Jamsai
ทดลองอ่าน Princess Syndrome ตอนที่ 2
เจิ้งฉู่เย่ายังคงหันหลังให้ฉันเหมือนเดิม ฉันมองไม่เห็นสีหน้าเขา ได้แต่พูดเสียงอู้อี้ในลำคอกับแผ่นหลังเขา “ฉันไม่รู้ว่าทำไมนายถึงคิดแบบนี้ แต่ขอบอกตามตรงว่าฉันไม่ได้เกลียดอะไรนายเลย”
“…” เขานิ่งเงียบ
“ถึงนายจะอยู่ ม.ปลาย แล้ว แต่ก็ยังเหมือนเด็ก ม.สอง อยู่เลย ชอบเอาแต่ใจ เผด็จการ แล้วก็ขี้ฉุนเฉียว แถมบางครั้งยังทึ่มเสียเหลือเกิน แต่ว่ารูปร่างหน้าตานับว่าใช้ได้ พอที่จะคู่ควรกับฉันอยู่ ข้อดีที่สุดของนายก็คือครอบครัวร่ำรวย ไหนๆ การแต่งงานเกี่ยวดองกันล้วนส่งผลดีต่อทั้งสองตระกูล งั้นฉันจะให้โอกาสนายได้คบกับฉัน” คำพูดยาวเหยียดนี้อยู่ในก้นบึ้งหัวใจฉันมานานมากแล้ว ตอนนี้พอฉันปลุกความกล้าพูดมันออกมา ใบหน้าฉันก็ร้อนผ่าวตามไปด้วย
เขาสูดหายใจเข้าลึกและพูดด้วยความอัดอั้นตันใจว่า “ไม่มีความรัก การหมั้นกันครั้งนี้เป็นเพียงธุรกิจ เธอไม่ถือสาเลยสักนิดอย่างนั้นเหรอ”
ไม่มีความรัก เป็นเพียงการแต่งงานที่เอาเงินทองมาวางกองกัน…ฉันต้องการแบบนี้มั้ยน่ะเหรอ
เสียงแหลมสูงของแม่ใหญ่พุ่งเข้ามาในหัวฉันทันที
‘การแต่งงานของใครบ้างไม่ใช่เรื่องธุรกิจหรือการซื้อขายแลกเปลี่ยน ผู้ชายแลกเปลี่ยนด้วยเงินทองกับสถานะ ส่วนผู้หญิงแลกเปลี่ยนด้วยความสาวกับกำลังกาย
ไม่ว่ายังไงมันก็เป็นธุรกิจ แน่นอนว่าหากแลกเปลี่ยนมาแล้วได้มูลค่าสูงย่อมดีที่สุด ถ้าไม่ได้ อย่างน้อยก็ควรแลกเปลี่ยนในมูลค่าที่เท่าเทียมกัน’
ฉันครุ่นคิดถึงคำพูดของแม่ใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็ช่างน่าอับอายที่ถูกโน้มน้าวจนได้
ฉันจึงส่ายหัว แต่คิดขึ้นได้ว่าเจิ้งฉู่เย่าหันหลังให้ มองไม่เห็นฉัน ฉันก็เลยพูดเสริมว่า “ฉันไม่ถือสา”
“ไม่ถือสา? แค่เพราะครอบครัวฉันมีเงิน?” เจิ้งฉู่เย่าหันขวับมาทันที แล้วเอื้อมมือมาจับแขนฉัน จากนั้นออกแรงผลักฉันกดกับตู้โชว์กระจก “ถึงจะโดนฉันทำแบบนี้ก็ไม่ถือสาเหรอ หืม?”
“เจิ้งฉู่เย่า อย่าทำตัวหยาบคาย…” ฉันตกอกตกใจ แผ่นหลังถูกกระแทกจนรู้สึกเจ็บ ขณะที่เรือนร่างอันร้อนผ่าวของเขาเข้ามาใกล้ ฉันก็พยายามห่อไหล่ “คือว่า…มีอะไรก็พูดจากันดีๆ…”
“อย่าขยับ” เขาพูด น้ำเสียงฟังดูน่ากลัว
จู่ๆ ฉันก็ขี้ขลาดขึ้นมา ไม่กล้าขยับเขยื้อน ได้แต่เบิกตาโต ขนลุกไปทั้งตัว
ฉันเบิกตาโพลงมองดูเขาโน้มตัวลงและเอียงศีรษะเล็กน้อย พออยู่ใกล้กันแบบนี้ แม้แต่ริ้วรอยบางๆ บนริมฝีปากเขาก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ฉันหดหน้าหนีโดยไม่รู้ตัว ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อยจากการเกร็ง ฉันพยายามสุดชีวิตที่จะสะกดความรู้สึกที่อยากจะผลักเขาออกไป
ทันใดนั้นเองคางก็ถูกมือข้างหนึ่งจับอย่างแรง ริมฝีปากที่เย็นชืดสัมผัสโดนกลีบปากฉันแล้วขบกัดอย่างแรงหนึ่งที จนกระทั่งความรู้สึกเจ็บที่ระคนกลิ่นคาวเลือดเข้าจู่โจม ฉันถึงได้รู้ตัวว่าเขากำลังจูบฉันอยู่!
อ๊าก! จูบแรกที่ฉันอุตส่าห์ถนอมรักษามาสิบแปดปี! คิดไม่ถึงว่าจะถูกเจิ้งฉู่เย่าช่วงชิงไปอย่างง่ายดายเช่นนี้!
เส้นประสาทเส้นหนึ่งในสมองฉันขาดผึงทันที! เรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามความเดือดดาล ฉันสลัดหลุดจากการจับไว้ของเขา แล้วตบหน้าเขาหนึ่งฉาด
เพียะ!
เสียงดังฟังชัดทีเดียว เจิ้งฉู่เย่าถูกฉันตบจนหน้าหัน ภายในเวลาไม่กี่วินาที รอยแดงจางๆ ก็ปรากฏขึ้นที่พวงแก้ม
ด้วยความที่นึกไม่ถึงว่าฉันจะตบ เขาถึงกับตะลึงงัน เอามือปิดหน้าที่แดงเรื่อพลางจ้องฉันเขม็ง สีหน้าเขาดูสับสนอย่างยากที่จะอธิบาย
ฉันก้มหน้าลงโดยอัตโนมัติและมองดูฝ่ามือที่ปวดตุบๆ ของตัวเอง ฉันโมโหจนไม่ได้ยั้งมือ เขาคงจะเจ็บมากเลยสินะ
ขอโทษสิ หลินซิงเฉิน รีบขอโทษเจิ้งฉู่เย่า
ฉันเม้มริมฝีปากล่างที่โดนเขาจูบจนเจ็บ แล้วครุ่นคิดว่าจะเอ่ยปากขอโทษเขาดีไหม แต่คำพูดต่อมาของเขาทำให้ฉันกลืนคำขอโทษลงคอไป
“หลินซิงเฉิน ตั้งใจฟังให้ดีๆ นะ ฉันเกลียดเธอ”
ฉันเงยหน้าขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ ยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ราวกับถูกฟ้าผ่า
“นายเกลียดฉัน?”
“เกลียดมาก”
“นายเกลียดฉันตรงไหน ฉัน…” ฉันแอบกัดฟัน ในใจรู้สึกเกลียดที่ตัวเองช่างไม่มีศักดิ์ศรี “เพื่อนายแล้ว ฉัน…ปรับปรุงแก้ไขได้!”
“ตา จมูก ปาก เส้นผม การแต่งตัว คำพูด และกิริยาท่าทางของเธอ…” เขานิ่งเงียบอยู่สามสี่วินาที ก่อนผลักฉันออกด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเธอ ฉันเกลียดหมดเลย!”
ฉันจ้องเขาเขม็ง จากนั้นอ้าปากหายใจสองสามทีถึงจะข่มความเดือดดาลที่พลุ่งพล่านเอาไว้ได้
ไม่ไกลนัก มีเสียงร้องดีอกดีใจของพวกเด็กๆ ดังมาจากบริเวณทางเข้าห้างสรรพสินค้าเป็นระยะๆ ตรงนั้นมีคนสวมหัวตุ๊กตาแต่งตัวเป็นคิตตี้กำลังแจกลูกโป่ง ฝูงชนห้อมล้อมกลายเป็นโลกใบเล็กๆ ที่รื่นเริงสนุกสนาน บรรดาผู้คนที่สัญจรไปมาล้วนถูกดึงดูดด้วยเจ้าตุ๊กตาคิตตี้ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นว่าฉันกับเจิ้งฉู่เย่าต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กันอยู่ในมุมมืด บรรยากาศดูตึงเครียด
ผู้ชายที่ช่วงชิงจูบแรกของฉันไปคนนี้ ผู้ชายที่กำลังจะกลายเป็นคู่หมั้นของฉันคนนี้ เขาบอกว่าเขาเกลียดฉัน! เกลียดทุกอย่างเกี่ยวกับตัวฉัน!
ฉันทำอะไรผิด การต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับการแต่งงานเกี่ยวดองกันของตระกูลเศรษฐีครั้งนี้ฉันเองก็ไม่อาจทำตามใจตัวเองได้เหมือนกัน แล้วทำไมฉันถึงได้เป็นฝ่ายที่ดูต่ำต้อยขนาดนี้ล่ะ
ทุกครั้งที่มาเจอเขา ฉันแต่งตัวอย่างตั้งอกตั้งใจเสมอ พยายามทำให้ตัวเองดูสวยสง่า แล้วมายืนอยู่ข้างกายเขาเพื่อให้กลายเป็นคู่รักที่ทุกคนอิจฉา…แล้วเขามีสิทธิ์อะไรมาเกลียดคนอย่างฉัน
จะแพ้ไม่ได้ จะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด!
เจิ้งฉู่เย่าเจ้าคนเลว! ฉัน หลินซิงเฉิน จะทำให้นายรักฉันให้จงได้ รักจนโงหัวไม่ขึ้นเลย ฉันจะทำให้นายต้องเสียใจที่นายพูดกับฉันแบบนี้!
ฉันฉีกยิ้มที่สวยสมบูรณ์แบบและวางท่าหยิ่งยโสที่สุด “เจิ้งฉู่เย่า นายเองก็ตั้งใจฟังให้ดีๆ ยิ่งต่อต้านปฏิเสธยิ่งหนีไม่พ้น สิ่งนี้เรียกว่าโชคชะตา ซึ่งโชคชะตาของนาย…” ฉันอมยิ้ม “ก็คือฉัน หลินซิงเฉิน!”
ตอนหลังเมื่อมาคิดๆ ดู คำพูดที่ฉันพูดกับเจิ้งฉู่เย่านั้นช่างเป็นคำพูดที่คิดเข้าข้างตัวเองเสียเหลือเกิน! จนเมื่อเขาถูกโชคชะตาบีบบังคับให้ยอมรับและตัดสินใจที่จะศิโรราบ ฉันกลับพยายามที่จะหลุดพ้นจากโชคชะตาของตัวฉันเอง
แต่ว่านั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต
ฉันกำลังรอเขาพูดตอกกลับมา แต่คิดไม่ถึงว่านอกจากเขาจะไม่โกรธ ในดวงตาเขากลับฉายแววสงบเยือกเย็นจนเกือบจะดูเศร้าโศกเสียด้วยซ้ำ
เขาจ้องมองฉันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วสะบัดหน้าเดินจากไปทันที หลงเหลือแต่แผ่นหลังที่แสนเฉยชาให้ฉัน
เยี่ยมไปเลย เอะอะก็ทิ้งผู้หญิงไว้บนถนน ช่างมีมาดของพระเอกจอมเผด็จการจริงๆ
หลังจากที่เจิ้งฉู่เย่าเดินจากไป ความเข้มแข็งและหยิ่งยโสของฉันก็เหมือนกับลูกโป่งที่ถูกจิ้มแตก ส่งเสียงดัง ‘ฟู่’ แล้วก็แบนแต๊ดแต๋ น้อยใจ โกรธเคือง เสียใจ…ความรู้สึกด้านลบต่างๆ เอ่อขึ้นมาในใจ ฉันพยายามสงบสติอารมณ์และฝืนกล้ำกลืนน้ำตาลงคอ แล้วเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเยาะเบาๆ
ฉันพึมพำใส่แผ่นหลังที่ค่อยๆ ลับหายไปของเขา “นั่นเป็นจูบแรกของฉัน เจิ้งฉู่เย่า นายรู้บ้างมั้ย”
จูบแรกของหญิงสาวคนหนึ่ง…แต่กลับถูกคนปฏิบัติอย่างดูถูกดูแคลนแบบนี้
คิดว่าฉันจะแอบหลบไปร้องห่มร้องไห้เหมือนผู้หญิงอ่อนแอบอบบางพวกนั้นเหรอ ไม่ นั่นไม่ใช่สไตล์ของฉันเลย!
การร้องไห้จนน้ำหูน้ำตาไหลเป็นสิ่งที่เด็กสามขวบทำกัน ตอนนี้หลินซิงเฉินไม่ใช่เด็กๆ แล้ว!
ฉันเชิดหน้ายืดอก สะพายกระเป๋าสายโซ่มีพู่ระย้าของแบรนด์อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ และสวมรองเท้าส้นสูงสีแดงเดินส่งเสียง ‘กึกๆๆ’ ดังกังวานไปตลอดทาง ฉันเดินมุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้า ตั้งใจจะช็อปปิ้งให้หนำใจ
เด็กจอมซนสามสี่คนวิ่งเล่นหัวเราะเฮฮาอยู่ตรงประตูหมุนซึ่งเป็นทางเข้า พวกเขากรีดร้องเสียงดังอย่างมีความสุข ทำให้ฉันถูนวดหน้าผากโดยไม่รู้ตัว ด้านหนึ่งก็แอบก่นด่าเด็กพวกนี้ว่าไม่มีใครสั่งใครสอน อีกด้านหนึ่งก็เบี่ยงตัวหลบอย่างระมัดระวัง แต่ทันใดนั้นเองต้นขาก็สัมผัสอะไรบางอย่างที่เย็นเฉียบ…โอ้! ให้ตายสิ!
ฉันตกใจอ้าปากค้างแล้วก้มลงดู ซอสช็อกโกแลตเปื้อนบนกระโปรงฉันหนึ่งดวง ของเหลวเหนียวเหนอะหยดลงมาจากขอบกระโปรงและไหลมาที่ขา เมื่อสายตามองต่ำลงไปอีกก็เห็นเศษไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟตกอยู่บนพื้น
ฉันใช้เท้าเหยียบขยี้จนเละเทะโดยไม่แม้แต่จะคิด!
“อ๊ะ ไอติมของผม…”
เจ้าของไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟตัวน้อยตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยื่นมือสั้นป้อมที่เลอะเทอะออกมาจะแตะที่ต้นขาฉัน ฉันกรีดร้อง
“เด็กบ้า! อย่าแตะต้องฉันนะ!” ฉันออกแรงปัดมือของเขาออก จากนั้นรอยนิ้วมือทั้งห้าก็ปรากฏขึ้นที่แขนขาวเนียนของเด็กคนนี้อย่างรวดเร็ว
“ฮือๆๆๆ แม่จ๋า!” เด็กน้อยตะโกนร้องเรียกแม่
ฉันชักอารมณ์เสียแล้ว
แล้วบริเวณรอบๆ ก็เกิดเสียงดังเอะอะโวยวายขึ้นมา ฉันถูกพวกแม่ๆ ป้าๆ ที่ชอบเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นห้อมล้อมทันที พวกเขาพูดคุยกระซิบกระซาบกันและพากันตำหนิติเตียนฉัน
“หืม ตีเด็ก…”
ฉันไม่ได้ตีเขา แค่ ‘ออกแรง’ ปัดเขานิดหน่อย
“ตีเด็กแบบนี้มันไม่ถูกนะ…”
แล้วจะให้ทำยังไง คนที่ก่อเรื่องคือเด็กคนนี้ ฉันต้องพูดกับเขาว่า ‘ไม่เป็นไร ขอบใจ’ อย่างนั้นเหรอ
“รีบขอโทษเด็กเร็ว ไม่อย่างนั้นพอโตขึ้นเขาอาจมีเงามืดในจิตใจ…”
เขามีเงามืด แล้วฉันไม่มีงั้นเหรอ ชุดแบรนด์เนมตัวสวยของฉันเจ๊งหมดแล้วเนี่ย!
ตำรวจล่ะ ตำรวจเป็นผู้ดูแลประชาชนไม่ใช่เหรอ รีบพาตัวเด็กคนนี้ไปซะ ไม่อย่างนั้นฉันคงจะอดตีเขาไม่ได้!
ฉันมองไปรอบๆ ตัว ดูว่ามีอะไรพอจะอุดปากที่ร้องไห้คร่ำครวญของเจ้าเด็กคนนี้ได้บ้าง และแล้วก็เห็นเด็กชายคนหนึ่งกำอมยิ้มอยู่ในมือและยืนมุงดูอยู่ด้านข้าง
“หนูจ๊ะ พี่สาวให้เงินหนึ่งร้อย ขอซื้ออมยิ้มของหนูหน่อย” เด็กชายเบิกตาโตด้วยความงุนงง เมื่อเขาได้สติกลับมา ธนบัตรสีแดงหนึ่งใบก็อยู่ในมือเขาเรียบร้อยแล้ว ส่วนอมยิ้มถูกฉันจับยัดใส่ปากของเด็กที่ร้องไห้คร่ำครวญคนนั้น
“อย่าร้องไห้เลยนะ” ฉันพูดปลอบเสียงนุ่มนวล “ขืนยังร้องไห้อีก พี่สาวจะเอาอมยิ้มยัดเข้าไปในก้นเธอ!”
เด็กน้อยหยุดร้องไห้ทันที ในปากอมอมยิ้ม แล้ววิ่งหนีไปด้วยสีหน้าตกใจกลัว
“ผมไม่เอาเงิน ผมจะเอาอมยิ้ม!” เฮ้อ ถึงตาเด็กชายที่ถูกฉัน ‘ซื้อ’ อมยิ้มไปร้องไห้บ้างแล้ว “ฮือๆๆๆ หม่ามี้ อมยิ้มผม…”
นี่! เงินหนึ่งร้อยซื้ออมยิ้มได้ตั้งเท่าไร ได้เงินไปแล้วยังจะโวยวายอีก
แม่ของเด็กชายหิ้วของพะรุงพะรังพลางรีบวิ่งมาจากอีกด้านหนึ่ง แล้วยื่นมือมาจูงเด็กชาย “ไม่ต้องร้องนะ เดี๋ยวหม่ามี้ซื้อให้อีกอัน”
เด็กชายร้องไห้สะอึกสะอื้น “คุณป้าคนนั้นดุมาก น่ากลัวมากเลย…”
คุณป้าอะไรกัน ฉันเป็นพี่สาวต่างหาก! พี่-สาว!
ใบหน้าฉันกระตุกไม่หยุด
อดทนไว้ ฉันบอกตัวเองว่าต้องอดทนไว้ คิดเล็กคิดน้อยกับเด็กจนๆ ที่ไม่มีใครสั่งใครสอนมีแต่จะทำให้ตัวเองดูต่ำลง
ฉันคือหลินซิงเฉิน! คุณหนูผู้สง่างามและสูงส่ง!
ตอนนี้ต้องจัดการกับคราบไอศกรีมที่น่าขยะแขยงตรงขาเสียก่อน ฉันเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าอยู่นานสองนาน มีทั้งโทรศัพท์มือถือ บัตรต่างๆ เงินสด…ข้าวของเยอะแยะ แต่กลับหาทิชชูไม่เจอสักแผ่น
การใช้ธนบัตรเช็ดเป็นการกระทำของพวกชอบอวดรวย แต่วินาทีนี้ฉันมีความคิดแบบนี้จริงๆ
ทันใดนั้นเงาดำที่คล้ายภูเขาลูกเล็กเงาหนึ่งทอดลงตรงหน้า มือตุ๊กตาขนาดใหญ่ข้างหนึ่งปรากฏต่อสายตาทันที ฉันไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา “ไปเถอะไป ฉันไม่อยากได้ลูกโป่ง”
เจ้าคิตตี้แบมือออก ฉันถึงได้รู้ว่าในมือเขาถือทิชชูหนึ่งห่อ ฉันยังไม่ทันจะบอกว่าไม่เอา เขาก็ยัดมันใส่ในมือฉันแล้วเดินจากไป เมื่อก้มลงมองดูดีๆ บนห่อทิชชูพิมพ์สโลแกนโฆษณาไว้ว่า ‘ร้านค้าในธีมคิตตี้เปิดร้านใหม่ สินค้าราคาพิเศษทั้งร้าน’
ฉันงงงันอยู่ครู่หนึ่ง ที่แท้ก็เป็นทิชชูเพื่อการโฆษณานี่เอง
พอถูกพวกเด็กๆ ก่อกวนแบบนี้ ฉันก็ไม่มีกะจิตกะใจจะช็อปปิ้งแล้ว ก็เลยโบกเรียกแท็กซี่กลับบ้าน
เพิ่งจะเดินเข้าประตูบ้านมา ฉันก็ได้กลิ่นหอมกรุ่น ทั้งรู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคย
ฉันค่อยๆ เดินตามกลิ่นหอมเข้าไปในห้องครัว
“คุณหนูซิงเฉิน ทำไมไม่ให้ลุงเต๋อไปรับล่ะครับ” ลุงเต๋อหันหน้ามา ดูเหมือนว่าในปากกำลังเคี้ยวอะไรอยู่
“ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูมีคนขับรถอยู่ทั่วทั้งเมืองเลย!” ฉันทำหน้าทะเล้นพลางยื่นหน้าเข้าไปดมกลิ่นที่ข้างปากเขา “ลุงเต๋อ ลุงทานอะไรคะ กลิ่นหอมจังเลย”
“เกี๊ยวครับ คุณหนูคงยังไม่ได้ทานมื้อเย็นใช่มั้ย ลุงเต๋อจะเสิร์ฟจานใหญ่ให้” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของชายชรายิ้มแย้มขึ้นมาทันที
เกี๊ยวร้อนๆ มีไอสีขาวลอยโขมง ราดด้วยน้ำมันพริกสีแดงแจ๋ จากนั้นโรยต้นหอมซอยสีเขียวสด เป็นกลิ่นอายของบ้านเกิดที่ลุงเต๋อเฝ้าคิดถึง
“เกี๊ยวน้ำแคลอรีสูง…” ฉันกลืนน้ำลาย “หนูทาน ‘จานเล็ก’ ก็พอค่ะ”
“ไม่สูงครับไม่สูง คุณหนูสบายใจได้ ลุงเต๋อทำเกี๊ยวไส้หมู เอาไขมันออกหมดแล้ว” ลุงเต๋อเปิดเตาแล้วต้มน้ำอีกรอบ จนกระทั่งเกี๊ยวน้ำชิ้นขาวอวบเสิร์ฟลงบนโต๊ะแล้วก็ยังคงบ่นพึมพำไม่หยุด “คุณหนูผอมเกินไปแล้ว เด็กผู้หญิงต้องอวบๆ หน่อยถึงจะสวย ไม่ต้องไปลดน้ำหนักเหมือนดาราผู้หญิงในทีวีพวกนั้นหรอก! เลี้ยงดูให้คุณหนูผอมจนลมพัดทีก็ตัวปลิวอย่างนี้ พอลุงเต๋อตายไปจะให้อธิบายกับคุณพ่อของคุณหนูว่ายังไงล่ะครับ”
“Stop! เดี๋ยวหนูทานเกี๊ยวให้หมดจานเลยก็ได้ค่ะ!” ฉันเป่าเกี๊ยวให้หายร้อน แล้วป้อนใส่ปากที่พูดเป็นต่อยหอย
ลุงเต๋อกัดเกี๊ยวพลางหัวเราะเหอะๆ
หลังจากทานอิ่มแล้วฉันก็นอนแผ่บนเตียงขนาดใหญ่ คิดทบทวนคำพูดของเจิ้งฉู่เย่าอย่างลึกซึ้ง
เขาบอกว่าเขาเกลียดตา จมูก ปาก เส้นผม การแต่งตัว คำพูด และกิริยาท่าทางของฉัน…เกลียดทุกอย่างเกี่ยวกับตัวฉัน
นอกจากชาติตระกูลที่ฉันไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ที่เหลือก็ไม่ง่ายเหมือนกัน คุณชายสูงศักดิ์อย่างเจิ้งฉู่เย่าชอบผู้หญิงมารยาสาไถยที่เรียบง่ายไม่หรูหราอย่างอวี๋หยางหย่างหรอกเหรอ
พอส่องกระจกดูก็เห็นผู้หญิงที่แต่งหน้าเข้มจัดจ้านและสวยยั่วยวนเหมือนกับนางปีศาจจิ้งจอก…
เมื่อคิดดูดีๆ นอกจากตอนไปร่วมงานเลี้ยงที่เจิ้งฉู่เย่าแต่งตัวค่อนข้างเป็นทางการแล้ว ส่วนใหญ่เขาก็มักจะสวมเสื้อยืดเรียบๆ ไม่มีลวดลายหรือไม่ก็เสื้อเชิ้ตคู่กับนาฬิกาข้อมือโทนสีสดใส แต่งตัวสไตล์เด็กหนุ่มร่าเริง
ส่วนฉันแต่งตัวแบบสวยสง่าดูเป็นผู้ใหญ่ พอไปยืนอยู่ข้างๆ เขาทำให้ดูแก่กว่าเขามากทีเดียว มิน่าล่ะเจ้าเด็กบ้าพวกนั้นถึงเรียกฉันว่าป้า!
ผู้ชายมักจะถือสาเรื่องอายุ เฮ้อ ฉันเข้าใจ
เมื่อตัวเองค้นพบปมปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานนักฉันก็กลับมาอารมณ์ดีเหมือนเดิม
ในเมื่อค้นพบปัญหาแล้ว แผนการต่อไปก็คือดำเนินการแก้ไข!