X
    Categories: LOVEทดลองอ่านในม่านกาล

ทดลองอ่านนิยาย ในม่านกาล บทที่ 5

บทที่ 5

 

“I went to a Chinese restaurant to buy a loaf of bread. They asked me what my name was, and this is what I said : My name is E.I., E.I. Nickelye, Nickelye Pom pom poodle, willy willy whiskers. My name is FREEZE!* …ทางซ้ายเหรอ”

หญิงสาวหันไปมองเส้นทางทอดยาวด้านซ้ายตามการร้องเพลงชี้นิ้วเลือกก่อนจะมุ่นคิ้วน้อยๆ

“…งั้นไปทางขวา” ว่าแล้วก็หันหน้าไปอีกด้านทันที

ไลลาจำเส้นทางตอนที่เดินจากเกสต์เฮ้าส์ของคุณอิงอรมาที่วังสวนกระจกไม่ได้ แต่ก็ยังมีเศษเสี้ยวของภาพอาคารบ้านเรือนและรถราแขวนหมิ่นเหม่อยู่ในสมอง ทว่าเมื่อเธอมายืนหน้าประตูวังในยามนี้ สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้ากลับไม่มีสิ่งใดดูคล้ายภาพในความทรงจำเลยสักนิด

…วังสวนกระจกยังดูหรูหราบนความเรียบง่าย ทั้งสวยงามน่าอยู่ยิ่งนัก หากรอบด้านกลับเป็นสวนผลไม้เรียงต้นสูงประกบซ้ายขวารวมถึงอีกฟากฝั่งซึ่งมีถนนสายเล็กๆ เพียงเลนเดียวตัดผ่าน บรรยากาศจึงดูเขียวครึ้มแปลกตา สงบเงียบด้วยไม่มีเสียงเครื่องยนต์มาเร่งเร้าให้วุ่นวายใจ…ใครเล่าจะเชื่อว่าภายในเวลาเพียงหกสิบกว่าปี ทุกสิ่งจะเปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ความเจริญของวัตถุกลืนกินวิถีชีวิตไปหมดสิ้นเสียแล้ว…

หญิงสาวลอบหันกลับไปมองอาคารทรงโคโลเนียลด้านหลังอีกครั้ง ดวงตาสีน้ำตาลแกมเขียวเก็บรายละเอียดโดยรอบอยู่ครู่หนึ่งด้วยยังสงสัยถึงความทรงจำในฝันที่หายไปไม่สร่างซา มิวายพินิจหาเงาของเจ้าของวังอย่างอดไม่ได้ แม้เขาจะเป็นคนไล่เธอออกมาเอง…แต่ส่วนเล็กๆ ในมุมหนึ่งของใจก็ยังคาดหวังว่าร่างสูงจะลงมาตามตนกลับเข้าไปอยู่ดี

…เข้าข้างตัวเองเกินไปแล้ว

จิตใต้สำนึกกระซิบเยาะเย้ย

ไลลาสะบัดหัวอย่างแรงสองสามทีจนเรือนผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนพลิ้วเป็นเกลียวคลื่น ก่อนที่เรียวขายาวจะพาตัวเองก้าวเดินออกมาโดยไม่เหลียวหลังกลับเป็นครั้งที่สอง ในเมื่อไล่ออกมาเธอก็ไม่กล้าขออยู่ต่อให้รำคาญใจ วังนั่นเป็นของเขา เขามีสิทธิ์ทุกอย่างอยู่แล้ว…

 

ตลอดสองฟากฝั่งของถนนหากไม่นับสวนผลไม้หนาตาแล้ว ยังมีบ้านอยู่อีกสามสี่หลังคาเรือน ปลูกเว้นช่วงกันตามรายทาง ทั้งที่มีรั้วรอบขอบชิดและกลืนรวมกันกับหมู่ไม้คลุมกิ่งก้าน นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรให้สะกิดใจอีก ที่เด่นชัดสะท้อนนัยน์ตามีเพียงสีเขียวหลากหลายเฉดไล่ระดับรอบกายและสีฟ้ากระจ่างแซมด้วยกลุ่มเมฆขาวเบื้องบนเป็นเพื่อนแก้เหงาเท่านั้น โลกสงบเงียบจนชวนให้หวนนึกถึงชีวิตวัยเยาว์ที่ทั้งตื้นเขินและไร้กังวล ไลลาจึงกระโดดร้องเพลงไปเรื่อยๆ ตามนิสัยอยู่นิ่งไม่ค่อยเป็น บางครั้งก็แวะมองต้นไม้แปลกตาอยู่นานสองนาน หากผลหมากรากไม้กลับไม่ได้อยู่ในความสนใจสักนิด เพราะดูไปก็แอบเก็บกินไม่ได้อยู่ดี รังแต่จะให้คิดเสียดายเปล่าๆ

ขณะที่หญิงสาวกำลังยืนดูดอกไม้สีแดงสดที่น่าจะขึ้นเองตามธรรมชาติอยู่นั้น ก็มีจักรยานรับจ้างคันหนึ่งปั่นมาจอดตรงหน้าบ้านซึ่งเยื้องออกไปไม่ไกลนักพอดี จากนั้นก็มีหญิงชราก้าวลงมาพร้อมข้าวของมากมาย ส่วนมากเป็นถุงกระดาษที่มีตัวอักษรอ่านยากพิมพ์ประทับไว้ คล้ายถุงจากห้องเสื้อสักแห่ง

เพราะนี่คือคนกลุ่มแรกที่ได้เจอหลังออกมาจากวังสวนกระจก ไลลาจึงรีบวิ่งเข้าไปหาทั้งสองทันที เธอผิวปากอย่างลิงโลด สองหูพลันจับฟังบทสนทนา

“ขอบใจจริงๆ นะจ๊ะพ่อที่อุตส่าห์ถีบมาส่ง คนอื่นพอรู้ว่าบ้านยายอยู่ไกลก็บิดตะกูดกันหมด ไม่มีใครกล้ารับสักคน”

“ไม่เป็นไรจ้ะยาย ฉันมาส่งฟรีเสียที่ไหน ก็เก็บเงินจากยายอยู่ดีนั่นแหละ” หนุ่มจักรยานรับจ้างยิ้มจริงใจตอบกลับ ทำเอาคนแอบฟังลอบจุปากชื่นชม

หญิงชราพยักหน้าหงึกหงัก ควักเงินจากตะกร้ายื่นให้

“นี่เยอะเกินไปแล้วยาย เงินทอนฉันไม่พอนะเนี่ย” ชายหนุ่มเกาหัวแกรกๆ ขณะที่คู่สนทนากลับยัดเงินโดยไม่อิดเอื้อน

“รับไปเถอะ ถือเป็นค่าปั่นกลับตลาด แค่มานี่ยายก็ปวดปลีน่องแทนแล้วล่ะพ่อเอ๊ย”

แม้จะละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็ไหว้รับเงินนั้นแล้วหักจักรยานกลับออกไป

ริมฝีปากอิ่มแย้มพราย เร่งสองขาวิ่งเข้าไปกระโดดแผล็วขึ้นรถด้วยทันที ชายหนุ่มที่ปั่นจักรยานฉิวจู่ๆ ก็ชะงักกึก ด้วยน้ำหนักอันไร้ที่มาหน่วงจากด้านหลัง แต่เมื่อหันมาดูก็พบเพียงความว่างเปล่า จึงได้แต่ปั่นต่อไปแม้จะยังมีท่าทีคาใจอยู่ก็ตาม

“ขอโทษนะพี่ชาย ขอติดรถไปด้วยหน่อยแล้วกัน ไม่งั้นฉันคงได้เป็นผีเฝ้าสวนผลไม้แถวนี้แน่ๆ”

เธอว่าพลางเอนตัวเข้าไปทำท่าบีบนวดคนตรงหน้า ทั้งยังพูดจ้อไม่หยุดแม้จะรู้ว่าเขาไม่ได้ยินก็ตาม

…ขณะที่หนุ่มจักรยานรับจ้างกลับรู้สึกขนลุกเกรียวขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อมองสองข้างทางก็มีเพียงสวนผลไม้เงียบเชียบชวนให้วังเวงอย่างไรชอบกล ไหนจะรถที่ดูฝืดๆ หนักๆ นี่อีก…เพียงเท่านั้นก็เผลอกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอเอื๊อกใหญ่ เร่งปั่นจักรยานกลับเข้าตลาด ไม่กล้าหันหลังกลับไปมองอีกเลย

 

ตลาดที่ไลลามาถึงดูคึกคักกว่าที่คิดเอาไว้อยู่มากโข ร้านรวงตามห้องแถวมีคนเดินเข้าเดินออกอยู่ตลอดเวลา ข้าวของเครื่องใช้ที่ขายล้วนเป็นรูปแบบที่ยุคของเธอเรียกว่า ‘วินเทจ’ แทบทั้งสิ้น หลังจากกล่าวขอบคุณจักรยานรับจ้างหนุ่มซ้ำไปมาหลายครั้งก็ผละตัวออกมา ไลลาเพิ่งจะรู้สึกชอบใจสภาพไร้ตัวตนก็ยามที่ได้เดินชมสินค้าต่างๆ นี่เอง เพราะไม่ว่าจะอยู่นานครึ่งค่อนวันหรือกระโดดโลดเต้นอย่างไรก็ทำได้โดยอิสระ ไม่ต้องพะวงว่าจะไปแตะต้องอะไรให้เสียหาย ต่อให้วิจารณ์หรือชื่นชมก็ทำได้ง่ายดาย ด้วยไม่จำเป็นต้องรักษาน้ำใจกับใคร

อีกสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าข้าวของที่วางขาย ก็คือเหล่า ‘เพื่อนวิญญาณ’ ในตลาด ซึ่งเธอก็เติมคำว่า ‘เพื่อน’ เข้าไปเองโดยไม่ถามความสมัครใจจากใครสักนิด

…ไลลาไม่เคยเห็นผี และที่ผ่านมาแม้จะไม่เคยหมกมุ่นมากนักเพราะถือเป็นเรื่องไกลตัว แต่ก็กลัวสิ่งที่มองไม่เห็นเหมือนกับปุถุชนทั่วไป กระทั่งตนได้มาเป็นผีเสียเอง จึงเพิ่งสังเกตว่าความกลัวนั้นก็พลันหายไปราวควันไฟที่ถูกลมพัดเป่า อาจเพราะความน่ากลัวที่แท้คือความไม่รู้…ไม่แน่ใจในสิ่งที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ ทว่ายามนี้เธอได้คลายความสงสัยอย่างแจ่มแจ้งแล้ว ทั้งยังกลายมาเป็นความพิศวงเหนือตรรกะนึกคิดเสียเอง จึงอุปมาได้ว่าการมองเห็นวิญญาณไม่ต่างจากเสาวิทยุที่รับคลื่นความถี่ตรงกัน

หากเกรงกลัวสิ่งเหล่านั้นก็เท่ากับเกรงกลัวตัวเองไปด้วย…พลอยจะบั่นทอนความสุขเสียเปล่าๆ

แต่เหล่าผีที่ไลลาได้เห็นก็แตกต่างกันออกไปราวถูกแบ่งชนชั้นวรรณะในหมู่วิญญาณด้วยกัน…บ้างก็ดูงดงามด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์แพรวพราว โปร่งใสหากก็เป็นประกายระยับตา ชวนให้อิ่มเอมใจเมื่อได้พิศมอง แต่กลับปรากฏตัวเพียงแวบเดียวก็หายไปไม่ค่อยเข้าใกล้ผู้คนมากนัก บางครั้งทำท่าราวเหม็นสาบมนุษย์ก็มี ขณะที่วิญญาณส่วนมากที่ได้พบเจอกลับมีลักษณะคล้ายมนุษย์ธรรมดาทั่วไป เดินปะปนแทบแยกไม่ได้ ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ หากใบหน้ากลับแสดงอารมณ์อย่างหนึ่งอย่างใดตลอดเวลา บ้างลุ่มหลง บ้างโศกเศร้า ส่วนมากจะดูครุ่นคิด คล้ายมีเรื่องให้ยึดเหนี่ยวไม่อาจปล่อยวาง แต่ก็สามารถโต้ตอบพูดคุยกันได้ หากไม่เข้าไปวุ่นวายกับบ่วงของกันและกัน แต่อีกประเภทหนึ่งนี่สิที่ต่อให้เป็นวิญญาณเหมือนกันก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะนอกจากกลิ่นสาบสางและลักษณะท่าทางทุกขเวทนาจนชวนให้รู้สึกสังเวชใจแล้ว บางตนยังดุร้าย ถมึงทึงบิดเบี้ยว ที่แย่คือบางตนดูไม่ต่างจากสัตว์เลยก็มี…

เมื่อพิจารณาวิญญาณเหล่านั้นแล้วลองเปรียบเทียบกับตัวเองเล่นๆ ดู คิ้วเรียวกลับต้องขมวดมุ่น เพราะแม้จะดูคลับคล้ายคลับคลากับผีทั่วไป แต่ไลลาก็ไม่ได้มีลักษณะยึดเหนี่ยวกับห้วงอารมณ์ใดทั้งสิ้น ทุกอย่างลื่นไหลไปตามสภาพการณ์เหมือนครั้งยังมีชีวิต เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เป็นเพียงเดรสสีขาวยาวเท่าเข่าราบเรียบ คล้ายชุดที่คุณมาริสาเคยตัดและยัดเยียดให้สวมหากหญิงสาวก็อิดออดมาโดยตลอด…ไม่ได้วาววับหรือโสโครกแต่อย่างใด จึงไม่อาจจำกัดความประเภทของตนได้เลย

สุดท้ายเมื่อคิดแล้วหนักหัว ไลลาก็โยนความคิดนั้นออกไปเสียดื้อๆ ราวก้อนอิฐที่ทิ้งขว้างได้โดยง่าย เพราะถึงจะระบุชนิดได้หรือไม่ก็ไม่มีใครมองเห็นเธออยู่ดี

ไร้ตัวตน…จะเป็นอย่างไรก็ยังไร้ตัวตนอยู่วันยังค่ำ

 

ไลลาเดินเที่ยวอยู่ในตลาดกระทั่งถึงเวลาเย็นย่ำ ดวงอาทิตย์อาบไล้อาคารบ้านเรือนเป็นสีส้มละมุนมองดูคล้ายภาพถ่ายสีซีเปีย ร้านรวงเริ่มปิดไปบ้างตามเวลาทำการ เสียงประตูเหล็กจึงดังแกรกกรากเป็นระยะสลับไปกับเสียงนกร้องคืนรัง ภาพความครึกครื้นเมื่อตอนกลางวันแม้จะบางเบาลงแต่ยังมีคนเดินไปมาผ่านตา คล้ายว่าโลกยามราตรีกำลังจะเปิดฉากในไม่ช้านี้

ดวงตาสีประหลาดมองตามหนุ่มสาวที่เดินจูงมือกันกลับบ้านก่อนจะเบ้ปากน้อยๆ ทรุดตัวลงนั่งชันเข่ากับพื้นด้วยไม่ต้องเกรงว่าใครจะมองเห็น พินิจพิจารณาผู้คนทั้งหน้าตาและการแต่งกาย ขณะที่ในหัวกลับคิดแผนการลอบเข้าพักในโรงแรมใกล้ๆ นี้…ไหนจะโรงหนัง โรงละครอีก คนอื่นมองไม่เห็นนี่มันดีอย่างนี้นี่เอง จะทำอะไรก็ฟรีไปเสียทุกอย่าง…หญิงสาวส่ายหัวให้กับช่องทางเอารัดเอาเปรียบของตัวเอง ถ้าพ่อรู้ว่าขี้โกงแบบนี้คงได้ถูกจับไปอบรมพฤติกรรมอีกสามวันเจ็ดวัน

ในตอนนั้นเองไลลาก็ได้สังเกตเห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่เยื้องหัวมุมถัดไป เป็นรถยนต์เปิดประทุนสีขาวไข่ไก่ที่ดูหรูหราเป็นมันปลาบ แม้เธอจะไม่ใช่คนในวงการนักสะสมรถยนต์ซ้ำยังเห็นว่าเครื่องสี่ล้อนี้เป็นเพียงยานพาหนะยามเดินทางเท่านั้น แต่ก็อดชื่นชมรสนิยมของคนขับไม่ได้อยู่ดี

รวดเร็วดังใจคิด หญิงสาวก็ผุดลุกขึ้นไปชมให้ใกล้กว่าเดิม…นั่นอย่างไร ชายเจ้าของรถกำลังยืนกอดอกพิงประตูราวนายแบบถ่ายนิตยสาร ท่าทางคล้ายกำลังมองหาอะไรสักอย่างหากก็ดูไว้ตัว รักษากิริยาได้สงบนิ่ง กีดกันตนเองจากผู้คน ดวงหน้านวลฉายแววประหลาดใจเมื่อเห็นชายหนุ่มใกล้ขึ้น ก่อนจะแย้มยิ้มมีเลศนัย ย่องเข้าไปด้านหลังเงียบเชียบ แล้วโผล่หน้าใส่ร่างสูงอย่างรวดเร็ว

“จ๊ะเอ๋!!”

ไลลากระโดดพรวดพร้อมทำหน้าแลบลิ้นปลิ้นตา ทว่าหม่อมเจ้าดิเรกภาสกรกลับขมวดคิ้วมองเธอนิ่ง ประกายประหลาดใจผุดวาบเพียงแวบเดียวเท่านั้น

“อ้าว ไม่ตกใจหน่อยเหรอคะ” หญิงสาวยู่ปาก ตัวเธอเองเสียอีกที่หัวเราะจนท้องแข็งไปหมดแล้ว

“ทำอะไรของหล่อน”

ร่างสูงพินิจพลางระบายลมหายใจออก

“โธ่ ไหนๆ เป็นผีแล้วก็กะว่าจะแกล้งหลอกซะหน่อย สงสัยสกิลยังไม่สูงพอ”

ไลลาพึมพำตอบไปตามเรื่อง ปฏิเสธไม่ได้ว่าในใจรู้สึกลิงโลดอย่างประหลาดเมื่อได้เจอกับเขาอีกครั้ง เพราะต่อให้หม่อมเจ้าดิเรกภาสกรจะใจร้ายกับเธอขนาดไหน แต่ชายหนุ่มก็เป็นคนเดียวที่สื่อสารกับเธอได้อย่างปกติธรรมดาที่สุด คนช่างพูดที่ไม่มีคนให้พูดด้วยจึงระริกระรี้เป็นพิเศษ

“หลอกอะไร ไม่น่ากลัวสักนิด”

“ฮื้อ” เธอยกมือปัดไปมาเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย “ว่าแต่…ท่านหม่อมเจ้ามาทำอะไรแถวนี้คะ เที่ยวเหรอ หรือกินข้าว…หรือซื้อของ ร้านแถวนี้เค้าทยอยปิดไปหมดแล้วนา” หญิงสาวเอ่ยด้วยทีท่าเป็นเจ้าถิ่นเต็มที่ ทว่าคนฟังกลับไม่ตอบคำถามสักนิด ซ้ำยังเปลี่ยนเป็นฝ่ายถามแทน

“เธอเถอะ มาถึงตลาดนี้ได้อย่างไร”

“หายตัวมาค่ะ” ว่าพลางหมุนตัวประกอบ เผลอหัวเราะดังกิ๊กเมื่อเห็นริ้วแววความไม่เชื่อฉายออกจากดวงตาคมคู่นั้น “หลอกหรอก! ฉันหายตัวเป็นที่ไหนกัน แอบติดรถจักรยานรับจ้างมาต่างหาก”

“มิน่า…” ร่างสูงพึมพำเพียงเท่านั้นก่อนกล่าวต่อเสียงห้วน “…ขึ้นรถสิ”

ดวงหน้านวลดูแปลกใจชัดเจนกับคำสั่ง จึงยืนละล้าละลังอยู่อย่างนั้น ริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นพร้อมคำถามหากก็ปิดลง หม่อมเจ้าดิเรกภาสกรหันมามองเธอด้วยท่าทีรำคาญใจเล็กน้อย

“จะไปไหม…วังสวนกระจก”

“หืม?” ดวงตากลมโตกะพริบถี่ เขย่งขายื่นหน้าเข้าใกล้ร่างสูงด้วยกลัวรับสารมาผิดเพี้ยน จับจ้องประกายสีนิลคู่นั้นอย่างมีความหวัง

“ท่านชวนฉันไปไหนนะคะ”

ชายหนุ่มกลั้นหายใจเพียงแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินไปขึ้นรถปิดประตูดังปัง ดวงตาคมจ้องไปข้างหน้านิ่ง ซ้ำยังสตาร์ตเครื่องเสียงกระหึ่มจนคนมองเริ่มใจหาย

“หรือเธอไม่อยากอยู่วังฉัน” เขาเอ่ยพร้อมกับหันมาสบตาเธออีกครั้ง

ไลลายืนมึนงงเพียงชั่วครู่ก่อนจะเข้าใจความหมาย หญิงสาวแย้มยิ้มกว้างจนแทบจะหัวเราะ พยายามอย่างยิ่งไม่ให้ตัวเองเผลอกรี๊ดออกมา ในใจราวลูกโป่งพองลมทั้งลิงโลดและระรัวรื่น รีบกระโดดขึ้นไปนั่งบนรถอย่างรวดเร็วพลางหันไปยิ้มให้คนข้างตัวจนตาหยี

“อยากสิคะอยาก วังสวนกระจกน่าอยู่ที่สุดในโลกเลย”

ใบหน้าราวรูปสลักรับฟังด้วยท่าทีพอใจก่อนออกรถ ไลลามองสองข้างทางด้วยความรู้สึกรื่นรมย์จนแทบจะร้องเป็นเพลง ยกแขนขึ้นปะป่ายไปมาให้ลมกระพือผ่านราวเด็กๆ

…ใครจะไปเชื่อว่าคนที่ไล่เธออย่างไม่ไยดีเมื่อเช้าจะเป็นฝ่ายชวนเธอไปอยู่ด้วยกัน แท้จริงแล้วหม่อมเจ้าดิเรกภาสกรเป็นคนเช่นไรกันแน่…

 

“ไลลา”

เสียงทุ้มเรียกให้ดวงตาสีประหลาดเบนความสนใจจากแมกไม้ข้างทางหันกลับมามองผู้พูด

“…เธอชื่อไลลาใช่ไหม” เขาเอ่ยถามอีกครั้ง สายตายังตรงนิ่งที่ถนนเบื้องหน้า

หญิงสาวพยักหน้ารัวเร็วด้วยความกระตือรือร้น ปากเริ่มขยับพร้อมคุยจ้อขึ้นอีกครั้งหลังจากเงียบไปสักพัก ด้วยเริ่มเพลิดเพลินกับบรรยากาศบนรถโบราณยามพระอาทิตย์อัสดง

“ฉันเป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกันค่ะ…ความจริงนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้มาประเทศไทย คิดไม่ถึงว่าจะเจอแจ็กพ็อตใหญ่ กลายเป็นว่าต้องอยู่ยาวไม่มีกำหนดกลับซะงั้น” ว่าพลางหัวเราะแหะๆ

“สรุปแล้วเธอถูกรถชนจริงหรือ”

“จริงค่ะ ชนตรงหน้าวังสวนกระจกนี่เอง ร่างงี้ลอยหวือขึ้นกลางอากาศอย่างกับโหนสะลิงเลย” ขณะที่พูดก็ทำมือไม้ประกอบไปด้วย ราวเป็นเพียงเรื่องเล่าสนุกๆ เท่านั้น

หม่อมเจ้าดิเรกภาสกรถอนหายใจเบาๆ ก่อนเอ่ยราบเรียบ

“ฉันบอกเธอแล้วว่าวังของฉันเพิ่งจะสร้างเสร็จ ไม่เคยมีอุบัติเหตุอย่างที่ว่ามาสักครั้ง”

“แหม ฉันเชื่อแล้วค่ะ…ท่านหม่อมเจ้าเถอะ ถ้าฉันบอกอะไรไปจะเชื่อไหมก็ไม่รู้” หญิงสาวลอบบ่นหงุงหงิง แสร้งเบนสายตาออกไปมองทิวทัศน์ด้านนอกอีกครั้ง ด้วยรู้ดีว่าคำพูดเมื่อครู่คงสะกิดต่อมอยากรู้ให้คนข้างตัวอยู่มากโข เพราะเพียงไม่นานเขาก็กล่าวขึ้นอย่างเสียไม่ได้

“เอาเถอะ…แค่เรื่องที่ฉันมองเห็นวิญญาณของเธอก็บ้าบอมากแล้ว มีเรื่องบ้าอะไรให้ต้องตกใจอีกกัน”

“ฉันมาจากอนาคตอีกหกสิบกว่าปีข้างหน้า”

เธอพูดรัวเร็วพร้อมหันกลับมามองอาการของเขาอย่างนึกสนุก และก็สมใจเมื่อร่างสูงเผลอเหยียบเบรกอย่างแรง ดวงตาคมตวัดมาทางเธอฉายทั้งแววตกใจและไม่เชื่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนทอดถอนใจ หันกลับไปขับรถต่อดังเดิมพลางเอ่ยคล้ายรำพึงกับตัวเองมากกว่า

“ถ้าเธอเป็นวิญญาณได้ เรื่องมาจากอนาคตก็คงไม่แปลกอะไรสินะ”

“ตอนแรกฉันก็ตกใจเหมือนกัน…แต่คิดๆ ไป ย้อนมาแบบนี้ก็น่าสนุกดี แถมยังมีท่านหม่อมเจ้าที่มองเห็นฉันอยู่ด้วยอีกคน เค้าเรียกอะไรน้า…ทุกขลาภหรือเปล่า ท่านหม่อมเจ้าคือลัคกี้สโตนของฉันแน่ๆ” ว่าพลางหัวเราะคิก เอนตัวไปหาร่างสูงแล้วจ้องตาแป๋ว “จะว่าไปท่านยังไม่บอกฉันเลยนะคะว่าไปทำอะไรที่ตลาด…ฮั่นแน่ ความจริงจะไปตามหาฉันใช่ไหม”

“เซี้ยว”

คำตำหนิพร้อมนัยน์ตาดุๆ ปรามให้หญิงสาวต้องพาตัวเองกลับมาพิงประตูรถพร้อมเบนสายตาออกไปข้างนอกดังเดิม หากก็ยังลอบหัวเราะหึๆ ไม่ได้มีความเกรงกลัวสักนิด

ความเงียบเริ่มกลับเข้ามาครอบคลุมทั้งสองอีกครั้ง แต่ก่อนที่ไลลาจะปล่อยใจให้เพลิดเพลินกับริ้วสีส้มเส้นสุดท้ายปลายขอบฟ้า เสียงทุ้มข้างกายก็ทอดแผ่วเบา

“…ภาค”

หญิงสาวหันกลับไปมองเขาอย่างสนเท่ห์ ร่างสูงจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ฉันชื่อภาค”

ไลลาอมยิ้มน้อยๆ จับจ้องใบหน้าที่กระทบแสงสุดท้ายของวันจนดูคล้ายรูปสลักอันละเอียดประณีต ดวงตาคมยังคงเพ่งมองถนนเบื้องหน้าโดยไม่มีท่าทีใส่ใจเธอสักนิด หากหญิงสาวก็มั่นใจ…เขารู้ว่าเธอกำลังมองอยู่

“ค่ะ…ท่านภาค”

ท่ามกลางใบหน้าเย็นชานิ่งเฉยปรากฏรอยหยักยกคล้ายรอยยิ้มบนริมฝีปากเพียงชั่วครู่จนเหมือนภาพลวงตา หากติดตรึงเข้าไปในใจคนมองโดยไม่รู้ตัว เวลาเนิ่นนานหลังจากนั้นเมื่อไลลามองย้อนกลับไป ก็ยังคงเห็นรอยยิ้มอันเลือนรางของเขากระจ่างชัดอยู่ในความทรงจำนั่นเอง

* เพลงร้องประกอบการเล่นตบแปะ

 

ติดตามต่อได้ในหนังสือ ในม่านกาล ฉบับเต็ม

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: