Jamsai
ทดลองอ่าน Princess Syndrome ตอนที่ 2
โรงเรียนมัธยมเซนต์เลออนเป็นโรงเรียนผู้ดีเอกชนที่เปิดสอนตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นจนถึงชั้นมัธยมปลาย เหล่าคณาจารย์ล้วนแล้วแต่มีคุณภาพ สภาพแวดล้อมภายในรั้วโรงเรียนสวยงาม แน่นอนว่าค่าเล่าเรียนก็สูงตามไปด้วย ถึงกระนั้นก็ยังคงดึงดูดผู้ปกครองจำนวนมากมาแย่งชิงกัน ต่างคนต่างหอบหิ้วธนบัตรกองโตคิดหาทุกวิถีทางที่จะส่งลูกชายลูกสาวของตนเข้ามาเรียนที่นี่ ด้วยเหตุนี้เอง เด็กนักเรียนที่สามารถเข้าเรียนที่โรงเรียนเซนต์เลออนได้ ทางครอบครัวถ้าไม่ร่ำรวยก็ต้องเป็นผู้ดีมีตระกูล
แล้วเพื่อรับใช้เด็กๆ ที่มาจากสังคมไฮโซเหล่านี้ โรงเรียนเซนต์เลออนจึงมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด คนนอกสอดแนมภายในรั้วโรงเรียนได้ยาก ดังนั้นโรงเรียนแห่งนี้จึงได้ชื่อว่าเป็น ‘โรงเรียนมัธยมชื่อดังที่ลึกลับที่สุด’
แต่หากคุณคิดว่าขอเพียงครอบครัวร่ำรวยมีอิทธิพลแล้วก็จะสามารถช่วงชิงเข้าเรียนในโรงเรียนในฝันแห่งนี้ได้ คุณก็คิดผิดแล้วล่ะ ในแต่ละปีโรงเรียนเซนต์เลออนเปิดรับสมัครนักเรียนอย่างอิสระ สร้างแบบอย่างในการรักษาคุณภาพการเรียนการสอนและคุณภาพนักเรียน ดังนั้นการเข้าเรียนจะต้องผ่านการสอบข้อเขียนและสอบสัมภาษณ์ที่เข้มงวด
ต่อให้ฉันจะมีไอคิวสูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบ แต่เรื่องที่ไร้ซึ่งความน่าอภิรมย์อย่างเรียนหนังสือและการสอบนี้ฉันไม่สนใจหรอก แทนที่จะใช้สมองเพื่อรับมือกับการสอบเข้าที่ยุ่งยากซับซ้อนของโรงเรียนเซนต์เลออน สู้ให้ฉันศึกษาเทรนด์แฟชั่นของฤดูกาลถัดไปจะดีกว่า
ฉันจึงพูดเหยียดว่า “โรงเรียนที่มุ่งผลิตแต่นักเรียนที่เป็นโรคเจ้าชายโรคเจ้าหญิงแบบนั้น หนูไม่สนใจไปเรียนหรอก” แล้วฉันก็บังเอิญเห็นเจิ้งฉู่เย่าส่งสายตาดุร้ายเย็นยะเยือกมาทางฉัน
เกือบลืมไปเลย เจิ้งฉู่เย่าก็เรียนที่เซนต์เลออนเหมือนกัน มิน่าล่ะถึงเป็นโรคเจ้าชาย!
“ที่แท้ซิงเฉินก็ไม่ชอบเซนต์เลออน!” อาเมิ่งซีขยับแว่นตามความเคยชิน แล้วมองฉันอย่างไม่สนใจ “แต่ว่า…อาจารย์ใหญ่ของเซนต์เลออนตกลงรับเธอเข้าเรียนเรียบร้อยแล้ว เป็นการรับกรณีพิเศษ ไม่ต้องผ่านการสอบด้วย!”
ไม่ต้องผ่านการสอบ?
ฉันแอบรู้สึกหวั่นไหว ถ้าโยนเรื่องที่ในรั้วโรงเรียนเต็มไปด้วยพวกนักเรียนที่เป็นโรคเจ้าชายโรคเจ้าหญิงทิ้งไปก็ได้ยินมาว่าบรรดาครูผู้ชายที่โรงเรียนเซนต์เลออนล้วนรูปร่างหน้าตาโดดเด่น แต่ละคนสามารถเดินบนแคตวอล์กเป็นนายแบบได้เลย
ฉันแอบกลืนน้ำลาย ในหัวกำลังฉายภาพยนตร์อีโรติกสำหรับผู้ใหญ่อายุมากกว่าสิบแปดปีอย่างสนุกสนาน
“ว่ายังไง” อาเมิ่งซีถาม
“หนูรังเกียจพฤติกรรมการใช้เส้นสายแบบนี้เข้าไส้เลย” ฉันพูดอย่างโอหังอวดดี
“ไม่เรียนจริงๆ เหรอ”
“ไม่ค่ะ”
ได้ยินมาว่าโรงเรียนเซนต์เลออนมีสวนหลังโรงเรียนที่สวยงามสำหรับเหล่าคณาจารย์และเจ้าหน้าที่โดยเฉพาะ ตอนเลิกเรียนบรรดาครูหนุ่มๆ ที่หล่อเหลาและรูปร่างสูงใหญ่จะชอบทำการศึกษาวิจัยด้านวิชาการและทำกิจกรรมกีฬาต่างๆ ในสวนหลังโรงเรียนนี้เป็นที่สุด…ฉันนึกถึงเรื่องราวความรักระหว่างครูกับนักเรียนจำนวนไม่น้อยในเว็บบอร์ดบอยส์เลิฟที่มีฉากหลังเป็นสวนลึกลับหลังโรงเรียน…
ฉันบีบจมูกเพื่อไม่ให้ของเหลวอุ่นๆ และมีกลิ่นคาวไหลออกมา หลังจากที่ไปศัลยกรรมมา ดูเหมือนว่าเส้นเลือดฝอยในโพรงจมูกจะเปราะบางขึ้นกว่าเดิม
“บรรดานักเรียนยกให้โรงเรียนเซนต์เลออนเป็นอันดับหนึ่งของ ‘โรงเรียนมัธยมในฝันที่อยากเข้าเรียนที่สุด’ รักษาตำแหน่งแชมป์ทุกปี นับตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียนมา นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ถูกนักเรียนปฏิเสธที่จะเข้าเรียน” แล้วจู่ๆ มุมปากของอาเมิ่งซีก็อมยิ้มเล็กน้อย “อาจารย์ใหญ่รู้เข้าคงเสียใจแย่เลย”
อาจารย์ใหญ่?
ในเว็บบอร์ดยังลือกันด้วยว่าแท้จริงแล้วสวนหลังโรงเรียนของเซนต์เลออนก็คือตำหนักในของอาจารย์ใหญ่นั่นเอง
ฉันมองเขาอย่างงงๆ แล้วถามคำถามที่แสนจะงี่เง่า “ทำไมอาจารย์ใหญ่ถึงได้กระตือรือร้นอยากให้หนูไปเรียนขนาดนี้ล่ะคะ”
หรือว่าจะเป็นเพราะเสน่ห์ของฉันมิอาจต้านทาน?
เจิ้งฉู่เย่าเหลือบมองฉันอย่างดูถูกและถือโอกาสตอบข้อสงสัยของฉัน “ก็เขานี่แหละ อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนเซนต์เลออน”
อาเมิ่งซีเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนเซนต์เลออน?!
ว้าว! หลินซิงเฉินเธอถูกหวยเข้าให้แล้ว!
ฉันมองไปทางอาเมิ่งซี เขาชูแก้วไวน์แดงบนโต๊ะขึ้นมา จากนั้นทำท่าชนแก้วให้ฉันแล้วถึงค่อยเงยหน้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว ฉันยกไวน์แดงขึ้นมาดื่มตอบด้วยความตื่นเต้นอย่างน่าประหลาด แต่ฉันรีบดื่มเกินไปเลยเผลอทำไวน์แดงเลอะริมฝีปาก งุนงงอยู่สองวินาที เมื่ออาเมิ่งซีเห็นเช่นนั้นก็โน้มตัวมาหาและยื่นนิ้วออกมาเช็ดบริเวณริมฝีปากฉันเบาๆ
“ไม่ต้องกังวล อาจารย์ใหญ่ไม่กินคนหรอก” ในแววตาของอาเมิ่งซีฉายประกายหยอกเย้า แล้วยกนิ้วที่เลอะไวน์แดงขึ้นมาไว้ที่ข้างปากตัวเอง ปลายลิ้นเลียไวน์แดงและยิ้มอย่างร่าเริง “นี่เป็นไวน์แดงชั้นหนึ่ง ทำหกเลอะไป น่าเสียดายแย่”
เกินไปแล้วจริงๆ! อาจารย์ใหญ่ คุณยั่วยวนนักเรียนหญิงแบบนี้มันใช้ได้เหรอ
ฉันเขินอายจนอยากจะมุดหน้าลงไปในแก้วไวน์แดง ก่อนจะไอกลบเกลื่อนสองสามที “ไหนๆ อาเมิ่งซีก็เอ่ยปากแล้ว เห็นแก่ที่อามีความตั้งใจดีขนาดนี้ หนูจะฝืนใจตกลงไปเรียนก็แล้วกัน”
หลังจากทานอาหารเสร็จ อาเมิ่งซีก็พาพวกเราไปที่สวนสาธารณะ เขาหัวเราะพลางพูดว่าการเดินเล่นหลังจากที่ทานอิ่มแล้วดีต่อสุขภาพ เมื่อเดินไปได้สามสี่รอบก็พูดขึ้นมาอีกว่าตอนนี้ยังเช้าอยู่ จากนั้นก็ขับรถพาฉันกับเจิ้งฉู่เย่าไปห้างสรรพสินค้า อาเมิ่งซียัดตั๋วหนังสองใบใส่มือเจิ้งฉู่เย่า “ซิงเฉินชอบดูหนังแนวนี้มาแต่ไหนแต่ไร เดี๋ยวก็ไปดูเป็นเพื่อนเขานะ อาไม่เป็นก้างขวางคอละ”
ดูท่าว่าอาเมิ่งซีตั้งใจจะทำหน้าที่ให้สมกับที่เป็นพ่อสื่อ
ทั้งสองคนเถียงกันอยู่พักหนึ่ง ฉันเลยถือโอกาสหยิบลิปสติกออกมาเติมจนริมฝีปากสีแดงแปร๊ดเหมือนไปกินเลือดใครมา
เจิ้งฉู่เย่ารับตั๋วหนังมาในที่สุด อาเมิ่งซีพูดว่า “เอาใจซิงเฉิน…” ยังไม่ทันจบประโยค เจิ้งฉู่เย่าก็ไล่เขาไปเสียแล้ว
อดรนทนไม่ไหวขนาดนี้เชียวเหรอ
เจิ้งฉู่เย่ามองดูรถยนต์ของอาเมิ่งซีขับจากไป เขาหันขวับกลับมา ดวงตาที่สวยงามแต่เจือความดุร้ายน่ากลัวคู่นั้นมองมาทางฉัน เขาจ้องหน้าฉันอยู่สามสี่วินาทีแล้วก็ขมวดคิ้ว จากนั้นยัดตั๋วหนังใส่ในมือฉันแล้วหมุนตัวเดินจากไป
“นี่ เจิ้งฉู่เย่า!” ฉันตะโกนเรียก “นายจะไปไหน”
เขาตัวสูงช่วงขายาว เผลอแป๊บเดียวก็เดินไปไกลแล้ว ฉันที่สวมรองเท้าส้นเข็มเดินตามอยู่ข้างหลังต้องสะกดกลั้นอารมณ์อยู่หลายครั้งไม่ให้ถอดรองเท้าส้นสูงมาฟาดหน้าผากเขา จนในที่สุดฉันก็ดึงชายเสื้อเขาไว้ได้
เจิ้งฉู่เย่าหันมาทันที เขาหน้านิ่วคิ้วขมวด ถามเสียงเกรี้ยวกราด “หลินซิงเฉิน ตกลงเธอจะเอายังไง”
ดุจริง แต่ฉันเป็นคนชอบเรื่องยากและท้าทายมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แบบนี้ถึงจะมีความสุขเวลาที่เอาชนะได้!
ฉันสบตาเขาตรงๆ แล้วยิ้มพลางย้อนถามว่า “ฉันจะเอายังไง…นี่นายไม่รู้งั้นเหรอ”
“ฉันไม่รู้! เธออยากจะทุบฉันหนึ่งทีหรือว่าจะไปฟ้องก็ได้ แต่ว่าเรื่องในวันนั้นฉันจะไม่อธิบายเพิ่มอีกแน่นอน”
พูดไปพูดมา สุดท้ายก็เพื่อปกป้องผู้หญิงมารยาสาไถยคนนั้นอยู่ดี ชักน่าสนใจแฮะ เมื่อกี้นี้ยังพูดอยู่เลยไม่ใช่เหรอว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่รู้จักกันน่ะ
“ฉันไม่อยากทุบนาย ไม่คิดที่จะไปฟ้อง และก็ไม่ได้ต้องการให้นายอธิบายเรื่องในวันนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นเธอต้องการอะไรล่ะ รีบว่ามา ฉันไม่อยากเสียเวลากับเธอ”
พอเห็นเจิ้งฉู่เย่าวางมาดหยิ่งยโสแบบนี้ ฉันก็อยากจะตบเขาสักฉาดจริงๆ
ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ สงบสติอารมณ์เล็กน้อย แล้วเป็นฝ่ายจับมือเขาก่อน ฉันยิ้มได้บิดเบี้ยวมาก “จะดูหนังไม่ใช่เหรอ จะว่าไปแล้วนี่นับเป็นครั้งแรกเลยที่เราเดตกันสองต่อสอง”
เจิ้งฉู่เย่าพ่นออกมาคำหนึ่งว่า “ประสาท” เขาสะบัดมือทิ้งแล้วเดินผ่านฉันไป
เมื่อเห็นว่าเขาจะเดินจากไปอีก ฉันก็เลิกทำตัวสงบเสงี่ยมแล้วกอดเขาจากด้านหลังทันที ซุกหน้ากับแผ่นหลังเขา
“ฉันไม่ได้พูดอะไรผิดนี่นา ไหนๆ ก็จะหมั้นกันแล้ว ไม่เดตกันสักหน่อยก็คงไม่ค่อยเข้าท่าล่ะมั้ง” แก้มฉันแนบกับแผ่นหลังที่ชุ่มเหงื่อเล็กน้อยของชายหนุ่มโดยมีเสื้อเชิ้ตตัวบางกั้นกลาง ฉันรู้สึกได้ว่าเขาตะลึงงันนิดหน่อย แต่ไม่ได้ผลักฉันออกในทันที
“ฉันไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับเธอ” ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยเหลือเกิน
“แม่ฉันบอกว่าความรู้สึกบ่มเพาะกันได้” ฉันยิ้มหวานอย่างหน้าไม่อาย “นายเริ่มกินมังสวิรัติก็เพื่อฉันไม่ใช่เหรอ”
เขากุมหน้าผาก “นั่นมันเพื่อ ‘บ่มเพาะคุณธรรม’ ต่างหาก!”
ฉันขวยเขิน “ไม่เป็นไร ฉันเห็นถึงความพยายามของนายแล้ว”
เจิ้งฉู่เย่าไม่ได้พูดอะไรต่อ อุณหภูมิในบรรยากาศลดฮวบถึงจุดเยือกแข็งทันที
แปลกจัง ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่บนดาวดวงเดียวกัน…ฉันคงจะคิดไปเองล่ะมั้ง
พระเอกมักจะปากไม่ตรงกับใจเสมอ ฉันจึงจำต้องให้กำลังใจเขาอย่างไร้ยางอาย “สู้ต่อไปนะ ไม่แน่ว่าฉันอาจจะใกล้ตกหลุมรักนายแล้วก็ได้”
ได้ยินใครบางคนกัดฟันเสียงดังกรอดๆ ลอยมาแว่วๆ ดูเหมือนว่าเขากำลังพยายามอดทนกับบางอย่างอย่างยิ่งยวด จนสุดท้ายฉันก็ได้ยินเสียงถอนหายใจ “หลินซิงเฉิน เธอรักใครไม่เป็นหรอก”
ฉันรักใครไม่เป็น? ฉันตะลึงงันทันที