X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน เซียมซีทายรัก บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 6

เซี่ยฟั่งรู้จักกับฉินโหยว ซ้ำยังเลือกสถานที่ที่ลับตาเช่นนั้นเพื่อสนทนา…นั่นเพราะอะไรกัน

อาเหม่ามองเซี่ยฟั่ง รู้สึกเพียงว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา คล้ายว่าเขามีเรื่องปิดบังซ่อนเร้นอยู่มากมาย แววตาของนางพลันหรี่ลง ก่อนแย้มรอยยิ้ม “พวกเราลอยเรือพับลงในแม่น้ำแล้ว คืนนี้คงไม่ต้องอยู่เวรกับคนที่อยู่ทำงานในคฤหาสน์แล้วใช่หรือไม่”

เซี่ยฟั่งพยักหน้าตอบ “ไม่ต้อง”

อาเหม่าถามเสร็จแล้วก็กล่าวลาเขา ก่อนจะกลับเรือนไปด้วยท่าทางที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นางรู้สึกจริงๆ ว่าเซี่ยฟั่งผู้นี้ไม่ธรรมดา คนที่ไม่ธรรมดา…ไฉนจึงยอมลดตัวมาเป็นบ่าวรับใช้

นางคิดไม่ตกและไม่อยากคิดมากแล้ว จึงพยายามเก็บงำเรื่องคืนนี้ไว้แค่ในใจ ถือเสียว่านางไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น

ยังไม่พ้นยามโหย่ว ม่านราตรีก็เข้าปกคลุมคฤหาสน์สกุลหานอันใหญ่โตนี้ไว้แล้ว ยิ่งขับให้รอบด้านดูวังเวงระทึกขวัญ

วันที่วิญญาณออกพเนจร ในหมู่มวลมนุษย์ก็ยังมีคนผู้หนึ่งที่อยากจะออกไปข้างนอกด้วย

หานกวงไม่เชื่อเรื่องวิญญาณผีสาง คิดแต่อยากไปพบบรรดาวิหคน้อยของเขา ยามนี้เป็นเวลาที่เหล่าหญิงสาวกำลังหวั่นกลัวอย่างมาก เขาจะพลาดโอกาสงามๆ นี้ไปได้อย่างไร

ทว่าบิดากลับไม่ให้เขาออกไป เพราะช่วงย่ำค่ำเขาได้ไปขออนุญาตแล้ว แต่ถูกบิดาด่าอย่างสาดเสียเทเสียกลับมายกหนึ่ง

เขากำลังกลุ้มใจว่าจะออกไปอย่างไรดี กำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่ในสวน ทันใดนั้นก็เห็นเซี่ยฟั่งเดินเข้ามาที่ฝั่งใน เขาตาลุกวาวทันที รีบละล่ำละลักเรียก “พ่อบ้าน”

เซี่ยฟั่งหยุดเท้าแล้วมองไปตามเสียง เขาเห็นคนที่มาแล้วจึงกล่าวอย่างสุภาพ “คุณชาย”

หานกวงเองก็ไม่อ้อมค้อม เอ่ยถามตามตรง “คืนนี้ข้าจะออกไปข้างนอก แต่พ่อข้าไม่อนุญาต เจ้าช่วยหาหนทางให้ข้าหน่อย”

เซี่ยฟั่งกล่าวอมยิ้ม “คุณชายไม่กลัวผีหรือ”

“โลกนี้ไม่มีผี หรือต่อให้มีผี ข้าก็จะเป็นผีเจ้าสำราญ” ขาดคำ หานกวงยังหัวเราะลั่นกับอารมณ์ขันของตนเอง

เซี่ยฟั่งเองก็หัวเราะ กล่าวว่า “ข้ามีวิธีหนึ่ง น่าจะใช้ได้”

หานกวงรีบโน้มเข้าไปฟัง ฟังจบเขาก็ยิ่งเชื่อเซี่ยฟั่งมากขึ้นอีกหลายส่วน พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ามองคนไม่ผิดจริงๆ”

“คุณชายไปเถิด ข้าก็จะไปเตรียมธูปเทียนให้ท่าน”

หานกวงเห็นด้วย ก่อนจะย่างสามขุมไปที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่า เพื่อขออนุญาตจากย่าที่รักและเอ็นดูเขามากที่สุด

ฮูหยินผู้เฒ่าสวดมนต์มาทั้งวัน ย่อมเหน็ดเหนื่อยอ่อนแรงมากแล้ว ขณะที่นางกำลังจะเข้านอนก็ได้ยินว่าหลานชายมา ริ้วรอยบนใบหน้าจึงปรากฏชัดเนื่องจากนางยิ้มทันที ก่อนจะกล่าวด้วยความยินดี “ให้เขาเข้ามาเร็ว”

ประตูเพิ่งถูกเปิดออก หานกวงก็เข้าไปน้อมทักทายกับนางด้านใน “ได้ยินท่านแม่บอกว่าวันนี้ท่านย่าสวดมนต์อยู่ในห้องพระตลอด อธิษฐานขอพรให้สกุลหานของเรา ภาวนาให้คุ้มครองท่านพ่อกับข้าแคล้วคลาดปลอดภัย ข้าฟังแล้วเป็นห่วงสุขภาพของท่านย่ายิ่งนัก ดังนั้นจึงได้มาเยี่ยมท่านย่าขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่าพลันยิ้มชื่นใจทันที ก่อนจะเรียกเขาเข้ามาใกล้ “เจ้ากตัญญูที่สุดเลย เมื่อครู่พ่อเจ้าให้คนมาบอกว่าอีกเดี๋ยวจะมาเยี่ยมข้า แต่รออยู่เกือบจะครึ่งชั่วยามแล้วก็ยังไม่เห็นพ่อเจ้ามา”

หานกวงขยับตามอง พลางเอ่ยถาม “อีกเดี๋ยวท่านพ่อจะมาหรือ”

ฮูหยินผู้เฒ่ายังไม่ทันตอบ บ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตูอยู่ด้านนอกก็ส่งเสียงเรียก ‘นายท่าน’ ฮูหยินผู้เฒ่าชำเลืองมองไปทางนั้น “มาแล้วอย่างไรเล่า”

หานกวงรีบนั่งเรียบร้อย เห็นเจ้าบ้านสกุลหานเข้ามาจึงคำนับทักทาย เจ้าบ้านสกุลหานตอบ ‘อืม’ เสียงหนึ่งก่อนถาม “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”

ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าบึ้ง “เจ้ามัวแต่ยุ่งกับการค้าของเจ้า ไยหลานข้าจะมาเยี่ยมข้าบ้างไม่ได้ เขามาเจ้ายังไม่พอใจอีก”

คนล้วนพูดว่าบนอักษร ‘บ้าตัณหา’ มีมีดเล่มหนึ่ง* แต่สำหรับเจ้าบ้านสกุลหานนั้น บนอักษรคำว่า ‘กตัญญู’ ก็มีมีดเล่มหนึ่ง** อยู่เช่นกัน ทั้งยังเป็นมีดทื่อ แม้จะหนักอึ้งเพียงไรแต่ก็ยังต้องให้เกียรติ ตามใจมารดาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เช่นนั้นหากมีข่าวลือออกไปก็จะเป็นผลเสียกับชื่อเสียงของเขาอย่างหนัก “ท่านแม่พูดอะไรกัน วันๆ ข้าเห็นเขาเอาแต่เที่ยวเล่น ไม่ทำงานทำการ หากเจ้าขยันได้ครึ่งหนึ่งของน้องสามเจ้า ข้าก็คงไม่เอาแต่ดุเจ้าแล้ว”

เมื่อมีคนเอ่ยถึงน้องสามในสกุลหาน สีหน้าของหานกวงก็ไม่สู้ดีแล้ว เขารู้ว่าตนเองไม่เอาไหน และรู้ว่าน้องสามฉลาดเจ้าปัญญาอย่างไร ไม่ว่าใครก็ล้วนชอบ แต่…คนผู้นั้นเป็นบุตรชายของอารอง มิใช่บุตรของบิดาเขา ด้วยเหตุนี้ยามต้องถูกเปรียบเทียบเช่นนี้ จึงทำให้เขารำคาญใจมาก

“ท่านพ่อ ท่านมาพอดี อีกเดี๋ยวข้าจะขอออกไปข้างนอก พาบ่าวรับใช้สองสามคนไปกราบไหว้ที่อาราม สวดภาวนาให้ท่านย่ากับท่าน”

เจ้าบ้านสกุลหานกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้าอยู่ที่เรือนนี่แหละ”

เขารู้จักนิสัยของบุตรชายดี ขอพรหรือ ฮึ จะออกไปหาความสุขชัดๆ

ฮูหยินผู้เฒ่าหานขุ่นเคือง “กวงเอ๋อร์จะอธิษฐานขอพรให้ข้า เจ้าก็กล้าห้ามหรือ เหตุใดเจ้าจึงต้องห้ามเขา”

เจ้าบ้านสกุลหานกระวีกระวาดรีบคุกเข่ายอมรับผิดทันที หานกวงเห็นแล้วแทบหลุดหัวเราะ ได้แต่กลั้นไว้จนหน้าแดงก่ำ

ฮูหยินผู้เฒ่าต่อว่าต่อขานเจ้าบ้านสกุลหานไปยกหนึ่งก็อนุญาตให้หานกวงออกไป ทั้งยังกำชับให้เขารีบไปรีบกลับ อย่าได้เหน็ดเหนื่อยมากนัก หานกวงรับปากเสียดิบดี พอขึ้นรถม้าแล้ว รถม้ายังไม่ทันเลี้ยวออกจากตรอก เขาก็ใช้ผ้าจับหูหิ้วตะกร้าแล้วโยนออกไปนอกรถ แม้กระทั่งผ้าเช็ดหน้าก็ไม่เอาแล้ว

ที่ผ่านมาล้วนเป็นเซี่ยฟั่งที่พยายามรักษาระยะห่างกับอาเหม่ามาตลอด ทว่าตอนนี้เขากลับพบว่าเป็นอาเหม่าที่กำลังตั้งใจตีตัวออกห่างจากเขาแทน

แม้สาเหตุจะไม่แน่ชัด แต่เซี่ยฟั่งคิดว่าเช่นนี้ก็ดีแล้ว…เป็นไปตามความต้องการของเขาพอดี

ด้วยเหตุนี้นอกจากเวลาที่เซี่ยฟั่งแจกแจงงานในคฤหาสน์ที่พอจะได้สนทนากับอาเหม่าบ้างแล้ว ทั้งสองก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันเป็นการส่วนตัวอีก นั่นทำให้หานกวงที่พอรู้เข้าก็ขุ่นเคืองใจอย่างมาก

ถึงอาเหม่าจะมีหน้าตาสะสวย แต่นางเรียบร้อยและเงียบขรึมเกินไป มิอาจสู้เหล่าวิหคน้อยของเขาได้ ดังนั้นนับตั้งแต่เขารู้ว่าเซี่ยฟั่งมีใจให้อาเหม่า เขาก็ไม่คิดอกุศลใดๆ กับนางอีก แต่เรื่องที่บิดาของเขาหมายตาอาเหม่าไว้นั้น…เขาเองก็รู้ดี

เซี่ยฟั่งนับเป็นผู้ช่วยที่ดีเยี่ยม ฉะนั้นหานกวงจึงอยากดึงเขามาเป็นพวก เพื่อให้เขาภักดีกับตนมากขึ้นแล้ว การสนองความต้องการอีกฝ่ายจึงเป็นการซื้อใจที่ดีที่สุด เงินทองตนย่อมไม่อาจให้เซี่ยฟั่งได้ เพราะฉะนั้นจึงได้แต่เก็บอาเหม่าไว้ให้เขาแล้ว

และไม่รู้เพราะเหตุใด ยามนี้เซี่ยฟั่งกับอาเหม่าจึงได้ไม่เหลียวแลกันเสียแล้ว

เขาให้เด็กรับใช้ประจำตัวไปสืบข่าวแล้วก็กระจ่างทันที เซี่ยฟั่งเจ้าทึ่มนั่นให้อาเหม่าไปเผากระดาษเงินกระดาษทองในวันสารท แต่ดันให้ชุ่ยหรงอยู่ที่คฤหาสน์

“มิหนำซ้ำ คืนนั้นอาเหม่าหลงทาง ยังได้คุณชายฉินเป็นคนส่งนางกลับมาด้วยตัวเองถึงปากทางเลยทีเดียว”

หานกวงโกรธจนควันออกหู เขารู้ว่าตนเองไม่มีความสามารถอะไร แต่เรื่องอ่านใจอิสตรีนั้นเขามั่นใจว่าตนเองไม่เป็นสองรองใคร

เช้าตรู่วันนี้ หลังจากกินมื้อเช้าแล้วเขาก็เรียกเซี่ยฟั่งไปอีกทาง ก่อนจะยัดของบางอย่างใส่มืออีกฝ่าย “เอาสิ่งนี้ไปให้อาเหม่า”

เซี่ยฟั่งก้มลงมอง ในมือมีแป้งชาดตลับหนึ่ง เขามองหานกวงอย่างสงสัย “ให้อาเหม่าหรือขอรับ”

หานกวงยิ้มจนตาหยี ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ…ในเมื่อเซี่ยฟั่งไม่รุก หญิงสาวก็ย่อมไม่ชอบ เช่นนั้นก็ให้เขากระตุ้นเสียหน่อยเถอะ ขอเพียงเอาแป้งชาดตลับนี้ไปให้อาเหม่า ก็รอพวกเขาคืนดีกันได้แล้ว

เซี่ยฟั่งมองแป้งชาดนานอึดใจใหญ่ ช่วยคุณชายรองมอบให้อาเหม่าหรือ

หรือคุณชายรองเกิดหมายตาอาเหม่าอีกแล้ว?

เขากำลังคิดปฏิเสธที่จะเป็นคนกลาง ทว่าหานกวงกลับตบบ่าเขา “ไปเถอะ อย่าให้ข้าต้องผิดหวัง”

ไม่รอให้เขาได้ปฏิเสธหานกวงก็วิ่งจากไปแล้ว พร้อมคิดว่าหากเซี่ยฟั่งมอบแป้งชาดนั้นให้กับอาเหม่า ความเข้าใจผิดของทั้งสองก็จะคลี่คลาย เขาช่วยให้เซี่ยฟั่งได้หัวใจของโฉมสะคราญเช่นนี้ อีกฝ่ายจะไม่รู้สึกขอบคุณเขาหรอกหรือ

หานกวงคิดแล้วก็อยากจะหัวเราะออกมา

หลังทิ้งให้เซี่ยฟั่งยืนอยู่ตรงนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะมอบเผือกที่ร้อนลวกมือ* นี้ออกไปหรือไม่

คิดไปคิดมาเขาก็ใส่ตลับแป้งชาดเข้าไปในแขนเสื้อ ตัดสินใจนำไปให้อาเหม่า ด้วยนิสัยของนาง นางย่อมไม่มีทางรับของ ส่วนเหตุผลที่ไม่รับ เขาจะเป็นคนบอกกับหานกวงเอง ทางที่ดีให้หานกวงตัดใจเสียตั้งแต่ตอนนี้ แล้วเลิกตอแยอาเหม่าไป…

พอเขาเดินได้ไม่กี่ก้าวก็รู้สึกว่าตนเองยุ่งไม่เข้าเรื่องอีกแล้ว

“พ่อบ้าน”

เสียงของหญิงสาวสามสี่คนดังขึ้นพร้อมเพรียงจากทางด้านหลัง เสียงหนึ่งในนั้นเล็กและเบามาก ทว่ากลับสะดุดหูเขาเป็นพิเศษ ราวกับยามที่พายุพัดเข้าทิวไม้ แม้ใบไม้นับพันหมื่นไหวกระทบส่งเสียงระรัว ทว่าก็ยังมีคนจำแนกเสียงหยกที่ดังท่ามกลางป่าเขาได้ เขาหันร่างช้าๆ แล้วก็เห็นอาเหม่าตามคาด

สายตาของเขาหยุดชะงักก่อนจะเบนออกทันที พยักหน้าแล้วกล่าว “ไปทำงานเถอะ”

“เจ้าค่ะ”

เหล่าสาวพากันใช้แยกย้ายไปทำงาน อาเหม่าเองก็กำลังจะไป นางที่อยู่รั้งท้ายขณะกำลังจะเดินผ่านเซี่ยฟั่งก็ได้ยินเขาเอ่ยเรียกเสียงเบาว่า “รอเดี๋ยว”

หัวใจของนางพลันเต้นตึกตัก เพียงเพราะหกเจ็ดวันมานี้เซี่ยฟั่งเพิ่งพูดกับนางครั้งนี้ครั้งแรก ทั้งยังมีท่าทีจะคุยด้วยเป็นการส่วนตัว

ดวงตาคู่สวยช้อนขึ้นมอง แววตาของนางเจือไว้ด้วยความสงสัยและเป็นประกาย งดงามดุจภาพวาด ชั่วขณะหัวใจของเซี่ยฟั่งกระตุกไปเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “อันนี้”

ตลับแป้งชาดสีแดงเข้มถูกนิ้วเรียวยาวของเขายื่นมาตรงหน้าอาเหม่า นางชะงักงัน ดวงหน้าแดงปลั่งอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนที่เซี่ยฟั่งจะกล่าวต่อ “นี่เป็นของที่คุณชายรองฝากข้าเอามาให้เจ้า”

ความสดใสเย้ายวนพลันเลือนหายไปจากดวงหน้าสวยทันที แม้กระทั่งแววตาก็หม่นแสงลง อาเหม่าดันมือของเขาออกไปโดยไม่ต้องคิด “ข้าไม่เอา” นางขบริมฝีปาก ก่อนจะช้อนตาขึ้นมองเขา “ต่อไปพ่อบ้านก็โปรดอย่าทำเช่นนี้อีกเลย”

อาเหม่าส่งสายตาตำหนิ ราวกับว่าเขาทำเรื่องผิดมหันต์ เซี่ยฟั่งนิ่งอึ้งแล้วรับคำ “ได้”

เขาเก็บตลับแป้งชาดด้วยความรวดเร็ว เร็วเสียจนราวกับกลัวว่าอาเหม่าจะเปลี่ยนใจแล้วคว้าเอาไป

อาเหม่าไม่รอให้เขาไป นางก็ชิงหันร่างผละจากไปก่อน มือบางสองข้างบีบแน่นจนข้อต่อนิ้วซีดขาว

หานกวงที่รอให้เซี่ยฟั่งมาขอบคุณเริ่มนั่งไม่ติดแล้ว เขาจึงให้เด็กรับใช้ไปสืบข่าวอยู่หลายครั้ง ครั้งสุดท้ายที่เด็กรับใช้กลับมาในมือยังมีตลับแป้งชาดเพิ่มมาด้วย ทั้งกล่าวด้วยสีหน้ามึนงง “พ่อบ้านให้ข้านำสิ่งนี้มาส่งคืน บอกว่าอาเหม่าไม่ชอบ กำชับให้บอกคุณชายว่าอย่าเสียเวลากับนางอีก”

“สตรีจะไม่ชอบสิ่งนี้ได้อย่างไร…” หานกวงนิ่งอึ้ง ก่อนยกมือหยุดไม่ให้เขาพูดต่อ “เดี๋ยวก่อน เจ้าบอกว่าข้าเสียเวลากับใครนะ”

“พ่อบ้านเป็นคนบอกขอรับ”

อย่างไรหานกวงก็ผ่านหญิงงามมามาก ยามนี้เขาจึงแทบเต้นเร่า “เจ้าคนซื่อบื้อ! เวลาวางแผนการก็ออกจะฉลาดหลักแหลม ไยพอเป็นเรื่องของตนเองจึงกลายเป็นคนโง่ไปได้”

เขานวดคลึงหน้าผากแรงๆ พอหยิบตลับแป้งชาดได้ก็ย่างสามขุมออกไป เด็กรับใช้จึงไล่ตามไปถาม “คุณชาย ท่านจะไปไหน”

“ไปหาอาเหม่า”

หานกวงคิดตามหาบ่าวรับใช้คนหนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่แสนง่ายดาย เพียงแต่สาวใช้หลายคนกำลังรวมตัวกันอยู่ เขาหาโอกาสเพื่อพูดคุยกับนางตามลำพังมิได้ รออยู่ครู่หนึ่งแล้วพวกสาวใช้ก็ยังไม่แยกย้าย ซึ่งสาวใช้พวกนั้นก็ไร้ท่าทีจะแยกย้ายในเวลาอันสั้นนี้ด้วย ทันใดนั้นเขาก็นึกได้ว่าเหตุใดเขาถึงต้องรอให้อาเหม่าอยู่ตามลำพังแล้วค่อยมอบแป้งชาดให้นางด้วยเล่า

ไวเท่าความคิด หานกวงย่างสามขุมเดินไปยังกลุ่มสาวใช้ที่กำลังเก็บกวาดใบไม้แห้งบนพื้น ตรงดิ่งไปหยุดตรงหน้าอาเหม่า

หานกวงปรากฏตัวอย่างปุบปับ สาวใช้ที่ตาไวต่างมองเห็นเขาหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น และไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรจึงได้แต่กล่าวทักทายอย่างพร้อมเพรียง

อาเหม่าเก็บใบไม้อยู่เต็มสองมือ นางก็คำนับทักทายเขาด้วย เดิมทีลืมเรื่องแป้งชาดเมื่อครู่ที่เซี่ยฟั่งให้มาไปแล้ว ทว่าเมื่อนางเห็นตลับแป้งในมือเขาอีก สีหน้าก็พลันเปลี่ยนทันที ค่อยๆ ซีดเผือดลง

หานกวงแค่นเสียงใส่อาเหม่า “ยื่นมือมา”

อาเหม่าคิดว่ามือของตนเต็มไปด้วยใบไม้แห้ง จึงไม่กลัวเขาจะคว้ามือน้อยๆ ของนาง จึงยื่นมือออกไปตามคำสั่ง พริบตาเดียวตลับแป้งชาดก็หล่นลงบนใบไม้แห้ง ทำเอาสาวใช้ที่อยู่รอบๆ เห็นแล้วซุบซิบกันเสียงเบา

ในหัวของอาเหม่ามีเสียงดังวิ้ง คิดไม่ถึงว่าต่อให้นางจะปฏิเสธเซี่ยฟั่งที่ส่งต่อของมาแล้วครั้งหนึ่ง คุณชายรองก็ยังนำมาให้ด้วยตนเองอีกครั้ง

หญิงสาวรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา ทั้งยังต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ รู้อย่างนี้รับไว้เสียแต่แรกก็คงดี คราวนี้นางคงแก้ตัวไม่ขึ้นแล้ว

ขณะที่นางกำลังเหม่อลอย จู่ๆ ก็ได้ยินหานกวงกล่าวว่า “นี่เป็นของที่เซี่ยฟั่งให้เจ้า”

เสียงฮือฮาโจษจันดังสะท้านขึ้นอีกครั้ง…

เรื่องที่เซี่ยฟั่งชอบอาเหม่าถูกโจษจันไปทั่วคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว

เวลานี้เซียมซีดีเลิศที่ทุกคนลืมเลือนไปแล้วถูกขุดคุ้ยขึ้นมาอีกครั้ง กลายเป็นหัวข้อสนทนายามว่างของบรรดาบ่าวรับใช้ เมื่อเกิดการเล่าลือขึ้น เรื่องราวจึงยิ่งแพร่สะพัดกว่าตอนที่เสี่ยงเซียมซีครานั้นมากนัก

ขณะที่ผู้คนกำลังพากันวิพากษ์วิจารณ์อยู่นั้นกลับมีเพียงเซี่ยฟั่งกับอาเหม่าที่กระอักกระอ่วนใจและปวดเศียรเวียนเกล้ากับเรื่องนี้

เมื่อเรื่องแพร่กระจายไปในวงกว้างก็ลือถึงหูเจ้าบ้านสกุลหาน หานฮูหยินที่รู้เรื่องแล้วก็ไม่คัดค้านอะไร เนื่องจากเทียบกันแล้ว นางไม่ปรารถนาจะให้อาเหม่าเข้ามาเป็นอี๋เหนียงคนที่สี่ในสกุลหานสักนิด วันนี้เมื่อได้ยินเรื่องนี้แล้วกลับไม่ได้ยินสามีกล่าวถึง จึงถือโอกาสที่เขากลับมาตอนเที่ยง เปรยเรื่องนี้คล้ายว่าไม่ตั้งใจ “นายท่านได้ยินเรื่องนั้นแล้วหรือไม่ เซี่ยฟั่งชอบอาเหม่า ทั้งยังมอบแป้งชาดให้นางด้วย ข้าเห็นว่าสองคนนั้นก็เหมาะสมกันดี ถ้าอย่างไรนายท่านเป็นพ่อสื่อให้พวกเขาดีหรือไม่”

เจ้าบ้านสกุลหานยังไม่คิดตัดใจจากอาเหม่า ต่อให้เซี่ยฟั่งทำงานพึ่งพาได้ ทั้งยังจงรักภักดีกับตนแล้วอย่างไร เขาก็ยังไม่อยากยกอาเหม่าให้อีกฝ่ายอยู่ดี เนื้อซึ่งเดิมทีจะเข้าปากอยู่แล้วไหนเลยจะปล่อยให้หลุดมือ

“ข้ายังไม่รู้ว่าเซี่ยฟั่งจะอยู่ที่นี่ไปได้กี่ปี แล้วจะยกสาวใช้คนหนึ่งให้เขาง่ายๆ ได้อย่างไรกัน อีกทั้งชีวิตนี้อาเหม่าก็เป็นคนของสกุลหาน หากยกให้เซี่ยฟั่ง แล้วเขาฉวยโอกาสขอสัญญาทาสของอาเหม่ากับข้า อยู่กันไม่นานก็จากไป การแลกเปลี่ยนนี้ข้าก็ขาดทุนกันพอดี”

หานฮูหยินกล่าว “เช่นนั้นท่านก็เปลี่ยนสัญญาทาสชั่วชีวิตของอาเหม่าให้เป็นห้าปีสิบปี โดยยื่นเงื่อนไขว่าเซี่ยฟั่งเองก็ต้องมอบสัญญาทาสห้าปีสิบปีกับท่าน เช่นนี้ก็ถือว่ายุติธรรมดีแล้ว ในเมื่อถึงขั้นไหว้วานคนอื่นให้นำของไปฝากท่ามกลางธารกำนัลได้ เช่นนั้นก็แสดงว่าเซี่ยฟั่งชอบพออาเหม่ามากจริงๆ”

เจ้าบ้านสกุลหานฟังแล้วก็หลุดหัวเราะทันที “ให้เซี่ยฟั่งทำสัญญาทาสห้าปีกับสกุลหานเพื่อสาวใช้คนเดียวน่ะหรือ เขาจะยอมได้อย่างไร ต่อให้ชอบแค่ไหนก็เป็นไปไม่ได้”

วาจานี้คนพูดไร้เจตนา ทว่าคนฟังกลับใส่ใจเห็นสำคัญ หานฮูหยินเงยหน้าขึ้นมองเขาหลายครั้ง หากหัวข้อสนทนานี้เกิดกับเขา อีกฝ่ายจะตัดสินใจเช่นเดิมหรือไม่

หานฮูหยินสงสัยคาดเดาในใจ จึงไม่อยากคิดมากอีก แม้กระทั่งเรื่องของอาเหม่านางก็ลืมเกลี้ยกล่อมต่อแล้ว

“แต่ที่ข้าแปลกใจคือกวงเอ๋อร์วางอำนาจกับบ่าวรับใช้ในเรือนมาตลอด เหตุใดครั้งนี้จึงยอมช่วยเซี่ยฟั่งส่งของกำนัล นี่ไม่เหมือนเขาเลยสักนิด พวกเขาสนิทกันเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่…” เจ้าบ้านสกุลหานกล่าวขึ้นมา

หานฮูหยินไม่ชอบหานกวง หนึ่งเพราะเขาเป็นบุตรชายของอี๋เหนียงใหญ่ สองคือมีเขาอยู่ ชีวิตบุตรชายของนางก็อย่าคิดจะได้เงยหน้าอ้าปากเลย นางหัวเราะเสียงเบา “กวงเอ๋อร์ทำอะไรมีลับลมคมในเสมอ คนเป็นพ่ออย่างท่านจะไปรู้ได้อย่างไรกัน”

เจ้าบ้านสกุลหานครุ่นคิดในใจ ยังคงสงสัยว่าเซี่ยฟั่งสนิทกับบุตรชายไม่เอาไหนของตนตั้งแต่เมื่อไหร่ ทว่าคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ หนำซ้ำไม่รู้ด้วยว่าทั้งสองไปสมาคมกันเมื่อใด

เพียงแต่เซี่ยฟั่งเก่งกาจไม่เบา ถึงขั้นทำให้บุตรชายเจ้าสำราญของตนผู้นั้นส่งของกำนัลแทนเขาได้

สกุลหานมั่งคั่งใหญ่โต ตอนนี้เจ้าบ้านสกุลหานร่างกายยังแข็งแรงดีอยู่ จึงมิได้คิดจะมอบกิจการให้บุตรชายสืบทอดในอีกไม่กี่ปีนี้ ทว่าช้าเร็วก็ต้องยกให้ แต่บุตรชายคนโตเป็นคนปัญญาอ่อน ยามนี้ตัวเลือกที่พิจารณาได้ก็มีเพียงบุตรชายคนรอง ดังนั้นเรื่องที่หานกวงไม่เอาไหน เขาเองก็ปวดหัวยิ่งนัก

หากเซี่ยฟั่งชักนำให้อีกฝ่ายกลับเข้าร่องเข้ารอยได้ นั่นก็เป็นเรื่องดี

เช่นนั้นเรื่องนี้เขาก็ไม่ควรบังคับบงการบุตรชายมากเกินไป

ผู้ที่มีความคิดเช่นเดียวกันยังมีฉินอี๋เหนียง มารดาผู้ให้กำเนิดหานกวงอีกคน

เซี่ยฟั่งเข้าสกุลหาน หนึ่งเพราะช่วยชีวิตเจ้าบ้านสกุลหานจากโจรป่าได้ นั่นเป็นบุญคุณช่วยชีวิต สองคือยืนหยัดในสกุลหานได้อย่างมั่นคง เป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาได้ช่วยชีวิตเจ้าบ้านสกุลหานอีกครั้งหนึ่ง

เซี่ยฟั่งมิใช่คนกระหายผลประโยชน์ ทั้งยังทำงานอย่างสุขุมและพึ่งพาได้ นิสัยก็ใจเย็นเฉียบขาด เขาเพิ่งเข้าสกุลได้ไม่นานก็จัดการงานในสกุลจนเป็นระเบียบเรียบร้อย เมื่อฉินอี๋เหนียงได้ยินว่าบุตรชายของตนออกหน้ามอบของกำนัลแทนเขา ก็เกิดความคิดอยากสร้างสัมพันธ์ดึงเขาเข้าเป็นพวกทันที

นับแต่โบราณกาลล้วนกล่าวว่าจักรพรรดิที่สถาปนาบ้านเมืองต้องมีกุนซือที่ดีคอยสนับสนุน ต่อให้เป็นตระกูลคหบดีก็จะขาดผู้ช่วยมือดีไปมิได้ นอกจากนี้บุตรชายของนางคนนั้นมีความสามารถมากน้อยเพียงใด นางเองก็รู้ดีแก่ใจ

คิดแล้วฉินอี๋เหนียงจึงให้สาวใช้ประจำตัวไปเชิญเซี่ยฟั่งมา โดยบอกว่ามีเรื่องจะหารือกับเขา

ใครจะคิดว่าผ่านไปเพียงครู่เดียวสาวใช้ก็กลับมาแล้ว พร้อมรายงานว่าพ่อบ้านจะมาพบนางในวันหลัง

ฉินอี๋เหนียงฟังแล้วก็มิได้ขุ่นเคืองที่เขาไม่มาพบ กลับยิ่งรู้สึกชื่นชมที่เซี่ยฟั่งกระทำการน่าเชื่อถือ การพบกับอี๋เหนียงเวลานี้ก็มิใช่การกระทำที่ฉลาด ด้วยเหตุนี้จึงรอให้เขามาหานางอย่างสบายใจเองเสียดีกว่า เพราะเขาเป็นคนฉลาด รู้ว่าภายภาคหน้าใครจะเป็นเจ้าบ้านสกุลหาน

นางไม่ร้อนใจเลยสักนิด

เรื่องมอบของขวัญผ่านไปแล้วห้าวัน อาเหม่าก็ยังอายเกินกว่าจะพบหน้าเซี่ยฟั่ง เขาเองก็มีเจตนาที่จะหลบหน้านาง จึงมิได้ใกล้ชิดกับนางเกินสมควร

จู่ๆ หานกวงก็ทำเรื่องเช่นนั้นขึ้นมา จึงทำให้เซี่ยฟั่งไม่พอใจอย่างยิ่ง เขากับอาเหม่าถือว่ากลับมามีความสัมพันธ์ระหว่างพ่อบ้านกับสาวใช้แล้ว กลับปรากฏว่า…

ทว่าทุกครั้งที่ห่างเหินกันได้ไม่กี่วัน ก็มักมีเรื่องไม่คาดฝันทำให้ทั้งสองไม่อาจตีตัวออกห่างกันได้อีก

พวกเขาจึงเสมือนปลายเชือกสองข้างที่มีคนผูกปมไว้ตรงกลาง เมื่อพยายามคลายออกสุดท้ายแล้วจะมีเหตุให้ต้องกลับมาผูกเข้าไว้ด้วยกัน…เป็นเช่นนี้เสมอ

ผ่านไปอีกสองวัน ต่อให้เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นเพียงใดเสียงเล่าลือก็เริ่มเงียบหายไปบ้างแล้ว รวมกับท่าทีของเซี่ยฟั่งและอาเหม่าที่ต่างไม่ยอมรับเรื่องนี้ด้วยกันทั้งคู่ เซี่ยฟั่งถึงขั้นกล่าวว่าหานกวงแกล้งตน เมื่อเรื่องไร้ความคืบหน้าย่อมหมดความน่าสนใจ ก่อนจะจางหายไปกับเรื่องราวใหม่ที่น่าตื่นเต้นกว่า

หานกวงยังคงค้างคาใจกับเรื่องนี้ไม่หาย เมื่อนัดพบกับเซี่ยฟั่งได้เขาก็เอ่ยปากทันที “จริงๆ แล้วเจ้ามีใจให้อาเหม่าหรือไม่”

เซี่ยฟั่งกล่าว “ต่อไปคุณชายโปรดอย่าถามเรื่องนี้อีกเลย”

หานกวงแปลกใจ “นี่เจ้าโทษข้าหรือ” เขาหัวเราะเสียงเย็น “เห็นทีเจ้าจะไม่ชอบอาเหม่า เช่นนั้นวันหลังข้าจะพานางออกไปเอง”

เซี่ยฟั่งเก็บงำสายตาพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าโทษท่านที่ไหนกัน ข้ารู้ว่าคุณชายปรารถนาดี เพียงแต่สตรีนางนั้นขี้อาย ข้าเพิ่งเข้ามารับใช้ได้ไม่นาน จู่ๆ ก็มอบแป้งชาดต่อหน้าธารกำนัลให้เช่นนี้ เสียงซุบซิบช่วงหลายวันนี้จึงแทบทำให้นางไม่อาจสู้หน้าใครได้แล้ว”

หานกวงได้ยินแล้วก็อดหัวเราะครืนไม่ได้ “ข้านึกอยู่แล้วว่าเจ้าชอบอาเหม่า กลัวข้าจะทำอะไรนางจริงๆ วางใจเถอะ ข้ามองออกตั้งนานแล้วว่าเจ้าชอบนาง จึงได้ปกป้องนางไว้ให้เจ้า เพียงแต่ถ้าข้าไม่ใช้วิธียั่วยุเช่นนี้ แล้วเจ้าจะยอมรับกับข้าได้อย่างไร”

เซี่ยฟั่งแย้มยิ้ม หลังจากกล่าวคำนี้ไปแล้ว เรื่องราวก็เหมือนจะยิ่งผิดแผนมากขึ้น

แม้แต่ตัวเขาก็ไม่รู้ว่าการทำเช่นนี้จะคุ้มค่าหรือไม่ และเพราะอะไรถึงต้องทำเช่นนี้ด้วย

“ข้าแค่เป็นห่วงเจ้า เจ้าดูสิ เจ้าชอบอาเหม่าแต่ก็ยังให้นางออกจากคฤหาสน์ในวันสารท เจ้าเดาดูว่าวันนั้นหลังจากนางหลงทางแล้ว ใครเป็นคนส่งนางกลับมา เป็นฉินโหยว คุณชายรองของสกุลฉิน ทายาทรุ่นสองคนนั้น”

เซี่ยฟั่งเพียงย่นคิ้วเล็กน้อย “บ่าวรับใช้ในตระกูลล้วนต้องไปจุดธูปเผากระดาษเงินกระดาษทองข้างนอกอยู่แล้ว มีอะไรไม่ดีหรือ”

หานกวงแทบสำลักโทสะ “เทศกาลสารทคือเทศกาลวิญญาณ อาเหม่าเป็นสตรี ทั้งยังเป็นสตรีบอบบาง เจ้าจัดแจงคนให้คอยอยู่รับใช้ฮูหยินผู้เฒ่าไว้สองคนได้มิใช่หรือ แล้วปรากฏว่าเจ้าให้ใครอยู่…เป็นชุ่ยหรง เถาฮวา เจ้ากลับไม่ให้อาเหม่าอยู่”

เซี่ยฟั่งเอ่ยแย้ง “ข้าถามอาเหม่าแล้ว นางบอกว่านางไม่กลัว”

หานกวงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก หมดอารมณ์จะว่าด่าเขาว่าเป็นขอนไม้แล้วด้วยซ้ำ พลางครุ่นคิดในใจว่าขอนไม้นี้กว้างใหญ่เป็นหมื่นจั้ง* ลำพังเขาคนเดียวคงผลักไปไม่ไหวแน่

“ช่างเถอะๆ เจ้าไม่ให้ข้ายุ่ง เช่นนั้นเจ้าก็ไปเอาใจสะใภ้เองก็แล้วกัน” หานกวงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “อย่าให้ถึงเวลาแล้วนางตกใจกลัวจนหนีเตลิดก็พอ”

เซี่ยฟั่งพยักหน้าแล้วกล่าวอีกว่า “ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันอี๋เหนียงใหญ่ส่งคนมานัดหมายข้า แต่ข้ามิได้ไปพบตามนัด รบกวนคุณชายช่วยขออภัยนางแทนข้าด้วย”

“นางจะพบเจ้าหรือ เพราะอะไร”

“อาจเพราะท่านนำแป้งชาดไปให้แทนข้า นางจึงสนใจ”

หานกวงมิได้คิดมาก เออออรับปาก กระทั่งเซี่ยฟั่งไปแล้ว เขาก็ไปหามารดาและบอกกล่าวเรื่องนี้กับนาง

ฉินอี๋เหนียงฟังแล้วก็เข้าใจว่าเซี่ยฟั่งมิได้ปฏิเสธการเชื้อเชิญของนาง เพียงแค่รอบคอบเท่านั้น

นางจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กวงเอ๋อร์ จำไว้นะ เซี่ยฟั่งคนนี้หากเจ้ามีเวลาก็พูดคุยกับเขา และฟังคำพูดของเขาให้มาก”

หานกวงคิดไม่ถึงว่ามารดาจะไม่ห้ามปรามที่เขาคบมิตรสหายเช่นนี้ นับว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตทีเดียว

ทางเซี่ยฟั่งหลังออกจากสวนแล้ว เขาตั้งใจจะไปสำรวจภายในคฤหาสน์ ขณะใกล้ถึงเรือนใหญ่แล้ว กลับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายามนี้อาเหม่าน่าจะอยู่ที่นั่น จึงขยับฝีเท้าเลี้ยวไปอีกทาง…หวังเลี่ยงอาเหม่า

ตัวเขานั้นไม่ตะขิดตะขวงใจ กลัวแต่อาเหม่าจะรู้สึกอาย

ไหนเลยจะคิดว่าเขาเพิ่งหันร่างก็เห็นอาเหม่าถือกะละมังล้างหน้ากำลังจะเดินเข้าไปด้านในพอดี นางหยุดฝีเท้าอยู่ตรงนั้น คล้ายยืนอยู่สักพักแล้ว ทั้งสองสบประสานสายตา บรรยากาศเปลี่ยนเป็นอึดอัดขึ้นมาทันตา

อาเหม่าเข้ามาแล้วก็เห็นเขาทันที เดิมตั้งใจจะเดินผ่อนฝีเท้าตามหลัง รอให้เขาเข้าไปเงียบๆ แล้วค่อยตามเข้าไป แต่คิดไม่ถึงว่าปุบปับเขาจะหันร่างกลับมาเช่นนี้

กะละมังถูกตักน้ำใส่จนเต็ม นางถือนานแล้วย่อมเมื่อยมือ ความชาแปลบแล่นจากมือไปถึงหัวใจ นางผงกศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าเดินผ่านเขาไป

เซี่ยฟั่งยืนตระหง่านแล้วเบี่ยงร่างให้นางเดินผ่านไป ขณะที่หญิงสาวผ่านพร้อมลมโชย เขาได้กลิ่นหอมเย็นเจือจาง ไม่รู้ว่ามาจากเรือนผมหรือเรือนร่างของนาง

“รอเดี๋ยว”

เซี่ยฟั่งเรียกนางไว้ อึดใจหนึ่งจึงกล่าวว่า “แป้งชาดนั้นคุณชายรองให้เจ้าแทนข้าโดยพลการ ทำให้เจ้าถูกคนอื่นนินทา ถือเป็นความผิดของข้าด้วย”

ผลสรุปเรื่องนี้อาเหม่าเดาได้แต่แรกแล้ว เนื่องจากด้วยนิสัยของเซี่ยฟั่งนั้นไม่มีทางทำเช่นนี้ ตรงกันข้ามกลับคล้ายนิสัยของคุณชายรองมากกว่า

“ข้ารู้”

เซี่ยฟั่งประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้ารู้หรือ”

“เจ้าค่ะ” อาเหม่าเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “พ่อบ้านนิสัยเย็นชา จึงไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้”

เย็นชา

เซี่ยฟั่งฟังแล้วก็ผ่อนเสียงกล่าว “อืม ต่อไปคุณชายรองก็จะไม่ทำเรื่องเช่นนี้อีกแล้ว”

อาเหม่าโค้งตัวให้เขา “หากพ่อบ้านไม่มีงานอะไรจะสั่ง อาเหม่าขอตัวก่อน”

เป็นเพราะนางถือน้ำนานเกินไป น้ำในกะละมังพลันไหวกระเพื่อม อาเหม่าเริ่มเมื่อยมือมากขึ้นแล้ว จึงคิดแต่อยากจะไปจากที่นี่โดยเร็ว

เซี่ยฟั่งมิได้รั้ง แต่หลังจากอาเหม่าไปแล้ว เขาก็พึมพำคำว่า ‘เย็นชา’ ด้วยความรู้สึก…ไม่สบอารมณ์นัก

อาเหม่ายังไม่ได้เดินไปไกลนัก ก็มีเสียงไม้เท้าเคาะกระทบพื้นหนักๆ ดังขึ้นเป็นจังหวะเสียงแล้วเสียงเล่า

เซี่ยฟั่งมองไปยังต้นเสียง ฮูหยินผู้เฒ่าอายุราวหกสิบปีคนหนึ่งกำลังเดินถือไม้เท้าตรงมาทางเขา

หน้าตาของฮูหยินผู้เฒ่ามิได้อ่อนโยนมีเมตตา อีกทั้งเต็มไปด้วยความเข้มงวดที่เกินไป จึงทำให้ดวงตาหงส์ดูดุดัน ไม่ชวนให้ผู้คนเข้าใกล้ แม้จะมีบ่าวรับใช้พยุงนางขนาบทั้งสองข้าง นางก็ยังจะถือไม้เท้าเดินเอง เห็นได้ว่าเป็นหญิงชราที่มีนิสัยดื้อรั้นเพียงไร

แต่เซี่ยฟั่งคิดว่านางคงไม่ไว้ใจคนรอบข้าง กลัวว่าพวกเขาจะทำให้ตนล้ม เหตุนี้จึงต้องถือไม้เท้าด้วยตนเอง

คนยังอยู่ไกล เขาจึงถอยหลบไปอีกทาง ก่อนจะค้อมศีรษะมองส่งนางเดินผ่านไป เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเดินใกล้เข้ามา เขาก็กล่าวว่า “วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจะไปนั่งเล่นที่ศาลาพักร้อนหรือ ข้าจะให้คนไปเตรียมผลไม้กับของว่างเดี๋ยวนี้ขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่าไม่แม้แต่จะมองเขา และไม่ได้พูดจากับเขาแม้แต่คำเดียว นางเพียงเดินถือไม้เท้าของตนเองต่อไป ทิ้งห่างเซี่ยฟั่งไว้ด้านหลังทีละก้าว พร้อมกับเสียงไม้เท้ากระทบพื้นหินเสียงหนักทุ้ม

สีหน้าเรียบเย็น…แววตารังเกียจ…

 

 

* มาจากสำนวน อักษร ‘色 (เซ่อ)’ ด้านบนมีมีด (刀) อยู่เล่มหนึ่ง โดยทั่วไป ‘เซ่อ’ หมายถึงสีสัน สีหน้า ตัณหา ความใคร่ และความงามของอิสตรี ในบริบทนี้จึงเป็นการเปรียบเปรยว่าผู้ใดลุ่มหลงในตัณหาความใคร่ย่อมประสบหายนะ

** คำว่า ‘กตัญญู’ ในภาษาจีนคืออักษร ‘孝 (เซี่ยว)’ แท้ที่จริงไม่ได้มีอักษรมีดอยู่ด้านบน แต่ประกอบด้วยรากอักษรคำว่า ‘老 (เหล่า)’ ผู้อาวุโส อยู่ตำแหน่งบน และคำว่า ‘子 (จื่อ)’ บุตร อยู่ด้านล่าง คอยแบกพาบุพการีไปทุกที่ จึงเป็นที่มาของคำว่ากตัญญู

* เผือกร้อนที่ลวกมือ หมายถึงเรื่องราวหรือปัญหาที่แก้ไขยาก รับมือยากประหนึ่งเผือกร้อนๆ ถือเอาไว้ก็มีแต่จะลวกมือให้พองเสียเปล่า

* จั้ง เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้ระยะประมาณ 3.33 เมตร

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

Editor Jamsai: