ในวัยเลยกลางคนไปแล้วกำลังก้าวขึ้นมาจากเรือ รัศมีของพระผู้ทรงศีลนั้นมีประกายทอรอบ และที่เหนือไปกว่านั้นเมื่อพระรูปนั้นกลับราเท้าเมื่อก้าวผ่านหน้าขบวนของแม่หญิงไพลิน

หญิงสาวถูกอ่อนดึงให้นั่งลงพนมมือกราบบนพื้นดิน ในขณะที่คนอื่นๆ เขากราบกันตั้งนานแล้ว ซึ่งการทำแบบนี้ไม่มีเหลืออยู่ในยุคสมัยสองร้อยกว่าปีข้างหน้าแล้ว แต่ตอนนี้คนทั้งหมดทำเช่นนั้น

พระสงฆ์รูปนี้ไม่ได้หยุดรับกราบแล้วผ่านเลยไป เท้าเปล่านั้นหยุดอยู่กับที่ นิ่งสงบ จนทำให้ต้องเงยหน้าขึ้น

ร่างในผ้าสีเหลืองฝาดแปลกตาที่ก้มลงมานั้นดูสำรวมและน่าเลื่อมใส ดูน่าเคารพ รู้สึกได้ถึงรัศมีแห่งธรรมนั้นกระจายอยู่ล้อมรอบ

แวบแรกคือความประหลาดใจ เหมือน…เคยได้พบท่านมาก่อน แต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน โดยเฉพาะ ในโลกแห่งนี้ ยังไม่มีโอกาสออกจากบ้านไปไหนเลยนอกจากครั้งนี้เป็นครั้งแรก แล้วจะเคยพบเคยกราบพระรูปนี้ได้อย่างไร

“โยม… มาไกลนัก มาจากที่ใดรึ” ประโยคแรกที่ท่านเอ่ยขึ้นมาทำให้ณิรชาอ้ำอึ้ง ไม่แน่ใจว่าคำถามนั้นมีความหมายแฝงใดและจะตอบเช่นไร

“โธ่! หลวงตาเจ้าขา ก็อยู่ที่บ้านนี่สิเจ้าคะ ไม่ได้ไปไหนไกลเลย หลวงตาก็…” แม่พี่เลี้ยงคนสนิทร้องขัดขึ้นมาเพราะไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง

ณิรชาเดาเอาว่าเจ้าของร่างนี้ต้องรู้จักคุ้นเคยกับพระรูปนี้เป็นแน่ สมัยเจ้าขุนมูลนายในยุคเก่า บุตรธิดาย่อมน่าจะมีเวลาเข้าวัดทำบุญมากกว่าแน่ๆ

หลวงตาตามที่แม่อ่อนเรียกขานไม่ต่อความกับอ่อน แววตาที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาทอดมาทางหญิงสาวอย่างสำรวมและรอคำตอบ

ณิรชาตัดสินใจพนมมือ “มาไกลเหลือเกินเจ้าค่ะ ยังหาทางกลับไม่ได้เลยเจ้าค่ะ” ประโยคหลังหล่อนทอดเสียงเบา ไม่กล้าที่จะโกหก

ท่านนิ่งไปครู่ก่อนจะพยักหน้า “ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้เสมอ อดทนอยู่ไปก่อนเถอะ อาจจะอีกนานกว่าจะได้กลับ”

แสดงว่าท่านเข้าใจในคำตอบ อย่างน้อยก็มีพระหนึ่งรูปที่ทราบถึงที่มาที่ไปของหล่อน

ณิรชายิ้มด้วยความยินดี “เจ้าค่ะ”

“ให้กราบพระที่บ้าน แล้วฝากเนื้อฝากตัวกับเจ้าที่เจ้าทางด้วย ท่านจะได้เมตตา” ท่านกำชับอีกครั้ง

“เจ้าค่ะ กราบแล้วเจ้าค่ะ” เรื่องนี้ปู่ย่าตายายสอนเอาไว้แต่แรกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหล่อนเป็นพวกเดินทางไปยังที่แปลกๆ เสมอๆ แม้ไม่เชื่อถือทั้งหมด หากก็ไม่เคยละเลยเรื่องนี้ และที่ผ่านมาไม่ว่าจะย้ายไปอยู่ที่ไหนก็อยู่เป็นสุขมาตลอด

ผู้ทรงศีลพึมพำว่า “ดีแล้ว” พร้อมเดินจากไป หญิงสาวจึงก้มลงกราบอีกครั้งก่อนที่แม่อ่อนจะขยับเข้ามาใกล้

“หลวงตาพูดอะไรเจ้าคะ ฟังไม่เห็นจะเข้าใจ”

หล่อนส่ายหน้าปฏิเสธแล้วรีบเฉไปเรื่องอื่น “พี่อ่อน หลวงตารูปนี้รู้จักเราด้วยหรือ”

“อ้าว! แม่หญิง โธ่เอ๊ย! ป่วยไม่กี่วันสมองฟั่นเฟือนเสียแล้ว นี่จำอะไรไม่ได้เลยหรือเจ้าคะ นี่หลวงตา ตาน้อยของแม่หญิงอย่างไรเล่าเจ้าคะ ท่านเป็นน้องของท่านตาแท้ๆ ของแม่หญิง บวชตั้งแต่เป็นเณรไม่ยอมสึกมาจนบัดนี้ ท่านธุดงค์ไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ เมืองพม่ารามัญท่านก็เคยไป โถ …จำไม่ได้เสียแล้ว เห็นคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวตั้งนาน”

“ก็…จำไม่ได้นี่นา” หญิงสาวบ่น ต้องเล่นบทความจำเสื่อมป้ำเป๋อต่อไปน่าจะดีที่สุด ตอนนี้คงต้องพยายามเก็บข้อมูลไว้ให้มากๆ ก่อน ช่วงรอยต่อระหว่าง พ.ศ. 2305-2310 ทั้งๆ ที่ห่างกันไม่เท่าไหร่ และยังมีเรื่องสงครามอย่างต่อเนื่อง แต่ดูเหมือนคนที่นี่จะไม่จดจำอะไร ร่องรอยจากสงครามก็แทบไม่หลงเหลือให้เห็น

 

ตอนขากลับณิรชาเก็บภาพชายฝั่งลำคลองและแม่น้ำทั้งสองฟากไว้ในความทรงจำ เพราะตลอดทางกลับยังไม่มีเวลาลดเลี้ยวไปไหน ฟังๆ ดูแม่หญิงไพลินเจ้าของร่างคงเก็บตัวน่าดู อยู่แต่กับบ้านและวังไม่ยอมออกมาตากแดดง่ายๆ อย่างหล่อน

“แม่หญิงเจ้าขา ขยับเข้ามาในร่มก่อนเถอะนะเจ้าคะ เดี๋ยวผิวจะหมอง”

หญิงสาวหน้าเหลอแล้วหัวเราะ คนโบราณจะรู้ได้อย่างไรว่าแดดน่ากลัว คำว่ารังสียูวียังไม่มีในสารบบคำศัพท์ของต่างชาติเลย แต่ก็นั่นแหละ คงเป็นสัญชาตญาณกระมังที่ทำให้คนหาทางหลีกเลี่ยงแดดทั้งๆ ที่รู้สึกว่าแดดในสมัยนี้ไม่ร้อนหรือน่ากลัวเท่ายุคของหล่อนที่มีปรากฏการณ์เรือนกระจก

น่าเศร้านัก แค่สองร้อยกว่าปีมนุษย์ทำลายธรรมชาติไปได้มากมายและรวดเร็วเหลือเกิน

“ฉันว่าผิวแบบนี้ไม่เห็นต้องกลัวแดดเลย” ณิรชาเหยียดแขนเปลือยข้างที่ไม่มีผ้าสไบห่ม ไหล่ลาดลงกลมกลึงสวยงาม สีผิวออกนวลลออ ผิดกับร่างจริงของหล่อนที่สีผิวค่อนไปทางขาว ผอมกะหร่อง แต่คนส่วนใหญ่บอกว่าหล่อนดูดี

เถอะ… จะว่าไปนิยามความสวยงามของแต่ละยุคสมัยไม่เหมือนกันจริงๆ

ไม่ต้องดูอื่นไกล ‘การกินหมาก’ เป็นวัฒนธรรมที่ไม่สามารถทำได้แน่นอน ตอนฟื้นมาใหม่ๆ หล่อนต้องพยายามขัดฟันที่เป็นคราบสีเพราะหมากเสียเกือบแย่ มิไยที่ใครๆ จะบอกว่าไม่งามบ้าง ประหลาดบ้าง แต่ขอเป็นข้อยกเว้นสักเรื่องหนึ่งเถอะ

พิศดูผิวพรรณแม่หญิงไพลินแล้วพานนึกไปถึงเจ้าของร่างที่แท้จริง

“เจ้าของร่างนี้ไปอยู่ที่ไหนหนอ อาจกำลังสลับเข้าไปอยู่ในร่างของเราหรือล่องลอยไปไหนเสียแล้ว”

หญิงสาวรำพึงกับตัวเอง สายตาทอดมองผ่านวัดเล็กๆ ตามคุ้งน้ำแล้วจู่ๆ ก็เกิดระลึกถึงบางสิ่งบางอย่างได้

หลวงตาน้อย! กับพระรูปนั้น! พระธุดงค์ที่มาปักกลดในวัดโบราณ

หล่อนเพิ่งไปถวายสังฆทานก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ

โธ่เอ๊ย! ณิรชาทุบกำปั้นกับฝ่ามือ แตกต่างด้วยวัยแต่เป็นรูปเดียวกันแท้แน่นอน

ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญ การที่จิตวิญญาณของหญิงสาวย้ายเข้ามาในร่างของแม่หญิงไพลินน่าจะถูกกำหนดเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกรรมหรืออะไรก็ตามแต่ ถ้าเกิดเป็นเช่นนั้นจริงๆ แม่หญิงไพลินเจ้าของร่างนี้ก็น่าจะไปอยู่ในรัชกาลที่ 9 ยุครัตนโกสินทร์เช่นกัน

เจ้าหล่อนจะเป็นสุขไหม จะปรับตัวเข้ากับโลกนั้นได้ไหมเล่า ก็ในเมื่อโลกสองร้อยกว่าปีข้างหน้ามันช่างโลดโผนเสียเหลือเกิน วีรกรรมที่หล่อนทำไว้ก็มากมายอย่างนั้น คงทำให้เจ้าหล่อนวุ่นวายพิลึกล่ะ ไม่ต่างจากที่ณิรชาที่กำลังเผชิญอยู่ในโลกนี้หรอก

 

เมื่อถึงบ้าน ณิรชาในร่างของแม่หญิงไพลินก็รีบขึ้นบนเรือน

“ผู้หญิงผู้ดีเค้าไม่เดินเสียงดัง ผีบ้านผีเรือนจะสะดุ้ง” คุณหญิงปรามทันทีที่ขึ้นไปบนเรือน หญิงสาวทราบดีว่ากิริยามารยาทของแม่หญิงไพลินคนใหม่นั้นยังไม่เป็นที่พอใจของคุณหญิงมากนัก กุลสตรีในยุคสมาร์ตโฟนกับกุลสตรีในยุคนี้มีความแตกต่างกันมากมายเหลือเกิน

เรื่องคุณสมบัติกุลสตรีสมัยก่อนมีกฎเหล็กไม่รู้กี่ข้อต่อกี่ข้อ ท่องจำกันไม่รู้หมด ถึงจะจำได้หรือพอทราบมาบ้างจากคนเฒ่าคนแก่บางคนและรวมทั้งที่เคยศึกษา แต่ก็ใช่ว่าจะปฏิบัติได้หมด ตอนนี้ถึงคราวจำเป็นที่จะได้เอาสิ่งที่อ่านในหนังสือเก่าๆ มาลองใช้ ที่ผ่านมาหล่อนได้พยายามเดินเบาๆ แล้วก็ยังโดนหาว่าเดินเหมือนพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ

เฮ้อ! เลยไม่ทราบว่าเดินให้ไม่มีเสียงดังแล้วยังให้สง่างามโดยไม่ต้องย่องนั้นทำกันอย่างไร

“วันนี้แม่หญิงเจอหลวงตาน้อยเจ้าค่ะ” แม่อ่อนรายงานแทนเสียเลย แล้วยังเพิ่มเติมอีก

“ท่านทักว่าแม่หญิงมาไกล มาจากที่ใด”

“เอ… ทำไมท่านถามเช่นนั้น” คุณหญิงเองก็ข้องใจเช่นกัน

ณิรชาเห็นว่าเรื่องชักจะยาวเกินไปจึงรีบตัดบทเข้าไปประจบโดยหยิบหมากพลูให้ “ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะคุณแม่” เท่าที่นั่งมองมาสองสามวันก็พอจะทำอะไรง่ายๆ ได้บ้าง ถึงจะดูเก้งก้างไปหน่อยก็เถอะ อาศัยเป็นคนช่างสังเกต แต่นั่นยังไม่มากพอ ต้องหาทางเรียนรู้เรื่องของแม่หญิงไพลินให้มากขึ้นอีกจะได้ไม่ถูกสงสัย

 

ตกค่ำ แม่อ่อนพี่เลี้ยงกำลังจัดที่นอนให้เรียบร้อย ณิรชาถือโอกาสไปจับมือคนสนิทมานั่งคุยกัน

“พี่อ่อน ฉันมีเรื่องจะปรึกษาพี่อ่อนสักหน่อย”

ผู้สูงวัยมีสีหน้างงงัน แต่ก็ยอมโอนอ่อนตามแรงดึงโดยดี “ดึกแล้วนะเจ้าคะ”

ไม่อยากค้านหรอกว่าดึกตรงไหน พระอาทิตย์เพิ่งจะลาลับฟ้าไปเมื่อไม่นานนี่เอง

“ฉันรู้สึกว่าตั้งแต่ตกบันไดเป็นไข้ป่วยคราวนี้ทำให้ฉันแปลกไปไม่เหมือนเดิม”

พี่เลี้ยงพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ก็อยู่ข้างกายกันมาตั้งนาน จะดูไม่ออกเทียวหรือว่านายเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงใด เหมือนเป็นเด็กๆ ที่ไม่รู้ประสีประสา ไม่มีความทรงจำ พูดจาประหลาด

“บางครั้งฉันรู้สึกสับสนเหมือนไม่ใช่ตัวของฉันเอง และมีหลายอย่างหลายคนที่ฉันจำไม่ได้ พี่เคยสงสัยไหม…ว่า…ฉันในร่างนี้ อาจ…ไม่ใช่แม่หญิงไพลิน”

“ว้าย! อย่าพูดอย่างนี้ให้ใครเขาได้ยินนะเจ้าคะ ชะดีชะร้ายมีคนไปเอาหมอผีมาไล่แล้วจะเจ็บตัว” แม่อ่อนกลับตีความหมายเป็นเรื่องอื่นเสียนี่ เพราะตอนที่แม่หญิงไพลินฟื้นมาใหม่ๆ พร้อมกับอาการประหลาดนั้น เจ้าหล่อนเองพยายามสังเกตอยู่เป็นช่วงๆ หากที่เห็นก็ตัวอุ่น ตามีแวว ชอบตากแดดตากลมกลางแจ้ง กินข้าวกินกับสุกๆ น้ำที่ดื่มก็มีจากน้ำมนต์พระ หนำซ้ำยังห้อยพระของคุณพี่ได้เป็นพวง ไม่มีอาการใดคล้ายผี ทำให้คลายใจไปได้เปลาะหนึ่ง

ยกเว้นอย่างเดียว พูดอะไรไม่รู้ฟังดูประหลาด ซึ่งบางครั้งบ่าวอย่างอ่อนก็ไม่เข้าใจความหมาย

ณิรชาแอบถอนหายใจเฮือกเมื่อพี่เลี้ยงโวยวาย คนโบราณก็อย่างนี้ มีอะไรก็โทษผีโทษสางไว้ก่อน นี่ถ้าบอกว่าหล่อนเองก็เป็นคนเป็นๆ แต่โชคร้ายดันลอยข้ามยุคสมัยมาสิงอยู่ในร่างนายหญิงของเจ้าหล่อน คงโดนน้ำมนต์กับหวายอาคมไล่จนต้องตายไปจริงๆ เป็นแน่

“ฉันไม่ได้คิดว่าฉันเป็นผีอย่างนั้น คนผีเข้าที่ไหนจะมานั่งคุยกับพี่เป็นเรื่องเป็นราวทั้งเช้าสายบ่ายค่ำอย่างนี้เล่า”

“โธ่! แม่หญิง ก็…ผีเข้าผีออกอย่างไรเล่าเจ้าคะ”

คนพูดหน้าตาซื่อ ยิ้มจนเห็นฟันดำ แต่คนฟังสะดุดกึก… หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกในคราวนี้นี่เอง

 

บทที่ 4 รอยฝาก

 

…ถ้ายุคประชาธิปไตยล้นใบแบบสุดๆ ในยุคสมัยข้างหน้า หญิงสาวต้องคิดว่าแม่อ่อนกำลังตีรวนหาเรื่องกวนทางอ้อม หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ‘หลอกด่า’ นั่นเอง แต่พอดูหน้าตาซื่อๆ แล้วก็วางใจ

“สรุปแล้วพี่อ่อนคิดว่าฉันใช่ผีหรือไม่เล่า ถ้าฉันจะบอกว่าฉันคนนี้ไม่ใช่แม่หญิงไพลินของพี่อ่อน”

หล่อนถามงอนๆ คิดว่าถ้าคุยต่อคงไม่ได้เรื่องเพราะความซื่อของเจ้าตัว

“ไม่เชื่อหรอกเจ้าค่ะ ไม่เชื่อแน่ๆ” แม่อ่อนรีบร้องเสียงหลง ก็พิสูจน์แล้วว่าเป็นคนดีๆ นี่แหละ

“ถ้าอย่างนั้นฉันก็อยากให้พี่อ่อนช่วยฉันสักหน่อย เพราะฉันไม่อยากให้คุณพ่อคุณแม่หรือพี่ดวงเป็นกังวลกับฉัน” หล่อนยกคนรอบข้างมาอ้าง

“ให้ช่วยอะไรหรือเจ้าคะ”

“พี่อ่อนก็รู้ว่าฉันจำอะไรไม่ได้เลย แม้กระทั่งญาติสนิท เพื่อนพ้อง พี่อ่อนต้องคอยบอก คอยกำกับฉันว่าแม่หญิงคนเดิมนั้นเป็นเช่นไร ใครเป็นใคร ฉันไม่อยากให้ผู้คนมาว่าได้ว่าหลังจากฟื้นไข้ ลูกสาวบ้านนี้กลายเป็นบ้าสติเลอะเลือนไปเสียแล้ว”

“โถทูนหัวของบ่าว กระทั่งเรื่องของตัวเองก็ยังจำไม่ได้”

ตัวเองไม่ใช่ตัวเองแล้วจะจำได้อย่างไรเล่า! ณิรชาค้านอยู่ในใจ หากพยายามกล่อมแม่อ่อนซึ่งจำเป็นต้องให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูล ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วคงต้องอยู่อีกนาน หลวงตาท่านบอกอย่างนั้น ถือเสียว่ามาเข้าคอร์สอบรมกุลสตรีก็แล้วกัน

 

เรื่องการปรับตัวเวลาที่อยู่ต่างถิ่นปกติไม่ใช่เรื่องยากสำหรับณิรชา

แต่สำหรับตอนนี้ หญิงสาวต้องใช้ความพยายามที่มากกว่าคือการยอมรับในโลกที่กำลังเผชิญอยู่ว่าเป็นใคร ทำอะไร ต้องเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน ที่รู้แน่ชัดว่าฝันประหลาดแบบนี้หมายความว่า

หล่อนกำลังเผชิญกับโลกที่ย้อนกลับไปกว่าสองร้อยปี เป็นยุคสมัยที่ตระหนักอยู่เต็มอกว่าอยุธยาใกล้จะถึงกาลอวสานเต็มที

การทำตัวให้เข้ากับยุคสมัยไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นอกจากต้องเรียนรู้เรื่องราวของแม่หญิงไพลินใหม่โดยที่ไม่ให้ใครสังเกตเห็นแล้ว เรื่องของกิจวัตรประจำวันก็แสนจะยุ่งยาก การรับประทาน การนอนก็มีพิธีรีตอง ไม่รวมไปถึงความขาดแคลนเรื่องระบบสาธารณูปโภคซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ ไม่มีสิ่งใดพอเทียบเคียงกับความคุ้นเคยเดิม ไม่มีแม้กระทั่งคนรู้จัก ดังนั้นคนที่หญิงสาวยึดเอาไว้เป็นที่พึ่งก็คือแม่อ่อนเป็นคนแรก

แต่อย่างนั้นก็ตามจะทำเป็นไม่รู้เรื่องทุกอย่างก็ไม่ได้ แย่ตรงที่เรื่องที่ควรทราบกลับไม่ทราบ แต่เรื่องที่ไม่ควรทราบเช่นอนาคตของอยุธยาจะเป็นอย่างไรกลับรู้ชัดและยังคงเป็นกังวลอยู่

หลวงเสนาสรศักดิ์ พี่ชายของหล่อน ไม่สิ…ของแม่หญิงไพลินเจ้าของร่างเป็นข้าราชการ จำไม่ได้เหมือนกันว่ามีกี่กอง อะไรบ้าง รู้ว่าเป็นทหารรักษาพระนครหรือพวกตำรวจนั่นเอง ส่วนท่านเจ้าคุณผู้บิดาทำหน้าที่ดูแลกิจการทางศาสนา ขึ้นตรงกับวังหลวง

ณิรชาต้องเรียนรู้เรื่องขนบประเพณีบางอย่างที่แตกต่างจากที่เคยทราบมา หนังสือบางเล่มบอกว่าสังคมที่นี่ชายเป็นใหญ่ แต่ผู้หญิงเป็นเพียงเครื่องประดับทางสังคม และเป็นเครื่องมือทางเพศเท่านั้น แต่สำหรับบ้านของท่านเจ้าคุณผู้บิดานั้นไม่ใช่อย่างที่เข้าใจหรือที่เรียนมา

ทั้งท่านเจ้าคุณและคุณหญิงต่างแบ่งหน้าที่กันเป็นอย่างดี ให้เกียรติกันตามสมควร ยามรับประทานอาหารก็เห็นพร้อมหน้า ไม่ได้แบ่งให้ชายรับประทานก่อนแล้วฝ่ายหญิงค่อยตาม อ่อนบอกว่าไม่ได้เป็นเช่นนี้กันทุกบ้านหรอก แสดงว่าในยุคนี้บ้านเมืองมีความหลากหลายอยู่มากทีเดียว

อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้หนักใจก็คือเรื่องนอน คนที่นี่เหมือนมีเวลามากนักหนา ตกค่ำตะวันตกดินก็เข้านอน หญิงสาวต้องนอนกระสับกระส่ายจนถึงดึกเป็นส่วนใหญ่

จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อในยุคของหล่อน บ้านเมืองตื่นตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง

โชคดีที่หล่อนไม่ใช่คนขี้กลัว แต่ยอมรับว่าถ้าให้อยู่แบบนี้คนเดียวคงหวาดๆ อยู่เหมือนกัน โลกที่นี่ทั้งมืดทั้งเงียบ ชนิดที่ว่ามืดจริงๆ และเงียบสงัด มิน่าถึงมีคนว่าไว้

แท้จริงคนไม่ได้กลัวผี หากกลัวความมืดและความเงียบต่างหาก

แม่อ่อน ครูคนเก่งยังบอกว่า ‘ถ้าตอนเช้าตื่นขึ้นมามองเห็นลายมือล่ะถือว่าตื่นสายน่าอับอายขายหน้า ตกเย็นถ้ามองไม่เห็นลายมือก็ถือว่าค่ำแล้ว แม่หญิงไม่ควรลงบ้านยามวิกาลนะเจ้าคะ’

ถึงตอนแรกจะสงบเสงี่ยมเจียมตนเท่าใด ต่อมาพอรู้ว่าแม่หญิงไพลินมีอำนาจมากแค่ไหนในบ้านก็ชักเอาแต่ใจตัวเองเหมือนกัน

“ง่วงจะตายแม่หญิง นอนเถอะเจ้าค่ะ” อ่อนครางพึมพำเมื่อณิรชาสะกิดให้ลุกเพราะนอนไม่หลับจริงๆ

“น่า…พี่อ่อน ลุกขึ้นมาเป็นเพื่อนฉันหน่อย เอาผ้าออกมาห่มข้างนอกก็ได้”

“ไปทำไมเจ้าคะ ข้างนอกหนาวจะตาย” ถ้าคนสองร้อยกว่าปีข้างหน้าได้ยินคงขำกลิ้ง เพราะเรื่องโรคร้อนที่เป็นปัญหา ทำให้มีการล้อเลียนว่าประเทศไทยมีแค่ฤดูร้อนกับร้อนมากเท่านั้น คนที่นี่นับเดือนไม่เหมือนที่ที่จากมา ณิรชาจึงยังนับไม่ได้ว่านี่เป็นฤดูอะไร

“หนาวที่ไหนกัน อากาศกำลังดี พี่อ่อนบอกฉันเองนะว่าวันนี้คืนวันเพ็ญนี่นา มาเถอะ ฉันอยากดูพระจันทร์” ณิรชายังไม่เคยดูพระจันทร์เต็มดวงที่ยุคนี้มาก่อนเลย ที่กรุงเทพฯ หลังจากนี้จะได้ดูพระจันทร์ก็ตอนไปเที่ยวต่างจังหวัด เข้าป่า ณ ที่ไม่มีแสงไฟนีออนอย่างนี้เลยให้ความรู้สึกที่แตกต่าง

“แม่หญิง กลับเข้าห้องเถอะเจ้าค่ะ น้ำค้างลงหนาแล้ว เดี๋ยวจะไม่สบายนะเจ้าคะ”

“เดี๋ยวสิ ขอฉันอยู่อีกเดี๋ยว รู้ไหม พระจันทร์ที่นี่สวย สวยเหลือเกิน ดูอย่างคืนนี้สิ เห็นเป็นวงกลม ชั๊ดชัด”

พี่เลี้ยงมองตามอย่างงงงัน “พระจันทร์ก็เป็นอย่างนี้มาตลอดนี่เจ้าคะ บ่าวไม่เห็นจะแปลกตรงไหน”

“ฮื่อ พี่อ่อนไม่รู้หรอก” ณิรชาถอนหายใจ คนยุคนี้คงยังไม่ทราบสินะ

“นี่แน่ะพี่อ่อน พี่อ่อนอยาก…สวยเหมือนพระจันทร์ไหม” หญิงสาวนึกสนุกอยากแกล้งหยอกล้อคนโบราณขึ้นมาสักที

“อยากสิเจ้าคะ อยาก แหม ก็ดูพระจันทร์สิเจ้าคะ สีนวลสวยผ่องอย่างนั้น ใครก็อยากสวยเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ”

หญิงสาวหัวเราะคิกคักเมื่อคนตอบเคลิบเคลิ้มไปกับความงามของพระจันทร์ “แน่…นะ”

“เจ้าค่า! แล้ว…แม่หญิงหัวร่ออะไรเจ้าคะ ดูมีเลศนัยชอบกล” คนตอบชักไม่แน่ใจ

“หัวเราะ เพราะสิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นเสมอไปหรอกนะ ไอ้ที่ว่าสวย จริงๆ อาจจะไม่สวยนะ”

“ไม่เห็นเข้าใจ”

“ไม่ต้องเข้าใจหรอก แค่ลองจินตนาการ เออ…นึกดูนะ ว่าถ้าแท้จริงแล้ว ไกลออกไป พระจันทร์ก็เป็นเพียงก้อนดินก้อนหินธรรมดาที่ใหญ่หน่อย มีหลุมตะปุ่มตะป่ำ ไม่มีต้นไม้สักต้น ไอ้ที่เห็นแสงนวลๆ นั่นก็ไม่มีอะไรเลย เกิดจากเงาสะท้อนเท่านั้น”

“เป็นไปไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ แม่หญิงเอาอะไรมาพูด”

“ว่าแล้วว่าไม่เชื่อ เอาเท้อ…อีกนานกว่าจะรู้” หญิงสาวเอนกายพิงลงบนชานเรือน ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ขอชื่นชมความงามของพระจันทร์ที่เห็นอยู่ตอนนี้ไปก่อน

เกือบจะเผลอเคลิ้มๆ หลับไปทั้งสองคน ถ้าไม่ได้ยินเสียงคนเดินขึ้นบันได คนโบราณนี่ดีแท้ ทั้งๆ ที่เป็นผู้ชายยังเดินได้เสียงนิ่ม ถ้าไม่เงียบจัดจริงๆ คงไม่ได้ยิน

“อ้าว! สองคนนี่มาทำอะไรค่อนคืนเช่นนี้” หลวงเสนาสรศักดิ์ทักเสียงแผ่วเบา

“ดูพระจันทร์ค่ะ ฉันนึกว่าพี่ดวงอยู่ข้างในเสียอีก” หญิงสาวขยับกาย เพิ่งเห็นว่าเขาไม่ได้ออกไปเดินเล่นเพื่อรับลม แต่แต่งตัวเหมือนเมื่อตอนกลางวัน ในมือยังถือดาบยาว

คนที่นี่บางครั้งก็ไม่สวมเสื้อ บางครั้งก็สวมเสื้อเรียบร้อย ตอนแรกยังไม่ค่อยชินก็รู้สึกเขินๆ แทนอยู่บ้าง แต่พอนานเข้าก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดา

“เปล่าหรอก พี่เพิ่งกลับมา เจ้ามานั่งนอนตากน้ำค้างเช่นนี้จะเป็นหวัดเอานะ” เขาเข้ามานั่งใกล้แต่มีระยะห่าง เห็นว่าประเพณีของคนโบราณ หากเติบใหญ่กันแล้ว ถึงจะเป็นพี่น้องก็ใช่ว่าจะมาแสดงความใกล้ชิดสนิทสนมกันเกินไปได้

“ฉันเห็นว่าพระจันทร์วันนี้งามดี เลยชวนพี่อ่อนออกมานั่งเล่น พี่ดวงไปไหนมาล่ะคะ”

“ก็ไปทำงานตามประสา” ว่าแล้วก็ไม่พูดต่อ จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง

“แล้วอย่างไรเล่า พระจันทร์วันเพ็ญก็เหมือนๆ กับวันอื่นๆ มีอะไรผิดแปลกไปหรือ”

“ผิดแปลกที่กาลเวลาอย่างไรล่ะคะ” หล่อนเผลอพูดแปลกๆ ออกไปอีกแล้ว เลยทำหน้าเหลอหลา

ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ “อืม…ตั้งแต่หายไข้มานี่พูดแปลกหูไปทุกที เอาเถอะ ดึกแล้ว อ่อน…พาแม่หญิงไปนอนเถอะ เพิ่งจะหายป่วย โดนน้ำค้างลงแบบนี้ เดี๋ยวไข้กลับจะเป็นเรื่องใหญ่”

“เฮ้อ! ไล่เราไปนอนเสียทุกที พี่ดวงจะรู้ไหมว่ากาลข้างหน้าเวลาขนาดนี้ยังไม่มีใครนอนหรอก” บอกไปก็อดขำไม่ได้ คนโบราณจะเข้าใจไหมนะ

“เจ้าว่าอะไรนะ” เขาทวนคำถาม

“เปล่าๆ ฉันก็แค่ไม่ง่วงเท่าไหร่เท่านั้นเอง”

“ไปนอนเถอะน่า” ชายหนุ่มทำสัญญาณให้อ่อนมาพาตัวไป

ณิรชาบ่นกระปอดกระแปดแต่ก็ต้องทำตามอยู่ดี ขืนนอนเวลานี้ที่กรุงเทพยุค 2017 ก็คงบ้าตาย คนที่นี่คงจะสับสนน่าดูถ้ารู้ว่าในเวลาข้างหน้า เมืองทั้งเมืองไม่เคยหลับใหล ณ เวลานี้…ในโลกโน้น เป็นเวลาที่เหล่านักเที่ยวเริ่มตระเวนราตรี แล้วจะหยุดก็ต่อเมื่อตะวันหมุนมาบรรจบอีกครั้ง จากนั้นก็จะเริ่มความวุ่นวายในวันต่อไปใหม่ หมุนไปเช่นนั้นไม่มีหยุด

แต่…โลกในวันนี้ ที่นี่ ไม่เหมือนกัน เมื่อคนหยุดก็ดูเหมือนว่าโลกจะหยุดหมุนตาม

คน…หมุนตามโลก หรือโลก…หมุนตามคน

เมื่อคนที่เตือนเขาก็เตือนด้วยความหวังดี หญิงสาวจึงยอมเดินตามแม่อ่อนไปนอนอย่างว่าง่าย แต่ที่ติดเอาไว้ในใจมีมากกว่านั้น เอาไว้วันหลังจะลองไปตระเวนราตรีกรุงศรีอยุธยาดูเสียที!

 

อะไรที่ตั้งใจเอาไว้ ณิรชามักไม่ค่อยทิ้งหรอก เพียงแต่รอโอกาสเท่านั้น

เท่าที่สังเกตมาหลายวันแล้วพบว่า พอตกค่ำหลวงเสนาสรศักดิ์พี่ชายจะค่อยลงเรือนออกไปข้างนอก แล้วจะกลับมาอีกทีตอนดึกหรือย่ำรุ่ง บางครั้งก็ไม่ได้กลับ

วันนี้เช่นกัน เห็นเขาเข้าไปห้องพระตอนหัวค่ำ สวดมนต์สวดคาถาตามกิจวัตร หล่อนสังเกตเห็นว่าวันไหนจะออกข้างนอกเขาจะสวดมนต์ยาวกว่าปกติ และของบูชาพระที่สั่งให้บ่าวตระเตรียมจะมีเยอะเป็นพิเศษ

หญิงสาวเงี่ยหูฟังเสียงคนที่อยู่ฝั่งเยื้องออกไป ตอนแรกคิดว่าพี่ชายให้บ่าวสาวๆ มาปรนนิบัติ ซึ่งก็เดาเอาเองไปตามประสา หากไม่น่าใช่แฮะ!

แน่ล่ะ หล่อนออกจะภูมิใจนิดๆ ว่าพี่ชายคนนี้หน้าตาหล่อเหลา ยิ้มง่าย หากแววตาไม่เหลาะแหละ เวลาพูดคุยกับพ่อแม่ก็ดูเป็นการเป็นงานดี

“พี่อ่อน นั่นเสียงพี่ดวงดูท่าจะไปไหนอีกแล้ว” หญิงสาวหันกลับมาถามอ่อนที่งัวเงียแล้ว กว่าชายหนุ่มจะออกจากเรือนก็คงอีกสักพักเมื่อผู้ใหญ่ต่างเข้าห้องหับกันไปหมด

ทว่า…มืดออกอย่างนี้ คนโบราณเขาจะไปไหนกัน มีที่เที่ยวด้วยอย่างนั้นหรือ

“บ่าวไม่ทราบหรอกเจ้าค่ะ ท่านคงไปเที่ยวตามประสาหนุ่มๆ แม่หญิงจะทราบไปทำไมคะ ไม่ใช่เรื่องของผู้หญิงอย่างเรา”

เฮ้อ… หญิงสาวแอบถอนหายใจ ไม่สนใจอะไรเลยนะแม่อ่อน! นี่ถ้าแม่คนสนิททราบว่าในยุครัตนโกสินทร์ โลกข้างหน้า ผู้หญิงออกจากบ้านกันยันสว่างไม่อยากกลับบ้านก็ไม่กลับคงเป็นลมสลบไปหลายรอบ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนเป็นพวกรักสนุกเกินขอบเขตหรอก มันเป็นวิถีชีวิตบางช่วง โธ่! แม้แต่พรรณพิลาศเองก็เป็นนักปาร์ตี้ตัวยงเหมือนกัน

รับประทานอาหารนอกบ้านตอนหัวค่ำ ตกดึกหน่อยก็ไปปาร์ตี้ ต่อด้วยขับรถไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ชายทะเล แล้วขับรถกลับมาทำงาน เป็นอย่างนี้ออกบ่อยไป

เดาๆ ดูแล้ว คิดว่าวันนี้พ่อพี่ชายต้องออกไปข้างนอกแน่ ณิรชาจึงตัดสินใจคลานไปหยิบกองผ้าที่บอกให้อ่อนตัดเย็บออกมาจากหีบ อุตส่าห์มาถึงนี่แล้วจะไม่ให้สืบให้รู้ได้อย่างไร เสียดายแย่!

“แม่หญิง จะเอาชุดนี้ไปทำไมเจ้าคะ ต๊าย! ตาย”

“ไม่ตายหรอกน่าพี่อ่อน” หญิงสาวทำมือทำไม้ห้ามไม่ให้พี่เลี้ยงคนสนิทส่งเสียง

“จะใส่ไปทำไมคะ ไอ้ชุดแบบนี้ ของเราก็ไม่ใช่ มอญก็ไม่เชิง นั่นน่ะ แม่หญิงคงไม่คิดจะออกไปข้างนอกเหมือนคุณหลวงนะเจ้าคะ”

หล่อนสะดุดนิดหน่อยตรงชุดที่ใช้ดูไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่ แต่ทำอย่างไรได้ หามาได้แค่นี้นี่นา

“ทำไมจะไม่คิด มา…พี่อ่อน มาม้วนเก็บผมให้ฉันเสียดีๆ”

“ไม่ได้หรอกนะเจ้าคะ อย่างนี้ไม่ใช่วิสัยลูกผู้ดี ข้างนอกออกจะอันตราย ถ้าท่านเจ้าคุณกับคุณหญิงรู้เข้า บ่าวจะกลายเป็นคนสมรู้ร่วมคิด หลังจะได้ลายปะไร”

“ถ้าฉันปลอมตัวเป็นผู้ชายได้ไม่ดี ถูกจับได้ หรือเป็นอันตราย พี่อ่อนก็คงไม่แคล้วหลังลายเหมือนกัน” หญิงสาวข่มขู่ทำให้คนสนิทค้อนปะหลับปะเหลือ ใจแข็ง เฉย…ไม่ยอมทำอะไร

“อย่างไรก็ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”

ณิรชาค่อนข้างแปลกใจ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเห็นอ่อนปฏิเสธแม่หญิงไพลินเช่นนี้มาก่อน นี่คงเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ แล้วจะยอมแพ้ได้หรือ…ไม่มีทาง!

“พี่อ่อนจ๋า” หญิงสาวใช้ไม้อ่อน เกาะแขนอีกฝ่ายประจบ “ฉันแค่อยากออกไปดูว่าพี่ดวงทำอะไรถึงได้ออกไปกลางค่ำกลางคืนอย่างนี้บ่อยๆ อีกอย่างฉันอยากเห็นบ้านเมืองทั้งกลางวันกลางคืนว่าแตกต่างกันอย่างไร”

“กลางวันก็พอแล้วนี่เจ้าคะ บ่าวไม่เคยเห็นแม่หญิงออกไปอย่างนี้ มันไม่งามนะเจ้าคะ แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้น…บ่าวจะทำอย่างไร แม่หญิงไม่เคยทำอย่างนี้ จะลูกใครบ้านไหนเค้าก็ไม่ทำกัน” แม้ว่าเสียงจะอ่อนลงไปบ้างแต่ก็ยังไม่ยินยอมพร้อมใจอยู่ดี

“ที่นี่อันตรายนักหรือ ทำไม ผู้หญิงจะออกนอกบ้านไม่ได้เลยหรือ” หญิงสาวถามด้วยความไม่เข้าใจ จริงอยู่…ยามวิกาลในอดีตไม่ใช่เวลาที่ผู้หญิงจะออกไปเพ่นพ่าน แต่ก็น่าจะมีข้อยกเว้นบ้าง

“ก็…ไม่ถึงกับอย่างนั้นหรอกเจ้าค่ะ แต่…ผู้หญิงดีๆ จะไม่ออกนอกบ้านในเวลานี้นะเจ้าคะ”

“ฉันปลอมเป็นผู้ชายนะจ๊ะ พี่อ่อนก็แค่ช่วยเลือกบ่าวที่ไว้ใจได้ที่สุดให้หน่อย ฉันจะตามพี่ดวงไปเงียบๆ ไม่กระโตกกระตาก พอรู้ว่าพี่เขาไปไหนแล้วฉันก็จะกลับ”

“ถ้าอย่างนั้นให้บ่าวไปด้วยนะเจ้าคะ” แม่อ่อนมีสีหน้ายุ่งยากใจนัก เรื่องบ่าวนี่พอหาได้อยู่หรอก ถึงอย่างไรก็พอมีอิทธิพลในหมู่บ่าวและทาสอยู่

“อย่าเลย มันจะเอิกเกริกเกินไปนะ แล้วอีกอย่างถ้าเกิดมีใครเขามาเรียก จะได้มีคนรับหน้า”

“แต่บ่าวเป็นห่วง”

“ในบ้านเราไม่มีบ่าวที่ไว้ใจได้อีกหรือไร” หญิงสาวยืนกรานเรื่องให้แม่อ่อนอยู่ประจำที่ แม่พี่เลี้ยงบ่นหน้าตาซีดเซียวขัดไม่ได้ และคงไม่เคยขัดได้มาตั้งนานแล้วไม่ว่าจะเป็นแม่หญิงไพลินหรือณิรชาก็ตาม

“แม่หญิงนะแม่หญิง พอหายป่วยแล้วพิลึกจัด แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน” เจ้าตัวบ่นไม่ยอมหยุด

“พี่อ่อน ฟังนะ” หญิงสาวจับบ่าพี่เลี้ยงให้หันมาเผชิญหน้าด้วย

“…อีกมากมายในตัวฉันที่พี่อ่อนไม่เคยเจอ และจะต้องเจอในไม่ช้า ใช่แล้ว…ฉันเปลี่ยนไปเพราะฉันตกบันไดและป่วยจนเกือบตาย แต่ฉันเคยบอกพี่แล้วไม่ใช่หรือ ว่าโลกนี้จะเปลี่ยนไปเช่นกัน ฉันอยากรู้อยากเห็น อยากรู้ว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตที่เหลืออยู่ได้บ้าง พี่อ่อนอาจไม่เข้าใจนัก แต่ฉันต้องรีบทำจริงๆ”

“แต่ว่า…” บ่าวคนสนิททำท่าจะท้วงต่อ แต่หญิงสาวไม่สนใจแล้ว

“เอาเถอะพี่อ่อน รีบไปคัดบ่าวมาให้ตามที่ฉันบอกเถอะ เอาเรือมารอด้วย ถ้าพี่ดวงออกฉันจะออกตาม อย่าให้พี่ดวงเห็นเด็ดขาด กำชับให้ดีว่าห้ามพูดมาก แล้วฉันจะให้รางวัล”

“เจ้าค่ะ” อ่อนจำใจทำตามคำสั่งแล้วค่อยๆ ย่องออกไป

ณิรชาอาจจะทะนงตัวเองเกินไป หล่อนไม่กลัวความมืด ไม่กลัวคน ยังอาจหาญคิดว่าจะควบคุมทุกอย่างได้เหมือนกับชีวิตที่เคยผ่านๆ มา โดยลืมคิดไปว่าที่จริงหล่อนไม่ได้รู้จักอยุธยาในยุคนี้อย่างถ่องแท้แม้แต่น้อย

 

ไม่นานแม่หญิงไพลินในคราบของผู้ชายก็ค่อยๆ เดินลงเรือนทางด้านหลังอ้อมตรงไปยังเรือตามที่นัดแนะเอาไว้ ที่เรือมีบ่าวคนหนึ่งรออยู่ ตัวสั่นงันงกเหมือนกันกับแม่อ่อน

“ไอ้ปลั่ง…ดูแลเจ้านายให้ดี ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับแม่หญิงกูจะตามไปถึงโคตรมึงแน่” อ่อนพอจะรู้จักใช้คนอยู่บ้าง คนที่เลือกเป็นคนที่มั่นใจได้ รวมทั้งเทือกเถาเหล่ากอที่จะตามไปจัดการได้

“โธ่พี่อ่อน ฉันกลัวจะแย่แล้วนะ เกิดอะไรขึ้นฉันรับไม่ไหวนะ” เด็กหนุ่มท้วงปากคอสั่น ใจไม่อยากทำหน้าที่นี้เลย ติดอยู่ที่ว่าแม่อ่อนก็มีบุญคุณกับเขามาตั้งแต่ตอนมาอยู่บ้านนี้ใหม่ๆ

“แม่หญิงสั่ง… เอ็งกล้าขัดหรือวะ”

“ก็…ไม่กล้าน่ะสิ” เด็กหนุ่มหน้าซีดเซียว ถือว่าเป็นเรื่องซวยจริงๆ ใครก็รู้ว่าแม่หญิงไพลินนั้นเอาแต่ใจแค่ไหน เคยได้ยินมาว่าสั่งโบยทาสที่อยู่หลังเรือนมาแล้ว ชะดีชะร้ายก็โดนดุด่า ปกติเขาไม่เคยไปเข้าใกล้นายหญิงคนเล็กอยู่แล้ว ตอนที่แม่อ่อนตามให้มาเป็นฝีพายนั้นเขาก็แทบอยากหนีกลับบ้านเลยทีเดียว

เดิมพ่อส่งเขามาขัดดอกเอาไว้ อยู่มาอยู่ไปท่านผู้ใหญ่ของบ้านและหลวงเสนาสรศักดิ์ก็เมตตาเป็นอย่างดีเลยอยู่ต่อมาเรื่อยๆ ตอนนี้เขาต้องมารับใช้แม่หญิงไพลินที่ใครๆ ว่าพอหายป่วยแล้วก็เพี้ยนไปจากเดิม ถึงขั้นบ่าวบางคนแอบนินทาว่าผีเข้าเสียด้วยซ้ำ ก็แต่ไหนแต่ไรเคยยิ้มหรือสนทนากับบ่าวหรือก็ไม่นี่นา

อีกใจหนึ่งก็เห็นว่าท่านทั้งหลายมีบุญคุณกับเขานัก ปัญหาอยู่ที่ถ้าเกิดอะไรขึ้นเขาก็คงต้องทำการปกป้องเพื่อสนองคุณ

“ปลั่ง…ขอบใจนะที่มาเป็นเพื่อน” แม่หญิงไพลินกล่าวกับเขาเบาๆ เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบเพราะมัวแต่กลัว

“แอบอยู่ตรงนี้ก่อน รอให้เรือพี่ดวงออกไปแล้วเราค่อยตาม”

“ขะ…ขะ…ขอรับ”

 

เมื่อเห็นว่าเรือของหลวงเสนาสรศักดิ์เริ่มขยับออกจากท่าใหญ่หน้าบ้าน เด็กหนุ่มก็ได้รับสัญญาณให้ตามจากแม่หญิงไพลินซึ่งสวมชุดชาวบ้านธรรมดา หนำซ้ำยังเอาถ่านดำๆ ปาดไว้เหนือริมฝีปากเป็นหนวด ยามมืดนั้นย่อมคล้ายกับหนุ่มน้อย เรือลำน้อยค่อยๆ ออกจากท่าโดยมีอ่อนส่งสายตามองตามด้วยความเป็นห่วง

สายตาของณิรชาคอยจ้องตามเรือลำข้างหน้า ในขณะเดียวกันก็เหลียวมองบรรยากาศรอบข้างที่เงียบสนิท คืนนี้เหมือนพระจันทร์จะเป็นใจส่องสว่างเพียงครึ่งดวง มีเพียงแต่เสียงพายจ้ำลงน้ำ บ้านเรือนริมชายคลองส่วนใหญ่มืดสนิท มีแต่เพียงเรือนใหญ่เท่านั้นที่มีคบไฟปักอยู่เพื่อแสดงอาณาเขต

เรือที่แล่นในคลองที่ตัดไปตัดมาในอยุธยานั้นไม่ได้มีแค่สองลำ เรือที่สวนและตามกันยังพอมีบ้าง หญิงสาวนั่งนิ่งพลางเบือนหน้าไปทางอื่นเสียหากเมื่อสวนกับเรือลำอื่น

“ปลั่ง จำเรือของพี่ดวงได้หรือ เราแซงเรือลำอื่นมาหลายลำเหมือนกันนะ”

“จำได้ขอรับ แสงไฟของเรือแต่ละลำไม่เหมือนกัน บ่าวจำความสูงได้ นั่นเรือลำโน้นแสงไต้ต่ำลงมาหน่อย ไม่ใช่ของคุณหลวงขอรับ ของท่านจะเลยลำนั้นไป กำลังเลี้ยวโค้งคุ้งหน้าแล้ว”

“เออ…เก่งนี่…” หญิงสาวชมด้วยความจริงใจ “แล้วรู้ไหมว่าเขาน่าจะไปไหนกัน”

“น่าจะเป็นตลาดหน้าวังจันทร์นะขอรับ” พอสักพักเด็กหนุ่มก็เริ่มคุ้น แม่หญิงไพลินไม่น่ากลัวอย่างที่เคยคิด

หล่อนอยากทราบเหมือนกันว่าตลาดหัวรอมีอะไรยามค่ำคืนเช่นนี้

ณิรชาได้เห็นคำตอบเมื่อเรือลำน้อยเลี้ยวเข้าคุ้งน้ำตลาด เสียงคนหัวเราะ แสงไฟ และความวุ่นวายรออยู่ ณ ตรงนั้น หญิงสาวสะกิดให้ปลั่งเทียบเรือกับท่าเรือเล็กๆ เมื่อเห็นว่าเรือลำที่ถูกติดตามเบนเข้าเทียบท่าใหญ่

พี่ชายของแม่หญิงณิรชาคงชอบเที่ยวเหมือนกัน ที่ออกมาคงมาสังสรรค์กับเพื่อนทุกวันตามประสา เคยอ่านหนังสือผ่านๆ อยู่เหมือนกัน กิจกรรมของผู้ชายไทยสมัยก่อนในยามไร้ศึก ไม่มีอะไรนอกจากกินเหล้าเคล้านารี สูบฝิ่น เที่ยวและเล่นการพนัน คนทำงานจริงๆ คือผู้หญิง

นี่คงจะจริงอย่างที่หนังสือว่าไว้เป็นแน่ พี่ดวงของแม่หญิงไพลินคงไม่ต่างกันสักเท่าไหร่

แต่ลึกๆ นั้นยังอดมีความหวังเล็กๆ ว่าหนังสือที่ชาวต่างชาติเขียนเอาไว้ว่าชายชาวอยุธยาเอาแต่กินเหล้าสูบยาและขี้เกียจ อาจหาใช่ความจริงไปเสียทั้งหมด

“แม่หญิง…กลับได้แล้วหรือยังขอรับ” ปลั่งจำได้ว่าหน้าที่คือพาแม่หญิงไพลินให้รู้ว่าหลวงเสนาไปไหนแล้วให้พากลับ

“เดี๋ยวสิ ฉันจะขึ้นไปดูอะไรสักหน่อย”

“แม่หญิง! อย่าเลยขอรับ” บ่าวตัวสั่น จะให้ยื้อยุดฉุดเอาไว้ก็ไม่ได้

“น่า…ไปดูเดี๋ยวเดียว ประเดี๋ยวค่อยกลับ” หล่อนใช้ไม้เดียวกับที่ใช้กับอ่อน โธ่! มาถึงที่สังสรรค์ของชายหนุ่มยุคโบราณทั้งที ขอให้ได้รู้ได้เห็นเถอะ

มิน่าถึงไม่มีใครเตรียมการทำศึกกันเลย! อยุธยาถึงได้สิ้น

“อย่าไปเลยขอรับ” ปลั่งแทบกราบ คิดแต่ว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องใหญ่แน่นอน

ไม่มีประโยชน์เหมือนกับที่แม่อ่อนทัดทานนั่นแหละ ร่างของแม่หญิงไพลินกระโดดขึ้นฝั่งเสียแล้ว

ที่จริงณิรชาไม่ได้อยากรู้หรืออยากติดตามเรื่องราวของหลวงเสนาสรศักดิ์อีกต่อไปแล้ว สนใจอยากดูอย่างอื่นมากกว่า โธ่เอ๊ย! นึกว่าจะได้เจอคนที่จริงจังเหมือนอย่างกับพ่อพันรบเพื่อนรัก รายนั้นตั้งใจแน่วแน่มาตั้งแต่เด็กทีเดียวว่าจะเป็นรั้วของชาติ และเขาก็เป็นได้ดีอย่างน่าชื่นชม ไม่เจ้าชู้ให้วุ่นวาย เวลาพวกหล่อนไปเที่ยวที่ไหนก็ไม่มีใครกล้ามาวอแวด้วย เพราะมีนายทหารหนุ่มตามดูแลสาวสองคนเสมอ

 

หญิงสาวเดินผ่านไปตามเรือนแพและซุ้มต่างๆ ซึ่งมีแสงไฟสลัว บางซุ้มกินเหล้า บางซุ้มเล่นการพนัน ตั้งใจเอาไว้ว่าจะลองเข้าไปดูสักที มีตื่นเต้นตรงที่เกือบถูกผู้หญิงกลุ่มหนึ่งฉุดเข้าไปในเรือนแพที่อยู่ข้างๆ โชคดีที่ดิ้นหลุดแล้วหนีออกมาได้ทัน ได้ยินตามหลังล่ะว่า ‘ผู้ชายอะไรเนื้อนิ้มนิ่ม’

เกือบจะกลับไปยังเรือที่ปลั่งรออยู่แล้วเชียว!

ณิรชาหยุดเท้าเมื่อเห็นหลวงเสนาสรศักดิ์กำลังยืนคุยกับชายหนุ่มอีกคนหนึ่งอย่างเคร่งเครียด

ผู้ชายคนนั้นดูน่ากลัวเพราะรูปลักษณ์ตัวใหญ่กว่าพี่ชายของแม่หญิงไพลินนัก หน้าตาแม้ท่ามกลางไฟจากแสงไต้ยิ่งมีเค้าน่ากลัวไปใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เคราที่คลุมรอบหน้า

นี่พี่ชายของหล่อนคบหาคนแบบนี้ด้วยหรือ…

หญิงสาวรีบแอบตรงพุ่มไม้ไกลไปหน่อยจึงไม่ทราบว่าพวกเขาคุยอะไรกัน เห็นแต่ท่าทางพิรุธเหมือนกับกำลังตกลงอะไรกันบางอย่าง หนำซ้ำในมือของทั้งสองยังถือดาบ ซึ่งไม่น่าจะมาเที่ยวอย่างเดียว สักพักพวกเขาก็ชวนกันเข้าไปในเรือนแพหลังหนึ่ง

กำลังจะขยับเข้าไปใกล้ๆ ถ้าบังเอิญไม่มีเสียงเอะอะมาจากข้างใน มีคนกลุ่มหนึ่งแตกฮือออกมา จากนั้นผนังเรือนแพก็พังลงมาเป็นแถบพร้อมกับเสียงวี้ดว้ายของผู้หญิงกลุ่มหนึ่งในนั้น บางคนตกน้ำไป ท่ามกลางเสียงโครมครามมีผู้ชายคนหนึ่งกระเด็นออกมาข้างนอกล้มลุกคลุกคลาน พี่ชายของหล่อนและเพื่อนร่วมแก๊งตามเข้าไปซ้ำ โชคดีที่คนที่ลงไปคลุกฝุ่นมีดาบอยู่ในมือจึงยกขึ้นตั้งรับได้ แต่กลับถูกพี่ชายของหล่อนปัดดาบนั้นปลิวไปไกล

ณิรชามองเหตุการณ์นั้นอย่างผิดหวัง นึกว่าหลวงเสนาสรศักดิ์นั้นเป็นคนดี เป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง ที่แท้…ก็เป็นแค่นักเลงโต มาทำร้ายคนอื่น รุมกันแบบนี้ไม่ยุติธรรมเลย!

“ไหนว่าคนสมัยก่อนเขาสู้กันตัวต่อตัวไง” หล่อนบ่นกับตัวเอง ในความเป็นจริงก็ไม่เห็นต่างกับพวกนักเรียนตีกันในยุคสมัยอีกสองร้อยกว่าปีข้างหน้า

เมื่อผู้ชายคนนั้นตั้งหลักได้ก็รีบวิ่งเข้าไปในพุ่มไม้ พี่ชายของหล่อนกับเพื่อนรีบวิ่งตามไป ณิรชารู้สึกโกรธและเสียศรัทธาจนลืมตัว วิ่งไปเก็บดาบที่ผู้ชายคนนั้นทำตกไว้แล้วรีบตามเสียงเอะอะนั้นไป

และเป็นอย่างที่คาด คนที่เป็นเหยื่อล้มลุกคลุกคลานกับการหมายมาดเอาชีวิตของคนสองคน ถูกเท้าของคนตัวโตตวัดเตะจนหงายหลัง ส่วนคนที่พวกเยอะกว่าก็กระเหี้ยนกระหือรือที่จะเอาชีวิต ในระหว่างนั้นเอง เพื่อนของหลวงเสนาสรศักดิ์ก็ชูดาบขึ้นพร้อมที่จะฟันลงไป ส่วนคนที่ล้มอยู่ก็เงยคอขึ้นรับอย่างถือดี

ณิรชาไม่อยากให้พี่ชายของหล่อนทำผิดพลาด ไม่อยากให้เขาต้องเป็นคนเลว หล่อนเชื่อว่าความเมตตาที่ชายหนุ่มมีให้กับแม่หญิงไพลินนั้นเป็นของแท้

ถ้าขอร้องให้เขาไว้ชีวิตผู้ชายคนนั้น พี่ชายของหล่อนอาจจะยอม

“พี่ดวง…อย่า!”

ณิรชาตัดสินใจโผล่พรวดออกไป! ป้องร่างของผู้ชายคนนั้นเอาไว้พร้อมกับยกดาบที่ถือติดมือมาขึ้นรับดาบใหญ่ที่กำลังฟันลงมา ประกายดาบสีเขียวเรืองยังติดตา แรงและน้ำหนักที่ต่างกันคงเหมือนกับจักรยานและรถถังชนกัน รถจักรยานของหล่อนถึงต้องแบนแต๊ดแต๋ตามระเบียบ

หญิงสาวล้มกระแทกพื้น รู้สึกว่าทั้งแขนร้าวจนต้องปล่อยให้ดาบในมือหลุดผัวะทันทีที่กระทบกัน แรงขนาดไหนไม่ทราบ ทราบแต่ว่าหัวแทบฟาดพื้นจนผ้าโพกศีรษะหลุด

“โอ๊ย!” หล่อนร้องพร้อมกับยกแขนขึ้นป้องตามสัญชาตญาณ

เสียงร้องของหล่อนทำให้คนที่ฟันลงมาชะงักตกใจ แต่ถึงกระนั้นเพียงเสี้ยววินาทีก็ช้าเกินกว่าจะรั้งเอาไว้ได้ แรงส่งของดาบทำให้ปลายคมยังคงตวัดกรีดแขนของหล่อนเป็นแนวยาว ร่างใหญ่หนาเซถอยออกไปจากการฝืนแรงของตัวเองกะทันหัน

“เฮ้ย! …ไพลิน!” เสียงของหลวงเสนาสรศักดิ์ทำให้ความชุลมุนหยุดในทันที

“ไพลิน!”

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: