Jamsai
ทดลองอ่าน Princess Syndrome ตอนที่ 2
วันรุ่งขึ้นฉันเข้าร้านเสริมสวยอย่างเร่งด่วน ขอให้อาจารย์อาข่าย ที่ปรึกษาด้านความงามชื่อดังที่เคยออกรายการ ‘ควีน’ มาช่วยเปลี่ยนลุคใหม่ให้กับฉัน
“ฉันอยากเปลี่ยนลุคใหม่ค่ะ” ฉันครุ่นคิด “อยากให้ดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสาแต่ก็แอบเซ็กซี่ ดูเรียบๆ แต่ก็ให้ความรู้สึกหรูหรานิดๆ แล้วก็ดูธรรมดาแต่ดึงดูดสายตาแบบร้อยเปอร์เซ็นต์!”
เมื่อได้รับคำสั่งของฉัน อาจารย์อาข่าย ช่างแต่งหน้า และช่างทำผมทั้งสามคนต่างก็มองหน้ากันเลิ่กลั่กอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าจะลำบากใจเล็กน้อย
“ช่วยพูดเจาะจงกว่านี้หน่อยได้มั้ยครับ”
แบบนี้ยังเจาะจงไม่พออีกเหรอ
ฉันตบกระเป๋าเงินแบรนด์หลุยส์ วิตตองลงบนโต๊ะ ดูท่าทางอวดรวยอย่างยิ่ง “ถ้าทำออกมาแล้วฉันพอใจ จะจ่ายเพิ่มให้อีกเท่าตัว”
อาจารย์อาข่ายตาเป็นประกาย ทั้งสามปรึกษากันอยู่พักหนึ่งแล้วก็เริ่มลงมือทำงาน
“คุณซิงเฉินผิวพรรณดี ใบหน้าก็สวยเนียนมีมิติ เหมาะกับสไตล์สาวสวยใสเป็นธรรมชาติ” อาจารย์อาข่ายชี้นิ้วเรียวยาวที่ใบหน้าฉัน “ตอนนี้การแต่งตาสีเอิร์ธโทนกับทาปากสีส้มกำลังเป็นที่นิยม คู่กับผมดำตรงนุ่มสลวยเงางาม…”
“สวยใสเป็นธรรมชาติเหรอ” เมื่อนึกถึงดวงตากลมโตใสแป๋วที่ดู ‘เขินอาย’ คู่นั้นของอวี๋หยางหย่าง ฉันก็พยักหน้า “อืม รีบลงมือเถอะค่ะ”
ช่างแต่งหน้าแต้มโลชั่นสำหรับเช็ดเครื่องสำอางบนใบหน้าฉัน แล้วใช้นิ้วมือนวดวนไปมา “ตอนนี้จะเช็ดเครื่องสำอางออกก่อนนะคะ”
คิดไม่ถึงว่าการตัดสินใจเดินบนเส้นทางของหญิงสาวที่มีสกุลรุนชาติจะขรุขระเดินยากลำบากยิ่งกว่าเส้นทางคดเคี้ยวของปีศาจจิ้งจอกที่สวยพราวเสน่ห์เสียอีก
ผมดัดเป็นลอนดูสวยมีเสน่ห์ที่เดิมทียาวประบ่าของฉันทั้งถูกยืดตรงและย้อมเป็นสีดำ กระบวนการใช้เวลาหลายชั่วโมงจนฉันอดสัปหงกไม่ได้ ขณะที่ศีรษะผงกหงึกๆ ฉันก็มักจะเจ็บจนสะดุ้งตื่นเพราะถูกดึงหนังศีรษะ
ตอนนั้นเองเด็กสาวที่เป็นผู้ช่วยก็เข้ามาใกล้ฉันอย่างขลาดกลัว “คุณหลินคะ?”
ฉันถลึงตาใส่เธอ แล้วเค้นเสียงออกมาจากซอกฟันหนึ่งพยางค์ “หืม?”
เธอห่อตัวเล็กน้อย “เล็บปลอมที่มือคุณ อาจารย์อาข่ายบอกว่าต้องถอดออก…”
ฉันมองดูนิ้วทั้งสิบที่ตกแต่งอย่างสวยงาม คริสตัลเม็ดเล็กๆ พวกนี้ของสวารอฟสกี้ ช่างทำเล็บบรรจงติดลงไปทีละเม็ดๆ มันเป็นงานศิลปะนะงานศิลปะ เธอเข้าใจไหม
“สวยใสเป็นธรรมชาติใช่มั้ย” ริมฝีปากฉันเม้มแน่นสนิท สุดท้ายก็หลับตา ลำตัวแน่นิ่ง “งั้นก็ถอดออกเถอะ”
การถอดเล็บที่วิบวับพวกนั้นทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดเหมือนกับการถอนขนของนกยูงที่เย่อหยิ่งออก เธอเข้าใจไหม
ฉันหมดอาลัยตายอยากเหมือนกับนกยูงที่ถูกถอนขนจนเกลี้ยงแล้วปล่อยให้คนฆ่าแกงตามอำเภอใจตัวนั้น พอนึกถึงว่าตัวเองต้องทนทรมานเพราะคำพูดเหลวไหลที่ว่า ‘ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเธอ ฉันเกลียดหมดเลย’ ของเจิ้งฉู่เย่า ฉันก็โมโหจนเลือดในกายเดือดพล่าน
เจิ้งฉู่เย่า นายคอยดูนะ ฉันจะใช้ความสามารถที่มีอยู่ทั้งหมดมายั่วยวนนาย!
เมื่อถึงตอนที่นายไม่เปลี่ยนใจไปจากฉัน ฉันจะเหยียบย่ำนายให้จมดิน เอาความแค้น ความขุ่นเคืองที่ได้รับในช่วงหลายวันมานี้มอบคืนกลับไปให้นายทั้งหมด!
สามสี่ชั่วโมงต่อมา ฉันมองดูผู้หญิงที่อยู่ในกระจกอย่างเหม่อลอย ถามอาจารย์อาข่ายว่า “นี่ฉันจริงๆ เหรอคะ ทำไมถึงรู้สึกว่าหน้าตาตัวเองแตกต่างไปจากเดิมมากเลย”
“อ๋อ! คุณแค่ไม่ชินตาเท่านั้นเอง แต่งแบบนี้ดูสดใสเป็นธรรมชาติมากเลย ดูแล้วเหมือนกับหญิงสาววัยแรกแย้ม!”
ปีนี้ฉันอายุสิบแปดปี ฉันก็เป็นหญิงสาววัยแรกแย้มอยู่แล้ว! ฉันขมวดคิ้ว
อาจารย์อาข่ายรีบหยิบเซ็ตติ้งสเปรย์ขึ้นมา แล้วฉีดใส่ใบหน้าฉันเบาๆ เพื่อให้เครื่องสำอางติดทนนานยิ่งขึ้น “ยิ้ม…ยิ้มหน่อย สาวสวยใสไร้เดียงสาต้องยิ้ม!”
ยิ้ม?
ฉันยกมุมปากที่แข็งทื่อขึ้น แล้วเขาก็ร้องตกตะลึงเสียเกินจริง “เป๊ะเว่อร์! สวยสุดๆ! สวยกว่านางแบบในโปสเตอร์เราเป็นสามสี่ร้อยเท่าเลย!”
ขณะที่รูดบัตรและเซ็นชื่อในสลิป อาจารย์อาข่ายก็ถามโพล่งออกมาว่า “ทำไมคราวนี้คุณซิงเฉินถึงอยากจะเปลี่ยนลุคเหรอครับ”
“เพื่อยั่วยวนผู้ชายค่ะ” ฉันตอบอย่างอารมณ์เสีย
อาจารย์อาข่ายถึงกับแข็งทื่อเป็นหิน
ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน ฉันไม่แม้แต่จะทานมื้อเที่ยง แล้วตรงดิ่งไปที่เคาน์เตอร์แบรนด์สำหรับหญิงสาวในห้างสรรพสินค้าทันที
“ลายจุดเล็กๆ บนกระโปรงสั้นลูกไม้พวกนี้ดูน่ารักสวยหวาน แมตช์ได้กับทุกอย่างเลยค่ะ แล้วก็ยังมีชุดเดรสชีฟองพวกนี้ที่ตรงปลายแขนเสื้อเป็นลายลูกไม้ ทั้งหมดนี้เป็นเทรนด์ฮิตล่าสุดหมดเลยค่ะ” พนักงานสาวที่เคาน์เตอร์พูดแนะนำไม่หยุด
เมื่อเดินออกจากห้องลองเสื้อ ฉันก็จ้องมองตัวเองในกระจก เสื้อเชิ้ตผ้าชีฟองสีขาวคู่กับกระโปรงพลีตสั้นสีฟ้าน้ำทะเล และยังผูกโบน่ารักๆ หนึ่งอันที่คอเสื้อ มุมปากฉันกระตุกอย่างแรง “คุณแน่ใจเหรอว่านี่เป็นสไตล์ที่ผู้ชาย ‘ปกติ’ ชอบกัน”
“แน่นอนค่ะ โดยทั่วไปผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงที่แต่งตัวดูสวยเป็นผู้ใหญ่เกินไป” พนักงานสาวที่เคาน์เตอร์ยืนยันแล้วยืนยันอีก “กระโปรงพลีตสั้นที่มีกลิ่นอายนักเรียนแบบนี้ พวกผู้ชายชอบที่สุดเลย”
กระโปรงสั้นที่มีกลิ่นอายนักเรียน? เพิ่มสายเอี๊ยมเข้าไปก็เป็นเครื่องแบบนักเรียนประถมชัดๆ เจิ้งฉู่เย่าเป็นพวกนิยมเด็กอย่างนั้นเหรอนี่
ความคิดนี้แวบเข้ามาในสมองทันที เมื่อนึกถึงอกไข่ดาวที่ดูเหมือนยังโตไม่เต็มที่ของอวี๋หยางหย่าง…ฉันก็เกิดอาการมวนท้องขึ้นมา แล้วก็รู้สึกพะอืดพะอม คลื่นไส้เล็กน้อย
“คุณน้องแต่งแบบนี้ไปเดตกับแฟน ต้องเหมาะมากแน่นอนค่ะ”
เอ๋ คุณน้อง? ฉันงงงัน หมายถึงฉันน่ะเหรอ
“คุณยังเรียนหนังสืออยู่ใช่มั้ยคะ” พนักงานสาวชวนคุย “คุณดูดีมีออร่าแบบนี้ ต้องเรียนที่มหาวิทยาลัยชื่อดังแน่นอน”
มหาวิทยาลัย? ฉันเพิ่งอยู่ ม.ปลาย เองนะ
ฉันถลึงตาใส่เธอ แล้วหักนิ้วดังกร๊อบๆ เมื่อสังเกตเห็นว่าฉันมีสีหน้าบึ้งตึง พนักงานสาวก็คว้าเสื้อสิบกว่าชุดยัดใส่ในมือฉัน “ชุดพวกนี้ก็เหมาะกับคุณนะคะ! คุณน้องรีบไปลองใส่ดูสิคะ!”
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คำเรียก ‘คุณน้อง’ คำนี้ก็ทำให้ฉันมีความสุขมากอยู่ดี
“ตัวนี้ แล้วก็ตัวนี้…” หลังจากลองเสื้อเสร็จแล้วฉันก็ควักบัตรเครดิตออกมาอย่างองอาจผึ่งผาย “…ไม่เอา นอกนั้นพับใส่ถุงให้ฉันทั้งหมด! ต่อไปฉันอยากจะดูรองเท้าหน่อย”
ตู้เสื้อผ้าของผู้หญิงไม่เพียงขาดเสื้อผ้าอยู่หนึ่งตัวตลอด แม้แต่ในตู้เก็บรองเท้าก็มักจะขาดรองเท้าอยู่หนึ่งคู่เสมอ
แม้แม่ใหญ่จะดุร้ายอยู่สักหน่อย คอยคิดที่จะผลักฉันลงไปในขุมนรก แต่ว่าเรื่องเงินทองเธอตามใจฉันมากเลย
แม้กฎหมายจะระบุไว้ว่าต้องอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ถึงจะมีบัตรเครดิตได้ แต่แม่ใหญ่ก็ยังคงให้บัตรเสริมกับฉันหนึ่งใบ เท่าที่รู้บัตรหลักเป็นบัตรเครดิตแบล็กไดมอนด์ที่ไม่จำกัดวงเงิน ถึงแม้บัตรในมือฉันจะเป็นบัตรเสริม แต่อานุภาพก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน หลังจากบรรดาพนักงานสาวที่เคาน์เตอร์วิ่งไปส่งข่าวให้กัน เพียงไม่นานไม่ว่าฉันเดินไปที่ไหนก็มีพนักงานบริการยิ้มแย้มแจ่มใสคอยต้อนรับตลอด ขาดก็แต่ไม่ได้ปูพรมแดงเท่านั้น
ฉันซาบซึ้งในหลักการอันลุ่มลึกที่ว่า ‘เงินทองไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ไม่มีเงินไม่ได้เด็ดขาด’ อีกครั้ง
สวรรค์อยู่แห่งหนใดน่ะหรือ สวรรค์ก็คือเวลาที่คุณมีบัตรเครดิตไม่จำกัดวงเงิน ไม่ว่าเดินไปที่ไหนก็ล้วนเป็นสรวงสวรรค์ทั้งสิ้น!
ขณะที่ฉันมีสีหน้าภูมิอกภูมิใจและโอ้อวด มีผู้คนห้อมล้อม ในหูได้ยินคนเหล่านี้พูดคุยเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว แต่ไม่รู้ทำไม…กลับยิ่งเอือมระอาขึ้นเรื่อยๆ
หางตาฉันเหลือบเห็นตุ๊กตาคิตตี้ที่คุ้นเคย เขากำลังยืนแจกลูกโป่งให้กับผู้คนที่มาช็อปปิ้งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้าง เด็กๆ ห้อมล้อมขอถ่ายรูปกับเขาด้วยความตื่นเต้นดีใจ ใครเข้ามาเขาก็ไม่ปฏิเสธ มือซ้ายจูงเด็ก ส่วนมือขวาอุ้มเด็ก ใบหน้านั้นไม่มีปากและสีหน้าดูเรียบเฉย แต่ฉันกลับรู้สึกว่าเขากำลังยิ้มอยู่ เป็นรอยยิ้มจริงใจที่ออกมาจากหัวใจ
ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ! ถึงได้มองออกว่าคนที่สวมหัวตุ๊กตาแมวไม่มีปากกำลังยิ้มอยู่
แล้วจู่ๆ คิตตี้ตัวนั้นก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สายตามองทะลุผ่านฝูงชนมากมายมายังฉันที่อยู่ไกลๆ แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเองฉันก็สบเข้ากับดวงตาดำขลับของเจ้าแมวไม่มีปาก
ฉันยืนอยู่เงียบๆ หน้าร้านแบรนด์เนมที่สว่างไสวสวยงาม ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวดูเหมือนว่าจะหยุดนิ่ง แล้วฉันก็ค่อยๆ ฉีกยิ้มราวกับต้องมนตร์สะกด…เฮลโล คิตตี้!
ขอบคุณนะสำหรับทิชชู
ไม่เป็นไร ดูเหมือนว่าจะได้ยินเขาพูดแบบนี้
สวรรค์! ฉันต้องเบลอไปแล้วแน่เลย! คิดไม่ถึงว่าฉันจะส่งสายตาให้กับคิตตี้ที่ไม่รู้ว่าเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย!
เสียงดังอื้ออึงของผู้คนลอดเข้ามาในหูฉันอีกครั้ง ฉันสะบัดหัวแล้วซื้อๆๆ เซ็นสลิปบัตร เอาของใส่ถุง…ฉันช็อปแหลกลาญ
ในวันนั้นฉันยังไปทานอาหารเย็นกับคิตตี้ด้วย และถือโอกาสแวะไปดื่มเหล้ากันนิดหน่อย ดูเหมือนว่าจะเกิดอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นด้วย
นี่เป็นแมวปีศาจ! ใช่แน่นอน! ไม่ผิดแน่! ฉันถึงได้ติดกับเขาเพียงแค่มองตาเขาแวบเดียว!
กว่าฉันจะได้สติกลับมาจริงๆ ก็เป็นเช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว จากนั้นก็พบเรื่องที่ทำให้ต้องทรุดฮวบอย่างแรง…ฉันหลินซิงเฉิน คุณหนูผู้สง่างามน่าเกรงขาม กอดอยู่กับคิตตี้จอมชั่วร้ายตัวนี้ตลอดทั้งคืน!
นี่มันอะไรกันนี่
จากนิยายรักกระโดดไปนิยายแฟนตาซีอย่างนั้นเหรอ
หรือว่าฉันทะลุมิติจากโลกแห่งความจริงไปสู่โลกแห่งการ์ตูน?