บทที่ 9
เพิ่งผ่านวันไหว้พระจันทร์ไม่นาน เจ้าบ้านสกุลหานก็จะไปเจรจาค้าขายต่างถิ่น เดินทางครั้งนี้ระยะทางไกล ไปกลับต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน เดิมทีเขาให้บ่าวจัดเตรียมสัมภาระไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนบ่าวรับใช้ที่ต้องติดตามไปด้วยก็ล้วนกำหนดไว้แล้ว ตอนที่เขาเดินเข้าเรือนก็เห็นอาเหม่าเดินสวนออกมาพอดี เมื่อเผชิญพบหน้ากันเช่นนี้ทำให้เขาเกิดความคิดหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
อาเหม่ารีบเบี่ยงร่างหลีกทาง พลางก้มหน้าส่งเขาเข้าเรือน รอเจ้าบ้านสกุลหานเข้าไปแล้ว นางก็จากไปทันที ไม่อยากอยู่ต่อแม้เพียงครู่เดียว
เจ้าบ้านสกุลหานมองอาเหม่าที่หลบหนีราวกับกระต่ายแล้วก็ผุดรอยยิ้ม เขาเข้าเรือนบอกกับภรรยาว่า “ไปไฮ่โจวคราวนี้ ข้าจะพาอาเหม่าไปด้วย”
หานฮูหยินนิ่งอึ้ง คนพูดแฝงเจตนาอื่นชัดเจน นางรู้ว่าสามีคิดอะไรอยู่ แต่คิดไม่ถึงว่าเขายังไม่เลิกหมายตาอาเหม่าเช่นนี้ นางพลันกล่าวเสียงเรียบ “นายท่านจะทำอะไร”
เจ้าบ้านสกุลหานก็ไม่อ้อมค้อมกับนางเช่นกัน เขากล่าวว่า “เจ้ารู้จักอาเหม่าเป็นอย่างดี และรู้นิสัยไม่แก่งแย่งชิงดีของนาง เทียบกับคนที่ข้าหามาจากข้างนอกแล้ว เจ้าน่าจะวางใจได้มากกว่าและควรยินยอมด้วย”
หานฮูหยินอึ้งจนพูดไม่ออก แม้จะขุ่นเคืองใจอยู่ลึกๆ แต่ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มิได้ไร้เหตุผลไปเสียทีเดียว นางนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งจึงกล่าว “นายท่านก็รู้ว่าเซี่ยฟั่งชอบนางมิใช่หรือ ท่านให้เซี่ยฟั่งไป แล้วยังพาอาเหม่าไปด้วย ไม่กลัวเขาจะคิดคดทรยศหรือไร”
“เพราะฉะนั้นข้าจึงยิ่งต้องดูว่าเซี่ยฟั่งจะเป็นคนที่แตกคอกับเจ้านายเพื่อผู้หญิงแค่คนเดียวหรือไม่ ถ้าแม้แต่สาวใช้ฐานะต่ำต้อยคนหนึ่งก็ไม่อาจละทิ้งได้ เช่นนั้นก็เป็นพ่อบ้านสกุลหานมิได้แล้ว”
สีหน้าของหานฮูหยินฉายแววเย้ยหยัน “แล้วหากเขาทำเช่นนั้นจริงๆ เล่า”
เจ้าบ้านสกุลหานพลันหัวเราะเสียงดัง “ไม่มีทาง คนที่ละโมบเงินทองจะไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้น”
หานฮูหยินนึกหยันในใจ แต่ไม่ได้กล่าวอะไรอีก มีคำพูดหนึ่งที่สามีพูดได้ถูกต้อง หากให้สตรีที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าคนหนึ่งมาเป็นอี๋เหนียงสี่มิสู้ให้อาเหม่าเป็นเสียเลย หากได้รับความโปรดปราน อย่างน้อยก็พอรับรองได้ว่าจะไม่มีอี๋เหนียงห้าอี๋เหนียงหกโผล่มาอีกหลายปี
ฉะนั้นนางจึงอนุญาตเรื่องที่เจ้าบ้านสกุลหานจะพาอาเหม่าออกเดินทางด้วย
หลังจากอาเหม่าได้รับข่าว นานพักใหญ่แล้วนางก็ยังไม่เก็บสัมภาระเดินทาง กลับเป็นเถาฮวาที่ได้ยินแล้วตื่นเต้นดีใจ “ไฮ่โจวเชียวนะ นั่นเป็นดินแดนอุดมสมบูรณ์อันเลื่องชื่อ ซ้ำยังได้ยินว่าเดินไม่กี่ก้าวก็เจอลำธารเล็กๆ มีลำธารเล็กๆ ไหลผ่านหน้าเรือนและกลางเรือนมากมายนับไม่ถ้วน สวยงามยิ่ง ข้าเองก็อยากไป แต่นายท่านไม่พาข้าไปด้วยแน่ อาเหม่า เจ้าไปที่นั่นแล้ว ต้องเที่ยวให้สนุกนะ”
อาเหม่าฟังถ้อยคำไร้เดียงสาเป็นธรรมชาติของเถาฮวาแล้วก็ได้แต่ยิ้มขื่น รู้ว่าครั้งนี้ตนยากจะหนีรอดเจ้าบ้านสกุลหานแล้ว
เมื่อครู่ตอนที่หมัวมัวที่คอยรับใช้ฮูหยินบอกกล่าวเรื่องนี้แก่นางยังแอบสำทับว่า “อย่าลืมนำเสื้อตัวในที่สะอาดไปด้วยหลายๆ ตัว แป้งชาดนี่ฮูหยินให้เจ้า หากเจ้าดูแลนายท่านได้ดี ฮูหยินเองก็จะดีกับเจ้า เจ้าต้องซาบซึ้งบุญคุณของฮูหยินให้มากรู้หรือไม่”
อาเหม่าฟังแล้วรู้สึกว่าแม้ฮูหยินจะเป็นถึงนายหญิงสกุลหาน แต่ก็จนปัญญา และน่าเศร้ายิ่งนัก
นางไม่อยากคิดเรื่องเหล่านี้อีกแล้ว สกุลหานใหญ่โต นางไม่มีทางหนีไปไหนได้ ต่อให้หนีออกไปได้แล้วจะหนีไปที่ใดกัน
อาเหม่าเก็บสัมภาระเสร็จแล้ว หลังจากกินข้าวช่วงบ่ายในวันนั้นก็ไปที่รถม้าเพื่อจะเดินทางไปยังไฮ่โจว เพิ่งมาถึงบริเวณรถม้า นางก็เห็นเซี่ยฟั่งที่กำลังวุ่นอยู่กับการจัดแจงรถม้าอยู่ นางมองเซี่ยฟั่ง เมื่อเผชิญหน้ากับเขา ทันใดนั้นร่างบางก็พลันรู้สึกกระดากอาย
ที่แท้เซี่ยฟั่งก็ไปด้วย
เช่นนั้นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในการเดินทางครั้งนี้เขาอาจได้เห็นชัดด้วยสายตาตนเอง
ดวงหน้าของอาเหม่าร้อนผ่าว แต่หากมีคันฉ่องให้นางส่องสักบาน นางคิดว่าใบหน้าของตนเองต้องขาวซีดอย่างแน่นอน
เซี่ยฟั่งเองก็เห็นอาเหม่าแล้ว ขณะเดียวกันก็เห็นสัมภาระในมือบางด้วย เขานิ่งชะงักไปชั่วขณะ ไม่ต้องให้ใครบอกกล่าว เขาก็รู้แล้วว่าการที่นางปรากฏกายที่นี่สื่อถึงอะไร
หลังจากเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เจ้าบ้านสกุลหานจึงออกจากคฤหาสน์ รถม้าถูกเตรียมไว้ด้วยกันสองคัน เจ้าบ้านสกุลหานนั่งหนึ่งคัน อีกคันบรรทุกของกำนัลสำหรับขุนนางท้องถิ่นและสหายเมื่อไปถึงไฮ่โจว ยังมีเกวียนอีกเล่มสำหรับขนสัมภาระของบรรดาบ่าวรับใช้ ผู้คุ้มกันและบ่าวรับใช้เดินตามอยู่ข้างรถม้า รถม้าเคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้า
อาเหม่าเดินอยู่ด้านหลัง เอาแต่มองแผ่นหลังของเซี่ยฟั่งอยู่ตลอด เขาดูผอมลงเมื่อเทียบกับตอนที่เพิ่งเข้ามาทำงาน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยังไม่หายจากยาที่ถูกเสี่ยวลิ่วสับเปลี่ยนหรือไม่ นางมองร่างสูงอยู่ไกลๆ ไกลเกินเอื้อมถึง
ไม่รู้จะเผชิญหน้ากับเขาด้วยสภาพจิตใจแบบใด อันที่จริงนางก็ไม่มีอะไรให้ต้องรู้สึกผิดกับเขาแท้ๆ
จู่ๆ อาเหม่าก็ได้สติ เหตุใดนางจึงต้องกระดากอายต่อหน้าเซี่ยฟั่งด้วยเล่า นางกับเขามิได้มีสัมพันธ์ชายหญิงกันเสียหน่อย มิได้ให้คำมั่นสัญญาใดต่อกัน เช่นนั้นต่อให้นางเคราะห์ร้ายในการเดินทางครั้งนี้จนต้องเสียตัว ก็หาได้เกี่ยวกับเซี่ยฟั่งไม่!
ตรงกันข้าม นางในเวลานี้ควรเป็นตัวเองให้ได้ และควรไร้เรื่องให้พะวงมากที่สุด ดังนั้นนางไม่ควรหลบหน้าเซี่ยฟั่ง กลับควรถือโอกาสนี้สนทนากับบุรุษที่นางประทับใจให้มากขึ้นอีกสักนิด
หากความเลวร้ายที่นางคาดการณ์ไว้มาเยือนจริง เช่นนั้นต่อไปนางก็คงไม่สามารถพูดจากับเซี่ยฟั่งอย่างเป็นธรรมชาติได้อีกแล้ว
คิดแล้วร่างบางก็เร่งฝีเท้า เดินเข้าไปใกล้เซี่ยฟั่งทีละนิด เพียงครู่เดียวก็ไปถึงข้างๆ เซี่ยฟั่ง นางไม่ส่งเสียง เพียงแค่เดินด้วยกันกับเขา
เซี่ยฟั่งเห็นนางเดินมาปุบปับ ทั้งยังมีท่าทีจะเดินกับเขา บุรุษหนุ่มหยุดชะงักก่อนผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง อาเหม่าเองก็ผ่อนฝีเท้าตามไปด้วย ไม่นานทั้งสองก็อยู่ห่างจากรถม้าของเจ้าบ้านสกุลหานเป็นระยะหนึ่งช่วงรถม้าแล้ว
เซี่ยฟั่งเพิ่งเอ่ยถามนาง “เหนื่อยหรือไม่”
“ไม่เหนื่อยเจ้าค่ะ ทางไม่ลำบาก” อาเหม่าเองก็ถามกลับ “พ่อบ้านเหนื่อยหรือไม่”
“ไม่เหนื่อย”
“ไฮ่โจวอยู่ห่างจากที่นี่สองสามร้อยลี้ ข้ายังไม่เคยออกมาไกลเช่นนี้มาก่อน” อาเหม่าหัวเราะตนเองเล็กน้อย “บ้านเกิดของเถาฮวาอยู่ไกลกว่านี้อีก นางถูกขายมาที่เหิงโจวตั้งแต่เล็ก จำได้เลือนรางแค่ว่าบ้านเกิดอยู่ไกลมากๆ เพราะฉะนั้นนางมักบอกว่าอิจฉาข้าเสมอ อย่างน้อยก็รู้ว่ามาตุภูมิของตนเองอยู่ที่ใด แต่ข้าเองก็อิจฉานาง เพราะนางไม่ได้พบบิดามารดา ซึ่งกล่าวได้ว่าชีวิตนี้ของนางจะไม่มีวันรู้ว่าพวกเขาจะจากไปเมื่อใด”
เซี่ยฟั่งรับฟังเงียบๆ ไม่รู้ว่าเหตุใดอยู่ๆ อาเหม่าจึงกล่าวเรื่องเหล่านี้กับตน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่านางในเวลานี้แตกต่างจากที่ผ่านมา
อาเหม่าเสียบิดามารดาตั้งแต่เด็ก นางไม่มีความปรารถนาอะไรมากนัก มีเพียงตอนที่ย่าจากไป นางโตจนรู้ความแล้ว นางยังคงจำวันที่ทำพิธีฝังได้ นางคุกเข่าร่ำไห้ปิ่มขาดใจอยู่หน้าหลุมศพของย่า
คงเป็นเพราะยามนั้นรู้ว่าจะไม่มีใครรักใคร่เอ็นดูนางอีกแล้ว
อาเหม่าใช้ชีวิตกับย่าอย่างอัตคัด ซ้ำยังถึงขั้นแร้นแค้น ทว่านางไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวหรือยากลำบากอะไร
กระทั่งเมื่อย่าจากไป ก่อนจะถูกลุงขายมาที่สกุลหาน จากนั้นนางก็ไม่ใส่ใจกับอะไรอีกเลย และไม่มีห่วงอีกแล้ว
“เถาฮวาอิจฉาเจ้า เจ้าอิจฉาเถาฮวา แต่ถ้าเจ้าสลับตัวกับนาง บางทีอาจจะไม่มีใครอิจฉาใครเลยก็ได้” เซี่ยฟั่งกล่าว “มนุษย์ล้วนมีความปรารถนา แต่ก็มีชีวิตอยู่เพื่อความปรารถนาเหล่านี้”
อาเหม่าเอ่ยถาม “แล้วความปรารถนาของพ่อบ้านคืออะไรหรือ”
เซี่ยฟั่งหยุดชะงัก หลุบตามองนาง แล้วทอดสายตามองออกไปไกลๆ “เงิน”
อาเหม่าไม่เชื่อ
เซี่ยฟั่งเองก็ไม่คิดว่านางจะเชื่อ จึงเอ่ยปากตอบไปอย่างนั้น อย่างไรนางก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว
เสมือนเถาวัลย์มีหนามสองเถาที่คอยหยั่งเชิงกัน สัมผัสกัน ทว่าท้ายที่สุดกลับได้แผลกันทั้งคู่ แหวกบาดแผลออกทีละนิด แล้วให้อีกฝ่ายสมานทีละน้อย คล้ายจะต้องใช้เวลานานมาก ทว่าเถาวัลย์ยังคงมีความอดทน คิดว่าสักวันหนึ่งอาจสามารถใกล้ชิดกันโดยปราศจากหนามคมได้
เจ้าบ้านสกุลหานได้ยินเสียงของเซี่ยฟั่งกับอาเหม่าเคล้ากับเสียงล้อรถจึงเลิกม่านหน้าต่างรถมองออกไปภายนอก ไม่รู้ว่าทั้งสองพูดอะไร เหมือนจะมิได้สนทนากันอย่างออกรสนัก เขาผุดรอยยิ้มพึงใจเล็กน้อย เซี่ยฟั่งย่อมรู้จุดประสงค์ที่เขาพาอาเหม่ามาด้วยแล้วแน่นอน ดังนั้นจึงเริ่มตีตัวออกห่างจากนาง
แต่อาเหม่ากลับยังไม่ยอมตัดใจ จึงอยากเหนี่ยวรั้งสถานการณ์นี้เอาไว้ แต่กลับจนปัญญาเพราะสิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงสีหน้าเย็นชาของอีกฝ่าย
เจ้าบ้านสกุลหานไม่ได้ฟังสักคำก็นึกบทสนทนาเป็นร้อยพันของทั้งสองแล้ว
เดินทางจนฟ้ามืด ทว่ายังอีกไกลกว่าจะถึงไฮ่โจว เจ้าบ้านสกุลหานจึงพาทุกคนค้างแรม ยังไม่ทันกินข้าว เจ้าบ้านสกุลหานก็กล่าวกับเซี่ยฟั่งว่า “คืนนี้ทิวทัศน์ยามราตรีงดงามนัก ข้าจะออกไปพบสหายคนสนิทเสียหน่อย”
เซี่ยฟั่งกล่าว “ข้าจะตามผู้คุ้มกันมาเดี๋ยวนี้ขอรับ”
“มิต้องหรอก” เจ้าบ้านสกุลหานปฏิเสธ “ข้านัดสหายคนสนิทดื่มสุราด้วยกัน คืนนี้ไม่กลับแล้ว”
เซี่ยฟั่งพลันเหลือบตาขึ้นมองเล็กน้อย เขาขานรับเสียงหนึ่งก็ส่งอีกฝ่ายออกไป เห็นเพียงเจ้าบ้านสกุลหานเดินเท้าไป กระทั่งรถม้าก็ไม่นั่ง เขามองส่งจนร่างนั้นห่างออกไปไกลแล้ว นัยน์ตาสะท้อนแววยิ้มออกมา
บุรุษหนุ่มหันร่างขึ้นหอ เตรียมตัวพักผ่อน เมื่อขึ้นไปชั้นบนก็เหลือบเห็นว่าตรงราวระเบียงใต้ชายคา อาเหม่ากำลังพิงราวทอดสายตามองออกไปไกล พระจันทร์ในวันที่สิบแปดของเดือนยังคงสว่าง แม้จะมืดหายไปมุมหนึ่ง นั่นก็ไม่มีผลกับความกระจ่างใสนวลของแสงจันทร์แต่อย่างใด ดวงหน้าของสาวน้อยนวลผ่องงามตา แสงจันทร์สีเงินยวงอาบทออยู่บนใบหน้าของนางราวกับผ้าโปร่งผืนบาง ดูลับลวงดุจจันทรา
เซี่ยฟั่งมองนางอย่างจดจ่อ จนกระทั่งสาวน้อยเอียงหน้ามองมา เขาจึงละสายตา ก่อนจะก้าวเท้าเดินไปหานาง
อาเหม่ารอให้เขาเดินเข้ามาใกล้แล้วจึงกล่าว “ข้าเห็นนายท่านออกไปแล้ว แต่มิได้ให้ท่านตามไปด้วย และไม่พาบ่าวคนไหนไปด้วยเลย แม้แต่รถม้าก็ไม่ได้ใช้”
เซี่ยฟั่งยิ้มบาง “เจ้ารู้สึกแปลกจริงด้วย”
อาเหม่าจับตาทุกการเคลื่อนไหวของเจ้าบ้านสกุลหาน มิใช่เพราะชอบเขา แต่เพราะกลัวว่าเขาจะทำเรื่องที่นางขยะแขยงทว่ามิอาจขัดขืนได้มากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงต้องจับตาผู้เป็นนายมากเป็นพิเศษ นางเห็นเซี่ยฟั่งยิ้มแปลกๆ ดวงตาคู่สวยจึงหลุกหลิกเล็กน้อยพลางเอ่ยถาม “พ่อบ้านเดาได้แล้วหรือว่ามีสาเหตุอันใด”
“นายท่านบอกว่าเขาจะไปพบสหายคนสนิท จะร่ำสุราสนทนากันข้ามคืน เพราะฉะนั้นคืนนี้จึงไม่กลับมาแล้ว” เซี่ยฟั่งกล่าว
อาเหม่าผ่อนลมหายใจโล่งอกเฮือกหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด
อิริยาบถที่เล็กน้อยนี้ล้วนอยู่ในสายตาของเซี่ยฟั่ง
อาเหม่าดีใจอยู่ครู่หนึ่งก็มีคำถาม “สหายที่จะร่วมร่ำสุราทั้งคืนใช่ว่าจะไม่มี แต่คนที่ชอบความหรูหราใหญ่โต ทั้งยังห่วงชีวิตอย่างนายท่านนั้นไหนเลยจะไม่พาบ่าวรับใช้ไปด้วย ให้บ่าวไพร่ติดตาม คอยรินสุราให้ ออกจะดีมิใช่หรือ นอกเสียจากว่า…”
เซี่ยฟั่งเหลือบมองนางเล็กน้อย เขารู้ว่านางจะเดาได้
อาเหม่าเข้าใจกระจ่างทันที “นอกเสียจากนายท่านไม่อยากให้ใครรู้ว่าคนที่เขาจะไปพบคือใคร แต่หากเป็นเพียงสหาย เหตุใดจึงไม่ให้พวกเรารู้ หรือว่า…”
เซี่ยฟั่งแย้มยิ้ม ฟังนางพูดต่อไป ส่วนลึกในแววตาสะท้อนความละมุนดั่งแสงจันทร์
อาเหม่าไม่กล้าพูดไปชั่วขณะ นางเงยหน้าขึ้นมองเขา ยามที่เห็นร่างสูงมีสีหน้านุ่มนวล หัวใจดวงน้อยก็พลันเต้นโครมคราม จึงรวบรวมความกล้ากล่าวว่า “นอกจากนายท่านจะโกหก คนที่เขาไปพบกลับมิใช่สหายอะไร อาจจะเป็น…ชู้รัก ทั้งยังเป็นชู้รักที่มีฐานะที่มิอาจบอกใครได้”
ในที่สุดเซี่ยฟั่งก็พยักหน้า เขามองอาเหม่าไม่ผิด นางช่างฉลาดหลักแหลมยิ่ง
“แต่ยังมีอีกข้อหนึ่ง” อาเหม่าไม่เข้าใจ “นายท่านมีภรรยาและอนุเต็มเรือนแล้ว ยามนี้เดินทางรอนแรมมาถึงที่นี่ แล้วยังตั้งใจไปพบนางโดยเฉพาะ เพียงเพื่อปิดเป็นความลับแล้วถึงกับไม่พาบ่าวรับใช้ไปด้วย ไม่กลัวว่าระหว่างทางจะประสบภยันตรายอะไรหรือ เห็นได้ชัดว่านายท่านรักใคร่โปรดปรานหญิงผู้นั้นมาก แล้วเหตุใดจึงไม่รับนางกลับสกุลหาน นายท่านยังต้องพะวงอะไร…”
“เรื่องนี้มีแต่นายท่านที่รู้แล้ว” เซี่ยฟั่งครุ่นคิดแล้วบอก “หรือบางทีฐานะของหญิงผู้นั้นอาจน่าอายเกินกว่าจะบอกใครได้”
อาเหม่าคิดแล้วก็เข้าใจได้ในทันที จึงกดเสียงลงต่ำกล่าวด้วยความตกใจ “หรือจะเป็นหญิงนางโลม!”
“น่าจะใช่”
อาเหม่าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าบ้านสกุลหานจึงไม่รับหญิงผู้นั้นเข้าตระกูล หนึ่งคือฮูหยินผู้เฒ่าไม่ชอบ สองคือแม้อนุภรรยาคนอื่นๆ จะมาจากตระกูลยากจนแต่ก็นับว่าไร้ราคี อีกอย่างคือการรับหญิงคณิกามาเป็นอนุภรรยาน่ากลัวว่าเจ้าบ้านสกุลหานผู้ทะนงตนอาจถูกสวมเขาเอาได้ จะให้เขาตัดสินใจรับนางเข้าตระกูลก็มิใช่เรื่องที่จะทำได้ในเวลาอันสั้น
ทันใดนั้นอาเหม่าก็ตื่นจากภวังค์ นี่เซี่ยฟั่ง…กำลังบอกความลับกับนางหรือ
พ่อบ้านผู้มีนิสัยเย็นชาพูดเรื่องเหล่านี้กับนาง
นั่นหมายถึงอะไร
เป็นครั้งแรกที่อาเหม่าผู้ชาญฉลาดอ่านใจเขาไม่ออก
เดือนแปดเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง สายลมยามค่ำคืนเย็นฉ่ำ มอบความเย็นสบายให้แก่สองคนที่กำลังรู้สึกร้อนผ่าว
นานพักใหญ่อาเหม่าจึงเอ่ยปาก “เหตุใดท่านจึงลดเกียรติมาเป็นพ่อบ้านสกุลหานเช่นนี้”
“ลดเกียรติหรือ”
“ท่านฉลาดสุขุมเช่นนี้ ไม่ควรเป็นเพียงพ่อบ้าน ท่านควรสอบเป็นขุนนาง” อาเหม่าเอ่ยเสียงเบา “นายท่านหานหาใช่เจ้านายที่ดีไม่”
เซี่ยฟั่งพลันหัวเราะ “วงการขุนนางมากด้วยภยันตราย บางครั้งสู้ในดินแดนเล็กๆ ยังสงบมั่นคงเสียกว่า อีกอย่างเจ้าเชื่อหรือไม่ เมื่อก่อนข้าก็เคยเป็นบ่าวรับใช้”
อาเหม่าไม่เชื่อ นางเคยได้ยินข่าวลือของเขา เขาเป็นคุณชายตระกูลตกต่ำ จะเป็นบ่าวรับใช้ได้อย่างไร
“เมื่อก่อนท่านไม่เคยเป็นบ่าวรับใช้แน่นอน ดูมือท่านสิ” อาเหม่ากล่าวพลางจับมือใหญ่มาดู “มือท่านมิใช่มือของบ่าวรับใช้เลย”
มือของนางเย็นเล็กน้อย ทั้งสัมผัสก็แจ่มชัด เซี่ยฟั่งไม่ได้ดึงมือกลับ เสียงทุ้มถามกลั้วหัวเราะ “มือของบ่าวรับใช้? นี่มิใช่หรือ ไม่หยาบกร้านหรือ”
อาเหม่าแบมือทั้งสองข้างของตนให้เขาดู “ท่านดู นี่จึงจะเรียกว่าหยาบกร้าน แทบจะบาดคนได้อยู่แล้ว” ขาดคำนางก็ถูมือบางกับฝ่ามือของเขาทีหนึ่ง อยากให้เขาดูว่าเช่นไรจึงจะเรียกว่าหยาบกร้าน
ฝ่ามือบางลูบผ่านฝ่ามือใหญ่ มือของนางหยาบกระด้างและเจือด้วยความเย็นเล็กน้อย นั่นกลับกระตุ้นให้หัวใจของเขาร้อนผ่าว เขาจึงดึงมือกลับ เอามือไพล่หลังแล้วเอ่ยสั้นๆ “อืม”
อาเหม่าเองก็รู้สึกตัวแล้วว่าการกระทำเมื่อครู่ของตนผิดมารยาท นางเบี่ยงร่างพิงราวแล้วชมจันทร์ต่อ พวงแก้มขึ้นสีแดงระเรื่อ
ยิ่งใกล้ชิดกับเซี่ยฟั่งมากขึ้น อาเหม่าก็ยิ่งไม่อยากเป็นของเล่นของเจ้าบ้านสกุลหาน แต่นางจะทำอะไรได้ ต่อให้หนีออกไปได้นางก็ไม่มีทะเบียนเรือนอยู่ดี หนทางอันตราย ไม่รู้ว่าท้ายที่สุดจะตกไปอยู่ในมือโจรป่าหรือไม่ ต่อให้เคราะห์ดีรอดมาได้ก็มีแต่จะต้องเข้าไปใช้ชีวิตในป่าลึกอย่างยากลำบากแล้ว
เช่นนั้นคุ้มค่าหรือ
…ไม่คุ้มค่า
อาเหม่าไม่คิดเลือกทำเช่นนั้นเด็ดขาด
นางหลุบตาลงมองมือทั้งสองข้างของตนเอง แม้จะขาวแต่กลับเต็มไปด้วยริ้วรอยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานสิบกว่าปี นางกลุ้มใจปนหงุดหงิดเล็กๆ ว่าเหตุใดจึงต้องให้เซี่ยฟั่งเห็นด้วย บุรุษไม่มีทางชอบมือเช่นนี้ ไม่ว่าเขาจะเข้ามาที่สกุลหานด้วยจุดประสงค์ใด ในอดีตอย่างไรก็เคยเป็นคุณชาย ส่วนในอดีตของนางนั้นเดิมเป็นเพียงสาวใช้ บัดนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่
…ไยจึงไม่สร้างความทรงจำดีๆ ทิ้งไว้
อาเหม่าหน้าม่อยคอตกทันที ครั้งแรกในชีวิตที่นางทั้งสมเพชและสงสารตนเอง ขณะบอกลาเขาเพื่อกลับห้องนั้น สภาพจิตใจของนางก็ยิ่งดิ่งลงถึงขีดสุด
สัมผัสที่หญิงสาวแตะลูบเมื่อครู่นี้ยังคงหลงเหลืออยู่บนฝ่ามือของเซี่ยฟั่ง เพียงนางครูดมืออย่างแผ่วเบา ก็รู้ว่านางผ่านความลำบากมาแค่ไหน ทำงานหนักมามากเพียงใด
เซี่ยฟั่งยืนนิ่งอยู่กับที่นานเท่าไหร่ เขาก็มองประตูห้องของอาเหม่านานเท่านั้น
ลมเย็นโชยเอื่อยคลอเคลีย ร่มไม้เริงร่ายยั่วเย้า ใต้พระจันทร์สีเงินยวงราวกับมีใบไม้กำลังปรบมือหัวเราะ
เจ้าบ้านสกุลหานกลับมาอีกครั้งในเวลาเที่ยงตรงของวันที่สอง กลับมาแล้วก็ไม่กินอาหารกลางวัน บอกว่ากินมาแล้ว เมื่อเซี่ยฟั่งถามถึงเวลาออกเดินทาง เจ้าบ้านสกุลหานครุ่นคิดพลางตอบ “สหายชักชวนเหนี่ยวรั้ง พรุ่งนี้ก็ค่อยเดินทางเถอะ”
เซี่ยฟั่งเข้าใจแล้วจึงไม่ถามว่าจะให้พาบ่าวรับใช้ไปด้วยหรือไม่ ทั้งยังให้พวกเขาไปกินข้าว เจ้าบ้านสกุลหานเห็นเขาทำเช่นนั้นจึงหยั่งเชิงถาม “ข้าไปพบสหายติดต่อกันสองวันเช่นนี้ เจ้าคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเราเป็นเช่นไร”
“ผู้ที่ร่ำสุราสนทนากับนายท่านได้ความสัมพันธ์ย่อมไม่ตื้นเขิน” เซี่ยฟั่งกล่าวตอบ “เรียกได้ว่าเป็นสหายรู้ใจ หรือเรียกว่าโฉมงามคู่ใจก็ย่อมได้”
เจ้าบ้านสกุลหานชะงักงัน ก่อนสำรวจคนพูดอย่างจริงจังแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนหลักแหลม เพราะฉะนั้นจึงอยากหาหนทางร่วมกับเจ้า”
เซี่ยฟั่งเหลียวมองโดยรอบ เมื่อเห็นไม่มีใครอื่นแล้วจึงกล่าวว่า “นายท่านอยากรับแม่นางคนนั้นเข้าตระกูล?”
ต่อให้เป็นเจ้าบ้านสกุลหานก็ต้องตะลึงกับไหวพริบอันเฉียบแหลมของอีกฝ่าย หากไม่ใช่เพราะรู้ว่าเขาเป็นบ่าวรับใช้ที่ภักดี เขาคงได้สงสัยว่าเซี่ยฟั่งแอบสะกดรอยตามเขาเป็นแน่ อย่างไรเขาก็กำลังต้องการพ่อบ้านที่มีสมองอย่างเซี่ยฟั่งอยู่แล้ว จะได้ทำการให้เขาได้มากยิ่งขึ้น
“เจ้าตามข้ามา”
เจ้าบ้านสกุลหานพาเซี่ยฟั่งไปด้วย ลัดเลาะผ่านสี่ตรอก ในที่สุดก็หยุดที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่แห่งหนึ่ง เขาเคาะประตูแล้วบานประตูก็เปิดออก คนที่อยู่ด้านในโค้งร่างคำนับ “นายท่าน”
เซี่ยฟั่งรู้ว่าตนคาดเดาได้ถูกต้อง เจ้าบ้านสกุลหานซ่อนอนุภรรยาไว้ในรังรักตามคาด ไม่นานก็มีเสียงร้องดีใจของเด็กน้อยลอยมาจากด้านในจนถึงเรือนส่วนหน้า เด็กชายวัยเจ็ดแปดขวบหน้าตางดงามคนหนึ่งวิ่งออกมาพร้อมว่าว วิ่งไปพลางร้องไปพลาง
เจ้าบ้านสกุลหานเห็นแล้วก็รีบละล่ำละลัก “เฉิงเอ๋อร์ระวัง ระวังหกล้ม”
เขามีสีหน้าตระหนกลนลาน แววตาท่วมท้นด้วยความเป็นห่วง ทันใดนั้นเซี่ยฟั่งก็รู้ว่าตนลืมคาดเดาไปอีกเรื่องหนึ่ง…เฉิงเอ๋อร์คนนี้น่าจะเป็นบุตรนอกตระกูลของเจ้าบ้านสกุลหาน ทั้งยังถือกำเนิดจากสตรีคนนั้น
ครู่หนึ่งก็มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาตามมา หญิงสาววัยยี่สิบสามในชุดผ้าแพรคนหนึ่งเดินนวยนาดออกมา หน้าตาเย้ายวนงดงาม แต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉม เปลือกตาและพวงแก้มล้วนถูกทาด้วยแป้งชาด ริมฝีปากก็ถูกเติมเป็นสีแดงสด ทั้งที่เป็นการแต่งแต้มซึ่งทั้งฉูดฉาดและไม่เหมาะสม แต่ราวกับเครื่องหน้าของนางนั้นถูกกำหนดมาให้เหมาะกับการแต่งโฉมด้วยสีสันจัดจ้านเช่นนี้ ดังนั้นนี่ไม่เพียงมิได้ดาษดื่น กลับยังขับดุลความเย้ายวนแพรวพราวของนางออกมาทั้งหมด
สวย…เพริศพริ้งจับใจ
เซี่ยฟั่งเห็นสตรีผู้นี้ก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดนายท่านที่กระดูกขัดมันมาตลอดจึงยอมซื้อคฤหาสน์หลังใหญ่ให้นางพำนักอยู่ที่นี่โดยเฉพาะ
เด็กชายเห็นเจ้าบ้านสกุลหานแล้วก็ชูว่าววิ่งเข้าไปหาเขา “ท่านพ่อ”
เจ้าบ้านสกุลหานโน้มร่างลงอุ้มเด็กชายขึ้นพลางกล่าวกลั้วหัวเราะ “ไยเฉิงเอ๋อร์จึงออกมาปล่อยว่าวเวลานี้เล่า อากาศร้อนอบอ้าว เกิดเป็นลมแดดขึ้นมาจะทำอย่างไร”
หญิงสาวเยื้องย่างไปถึงข้างตัวเจ้าบ้านสกุลหานแล้ว นางกล่าวด้วยรอยยิ้มละมุน “เมื่อครู่เฉิงเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาไม่พบท่าน เพียงข้าบอกว่าท่านไปแล้ว เขาก็โวยวายว่าจะขี่ว่าวไปตามท่านให้ได้ ปรากฏว่าท่านกลับมาจริงๆ ข้ากำลังคิดอยู่ว่าอีกหน่อยถ้าเขาอยากพบท่าน แล้วหยิบว่าวออกไปทุกครั้ง ข้าคงกลุ้มใจตาย นายท่านว่ามาซิว่าท่านจะชดใช้แก่ข้าเช่นไร”
เจ้าบ้านสกุลหานแย้มยิ้ม “อีกเดี๋ยวข้าก็จะพาเจ้าไปร้านไป่อวี้ไจ เจ้าอยากได้อะไรก็ซื้อได้เลย”
หญิงสาวหัวเราะเสียงเบา “ข้าไม่เห็นอยากได้ แค่ท่านยอมอยู่กับลูกอยู่กับข้าหลายๆ วันเช่นนี้ ข้าก็ดีใจแล้ว”
เซี่ยฟั่งฟังบทสนทนาระหว่างพวกเขา แม้หญิงสาวจะมิได้พูดจาระมัดระวังอย่างหานฮูหยินและฉินอี๋เหนียง ซ้ำยังถึงขั้นใจกล้า ทว่าเจ้าบ้านสกุลหานกลับไร้วี่แววโกรธเกรี้ยว เหมือนจะชอบอกชอบใจเสียด้วยซ้ำ
หญิงสาวเหลือบเห็นเซี่ยฟั่งจึงเอ่ยถาม “นี่คือผู้ใดหรือ”
เซี่ยฟั่งตอบ “พ่อบ้านสกุลหาน เซี่ยฟั่งขอรับ”
หญิงสาวระบายยิ้มบนใบหน้า “แปลกจริง นายท่านพาคนในเรือนของตนเองมาด้วย หรือข้ากับเฉิงเอ๋อร์จะได้ออกไปเห็นเดือนเห็นตะวัน มิต้องหลบไม่ให้ใครเห็นอยู่ที่นี่ทั้งชีวิตแล้ว”
ต่อให้ได้รับความโปรดปรานเพียงใด แต่กลับไม่ได้แต่งเข้าสกุลหาน อย่างไรก็ย่อมปราศจากซึ่งความสบายใจ วาจาของนางในยามนี้จึงยิ่งประชดประชัน ทว่าเจ้าบ้านสกุลหานหลังจากฟังแล้วก็ยังไม่โกรธ น้ำเสียงกลับยิ่งอ่อนโยนมากขึ้น “เจ้าอย่าเพิ่งโกรธ ข้าพาเขามาก็เพื่อหาทางมาพาเจ้ากลับตระกูล เฉิงเอ๋อร์เองก็โตแล้ว ควรอยู่ที่สกุลหาน เข้าสำนักศึกษาที่ดีที่สุด จ้างอาจารย์ที่ดีที่สุดของเหิงโจว เป็นคุณชายสกุลหาน”
หญิงสาวพลันหัวเราะเสียงเย็น “ใจท่านมีแต่เฉิงเอ๋อร์เช่นนี้ อิงอิงขอบคุณท่านแล้ว”
เจ้าบ้านสกุลหานเสียงอ่อน “ข้านึกถึงพวกเจ้าสองคนแม่ลูกเสมอ”
หลิ่วอิงไม่ยอมฟัง นางยื่นมือรับหานเฉิงที่เป็นบุตรชายมาแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นนายท่านคิดใคร่ครวญแล้วค่อยบอกเถิด อย่าให้พวกเราดีใจเก้อ”
กล่าวจบนางก็อุ้มบุตรชายจากไป ไม่ไว้หน้าเจ้าบ้านสกุลหานแม้แต่นิดเดียว
เจ้าบ้านสกุลหานยืนอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะเล่าว่า “เมื่อก่อนนางไม่ได้มีนิสัยเช่นนี้ ทว่าหลายปีนี้ยิ่งนานวันนางก็ยิ่งร้ายกาจ ไร้เหตุผล ซ้ำยังบอกว่าขืนข้ายังไม่พานางกับเฉิงเอ๋อร์กลับไปอีก ก็จะพาเฉิงเอ๋อร์หนีไปไกลแสนไกล ไม่ให้ข้าเจอพวกนางอีก”
เซี่ยฟั่งมิได้กล่าวแทรก เพียงยืนฟังเจ้าบ้านสกุลหาน ‘ระบาย’ อยู่เงียบๆ
“ข้าอยากให้นางเป็นอนุคนที่สี่ แต่มีเรื่องหนึ่ง…ช่างเถอะ อย่างไรเจ้าก็ต้องรู้ บอกเจ้าก่อนก็ไม่เป็นไร อิงอิงถือกำเนิดในตระกูลยากจน ถูกขายไปยังหอนางโลมตั้งแต่เด็ก ภายหลังข้าไถ่ตัวนางออกมา จัดแจงให้อยู่ที่นี่ แล้วนางก็ให้กำเนิดเฉิงเอ๋อร์ แต่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีทางยอมรับหญิงนางโลมได้หรอก ต่อให้นางกลับตัวแล้วก็ตาม”
เซี่ยฟั่งครุ่นคิดแล้วเสนอ “ฮูหยินผู้เฒ่านิสัยดื้อรั้น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครเกลี้ยกล่อมได้เลย ฮูหยินผู้เฒ่าเชื่อฟังคำพูดของคุณชายรองที่สุด หากให้คุณชายรองไปเกลี้ยกล่อมสักหน่อย เช่นนั้นก็มั่นใจได้แปดส่วนว่าจะสำเร็จ”
“เดิมกวงเอ๋อร์ก็เกิดจากอี๋เหนียง ยามนี้กลับต้องมีอี๋เหนียงอีกคนเพิ่มขึ้นมา ทั้งยังต้องมีน้องชายคนหนึ่งเพิ่มมาอีก เขาจะยอมได้อย่างไร”
เซี่ยฟั่งกล่าวพลางมองเจ้าบ้านสกุลหาน “นายท่านเคยคิดหรือไม่ว่าจะแบ่งสมบัติให้คุณชายเฉิงเอ๋อร์ในวันข้างหน้า”
เจ้าบ้านสกุลหานขมวดคิ้วมุ่นทันที ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเซี่ยฟั่งจึงถามเช่นนี้
เซี่ยฟั่งพลันกดเสียงลงต่ำ “คุณชายใหญ่สติปัญญาบกพร่อง ตามหลักแล้วต้องตกอยู่ในอันดับรอง ท้ายที่สุดภาระของสกุลหานจะตกลงบนบ่าของคุณชายรอง หากนายท่านเองก็มีความคิดเช่นเดียวกันนี้ เช่นนั้นก็สัญญากับคุณชายรองเรื่องหนึ่ง ขอเพียงรับคุณชายเฉิงเอ๋อร์เข้าตระกูลได้ นายท่านก็จะยกกิจการให้เขาสืบทอด ขณะเดียวกันเพื่อให้คุณชายรองวางใจ ทางที่ดีก็มอบเงินก้อนหนึ่งให้เขาด้วย”
เจ้าบ้านสกุลหานจ้องด้วยสายตาเย็นเยียบ “นี่ก็คือความคิดของเจ้า? ให้ข้าทำพินัยกรรมหรือ”
เซี่ยฟั่งเบาเสียงยิ่งกว่าเดิม “ให้คำสัญญาแล้ว หนังสือรับรองก็ให้แล้ว ทว่า…รอแค่แม่นางอิงเข้าตระกูลเป็นอี๋เหนียงแล้ว นายท่านที่ยังร่างกายแข็งแรงอยู่จะทำลายสัญญานั้นเสียก็ไม่มีใครกล้าว่าอะไร”
เจ้าบ้านสกุลหานเข้าใจทันที ในที่สุดก็รู้ว่าเพราะอะไรเซี่ยฟั่งถึงคิดเรื่องที่ตนคิดไม่ได้ภายในเวลาชั่วครู่นี้ได้ เพราะเซี่ยฟั่งเป็นคนนอก เขาสามารถทำเรื่องเช่นนี้กับหานกวงได้อย่างไม่ปรานี ส่วนตนต่อให้ฉลาดเพียงใดก็ยากจะตัดสัมพันธ์สายเลือดจนนึกถึงวิธีเช่นนี้ออกมา
แม้จะดูใจจืดใจดำไปบ้าง แต่กลับเป็นวิธีที่ดี
เซี่ยฟั่งเอ่ยสำทับ “วิธีนี้โหดเหี้ยม แต่ข้าเซี่ยฟั่งไม่กลัวอายุสั้น ข้าซื่อสัตย์กับนายท่าน หวังเพียงว่านายท่านจะไม่เห็นว่าข้าเป็นคนต่ำช้า ขอแค่เป็นเรื่องที่นายท่านต้องการให้ข้าทำ ต่อให้ฆ่าคนข้าก็จะทำ”
เจ้าบ้านสกุลหานนึกถึงเรื่องที่คนบังคับรถม้าลอบสังหาร แล้วเซี่ยฟั่งสกัดมีดไว้โดยไม่คำนึงอะไรทั้งสิ้น รวมเข้ากับวันนี้แล้ว เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายมิได้โกหก
มีบ่าวรับใช้ที่จงรักภักดีจนน่ากลัวเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่
อย่างน้อยดูจากเวลานี้แล้วล้วนเป็นเรื่องดี
Comments
comments