X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเซียนเครื่องหอม

ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ห้า

 

“เต้าฮวย เต้าฮวยร้านหม่าจี้ นุ่มลื่นคล่องคอ!”

“เป็ดย่าง เป็ดย่างตระกูลหลี่! กรอบหอมเนื้อนุ่ม!”

“ขนมเปี๊ยะเนื้อรมควันจ้าวพั่งจื่อ ไม่กินถือว่ามาไม่ถึงเมืองผิงเฉิง!”

“เต้าหู้เหม็นสวีหมาจื่อเป็นหนึ่งในใต้หล้า”

“ทำนายชื่อ ดูดวงชะตา สิบอีแปะต่อครั้ง รู้อดีตห้าร้อยปี รู้อนาคตแปดร้อยปี”

ดวงอาทิตย์คล้อยไปทางตะวันตกแล้ว ทว่าไอร้อนกลับยังไม่จางหายไป เสียงร้องเร่ขายของดังเบาสลับกันก็ทำให้ถนนการพนันแห่งนี้คึกคักเหมือนเปิดหม้อข้าวต้มเดือด* ผู้คนที่ทำงานมาทั้งวัน ต่างก็เริ่มทยอยมารวมตัวกันที่ถนนการพนัน เตรียมตัวหลังจากกินอาหารเย็นแล้ว จะหาบ่อนสักแห่งเสี่ยงโชค ขยับยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย

เด็กสาวตัวผอมดำคนหนึ่งเดินออกมาจากโรงธูปสวีจี้ตรงหัวมุมถนน นางเดินตรงมาทางนี้ มองไปทางโน้นทีทางนี้ที ถูกกลิ่นหอมเย้ายวนใจดึงดูดมาจนถึงหน้าร้านเป็ดย่างตระกูลหลี่

“ห้าสิบอีแปะครึ่งตัว กรอบหอมเนื้อนุ่ม…” เสี่ยวเอ้อร์ที่มีเหงื่อท่วมหัว หยิบเป็ดย่างมันย่องตัวหนึ่งยื่นมาตรงหน้า “เป็นอย่างไร แม่นางน้อย เอาสักตัวไปชิมหรือไม่ รับรองว่ากินแล้วต้องอยากกินอีกแน่นอน”

มู่หวั่นชิวกลืนน้ำลายอย่างแรง มือคลำที่กระเป๋า ทันใดนั้นก็ส่ายหน้า ยกเท้าก้าวไปข้างหน้า

“เหอะๆ เจอคนจนอีกคนแล้ว” เสี่ยวเอ้อร์มองแผ่นหลังของมู่หวั่นชิวแล้วพูดบ่น

ครั้งที่สองแล้วที่นางถูกเสี่ยวเอ้อร์ข้างถนนพูดจาเยาะเย้ย มู่หวั่นชิวพยายามยืดตัวตรง คลำไปตรงกระเป๋าที่มีเงินเพียงหนึ่งตำลึง ใช่ว่านางจะไม่มีเงินซื้อ แต่เงินหนึ่งตำลึงนี้จะเอาไปเป็นทุนที่ร้านป๋ออี้ อีกครู่หลังออกมาจากร้านป๋ออี้แล้ว นางจะต้องซื้อเป็ดย่างของเขาทั้งหมด ให้เขาเห็นว่าใครกันแน่ที่เป็นคนจน มู่หวั่นชิวคิดอย่างเคียดแค้น…

เดินมองแผ่นป้ายเหนือหัวมาตลอดทาง ไม่ช้ามู่หวั่นชิวก็หาร้านป๋ออี้เจอ มองดูชายฉกรรจ์ร่างใหญ่น่าเกรงขามสองคนที่ยืนอยู่ตรงปากประตูแล้ว ขาของนางที่ยกขึ้นก็เกิดลังเลขึ้นมา

นางยืนอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่ ทันใดนั้นก็ยืดตัวตรง ค่อยๆ เดินไปยังบันไดหยกขาวที่สะท้อนแสงอาทิตย์อัสดงจนดูแสบตา

“นี่ๆๆๆ” คนเฝ้าประตูขวางทางนางไว้ มองสำรวจเด็กสาวที่เสื้อผ้าเต็มไปด้วยรอยปะชุน แต่ก็ยังนับว่าสะอาดสะอ้าน “แม่นางน้อย เจ้าเดินเข้าผิดประตูแล้ว หากจะซื้อแป้งชาด เจ้าต้องไปทางนั้น” คนเฝ้าประตูชี้ไปยังถนนบุปผาที่อยู่ไกลออกไป “ที่นี่คือบ่อนพนัน ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะมา”

“ทำไมล่ะ” มู่หวั่นชิวถามอย่างประหลาดใจ “ร้านของเจ้าปิดกิจการแล้วหรือ”

คนเฝ้าประตูหันไปมองบ่อนที่มีเสียงอึกทึกคึกคัก พลางรู้สึกว่าน่าขำ ร้านของเขาถือเป็นบ่อนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองผิงเฉิงแล้ว คุณชายรองตระกูลเจิงซึ่งเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ของแคว้นต้าโจวเป็นผู้เปิด แม้ว่าบ่อนทั่วเมืองผิงเฉิงจะล้ม แต่ว่าร้านป๋ออี้ของเขาจะไม่มีทางปิดกิจการ!

แต่ว่าบ่อนก็แบ่งระดับอยู่เช่นกัน คนมีเงินก็พนันสูง ไม่มีเงินก็พนันต่ำ คนที่มาร้านป๋ออี้ของเขาล้วนเป็นคนที่มีเงิน หากในมือไม่มีเงินแปดสิบถึงร้อยตำลึง คนทั่วไปย่อมไม่กล้ามาเล่นที่นี่

ตั้งแต่เปิดกิจการมา ร้านป๋ออี้ของเขาไม่เคยมีพวกขอทานเข้ามาเลย!

“เปิดสิ วันนี้คุณชายสี่ตระกูลเหลิ่ง เซียนพนันทิพย์กุมารเลื่องชื่อของแคว้นต้าโจวก็มาเปิดโต๊ะด้วยตัวเอง ด้านในมีคนอยู่เต็มไปหมด” คนเฝ้าประตูหัวเราะเหอะๆ “ข้าหมายถึง เจ้าเข้าไปไม่ได้”

“ข้ามีเงิน…” ได้ยินว่าเหลิ่งกังมาเปิดโต๊ะด้วยตัวเอง มู่หวั่นชิวก็โล่งอก ควักเงินเพียงหนึ่งตำลึงที่นางมีอยู่ออกมากวัดแกว่งไปมาตรงหน้าคนเฝ้าประตู

คนเฝ้าประตูแทบจะโมโห มองดูมู่หวั่นชิวที่ดูเหมือนขอทานแวบหนึ่ง น้ำเสียงฟังรำคาญใจ “แม่นางน้อย ข้าหวังดีต่อเจ้าหรอกนะ เจ้าเหลือบดูข้างในสิ ข้างในมีแต่พวกผู้ชายเล่นพนันกัน แต่ว่าเจ้า…”

มองดูร่างผอมบางของนางแล้ว คนเฝ้าประตูก็ส่ายหน้า ก่อนกลืนคำพูดที่เหลือลงท้องไป

มู่หวั่นชิวมองดูการแต่งตัวของตัวเองแล้วก็เหงื่อตก

นางรู้ว่าบ่อนพนันน้อยนักจะมีผู้หญิงเข้าออก อาจจะพอมีบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นหญิงคณิกาที่คนรวยเหล่านั้นพามาด้วย วันนี้มาที่ร้านป๋ออี้ เดิมทีนางยังคิดจะซื้อชุดผู้ชายสักชุดมาเปลี่ยนใส่ อย่างน้อยคงไม่ถูกขวางอยู่หน้าประตูเหมือนตอนนี้ ทั้งไม่ต้องมาเป็นที่จับตาเช่นนี้

ทว่า…น่าเสียดายที่นางไม่มีเงินพอจะซื้อได้จริงๆ

เดิมยังคิดว่าต่อมกลิ่นชะมดเช็ดของนางชิ้นนั้นจะขายได้ราคาดี แต่ว่าน่าเสียดายที่เพราะเสื้อผ้าเก่าขาด คนในโรงธูปล้วนรังแกนาง คิดว่าเป็นเด็กกำพร้าที่ร่อนเร่ ยอมให้ราคาเพียงไม่กี่ร้อยอีแปะเท่านั้น สุดท้ายได้เสี่ยวเอ้อร์ที่โรงเตี๊ยมแนะนำให้ จึงขายที่โรงธูปสวีจี้ได้เงินมาหนึ่งตำลึง ราคานั้นนับว่าสูงที่สุดในบรรดาโรงธูปชั้นเลิศแล้ว

ทั้งที่รู้ว่าต่อมกลิ่นชะมดเช็ดนั้นราคาถึงร้อยตำลึง แต่น่าเสียดาย เพราะไม่มีอำนาจ และรีบร้อนที่จะใช้เงิน นางจำต้องยอมรับโชคชะตาเพื่อแลกเงินมาหนึ่งตำลึง

นี่เป็นกฎเกณฑ์ของโลกนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก!

นึกถึงเรื่องที่หม่าจู้เอ๋อร์เคยบอกว่าพ่อของเขาถูกคนซื้อซากสัตว์ในตลาดรังแก มู่หวั่นชิวก็ยิ้มเศร้า คิดว่านางผ่านชีวิตมาสองชาติแล้วคงจะหลบเลี่ยงได้ แต่น่าเสียดายนัก เพราะความยากจน นางที่ร่อนเร่ไร้ที่พึ่งจึงถูกรังแกเช่นกัน ทั้งยังถูกเสี่ยวเอ้อร์ข้างถนนหัวเราะเยาะ โลกนี้อำนาจจึงเป็นสิ่งที่คอยกำหนดจิตใจคนจริงๆ

ปลายนิ้วสัมผัสถูกตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยในอกเสื้อ มู่หวั่นชิวก็แอบถอนใจ “แม้ว่าข้าจะมีเคล็ดวิชาอยู่ในมือแท้ๆ แต่ไม่มีเงินก็คงไม่ได้!”

ความคิดเพียงแวบผ่าน นางพลันขบฟันแน่น

ไม่ว่าอย่างไร วันนี้นางต้องเข้าไปเล่นพนันในร้านป๋ออี้ให้ได้!

“ข้าว่านะแม่นางน้อย เจ้ารีบไปเสียเถอะ อย่ามายืนเกะกะอยู่ตรงนี้เลย” เห็นมู่หวั่นชิวดื้อรั้นยืนอยู่ตรงนั้นไม่ยอมไปเสียที คนเฝ้าประตูก็มีน้ำเสียงไม่พอใจขึ้นมา พลางชี้ไปทางด้านหลังของนาง “เจ้าดูสิ แค่ครู่เดียว ก็มีคนมารวมตัวกันมากมายแล้ว เจ้ารีบไปเถอะ ระวังฟ้ามืดแล้วคนทางบ้านจะร้อนใจ”

มู่หวั่นชิวไม่ได้หันหน้ากลับไป เพียงแค่ยืดร่างบางให้ตรงขึ้น

“ข้าได้ยินว่านี่เป็นบ่อนที่คุณชายรองตระกูลเจิงเป็นคนเปิด จึงได้มาดูความคึกคัก” นิ้วมือของนางชี้ไปยังบทกลอนด้านหลังคนเฝ้าประตู “ประตูเปิดรับแขกสี่ทิศแปดด้าน เงินทองไหลเข้าจากออกใต้ตกเหนือ…” ก่อนจะชี้ไปบนป้ายยาว “ร้านของเจ้าเป็นบ่อนอันดับหนึ่งในใต้หล้ามิใช่หรือ” เห็นคนเฝ้าประตูประหลาดใจ จึงพูดต่อไปว่า “กฎของบ่อน คนที่มีเงินก็เข้าไปได้ ถูกคุณชายรองตระกูลเจิงเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อใด”

“เรื่องนี้…” คาดไม่ถึงว่าเด็กสาวเสื้อผ้าเก่าขาดผู้นี้จะมีฝีปากร้าย คนเฝ้าประตูสีหน้าถมึงทึงในทันที มองดูคนที่มาห้อมล้อมกันเต็มด้านหลังนาง จึงพยายามสะกดใจไม่กล้าโมโห เขาพูดเสียงเบาว่า “ข้าว่านะแม่นางน้อย…ข้าหวังดีต่อเจ้าจริงๆ หากเจ้าเข้าไปเช่นนี้ ไม่ถึงหนึ่งเค่อ ก็ถูกพวกผู้ชายเหล่านั้นจับกินแน่นอน”

เขาเหลือบมองใบหน้านุ่มเนียนของมู่หวั่นชิวอย่างแฝงความคิด

“ที่ร้านป๋ออี้ได้ชื่อว่าเป็นบ่อนอันดับหนึ่งในใต้หล้า มีกิจการรุ่งเรือง ก็เพราะมีความปลอดภัยเป็นที่เลื่องลือ” มู่หวั่นชิวมองดูชายฉกรรจ์ร่างใหญ่สองคนที่หน้าประตู “แขกสำคัญเข้าออกล้วนมีผู้คุ้มกันไปส่ง รับรองความปลอดภัยของแขกที่เข้าออกบ่อนทุกคน เป็นความเชื่อมั่นอันดับหนึ่งของร้านป๋ออี้ หรือว่าคุณชายรองตระกูลเจิงจะเปลี่ยนแม้กระทั่งกฎข้อนี้?”

“เจ้า!”

เด็กหญิงเสื้อผ้าเก่าขาดแบบนี้ก็นับว่าเป็นแขกสำคัญได้หรือ!?

ได้ฟังคำพูดนี้แล้ว คนเฝ้าประตูก็กลอกตาขาว แต่ว่าคนทำการค้า ประตูย่อมเปิดต้อนรับแขกทั่วทิศ ในเมื่อเปิดกิจการ ผู้มาเยือนก็ถือว่าเป็นแขก ตอนนี้ด้านหลังมู่หวั่นชิวมีคนเต็มไปหมด ภายใต้สายตาของทุกคน เขาไม่กล้าพูดว่านางไม่ใช่แขกสำคัญ

สีหน้าคนเฝ้าประตูแดงก่ำ พูดอะไรไม่ออก เขายืนอยู่ตรงนั้นมองหน้ามู่หวั่นชิว

“คุณชายหลี่ เขาไม่ยอมให้ผู้หญิงเข้าไปน่ะ พวกเรากลับไปดื่มสุราทายหมัดที่หอกันเถอะ” หญิงสาวคนหนึ่งที่ถูกพามาจากหอชุ่ยอวิ๋นหัวร่อต่อกระซิกอยู่ด้านหลังมู่หวั่นชิว ดึงดูดสายตาของทุกคน

“ถ้าวันอื่นข้าคงจะทำตามเจตนาของชุ่ยเอ๋อร์” คุณชายหลี่หยิกแก้มนุ่มเนียนของหญิงสาวผู้นั้น “แต่ว่าวันนี้ไม่ได้จริงๆ คุณชายสี่ตระกูลเหลิ่ง เซียนพนันทิพย์กุมารมาเปิดโต๊ะทั้งที ข้าจะต้องขอเปิดหูเปิดตาสักครั้ง”

ทุกคนพากันหัวเราะ หยดเหงื่อพลันไหลลงมาตามแก้มของคนเฝ้าประตู เหตุใดเขาจึงไม่เห็นว่าเด็กสาวที่ดูอ่อนแอผู้นี้ช่างรับมือด้วยได้ยากนัก

คนยิ่งมุงยิ่งมาก เสียงอึกทึกวุ่นวายทำให้หลงจู๊หลี่เต๋อจำต้องเดินมาดู

ได้ฟังคำของคนเฝ้าประตูแล้ว เขาก็มองสำรวจเด็กสาวตรงหน้าผู้นี้ นางอายุไม่มาก มีผิวหน้าสีแทน กระนั้นก็มิอาจปิดบังความงดงามเอาไว้ได้ หากให้เวลาอีกสักนิด นางจะต้องเป็นหญิงที่งดงามคนหนึ่งได้อย่างแน่นอน

ทั้งที่เห็นนางใส่ชุดเก่าๆ แต่ยังคงยืดตัวตรง ความสงบนิ่งในดวงตานั้น กลับฉายความงามสง่าสูงศักดิ์ไม่เข้ากับอายุและเสื้อผ้าเรียบง่ายของนางแม้แต่น้อย

นางต้องเป็นคุณหนูของตระกูลใดตระกูลหนึ่งที่แอบหนีออกมาเป็นแน่ แค่เพียงความสง่าและสงบนิ่งนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นองค์หญิง หลงจู๊หลี่เต๋อที่อยู่ในบ่อนพนันมานานถือได้ว่าพบเห็นผู้คนมามากมาย เขายังคงมีความสุขุม จึงเดินเข้าไปหานางด้วยรอยยิ้ม

“ขออภัยด้วย แม่นางน้อยท่านนี้ จุดมุ่งหมายของร้านป๋ออี้ก็คือต้อนรับแขกทั่วสารทิศ เพราะคนเฝ้าประตูมิรู้ความ เสียเวลามีโชคของท่านแล้ว” เขาหันไปเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาคนหนึ่ง “พาแม่นางน้อยท่านนี้เข้าไป ระวังอย่างให้คนอื่นเดินชนเข้าล่ะ” ก่อนจะหันหน้าไปทางฝูงชน “คุณชาย นายน้อย นายท่านทั้งหลาย อย่ามัวแต่ยืนอยู่เลย รีบเข้าไปข้างในเถิด ข้างในนี้มีชาดีน้ำดีรอท่านอยู่นะขอรับ” เห็นทุกคนหัวเราะไม่ยอมเข้ามา จึงพูดต่อไปอีก “คุณชายเหลิ่งซึ่งเป็นเซียนพนันทิพย์กุมารที่ร้อยปีจะมีสักคนในแคว้นต้าโจวเริ่มเปิดโต๊ะแล้ว ทั้งยังแทงต่ำต่อกันเจ็ดตา นักพนันเดิมพันสูงอันดับหนึ่งในใต้หล้า เป็นเรื่องแปลกที่ไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน หากทุกคนไม่เข้าไปดู พลาดโอกาสแล้ว ระวังจะเสียใจไปชั่วชีวิตนะขอรับ!”

คำพูดนี้ได้ผลดียิ่ง ทุกคนที่แต่เดิมเพียงยืนนิ่ง ต่างพากันกรูเข้าไปในประตู

หลี่เต๋อเบี่ยงตัวเปิดทางให้ มองดูคนทั้งหลายแล้วหัวเราะแหะๆ

แม้ว่าจะเล่นพนันไม่เป็น แต่มู่หวั่นชิวมิได้รู้สึกแปลกตากับบ่อนพนันสักนิด เนื่องจากชาติก่อนนางเคยตามซานหลางไปหลายครั้ง แต่ร้านป๋ออี้นี้นางกลับเพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก แม้จะยังไม่ถึงเวลาจุดไฟ แต่ภายในโถงของร้านป๋ออี้กลับมีแสงไฟส่องสว่างแล้ว

แต่ผิดคาด บนโต๊ะพนันในโถงกลับมีคนอยู่เพียงไม่เท่าไร ทั้งยังดูเงียบเหงาอย่างเห็นได้ชัด

มู่หวั่นชิวตกใจ หรือนางจะเดินผิดทาง

“แม่นางน้อยท่านนี้อยากดูเซียนพนันทิพย์กุมาร คุณชายสี่ตระกูลเหลิ่ง เป็นเจ้ามือเช่นกันใช่หรือไม่” เห็นนางตะลึงงัน เสี่ยวเอ้อร์ที่เดินนำนางมาจึงเอ่ยถาม มู่หวั่นชิวพยักหน้าแล้วตอบรับ เสี่ยวเอ้อร์จึงชี้ไปทางชั้นบน “อยู่ชั้นสองน่ะขอรับ หากท่านต้องการแทงพนัน ต้องแลกเบี้ยที่นี่ก่อน…” เขาชี้ไปที่โต๊ะยาวหน้าโถง “ถ้าแค่อยากดูความคึกคัก ท่านก็ตามข้าน้อยขึ้นไปได้เลย” เขากวาดตามองร่างผอมบางของนางแวบหนึ่ง “ข้างบนคนเยอะ ท่านต้องระวังให้ดี อย่าไปชนอะไรเข้า”

ฟังคำของเสี่ยวเอ้อร์แล้ว มู่หวั่นชิวก็ได้ยินเสียงอึกทึกจากชั้นบนเช่นกัน จึงพยักหน้า “ข้าจะแลกเงินก่อน”

เห็นนางแลกเบี้ยสีน้ำเงินเพียงเหรียญเดียว เสี่ยวเอ้อร์ก็เบ้ปากอย่างไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นนางหมุนตัวกลับมา ก็รีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นเปื้อนยิ้ม เดินเข้าไปหาอย่างนอบน้อม

“แม่นาง ท่านค่อยๆ เดินนะขอรับ ระวังหกล้ม!” มู่หวั่นชิวไม่พูดอะไร เพียงเดินตึงๆ ขึ้นไปยังชั้นบน เสี่ยวเอ้อร์จึงตะโกนไล่หลังนาง

แม้จะไม่พอใจกับความจนของนางเพียงใด แต่การรับรองความปลอดภัยของแขกทุกคน ถือเป็นหน้าที่สำคัญอันดับแรกของร้านป๋ออี้ แน่นอนเมื่อเด็กสาวผู้นี้ถูกหลี่เต๋อปล่อยเข้ามา เขาก็จำต้องเดินตามราวกับเป็นผู้คุ้มกันของนาง

มาถึงโถงหลักชั้นสอง พอเข้าประตูไปก็เจอโต๊ะเล่นสูงต่ำตัวใหญ่ เป็นโต๊ะกลมตัวใหญ่ที่สลักคำว่า ‘ริจะพนันต้องยอมรับความพ่ายแพ้’ บนโต๊ะใช้เส้นสีเขียวเข้มแบ่งเป็นสิบหกช่อง แล้วใช้สีแดงและสีเหลืองเขียนตัวเลขสามถึงสิบแปด ทั้งหมดสิบหกตัวเลข เพื่อให้นักพนันแทงเงิน

ในร้านป๋ออี้ กฎการเขย่าลูกเต๋าโดยปกติแบ่งเป็นสูงต่ำสองฝ่าย เจ้ามือเขย่าลูกเต๋าก่อน นักพนันวางเดิมพันตาม หลังจากนั้นเปิดถ้วยลูกเต๋า ดูแต้มรู้ผลแพ้ชนะ สามแต้มถึงสิบแต้มเป็นแต้มเล็ก สิบแต้มถึงสิบแปดแต้มเป็นแต้มใหญ่ ถ้าแทงต่ำเปิดออกมาต่ำ นักพนันที่แทงต่ำจะได้เบี้ยเพิ่มหนึ่งเท่า เบี้ยที่แทงสูงจะตกเป็นของเจ้ามือ ในทางกลับกันก็ทำเช่นเดียวกัน หากบังเอิญนักพนันวางเงินไว้แต้มกลาง เช่น นักพนันวางเงินไว้ที่เลขสิบ และเจ้ามือเขย่าได้สิบพอดี ในตอนนี้เจ้ามือจะต้องจ่ายเงินสองเท่า

แต่ว่าวันนี้ไม่เหมือนเดิม เจ้ามือคือเซียนพนันทิพย์กุมารที่ร้อยปีจะมีสักคนในแคว้นต้าโจว เพื่อสร้างโชคดึงดูดคนให้มากขึ้น ร้านป๋ออี้จึงเปลี่ยนกฎชั่วคราว ไม่ดูแต้ม แบ่งแค่สูงต่ำ ฝ่ายวางแทงหนึ่งเสียหนึ่ง เจ้ามือหนึ่งเสียห้า กฎที่เปลี่ยนใหม่เขียนด้วยตัวอักษรสีแดงใหญ่บนผ้าทอดยาวจากไม้ระแนงสลักลายดอกบนเพดานชั้นสองลงมาถึงกลางโถงด้านล่าง ชายผ้าสองด้านแต่งแต้มด้วยดอกไม้เล็กหลายหลากสี เพิ่มความคึกคักให้แก่บ่อนพนันมากยิ่งขึ้น

มิต่างจากฉลองวันขึ้นปีใหม่

ชื่อเสียงของเหลิ่งกังเซียนพนันทิพย์กุมารและการจ่ายเงินพนันสูงที่หาได้ยาก ดึงดูดนักพนันมือหนักมากลุ่มใหญ่ ล้อมโต๊ะเล่นสูงต่ำที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวเกือบสามจั้ง*แน่นจนแม้แต่น้ำยังผ่านได้ยาก แต่ละคนเหงื่อไหลอาบหลัง เส้นเอ็นบนหน้าผากปูดเขียว เบิกสองตาที่มีเส้นเลือดฝอยกระจายเต็มตามองดูถ้วยลูกเต๋าที่ยังไม่ถูกเปิด แล้วตะโกนอย่างบ้าคลั่ง

“สูง! สูง! สูง! สูง!”

เสียงนั้นดังจนหูแทบหนวก มู่หวั่นชิวเขย่งปลายเท้า เขย่งแล้วเขย่งอีกก็ยังมองไม่เห็น เห็นแค่เพียงหัวคนดำๆ ไหวไปไหวมา มองจนนางตาลาย ไม่รู้จะทำอย่างไร เข้าก็เข้ามาแล้ว แต่นางจะเบียดเข้าไปวางเดิมพันได้อย่างไรเล่า

นางหมุนตัวไปมองเสี่ยวเอ้อร์ “ขอพี่ชายท่านนี้ช่วยที ข้าอยากจะวางเดิมพัน”

มองดูเบี้ยสีน้ำเงินเหรียญเดียวในมือของนางแล้ว เด็กช่วยงานก็รู้สึกลำบากใจ เขาเป็นทาสคอยรับใช้เท่านั้น นักพนันที่บ้าคลั่งด้านหลังเหล่านี้จะฟังคำของเขาแล้วเห็นแก่หน้าเขายอมหลีกทางให้เด็กสาวผู้นี้เข้าไปหรือ

นอกเสียจากคุณชายรองสกุลเจิงจะมาด้วยตัวเอง!

“หรือไม่…” เสี่ยวเอ้อร์ชี้ไปยังโต๊ะพนันว่างโล่งตัวอื่นแล้วพูดให้คำปรึกษา “ท่านไปโต๊ะอื่นดีหรือไม่” แล้วพูดต่อไปว่า “แม้จะจ่ายเงินคืนต่ำกว่า แต่เจ้ามือก็จะมีทักษะการพนันที่ต่ำกว่า โอกาสชนะของท่านก็มากขึ้น”

มู่หวั่นชิวส่ายหน้า นางเล่นพนันไม่เป็นเลย

ทว่าเมื่อมองดูความมืดแผงใหญ่ตรงหน้า นางก็รู้สึกท้อใจ

จะกลับไปหรือลุยเข้าไปดีหนอ…

หากกลับไปเช่นนี้ ในกระเป๋าก็จะมีเงินเพียงหนึ่งตำลึงกว่า เกรงว่ายังไม่ทันถึงเมืองซั่วหยางก็ต้องไปขอทาน อาหารก็ไม่มีกินแล้ว นางจะไปเรียนปรุงเครื่องหอมต่อได้อย่างไร เมื่อคิดถึงหลายวันนี้ที่เดินตามถนนแล้วถูกคนตะคอกกลอกตาขาวใส่ ก็ทำให้นางสุดทนจริงๆ มู่หวั่นชิวขบฟัน ในเมื่อมาแล้วไม่ว่าอย่างไรนางต้องเดิมพันสักตา

เดิมพันโชคชะตาของนาง!

ทันใดนั้น จานลูกเต๋ากลายเป็นวงล้อแห่งโชคชะตาอันใหญ่ ตรงหน้าวงล้อมีคนจำนวนมากส่งเสียงโห่ร้องและดิ้นรน รอคอยช่วงเวลาที่เปิดจานว่าจะเป็นจุดพลิกผันของโชคชะตาหรือไม่

มู่หวั่นชิวหลับตาลงทันที

ชั่วขณะนี้หากนางพุ่งตัวเข้าไปได้ ก็จะสามารถขยับวงล้อแห่งโชคชะตา และสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของนางในชาตินี้ได้!

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง มู่หวั่นชิวขบฟัน พลางกำเบี้ยเพียงเหรียญเดียวในมือไว้แน่น ก่อนจะก้มหน้าลงพยายามเบียดเข้าไปด้านใน

“นี่ นี่” หลงจู๊หลี่เต๋อเดินขึ้นมาพอดี พอมองมาก็เห็นนาง จึงเข้าไปดึงตัวออกมา “แม่นางน้อย ระวังตัวหน่อย รูปร่างอย่างท่าน เบียดเข้าไปไม่ได้หรอก ถ้าไม่ระวังจนล้มลง ทุกคนเหยียบกันคนละที เจ้าคงได้กลายเป็นเนื้อบด”

มู่หวั่นชิวเช็ดเหงื่อ แล้วหมุนตัวยื่นเบี้ยในมือให้กับหลี่เต๋อ “หรือไม่…เจ้าก็ไปวางเดิมพันแทนข้าทีสิ” เห็นหลี่เต๋อชักสีหน้า นางจึงกล่าวต่อ “ถ้าชนะได้เงินมา ข้าจะตบรางวัลให้เจ้า”

“แม่นางน้อย ท่านคงไม่รู้ว่ากฎของบ่อนพนัน ไม่อนุญาตให้เจ้ามือร่วมวางเดิมพัน ยิ่งไม่อนุญาตให้คนรับใช้วางเดิมพันแทนแขก”

“อ้อ” มู่หวั่นชิวพยักหน้าอย่างเข้าใจ ทันใดนั้นก็หมุนตัวไป “เช่นนั้นก็ทำได้แค่เบียดเข้าไปแล้ว”

“ท่านอย่าดื้อเลย เข้าไปแบบนี้จะถูกบีบจนเป็นเนื้อแผ่นได้” หลี่เต๋อดึงตัวนางออกมาอีกครั้ง แล้วหันหน้าชี้ไปทางโต๊ะตัวอื่น “หรือไม่…ท่านก็ไปวางเดิมพันที่โต๊ะอื่นเถอะ!”

“ข้าเป็นแขก พวกเจ้าต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของข้าสิ” มู่หวั่นชิวหันมาฉีกยิ้มให้เขา

รอยยิ้มนี้ในชาติก่อนมู่หวั่นชิวถูกแม่เล้าในหอชุนเซียงบังคับ นางต้องฝึกอยู่หน้าคันฉ่องเป็นพันครั้งกว่าจะฝึกออกมาได้ แม่เล้าในหอชุนเซียงบอกว่า สิ่งที่นางโลมในหอคณิกาขายก็คือรอยยิ้ม รอยยิ้มเพียงครั้งหนึ่งสามารถทำให้แขกยอมควักเงินจำนวนมากเพื่อเจ้า นั่นจึงจะนับว่าฝึกได้สำเร็จ ฝึกจนถึงขั้นไฟในเตาหลอมกลายเป็นสีเขียว

เหมือนสายรุ้งเจ็ดสี ราวกับมวลดอกไม้บานสะพรั่งพร้อมกันตรงหน้า หลี่เต๋อตะลึงงันไปทันใด

ผ่านไปนานจึงได้สติคืนมา

“แม่นางพูดถูก ถ้าปล่อยให้ท่านถูกเหยียบเป็นเนื้อบดต่อหน้าต่อตา คงเสียชื่อร้านป๋ออี้ของพวกเรา” หลี่เต๋อหันไปมองกลุ่มคนดำทะมึนเบื้องหน้า ปากก็พร่ำพูดกับตัวเอง ทันใดนั้นเขาก็หันหน้ามา กัดฟันพูดว่า “ท่านตามข้ามา”

หลี่เต๋อเปิดทางสะดวกให้มู่หวั่นชิวเป็นกรณีพิเศษ ปล่อยให้นางเดินมาถึงวงล้อขนาดใหญ่ ให้นางได้ยืนอยู่เบื้องหน้าโต๊ะพนัน และมีเขาคอยยืนคุมอยู่ด้านหลังตัวนาง

สายตาไปตกลงบนโต๊ะพนันขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้หนานมู่ลายทอง*สลักคำว่า ‘ริจะพนันต้องยอมรับความพ่ายแพ้’ มู่หวั่นชิวจึงได้พบว่า ในช่องที่ติดตัวเลขสีแดงสิบเอ็ดถึงสิบแปด มีเบี้ยวางเต็มไปหมด เทียบกับด้านที่เป็นตัวเลขสีเหลืองสามถึงสิบ มันกลับว่างเปล่า ไม่มีเบี้ยแม้แต่เหรียญเดียว

ตึง…เสียงฆ้องพลันดังขึ้น ท่ามกลางเสียงโห่ร้องสูง สูง สูง ถ้วยลูกเต๋าพลันถูกเปิดออกอีกครั้ง

“ต่ำอีกแล้ว!”

“บ้าเอ๊ย แพ้อีกแล้ว ให้ตายสิ!”

“เปิดต่ำมาเก้าตาติดต่อกันแล้ว!”

“เหนือชั้นจริงๆ!”

เสียงโห่ร้องพลันหายไป กลุ่มคนก็ส่งเสียงเศร้าลอยมา เจ้ามือในชุดขาวสองคนเดินเข้ามา ใช้แส้กวาด เบี้ยบนโต๊ะเก็บไปจนหมด

คนที่แพ้พนันหมดตัวถอนใจเดินออกจากโต๊ะพนันไป ปากก็ด่าไป ชื่นชมความมหัศจรรย์ไป “ไม่เสียทีที่เป็นเซียนพนัน กล้าทำเรื่องที่ผิดธรรมชาติ เปิดต่ำเก้าตาติดต่อกัน!”

คนเหล่านี้เพิ่งจะเดินออกไป ช่องว่างนั้นก็ถูกคนด้านหลังเติมแทนที่ หลังจากการขยับ หน้าโต๊ะพนันก็มีคนล้อมจนเต็มอีกครั้ง

“เงียบๆ หน่อย…เริ่มตาที่สิบ!” เสียงฆ้องดังขึ้น รอบโต๊ะเงียบสนิทในทันที

เซียนพนันทิพย์กุมารออกโรง

เมื่อถ้วยลูกเต๋าวางลงบนโต๊ะ เจ้ามือก็ตะโกนขึ้นว่า “ตาที่สิบเริ่ม วางเดิมพันได้”

สิ้นเสียงพูด นักพนันรอบโต๊ะก็พากันคึกคักราวกับได้เลือดไก่ เวลาเพียงไม่นาน ด้านตัวเลขสีแดงก็มีเบี้ยวางจนเต็ม ทางด้านตัวเลขสีเหลืองมีเบี้ยวางเพียงไม่กี่เหรียญ หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เบี้ยเดิมพันด้านต่ำก็น้อยไปหลายเหรียญ ผ่านไปอีกครู่ ก็น้อยลงไปอีกหลายเหรียญ

สุดท้ายเบี้ยบนโต๊ะก็ไปกองรวมกันอยู่ที่ด้านสูง ส่วนด้านแทงต่ำนั้นกลับว่างเปล่า

คนที่เล่นพนันบ่อยล้วนรู้ว่า ต่อให้มีวิชาการพนันสูงส่งเพียงใด สถิติที่ลูกเต๋าจะออกสูงหรือต่ำกลับมีอย่างละครึ่ง เป็นไปไม่ได้ที่เขย่าสิบครั้งแล้วจะออกต่ำทั้งหมด

“จะเคาะฆ้องอยู่แล้ว แม่นางยังไม่วางเดิมพันอีกหรือ” หลี่เต๋อมองดูเบี้ยในมือของมู่หวั่นชิวแล้วพูดเตือน

ด้วยความชั่ววูบเหมือนมีภูตผีคอยบงการพามู่หวั่นชิวเข้ามา เขาเองก็รู้สึกเสียใจที่พาเด็กสาวที่สวมเสื้อเก่าขาดเหมือนขอทานมายืนอยู่กับแขกผู้ทรงเกียรติ พวกเขาอยากโดดเด่นแค่ไหนก็ได้ตามนั้น ในตอนนี้เขานึกอยากจะให้มู่หวั่นชิวรีบแพ้จนหมดตัว จะได้รีบจากไป

มู่หวั่นชิวพยักหน้า แล้ววางเบี้ยในมือไว้บนตัวเลขสามอย่างไม่ลังเลใจ

สายตาของทุกคนมาตกลงบนตัวนางในพริบตา เห็นนางเสื้อผ้าเก่าขาด ในมือมีเบี้ยเพียงเหรียญเดียวก็พากันยิ้มเยาะขึ้นมา มีบางคนเริ่มตะโกนขึ้นมาแล้ว

“นี่! แม่นางน้อย ไม่มีเงินใช่หรือไม่ มาอยู่กับพี่ชายสิ พี่ชายจะวางเดิมพันให้เจ้าเอง”

หลังจากคำพูด ก็มีเบี้ยหลายเหรียญถูกโยนมา มู่หวั่นชิวเอี้ยวตัวหลบ เม้มปากแน่นไม่พูดอะไรสักคำ หยดเหงื่อบนหน้าผากของหลี่เต๋อพลันไหลลงมาในพริบตา แล้วหันหน้าไปโบกมือ ก็มีคนคุ้มกันสองสามคนพุ่งเข้ามาควบคุมสถานการณ์

เห็นเด็กสาวผู้นั้นแม้จะสวมชุดเหมือนคนจน แต่กลับยืนรวมอยู่กับแขกผู้มีเกียรติ แผ่นหลังยืดตรงของนางแสดงความสูงศักดิ์ที่คนเอื้อมไม่ถึงออกมาลางๆ ดวงตาโตลึกล้ำคู่นั้นยิ่งทำให้คนเห็นไม่กล้าล่วงเกิน อีกทั้งยังมีคนคุ้มกันมาห้อมล้อม เหล่านักพนันเพียงปากเปราะไม่กี่ที ก็เงียบเสียงลง

มองเห็นเบี้ยเพียงเหรียญเดียวของนางวางอยู่ด้านที่แทงต่ำ ก็มีคนใจดีพูดเกลี้ยกล่อมนาง

“เจ้ามือเปิดออกต่ำมาติดต่อกันเก้าตาแล้ว ครั้งนี้ต้องสูงแน่นอน แม่นางน้อย เจ้าแทงทางนี้เถอะ”

“นั่นสิ… เจ้าดูสิ ทุกคนแทงที่ด้านสูงกันทั้งนั้น”

ฟังเสียงเกลี้ยกล่อมที่ดังต่อกันนี้แล้ว มู่หวั่นชิวก็ฉีกยิ้ม

นางเล่นพนันไม่เป็น แต่นางรู้ผลของการเดิมพันสูงในครั้งนี้

วันนี้ในชาติก่อน สถานที่คือร้านป๋ออี้ มีเหลิ่งกังเซียนพนันทิพย์กุมารแห่งต้าโจวที่ร้อยปีจะมีสักคนเป็นเจ้ามือ คนแทงหนึ่งเสียหนึ่ง เจ้ามือหนึ่งเสียห้า ผู้ที่ร่วมพนันเกินพันคน ในคืนนั้น เหลิ่งกังเปิดแต้มต่ำต่อกันสิบแปดตา ชนะเงินไปสิบแปดตา คืนนั้นได้เงินไปมหาศาล เรียกได้ว่าเป็นการเดิมพันสูงที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนและไม่มีใครทำลายสถิติได้ เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่ไม่มีวันตาย หลายปีหลังจากนั้นยังคงมีคนเล่าขานกันเป็นจำนวนมาก

ชาติก่อนยามที่อยู่ในหอคณิกา คนที่นางคลุกคลีด้วยส่วนใหญ่ก็จะเป็นนักพนันมือหนักเหล่านี้ ย่อมต้องรู้วันที่เต็มไปด้วยความอัศจรรย์นี้อยู่แล้ว

นางจะใช้เดิมพันสูงในครั้งนี้ชนะเอาเงินทุนกลับไปเปิดโรงธูป เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของนางในชาตินี้!

อยากจะให้มู่หวั่นชิวแพ้ให้เร็วอยู่แล้ว พอเห็นนางไม่พูดอะไร หลี่เต๋อจึงปิดปากแน่นไม่พูดเช่นกัน

ตึงๆๆๆ…

เปิดผลตาที่สิบแล้ว เจ้ามือค่อยๆ เปิดถ้วยลูกเต๋าออก

“หนึ่ง สอง สาม หกแต้มต่ำ!” เจ้ามือตะโกนเสียงดัง

“ต่ำอีกแล้ว!”

“เฮ้อ! แพ้อีกแล้ว”

“ให้ตายเถอะ เหนือชั้นจริงๆ…”

ท่ามกลางเสียงโศกเศร้า เจ้ามือก็ใช้แส้กวาดเบี้ยทางด้านตัวเลขสีแดงไป เหลือไว้เพียงเบี้ยสีน้ำเงินบนตัวเลขสามเพียงเหรียญเดียวที่เปลี่ยนเป็นห้าเหรียญ

จากนั้น ตาที่สิบเอ็ดก็เริ่มขึ้น…

หลังจากนั้น เบี้ยด้านหน้าของมู่หวั่นชิวก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากสีน้ำเงินเป็นสีเหลือง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดง แล้วสุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นเหรียญสีม่วงที่มีมูลค่าถึงห้าร้อยตำลึง จำนวนเงินนั้นยังคงเพิ่มขึ้นไม่หยุด สีหน้าของหลี่เต๋อก็เป็นเช่นเดียวกับเบี้ยบนโต๊ะพนัน เปลี่ยนจากแดงเป็นขาว แล้วก็เปลี่ยนเป็นซีด หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ

เด็กสาวผู้นี้มิใช่คนธรรมดาแน่นอน เขามองคนผิดไป!

โชคดีที่นางมีทุนเพียงหนึ่งตำลึงเงิน มิเช่นนั้น…วันนี้ร้านป๋ออี้ต้องล้มละลายเป็นแน่

ตาที่สิบเจ็ด มองดูมู่หวั่นชิวเอาเบี้ยด้านหน้าตัวเองทั้งหมดกองรวมไว้ที่แต้มต่ำ มองดูสีหน้าเรียบเฉยราวสายน้ำของนาง ทุกคนก็ไม่มีความมั่นใจแล้วว่าตาต่อไปจะออกสูงอีก แต่ก็ไม่กล้ารับรองว่าจะออกต่ำ อย่างไรเสียก็ออกต่ำมาแล้วสิบหกตา ไม่ว่าใครจะมีความกล้าเพียงใด ก็คงไม่กล้าแทงต่ำอีกต่อไป!

บนโต๊ะพนันมีเบี้ยของคนเพียงไม่กี่คนที่แทงไว้ด้านสูง ส่วนใหญ่นั้นล้วนไม่กล้าวางเดิมพันแล้ว สภาพการณ์กลายเป็นการต่อสู้ระหว่างมู่หวั่นชิวกับเหลิ่งกังเซียนพนันทิพย์กุมาร

หลังจากใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อแล้ว หลี่เต๋อก็แอบส่งสายตาให้เจ้ามือที่อยู่ด้านหลัง เจ้ามือคนนั้นก็แอบออกไปอย่างรวดเร็ว

จากนั้นก็มีเสียงฆ้องดังขึ้น เปิดผลตาที่สิบเจ็ดแล้ว ด้านหน้ามู่หวั่นชิวก็มีเบี้ยเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่าตัว

ภายในโถงมีเสียงหายใจแรงดังขึ้น

ตาที่สิบแปด…

ท่ามกลางสีหน้าซีดขาวของหลี่เต๋อ มู่หวั่นชิวเอาเบี้ยทั้งหมดตรงหน้าแทงไปบนตัวอักษรต่ำ บ่อนที่มีคนอยู่แน่นขนัดเงียบไปในพริบตา ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจ

เด็กสาวผู้นี้ช่างดื้อรั้น ช่างกล้าหาญ ช่างเด็ดเดี่ยว เจ้ามือเปิดต่ำติดต่อกันมาสิบเจ็ดตาแล้ว นางก็ยังกล้าแทงต่ำอีก!

อีกทั้งนางยังใช้เงินทั้งหมดวางเดิมพัน นับตั้งแต่เซียนพนันทิพย์กุมารอยู่ในวงการ ทุกครั้งที่พนันจะต้องชนะ ทั้งยังลงมือพลิกแพลงยากจะคาดเดา นางไม่กลัวว่าเจ้ามือจะพลิกมาชนะเงินทั้งหมดของนางหรือ!?

ในหมู่บุรุษ น้อยนักที่จะมีคนมีนิสัยเช่นนี้

ภายในบ่อนไม่มีคนวางเดิมพันแล้ว ทั้งยังไม่มีใครจากไป ทุกคนอยากจะดูผลของการเดิมพันสูงของนางในครั้งนี้

เซียนพนันทิพย์กุมารจะแพ้ให้กับเด็กสาวที่ลงมาจากสวรรค์ผู้นี้หรือไม่!

ตึงๆๆๆ…

เสียงฆ้องดังขึ้นอีกครั้ง เจ้ามือเข้ามาประกาศว่าตาที่สิบแปดจะเป็นตาสุดท้าย

ท่ามกลางสายตางุนงงของทุกคน ตาที่สิบแปดยังคงเปิดออกมาเป็น “ต่ำ!”

ในบ่อนมีเสียงอึกทึกในทันที เสียงโห่ร้องและเสียงผิวปากดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สายตาละโมบ ไม่อยากเชื่อสายตาและสงสัยหลายร้อยคู่ไปหยุดอยู่บนตัวของมู่หวั่นชิว แต่ไม่มีใครกล้าพูดจาไม่เคารพนางอีกต่อไปแล้ว

มู่หวั่นชิวรู้สึกได้ถึงสายตาคมกริบในห้องส่วนตัวมาตกอยู่ที่ตัว นางพลันฉีกปากยิ้ม

สายตานี้นางเคยเห็นเมื่อชาติก่อน หากจำไม่ผิด เขาคงจะเป็นของคุณชายรองตระกูลเจิง

หลังจากบิดาต้องโทษ นางต้องตามมู่จงหนีออกมา เพื่อจะไปพึ่งตระกูลเจิงที่เป็นสหายเก่าของบิดานั้น เดิมทีได้นัดพบกันที่เมืองผิงเฉิง แต่ชาติก่อนมู่จงกลับหลอกนางไปที่เมืองเครื่องหอมต้าเยี่ยแล้วขายเข้าไปในหอชุนเซียง

ตระกูลเจิงไม่เจอตัวนาง กระนั้นพวกเขาก็เคยส่งคนแยกย้ายไปตามหานางแล้ว ทว่าน่าเสียดาย ตอนนั้นนางถูกขังอยู่ในหอคณิกา ทั้งยังตกอยู่ในคาวโลกีย์ เกรงว่าจะสร้างมลทินให้กับบิดา ชาติก่อนยามที่นางเคยเดินผ่านคุณชายรองผู้นี้ จึงไม่กล้าเข้าไปทักทาย

ทว่าสายตาลึกล้ำคมกริบนี้ นางกลับจดจำมันได้

ในชาตินี้เมื่อรักษาความบริสุทธิ์ของตัวเองไว้ได้ นางก็ไม่ต้องกลัวที่จะพบหน้าสหายเก่าของบิดาแล้ว แต่ด้วยมีประสบการณ์ที่เคยถูกมู่จงหักหลัง นางจึงไม่กล้าเอาชีวิตไปฝากไว้ในมือใครอีก

ดังนั้นแม้จะมาถึงเมืองผิงเฉิงแล้ว นางก็ไม่คิดจะพึ่งตระกูลเจิงอยู่ดี

ในคืนนี้นางไม่ได้คิดจะทำเช่นนี้ เดิมทีเพียงคิดจะชนะเงินสักสองสามร้อยตำลึง พอให้ไปซื้อโรงธูปสักโรงที่เมืองซั่วหยางก็พอ อย่างไรเสียในฐานะบุตรสาวขุนนางต้องโทษ นางทำอะไรก็ไม่ควรจะเอิกเกริกเกินไป

แต่เดิมพันผ่านไปหลายตา ดวงตาละโมบแต่ละคู่ตรงหน้าทำให้นางเกิดความหวั่นใจ นางเป็นเพียงเด็กสาวตัวคนเดียวที่ไร้ที่พึ่งพา การกระทำวันนี้จึงออกจะเอิกเกริกเกินไป หากชนะไม่กี่ร้อยตำลึงแล้วจากไป เกรงว่านางคงเอาไปไม่ได้แม้แต่อีแปะเดียว ร้านป๋ออี้รับรองเพียงความปลอดภัยของนางในบ่อนนี้ แต่เมื่อออกจากบ่อนไปแล้ว นางและเงินของนางก็จะเป็นเนื้อปลาบนเขียงของผู้อื่น เกรงว่าไม่เกินสิบก้าวนางคงเลือดท่วมถนน นอนตายอยู่ตรงหัวถนนนั้น

บางทีการยืนอยู่ในที่สะดุดตาที่สุด ก็ทำให้คนที่สนใจตัวเราเกิดความกังวล ไม่กล้าลงมือสังหารเราอย่างง่ายดายนัก

ความคิดหมุนวน นางรู้ว่าหากคืนนี้อยากมีชีวิตรอด นางต้องเอาชนะเซียนพนันทิพย์กุมารให้จงได้ และต้องยืนอยู่ในที่ที่สะดุดตาที่สุด ให้ทุกคนได้จับจ้อง

ดังนั้นนางจึงวางเดิมพันสู้ต่อไป จุดประสงค์เพื่อล่อคุณชายรองสกุลเจิงออกมา เถ้าแก่ร้านป๋ออี้ที่ใช้คุณธรรมสร้างชื่อในใต้หล้านี้ เมื่อมีเขาเป็นผู้รับรองแล้ว นางต้องไปจากเมืองผิงเฉิงได้อย่างปลอดภัยแน่นอน

เจ้ามือพูดกระซิบกระซาบกับคนในห้องส่วนตัวไม่กี่ประโยค ก็ออกมาประกาศว่า “การพนันในวันนี้สิ้นสุดเพียงเท่านี้!”

“แยกย้ายได้ แยกย้ายได้ ทุกคนแยกย้ายกันเถอะ สหายที่ยังนึกสนุกอยู่ สามารถไปเล่นที่โต๊ะอื่นได้” หลี่เต๋อโบกมือให้ผู้คนที่ยืนนิ่งไม่ยอมจากไป

“ขอบคุณหลงจู๊มาก…” มู่หวั่นชิวหยิบเบี้ยสีม่วงขึ้นมาสองเหรียญโยนให้หลี่เต๋อ

หลี่เต๋อตะลึงงัน แขกในบ่อนชนะพนันแล้วมักจะตบรางวัลให้แค่เพียงเล็กน้อย ไม่มีใครใจกล้าเหมือนเด็กสาวผู้นี้ ให้เงินทีหนึ่งพันตำลึง เขาแอบเหลือบมองไปทางคนในห้องส่วนตัว เห็นคนในนั้นพยักหน้าเบาๆ จึงรับมาด้วยหน้าตาเบิกบาน ปากก็พูดว่า

“แม่นางท่านนี้ มีอะไรให้ข้าน้อยช่วยหรือขอรับ”

“ช่วยข้าเก็บที” มู่หวั่นชิวชี้ไปยังเบี้ยที่กองอยู่เต็มโต๊ะ

หลี่เต๋อรับคำ แล้วโบกมือไปทางด้านหลัง เจ้ามือในชุดสีขาวก็วิ่งมาทันทีสี่คน

เห็นมู่หวั่นชิวใจป้ำเช่นนี้ คนเหล่านี้ก็นึกอยากได้อยู่แล้ว แค่เห็นหลี่เต๋อโบกมือ ต่างก็อยากให้ตัวเองมีปีกบินมา ด้วยกลัวว่าจะวิ่งช้าไป หรือถูกคนอื่นตัดหน้าไป พอเข้าไปใกล้จึงพบว่า นี่เป็นงานของคนเพียงคนเดียว แต่พวกเขากลับมาพร้อมกันถึงสี่คน จึงพากันถลึงตาใส่กัน แต่ไม่มีใครยอมเป็นฝ่ายถอย พากันมองไปยังมู่หวั่นชิวอย่างอึดอัด

มู่หวั่นชิวหยิบเบี้ยสีแดงสี่เหรียญโยนไปให้

ทั้งสี่พลันยิ้มเบิกบานในทันที รีบเอาถาดไม้สลักลายสีแดงอันใหญ่มาเก็บเบี้ยให้นางอย่างนอบน้อม

“พอแล้ว” เห็นเจ้ามือเก็บไปได้เพียงครึ่งหนึ่ง มู่หวั่นชิวก็โบกมือ

“เบี้ยเหล่านั้น” หลี่เต๋อมองหน้ามู่หวั่นชิวอย่างสงสัย

มู่หวั่นชิวชี้ไปยังเบี้ยครึ่งหนึ่งที่เหลือแล้วพูดกับหลี่เต๋อว่า “รบกวนเจ้าช่วยข้าแลกเป็นเบี้ยสีน้ำเงิน” พูดจบ มู่หวั่นชิวก็พูดกับบรรดาคนที่เหม่อมองนางรอบโต๊ะพนัน “ท่านลุงท่านอาทุกท่าน วันนี้ไป๋ชิวชนะพนันครั้งใหญ่ ทุกท่านได้เห็นก็นับว่ามีส่วนร่วมด้วย ข้าจึงให้ทุกคนได้เบี้ยน้ำเงินหนึ่งร้อยเหรียญ เป็นน้ำใจเล็กน้อย ถ้าท่านลุงท่านอาอยากจะเล่น ก็เล่นที่นี่ต่อไป ถ้าไม่อยากเล่นก็แลกเงินกลับไปได้เลย ถือเป็นการที่ไป๋ชิวได้รู้จักทุกท่าน ต่อไปหากได้พบหน้ากัน ก็ทักทายกันบ้าง”

เสียงโห่ร้องดังขึ้น กลุ่มคนตื่นเต้นในทันที

เบี้ยน้ำเงินหนึ่งร้อยเหรียญเท่ากับหนึ่งร้อยตำลึง ในกลุ่มคนเหล่านี้ แม้จะมีคุณชายสูงศักดิ์ที่มีเงินไม่ขาดมืออยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นคนธรรมดา เงินหนึ่งร้อยตำลึงเป็นเงินที่พวกเขาต้องใช้เวลาเก็บอยู่นานหลายปี

หลี่เต๋อเหงื่อไหลเป็นทาง สายตาเหลือบมองไปทางห้องส่วนตัวนั้นไม่หยุด

มู่หวั่นชิวค่อยๆ เดินออกมาจากจุดรับรองแขก

โถงใหญ่ที่มีเสียงดังอึกทึกเงียบลงในพริบตา ทุกคนขยับถอยห่างไปสองข้าง เปิดทางกว้างให้แก่นาง ใช้สายตาชื่นชมอย่างที่สุดส่งนางลงบันไดไปอย่างช้าๆ

“คนผู้นี้ช่างโง่จริงๆ” อีกด้านหนึ่งของจุดรับรองแขก นายบ่าวคนหนึ่งยืนคนหนึ่งนั่ง เด็กหนุ่มชุดฟ้ายื่นหน้าไปพูดกับคุณชายของตัวเอง “ชนะเงินมาอย่างยากลำบาก แต่กลับยกให้คนที่ไม่รู้จักง่ายๆ แบบนี้เสียได้”

“นางไม่ได้โง่ แต่ฉลาด” คุณชายชุดขาวใช้พัดเคาะหัวเด็กหนุ่มชุดฟ้า

“ฉลาด?” เด็กหนุ่มชุดฟ้ามองหน้าคุณชายของตัวเองอย่างงุนงง

เขาไม่เคยเห็นคนฉลาดที่โง่เช่นนี้มาก่อน!

“แม่นางน้อยผู้นี้ใช้เงินหนึ่งตำลึงแลกเงินมหาศาล ภายในคืนเดียวได้เงินไปจากร้านป๋ออี้เป็นล้าน เจ้าลองคิดดู นางจะเดินออกจากบ่อนนี้ได้อย่างปลอดภัยหรือ”

“ได้เงินเป็นล้าน?” เด็กหนุ่มมองดูถาดที่บ่าวไพร่ถืออยู่ด้านหลังมู่หวั่นชิวอย่างตื่นตะลึง “มากขนาดนั้นเชียว!”

“เจ้าลองคำนวณสิ แม่นางน้อยผู้นี้เริ่มเข้ามาตั้งแต่ตาที่สิบ แทงหนึ่งตาจ่ายห้าเท่า นางชนะต่อกันเก้าตา จะนับเป็นเงินเท่าใด”

เด็กหนุ่มชุดฟ้าขยับนิ้วนับขึ้นมาจริงๆ “ตาแรก นางได้ห้าตำลึง ตาที่สองก็ได้ยี่สิบห้าตำลึง ตาที่สามหนึ่งร้อยยี่สิบห้า ตาที่สี่…” เขานับต่อไปทีละตา “ตาที่แปดได้สามแสนเก้าหมื่นหกร้อยยี่สิบห้าตำลึง ตาที่เก้า…” เด็กหนุ่มปรบมือทันใด “ตาที่เก้าก็ได้หนึ่งล้านเก้าแสนห้าหมื่นสามพันหนึ่งร้อยยี่สิบห้าตำลึง…” เขาเบิกตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ “สวรรค์! เพียงชั่วครู่ นางก็ชนะได้เงินไปสองล้านตำลึงแล้ว เงินที่นางเอาไปนั้น ก็ราวหนึ่งล้านตำลึง!”

“คราวนี้คงรู้แล้วสินะ…” คุณชายชุดขาวจับจ้องแผ่นหลังของมู่หวั่นชิวไม่วางตา พัดในมือก็เหมือนมีดวงตา เคาะไปบนหัวของเด็กหนุ่มชุดฟ้าได้อย่างแม่นยำ

“แต่ว่า…” เด็กหนุ่มเอียงหัว หลบการเคาะของคุณชายตัวเอง นิ้วชี้ไปยังผู้คนที่ได้เบี้ยแล้วทยอยกลับไปที่โต๊ะพนัน “พวกเขาปกป้องแม่นางน้อยคนนี้ได้แล้วหรือ”

“โง่!” คุณชายชุดขาวเคาะหัวเขาอีกที

“คุณชาย…” เด็กหนุ่มเรียกอย่างไม่พอใจ “ท่านตีต่อไปอีกก็ยิ่งโง่สิขอรับ”

“เจ้ามือแพ้พนัน ย่อมไม่ยอมรามือง่ายๆ แม่นางน้อยทำเช่นนี้ ก็เพื่อเอาเงินคืนให้แก่เจ้ามืออย่างไม่ต้องสงสัย”

“คืนให้เจ้ามือ?”

“นับจากอดีตนักพนันสิบ คนละโมบเก้าคน ขอถามหน่อยเถอะ นักพนันคนใดบ้างที่มีเงินในมือแล้วจะไม่อยากเสี่ยงโชค” คุณชายชุดขาวพูดอย่างช้าๆ “พวกเขาพอได้เบี้ยแล้ว มีไม่กี่คนหรอกที่จะแลกเงินแล้วเอากลับไป ย่อมต้องไปเล่นพนันต่อ สุดท้ายก็ต้องไหลกลับเข้าบ่อนอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้น…” เขาเปลี่ยนเรื่องพูด “ที่นี่มีคนราวพันคน แต่ละคนให้หนึ่งร้อยตำลึง คำนวณดูแล้วก็แค่เพียงหนึ่งแสนกว่าตำลึง แต่นางกลับทิ้งไว้เกือบหนึ่งล้านตำลึง”

ไม่ต้องพูดก็เข้าใจได้ เงินที่เหลือย่อมเป็นของบ่อนพนัน แต่นักพนันในบ่อนไม่มีใครมาคำนวณเงินเหล่านี้หรอก แต่เจ้ามือต้องคำนวณอยู่แล้ว!

คุณชายชุดขาวลุกยืนอย่างช้าๆ ในดวงตาฉายแววชื่นชม

“อ้อ” เด็กหนุ่มพยักหน้ากึ่งเข้าใจ “แต่นางเอาเงินไปหนึ่งล้านตำลึงนี่นา!”

“เงินหนึ่งล้าน บ่อนพนันย่อมปวดใจ แต่ว่า…” คุณชายชุดขาวเปลี่ยนเรื่องพูด “หญิงสาวที่มีความงามสง่า ทั้งยังมีความกล้าเหนือใคร ได้เงินไปจำนวนมากแต่ยังคงมีสีหน้าดุจเดิมเช่นนี้ เจ้ามือก็เสียดายที่จะฆ่านาง แม้จะเสียเงินล้าน แต่พี่เจิงสามารถคบหากับหญิงอัศจรรย์เช่นนี้ได้…”

เขาก้าวยาวไปข้างหน้า

“คุ้มค่า!”

 

 

* มาจากสำนวน ‘เปิดหม้อ’ ซึ่งใช้เปรียบถึงบรรยากาศอึกทึกครึกโครม เหมือนกับน้ำหรือของเหลวที่เดือดพล่านอยู่ในหม้อ

* จั้ง เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้ระยะประมาณ 3.33 เมตร

* ไม้หนานมู่ลายทอง เป็นไม้หนานมู่ประเภทหนึ่งที่เนื้อไม้มีลวดลายเป็นประกายสีทองคล้ายผ้าแพรไหม มีมูลค่าสูงมาก หนานมู่เป็นไม้ยืนต้น เนื้อไม้มีกลิ่นหอมอ่อนๆ แข็งแรงทนทาน เหมาะในการทำเครื่องเรือน

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

Editor Jamsai: