รอยจำในเรือนใจ
ทดลองอ่านนิยาย รอยจำในเรือนใจ บทที่ 4 – บทที่ 5
บทที่ 4 Put me in the picture เสี้ยวความจริงที่ตกหล่น
“แล้วตกลงแพมได้ติดต่อหานายบ้างไหม”
เชน คอดเวลล์นั่งอยู่ในห้องทำงานและเขาก็กำลังถือโทรศัพท์คุยกับพี่ชาย ธามอยู่เมืองไทยก็จริง หากก็รู้เรื่องราวระหว่างเขากับเพราตาไม่น้อยเลย แน่นอนว่าเขาไม่ได้เล่าให้พี่ชายฟัง แต่เป็นเพราะเพราตาเป็นเพื่อนสนิทกับจินตาภาผู้เป็นคนรักของธาม ดูเหมือนเพื่อนรักคู่นี้จะเล่าอะไรต่อมิอะไรให้กันฟังตามประสาสาวๆ สุดท้ายเรื่องของเขาจึงวนไปเข้าหูธามอยู่ดี
“ไม่ค่อย”
“ไม่ค่อย? ก็แสดงว่าติดต่อ”
“ติดต่อแต่ไม่ใช่อย่างที่พี่คิด” คนเป็นน้องชายรู้สึกเหนื่อยหน่ายหน่อยๆ “เขากลับไปอยู่เพนตันฮอลล์แล้วพักๆ ก็ส่งข้อความมาบ้าง ไม่ได้เจ๊าะแจ๊ะตีสนิท แค่คุยเรื่องทั่วไปเฉยๆ พวกสภาพอากาศ ข่าว อะไรทำนองนั้น”
“แต่ท่าทางเขาน่าจะยังฝังใจว่านายเป็นแฟนอยู่นี่ เขาคงอยากคุยกับนายมากกว่านั้นแต่ไม่กล้าล่ะมั้ง”
“ไม่รู้ แต่แบบนี้ก็ดีแล้ว”
เชนไม่นำพา เพราะถ้าเพราตาทำตัวไร้สติกว่านี้สักนิดเขาก็คงไม่เอาด้วยเหมือนกัน ถึงจะรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบหากก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องยอมให้เธอเข้ามาวุ่นวายในชีวิต ซึ่งที่ผ่านมาก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เขารับได้ เนื่องจากสองสามวันเธอจึงจะส่งข้อความมาคุยที และเป็นแค่การไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ หรือถ้าคุยต่อก็จะเป็นเรื่องกลางๆ เหมือนเพื่อนทั่วไปคุยกันมากกว่า ถึงแม้ปกติเขาจะไม่ค่อยแชตคุยกับเพื่อนแต่ถ้าเป็นแบบนี้ก็ถือว่าพอไหว
“นายไม่สนใจดองกับพวกฟิตซ์สตันบ้างหรือไง ทางสะดวกขนาดนี้”
“มีคุณจินต์อยู่ก็เหมือนดองกับฟิตซ์สตันแล้วล่ะ” น้องชายสวนกลับแบบไม่ต้องคิด นอกจากเป็นเพื่อนรักของเพราตาแล้วเท่าที่ทราบพริ้มเพราก็เอ็นดูจินตาภามากเช่นกัน “แล้วคราวนี้คุณแพมไม่ได้เล่าให้คุณจินต์ฟังหรือไงพี่ถึงต้องมาหาข่าวจากผม”
“เล่า แต่อยากฟังจากนายอีกทีว่าตรงกันหรือเปล่า” ธามตอบหน้าตาเฉย ทำเอาคนฟังถึงกับกลอกตาแม้อีกฝ่ายจะมองไม่เห็น หากไม่ทันไรพี่ชายก็เปลี่ยนเรื่อง “แล้วนี่ไอ้ลีออนมันกลับมาอังกฤษหรือยัง”
“น่าจะยัง และคงไม่กลับมาเร็วๆ นี้ด้วย” ลีออนที่พวกเขาพูดถึงคือญาติผู้น้องที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กเพราะพ่อแม่ของหมอนั่นมักจะเอาลูกชายมาฝากไว้กับครอบครัวของเขา ปัจจุบันลีออนเป็นช่างภาพชื่อดังและเขาก็ยังทำงานศิลปะอื่นๆ ด้วย
“ว่าจะใช้หมอนั่นมาถ่ายงานที่เกาหลีใต้ให้หน่อย สงสัยต้องหาคนอื่น”
“หาคนอื่นเลย” เชนพูดทันที ข้อเสียของลีออนคือค่อนข้างติสต์ เมื่อเดือนก่อนอีกฝ่ายบอกว่าจะออกไปหาแรงบันดาลใจที่ฝรั่งเศส แต่ไปๆ มาๆ หมอนั่นดันไปเช็กอินที่ออสเตรียแทน คนละทิศกันโดยสิ้นเชิง
สองพี่น้องคอดเวลล์คุยกันต่ออีกสองสามประโยคก็วางสาย เชนกำลังจะหมุนเก้าอี้หันไปหาหน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่ไม่ทันไรโจก็อินเตอร์คอมเข้ามาหา
“บอสครับ มีสายมาจากอิตาลี เรื่องผู้ชายชื่อเปาโลที่บอสให้หาข่าว”
“ต่อเข้ามาเลย” เชนพูดทันที ข่าวนี้มาช้ากว่าที่เขาคิดมาก และมันก็ทำให้เขาหงุดหงิด...แต่ในเมื่อข่าวมาแล้วก็จะได้จบเรื่องกันเสียที
“อะไรนะ ลูกชายของนักธุรกิจเครือข่ายมาเฟีย?”
หลังจากฟังรายงานของพนักงานคอดเวลล์สาขาอิตาลีจบ เชนก็ติดต่อหาแพทริก ฟิตซ์สตันทันที ปรากฏว่าอีกฝ่ายติดประชุมยาวแทบตลอดบ่าย ขณะที่เขาว่างกว่า เขาเลยตัดสินใจมาที่ออฟฟิศของฟิตซ์สตันเสียเลย เพราะเห็นว่าเรื่องนี้ควรคุยแบบเจอตัวมากกว่าคุยทางโทรศัพท์
“ใช่ โรเบอร์โต้ ซัลโล่...ผมไม่รู้คุณเคยได้ยินชื่อไหม แต่หมอนี่เป็นตัวเอ้คนหนึ่งเลย ตำรวจจะจับมาหลายรอบแล้วแต่ก็รอดมาได้ตลอด ได้ยินว่าตอนนี้กำลังป่วยหนัก ส่วนเปาโลเป็นลูกชายลับๆ เพิ่งพอจะเป็นที่รู้จักช่วงปีสองปีหลังมานี้เอง แล้วเมื่อปีก่อนหมอนี่ประสบอุบัติเหตุหนัก หน้าเสียโฉมเลยต้องศัลยกรรม ตอนนี้เลยมีหน้าใหม่ คนของผมถึงใช้เวลานานมากในการแกะรอยหาข่าว”
“ให้ตายเถอะ แพมมี่ไปยุ่งกับหมอนี่ได้ไงเนี่ย” แพทริกเสยเรือนผมสีทองของตัวเองแรงๆ
“เธอไม่มีทางรู้หรอก” เชนออกความเห็นแล้วให้ข้อมูลต่อ “ก่อนหน้านี้ที่คนทั่วไปรับรู้คือโรเบอร์โต้มีลูกชายสองคน ตอนหลังคนนึงตาย อีกคนติดคุก เลยเดาว่าโรเบอร์โต้น่าจะพยายามดันเปาโลขึ้นมาแทน แต่ก็ไม่รู้ยังไงแน่เพราะเท่าที่รู้ตอนนี้เปาโลใช้ชีวิตเป็นหนุ่มเพลย์บอยตามประสาลูกคนรวยธรรมดาเท่านั้นเอง”
“งั้นที่แพมโดนทำร้ายก็น่าจะเกี่ยวกับหมอนี่ใช่ไหม”
“ก็มีแนวโน้ม” ทายาทคอดเวลล์พยักหน้ารับ “แต่ที่ค่อนข้างชัดเจนคือเปาโลน่าจะเป็นคนพาคุณแพมเข้าไปในงานกาล่ากุหลาบ ตอนนี้ผมลองให้คนตามต่อแล้วว่าเดิมหมอนั่นต้องไปงานอยู่แล้วหรือยังไงกันแน่ เพราะเท่าที่ผมฟังมาถึงเปาโลจะเป็นหนุ่มสังคม แต่ก็ไม่ใช่พวกที่จะไปงานแบบนี้”
“กลายเป็นว่ายิ่งรู้ความจริงก็ยิ่งชวนกังวลนะ” แพทริกพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ “ยังไงก็ขอบคุณคุณมากที่เป็นธุระให้ รู้ชื่อขนาดนี้เดี๋ยวผมจะลองสืบดูด้วยอีกทาง ถึงตอนนี้แพมจะอยู่อังกฤษแล้วแต่ผมก็อยากแน่ใจว่าไอ้เปาโลอะไรนั่นจะไม่ตามมาอีก”
“แล้วนี่คุณจะเอาไงต่อ” เชนอดถามไม่ได้
“ผมคงต้องปรึกษาครอบครัวก่อน แต่ที่แน่ๆ ก็ต้องบอกให้แพมรับรู้ เพราะถ้าเรื่องออกมารูปนี้เธอคงต้องเป็นไกด์ที่เพนตันฮอลล์ต่ออีกพักใหญ่เลยล่ะ”
เราไปยุ่งกับลูกชายผู้มีอิทธิพลในอิตาลีได้ไงเนี่ย แล้วหมอนั่นมาจีบเราหรืออะไรยังไง...
เพราตานอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาตัวยาวในห้องนั่งเล่นของเพนตันฮอลล์ วันนี้เธอไม่มีตารางงานต้องทำงานเป็นไกด์เลยว่าง ซึ่งจะว่าไปก็ดีเพราะเธอปวดศีรษะตุบๆ ตั้งแต่ตื่น พอกินข้าวเช้าเสร็จเธอเลยนั่งๆ นอนๆ อยู่ตามห้องนู้นห้องนี้ในคฤหาสน์ ก่อนหน้านี้เธออยู่ในห้องสมุด พอแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดเธอเลยอพยพมาปักหลักที่ห้องนั่งเล่นแทน
เมื่อคืนแพทริกเดินทางมาจากลอนดอนกะทันหันทั้งที่เดิมไม่มีแผนจะกลับมา เหตุเพราะข่าวที่เขาได้มาจากเชน เขาหอบภาพถ่ายและเอกสารมาด้วยปึกหนึ่งเพื่อให้พ่อและพวกเธอสองแม่ลูกดูประกอบ เธอนั่งจ้องรูปเปาโลเป็นชั่วโมงจนติดตา...หากเธอก็ยังจำอีกฝ่ายไม่ได้สักนิด พริ้มเพราเคยเอาข้อความแชตในมือถือที่เธอส่งมาคุยจากอิตาลีให้ดูแล้วรอบหนึ่งตอนอยู่โรงพยาบาล เมื่อคืนเธอถึงกับต้องขอแม่ดูแชตเหล่านั้นอีกรอบ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้ช่วยกระตุ้นความจำของเธอเลย หากเธอก็พยายามเอาข้อมูลเหล่านั้นมาช่วยในการปะติดปะต่อสันนิษฐานว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เสียดายช่วงนั้นจินตาภาป่วยพอดี เธอเลยไม่ได้คุยกับเพื่อน ไม่งั้นคงมีข้อมูลมากกว่านี้...
หรือจะหาทางติดต่อนายเปาโลอะไรนี่แล้วโทรไปถามเขาโต้งๆ เลยดี ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวของเธอหลายครั้ง จากนั้นเธอก็หัวเราะกับตัวเองทุกครั้งไป เพราะถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าใครทำร้ายเธอบาดเจ็บกันแน่ ถ้าเป็นเปาโลเขาอาจคิดว่าเธอตายแล้ว การติดต่อไปอาจเป็นการหาเรื่องใส่ตัว
ทำไมมันยากแบบนี้นะ...คิดถึงเชนจัง
ถึงตอนนี้เพราตาคิดว่าตนเริ่มสะกดตัวเองให้ยอมรับได้แล้วว่าเชนไม่ใช่แฟนเธอจริงๆ กระนั้นเธอก็ยังอยากเจอเขาอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะเวลาที่มีเรื่องเครียด ดูเหมือนหัวใจของเธอจะเชื่ออย่างจริงจังมากว่าชายหนุ่มจะช่วยแก้ไขเรื่องราวยุ่งยากและพาเธอผ่านพ้นจากช่วงเวลาที่ยากลำบากได้
เธอยังสงสัยว่าทำไมตนเองฝังใจขนาดนั้น แต่ตอนนี้ก็มีประเด็นใหม่เข้ามาอีก...ถ้าเปาโลจีบเธอและเธอเที่ยวอิตาลีกับเขาตลอดสัปดาห์จริง เป็นไปได้ไหมว่าเธออาจจะรู้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับเขาแล้วพยายามหาทางหนี แล้วเธอก็บังเอิญพบกับเชนที่งานในอิตาลีพอดีเลยขอความช่วยเหลือ...
แต่...เชนเล่าให้ฟังว่าประโยคแรกที่เธอพูดกับเขาเป็นประโยคทำนองว่าเธอตามหาเขาอยู่ มันฟังไม่เหมือนบังเอิญเท่าไหร่เลย แถมยังมีเรื่องจูบ เธอยังไม่เข้าใจเลยว่าตัวเองจูบเขาทำไม มันดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ความจริงแค่ขอความช่วยเหลือก็น่าจะพอแล้ว โอ๊ย ปวดหัว...หญิงสาวยกสองมือกุมศีรษะของตัวเอง จนผ่านไปครู่ใหญ่เธอจึงลดมือลงแล้วเบนสายตาไปมองโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะกาแฟแทน
อยากคุยกับเชนจัง
ที่ผ่านมาเพราตาเกรงใจที่จะติดต่อไปหาชายหนุ่ม ถึงเขาจะอนุญาตแต่ก็พูดไว้ด้วยว่าถ้ามากไปก็จะอึดอัด เท่าที่จับต้นชนปลายได้คือก่อนหน้านี้เธอไม่สนิทกับเขาเลย ตอนนี้เธอก็ยังรู้สึกว่าไม่สนิทกับเขา ดังนั้นเธอเลยไม่รู้จะคุยอะไรกับเขา ปกติเธอเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับคนง่าย แต่กับเชนเป็นอีกเรื่อง เธอไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรและไม่กล้าจะทดลองอะไรด้วย เพราะเธอกลัวว่าเขาจะรำคาญจนพาตัวเองห่างไป
ความจริงคุยสัพเพเหระกับเขาตามประสาเพื่อนก็ไม่ได้แย่ เพราะเวลาเขาตอบกลับมาเธอก็จะรู้สึกอุ่นใจแปลกๆ ว่ายังมีเขาอยู่ ยกเว้นเวลาแบบนี้...เวลาที่เธออยากคุยกับเขามากกว่านั้น
ลองดูแล้วกัน! ในที่สุดหญิงสาวก็ต้านทานความรู้สึกรุนแรงในใจไม่ไหว เธอเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาปลดล็อกหน้าจอและกดเข้าแอพพลิเคชั่นแชตอย่างรวดเร็ว
‘คุณเชนคะ ฉันอยากคุยกับคุณ ขอโทรหาได้ไหม’
เพราตาจ้องจออยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เธอจะตระหนักว่านอกจากวันนี้จะเป็นวันทำงาน เวลานี้ก็เป็นเวลางานด้วย ดังนั้นแน่นอนว่าเขาต้องทำงานอยู่ กว่าเขาจะอ่านข้อความของเธอก็คงอีกหลายชั่วโมง...คิดแล้วเธอก็ระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ ได้แต่ปล่อยโทรศัพท์นอนคว่ำตรงกลางอกแบบปลงๆ
ดวงตาสีนิลเหม่อมองลวดลายและไฟบนเพดานของห้องนั่งเล่นอย่างเหม่อลอย จนกระทั่งจู่ๆ เครื่องมือสื่อสารที่วางอยู่ตรงกลางอกก็ส่งเสียงร้องบอกว่ามีสายเรียกเข้า เธอตั้งมือถือขึ้นมาดูแล้วก็ตาโตเมื่อเห็นชื่อของเชนหราอยู่กลางจอ
“คุณว่างเหรอคะ” เพราตารับสายแล้วถามโพล่งไป หากวินาทีถัดมาเธอก็รู้สึกว่าตัวเองเสียมารยาทไปหน่อย กระนั้นดูเหมือนเขาจะไม่ถือสา
“ผมอยู่บนรถ กำลังกลับออฟฟิศ มีเวลาคุยได้สักพัก...คุณอยากคุยกับผมเรื่องนายเปาโลนั่นหรือเปล่า”
“ค่ะ” หญิงสาวรับ เธอจะไม่มีวันบอกเขาว่านั่นเป็นแค่เหตุผลรอง ส่วนเหตุผลหลักคือเธออยากได้ยินเสียงเขาและการได้คุยกับเขา “ฉันมานึกดู นอกจากขอความช่วยเหลือและ...จูบนั้น ฉันพูดหรือทำอะไรแปลกๆ อีกบ้างหรือเปล่าคะ”
“วันนั้นคุณบอกว่าต้องการแฟนด่วนด้วย” ในเมื่อเพราตาเป็นคนถามเองเชนก็ตัดสินใจที่จะตอบตามตรง
“ต้องการแฟนด่วน” เธอทวนคำ ยิ่งอึ้งหนักกว่าเก่า
“ที่ผมไม่ได้เล่าแต่แรกเพราะตอนแรกคุณสับสนมาก คุณแม่คุณเลยขอไว้ให้พูดแค่เท่าที่คุณพอจำได้ แต่ตอนนี้คุณถามแสดงว่าสะกิดใจและน่าจะพร้อมที่จะรู้แล้ว”
“แล้ว...มีเรื่องอะไรอีกไหมคะที่คุณยังไม่ได้บอกฉัน” เพราตาถามต่อหลังจากอึ้งไปอึดใจ นึกไม่ถึงว่าแม่จะขอเชนแบบนั้น แต่ก็นั่นแหละ ก่อนหน้านี้เธออาการหนักจริงๆ
“หลักๆ ก็มีแค่นี้” เขาหยุดนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ตามรายงานเปาโลเป็นเพลย์บอย ผมว่ามีสิทธิ์สูงมากที่เขาจะจีบคุณ และไม่ว่าเพราะอะไรก็ตามคุณอยากหนีจากเปาโล แต่คงจะหนีไม่ได้ หมอนั่นอาจจะไม่ยอมปล่อยคุณหรืออะไรประมาณนั้น แล้วคุณก็น่าจะรู้ว่าผมไปร่วมงานที่โรมด้วย คุณเลยพยายามตามหาผมในงานเพื่อขอให้ผมแสดงเป็นแฟนคุณและพาคุณกลับอังกฤษ พอคุณโดนทำร้ายเลยสับสนคิดว่าผมเป็นแฟนคุณจริงๆ”
“มันก็...เป็นไปได้” เพราตายอมรับว่าข้อสันนิษฐานของเขาดูเป็นเหตุเป็นผลดี
“แล้วตอนนี้คุณจำอะไรเพิ่มได้บ้างหรือยัง” เชนถาม ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอถอนหายใจ
“ยังค่ะ”
“ตอนนี้ผมกำลังตามเรื่องที่เปาโลพาคุณไปงานที่โรม อาจจะมีรายละเอียดเรื่องการเข้าออกจากงานของเขาก็ได้ เผื่อจะมีประโยชน์”
“ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวพูดได้แค่นั้น ยังคงสับสนกับความจริงที่เพิ่งได้รับรู้อยู่มาก
อย่างไรก็ตามจู่ๆ ก็มีเสียงเอะอะลอยมาจากด้านนอกห้องนั่งเล่น เธอเลยต้องยกตัวขึ้นไปดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น แล้วเธอก็เห็นผู้ชายแปลกหน้าสองคนกำลังถูกไกด์คนหนึ่งไล่ต้อนให้เดินย้อนกลับไปทางศูนย์วิจัย
“คุณแพม?”
“ขอโทษทีค่ะ เมื่อกี้มีพวกนักท่องเที่ยวเดินมา...คือที่เพนตันฮอลล์จำกัดให้นักท่องเที่ยวอยู่แถวศูนย์วิจัยกับสวนน่ะค่ะ แต่บางทีก็มีพวกอยากรู้อยากเห็นเดินมาดูที่ตัวบ้าน”
“อ้อ” เชนทำเสียงเป็นเชิงรับรู้ หากเธอก็ทราบว่ามันไม่มีความหมายอะไร เขาน่าจะส่งเสียงมาตามมารยาทเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อมากกว่า
และตัวเธอเองก็ไม่รู้จะคุยอะไรต่อกับเขาเหมือนกัน...อันที่จริงเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลังจากนี้จะกล้าโทรหาเขาอีกไหม
“เมื่อกลางวันมีพวกอิตาเลียนท่าทางแปลกๆ เข้ามาในเพนตันฮอลล์ อาจจะมาดูหนูก็ได้”
หลังคุยกับเชนแล้วเพราตาก็อยู่ในสภาพมึนๆ ไม่อยากคิดอะไรต่อ เธอเลยไปค้นชุดสีน้ำแล้วขึ้นไปวาดภาพที่ระเบียงชั้นบน กว่าจะลงมาข้างล่างอีกทีก็ใกล้เวลาอาหารเย็น และเธอก็พบว่าลอร์ดฟิตซ์สตันกำลังคุยกับพริ้มเพราด้วยท่าทางเคร่งเครียด พอเธอออกปากถามก็ได้รับคำตอบที่น่าตกใจเมื่อครู่
“คะ? ตามดูแพม?”
“แมรี่...ที่เป็นไกด์น่ะ เพิ่งแวะมาคุยกับเราว่าเมื่อกลางวันมีผู้ชายอิตาเลียนสองคนเข้ามาทัวร์แล้วก็มีท่าทางแปลกๆ แถมเดินมาแถวบ้านเราด้วย”
“เมื่อกลางวัน?” หญิงสาวทวนคำก่อนจะทำตาโต “แพมว่าแพมเห็นสองคนนั้นด้วยค่ะ คือแพมกำลังนอนคุยโทรศัพท์อยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นแล้วได้ยินเสียงคนโวยวายอยู่ข้างนอกเลยลุกขึ้นมาดู เป็นแมรี่นั่นแหละค่ะที่มาพาสองคนนั้นกลับไป”
“แล้วพวกนั้นเห็นลูกหรือเปล่า” พริ้มเพรามีสีหน้าไม่สบายใจ
“ไม่ค่ะ แพมเห็นแต่ข้างหลังของสองคนนั้น เป็นผู้ชายตัวไม่สูงมาก แล้วก็เห็นแมรี่ แต่ตอนนั้นแพมคิดว่าเขาเป็นพวกนักท่องเที่ยวอยากรู้อยากเห็นธรรมดา เพราะก่อนหน้านี้ก็มีพวกนักท่องเที่ยวที่ทำแบบนี้”
“แมรี่เคยไปอยู่อิตาลีเป็นปีสมัยสาวๆ เลยพอฟังภาษาอิตาลีออก ตอนทัวร์เขาได้ยินสองคนนั้นคุยกันประมาณว่าผู้หญิงน่าจะอยู่ในบ้าน เขาก็สงสัยตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แถมแพมเพิ่งถูกทำร้ายมาจากอิตาลี เขาเลยยิ่งสงสัยและพยายามจับตาดูสองคนนี้เป็นพิเศษ แต่พวกนั้นก็แก้ตัวว่าเห็นบ้านสวยดีเลยอยากดูใกล้ๆ”
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ เพราตามองจอห์นทีหนึ่งและหันไปมองแม่อีกที รู้สึกมึนงงจนกระทั่งต้องใช้เวลาครู่ใหญ่ในการควานหาคำพูด แต่เธอก็พูดเป็นประโยคที่สมบูรณ์ไม่ได้ด้วยซ้ำ
“แล้วถ้าพวกนั้นมาดูแพมจริงๆ...”
“เพนตันฮอลล์มีนักท่องเที่ยวเข้ามาตลอด ถึงจะไม่ได้ให้เข้ามาที่บ้านแต่คนนอกก็เข้าถึงตัวบ้านได้ไม่ยาก ถ้าพวกนั้นมาดูหนูจริงๆ ที่นี่อาจไม่ปลอดภัยสำหรับหนู” ลอร์ดฟิตซ์สตันพูดอย่างหนักใจ
“แล้วจะให้แพมไปอยู่ที่ไหนล่ะคะ” พริ้มเพราโพล่งขึ้นมาทันที
“ถ้าสถานการณ์เป็นแบบนี้ลอนดอนอาจดีกว่า ถึงบ้านจะอยู่ติดถนนแต่ก็อยู่กลางเมือง ใครมาทำลับๆ ล่อๆ ก็มีสิทธิ์ถูกเจอสูง ที่นี่มันใหญ่เกินไป...หรือหนูว่ายังไงแพมมี่”
นอกจากเพนตันฮอลล์จะเปิดให้คนนอกเข้ามาเยี่ยมชมสวน ศูนย์วิจัยพันธุ์พืช และเรือนกระจกแล้ว พื้นที่ด้านหลังก็เป็นทุ่งโล่งกว้างซึ่งมีแต่ทะเลสาบกับต้นไม้ใบหญ้า สุดอาณาเขตของที่ดินที่ครอบครัวฟิตซ์สตันครอบครองมีถนนล้อมทุกด้าน บริเวณที่ติดถนนแต่ละเส้นจะมีฟาร์ม โรงงาน สำนักงาน ไปจนถึงร้านรวงแหล่งช็อปปิ้งต่างๆ ไปจนถึงบ้านโบราณอายุหลักสองสามร้อยปีรวมนับร้อยหลัง ซึ่งทั้งหมดนี้ฟิตซ์สตันปล่อยให้เช่าโดยมีกฎเกณฑ์ค่อนข้างเคร่งครัดเพื่ออนุรักษ์สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดเอาไว้ รวมถึงการทำเกษตรก็ต้องปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อรักษาคุณภาพดิน ผู้เช่าจะถูกคัดเลือกอย่างละเอียดทีเดียว
นอกจากทั้งหมดที่ว่ามาในอาณาจักรฟิตซ์สตันก็ยังมีสนามรักบี้และสนามคริกเก็ตด้วย ส่วนในทุ่งก็เลี้ยงแกะอยู่ราวสองพันตัว ที่ผ่านมาในเมืองนี้สงบสุขและไม่ค่อยมีอาชญากรรม ตัวคฤหาสน์มีระบบรักษาความปลอดภัยก็จริง แต่การจะเข้าถึงตัวคฤหาสน์โดยเฉพาะช่วงกลางวันก็ไม่ยากเลย
ถ้ามันยากผู้ชายอิตาเลียนสองคนนั่นก็คงเดินมาถึงแถวห้องนั่งเล่นไม่ได้...
“ลอนดอนน่าจะปลอดภัยกว่า ถ้าชาวอิตาเลียนสองคนนั้นมาหาแพมที่เพนตันฮอลล์จริงๆ” เพราตาพึมพำ
“เดี๋ยวลุงจะลองคุยกับแพทริกดู บางทีเราอาจจะหาคนไปคอยดูบ้านที่ลอนดอนได้”
หญิงสาวไม่ได้ออกความเห็นอะไรอีก เวลานี้เธอทั้งมึนงงและกังวลไปหมด...ถ้าผู้ชายสองคนนั้นมามองหาเธอจริง แล้วเปาโลเป็นคนส่งพวกเขามาหรือเปล่า ถ้าใช่แล้วเขาจะตามหาเธออีกทำไม หรือเพิ่งรู้ว่าเธอยังไม่ตายและอยากปิดบัญชี
ความคิดวุ่นวายสับสนอยู่ในหัวของเพราตา ส่วนใหญ่เป็นความคิดในทางร้ายทั้งสิ้น...และเธอก็อยากโทรหาเชน คอดเวลล์อีกแล้ว
บทที่ 5 Blacklist ขวาง
เพราตาหยุดตัวเองไม่ให้โทรหาเชนได้ การหักห้ามใจง่ายขึ้นเมื่อคิดถึงเรื่องที่เขาเล่าว่านอกจากเธอจะเป็นฝ่ายจูบเขาเองแล้วเธอยังขอให้เขาแสดงเป็นแฟนด้วย แต่ปรากฏว่าชายหนุ่มกลับเป็นฝ่ายโทรหาเธอในเช้าวันถัดมา เขาบอกว่าทราบข่าวจากแพทริกเมื่อคืน ฟังไปฟังมาดูเหมือนตอนนี้สองหนุ่มจะสนิทสนมกันแล้วทั้งที่เมื่อก่อนต่างฝ่ายต่างเดินผ่านหน้ากันไปโดยไม่พยายามข้องเกี่ยวกันสักนิด
‘ผมรู้เรื่องจากพี่ชายคุณแล้ว ตอนนี้ผมสั่งให้พวกที่อิตาลีลองติดตามความเคลื่อนไหวของนายเปาโลเพิ่ม อาจจะช่วยให้พอบอกได้ว่าหมอนั่นส่งคนมาตามหาคุณหรือเปล่า’ เชนบอก ‘ส่วนเรื่องที่คุณจะมาอยู่ลอนดอนก็ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวผมเป็นหูเป็นตาให้อีกแรง’
‘ขอบคุณนะคะ’ หญิงสาวพูดได้แค่นั้น การที่เขาโทรมาคุยเรื่องนี้แถมช่วยเหลือขนาดนี้ค่อนข้างเหนือความคาดหมายของเธอ...ความจริงแล้วเขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องนี้ขนาดนี้เลย
เพราตาได้คุยกับชายหนุ่มไม่กี่ประโยค และบทสนทนาก็เป็นการเป็นงานจริงจังล้วนๆ อย่างไรก็ตามตอนนี้เธอกำลังอยู่บนรถที่กำลังวิ่งตรงไปคอดเวลล์คอร์ต ข้างตัวมีกระเป๋าเก็บอุณหภูมิใบย่อม ด้านในมีอาหารไทยบรรจุอยู่
เรื่องมันเริ่มมาจากการที่เธอเล่าให้พริ้มเพราฟังว่าเชนโทรมาหา ท่านเองก็รู้สึกว่าเขาไม่จำเป็นต้องเอาตัวเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้ขนาดนี้ ดังนั้นท่านจึงรู้สึกขอบคุณเขา
‘เขาเป็นลูกครึ่งไทยนี่ แพมว่าเขาจะชอบกินอาหารไทยไหม แม่อยากทำอะไรเป็นการขอบคุณเขาสักหน่อย’
‘แพมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ลองถามเขาดูคงได้นะ’
หญิงสาวส่งข้อความไปบอกเชนตรงๆ ว่าแม่ของเธออยากทำอาหารให้เขาเป็นการตอบแทน หากเขาก็ไม่ได้อ่านข้อความเสียที จนเธอเกรงว่าจะไม่ทันเวลาเดินทาง เธอเลยโทรไปหาจินตาภาให้เพื่อนไปถามธามว่าน้องชายชอบกินอะไรบ้าง ซึ่งเธอก็ได้คำตอบกลับมาเร็วมากทีเดียว
‘ขอบคุณคุณแม่คุณมาก แต่ผมคิดว่ามันเป็นการรบกวนท่านมากไป’
เชนเพิ่งส่งข้อความกลับมาตอนเธอออกมาจากเพนตันฮอลล์แล้ว
‘ฉันกำลังไปลอนดอน และคุณแม่ฉันก็ทำอาหารเผื่อคุณแล้วค่ะ เดี๋ยวฉันเอาไปหย่อนไว้ที่รีเซฟชั่นบริษัทคุณแล้วกัน’
ความรู้สึกไม่ปลอดภัยผลักดันให้เพราตาอยากเจอหน้าเชนเหมือนเคย หากเธอก็ตระหนักว่าไม่ควรรบกวนเขา...เขาไม่ใช่แฟนเธอ เธอเองก็ไม่ได้ชอบเขา มันเป็นแค่เอฟเฟ็กต์จากความทรงจำที่สับสนและการโดนทำร้าย อีกทั้งเขาก็ช่วยเธอขนาดนี้ เธอไม่ควรสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้เขา
ฉะนั้นแค่ฝากกับข้าวไว้กับรีเซฟชั่นก็พอ...
“หมายความว่ายังไง ทำไมฉันถึงขึ้นไปรอเจอคุณเชนข้างบนไม่ได้”
เสียงแหวค่อนข้างดังของโอลิเวีย เคปปาทำให้แผ่นหลังของโจชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งที่อุณหภูมิในล็อบบี้ของคอดเวลล์คอร์ตอยู่ในระดับกำลังสบาย เวลานี้ผู้คนที่เดินไปเดินมาทั้งพนักงานของคอดเวลล์และคนนอกก็เริ่มหันมามองกันบ้างแล้ว
เมื่อห้านาทีก่อนรีเซฟชั่นโทรไปแจ้งเขาที่ชั้นบนว่าโอลิเวียมาแสดงความจำนงอยากเข้าพบเชน ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีการนัดล่วงหน้าก่อน เจ้านายของเขาอยู่ในห้องประชุม หากเขาก็รู้ดีพอว่าอีกฝ่ายไม่ประสงค์จะพบโอลิเวียแน่ๆ เพราะคราวก่อนที่เชนยอมให้หล่อนขึ้นไปเจอหล่อนก็ไม่ยอมกลับลงมาง่ายๆ ขนาดเชนบอกว่าจะไปประชุมหล่อนยังบอกว่าจะรอจนกว่าจะประชุมเสร็จ
โอลิเวียว่างงานเกินไป และเชนก็รำคาญมาก ถึงกับสั่งเลขาฯ อย่างเขาเอาไว้เลยว่าถ้ามีคราวหน้าอีกให้หาทางกำจัดหล่อนไปได้เลย ไม่ต้องรอถามความเห็นจากเชนซ้ำ
“คือ...ผมเกรงว่าจะไม่สะดวกนะครับ เพราะคุณเชนประชุมจนเวลาเลิกงานนู่นเลย”
“ฉันว่าง ฉันจะรอ!” หล่อนยืนกราน
“แต่มันหลายชั่วโมง...”
“ก็ฉันจะรอ!”
“ข้างบนไม่มีที่รอสะดวกๆ นะครับ คุณเคยขึ้นไปคงพอจำได้”
แม้จะเป็นเจ้าของเครือสื่อสิ่งพิมพ์ยักษ์ใหญ่ แต่เชนไม่ใช่ผู้บริหารที่ชอบรับแขก ถ้าไม่ใช่คนสำคัญหรือคนที่มีธุระสำคัญจริงๆ เขาก็จะให้คนอื่นรับหน้าแทน ส่วนใหญ่คนที่จะได้เข้าไปในห้องทำงานของเชนก็มีแค่พวกพนักงานของคอดเวลล์เองเท่านั้น หน้าห้องจึงไม่ได้มีพื้นที่รับรองแขกกว้างขวางสะดวกสบายนัก
“ฉันรอในห้องทำงานของคุณเชนก็ได้”
“ผมคงเปิดห้องทำงานของบอสให้คนนอกเข้าไปโดยพลการไม่ได้หรอกครับ” โจยังคงพยายามต่อไปแม้ดูไม่ค่อยมีหวังที่จะสำเร็จก็ตาม อย่างไรเขาก็ยอมให้โอลิเวียขึ้นไปข้างบนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะโดนเด้งไปขับรถส่งหนังสือพิมพ์เลยก็ได้
“ฉันเป็นเพื่อนของเชน ไม่ใช่คนนอก!”
ก็นั่นแหละคนนอก! ชายหนุ่มได้แต่โวยวายกลับในใจ แต่ขณะที่กำลังคิดว่าควรจะเจรจากับหญิงสาวตรงหน้าอย่างไรต่อดี สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นเพราตากำลังเดินเข้ามาในล็อบบี้ของคอดเวลล์คอร์ต และดวงตาสีนิลของเธอก็มองตรงมาด้วย เธอดูสนอกสนใจโอลิเวีย หากพอได้สบตากับเขาเธอก็เปิดรอยยิ้มส่งมาให้เป็นเชิงทักทายแล้วทำท่าจะเดินผ่านไปที่เคาน์เตอร์รีเซฟชั่น
ทว่า...
“นั่นแพม ฟิตซ์สตันนี่!” โอลิเวียก็สังเกตเห็นเพราตาเช่นกัน และหล่อนก็ไม่เพียงมองหากก้าวตามไปเลยทีเดียว โจซึ่งโดนทิ้งกลางอากาศถึงกับเหวอ ก่อนที่เขาจะรีบสาวเท้าตามไป
ขณะเดียวกันเพราตาก็เดินไปหยุดหน้าเคาน์เตอร์ กระนั้นยังไม่ทันพูดอะไร พนักงานต้อนรับก็ทักทายเสียก่อน
“สวัสดีค่ะ มิสฟิตซ์สตันใช่ไหมคะ บอสสั่งไว้ว่าถ้าคุณมาแล้วให้เชิญข้างบนค่ะ”
“ข้างบน?” หญิงสาวทวนคำอย่างนึกไม่ถึง
“ค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าตอนนี้บอสประชุมอยู่หรือเปล่านะคะ ต้องถามคุณโจ” สายตาของหล่อนเบนไปทางด้านหลังของเพราตา เธอเลยหันไปมอง แต่แทนที่จะพบโจเธอกลับพบโอลิเวียที่กำลังเดินหน้าตึงตรงมา
“เธอมาทำอะไรที่นี่แพม”
“ธุระส่วนตัว” เพราตาตอบกลับทันทีแบบไม่ต้องคิด พักหลังมานี้เธอเริ่มมั่นใจในความทรงจำของตัวเองมากขึ้นว่าส่วนใหญ่มันถูกต้องสมบูรณ์ดี ยกเว้นแค่เรื่องของเชนที่สับสนชวนงุนงง ดังนั้นในเมื่อก่อนหน้านี้เธอจำได้ว่าเคยชนกับโอลิเวีย ตอนนี้ก็ไม่มีเหตุผลจะต้องเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายพุ่งตรงมาหาเธอในลักษณะนี้
“ธุระส่วนตัวที่ตึกนี้น่ะนะ” โอลิเวียจ้องสาวไทยเขม็ง หากเธอก็เพียงเลิกคิ้วกลับเหมือนจะถามว่ามีปัญหาอะไร หล่อนเลยเม้มริมฝีปากแล้วตวัดสายตาไปมองกระเป๋าเก็บความร้อนที่อีกฝ่ายถืออยู่ “แล้วนั่นอะไร”
“กระเป๋าเก็บความร้อน ไม่เคยเห็นเหรอ” เพราตาถามกลับด้วยท่าทางคล้ายแปลกใจเสียเต็มประดา ก่อนที่เธอจะหันไปหาโจที่เดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆ ดูเหมือนเขาไม่ค่อยแน่ใจว่าควรจะเข้ามามีส่วนร่วมในบทสนทนาหรือไม่ “ฉันขึ้นไปได้เลยไหมคะ”
“เอ่อ ครับ” เลขานุการหนุ่มเหล่มองโอลิเวียอย่างหวาดระแวง ขณะที่หล่อนจ้องหน้าเพราตาด้วยสายตาวาววาม
“อย่าบอกนะว่าเธอมาหาคุณเชนเหมือนกัน”
สาวไทยนึกอยากทำตาใสแล้วสวนกลับไปด้วยประโยคประมาณ ‘อ้าว เธอก็เหมือนกันเหรอ’ ทว่าพอเห็นสีหน้าท่าทางของโจแล้วก็คิดว่าไม่ควรหาเรื่องให้เขาลำบาก ดังนั้นเธอจึงโปรยยิ้มหวานใส่ตาของโอลิเวียแทน
“ธุระส่วนตัวจ้ะ”
“ในเมื่อแพมขึ้นไปได้ ฉันก็ต้องขึ้นไปได้!” รอยยิ้มของเพราตาทำให้โอลิเวียยิ่งโมโห แต่ในเมื่อทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้หล่อนจึงสะบัดหน้าไปหาโจแทน
“คือ...คุณแพมมาทำธุระ” ชายหนุ่มสังเกตเห็นสาวไทยขยิบตาเป็นเชิงให้สัญญาณ เขาเลยรีบเออออ
“ฉันก็มีธุระกับคุณเชนไงเล่า!”
“คุณเชนประชุมทั้งบ่ายจริงๆ ครับ”
“งั้นแสดงว่าเธอขึ้นไปก็ไม่มีประโยชน์ แล้วจะขึ้นไปทำไม คราวหน้าโทรมานัดก่อนมาดีกว่ามั้ง ปกติเขาทำกันแบบนั้นนะ” เพราตาเลิกคิ้วอีกรอบ พอเหน็บแนมโอลิเวียเรียบร้อยแล้วเธอก็หันไปหาโจ “ฉันคงต้องรบกวนให้คุณพาขึ้นไปมั้งคะ หรือว่าให้คนอื่นพาฉันไป”
“ผมเองครับ” เลขานุการหนุ่มรีบพยักหน้ารับทันที “ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวนะครับมิสเคปปา ถ้าบอสออกจากห้องประชุมแล้วผมจะรีบแจ้งให้เขาทราบทันทีว่าคุณมาหา”
“แล้วเจอกันนะจ๊ะโอลิเวีย” เพราตายกมือข้างที่ว่างขึ้นมาขยับปลายนิ้วทำท่าบ๊ายบายแบบแบ๊วๆ ที่เธอรู้ว่าจะกวนอารมณ์อีกฝ่ายให้ยิ่งขุ่นมัว จากนั้นเธอก็หมุนกายเดินไปทางโถงลิฟต์โดยที่โจรีบก้าวตามไปติดๆ
ชายหนุ่มกุลีกุจอใช้บัตรพนักงานพาเธอเข้าไปในโถงลิฟต์และกดลิฟต์ให้เธอ ครั้นได้อยู่ในลิฟต์กันตามลำพังเขาก็หันไปส่งยิ้มแห้งๆ ให้สาวไทย
“ขอบคุณที่ช่วยนะครับ”
“ฉันไม่ได้ช่วยอะไรคุณสักหน่อยค่ะ คุณต่างหากที่ช่วยอำนวยความสะดวกพาฉันขึ้นข้างบน” หญิงสาวขยิบตาก่อนจะถามต่อ “แล้วคุณเชนจะให้ฉันขึ้นไปทำอะไรเหรอคะ”
“มีคลิปวิดีโอที่บอสอยากให้คุณดูครับ เป็นบันทึกกล้องวงจรปิดจากงานกาล่ากุหลาบที่โรม”
เพราตาอึ้งไปนิดหนึ่ง หัวใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่อิตาลี หากอึดใจถัดมาเธอก็ถามอีกเรื่อง
“แล้วตอนนี้คุณเชนประชุมอยู่จริงๆ ใช่ไหมคะ”
“ครับ แต่มีช่วงเบรกนิดหนึ่ง ไม่แน่คุณอาจจะได้เจอบอส” โจตอบแล้วเลื่อนสายตาไปมองกระเป๋าเก็บอุณหภูมิใบย่อมที่เธอหิ้วอยู่ “อันนี้คืออาหารที่คุณจะเอามาให้บอสใช่ไหมครับ ผมถือให้ดีไหม”
“อ้อ ใช่ค่ะ ฉันฝากไว้กับคุณเลยแล้วกัน ยังไงรบกวนเตือนให้คุณเชนเอากลับบ้านด้วยนะคะ”
“แน่นอนครับ ไม่ต้องห่วง” เขารับคำหนักแน่นและรับกระเป๋าไปจากเธอ พอดีกับที่ลิฟต์หยุดและประตูลิฟต์เปิดออก เขาเลยรีบผายมือเชื้อเชิญ “เชิญเลยครับ เดี๋ยวผมจะเอาคลิปวิดีโอให้คุณดู”
เชนอนุญาตไว้ล่วงหน้าให้เพราตาเข้ามานั่งดูบันทึกกล้องวงจรปิดในห้องทำงานของเขาได้ คลิปวิดีโอยาวกว่าที่เธอคิดไว้ โดยบันทึกมีตั้งแต่ตอนเธอเดินควงแขนชายหนุ่มจากสวนเข้าสู่อาคารจัดเลี้ยงจนกระทั่งพวกเธอเดินผ่านประตูเข้าหลังเวทีไปด้วยกัน แล้วคลิปก็กระโดดไปเป็นตอนที่เขาออกมาจากประตูบานเดิมพร้อมกับลูกน้อง หากไม่มีเงาเธอแล้ว เท่าที่เห็นเขากำลังเดินคุยโทรศัพท์ท่าทางเคร่งเครียด เข้าใจว่าน่าจะพยายามตามหาเธอนี่เอง
เชนอยากให้เธอดูบันทึกกล้องวงจรปิดพวกนี้เพื่อหวังจะให้มันกระตุ้นความทรงจำหรือเปล่า...เธออดสงสัยไม่ได้
หญิงสาวก็พยายามนึก หากความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องในคืนนั้นก็ไม่ได้งอกเงยเพิ่มจากตอนเธออยู่ในโรงพยาบาลเท่าไหร่ เธอจำได้ว่าจูบกับเขา...ไม่มีอะไรมากกว่านั้น กระทั่งเหตุการณ์ที่เขาเล่าให้ฟังว่าเธอขอให้เขาช่วยแสดงเป็นแฟนเธอหรือเธอเป็นคนเข้าไปจูบเขาเองก็ยังนึกไม่ออก
“เฮ้อ” เพราตาระบายลมหายใจขณะเงยหน้าขึ้นมองเพดานสีขาวของห้องทำงาน ผ่านไปครู่หนึ่งเธอก็คิดว่าควรจะกลับเสียที
หญิงสาวก้มศีรษะลงมาและหันจะไปคว้าสายกระเป๋าสะพายที่วางอยู่ข้างตัว แต่ไม่ทันไรประตูก็ถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับการปรากฏตัวของเจ้าของห้อง
“ไง”
“เอ่อ สวัสดีค่ะ” ถึงโจจะบอกเอาไว้แล้วว่าเชนมีช่วงพักเบรกจากการประชุมและเธออาจได้เจอกับเขา หากเอาเข้าจริงเธอก็ยังงุนงงอยู่ดี...แต่เธอก็ดีใจด้วยเช่นกันที่ได้พบหน้าเขา
“คุณกำลังจะกลับแล้วเหรอ ดูคลิปครบหรือยัง” ชายหนุ่มก้าวยาวๆ มานั่งข้างเธอบนโซฟาตัวเดียวกัน เธอเลยปล่อยมือจากกระเป๋า
“คิดว่าครบนะคะ”
“จำอะไรได้บ้างไหม”
“ไม่เลยค่ะ จำได้แค่...” เพราตาหยุด ไม่อยากพูดถึงเรื่องจูบอีก “เท่าเดิม...”
“นอกจากคลิปที่มีคุณอยู่แล้วผมก็ให้คนดูคลิปจากกล้องทุกตัวตั้งแต่ต้นจนจบงานเลย” ชายหนุ่มดึงแท็บเลตไปจากมือเธอแล้วลากนิ้วไปบนจออย่างรวดเร็ว ขณะที่เธอยกคิ้วขึ้นนิดหนึ่งอย่างประหลาดใจ อึดใจถัดมาเขาก็เปิดคลิปหนึ่งขึ้นมาแล้วยื่นแท็บเลตกลับมาให้เธอ “นี่เป็นคลิปตอนคุณมาถึงงาน คิดว่าคุณยังไม่ได้ดู...”
หญิงสาวรับแท็บเลตกลับมาดู มันกำลังแสดงเหตุการณ์ที่มีรถหรูคันหนึ่งวิ่งมาจอดที่หน้าอาคารจัดเลี้ยง หลังจากมีพนักงานเปิดประตูรถให้เธอซึ่งอยู่ในชุดราตรีสีเขียวน้ำทะเลก็ก้าวลงมา
“ผมเช็กแล้วว่ารถที่คุณนั่งมาเป็นของบ้านซัลโล่ คุณเข้างานนี้ได้เพราะเปาโลแน่นอน แต่น่าแปลกไหมที่คุณลงจากรถมาคนเดียว”
“จริงด้วย” เธอพึมพำ เพิ่งสังเกต พอเขายื่นมือมาเป็นเชิงขอแท็บเลตเธอก็ยื่นมันคืนให้เขาอีกรอบ เขากดเลือกคลิปใหม่ขณะเดียวกันปากก็พูดไปด้วย
“ผมเช็กแล้วว่าเปาโลไม่ได้เข้ามาในงานจนกระทั่งก่อนคุณจะเจอกับผมนิดเดียว ท่าทางเหมือนเขามองหาคน ก็น่าจะเป็นคุณนี่แหละ” เชนกดเล่นคลิปใหม่ คราวนี้เขาหันจอมาให้เธอดูแทนที่จะยื่นทั้งเครื่องแท็บเลตให้ เธอเห็นผู้ชายผมสีเข้มคนหนึ่งเดินหันมองซ้ายขวาไปมา จนสุดท้ายคนในคลิปก็หยุดยืนแล้วจ้องอะไรบางอย่าง “ผมเทียบเวลากับบันทึกจากกล้องตัวอื่นแล้ว เทียบมุมกล้องจากผังอาคารจัดเลี้ยงด้วย เปาโลน่าจะเห็นคุณเดินมากับผม แต่คุณน่าจะไม่ทันสังเกตเห็นเขา”
หูของเพราตาฟังพร้อมกับที่ตายังดูภาพเคลื่อนไหวบนหน้าจอ เธอจำเปาโลได้แค่จากภาพถ่าย แถมภาพจากกล้องวงจรปิดก็ไม่ชัดเท่าไหร่ แต่ถ้าเชนบอกว่าใช่เธอก็เชื่อตามนั้น...เปาโลยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะก้าวเดิน ภาพตัดไปที่หน้าประตูทางเข้าหลังเวทีอีกครั้ง เขาผลักประตูตามเข้าไป แต่แทบไม่ถึงนาทีเขาก็เดินกลับออกมา หลังจากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดและคุยกับใครสักคนด้วยท่าทางหงุดหงิด
เปาโลเข้าไปหลังเวทีด้วย...แล้วเขาโทรไปสั่งอะไรกับใครเรื่องเธอหรือเปล่า ความคิดที่ผุดขึ้นมาก่อให้เกิดไอเย็นเยียบ มันแล่นลงมาตามแนวกระดูกสันหลังอย่างรวดเร็ว และดวงตาคู่สวยก็ช้อนขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างช่วยไม่ได้เมื่อคลิปวิดีโอจบลง
“แล้วหลังจากนี้เขาทำอะไรอีกคะ”
“ก็เหมือนหงุดหงิดๆ แล้วก็ไปโวยวายกับคนที่น่าจะเป็นลูกน้อง แป๊บเดียวก็กลับออกจากงานไปอีก”
“งั้นก็แสดงว่าเขาไม่ได้เป็นคนเอาตัวฉันออกจากงาน”
“ใช่” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ “แต่ยังไงก็ตัดเขาออกจากเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะเขาเข้าไปหลังเวที ถึงจะแป๊บเดียวก็เถอะ ผมไม่แน่ใจว่าเขาได้เจอคุณไหม ที่สำคัญยังไงเขาก็มีลูกน้องของพ่อไว้ใช้งาน เราไม่รู้ว่าเขาโทรคุยกับใครแน่”
“แล้ว...คุณได้บันทึกกล้องวงจรปิดมาทั้งหมดจนถึงงานจบแต่ก็ไม่มีวี่แววของฉันอีกเลยเหรอคะ” เพราตาถามต่อ
“ใช่ แต่มันน่าสนใจตรงที่หลังงานเลิก ตอนที่พวกพนักงานเก็บของทำความสะอาดกัน มีช่วงนึงที่ไฟดับเลยไม่มีบันทึก ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
“ไม่มีพวกไฟสำรองเหรอคะ”
“ไม่มี อาคารนั้นเก่า ใช้จัดงานและไม่มีคนอยู่ด้วย ระบบอะไรต่างๆ ก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่หรอก ที่งานใหญ่ๆ ไปจัดที่นั่นเพราะมันคลาสสิกดีและถ่ายรูปสวยเท่านั้นแหละ”
“งั้นเราคงไม่มีทางรู้แน่ว่าฉันถูกพาตัวออกไปยังไงเมื่อไหร่” หญิงสาวถอนหายใจ
“ผมสั่งให้พวกที่อิตาลีลองหาทางอื่นดูแล้ว แต่ยังไงที่สำคัญตอนนี้คือความปลอดภัยของคุณ เราต้องเช็กให้แน่ว่าเปาโลส่งคนไปมองหาคุณที่เพนตันฮอลล์จริงไหม”
“ขอบคุณนะคะ” เพราตาพยักหน้ารับช้าๆ “ขอบคุณมากจริงๆ ทางฉันรบกวนคุณมากเลย”
“ไม่หรอก ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าคืนนั้นใครหน้าไหนมาเอาคุณไปจากความดูแลของผม”
ฟังแล้วพอจับใจความได้ว่าเชนเห็นว่าการที่เธอถูกลักพาตัวไปเป็นความรับผิดชอบของเขา ดังนั้นเขาจึงยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือและทำอะไรต่อมิอะไรมากมาย หากทั้งที่เข้าใจอย่างนั้นเธอก็ยังซาบซึ้งอยู่ดี
“ความจริงฉันมีเรื่องอยากขอร้องคุณด้วย...คือช่วงนี้ฉันต้องย้ายมาอยู่กับแพทริก แล้วก่อนหน้านี้มันเคยมีข่าว...”
“จะไม่มีข่าวรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างคุณกับแพทริกอีก ถ้ามีก็ต้องไม่ใช่จากสื่อในเครือคอดเวลล์” ชายหนุ่มไม่ต้องฟังจบก็เข้าใจว่าเธอต้องการอะไร
“ขอบคุณค่ะ” เธอสบายใจ เพราะก่อนหน้านี้สื่อที่เล่นข่าวหนักๆ ก็คอดเวลล์นี่เอง สื่ออื่นไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ในเมื่อนายใหญ่รับปากเองแบบนี้ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร อันที่จริงช่วงหลังสื่อคอดเวลล์ก็ไม่ได้มายุ่งกับครอบครัวเธอเท่าไหร่แล้วด้วย
“พูดถึงขอบคุณ...ผมฝากขอบคุณคุณแม่ของคุณด้วยนะครับที่อุตส่าห์ทำอาหารมาฝาก” เขาทำท่านึกขึ้นได้
“ค่ะ แต่ความจริงท่านก็ตั้งใจจะทำกับข้าวมาให้ฉันกินอยู่แล้วแหละค่ะ” เพราตาพยายามพูดไม่ให้มันเป็นเรื่องพิเศษเกินไป ที่สำคัญคือธามสั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้เธอบอกเชนว่าเขาเป็นคนบอกข้อมูลเรื่องอาหารโปรดของน้องชายด้วย ดังนั้นพูดกลางๆ แบบนี้น่าจะดีที่สุด
“ผมได้ยินจากโจว่าคุณช่วยเขาจากโอลิเวีย ขอบคุณเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน”
คราวนี้เพราตายิ้มออกมาได้ในรอบชั่วโมง มีคนเคยบอกว่าให้หัดมีความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ...ดังนั้นเธอจะมีความสุขกับการที่เชนไม่เอาโอลิเวียนี่แหละ!