X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน เซียมซีทายรัก บทที่ 7

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 7

 

เรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหานไม่ชอบเซี่ยฟั่ง และตั้งแง่อคติกับชายหนุ่ม เจ้าบ้านสกุลหานเองก็รู้

แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้

เขาต้องการพ่อบ้านที่มีความสามารถ มิใช่ตาเฒ่าญาติห่างๆ ที่ไร้ประโยชน์นั่น

ฮูหยินผู้เฒ่าขุ่นเคืองใจกับเรื่องนี้ แต่ก็ไร้หนทาง ฉะนั้นจึงได้แต่ชักสีหน้าใส่เซี่ยฟั่งทุกครั้งที่เจอ

เซี่ยฟั่งเองก็รู้ เขามองส่งฮูหยินผู้เฒ่าจากไป ก่อนจะทอดสายตามองออกไปไกล ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉยเฉกเช่นยามปกติ โลกหล้านี้คนที่ยากจะดึงเป็นพวกด้วยมากที่สุดมิใช่คนใจคอคับแคบ และมิใช่คนโหดเหี้ยมใจดำ แต่เป็นคนที่ดื้อรั้นหัวแข็ง

อย่างเช่นหญิงชราผู้นี้

ทว่าขอเพียงเป็นมนุษย์ก็ย่อมมีจุดอ่อนเสมอ

และจุดอ่อนของนางก็คือหานกวง…หลานชายที่นางเอ็นดูที่สุด

 

เข้าสู่เดือนแปดแล้ว อากาศยิ่งเย็นสบาย สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดโชยมาปกคลุมทั่วผืนฟ้าและพื้นดิน ไล่ความร้อนอบอ้าวของฤดูร้อนให้หมดไป

หานกวงหายหน้าไปแทบทุกวัน นับตั้งแต่เซี่ยฟั่งดูแลห้องเก็บของแล้ว เขาก็ไม่ต้องแอบขโมยของไปขายอีก เนื่องจากเซี่ยฟั่งจะนำมาให้เขาสามสี่ชิ้นในทุกเดือน

เจ้าบ้านสกุลหานไม่รู้เรื่องนี้ คิดเพียงว่าเซี่ยฟั่งเกิดความละโมบจนขโมยของ แต่สิ่งของเหล่านั้นไม่มากพอ เมื่อเทียบกับความคุ้มค่าที่เขาทำงานให้กับสกุลหาน เขาจึงไม่ได้คิดเปิดโปง เซี่ยฟั่งยิ่งละโมบ ตนก็ยิ่งวางใจ

“ระยะนี้เหมือนกวงเอ๋อร์จะสนิทกับเซี่ยฟั่งมาก” หานฮูหยินเรียบเรียงเรื่องที่ได้ยินมาในช่วงหลายวันนี้ นางกล่าวต่อว่า “กวงเอ๋อร์ไม่เคยสนิทสนมกับบ่าวรับใช้ ไม่รู้ว่าเซี่ยฟั่งใช้ฝีมือเหนือเมฆอะไร”

“แต่เดิมเซี่ยฟั่งเองก็เป็นคุณชายมีสกุล ทั้งสองอายุไล่เลี่ยกัน จะถูกคอกันก็มิใช่เรื่องแปลก” เจ้าบ้านสกุลหานกำลังอ่านจดหมายที่ส่งมาจากแดนไกล อ่านจบแล้วจึงยื่นให้นาง “อี้เอ๋อร์จะกลับมาหลังฤดูใบไม้ร่วง”

อี้เอ๋อร์ก็คือหานอี้ บุตรชายคนเดียวของเจ้าบ้านรอง คุณชายสามแห่งสกุลหาน

หานฮูหยินมิได้สนิทชิดเชื้อกับเจ้าบ้านรองเป็นพิเศษ ตรงกันข้ามกลับรู้สึกรังเกียจอีกฝ่ายด้วยซ้ำ เนื่องจากเจ้าบ้านรองอ่อนแอไร้ความสามารถ ชีวิตความเป็นอยู่ล้วนอาศัยบ้านใหญ่อย่างพวกเขาเสมอ เพียงแต่ที่น่าเสียดายก็คงเป็นหานอี้ที่มีบิดาเช่นนั้น หากเป็นบุตรชายของนางกับเจ้าบ้านสกุลหานจะดีสักเพียงใด คงมิต้องกลุ้มใจแล้ว

คุณชายที่ฉลาดที่สุดของสกุลหานดันเป็นบุตรชายของบ้านรองหานฮูหยินผุดรอยยิ้ม “อี้เอ๋อร์เองก็เป็นเด็กเชื่อฟัง ทุกครั้งที่ส่งจดหมายกลับมา นอกจากมีของบิดามารดาแล้ว ยังส่งให้ท่านแม่กับท่านอีกคนละฉบับด้วย”

เจ้าบ้านสกุลหานแย้มยิ้มไม่แสดงท่าที ก่อนกล่าวว่า “อี้เอ๋อร์กลับมาหนนี้ บอกว่าจะไม่ออกไปตะลอนร่ำเรียนอีกแล้ว เขาอยากฝึกทำการค้ากับข้า”

หานฮูหยินชำเลืองมองจดหมายฉบับนั้นแวบหนึ่ง แววตาไม่พอใจ “มีคนมาแบ่งผลประโยชน์อีกคนแล้ว”

คิดแล้วก็วางจดหมายไว้อีกทาง คร้านจะอ่านมันแล้ว

ไม่นานบ่าวรับใช้ที่รับใช้ในเรือนก็แพร่กระจายข่าวคราวออกไป ขณะบอกเล่าข่าวคราวนี้แก่กัน ล้วนกำชับว่า ‘ข้าบอกเจ้าคนเดียว เจ้าอย่าบอกคนอื่นเด็ดขาด’ จากนั้นอีกคนก็กำชับต่อกันว่า ‘ข้าบอกเจ้าคนเดียว เจ้าอย่าบอกคนอื่นเด็ดขาด’ ไปเรื่อยๆ มิรู้จบ

ทุกคนต่างกำชับเรื่องที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้ทุกครั้ง จากนั้นข่าวคราวก็เล่าลือไปจนทั่วคฤหาสน์สกุลหาน

อาเหม่าง่วนกับงานจนมืดค่ำกว่าจะกลับถึงเรือน นางเพิ่งนั่งลงถอดเครื่องประดับผมวางไว้ข้างเตียง เถาฮวาก็ดึงนางไปบอกเรื่องนี้ “คุณชายสามจะกลับมาแล้ว”

“อืม ข้าได้ยินตอนอยู่ที่เรือนของนายท่านแล้ว”

เถาฮวาขุ่นเคืองเล็กน้อย “แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่บอกข้า”

ชุ่ยหรงที่พับผ้าอยู่อีกทางได้ยินก็หัวเราะเย้ยหยัน “อาเหม่าเป็นคนดี เป็นบ่าวรับใช้ที่ดี ไม่เคยแพร่งพรายเรื่องของเจ้านาย ไหนเลยจะเหมือนพวกเราที่ล้วนเป็นหญิงปากพล่อย”

วาจาที่กล่าวออกมานั้นเต็มไปด้วยหนามคม แม้แต่เถาฮวาที่มีนิสัยเถรตรงก็ยังฟังออก นางจึงย้อนกลับ “พี่ชุ่ยหรง คำพูดของท่านจะหาเรื่องให้อาเหม่าได้ คนที่ไม่รู้จะคิดว่าอาเหม่าเป็นคนพูด เรื่องราวยิ่งลือก็จะยิ่งผิดเพี้ยน”

“ข้าก็ไม่ได้พูดเรื่องโกหก มันเป็นความจริง” ชุ่ยหรงตอบ

เถาฮวายังอยากโต้แย้งแทนอาเหม่า อาเหม่ายื่นมือไปกดมือของนางไว้เป็นเชิงปรามอีกฝ่ายให้เลิกต่อล้อต่อเถียง นางดูออกแล้วว่าหลายวันนี้ชุ่ยหรงค่อนขอดนางไปเสียทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ เมื่อก่อนยังทักทายนางดีอยู่ ทว่ายามนี้ไม่เพียงไม่ทักทาย ยังกล่าววาจาซ่อนหนามอยู่ตลอดไม่ว่างเว้น

อยู่ในเรือนเช่นนี้ช่างน่าอึดอัดยิ่ง อาเหม่าจึงออกมาเสียให้สิ้นเรื่อง ตั้งใจว่าจะรอให้ชุ่ยหรงเข้านอนแล้วนางถึงค่อยกลับเข้าไป

เถาฮวาเห็นแล้วก็ไม่อยากอยู่ในเรือน จึงตามออกไปด้วย

เมื่อทั้งสองออกไป จึงเหลือชุ่ยหรงอยู่ในเรือนเพียงคนเดียว นางพับเสื้อผ้าอาภรณ์ของตนเองต่อ ก่อนมองไปที่เตียงของอาเหม่า ยิ่งมองโทสะของนางก็ยิ่งพวยพุ่งขึ้นสุมทรวง ชุ่ยหรงจึงลุกเดินไปกระชากผ้าห่มที่อีกฝ่ายพับเรียบร้อยแล้วลงมากองที่พื้น

เรื่องที่เซี่ยฟั่งวานให้คุณชายรองมอบแป้งชาดให้อาเหม่า แม้คนอื่นจะลืมไปแล้ว แต่ชุ่ยหรงไม่เคยลืม

นางมั่นใจว่าตนเองหน้าตาสวยใช้ได้ แต่เมื่อเทียบกับอาเหม่าแล้ว นางก็จำต้องยอมรับว่าตนเองด้อยกว่า เดิมทีนางก็ไม่ชอบที่อาเหม่ามักปั้นหน้าเป็นคนดีนัก ทั้งอีกฝ่ายยังได้รับความชื่นชอบจากเหล่าสาวใช้ด้วยกัน ยามนี้มีเรื่องของเซี่ยฟั่งเพิ่มขึ้นอีก จึงยิ่งทำให้นางโกรธแค้นยิ่งยวด

ก่อนวันสารท เซี่ยฟั่งยังใส่ใจนางมากกว่าแท้ๆ มิฉะนั้นเขาจะเว้นรายชื่อบ่าวรับใช้ที่อยู่ในคฤหาสน์ให้นางแทนที่จะเป็นอาเหม่าได้อย่างไร

หากเขาชอบอาเหม่า แล้วจะทำเช่นนั้นได้หรือ

ทว่าเพิ่งพ้นวันสารทได้ไม่กี่วันก็มีเรื่องมอบแป้งชาดเสียแล้ว

ใครจะรู้ว่าหลายวันนั้นอาเหม่ามอมเมาเขาด้วยยาเสน่ห์อะไร…

เมื่อเห็นตัวเลือกชั้นดีกำลังจะถูกคนแย่งชิงไปซึ่งหน้านางก็ยิ่งคับแค้นใจ หากมิใช่ว่านางหน้าบาง นางก็อยากถามเซี่ยฟั่งเสียเหลือเกินว่าเขาชอบใครกันแน่

ชุ่ยหรงคิดแล้วก็กระทืบเท้าเหยียบผ้าห่มของอาเหม่า จึงรู้สึกสาแก่ใจขึ้นมาบ้าง

“พี่ชุ่ยหรง”

ชุ่ยหรงสะดุ้ง หันกลับไปมองก็เห็นเป็นเด็กหญิงรับใช้คนหนึ่ง นางจึงชักสีหน้าบึ้งตึงถาม “มีอะไร”

เด็กหญิงมิได้เข้าไป จึงกล่าวที่หน้าประตูว่า “พ่อบ้านบอกว่าวันไหว้พระจันทร์เดือนนี้จะไปเก็บดอกกุ้ยที่สวนไป่กุ้ย เพราะฉะนั้นคนที่พักวันที่สิบห้าของทุกเดือนก็เปลี่ยนไปพักพรุ่งนี้ แล้ววันที่สิบห้าให้ไปทำงานที่สวนไป่กุ้ย”

ชุ่ยหรงกลอกตาล่อกแล่ก คนในเรือนที่หยุดพักวันที่สิบห้ามีสี่คน อาเหม่าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น นางจึงกล่าวว่า “ข้ารู้แล้ว ข้าจะไปบอกพวกนางเอง”

เด็กหญิงตัวน้อยไร้ซึ่งความระแวง เมื่อเห็นอีกฝ่ายรับปากว่าจะบอกแทนแล้ว จึงวิ่งไปบอกข่าวที่อีกเรือนหนึ่ง

เมื่อใกล้ถึงยามไฮ่* อาเหม่าจึงกลับเรือนพร้อมกับเถาฮวา พอกลับถึงเรือนพวกนางก็ได้ยินข่าวคราวของคนที่จะหยุดพักพรุ่งนี้ เถาฮวาถามคนผู้นั้น “เจ้าพักวันที่สิบห้ามิใช่หรือ เหตุใดจึงเปลี่ยนเสียล่ะ”

สาวใช้คนนั้นตอบว่า “พ่อบ้านให้คนมาแจ้งว่าข้า เจียวเจียว เสี่ยวเยวี่ย ต่างเปลี่ยนทั้งหมด”

อาเหม่าฟังแล้วรู้สึกแปลกใจ “แล้วข้าเล่า พวกเจ้าล้วนหยุดพักวันเดียวกับข้า ไฉนพวกเจ้าจึงเปลี่ยนกันหมด แต่ข้ากลับยังพักวันที่สิบห้า”

สาวใช้คนนั้นกล่าว “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องเป็นอย่างไรกัน เจ้าลองไปถามพ่อบ้านดูดีกว่า”

ให้อาเหม่าถามคนอื่นยังดีเสียกว่า มีเพียงเซี่ยฟั่งเท่านั้นที่นางเอ่ยปากถามไม่ออก นางจึงคิดว่าช่างเสียดีกว่า เรื่องลักษณะนี้ที่ผ่านมาก็ล้วนแจ้งกันเช่นนี้ ย่อมไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน

วันรุ่งขึ้น สาวใช้หลายคนในเรือนต่างจับคู่ไปเที่ยวด้วยกัน อาเหม่าไปรับใช้ที่เรือนนายท่านแต่เช้า ระหว่างนั้นเซี่ยฟั่งก็เข้ามา นางรู้สึกได้ว่าเขามองตนอยู่หลายครั้ง ทว่าอาเหม่าก็มิได้เงยหน้าขึ้นมา รอจนนางยกน้ำออกไปแล้ว จึงได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง ฟังแล้วเหมือนของเซี่ยฟั่ง เมื่อนางหันไปมอง…ก็พบว่าเป็นเขาจริง

เซี่ยฟั่งเรียกนางไว้ ก่อนเดินหน้าเข้าไปถาม “ข้าจำได้ว่าเจ้าต้องหยุดพักวันนี้”

อาเหม่ากล่าวตอบ “ข้าหยุดพักช่วงกลางเดือน”

“เมื่อคืนข้าให้เด็กหญิงคนหนึ่งไปแจ้งที่เรือนบ่าวรับใช้เป็นรายคนแล้ว เจ้าไม่อยู่หรือ”

อาเหม่าส่ายหน้า “ข้ารู้ว่าคนที่หยุดพักวันเดียวกับข้าในเดือนนี้ต่างได้รับแจ้งว่าวันนี้หยุดพัก แล้ววันที่สิบห้าทำงาน เมื่อคืนข้ายังแปลกใจอยู่…” ทันใดนั้นนางก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา “เมื่อคืนข้าไม่อยู่ ตอนที่ออกมาจากในเรือนมีคนอยู่แค่คนเดียว…ตอนนั้นเด็กรับใช้แจ้งใครหรือ”

เซี่ยฟั่งเองก็เป็นคนฉลาด ครั้นนางบอกเขาก็เดาได้ว่าคนผู้นั้นอาจมีเจตนาปิดบัง แต่เหตุใดจึงปิดบังเฉพาะอาเหม่าคนเดียว ทำให้นางจำวันผิด ให้นางต้องขาดงานวันที่สิบห้าแล้วจะได้ประโยชน์อะไร

“เด็กรับใช้อาจแจ้งตกหล่นก็ได้” เซี่ยฟั่งเอ่ยบอก “เช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้าหยุดพักเถอะ”

อาเหม่ามองเขาแวบหนึ่ง รู้ว่าเขาก็คงเดาอะไรได้บ้างแล้ว แต่กลัวนางกับคนผู้นั้นเกิดความบาดหมางขึ้น เพราะฉะนั้นเขาจึงหยุดหัวข้อสนทนานี้ “ข้าหยุดวันนี้ได้หรือไม่”

“วันนี้เจ้าตื่นแต่เช้าแล้ว หยุดพักพรุ่งนี้จะได้ไม่เสียเปรียบ” เซี่ยฟั่งกล่าวด้วยรอยยิ้มบาง “หากพักวันนี้ เวลานอนก็น้อยลงหลายชั่วยาม”

“ข้าต้องไปซักผ้าห่ม” อาเหม่ารู้ว่าเป็นฝีมือของชุ่ยหรง แต่นางไม่มีหลักฐาน

“อืม เจ้าไปเถอะ”

เซี่ยฟั่งไปถามเรื่องนี้กับเด็กหญิงรับใช้ทันที เด็กหญิงรับใช้คนนั้นเค้นความจำอยู่นานจึงกล่าวว่า “เป็นพี่ชุ่ยหรง นางยังรับปากข้าว่าจะบอกพวกนางเองด้วย”

ชุ่ยหรงหรือ…เซี่ยฟั่งจำสาวใช้ที่แกล้งป่วยคนนั้นได้ นางกับอาเหม่ามีเรื่องผิดใจกันอย่างนั้นหรือ ความสามัคคีของบ่าวรับใช้ก็เป็นหน้าที่ของเขา ซักถามพวกนางตรงๆ เขาคงไม่ได้เรื่องแน่ คิดแล้วก็ให้เด็กหญิงรับใช้ไปตามเถาฮวามา

เถาฮวาได้ยินเซี่ยฟั่งถามเรื่องของชุ่ยหรงกับอาเหม่า นางจึงกล่าวอย่างฉุนเฉียว “พ่อบ้าน ชุ่ยหรงคนนั้นก่อเรื่อง นางโยนผ้าห่มของอาเหม่าลงที่พื้น ทั้งยังใช้เท้าเหยียบ ข้ารู้ว่านางเป็นคนเหยียบ เพราะข้าแอบเทียบรอยเท้าของนางแล้ว เป็นนางนั่นแหละ”

เซี่ยฟั่งคิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ “เพราะอะไรชุ่ยหรงถึงกลั่นแกล้งอาเหม่าล่ะ”

เถาฮวาปากไวใจเร็ว โพล่งออกไปตามตรง “เพราะชุ่ยหรงชอบท่าน แต่พ่อบ้านชอบอาเหม่านี่นา”

เซี่ยฟั่งนิ่งอึ้ง ใบหน้าหล่อเหลาขาวใสไม่รู้จะแสดงสีหน้าเช่นไร “…ข้าไม่ได้ชอบอาเหม่า เพียงแต่คุณชายรองแกล้งข้า เพราะฉะนั้นจึงใช้ชื่อข้าไปมอบแป้งชาดให้นาง”

เถาฮวาโบกมือ “แต่พวกท่านเป็นคู่แท้ชะตาฟ้าลิขิต ตอนนี้ไม่ชอบ ภายหน้าอย่างไรก็ต้องชอบแน่ มิฉะนั้นคุณชายรองที่ไม่เคยหยอกใครเช่นนี้ ไฉนจึงเลือกอาเหม่าเล่า”

“คู่แท้ฟ้าลิขิตหรือ”

“ท่านไม่รู้หรือ ข้าคิดว่าท่านรู้เสียอีก” เถาฮวานั่งลง ในศาลาพักร้อนที่โล่งว่างนางเล่าโดยมิได้เบาเสียง “เช้าวันที่ท่านเข้าคฤหาสน์ อาเหม่ากับเหล่าสาวใช้ที่สนิทกันไปเสี่ยงเซียมซีที่อาราม เซียมซีดวงความรักของอาเหม่าทำนายว่าเนื้อคู่จะมาเยือน ผู้ทำนายที่แปลคำทำนายเซียมซีบอกว่าในตระกูลจะมีคนมาใหม่ คนผู้นั้นก็คือคู่ครองของอาเหม่า ปรากฏว่า…”

…ปรากฏว่าเขาก็มา

เซี่ยฟั่งนึกย้อนไปถึงตอนแรกที่ตนเข้าคฤหาสน์แล้วอาเหม่าหลบสายตาเขา รวมถึงสีหน้าท่าทางของเหล่าสาวใช้ที่มองเขา ในที่สุดก็พลันเข้าใจกระจ่าง

ที่แท้ระหว่างพวกเขาสองคนยังมีเรื่องเซียมซีก่อนหน้า ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้สึกว่าอาเหม่าและเหล่าสาวใช้ทำตัวแปลกพิกล

“คำพูดของคนทำนายชะตาเชื่อไม่ได้” เซี่ยฟั่งรู้ว่าเถาฮวามีนิสัยร่าเริง น่ากลัวว่าจะพูดไม่หยุด จึงกล่าวว่า “อ้อ ข้าจำได้ว่าอีกเดี๋ยวเจ้ายังมีงานต้องทำ รีบไปเถอะ”

เถาฮวาเองก็นึกขึ้นได้แล้ว จึงลุกพรวดขึ้นกล่าว “เช่นนั้นข้าไปล่ะ แต่พ่อบ้าน อารามนั้นศักดิ์สิทธิ์มาก เซียมซีก็แม่นยำ และที่สำคัญที่สุดคืออาเหม่าเป็นหญิงที่ดี นาง…ไม่น่าจะเกลียดท่าน”

นางราวกับนกน้อยที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังเลือกพูดถึงแต่เรื่องที่เขาปวดหัว เซี่ยฟั่งจึงยกมือขึ้นโบก “อืม ไปเถอะ”

เถาฮวากล่าวทิ้งท้าย “ท่านอย่าให้ชุ่ยหรงรังแกอาเหม่าอีกก็พอ อาเหม่าเป็นพวกไม่สู้คน แค่บีบก็อ่อนยวบแล้ว”

เซี่ยฟั่งชะงัก ท้ายที่สุดก็ยังพยักหน้า

รอเถาฮวาไปแล้ว เขายืนอยู่ในศาลาพักร้อน คำว่า ‘เซียมซีคู่วาสนานำพา’ ก็วนเวียนอยู่ในหัว เขากลั้นหายใจเล็กน้อย ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าสายลมฤดูใบไม้ร่วงนี้ช่างน่ารำคาญ

เขามาที่สกุลหานมิใช่เพื่อชะตารัก แต่มาเพื่อจบชะตาแค้น…

ดอกกุ้ยกรุ่นกลิ่นหอมอ่อนจางในเดือนแปด ยังไม่ทันถึงสวนไป่กุ้ยก็ได้กลิ่นหอมหวานโชยมาร้อยลี้ รถม้าของสกุลหานเรียงรายเป็นขบวน เคลื่อนตัวมุ่งหน้าไปยังสวนไป่กุ้ยเพื่อชมดอกกุ้ย ลิ้มชา ชมดอกไม้ ดื่มด่ำกับความสบายผ่อนคลายของทิวทัศน์ยามฤดูใบไม้ร่วง

ชุ่ยหรงเห็นอาเหม่าก็อยู่ในขบวนด้วยจึงจงใจปรี่เข้าไปเดินข้างนาง พลางเลิกคิ้วถามว่า “วันนี้เจ้าต้องพักมิใช่หรือ ไฉนจึงตามไปที่สวนไป่กุ้ยด้วย”

อาเหม่าช้อนตาขึ้นเล็กน้อย มองอีกฝ่ายที่ส่งสายตาท้าทายมา ก่อนกล่าวอย่างเนิบช้า “พ่อบ้านตั้งใจตามหาข้าโดยเฉพาะ บอกข้าว่าวันนี้จะไปเก็บดอกกุ้ยที่สวนไป่กุ้ยด้วยกัน ดอกกุ้ยกลิ่นหอมหวาน ให้ข้าอย่าพลาดชมทิวทัศน์สวยสดงดงามนี้เด็ดขาด”

ตั้งใจ…ด้วยกัน…ดวงตาของชุ่ยหรงสั่นสะท้านอย่างแรง

 

ดอกกุ้ยสีทองส่งกลิ่นหอมโชย กระทั่งได้กลิ่นตั้งแต่รัศมีร้อยลี้*

เมื่อเข้ามาภายในสวนแล้ว กลิ่นก็ยิ่งหอมฟุ้งชวนเคลิบเคลิ้มมากขึ้น หอมหวนเสียจนทำให้รู้สึกว่ากลิ่นหอมของดอกไม้นี้ตามติดข้างกาย ติดตัวไปเป็นร้อยวัน

ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหานพาบุตรหลานเข้าสวนมาพร้อมกัน โดยมีบ่าวรับใช้รายล้อมอยู่ด้านหลัง ขบวนใหญ่โตนี้ดึงสายตาของคนที่ไปชมทิวทัศน์ก่อนหน้าให้ต้องเหลียวมอง

พวกเขาเพิ่งเข้ามาในสวน เจ้าของสวนแห่งนี้ก็ออกมาต้อนรับ หลังทักทายถามไถ่พอเป็นพิธีแล้วเขาก็มีสีหน้าลำบากใจ ก่อนเข้าไปกระซิบข้างหูเจ้าบ้านสกุลหานหลายคำ จนอีกฝ่ายฟังแล้วไม่พอใจนัก ย่นคิ้วกล่าวว่า “หอจื่อจิ่งของท่านว่างไว้ให้สกุลหานเสมอ ไฉนคราวนี้จึงยกให้คนอื่นเสียได้”

เจ้าของสวนกล่าวขอโทษระรัวแล้วเล่าว่า “เดิมทีสวนนี้เคยเป็นที่ดินของคนสกุลนั้น ตอนที่ข้าซื้อมาพวกเขายื่นเงื่อนไขไว้เพียงข้อเดียว นั่นก็คือภายหน้ายามที่มาชมดอกไม้ในสวน ไม่ว่าพวกเขาขอที่ตรงจุดใดก็ต้องจัดแจงให้ หลายปีมานี้พวกเขาก็จองเพียงหอหงจิ่ง ใครจะคิดว่าจู่ๆ ปีนี้จะเปลี่ยนใจ”

“เปลี่ยนเป็นหอจื่อจิ่งของข้าอย่างนั้นหรือ” เจ้าบ้านสกุลหานกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “วันที่สิบห้าเดือนแปดของทุกปีสกุลหานของเราล้วนต้องขึ้นหอชมทิวทัศน์ จิบชาชมจันทร์ อธิษฐานขอพรให้สกุลหาน เรื่องนี้ข้านึกว่าคนมากมายจะรู้เสียอีก ตกลงเป็นคนสกุลใด จึงไม่ไว้หน้าสกุลหานเช่นนี้”

“สกุลฉินขอรับ” เจ้าของสวนตอบ

เจ้าบ้านสกุลหานชะงัก “สกุลฉินหรือ”

“มิใช่นายท่านฉินหรอกขอรับ นายท่านฉินไม่ชอบกลิ่นดอกกุ้ย แต่เป็นคุณชายบ้านนั้น คุณชายฉิน…เป็นบุตรคหบดีที่ขึ้นชื่อลือชาในเหิงโจวเรา ทั้งยังนัดหมายล่วงหน้า ข้าเองก็จนปัญญา”

เจ้าบ้านสกุลหานได้ยินว่าเป็นฉินโหยวก็ยิ่งรู้สึกปวดหัว เจ้าบ้านสกุลฉินยังเป็นคนมีเหตุผล ส่วนฉินโหยวผู้นั้นเป็นคนหนุ่มแน่นใจร้อน ทั้งไม่ยอมใคร เนื่องจากเจ้าบ้านสกุลฉินตามใจเขามาก ต่อให้มีคนร้องเรียนไม่น้อย ฉินโหยวก็ไม่สนใจสักนิด

เพราะฉะนั้นต่อให้ไปตามเจ้าบ้านสกุลฉินมาตอนนี้ เกรงว่าเขาก็คงไม่ออกหน้าอบรมห้ามปรามให้

แล้วจะให้เขาไปสมาคม ไปขอร้องเจ้าเด็กเมื่อวานซืนคนนั้นหรือ

เจ้าบ้านสกุลหานไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่

ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหานเห็นพวกเขาซุบซิบกัน ไม่ยอมเดินหน้าหรือเข้าไปตระเตรียมในหอจื่อจิ่งเสียที จึงเอ่ยถาม “ลูกแม่ เกิดอะไรขึ้นหรือ”

เจ้าบ้านสกุลหานได้ยินแล้วก็เดินเข้าไปบอกกล่าวมารดาคร่าวๆ หญิงชราฟังแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่น พลันขุ่นเคืองไม่พอใจ “นั่นเป็นแค่เด็กรุ่นหลังมิใช่หรือ แล้วก็ไม่ใช่คนที่จะเทียบเคียงสกุลหานของเราได้ ไยจึงไล่ไปไม่ได้เล่า”

วาจานี้กล่าวออกมาได้ไร้เหตุผลและไม่มองความจริงเอาเสียเลย เจ้าบ้านสกุลหานที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงการค้ามานานรู้ดีว่าต่อให้อีกฝ่ายเป็นเพียงขุนนางชั้นผู้น้อย หากมีธุระต้องพึ่งพาอีกฝ่าย และเขาดูแลฝ่ายตนได้ในระดับหนึ่งแล้ว ไม่ว่าอย่างไรตนก็จำต้องก้มหัว เจรจาอย่างนอบน้อม ยิ่งเจ้าบ้านสกุลฉินเพิ่งขายที่ดินให้เขาผืนหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็จะขับไล่ไสส่งบุตรชายของอีกฝ่ายต่อหน้าธารกำนัลนั้น หากลือออกไปคนอื่นจะไม่คิดว่าเขาหานโหย่วกงเป็นคนไร้คุณธรรมหรือ

“ท่านพ่อ” หานกวงเดินเข้าไปกล่าว “พวกเราไม่สะดวกออกหน้า ท่านให้เซี่ยฟั่งไปเถอะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหานแค่นหัวเราะเสียงเบา “ขนาดพวกเราออกหน้าก็ยังทำอะไรไม่ได้ แน่ใจหรือว่าเขาจะไว้หน้าให้เซี่ยฟั่ง”

หานกวงจับมือผู้เป็นย่าพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านย่า เรื่องนี้ท่านย่าไม่รู้อะไร ตอนที่สกุลเซี่ยยังไม่ตกต่ำนั้นเคยสนิทชิดเชื้อกับสกุลฉินมาก่อน และมีความสัมพันธ์อันดีกันอยู่ ข้าคิดว่าฉินโหยวต้องให้เกียรติเขาบ้างไม่มากก็น้อย”

ฮูหยินผู้เฒ่าเชื่อเรื่องผีสางเทวดาเป็นอย่างยิ่ง วันที่สิบห้าเดือนแปดเป็นเทศกาลใหญ่ การขึ้นที่สูงอธิษฐานขอพรเป็นสิ่งที่ต้องทำทุกปี หากไม่ทำ…น่ากลัวว่าจะไม่เป็นผลดีกับสกุลหาน นางครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ก็ตอบตกลง

หานกวงเรียกเซี่ยฟั่งมาทันที หลังบอกเรื่องนี้ เซี่ยฟั่งฟังแล้วย่นคิ้วเล็กน้อย “ลุงฉินดีกับข้าเหมือนลูกแท้ๆ ก็จริง แต่คุณชาย…กลับไม่ญาติดีกับข้านัก”

เรื่องนี้เจ้าบ้านสกุลหานเองก็รู้ วันนั้นที่พาเซี่ยฟั่งไปสกุลฉิน เขาก็เห็นท่าทีของฉินโหยวแล้ว เซี่ยฟั่งไปวิงวอนอีกฝ่ายเวลานี้ ต้องถูกฉีกหน้ากลั่นแกล้งกลับมาแน่นอน แต่เมื่อเทียบกันแล้ว เจ้าบ้านสกุลหานกลับไม่อยากให้พลาดฤกษ์งามมากกว่า ขึ้นที่สูงเพื่ออธิษฐานขอพรโดยเร็วย่อมดีที่สุด จึงกล่าวว่า “เจ้าลองไปพูดดู ไม่แน่หลังจากวันนั้นแล้ว ฉินโหยวอาจสำรวมขึ้นบ้างแล้ว”

เซี่ยฟั่งรับคำสั่ง

หอจื่อจิ่งมีทั้งหมดแปดชั้น ชั้นบนสุดก็คือชั้นที่สกุลหานใช้ในทุกปี ทว่าบัดนี้กลับถูกฉินโหยวยึดไป บันไดทางขึ้นจึงเต็มไปด้วยบ่าวรับใช้ของสกุลฉิน

เซี่ยฟั่งแจ้งจุดประสงค์ที่มาแล้ว บ่าวรับใช้จึงขึ้นไปรายงาน ไม่นานก็ลงมาบอกให้เขาขึ้นไป

ชั้นนี้กว้างขวางและสว่างไสว สี่ทิศล้วนเป็นราวกั้นไม่มีผนัง หากรู้สึกว่าลมแรงก็ลากฉากกั้นมาบังได้ มีโต๊ะอยู่ราวเจ็ดแปดตัว ด้านบนเต็มไปด้วยผลไม้และขนมไหว้พระจันทร์ ทุกโต๊ะจะมีถ้วยชาเก้าใบ ที่สื่อถึงการมีอายุยืนยาว

แต่ฉินโหยวกลับต่างจากคนทั่วไป เขาสั่งให้ย้ายโต๊ะเก้าอี้ที่อยู่ติดกับราวกั้นออกไปทั้งหมด แล้วเปลี่ยนเป็นเก้าอี้แบบมีพนักตัวใหญ่ ก่อนจะเอนนั่งแล้วโยกไปมา อาบลมเย็นยามฤดูใบไม้ร่วง สบายใจเหลือแสน กระทั่งได้ยินเสียงมีคนเดินมาจึงลืมตาขึ้น เมื่อเห็นว่ามีเพียงเซี่ยฟั่งมาโดยไร้เงาผู้อื่น จึงนั่งหลังตรงก่อนกล่าวถาม “เจ้ามาคนเดียวหรือ”

เซี่ยฟั่งนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ ฉินโหยวพลางทอดสายตามองออกไปนอกราวจับ ชมทิวทัศน์ที่นี่ รับลมโชยแผ่วเบาเช่นนี้ ช่างชวนให้มีความสุขเสียจริง “อืม”

“อีกเดี๋ยวข้าจะลงไปจากที่นี่แล้ว ทัศนียภาพมิอาจงามสู้หอหงจิ่งได้เลย” เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ “อาเหม่าไม่มาหรือ”

เซี่ยฟั่งแปลกใจเล็กน้อย ก่อนเหลือบตาขึ้นมองเขา “เหตุใดจึงถามถึงนาง”

“นางช่างเป็นแม่นางที่น่าสนใจยิ่งนัก ข้ายังชวนนางมาอยู่ที่สกุลฉินแล้ว แต่นางบอกว่าสัญญาทาสของนางเป็นสัญญาทาสตลอดชีพ มามิได้” ฉินโหยวกล่าวราวกับสนทนาเรื่องสัพเพเหระกับเขา “คืนวันสารทนางเห็นเจ้าแล้ว แม้นางจะบอกว่าเห็นไม่ชัด แต่ภายหน้ายามที่เราเจอกัน ก็ระวังไว้หน่อยจะดีกว่า”

ฟังฉินโหยวพูดเช่นนี้แล้ว ทันใดนั้นเซี่ยฟั่งก็นึกถึงคืนที่อาเหม่าเรียกเขาที่หน้าประตูเรือนใหญ่ได้ สีหน้าของนางพลันฉายความแปลกใจเข้ามาวูบหนึ่ง เขารู้สึกได้ว่าอาเหม่าเดาออกว่าเป็นเขา เพียงแต่นางมิได้ถามอะไรทั้งสิ้น

ฉินโหยวเห็นเขาคล้ายอยู่ในภวังค์ความคิดก็มิได้รบกวน จนกระทั่งเซี่ยฟั่งลุกขึ้นโดยไม่กล่าวอะไรอีก ก่อนจะเดินตรงดิ่งลงไปยังชั้นล่าง ทำให้เขามึนงงยิ่งนัก

เซี่ยฟั่งรู้สึกได้ว่าอาเหม่าเห็นเขากับฉินโหยวสนทนากันแล้ว เพียงแต่ด้วยนิสัยน้อยเรื่องดีกว่ามากเรื่องของอาเหม่านั้นนางจึงมิได้พูดอะไรออกมา

ทว่า…ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะไม่พูดเลยแน่หรือ

เซี่ยฟั่งเดินหน้าไปทีละก้าว แววตายิ่งฉายความเย็นเยือกอยู่ลึกๆ ทุกๆ ย่างก้าวล้วนเต็มไปด้วยความพะวง

เขายังไม่ทันกลับไปถึงที่พักชั่วคราวของสกุลหาน ในหัวก็พลันสับสนวุ่นวายไปหมด

“พ่อบ้าน?”

น้ำเสียงดุจธนูนี้ดึงสติเขาให้กลับมาในชั่วพริบตา เซี่ยฟั่งเงยหน้าขึ้นมอง อาเหม่าใกล้จะเดินมาถึงตรงหน้าแล้ว นางเห็นสีหน้าของเขาแปลกไปจึงละล่ำละลักถาม “ท่านเป็นอะไรไป”

เซี่ยฟั่งส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เป็นอะไร เจ้ามาได้อย่างไร”

“นายท่านบอกว่าท่านมานานเกินไปแล้ว จึงให้ข้ากับเถาฮวามาดู”

เซี่ยฟั่งเพิ่งเห็นว่าเถาฮวาก็อยู่ด้วย “ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว ไปรายงานนายท่านเถอะ”

เถาฮวาได้ยินแล้วก็รีบไปรายงานเจ้าบ้านสกุลหานทันที ด้วยกลัวว่านายท่านจะเกรี้ยวกราด อาเหม่าเองก็วิ่งไปก้าวสองก้าว ก่อนนึกได้ว่าสีหน้าของเขาแปลกไปจึงย้อนกลับไปถาม “ใช่คุณชายฉินแกล้งฉีกหน้าท่านอีกแล้วหรือไม่”

เวลานี้เซี่ยฟั่งไม่อยากให้นางซักไซ้ อาเหม่าจึงมั่นใจว่าฉินโหยวแกล้งเขาแน่แล้ว นางขมวดคิ้วมุ่น “คุณชายฉินดูไปก็มิใช่คนเลว แต่กลับชอบกลั่นแกล้งท่าน ว่าไปแล้วท่านก็มีศักดิ์เป็นเพียงหลานสหายของท่านลุงฉินเท่านั้น เหตุใดเขาถึงอคติกับท่านถึงเพียงนี้”

ถ้อยคำนี้เข้าโสตประสาทของเซี่ยฟั่ง ฟังแล้ว…เหมือนจะไม่รู้เรื่องของเขากับฉินโหยวแม้แต่น้อย

เพียงแต่คนที่ฉลาดเกินไปก็จะพูดเช่นนี้เหมือนกัน เจตนาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของอีกฝ่าย มิให้ภัยมาถึงตัว

เซี่ยฟั่งเคยคิดว่าอาเหม่าเป็นเพียงสาวใช้ธรรมดาผู้หนึ่ง วันนี้มาคิดดูแล้ว ที่ผ่านมาเขาล้วนมองนางผิดไป เขาตัวสูงกว่าอาเหม่ามาก สายตายามหลุบมองลงจึงยิ่งดูสลัว “ก็มิได้แกล้งอะไรหรอก เพียงแค่ขึ้นบันไดไปหลายชั้น ข้าจึงเหนื่อยนิดหน่อย”

คำตอบนั้นทั้งคลุมเครือและกลบเกลื่อน อาเหม่าได้ยินแล้วก็แค่แสร้งเชื่อไปเช่นนั้น

“อ้าว อาเหม่า” ฉินโหยวที่เดินตามลงมาเมื่อเห็นนางแล้ว ฝีเท้าเขาก็พลันก้าวเร็วขึ้นมาก “เมื่อครู่ข้ายังคิดจะให้เจ้าขึ้นหอไปชมทิวทัศน์งามๆ อยู่เลย ตอนนี้ก็เจอเจ้าพอดี เจ้าว่าใช่บังเอิญหรือไม่ มา…ขึ้นไปด้านบนกับข้าเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปชมสวนดอกกุ้ยด้วยตนเอง ทิวทัศน์ข้างบนกับข้างล่างต่างกันอย่างสิ้นเชิงเชียวล่ะ”

ฉินโหยวพูดพลางจับมือนางมากุม อาเหม่านิ่งอึ้ง รีบดึงมือกลับ ครู่เดียวเซี่ยฟั่งก็เข้ามาขวางอยู่ระหว่างกลางทั้งสองแล้ว

“อาเหม่ายังมีงานต้องทำ คงไม่ว่างอยู่กับคุณชายฉิน”

ฉินโหยวมองเขาหลายครั้ง ก็ถูกแล้วที่พ่อบ้านจะปกป้องผู้ใต้บัญชา นั่นเป็นเรื่องสมควร เขาแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ไว้หน้าเจ้าแล้วท่าทางเจ้าจะไม่ชอบ”

พูดจบเขาก็รู้สึกว่าตนเองใช้คำพูดแรงเกินไป เกิดอาเหม่าคิดว่าเขาเป็นคนถ่อยไร้ความละอายจะทำเช่นไร เขาอยากจะกล่าวเสริมอีกสักคำสองคำ ทว่ากลับเห็นเซี่ยฟั่งจ้องตนเองเป็นเชิงบอกให้ไป เขาจำต้องไปอย่างเสียมิได้ เดินไปก็พลางกลุ้มใจไปพลาง เขามิควรกล่าววาจาจนเป็นเช่นนั้นไปเสียได้

อาเหม่าจ้องเซี่ยฟั่งจากทางด้านหลัง หรือว่า…คืนนั้นจะจำผิดคนจริงๆ

แต่จะจำผิดได้อย่างไร…เพราะฉะนั้น เซี่ยฟั่งต่างหากที่ยังคงเล่นละครอยู่

แต่ไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของเขาคืออะไรกันแน่

อาเหม่านิ่งเงียบไม่พูดไม่จา รู้สึกเพียงว่าเซี่ยฟั่งในยามนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก

พวกเจ้าบ้านสกุลหานขึ้นไปยังหอชมทิวทัศน์แล้ว เหล่าสาวใช้จึงถือโอกาสช่วงกลางวันนี้ไปเก็บดอกกุ้ยในสวนเหมือนทุกปี หนึ่งเพื่อนำมาหมักสุราดอกกุ้ย สองคือนำมาทำขนมดอกกุ้ยที่สดใหม่ และอย่างสุดท้ายก็คือนำไปตากแห้งแล้วทำเป็นถุงหอม เช่นนี้ตลอดหลายเดือนข้างหน้า คฤหาสน์สกุลหานก็จะอบอวลด้วยกลิ่นหอมจางๆ ของดอกกุ้ย

สาวใช้ทุกคนต้องทำถุงหอมสามใบ แต่ดอกไม้แห้งไม่ได้มีปริมาณเต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างดอกไม้สด ดอกไม้สดหนึ่งกองเมื่อตากแห้งแล้วก็เหลืออยู่เพียงกำมือเดียว เพราะฉะนั้นแต่ละคนจึงต้องเก็บดอกไม้ให้ได้ถึงสองกระด้ง

ดอกไม้ที่มีมากที่สุดในสวนไป่กุ้ยย่อมเป็นดอกกุ้ย แม้จะต้องเก็บในปริมาณมาก แต่ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามเหล่าสาวใช้ก็เก็บกันเสร็จแล้ว พร้อมนำไปตากและคัดเลือกอีก

เมื่อถึงพลบค่ำ หลังจากดอกกุ้ยถูกตากด้วยแดดแรงๆ มาครึ่งวันก็แห้งจนได้ที่แล้ว

เหล่าสาวใช้ทยอยเก็บดอกไม้ที่ตนเด็ดมา อาเหม่าเองก็จะไป แต่ยังไม่ทันไปถึงก็มีสาวใช้ที่สนิทวิ่งมาเรียกนาง “อาเหม่า กระด้งของเจ้าถูกลมพัดหล่นบนพื้น ดอกไม้ตกพื้นกระจายหมดแล้ว”

อาเหม่านิ่งอึ้ง ก่อนจะรีบเร่งฝีเท้าไปที่ชั้นวางไม้นั้น ดอกไม้ที่นางตากไว้ตกกระจายเปื้อนดินทั้งหมดจนไม่อาจใช้การได้แล้ว

แต่กระด้งของสาวใช้คนอื่นๆ ล้วนไม่เป็นไร มีแต่ของนาง…

ลมคงจะไม่เลือกรังแกเฉพาะนาง ทว่าคนนั้นทำได้

นางเหลือบตาขึ้นมองเหล่าสาวใช้ปราดหนึ่ง พวกนางล้วนมีสีหน้าเสียดาย มีเพียงดวงหน้าสวยหนึ่งเดียวที่ซ่อนอยู่ในกลุ่มทั้งยิ้มเยาะเย็นชา เมื่อสายตาสบประสานกับนางแล้วก็หาได้หลบเลี่ยงไม่ คล้ายกำลังประกาศว่า‘ใช่ ข้าเป็นคนทำเอง เจ้าจะทำอะไรข้าได้’

ชุ่ยหรง…อาเหม่าพลันรู้สึกว่าตนเองบาดหมางกับคนนิสัยแปลกผู้นี้เข้าแล้วจริงๆ ชุ่ยหรงจะชอบเซี่ยฟั่งก็ชอบไปเถิด เหตุใดจึงต้องคอยรังแกนางด้วย นางเพียงจะอยู่อย่างสงบเท่านั้น ไม่เคยคิดขัดแย้งแก่งแย่งกับใคร ทว่าชุ่ยหรงกลับนำเรื่องที่เซี่ยฟั่งไม่ชอบตนเองมาคิดบัญชีกับนางเช่นนี้ได้

หากเซี่ยฟั่งชอบนางจริงก็แล้วไปเถอะ แต่เซี่ยฟั่งไม่ได้ชอบนางสักนิด หากชุ่ยหรงยังท้าทายนางเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าก็นับว่าทำเกินไปแล้ว

อาเหม่าก้มหน้าเก็บเศษดอกไม้ ทันใดก็พลันเข้าใจแล้วว่าการอดกลั้นรังแต่จะทำให้อีกฝ่ายได้คืบจะเอาศอกนี้เป็นเช่นไร

มือบางของนางพลันกำแน่น แน่นเสียจนได้กลิ่นหอมของดอกกุ้ยที่เจือกับกลิ่นดินเหม็นอับจนเต็มมือ ก่อนแปรสภาพเป็นทั่งที่ทุบลงบนหัวใจที่ชาชินมาสิบห้าปีของอาเหม่า

 

 

* ยามไฮ่ คือช่วงเวลา 21.00 น. ถึง 23.00 น.

* ลี้ (หลี่) หมายถึงหน่วยมาตราวัดของจีน เท่ากับความยาว 15 อิ่น เทียบได้กับระยะทางประมาณ 500 เมตร

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

Editor Jamsai: