บทที่ 8
เมื่อไม่มีดอกไม้แล้ว ก็มีแต่ต้องเก็บใหม่
กลางคืนเถาฮวายังต้องไปรับใช้ ตอนเดินไปส่งอาเหม่าที่สวน นางโกรธเกรี้ยวแทนอาเหม่ามาก แต่กลับทำอะไรไม่ได้ คิดไปคิดมาก็ได้แต่กล่าวว่า “อาเหม่า เจ้าแต่งงานกับพ่อบ้านเถอะ หาคนที่พึ่งพิงได้เสีย แค่นั้นชุ่ยหรงก็จะไม่กล้ารังแกเจ้าแล้ว”
อาเหม่าเห็นเถาฮวาพูดถึงเรื่องนี้อีกก็พลันส่ายหน้า นัยน์ตาสะท้อนแววตำหนิ “เถาฮวา ข้าบอกแล้วว่าอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกอย่างไรเล่า พ่อบ้านเซี่ยไม่ได้ชอบข้า ข้าเองก็ไม่ได้มีใจให้เขา ลืมเรื่องเซียมซีเสียเถอะ แล้วอย่าได้พูดถึงอีก โดยเฉพาะต่อหน้าเขา”
เถาฮวาไม่กล้าบอกว่านางพูดไปแล้ว จึงเพียงเอ่ยเสียงเบา “แต่ในคฤหาสน์ ชุ่ยหรงอาวุโสกว่าเจ้า ถ้านางจะกลั่นแกล้งเจ้าจริง เจ้าก็คงไม่มีทางเลือก”
อาเหม่านิ่งเงียบ พึ่งคนอื่นมิสู้พึ่งตนเอง ตนเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งแห่งตนได้
นางไม่อยากพึ่งพาเซี่ยฟั่ง และไม่ต้องการจับใครสักคนเพียงเพราะเขาสามารถปกป้องนางได้เช่นกัน
เล่นงานชุ่ยหรงใช่ว่านางจะทำไม่ได้ ทว่าแบบนั้นก็เหมือนทำให้ตนเองกลายเป็นคนน่ารังเกียจไปด้วย
อาเหม่าหิ้วตะกร้าดอกไม้เข้าไปในสวน ภายในสวนกลับมิได้จุดโคมไฟ เนื่องจากคนที่ชมดอกไม้ยามนี้ต่างก็ชมจันทร์กันแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้แขวนโคมไฟไว้ พระจันทร์ด้านบนก็สุกสว่าง ทอแสงอาบท้องนภาตลอดทั้งผืนดิน ในสวนยามนี้จึงไม่ถึงกับมืดเสียทีเดียว
อาเหม่าตั้งหน้าตั้งตาเก็บดอกไม้โดยไม่หยุดพักแม้เพียงครู่เดียว อาศัยที่ค่ำคืนนี้มีลม นางจึงนำดอกไม้มาตากลมให้แห้งได้ วันรุ่งขึ้นพอน้ำค้างจางหายก็เอาออกไปตากแดดอีกที กลิ่นกับสีสันที่ได้อาจแย่ไปสักนิด แต่อย่างน้อยนางก็มีงานส่ง ไม่อาจให้ชุ่ยหรงนำมาใช้เป็นจุดอ่อนได้
ในสวนไป่กุ้ยแน่นทึบไปด้วยทิวไม้ นอกจากเสียงแมลงแล้วก็ไม่มีเสียงใดๆ อีก อาเหม่าเก็บดอกไม้อย่างตั้งใจ มิได้สนใจโดยรอบ เนื่องจากที่นี่หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นดอกไม้ หอสูงใกล้ๆ ก็ล้วนมีคนอยู่ จึงไม่น่าสะพรึงกลัวเหมือนอย่างวันสารทอีก
นางค่อยๆ เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นในสวน เสียงนั้นเดินย้อนไปมา คล้ายกำลังรอคนอยู่ นางชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ คิดแล้วอาจเป็นคู่รักที่แอบนัดพบกันที่นี่ก็เป็นได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไปเห็นเข้าล้วนไม่ดี
คิดแล้วนางก็ถือตะกร้าเตรียมย่องจากไป ทว่าเพิ่งจะเอี้ยวตัว นางก็เห็นว่าในสวนมีคนเดินออกมาอีกคนหนึ่ง ร่างสูงโปร่งนั้นแสนคุ้นตา เห็นเขาแล้วนางก็รู้ว่าคนที่รออยู่เมื่อครู่นี้คือใครได้ทันที
ผู้มาคือเซี่ยฟั่ง…คนที่รออยู่คือฉินโหยว
นางสวมชุดสีชมพูอ่อน ยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางดงดอกกุ้ยที่ถูกแสงจันทร์อาบทอ สะท้อนประกายสีเงินรอบตัว ราวกับเทพธิดาที่จุติลงมาจากสวรรค์ เซี่ยฟั่งเมื่อเห็นนางแล้วก็ชะงักไปเล็กน้อย
ฉินโหยวที่อยู่ทางนั้นโสตประสาทเฉียบแหลมยิ่ง ทันทีที่ได้ยินแล้วก็วิ่งเข้ามา เพียงแต่ระวังไม่ส่งเสียงเรียก เมื่อเขาวิ่งมาถึงจุดที่สว่างแล้ว ทันใดนั้นก็เห็นอาเหม่าและเซี่ยฟั่งยืนอยู่ด้วยกัน
บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วนทันที ความคิดร้อยพันพาดผ่านเข้ามาในหัวของอาเหม่า นางมองเซี่ยฟั่งสลับกับมองฉินโหยว ดวงหน้าพลันซีดสลด
นางกำตะกร้าแน่น ก้มงุดแล้วเดินต่อไปข้างหน้า ทว่ายังไม่ทันสวนผ่านเซี่ยฟั่งก็ถูกเขาคว้าแขนไว้ทันที เรี่ยวแรงที่บีบแน่นนั้นทำให้นางอุทานเสียงเบาด้วยความเจ็บ
ฉินโหยวชะงักอึ้ง “เจ้าอย่า…”
“ไป” เซี่ยฟั่งเสียงห้าว จ้องเขาอย่างเยือกเย็น “ไป!”
ฉินโหยวกลืนคำวิงวอนลงคอทั้งหมด เขาทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน กระทั่งสบเข้ากับสายตาของเซี่ยฟั่งที่เย็นเยียบคมกริบดุจมีดแล้ว เขาจึงทำได้เพียงกัดฟันแล้วเดินจากไป ก่อนไปยังเหลือบมองอาเหม่าอีกแวบหนึ่ง แววตาของนางในยามนี้เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกราวกับแมวที่ตกใจ
จนกระทั่งฉินโหยวจากไปแล้ว เซี่ยฟั่งก็ยังไม่ปล่อยมือ กลับเป็นอาเหม่าที่เอ่ยปากก่อน เสียงหวานสั่นเครือ “ข้าจะไม่บอกใคร”
เซี่ยฟั่งหันข้างมาจ้องนาง “เช่นนั้นคืนวันสารทนั่น เจ้าก็เห็นข้าแล้ว?”
อาเหม่าเงยหน้าขึ้นมองเขา ยามนี้ใบหน้าที่ในยามปกติสุภาพอ่อนโยนกลายเป็นเย็นเยียบดุดัน ชวนให้พรั่นพรึงยิ่ง “ใช่…”
นัยน์ตาของเซี่ยฟั่งพลันลุกวาวสลับมืดหม่น ท่าทางหวาดกลัวของอาเหม่าสะท้อนอยู่ในแววตา น้ำตาของนางแทบหยดกลิ้งลงจากดวงตาคู่สวย เขาเงียบเสียงไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าเจ้าจะไม่บอกใคร”
“หากจะบอก ข้าคงไม่รอถึงตอนนี้”
“ต่อไปเล่า”
อาเหม่าตอบไม่ได้ นางไม่มีสิ่งใดที่จะนำมาสาบานได้ หากให้สัตย์สาบานด้วยชีวิตว่านางจะไม่แพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด เขาก็คงไม่เชื่อ
แขนที่ถูกจับแน่นอยู่นานนั้นเริ่มมีอาการเหน็บชาแล้ว นางทั้งเจ็บและชา เวลานี้อาเหม่ากลัวเขามาก กลัวจับใจว่าที่นี่จะกลายเป็นสุสานของตนเอง
สายตาของเซี่ยฟั่งเวลานี้สามารถสังหารคนได้จริงๆ
เซี่ยฟั่งเองก็ไม่รู้ว่าตนกำลังคิดอะไรอยู่ ใจหนึ่งเขาก็อยากปล่อยอาเหม่า แต่อีกใจก็ไม่อาจปล่อยได้
“พ่อบ้าน ข้าจะไปจากสกุลหาน ไปพร้อมกับความลับ” อาเหม่าแทบวิงวอน “ขอเพียงนำสัญญาทาสมาได้ ข้าก็จะไปทันที ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ชอบมีปัญหา ข้าอยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแค่นั้น”
นางกลัวว่าหากเขาออกแรงมากกว่านี้ก็จะบีบแขนของนางจนหักได้ มือบางจึงจับข้อมือใหญ่ไว้ไม่ให้เขาออกแรงมากกว่านี้อีก “ท่านเชื่อข้าสิ”
เซี่ยฟั่งคลายมือทันที ใบหน้าซีดเผือดของอาเหม่ายังคงเจือความหวาดกลัวไว้ ทว่านางกลับมิได้วิ่งหนีไป เพราะถ้าหากวิ่งจริงอย่างไรนางก็วิ่งไม่พ้นเขาอยู่ดี
เขาอยากถามนางว่าเหตุใดจึงไม่เอ่ยทวงถึงน้ำใจที่นางเคยมีให้เขาก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่ได้ปริปาก เขาเชื่อว่านางจะไม่แพร่งพรายออกไป และรู้ว่าหากตนลงมือกับนางแล้ว ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยกว่าปล่อยนางไว้เสมอไป
หากสาวใช้คนหนึ่งในสกุลหานหายตัวไป น่าจะต้องใช้เวลาหาอยู่สักพัก ภายในระยะสั้นหากยังสืบไม่พบอะไรก็ดีไป แต่เกิดสืบได้เล่า หนำซ้ำระยะนี้ในสกุลหานก็มีข่าวลือของเขากับอาเหม่าอยู่มาก ยากจะรับรองว่าเจ้าบ้านสกุลหานจะไม่สงสัยเขาเป็นคนแรก
ด้วยเหตุนี้หลังจากทบทวนแล้ว เขาลองพนันด้วยการปล่อยให้อาเหม่าไป จึงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
เซี่ยฟั่งชั่งน้ำหนักแล้วก็ได้ข้อสรุปเช่นนี้ ทั้งกล่อมตนเองให้ยอมรับได้อย่างง่ายดาย “ไปเสีย”
อาเหม่าไม่ได้ขยับเขยื้อน เนื่องจากนางได้ยินเสียงคนกำลังเดินมาทางนี้ เสียงฝีเท้านั้นทั้งเบาและถี่ คล้ายจังหวะฝีเท้าของสตรี หากนางออกไปในเวลานี้ต้องประจันหน้ากับคนผู้นั้นเป็นแน่ กระทั่งถูกอีกฝ่ายเห็นสภาพอันน่าสมเพชของตนอย่างแน่นอน
เซี่ยฟั่งเองก็ได้ยินแล้ว ร่างสูงพลันคว้าข้อมืออาเหม่าไปหลบหลังต้นดอกกุ้ยที่อยู่ข้างๆ
เงาร่างสีชมพูอ่อนเดินผ่านไปอย่างแผ่วเบา ก่อนที่อาเหม่าจะเห็นว่าเป็นสาวใช้ของสกุลหาน เพียงเห็นแผ่นหลังของอีกฝ่าย อาเหม่าก็รู้ว่าเป็นชุ่ยหรง
ท่าทางของชุ่ยหรงลับๆ ล่อๆ ยิ่งนัก ทั้งยังชะเง้อสอดส่ายสายตามองในสวนเหมือนกำลังมองหาคน
อาเหม่าจ้องแผ่นหลังของชุ่ยหรงไม่วางตา พลางนึกถึงเรื่องที่อีกฝ่ายโยนผ้าห่มและยังเทดอกกุ้ยของนางลงพื้นแล้ว ในใจก็ยิ่งเกลียดชัง เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะเดินออกไปไกลแล้ว ก็ไม่รู้ว่าตนเองไปเอาความกล้ามาจากที่ใด ร่างนุ่มพลันทิ้งตัวไปยังเบื้องหน้า ซบลงบนร่างของเซี่ยฟั่งพอดี
ความอ่อนนุ่มที่โผเข้าสู่อ้อมกอดโดยไม่ทันตั้งตัวนั้นทำให้เซี่ยฟั่งที่ปกติเงียบขรึมอึ้งตะลึงงันไป เขายื่นมือประคองนางไว้ด้วยนึกว่านางจะเป็นลม
เดิมทีพวกเขาก็อยู่ไม่ห่างจากชุ่ยหรงอยู่แล้ว ความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยนี้จึงทำให้ชุ่ยหรงหันขวับกลับมาทันที ก่อนจะมองเห็นได้ตั้งแต่แวบแรกว่ามีคนสองคนโอบกอดกันอยู่ใต้ต้นไม้ ทั้งอิริยาบถก็คลุมเครือ เมื่อเพ่งพินิจอย่างชัดเจนแล้ว นางก็ต้องเบิกตาโพลง จ้องจนลูกตาแทบถลนออกมานอกเบ้า
เซี่ยฟั่งชะงักเพียงเล็กน้อย ก่อนใช้มือปิดใบหน้าของอาเหม่าไว้ พลางเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้ามาทำอะไร”
ชุ่ยหรงตื่นจากภวังค์ หัวใจดวงน้อยแทบแหลกละเอียด “ข้า…”
นางอยากมาดูว่าอาเหม่าเก็บดอกกุ้ยได้เท่าไร เพื่อหวังจะกลั่นแกล้งอีกฝ่ายอีกครั้ง แต่คาดไม่ถึงว่านางกลับเห็นเซี่ยฟั่งกับอาเหม่านัดพบกันที่นี่ ต่อให้เซี่ยฟั่งบังใบหน้าสตรีผู้นั้นแล้วอย่างไร นางก็จำได้ว่านั่นคืออาเหม่า
สีหน้าของนางซีดเผือด นางชิงชังเซี่ยฟั่ง ชิงชังอาเหม่า ชิงชังทั้งสองคนที่ดับฝันของนางยิ่งนัก ไม่ง่ายเลยที่มีนางจะมีคนที่ถูกตาต้องใจในกลุ่มบ่าวไพร่สักคน กลับปรากฏว่า…
ชุ่ยหรงแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
“ข้าจำได้ว่าคืนนี้เจ้าต้องรับใช้นายท่านกับฮูหยินมิใช่หรือ เหตุใดจึงแอบออกมา”
ชุ่ยหรงขบริมฝีปากแน่น นางไม่ได้ตอบแม้แต่คำเดียว ก่อนจะวิ่งจากไปอย่างหมดหวังพร้อมความชังที่สุมแน่นอยู่เต็มอก
อาเหม่าซบหน้ากับแผงอกของเซี่ยฟั่งตลอด เมื่อครู่นี้นางเซถลาราวกับถูกใครบงการ ชั่วขณะที่สัมผัสกับร่างกำยำแล้ว นางก็พลันนึกเสียใจขึ้นมา
นางเองก็ไม่ต่างจากชุ่ยหรง…ทั้งใจแคบและเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ
“นางไปแล้ว” เซี่ยฟั่งที่เข้าใจทุกอย่างแล้วเสียงจึงนุ่มลงมาก “เจ้าไม่ต้องแสร้งทำแล้ว”
อาเหม่าค่อยๆ ผละจากอกของเขา เนื่องจากปอยผมบนหน้าผากแนบติดอยู่กับร่างสูง ยามนี้จึงชื้นเหงื่อไปกว่าครึ่ง ทั้งลู่ลงแนบไปกับหน้าผากมน ดวงหน้าซีดขาวกับเรือนผมที่เปียกชื้นเล็กน้อยนี้ขับให้นางยิ่งดูบอบบางน่าทะนุถนอม เซี่ยฟั่งจึงต่อว่านางไม่ลงอีก แม้จะรู้ว่าเมื่อครู่นี้ถูกนางใช้ประโยชน์เข้าแล้วก็ตาม
“ขอบคุณ” อาเหม่าขอบคุณเซี่ยฟั่งเสียงเบา รู้ว่าเขาคงดูแคลนนาง ศีรษะจึงก้มงุดลงจนแทบเงยไม่ขึ้น
“หายกันแล้ว” เซี่ยฟั่งกล่าว “เจ้าช่วยข้าเก็บเรื่องในคืนนี้เป็นความลับ ส่วนข้าก็ช่วยเจ้าต่อหน้าชุ่ยหรงครั้งหนึ่ง จากนี้ก็ไม่นับว่าติดค้างกันแล้ว”
อาเหม่าเงยหน้าขึ้นมองเขา “ทั้งที่ข้าใช้ประโยชน์จากท่านแท้ๆ…”
“หายกันแล้วใช่หรือไม่” เซี่ยฟั่งกลับมามีสีหน้าเรียบเย็นอีกครั้ง ความคิดไม่ติดค้างกันผุดขึ้นมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งก็ไม่ได้สะสางเสียที คราวนี้ควรตัดปัญหาจริงๆ ไม่ต้องเกี่ยวข้องใดๆ กันอีกย่อมดีที่สุด
ทว่าเซี่ยฟั่งเองก็รู้สึก เหมือนจะมีเรื่องขัดขวางมิให้เขาตัดบัวไม่เหลือใยได้
นี่ก็เป็นเรื่องที่เขากลุ้มใจอยู่พอดี
ไม่ว่าอย่างไร อาเหม่าก็รู้สึกดีขึ้นมาก นางรู้ว่าเซี่ยฟั่งมองความอึดอัดคับใจของนางออกจึงกล่าวประโยคนี้ออกมา
“กลับไปเถอะ”
“ข้ายังต้องเก็บดอกกุ้ย มิฉะนั้นพรุ่งนี้จะถูกลงโทษเอาได้” อาเหม่ากล่าวอีกว่า “ท่านกลับไปเถิด ไม่อย่างนั้นชุ่ยหรงอาจเอาไปนินทาได้”
“คนอย่างนั้นมิกล้าทำเช่นนี้หรอก” เซี่ยฟั่งกล่าวเสียงเรียบ “นางกล้ารังแกเจ้า แต่กลับไม่กล้าล่วงเกินข้า ชั่วดีอย่างไร ข้าก็เป็นคนที่กำราบนางได้ อีกอย่างพอถูกนางพบเข้าแล้วยังรีบกลับไป รังแต่จะทำให้คิดว่าพวกเรากลัวนางจะแพร่งพราย ภายหน้าจะยิ่งกำเริบ”
“เพราะฉะนั้นยิ่งกลับไปช้าก็ยิ่งเป็นการบอกนางว่าพวกเราไม่กลัวนาง?”
“อืม” เซี่ยฟั่งใช้ความคิดแล้วกล่าว “เจ้าเองก็ไม่ต้องกลัวว่านางจะเล่นงานเจ้าอีก”
เพราะตามสถานการณ์ ในสายตาของชุ่ยหรง อาเหม่าเป็นคนของเขาแล้ว หากผิดใจกับอาเหม่าก็ถือว่าล่วงเกินเขา
ประโยคนี้แม้เซี่ยฟั่งไม่ได้กล่าว แต่อาเหม่าก็เข้าใจดี
“แขน…” เซี่ยฟั่งชะงัก แต่ก็ยังเอ่ยถาม “ยังเจ็บแขนอยู่หรือไม่”
อาเหม่าส่ายหน้า แต่เซี่ยฟั่งกลับเห็นว่านางเปลี่ยนมาถือตะกร้าด้วยมืออีกข้างหนึ่งแล้ว ดอกไม้ในตะกร้าก็หกกระจายไปกว่าครึ่งเนื่องจากการยื้อยุดเมื่อครู่นี้
ดอกกุ้ยขนาดเล็ก หากต้องการเก็บให้เต็มตะกร้าต้องใช้เวลาไม่น้อยเลยจริงๆ
เซี่ยฟั่งอยากจะจากไป แต่สุดท้ายกลับรับตะกร้าของนางมาแล้วไปเก็บดอกกุ้ย อาเหม่าตามอยู่ข้างๆ เขา คอยเก็บดอกไม้จากกิ่งที่เตี้ยกว่า
ทั้งสองเก็บดอกไม้ด้วยกันเงียบๆ ไม่พูดไม่จา ราวกับว่าหากใครเอ่ยปากพูดออกมาแม้เพียงประโยคเดียวก็จะผิดกฎและล้ำเส้นขอบเขตที่ขีดแบ่งอย่างชัดเจนเมื่อครู่นี้ทันที
แสงจันทร์สีเงินยวงอาบทอทิวไม้ กลิ่นดอกไม้หอมฟุ้ง อบอวลจนติดกายเขาและนาง
ต่างเป็นคนที่อยู่เคียงคู่กับแสงจันทร์ที่เงียบงันสูงส่งมาสิบกว่าปี ยามนี้เงาที่ทอดตัวบนพื้นทาบทับพันเกี่ยว แม้กรรไกรก็ตัดไม่ขาด
ไร้เสียง ทว่ายิ่งกว่ามีเสียง
อาเหม่าเก็บดอกไม้กับเซี่ยฟั่งอยู่ในสวนกว่าค่อนคืน นางจึงกลับเรือนพร้อมกับกลิ่นหอมฟุ้งอบอวล ทว่าเมื่อกลับถึงห้องแล้ว นางก็ยังหวั่นใจไม่หาย
นางคลึงแขนเบาๆ ยังคงคิดถึงเรื่องเมื่อครู่นี้อยู่และก็แปลกใจ ก่อนหน้านางยังรู้สึกว่าเซี่ยฟั่งน่ากลัวอยู่ แต่ครู่ต่อมาพอเขาช่วยเก็บดอกไม้ นางก็ไม่กลัวเขาเสียแล้ว
อาเหม่ายังจดจำความรู้สึกที่ใจเต้นโครมครามยามซบหน้ากับอกของเขาได้อย่างแจ่มชัด
เมื่อนึกถึง หัวใจดวงน้อยก็พลันเต้นตึกตัก
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกตัวกับเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง นางน่าจะ…ชอบเซี่ยฟั่งเข้าแล้วจริงๆ
อาเหม่าบิดนิ้วเรียวไปมา ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เซี่ยฟั่งกับฉินโหยวย่อมต้องเป็นสหายกันแน่นอน แม้แต่คุณชายใหญ่อย่างฉินโหยวก็ยังยอมเล่นละครกับเซี่ยฟั่ง แล้วเซี่ยฟั่งไหนเลยจะเป็นแค่คนธรรมดา สิ่งที่เขาทำอยู่ไยเลยจะเป็นเรื่องเล็ก
โดยมากต้องเกี่ยวข้องกับสกุลหานเป็นแน่ มิฉะนั้นเขาจะลดเกียรติมาเป็นเพียงบ่าวรับใช้ของสกุลหานเพื่ออะไร
ยิ่งอาเหม่าครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งก็ยิ่งรู้สึกว่าตนไม่อาจชอบเซี่ยฟั่งได้
นับจากนี้ก็แค่เก็บเขาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ ไม่ต้องคิดอะไรอีก
ภายในห้องว่างเปล่า เหล่าสาวใช้ที่สนิทกันยังคอยปรนนิบัตินายท่านและฮูหยินชมจันทร์อยู่ด้านนอก อีกเดี๋ยวนางก็ต้องไปด้วย ขณะที่ร่างบางลุกขึ้น ลมเอื่อยโชยเอากลิ่นดอกไม้หอมมาปะทะจมูก นางหันหน้าไปช้าๆ สายตาพลางจับจ้องถุงหอมดอกกุ้ยแต่ละใบที่วางอยู่บนโต๊ะ นั่นล้วนเป็นดอกไม้แห้งที่เหล่าสาวใช้เก็บกลับมาช่วงพลบค่ำ ก่อนเย็บบรรจุลงในถุงหอม
หลายใบในนั้น…เป็นของชุ่ยหรง
ดวงตาของนางหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะมองอย่างจดจ่อ
บนหอจื่อจิ่ง คนที่สนทนาพลางชมจันทร์เริ่มเหนื่อยแล้ว พระจันทร์ในเดือนนี้ไม่ต่างจากเดือนอื่น มิได้มีความพิเศษอันใด การชมจันทร์ก็เพียงเพื่อให้คนดูมีระดับ หาได้มีความอภิรมย์ใดไม่
เจ้าบ้านสกุลหานไปร่ำสุรากับสหายร่วมแวดวงเดียวกันนานแล้ว มีฮูหยินผู้เฒ่าที่ยังชมจันทร์พลางสนทนากับลูกสะใภ้และบรรดาอี๋เหนียง
ครู่หนึ่งฮูหยินผู้เฒ่าก็เห็นเซี่ยฟั่งขึ้นมา คิดๆ แล้วหากไม่ได้เขาช่วยออกหน้าให้ คาดว่าคุณชายร้ายกาจของสกุลฉินผู้นั้นไม่มีทางสละที่ชั้นบนสุดของหอจื่อจิ่งนี้ให้แน่ จึงกล่าวว่า “คราวนี้เจ้ามีผลงาน บอกมาเถอะ อยากได้รางวัลอะไร”
เซี่ยฟั่งประสานมือคำนับ “ขอเพียงฮูหยินผู้เฒ่าดีใจ เซี่ยฟั่งก็ไม่ต้องการรางวัลอะไรขอรับ นี่ถือเป็นหน้าที่”
หานกวงแย้มยิ้ม “ดูสิท่านย่า ข้าบอกแล้ว เซี่ยฟั่งไม่เอารางวัลหรอก เขาจงรักภักดีกับสกุลหานมาก”
ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้เอ่ยปากชม ทว่าอคติในใจกลับเริ่มลดลงบ้างแล้ว
หญิงสาวคนหนึ่งพลันกล่าวกลั้วหัวเราะ “พี่รองช่วยออกหน้าพูดจาให้บ่าวรับใช้คนหนึ่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
คนพูดคือหานเยียนหรือคุณหนูสาม บุตรีที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ นิสัยร้ายกาจทว่ากลับฉลาดยิ่ง ฉะนั้นเจ้าบ้านสกุลหานและหานฮูหยินจึงล้วนตามใจนาง เนื่องจากนางมีนิสัยคุณหนูตระกูลคหบดีอย่างแท้จริง
“เช่นนั้นหากคราวหน้าเจ้าก่อเรื่องขึ้น พี่รองก็จะช่วยแก้ต่างให้เจ้าด้วยดีหรือไม่” หานกวงกล่าว
หางตาของหานเยียนสะท้อนแววถากถาง “ข้าก่อเรื่อง ไหนเลยจะต้องให้คนอื่นออกหน้าวิงวอน พี่รองดูแลตัวเองให้ดีเถอะ”
หานกวงไม่ชอบน้องสาวคนนี้ แต่กลับจนปัญญาด้วยมารดานางเป็นฮูหยินใหญ่ ส่วนมารดาของเขาเป็นเพียงอนุภรรยา เช่นนี้เมื่อเขาถูกยอกย้อนกลับมา ก็ล้วนต้องกลืนลงคอทั้งหมด
ขณะหานเยียนดึงสายตากลับมานั้น นางก็ถือโอกาสกวาดมองผ่านใบหน้าของเซี่ยฟั่งไปด้วย ใบหน้าของบุรุษหนุ่มใต้แสงจันทร์ขาวสะอาดคมคาย สีหน้าเรียบเย็น ปราศจากกลิ่นหอมรื่นเริงของหญิงนางโลม และไร้ความสกปรกของชายฉกรรจ์ป่าเถื่อน เขาสง่าหล่อเหลาอย่างพอดิบพอดี ดังนั้นนางจึงพินิจมองใบหน้าของเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนผุดรอยยิ้มบนดวงหน้า สายตาวับวาวพราวเสน่ห์ แล้วจึงเบนหน้าไปชมจันทร์ต่อ
เวลานี้ชุ่ยหรงเองก็มองเซี่ยฟั่ง
ตกลงเขากับอาเหม่ามีความสัมพันธ์ถึงขั้นใดแล้ว ถึงกับโอบกอดกันแล้ว เช่นนั้นจูบกันแล้วหรือไม่ คงไม่ใช่ว่า…
ดวงหน้าของนางพลันแดงก่ำ ทว่าหลังจากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นซีดขาว ไม่อยากคิด ไม่อยากยอมรับ และที่น่าโกรธแค้นที่สุดคือนางไม่อาจรังแกอาเหม่าได้อีกแล้ว มิฉะนั้นเซี่ยฟั่งไม่ปล่อยนางเอาไว้แน่
นางเพิ่งนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ คนอย่างเสี่ยวลิ่วไหนเลยจะอาสาขอไปทำความสะอาดคอกม้าเอง หรือว่าเรื่องที่เขาแอบเปลี่ยนยาของเซี่ยฟั่งถูกอีกฝ่ายล่วงรู้เข้าจึงถูกเล่นงาน
หากเป็นเช่นนั้นจริง แม้เสี่ยวลิ่วจะสมควรโดนเพียงใด แต่เซี่ยฟั่งก็น่ากลัวเหลือเกิน
นางคิดพลางมองเขาด้วยความรู้สึกอันซับซ้อนแวบหนึ่ง ท่าทางของเขาดูเปิดเผยเที่ยงตรงเช่นนี้ เขาย่อมมิใช่คนเช่นนั้นแน่
ชุ่ยหรงปฏิเสธอยู่ในใจ เรื่องของเสี่ยวลิ่วไม่เกี่ยวข้องกับเขาแน่นอน
ขณะกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น เนื่องจากนางอยู่ใกล้บันไดจึงได้ยินเสียงคนกำลังเดินขึ้นมาช้าๆ เมื่อก้มลงมองก็เห็นว่าเป็นอาเหม่า
อาเหม่าเพิ่งไปทำเรื่องไม่ดีมา ดวงหน้าของนางจึงร้อนผ่าว ทั้งใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย ครั้นท่าทางนั้นอยู่ในสายตาของชุ่ยหรง ทุกอย่างก็ผันแปรไป…
นางต้องไปทำเรื่องไม่งามอะไรกับเซี่ยฟั่งมาเป็นแน่ ดวงหน้าจึงได้แดงระเรื่อเช่นนั้น
อาเหม่าแทรกตัวเข้าไปในกลุ่มสาวใช้เงียบๆ อาจเพราะมีเสียงดังขึ้นเบาๆ เซี่ยฟั่งจึงเงยหน้าขึ้นมอง ยามที่เห็นอาเหม่าสีหน้าของเขาก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะดึงสายตากลับ
การชายตามองของทั้งสองยิ่งกระตุ้นให้ชุ่ยหรงชิงชัง
ยังไม่ถึงยามจื่อ* คนสกุลหานก็ทยอยกันกลับเข้าห้อง เหล่าสาวใช้จึงทยอยกลับไปด้วย พรุ่งนี้ตอนเช้าตรู่ค่อยเก็บข้าวของกลับคฤหาสน์สกุลหาน คืนนี้ทุกคนล้วนค้างคืนกันในสวนแห่งนี้
เช้าวันถัดมา หมัวมัวก็ถือตะกร้ามาเก็บถุงหอมที่เหล่าสาวใช้ทำ ซึ่งเก็บได้ถึงสองตะกร้าใหญ่ ต้องใช้รถม้าคันหนึ่งบรรทุกโดยเฉพาะ เมื่อถึงคฤหาสน์สกุลหานแล้ว หมัวมัวก็จัดการแยกถุงหอมแล้วส่งไปให้ฮูหยินกับบรรดาอี๋เหนียง
กลิ่นหอมอบอวลทั่วคฤหาสน์สกุลหาน ราวกับปลูกต้นกุ้ยไว้เต็มเรือน ทว่าหานเยียนกลับรู้สึกว่าถุงหอมของตนมีกลิ่นเหม็นเน่า ซึ่งนางมิได้เป็นคนสังเกตก่อน หากแต่พกนางถุงหอมออกไปข้างนอก แล้วมีคนทักขึ้นมานางจึงรู้ตัว เมื่อใช้มีดเล่มเล็กกรีดออกดูจึงพบว่าด้านในมีแต่ดอกไม้เน่าเปื่อย ดูแล้วก็รู้ทันทีว่าดอกไม้พวกนี้มิได้ถูกตากจนแห้งดี เมื่อทับถมอยู่ด้วยกันนานสองนาน กลีบดอกไม้ก็เน่าเป็นสีน้ำตาลทั้งหมด ส่งกลิ่นแปลกประหลาด คลุ้งจนนางแทบอาเจียน
หานเยียนนำถุงหอมกลับคฤหาสน์ทันที หลังจากเข้าไปในเรือนของมารดาแล้วก็เหวี่ยงถุงหอมลงบนโต๊ะ พลางกล่าวอย่างเดือดดาล “พวกสาวใช้ล้วนสมควรตาย ดอกไม้ที่ยังตากไม่แห้งก็กล้าใส่มา น่าอายจริงๆ”
ดอกกุ้ยสดนั้นกลิ่นหอมขจรขจาย แม้ในยามที่ดอกกุ้ยเน่าเปื่อยก็ยังเจือด้วยกลิ่นหอมจางๆ คลุ้งจนหานฮูหยินพลอยเวียนศีรษะไปด้วย นางไม่ยอมแตะต้อง พลันนิ่วหน้าถามหมัวมัว “ใครเป็นคนทำอันนี้”
แม้ถุงหอมนั้นเมื่อทำเสร็จทั้งหมดแล้วจะทำการจัดแบ่งไปให้ผู้เป็นนาย แต่กระนั้นถุงหอมที่หมัวมัวให้สาวใช้แต่ละคนก็ล้วนต่างกัน เหตุผลก็เพื่อหากภายหลังผู้เป็นนายเอ่ยถามถึง ไม่ว่าจะตกรางวัลหรือลงโทษก็จะตามหาคนทำได้ง่าย หมัวมัวหยิบถุงหอมมาพินิจมองอย่างละเอียดก่อนตอบ “ของชุ่ยหรงเจ้าค่ะ”
หานเยียนแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ของเช่นนี้ก็ยังกล้าเอามาปะปนตบตา ไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาชัดๆ ท่านแม่ สาวใช้คนนี้สมควรตาย”
หานฮูหยินกล่าว “เป็นสาวเป็นนางไยจึงเอาแต่พูดคำว่า ‘ตายๆๆๆ’ ช่างหยาบคายเสียจริง สาวใช้ทำงานไม่ดี ก็ต้องลงโทษ” นางครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนกล่าวกับหมัวมัว “ทำโทษให้นางไปซักผ้าหนึ่งเดือน ตัดเงินหนึ่งเดือน”
หานเยียนถลึงตา “เบาไป!”
หานฮูหยินคล้อยตาม “เช่นนั้นก็สามเดือน”
หานเยียนได้ยินดังนั้นจึงพอใจ
หมัวมัวไปที่เรือนของสาวใช้อย่างรวดเร็ว บอกกล่าวเรื่องนี้แก่ชุ่ยหรง พอนางได้ยินก็กล่าวตกใจ “เป็นไปไม่ได้ ดอกไม้ของข้าตากดีแล้วจึงใส่ในถุงหอม ไม่เชื่อท่านลองถามพวกไฉ่เยวี่ยกับเถาฮวาดูได้”
นางถือว่าตนหน้าตาสะสวยกว่าสาวใช้ด้วยกัน อีกทั้งยังมีนิสัยหยิ่งทะนง ฉะนั้นจึงเข้ากับสาวใช้ในเรือนเดียวกันได้ไม่ดีนัก ไฉ่เยวี่ยได้ยินแล้วก็ไม่อยากเป็นพยานให้นาง เพียงก้มหน้าก้มตาพับเสื้อผ้าของตนเอง ส่วนเถาฮวาแม้จะมีนิสัยเถรตรง แต่เป็นเพราะนางเกลียดที่ชุ่ยหรงรังแกอาเหม่า จึงไม่คิดปริปาก
ชุ่ยหรงเห็นดังนั้นก็ร้อนรนทันที “พวกเจ้าพูดอะไรบ้างสิ เป็นใบ้กันหรือ!”
ทั้งสองได้ยินแล้วยิ่งไม่ยอมปริปาก
หมัวมัวหัวเราะเสียงเย็น “ถุงหอมเป็นของเจ้า เหตุใดเจ้ายังกล้าแก้ตัวอีก จะบอกว่ามีคนใส่ร้ายเจ้าหรือไร เป็นเจ้าที่แอบเกียจคร้านเองแท้ๆ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าใฝ่สูงแต่ไม่เอาการเอางาน หัดรู้จักดูฐานะตัวเองเสียบ้าง”
ชุ่ยหรงร้อนรนจนตาแดงก่ำ ทว่าถ้อยคำของหมัวมัวสะกิดนาง มีคนเจตนาใส่ร้ายนาง
…ใคร?
นางนึกถึงอาเหม่าขึ้นมา แต่อาเหม่าใจเสาะมาตลอด ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้เองเป็นแน่ แต่นางก็มั่นใจว่าถุงหอมของตนไม่มีปัญหา แล้วเหตุใดหมัวมัวจึงหาเรื่องนางเช่นนี้
หรือหมัวมัวถูกเซี่ยฟั่งชี้นำ
หมัวมัวคว้าข้อมือของนางหมายลากออกไป ชุ่ยหรงตระหนกจนร่ำไห้ “หมัวมัว มิใช่ข้าจริงๆ ข้าตากดอกไม้แห้งดีแล้ว ไม่ใช่ข้า…ไม่ใช่ข้า”
หมัวมัวเองก็ไร้ความเอ็นดูในตัวนาง จึงไม่ฟังเสียงวิงวอน ลากนางออกไปซักผ้าทันที
พอชุ่ยหรงไปแล้ว ไฉ่เยวี่ยก็วิ่งไปบอกเรื่องนี้กับสาวใช้คนอื่นๆ ว่าชุ่ยหรงที่ทุกคนไม่ชอบหน้าจะไม่อยู่ถึงสามเดือน
เถาฮวาเองก็ดีใจ นางเห็นอาเหม่าเอาแต่นั่งหันหลังทำอะไรไม่รู้อยู่ที่ขอบเตียง ไม่ขยับเขยื้อน นางก็กระโดดเข้าไปกล่าวพลางกลั้วหัวเราะ “อาเหม่า เจ้าได้ยินหรือยัง ชุ่ยหรงถูกหมัวมัวลากตัวไปแล้ว ใครใช้ให้นางทำถุงหอมปลอมกันเล่า คราวนี้ก็ดีแล้ว ไม่มีใครรังแกเจ้าอีก แต่ก็น่าแปลก ข้าจำได้ว่าดอกไม้ที่นางใส่แห้งจริงๆ เหตุใดจึงกลายเป็นดอกไม้สดไปได้”
“เป็นข้า…” อาเหม่ามีสีหน้าซีดขาว ริมฝีปากขาวจนแทบกลายเป็นสีม่วง อีกทั้งแววตาก็เลื่อนลอย นางกล่าวขึ้นอย่างนิ่งงัน “ข้าเป็นคนแอบเปลี่ยนดอกไม้ในถุงหอมของนางเอง”
เถาฮวานิ่งอึ้ง ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ เพียงเพราะนางไม่คาดคิดว่าอาเหม่าเป็นคนทำ ซ้ำยังคิดว่าทวยเทพกำลังช่วยเอาคืนแทนอาเหม่า
อาเหม่าพลันกำมือแน่น นี่นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางทำเรื่องชั่ว แต่เพราะอะไรถึงต้องทำเช่นนี้ นางเองก็ไม่รู้ และจำตัวเองในเวลานั้นไม่ได้ว่าทำเรื่องเช่นนี้ไปเพื่ออะไร
“เจ้ามิได้ทำผิด” เถาฮวานิ่งอึ้งก่อนได้สติ โผเข้ากอดนาง “อาเหม่าเจ้าไม่ผิด เพราะชุ่ยหรงกลั่นแกล้งรังแกกันเกินไป เจ้าแค่ตอบโต้ เจ้าไม่ผิด”
น้ำเสียงของนางหนักแน่นเหลือเกิน จนอาเหม่าฟังแล้วพลันรู้สึกแสบจมูก “เถาฮวา เจ้าไม่กลัวข้าหรือ”
“ไม่กลัว” เถาฮวายืนกรานอย่างจริงจัง “อาเหม่าไม่ทำร้ายใครโดยไร้สาเหตุ และยิ่งไม่มีทางทำร้ายข้าด้วย”
อาเหม่านิ่งอึ้ง ความรู้สึกผิดบาปในใจเหมือนจะหายไปกว่าครึ่งแล้ว เพราะตั้งแต่ที่สับเปลี่ยนดอกไม้แห้งในถุงหอมเมื่อคืน นางก็อกสั่นขวัญผวามาตลอด ซ้ำยังนึกเสียใจที่ทำเรื่องเช่นนั้น ทว่าเมื่อชุ่ยหรงถูกลงโทษให้ซักผ้าสามเดือน นางเองก็รู้สึกสาแก่ใจอยู่ลึกๆ เช่นกัน
อย่างน้อยในสามเดือนนี้ นางก็ไม่ต้องทนรับโทสะของชุ่ยหรงอีก
แม้เซี่ยฟั่งจะบอกแล้วว่าอีกฝ่ายจะไม่มาหาเรื่องนางอีก แต่ความรู้สึกปลอดภัยเช่นนั้น เซี่ยฟั่งเป็นคนมอบให้ เป็นความรู้สึกที่นางต้องรับมาจากผู้อื่น ทว่านางเติบโตมาด้วยการสังเกตสีหน้าผู้อื่นตั้งแต่เด็ก รู้ว่าสิ่งที่ทำด้วยตนเองจึงจะพึ่งพาได้มากที่สุด อุ่นใจที่สุด และยั่งยืนที่สุดแล้ว
ด้วยเหตุนี้นางจึงสับเปลี่ยนถุงหอมใบหนึ่งที่ชุ่ยหรงทำ เพียงแต่นางคิดไม่ถึงว่าถุงหอมใบนั้นจะถูกส่งไปอยู่ในมือของคนที่ร้ายกาจที่สุดในสกุลหาน
บางที…สวรรค์อาจกำลังลงโทษชุ่ยหรงก็เป็นได้
ใกล้ถึงช่วงเที่ยง อาเหม่าเองก็ตามเถาฮวาไปเตรียมมื้อเที่ยงและรับใช้นายท่านกับฮูหยินกินข้าวกันด้านนอก ระหว่างที่นางถือจานเดินไปยังโถงใหญ่ก็เห็นเซี่ยฟั่งกำลังยืนอยู่ด้านนอก ถือถุงหอมใบหนึ่งในมือ
นั่นเป็นถุงหอมที่หานเยียนเพิ่งให้หมัวมัวโยนทิ้งเมื่อครู่ เซี่ยฟั่งหลังจากได้ยินต้นสายปลายเหตุแล้วจึงหยิบถุงหอมขึ้นมาดู ไม่ว่าจะแนวเย็บหรือรูปแบบการเก็บฝีเข็มบนถุงหอมเขาล้วนเคยเห็นมาก่อน
เคยเห็น…บนผ้าเช็ดหน้าที่อาเหม่าให้เขา
แม้ถุงหอมจะถูกแบ่งมาให้ชุ่ยหรง ทว่าสุดท้ายที่เย็บปิดปากถุงกลับเป็นคนอื่น คนคนนั้นอาจเป็นอาเหม่า มิหนำซ้ำดูจากความกินแหนงแคลงใจระหว่างอาเหม่ากับชุ่ยหรงแล้ว เรื่องนี้ต้องเป็นการกระทำของอาเหม่าเป็นแน่
เซี่ยฟั่งดูอยู่นานสองนาน จนดอกไม้เน่าในถุงหอมมีน้ำซึมออกมาเปื้อนมือ เถาฮวาที่เดินผ่านมาจึงเอ่ยทักเขาเสียงเบา “พ่อบ้าน รีบทิ้งไปเถิด สกปรก”
อาเหม่าเองก็อยากให้เขารีบทิ้งหลักฐานความผิดนั้นโดยเร็ว ภายหน้าหากชุ่ยหรงอยากรื้อฟื้นแต่ก็ไร้หลักฐานแล้ว
เซี่ยฟั่งเบี่ยงร่างเล็กน้อย เมื่อเห็นเถาฮวาแล้ว เขาก็เห็นอาเหม่าด้วย สีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก หลุบตามองต่ำ คล้ายกับไม่กล้ามองเขา
เขานิ่งเงียบ มองถุงหอมในมือที่สามารถใช้แก้ต่างให้ชุ่ยหรงได้ ก่อนจะกล่าวว่า “ทิ้งเดี๋ยวนี้แหละ”
…ดอกไม้ในถุงหอมมิได้ถูกสับเปลี่ยน ไม่มีอะไรให้ต้องรื้อคดี
…ชุ่ยหรงทำงานพลาด ไม่เกี่ยวกับคนอื่น
เซี่ยฟั่งรู้สึกว่าใจของเขาเองก็เริ่มแปรเปลี่ยนเสียแล้ว…เพียงเพราะหญิงที่มีนามว่า ‘อาเหม่า’
* ยามจื่อ คือช่วงเวลา 23.00 น. ถึง 01.00 น.
Comments
comments