X
    Categories: JamsaiPrincess Syndromeทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Princess Syndrome ตอนที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 6

อาการที่สอง

ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง

 

หากไม่ต้องการให้ใครแทนที่ได้ ต้องแตกต่างไม่เหมือนใครอยู่เสมอ กรุณาเรียกฉันว่านางฟ้า…จอมเพี้ยน

“อะไรนะ! ห้องคนไข้ธรรมดา? ฉันไม่อยากอยู่ห้องธรรมดา ไม่เอา! ไม่เอาเด็ดขาด ยังไงก็ไม่เอา!” ฉันนวดคอ กลั้นความเจ็บเอาไว้ แต่ไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย “จัดให้ฉันอยู่ห้องวีไอพี ฉันยินดีจ่ายให้สามเท่าเลย!”

ตกลงผู้ชายคนนั้นจะช่วยฉันหรือว่าจะฆ่าฉันกันแน่ ลงไม้ลงมือหนักขนาดนี้!

“คุณครับ มันไม่ใช่เรื่องเงินหรอกครับ” คุณหมอผู้ชายที่หนุ่มแน่นและแสนสุภาพมองฉันด้วยความลำบากใจ “เป็นเพราะห้องคนไข้วีไอพีไม่มีเตียงเหลือแล้วครับ”

“ไม่มีเตียงใช่ปัญหาของฉันเหรอ” อาการเจ็บเป็นพักๆ ที่แล่นมาจากต้นคอทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วตลอดเวลา ภายในใจพ่นคำหยาบเป็นชุด แน่นอนว่าการพูดการจาก็ไม่ไพเราะเช่นกัน “คุณโง่เหรอไง ไม่มีเตียง แล้วไม่รู้จักเรียกให้คนที่ครอบครองเตียงอยู่ทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลเหรอ”

“แต่ว่า…”

“แต่ว่าอะไร คุณรู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร”

เขาตรวจดูข้อมูลในมืออย่างเป็นจริงเป็นจังแล้วพยักหน้า “อืม ทราบครับ”

“อือฮึ ฉันเป็น…” ฉันฝืนกลั้นความเจ็บไว้แล้วเชิดคาง ถึงแม้สารรูปจะยับเยินไปทั้งตัว แต่ก็ต้องรักษาความเย่อหยิ่งไว้ แบบนี้ถึงจะใช่มาดของคุณหนูตระกูลดัง

ทว่ามาดคุณหนูของฉันกลับถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดีด้วยคำพูดต่อมาของคุณหมอสุดหล่อ

“คุณเป็นผู้ป่วยจมน้ำที่เพิ่งถูกส่งตัวมาจากโรงแรม W…” เขาอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่ฉันได้รับการช่วยเหลือจากการจมน้ำ “ได้ทำการปฐมพยาบาลฉุกเฉินในที่เกิดเหตุแล้ว โดยการระบายน้ำที่คั่งอยู่ในทางเดินหายใจ ปอด และช่องท้องออก…”

พอนึกถึงเรื่องที่ผู้ชายคนนั้นช่วย ‘ปฐมพยาบาล’ ให้ฉันที่ริมสระว่ายน้ำ ฉันก็เกิดอยากจะตายขึ้นมาทันที

ผู้ชายคนนั้นไม่ทะนุถนอมอ่อนโยนเลยแม้แต่น้อย เขาทำเหมือนกับรีดน้ำออกจากถุงผ้าไม่มีผิด คว้าเอวฉันจากทางด้านหลัง จับตัวฉันกดบนต้นขาเขา แล้วออกแรงกดที่แผ่นหลังฉัน ฉันสำลักน้ำออกมาอย่างหนัก อีกทั้งยังอาเจียนเรี่ยราดเต็มพื้น

ทุกคนหัวเราะเยาะเหมือนกำลังชมดูเรื่องสนุก…อา คิดไม่ถึงว่าหลินซิงเฉินก็มีวันที่พังยับเยินไม่เป็นท่าเหมือนกัน!

แล้วก็ยังพวกลามกอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งพวกนั้นอีก…

‘จุ๊ๆ ดูหุ่นสวยเซ็กซี่นี่สิ เปียกหมดเลย เร็ว รีบถ่ายไว้เร็ว!’

‘อย่ามอง! อย่าถ่ายนะ!’

ตอนนั้นฉันปกปิดความโป๊อล่างฉ่างอย่างเงอะๆ งะๆ แต่พอปิดบนก็โผล่ล่าง สุดท้ายก็พบว่าวิธีที่ได้ผลที่สุดคือใช้สองมือปิดหน้าตัวเองเสียเลย

‘ไปซะ หลีกไป!’ ฉันแผดเสียงดัง ยังคงดุดันเหมือนเดิม ไม่มีใครรู้หรอกว่าขณะที่ใช้สองมือปิดหน้าอยู่นั้น ฉันน้ำตานองหน้าไปเรียบร้อยแล้ว

ไม่มีใครรู้หรอก…ใช่มั้ย

เสื้อคลุมสีขาวเหลือบเงินตัวหนึ่งคลุมลงบนตัวฉันอย่างช้าๆ มันเป็นเหมือนขนนกที่ห่มคลุมความอ่อนแอและสารรูปที่ยับเยินของฉัน

“การปฐมพยาบาลหลังจากที่จมน้ำทำได้ดีมาก คุณต้องขอบคุณคนคนนั้นที่ช่วยชีวิตคุณไว้”

ฉันตะลึงงันทันที แล้วพูดตัดบทคุณหมอ รู้สึกทั้งอับอายทั้งโมโห “พอได้แล้ว! พอสักที! คุณเป็นใคร ดูคุณยังหนุ่มยังแน่น คงจะเป็นหมอฝึกหัดสินะ ฉันไม่คุยกับคุณ ไปเรียกคนที่มีอำนาจที่สุดของที่นี่มา”

“ผมชื่อเหยียนข่าย เป็นหัวหน้าแพทย์ประจำบ้าน” คำพูดของเขาทำให้ฉันคลายสงสัย แถมยังพูดเสริมว่า “ตอนนี้เป็นเวลาเข้าเวรของผม ทั้งชั้นนี้ผมเป็นคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจ”

เฉียบขาดมาก ฉันขอชื่นชม

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาบ้าผู้ชาย สิ่งสำคัญคือไม่ว่าไปที่ไหนฉันก็ได้รับการปฏิบัติระดับวีไอพี ต่อให้เข้าพักรักษาที่โรงพยาบาลก็ต้องวีไอพี จะลดตัวไปอยู่ห้องธรรมดาไม่ได้เด็ดขาด!

ไม่ใช่ว่าฉันเรื่องมากนะ แต่นี่เป็นเรื่องของกฎ การยืนหยัดในกฎไม่ใช่สิ่งที่น่าอาย

“ในเมื่อคุณเป็นหัวหน้าแพทย์ประจำบ้าน งั้นคุณก็คิดวิธีหาห้องคนไข้วีไอพีมาให้ฉัน” ฉันแบมือสองข้างออก สองขาก้าวขึ้นไป แล้วนอนนิ่งอยู่บนเตียงเข็นคนไข้อย่างไร้ยางอาย “ไม่อย่างนั้นฉันก็จะอยู่ที่ห้องฉุกเฉินนี่ ไม่ไปไหน”

“เชื่อหรือเปล่าว่าผมจะให้คุณทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย” เสียงของชายหนุ่มทุ้มต่ำลง เห็นได้ชัดว่าเริ่มโมโหแล้ว

เชอะ ดูสุภาพเรียบร้อยแค่ภายนอก หัวหน้าแพทย์ประจำบ้านคนนี้นิสัยแย่จริงๆ เลย

“คุณกล้าเหรอ ฉันจะฟ้องคุณ” ฉันหาเรื่องเขา

เขาเลิกต่อล้อต่อเถียงไร้สาระกับฉัน แล้วหันไปบอกคุณพยาบาลว่า “คุณเหอ เดี๋ยวช่วยติดต่อญาติของคุณผู้หญิงคนนี้ให้หน่อย”

พอเห็นว่าคนที่คุณพยาบาลพาเข้ามาคืออาเมิ่งซี ฉันก็ยันตัวขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ “อาเมิ่งซี…”

คนที่พาฉันมาส่งที่โรงพยาบาลคือเขา?

“คุณหมอเหยียน ขอโทษด้วยครับ เด็กคนนี้สร้างปัญหาให้คุณหมอซะแล้ว”

“โวยวายว่าจะอยู่ห้องวีไอพีมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว” คุณหมอสุดหล่อขมวดคิ้ว แล้วถือโอกาสฟ้องเรื่องฉัน “ทรัพยากรทางการแพทย์ไม่ได้นำมาใช้กันแบบนี้”

“ฉัน…” เพิ่งจะอ้าปาก อาเมิ่งซีก็กดศีรษะฉันทันทีเพื่อบอกเป็นนัยว่าปล่อยให้เป็นหน้าที่เขาเอง

“เจ้าเด็กคนนี้ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กจนเสียคนแล้ว” อาเมิ่งซีมองฉันด้วยสายตาเชิงตำหนิเล็กน้อย แล้วเดินจูงคุณหมอสุดหล่อไปคุยกันที่ข้างหน้าต่างทันที

ทั้งสองคนคุยพลางหัวเราะพลาง ดูเหมือนว่ายังแลกนามบัตรกันด้วย พวกเขามองข้ามฉันไปโดยสิ้นเชิง

ฉันจ้องมองพวกเขา พอจ้องนานเข้าๆ ก็รู้สึกว่า…ภาพชายหนุ่มสองคนอยู่ด้วยกันดูแล้วช่างอิ่มตาอิ่มใจจริงๆ คนหนึ่งเป็นนักธุรกิจสวมชุดสูทสีดำ ส่วนอีกคนเป็นคุณหมอมืออาชีพสวมเสื้อกาวน์สีขาว ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็คือ ‘ท่านประธานหน้าเนื้อใจเสือฝ่ายรุก’ กับ ‘คุณหมอผู้อ่อนโยนฝ่ายรับ’…โอย เลือดกำเดาจะไหล ฉันแอบเช็ดจมูก

“ซิงเฉิน ขอโทษคุณหมอเหยียนซะ” อาเมิ่งซีพูด น้ำเสียงเฉียบขาดเล็กน้อย

แย่แล้ว ถูกจับได้แล้วเหรอว่าในหัวฉันกำลังเล่นหนังโป๊ฉากที่ท่านประธานคร่อมอยู่บนตัวคุณหมออยู่

“ทำไมหนูต้องขอโทษด้วย” ฉันกินปูนร้อนท้อง “หนู…ทำผิดตรงไหน”

“ทำผิดทุกตรงนั่นแหละ ขอโทษเร็ว”

“คุณหมอเหยียน ขอ…ขอโทษ…ค่ะ” สามพยางค์นี้ช่างพูดออกจากปากได้ยากจริงๆ ฉันเบือนหน้าไปอีกทางแล้วพูดเสียงเบา

“ช่างมันเถอะ ดูแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร รบกวนคุณช่วยพาเธอไปที่ห้องคนไข้ด้วยนะ” คุณหมอเหยียนตบบ่าอาเมิ่งซีเบาๆ

คุณหมอเหยียนพูดกำชับสามสี่ประโยคแล้วก็เดินจากไป

“ไปห้องวีไอพีเหรอคะ”

“อืม”

ฉันฉีกยิ้มมุมปากด้วยความดีใจ “อาเมิ่งซีเยี่ยมที่สุดเลย!”

ทว่าความดีอกดีใจคงอยู่ได้ไม่นานนัก

ฉันมองไปรอบๆ ห้องคนไข้อย่างเซ็งๆ บนผนังห้องติดวอลล์เปเปอร์ลายตัวการ์ตูนแมวไม่มีปากสีชมพู บนเตียงคนไข้ปูด้วยผ้าปูที่นอนลายตัวการ์ตูนแมวไม่มีปากสีชมพูและมีหมอนลายตัวการ์ตูนแมวไม่มีปากสีชมพูวางอยู่ แล้วก็ยังมีชุดคนไข้สีชมพูที่ตัวค่อนข้างเล็กไปหน่อย…ฉันข้ามมิติมาอยู่ที่ช่องการ์ตูนอย่างนั้นเหรอ

เสียงหัวเราะสนุกสนานของเด็กๆ ดังลอยมาจากด้านนอกระเบียงทางเดิน ระคนกับเสียงดุที่กดต่ำของคุณพยาบาล “ห้ามเล่นที่ระเบียงทางเดินของโรงพยาบาล!”

เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นที่ฟังดูเศร้าสร้อยขึ้นเรื่อยๆ ดังทะลุผนังเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย

“ฮือๆๆ แม่จ๋า หนูไม่อยากฉีดยา! ฮือๆๆ…”

“ฮือๆๆ พ่อฮะ ผมไม่อยากกินยา!”

“ฮือๆๆ หนูไม่อยากนอนโรงพยาบาล หนูอยากกลับบ้าน…”

บางครั้งก็มีเสียงกรีดร้องลั่นดังลอยมาท้าทายขีดความอดทนของคนเรา

“ห้องผู้ป่วยเด็ก?” มุมปากฉันกระตุก

“อืม” อาเมิ่งซียิ้มอย่างอ่อนโยน “คุณหมอเหยียนบอกว่าเหลือแต่ห้องนี้แล้ว เป็นห้องคนไข้วีไอพี เฮลโล คิตตี้”

ฉันหมดคำพูดโดยสิ้นเชิง

ฉันอยู่โซนผู้ป่วยเด็กที่เสียงดังครื้นเครงเหมือนกับโซนเครื่องเล่นสำหรับเด็กในร้านแมคโดนัลด์ ฉันคอยบอกตัวเองให้ใจเย็นๆ ใจเย็นไว้ ต้องใจเย็นสุดๆ

เยี่ยมไปเลย ฉันถูกหลอกเสียแล้ว

“หน้าเธอซีดมาก ไม่เป็นไรใช่มั้ย”

“หึๆ ฮะๆๆ ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันนวดขมับที่ปวดตุบๆ แล้วยิ้มแห้ง “คิตตี้น่ารักมาก หนูเองก็ชอบคิตตี้มากเหมือนกันค่ะ”

“มือเธอเป็นอะไรน่ะ”

ฉันชูมือขึ้น ถึงได้รู้ว่าข้อมือฉันตรงใกล้ๆ ง่ามนิ้วระหว่างนิ้วโป้งและนิ้วชี้มีคราบเลือดสดๆ สามสี่คราบ เลือดสีแดงฉานกำลังค่อยๆ ไหลซึมออกมาทีละหยดๆ แล้วแขนเสื้อสีชมพูก็ถูกย้อมกลายเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว

ฉันสั่นกระตุกเล็กน้อย ร้องครวญครางเบาๆ “คงจะ…เป็นตอนที่ดิ้นทุรนทุรายอยู่ในน้ำแล้วโดนอะไรบาดเข้า”

“ไม่เจ็บเหรอ”

ที่จริงบาดแผลไม่ลึก ตอนที่ขึ้นรถพยาบาลมาเลือดอาจหยุดไหลไปแล้ว แต่ว่าเมื่อกี้นอนกลิ้งไปกลิ้งมา บาดแผลก็เลยฉีกขึ้นมาอีก

“เจ็บค่ะ” ฉันสูดจมูกฟุดฟิดและตอบตามตรง “เจ็บมากจริงๆ”

ฉันคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องไปสนใจมัน แต่ที่จริงแล้วหลังจากเกิดเรื่องสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดล้วนแล้วแต่เป็นบาดแผลจิ๊บจ๊อยพวกนี้

เขาอดหัวเราะไม่ได้ ก่อนงอนิ้วเคาะหน้าผากฉันเบาๆ ทีหนึ่ง “ยอมใจเธอจริงๆ มือบาดเจ็บขนาดนี้ยังมีกะจิตกะใจอาละวาดอีก”

ฉันอยากจะโหยหาความอ่อนโยนของเขาต่อเหลือเกิน ถึงแม้ว่าแบบนี้จะทำให้ฉันดูเหมือนเด็กก็ตามที

“เดี๋ยวอาไปเรียกพยาบาลมา…”

“อย่าเรียกคนอื่นมานะคะ” ฉันจับเขาไว้ แล้วยื่นมือข้างที่บาดเจ็บไปตรงหน้าเขา พร้อมกับขอร้องอย่างเอาแต่ใจ “คุณ…เจิ้งเมิ่งซี ช่วยทายาให้หนูหน่อย”

แม้เขาจะเป็นฝ่ายปฏิเสธฉันก่อน แต่ฉันรู้ว่าไม่ว่าอย่างไรฉันก็เป็นหนามกุหลาบที่บ่งไม่ออกอยู่ในใจเขา

ชายหนุ่มหัวเราะอย่างจนปัญญา แล้วเดินออกจากห้องคนไข้ไปขอยืมกล่องยากับคุณพยาบาล จากนั้นนั่งลงข้างเตียงคนไข้ หยิบหมอนอิงหน้าคิตตี้มารองใต้ข้อมือฉัน เขาทำความสะอาดแผล ใส่ยาฆ่าเชื้อโรค ทายา แล้วก็พันผ้าพันแผล…เขาทำอย่างเบามือและระมัดระวัง ราวกับว่าฉันเป็นตุ๊กตากระเบื้องอันล้ำค่า

จู่ๆ ภายในห้องคนไข้ก็เงียบสนิท เงียบจนรู้สึกว่าเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังมาก

ฉันพยายามเบนสายตาไปที่ผนังห้อง บนผนังแขวนนาฬิกาลายคิตตี้ เข็มชั่วโมงกับเข็มวินาทีขยับอย่างช้าๆ มาเจอกันและซ้อนทับกัน ส่งเสียงดังติ๊กๆ

ทำไมคิตตี้ถึงไม่มีปาก ไม่มีปากก็พูดบอกอะไรไม่ได้ จะต้องรู้สึกอึดอัดมากแน่เลย

เขานิ่งเงียบอยู่นาน ก่อนถอนหายใจเบาๆ “อากลับก่อนนะ”

“ช่วย…อยู่เป็นเพื่อนหนูต่ออีกหน่อยได้มั้ยคะ” ฉันจับชายเสื้อเขาแน่น “หนูอยู่คนเดียว รู้สึกกลัว”

“ซิงเฉิน อาอยู่เป็นเพื่อนเธอ ปกป้องเธอได้” ดูเหมือนว่ามีแสงอ่อนๆ ฉายวาบขึ้นในดวงตาเขาแล้วเลือนหายไปในทันที “แต่อยู่เป็นเพื่อนเธอ ปกป้องเธอเหมือนกับพี่ชายคนหนึ่งเท่านั้น”

เหมือนกับพี่ชายคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอะไรอย่างอื่น

ฉันปล่อยมือทันที “หนู…ไม่มีหวังเลยสักนิดจริงๆ เหรอคะ”

“อาแต่งงานแล้วนะ”

“คุณไม่ได้รักเธอสักหน่อย ที่คุณแต่งงานกับเธอก็แค่เพราะ…”

ชายหนุ่มตัดบทฉันอย่างรวดเร็ว เขาพูดจาตัดเยื่อใยและโหดร้าย “อาไม่มีทางหย่า และอาก็ไม่ได้มีความรู้สึกฉันชู้สาวกับเธอ เพราะฉะนั้นเธออย่ามัวสนใจอาเลย”

“งั้นคุณก็อย่าสนใจหนูด้วยเหมือนกัน” ฉันเม้มปากด้วยความเจ็บปวด รู้สึกน้อยใจเล็กน้อย “ถ้าทำแบบนี้หนูจะเข้าใจผิดได้ง่ายๆ”

ที่แท้คำพูดที่ว่า ‘ฉันจะปกป้องเธอ’ ของผู้ชายก็เหมือนกับยาพิษที่เคลือบด้วยน้ำตาล หลอกให้คุณกินจนติดใจแล้วค่อยมาบอกคุณว่าไม่ได้มีความคิดฉันชู้สาวใดๆ ทั้งสิ้น ถ้ากินแล้วรู้สึกหวาน แสดงว่าคุณคิดไปเองทุกสิ่งทุกอย่าง

มิน่าล่ะฉันถึงได้ป่วยกาย ป่วยใจ แล้วก็ป่วยทางจิต

เขาตะลึงงัน แล้วกลั้นยิ้ม “ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง ขอโทษทีนะ ต่อไปอาจะระวัง จะไม่ทำให้เธอต้องเข้าใจผิดอีก”

ในดวงตาค่อยๆ เต็มไปด้วยหมอกขาว ฉันเบือนหน้าไปทางอื่น พยายามคุมให้น้ำเสียงฟังดูสบายๆ ที่สุด “ไม่เป็นไรค่ะ”

แล้วจู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ช่วยยุติความอึดอัดระหว่างเราสองคน อาเมิ่งซีเดินออกไปรับโทรศัพท์ข้างนอกห้อง เขาคุยโทรศัพท์อยู่พักใหญ่ เมื่อเขากลับมาที่ห้องคนไข้อีกครั้ง ฉันก็สงบสติอารมณ์ลงแล้ว

“เจิ้งฉู่เย่า…” ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ”

“ไม่เป็นไร”

“อืม”

“สองสามวันนี้ก็ช่วยทำเรื่องเข้าเรียนให้เธอเรียบร้อยแล้วล่ะ”

“ทำเรื่องเข้าเรียน?” คิ้วฉันขมวดมุ่นยิ่งขึ้น

“เราปรึกษากันแล้ว หลังจากปิดเทอมหน้าร้อนเธอก็ไม่ต้องกลับไปญี่ปุ่นแล้ว อยู่เรียนที่ไต้หวันจนจบ ม.ปลาย จากนั้นก็หมั้นกับฉู่เย่า แล้วทั้งสองคนก็ไปเรียนต่อต่างประเทศด้วยกัน”

“การแต่งงานเกี่ยวดองกันครั้งนี้ สองตระกูลจะได้ผลประโยชน์ที่แท้จริงอะไรบ้างคะ” ฉันถามโดยพยายามให้เสียงตัวเองฟังดูเรียบเฉย

“สกุลหลินจะได้เงินทุนอย่างไม่ขาดสาย ส่วนสกุลเจิ้งจะได้ที่ดินกับสิทธิ์ในหุ้น”

“เพราะฉะนั้นนี่ก็คือภารกิจของคุณ?”

“อืม” ข้อดีที่สุดของผู้ชายคนนี้ก็คือเวลาที่ควรตรงไปตรงมา เขาก็ไม่คลุมเครือแม้แต่น้อย

“รู้สึกว่าราคาถูกมากเลย” ฉันหลุบตาลงและมองดูหมอนอิงซึ่งไม่รู้ว่าตัวเองกอดไว้ในอ้อมแขนตั้งแต่เมื่อไร ฉันทุบใบหน้าอันไร้เดียงสาของคิตตี้เหมือนกับนวดแป้งโดห์ หลังจากหมดแรงฉันก็ได้แต่ทอดถอนใจและพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ”

ก่อนจะไปเขาแสร้งทำเสียงร่าเริงสดใส “ช่วงเย็นๆ หน่อยคุณแม่เธอจะมาเยี่ยมนะ”

คุณแม่? คุณแม่คนไหน แต่ช่างเถอะ ไม่ว่าคนไหน ตอนนี้ฉันก็ไม่อยากเจอทั้งนั้น

“บอกเธอว่าไม่ต้อง หนูอยากพักผ่อนค่ะ” ฉันหยิบหมอนอิงหน้าคิตตี้ที่ยับเยินขึ้นมา แล้วพลิกตัวหันหลังให้เขา

เพื่อการแต่งงานเกี่ยวดองกันที่ดีงามของสองตระกูลและผลประโยชน์ทางธุรกิจอันมหาศาล ดังนั้นฉันกับเจิ้งฉู่เย่าจึงถูกบังคับให้ปลูกต้นรักร่วมกันและเดตกันสองต่อสอง

ในค่ำคืนหนึ่ง เจิ้งฉู่เย่าโทรศัพท์มาหาฉันซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เสียงของเขาทั้งแข็งทื่อและฟังดูห่างเหิน เหมือนกับว่าที่ปลายสายด้านโน้นมีคนถือมีดจ่อที่คอเขาและบังคับให้เขาพูดชื่อฉันออกมา [หลินซิงเฉิน?]

ขณะนั้นเองมือของชายหนุ่มคนหนึ่งก็กำลังลูบไล้บนแผ่นหลังที่ขาวเนียนเกลี้ยงเกลาของฉัน กำลังมือไม่หนักไม่เบาไล่จากต้นคอไปยังสะโพก ฉันซุกหน้าลงบนหมอนขนเป็ดอย่างแสนสบาย แล้วทำเสียงฮึมฮัมทางรูจมูก “หืม?”

[ศุกร์นี้ว่างหรือเปล่า] เจิ้งฉู่เย่าถาม

นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ของชายหนุ่มกดที่คอฉัน แล้วทันใดนั้นก็ออกแรงกดบีบ ทั้งนวดทั้งกดลงที่บริเวณกึ่งกลางบ่าของฉัน จากนั้นความรู้สึกชาไม่มีแรงเหมือนถูกช็อตด้วยกระแสไฟฟ้าก็แผ่ซ่านจากสันหลังไปทั่วทั้งร่างกาย ฉันอดที่จะส่งเสียงทอดถอนใจไม่ได้ “ฮ้า~”

แล้วจู่ๆ ปลายสายด้านโน้นก็เงียบไป ฉันคิดว่าเจิ้งฉู่เย่าวางสายไปแล้ว ฉันเลยวางโทรศัพท์มือถือไว้ด้านข้างแล้วร้องฮึมฮัมในลำคอต่อ “อืม ตรงนี้เลย แรงอีกหน่อย…”

“แรงเท่านี้พอมั้ยครับ” ชายหนุ่มถาม เขาออกแรงตรงจุดเมื่อครู่นี้ “สบายมั้ยครับ”

“อ้าๆๆๆ สบายจัง…” ฉันรู้สึกสบายจนงอนิ้วเท้าและอดพูดเสียงหวานนุ่มนวลไม่ได้ “อ่ะฮ้า~ Baby คุณเยี่ยมไปเลย…”

นึกถึงเมื่อสามสี่วันก่อน ฉันพักรักษาตัวอยู่ที่ห้องผู้ป่วยเด็กของโรงพยาบาล มองดูตัวการ์ตูนแมวไร้ปากสีหน้าซึมกะทือที่มีอยู่ทั่วห้อง อีกทั้งมีเสียงกรีดร้องตกใจดังลอยมาจากนอกห้องเป็นระยะๆ ถึงจะไม่ป่วย แต่ก็ใกล้จะประสาทกินแล้ว

ฉันสงสัยเหลือเกินว่าเด็กแต่ละคนคงจะเป็นเครื่องขยายเสียงที่ใส่แบตเตอรี่ดูราเซลล์เอาไว้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะร้องไห้คร่ำครวญต่อเนื่องไม่หยุดเป็นครึ่งชั่วโมงได้อย่างไรกัน

ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือพอเด็กคนหนึ่งเริ่มร้องไห้ มันก็เหมือนกับเป็นโรคติดต่อไปยังคนที่สอง คนที่สาม คนที่สี่…หากร้องไห้กันแบบนี้ ต่อให้มีสิบกำแพงเมืองจีนก็ถูกคลื่นเสียงพังทลายหมด

ฉันอดทนอยู่นานสามชั่วโมงสามสิบสี่นาทีกับอีกสิบแปดวินาที ฉันอดทนจนสุดที่จะทนได้ แล้วรีบทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนเพื่อหนีไปจากนรกเสียงดังแสบแก้วหูแห่งนี้

ตอนแรกฉันคิดว่าโล่งอกแล้ว ใครจะรู้เล่าว่าพอตกกลางคืน ฉันนอนอยู่บนฟูกที่นอนคุณภาพดีของแบรนด์ฟาโลโมจากอิตาลี แต่กลับรู้สึกแปลกๆ ไปทั้งตัว ปวดตรงนี้ เจ็บตรงนั้น ทำให้นอนไม่หลับอยู่หลายคืน

คุณนายจูเลียแนะนำให้ฉันไปนวดแผนไทย เธอให้นามบัตรฉันมาใบหนึ่งและบอกว่าหมอนวดท่านนี้มากไปด้วยประสบการณ์ อีกทั้งยังให้บริการถึงที่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง

เมื่อเห็นว่าเป็นหมอนวดผู้ชาย ฉันก็รู้สึกขัดๆ เล็กน้อย ยิ่งพอนึกถึงว่าตัวเองต้องถูกชายแปลกหน้าลูบคลำตัวไปมาก็รู้สึกอายจริงๆ! แม้ว่าฉันจะไม่ค่อยสำรวม แต่ก็ยังพอมียางอายอยู่บ้างเหมือนกัน

‘หมอนวดผู้ชายแข็งแรงมาก เรี่ยวแรงก็เยอะ สิ่งสำคัญคือ ‘อึด’ ลองสักครั้งแล้วจะติดใจ แล้วต่อไปจะเรียกหาแต่หมอนวดผู้ชาย’ คุณนายจูเลียบิดขี้เกียจเล็กน้อย หน้าอกภูเขาไฟทำเอากระดุมบริเวณหน้าอกเกือบหลุดกระเด็นไปตามการเหยียดตัวของเธอ

‘งั้นเหรอ’ ฉันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งพลางเหลือบมองหน้าอกภูเขาไฟที่อยากออกมาทักทายผู้คนของเธอทีหนึ่ง ฉันแอบเสียใจว่าทำไมยีนดีๆ แบบนี้ถึงไม่ถ่ายทอดมาถึงฉันบ้าง ฉันเตือนเธอด้วยคำพูดที่ร้ายกาจ ‘แม่ พักนี้ดูเหมือนว่าหน้าอกแม่จะหย่อนนิดหน่อยแล้วนะ’

คุณนายจูเลียหน้าแดง จากนั้นกรีดร้องและทุบฉันอย่างแรงหนึ่งที

‘โอ๊ย คอหนู…’ ฉันร้องครวญคราง

จนกระทั่งเที่ยงคืนฉันก็ยังคงปวดเมื่อยตามเนื้อตัวไม่หาย ฉันทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงจำต้องข่มความเขินอายเรียกหาหมอนวดแผนไทยที่คุณนายจูเลียพูดชมไม่ขาดปาก เดิมทีฉันคิดว่าหมอนวดที่มาหาจะเป็นคุณลุง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนหนุ่มแน่นกำยำ นิ้วมือคล่องแคล่วว่องไว อีกทั้งเทคนิคยังใช้ได้ทีเดียว

สิบกว่านาทีต่อมา ฉันกัดฟันพลางร้องครางเบาๆ “อืม ฝีมือไม่เลวเลย ต่อไปให้ฉันเหมาคุณนะ”

“ไม่ทราบว่าต้องการ ‘บริการพิเศษ’ หรือเปล่าครับ” หมอนวดเน้นหนักตรงคำว่า ‘พิเศษ’

“หืม…” ฉันเกาหัว ในใจก็คิดว่ามีบริการ ‘พิเศษ’ ด้วย คิดไม่ถึงว่ากิจการด้านการนวดก็มีกลยุทธ์การกระจายธุรกิจเช่นกัน แต่ว่าฉันนอนไม่หลับติดต่อกันมาสามสี่วันจนสิวใกล้จะผุดขึ้นบนหน้าผากแล้ว เรื่องนอนหลับเต็มอิ่มอย่างเป็นเวลาสำคัญกว่า

“โอเคๆ ไว้ค่อยคุยกันคราวหน้าละกัน” ฉันโบกไม้โบกมือเล็กน้อย

หมอนวดเองก็ไม่ได้บังคับคาดคั้นอะไร เขากล่าวขอบคุณอย่างมีมารยาท แถมยังใส่ใจช่วยปิดไฟให้ฉันด้วย หลังจากเก็บข้าวของอย่างเงียบๆ เสร็จก็ออกจากห้องไป แล้วไปรับเงินกับคุณลุงพ่อบ้าน

ส่วนฉันยังคงอยู่ในท่านอนคว่ำตะแคงหน้าอยู่บนเตียง เนื้อตัวผ่อนคลายหายปวดเมื่อยเป็นปลิดทิ้ง แล้วความง่วงงุนก็ค่อยๆ เข้าจู่โจม ทำให้หนังตาหนักขึ้นเรื่อยๆ…

[หลินซิงเฉิน!]

ทันใดนั้นเองเสียงตะโกนแหบแห้งที่เย็นเยียบไปถึงกระดูกก็ลอดเข้ามาในหูฉัน ราวกับเสียงของปีศาจร้ายที่มาจากขุมนรก ฉันสะดุ้งตกใจ ความง่วงงุนหายไปกว่าครึ่งทันที

“แม่จ๋า ผีหลอก! ใครเรียกฉันน่ะ!”

ฉันเหลือบเห็นที่ข้างหมอนมีแสงไฟรำไร ที่แท้ก็มาจากโทรศัพท์มือถือนั่นเอง

คนหลอกคนสามารถหลอกถึงตายได้เลย ฉันเป็นคนขี้ขลาดมาก

ฉันขยี้ตา ก่อนจะเห็นชัดเจนว่ารูปใบหน้าของเจ้าคนขี้ฉุนเฉียวเจิ้งฉู่เย่าบนหน้าจอยังคงสว่างอยู่ เจ้าหมอนี่ยังไม่ได้วางสายหรอกเหรอเนี่ย

ฉันรับสายอย่างไม่พอใจ “นี่ นายยังไม่วางสายอีกเหรอ”

[เธอต่างหากที่ต้อง ‘วางสาย’!] เจิ้งฉู่เย่าพูดจาน้ำเสียงไม่ดี [นี่ เธอทำธุระเสร็จแล้วหรือยัง]

พิลึกคน โทรมาก่อกวนคนอื่นตอนดึกดื่นเที่ยงคืน ขนาดฉันยังไม่โมโห แล้วเขาโมโหเรื่องอะไร

แต่คนขี้ฉุนเฉียวก็คือคนขี้ฉุนเฉียว เอะอะก็ชอบโมโห เป็นโรคเจ้าชายชัดๆ เราอย่าเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือเลย

“ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดเจ้าคะ” ฉันหาวหนึ่งที

มีเรื่องอะไรก็รีบพูดมา ฉันจะนอนแล้ว

[เธอ! ยัยคนลา…] เขากัดฟันกรอดๆ แล้วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นถึงค่อยกลั้นหายใจพูดว่า [ศุกร์นี้]

“หืม?”

[อาเมิ่งซีอยากจะทานข้าวกับเรา]

“อืม” ฉันตอบสั้นๆ

[ส่วนเวลากับสถานที่ฉันจะส่งข้อความไปให้ อย่าลืมไปตามนัด แค่นี้นะ] ดูเหมือนว่าเขาจะไม่อยากคุยด้วยอีกแม้แต่วินาทีเดียว เขาพูดจบอย่างรวดเร็วแล้ววางสายไป

ฉันงุนงงอยู่พักหนึ่ง

ไม่ใช่สิ เมื่อกี้รู้สึกว่าเจ้าหมอนี่จะด่าฉันว่าลามกใช่ไหมนะ

ฉันไปทำอะไร เขาถึงได้ใส่ร้ายกันแบบนี้

นึกถึงวันนั้นที่ตกลงไปในสระว่ายน้ำ เจิ้งฉู่เย่าอุ้มอวี๋หยางหย่างขึ้นมา แล้วทำมิดีมิร้ายกับหญิงสาวที่สลบไสลตรงริมสระว่ายน้ำ ทั้งจูบทั้งหอม นี่ไม่เรียกว่าทะลึ่งลามก โรคจิต ต่ำทราม แล้วเรียกว่าอะไร

นึกไม่ถึงว่านิตยสารก๊อสซิปจะยังลำเอียงชมเขาว่าเป็นคนกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้องและช่วยเหลือผู้อื่น

เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า คนที่ผายปอดแบบเม้าท์ทูเม้าท์ได้ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนแบบที่พวกเขากล่าวชมเสียหน่อย!

เห็นได้ชัดว่าเจ้าเจิ้งฉู่เย่าคนขี้ฉุนเฉียว ‘กวนน้ำจับปลา’ …เอ๊ะ ใช้สำนวนนี้ในสถานการณ์เช่นนี้แล้วฟังดูแปลกๆ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าไม่เหมาะสมอย่างไร…ช่างเถอะ ฉันไม่เก่งภาษาจีน ทุกคนเข้าใจความหมายก็พอแล้ว

ฉันก่นด่าใส่โทรศัพท์ที่ส่งเสียงดังตู๊ดๆ อยู่สักพักใหญ่ “เจิ้งฉู่เย่า นายต่างหากผู้ชายลามก ทะลึ่ง โรคจิต ต่ำทราม! ฮึ!”

พอถูกเขายั่วโมโห หัวสมองฉันก็ปลอดโปร่งขึ้นเล็กน้อย แล้วหวนนึกถึงเรื่องในวันนั้น…อันที่จริงฉันเองก็ถูกช่วยชีวิตไว้เหมือนกันนี่นา

แม้ว่าวิธีการของคนคนนั้นออกจะป่าเถื่อนสักหน่อย แต่ให้ตายสิ เขาพูดขอโทษฉันถึงสองครั้ง ทำเอาฉัน…อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองได้รับการขอโทษจริงๆ

จู่ๆ เลือดลมก็พลุ่งพล่านอย่างน่าประหลาด แม้แต่กกหูก็ร้อนผ่าวขึ้นมา ฉันสูดหายใจเข้าลึก ลื่นไถลลงจากเตียง แล้วค้นเอาเสื้อคลุมสีขาวเหลือบเงินตัวนั้นออกมา

ขณะที่สารรูปฉันยับเยินไม่เป็นท่า คนคนนั้นก็ถอดเสื้อคลุมมาคลุมบนตัวฉัน แล้วเขายังพูดว่า…

‘ไม่เป็นไรแล้วนะ’

คำพูดนี้ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจ

ชุดนี้เป็นเสื้อคลุมแบบมีฮู้ดแบรนด์มาร์ก จาคอบส์ แบรนด์นี้ใส่ให้ดูดียาก แบบเสื้อพอดีตัวดูกระฉับกระเฉง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสีเมทัลลิกแบบนี้ คนที่สวมใส่จะต้องมีรูปร่างผอมสูงและไหล่กว้างถึงจะดูดีมีออร่า

ฉันสวมเสื้อคลุมลงบนตัว สอดมือออกมาทางปลายแขนเสื้อ นิ้วมือฉันโผล่มาแค่ครึ่งเดียว ระดับความยาวของเสื้อคลุมบังปิดบั้นท้ายฉันพอดี ดูท่าว่าเจ้าของเสื้อคลุมตัวนี้น่าจะสูงราวหนึ่งร้อยแปดสิบ

ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ตอนนั้นชุลมุนวุ่นวายเหลือเกิน ฉันเลยไม่ได้มองหน้าเขาให้ชัดๆ

ฉันควรจะกล่าวขอบคุณเขาสักครั้ง แต่ไม่รู้ว่าคนที่ช่วยชีวิตฉันเป็นใคร

ในสมองฉันค้นหาและเปรียบเทียบไปมาไม่หยุด ในงานปาร์ตี้วันนั้น แขกหนุ่มๆ ที่สูงประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตรมีใครบ้างนะ

มีเงินซื้อเสื้อผ้าแบรนด์เนมอย่างมาร์ก จาคอบส์มาใส่ได้ ชาติตระกูลคงจะดีใช้ได้ทีเดียว แล้วก่อนที่จะทุบฉันสลบยังรู้จักพูดขอโทษก่อน แสดงว่าได้รับการอบรมสั่งสอนมาดี ถึงแม้จะแต๊ะอั๋งฉันนิดหน่อย ทว่าเห็นแก่ที่ตอนนั้นสถานการณ์คับขัน คนสวยจิตใจดีอย่างฉันจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขาแล้วกัน

รู้สึกว่าเขาจะไม่ใช่คนที่แข็งแรงกำยำนัก แต่ท่อนแขนของเขาที่โอบกอดฉันนั้นมีเรี่ยวแรงมาก แผงอกของเขาที่แนบชิดกับแผ่นหลังเปลือยเปล่าของฉัน กล้ามเนื้อบนหน้าอกขยับขึ้นลงเล็กน้อย เมื่อได้สัมผัสก็รู้สึกดีทีเดียว ท่าทางจะเป็นผู้ชายที่รักการออกกำลังกายอยู่เหมือนกัน…

อ๊าๆๆๆ! ฉันเอามือปิดหน้าและกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงขนาดใหญ่ สุดท้ายก็ลุกขึ้นนั่งแล้วตบหน้าตัวเองดังฉาด

หลินซิงเฉิน เธอนี่มันจริงๆ เลย เกิดจินตนาการลามกกับเสื้อคลุมหนึ่งตัวอย่างนั้นเหรอเนี่ย

เนื่องจากถูกคู่หมั้นหนุ่มเมินก็เลยอิงไออุ่นจากการกอดเสื้อคลุมของผู้ชายคนอื่น หรือว่าแท้จริงแล้วคนที่ลามก โรคจิต และต่ำทรามคือฉันเอง?

หลังจากนอนไม่ค่อยหลับติดต่อกันสามสี่วัน คอนซีลเลอร์ก็ไม่อาจปกปิดรอยหมองคล้ำรอบดวงตาได้ ฉันจึงถือโอกาสแต่งตาแบบสโมกกี้อาย ริมฝีปากทาลิปสติกสีแดงแปร๊ด สวมชุดเดรสสั้นผ้าซาตินของแบรนด์เอ็มเอสจีเอ็มลายริมฝีปากสีแดงบนตัวกระโปรง ซึ่งฉันเลือกจับคู่กับรองเท้าส้นสูงสีแดงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

แต่งตาแบบสโมกกี้อาย ทาเล็บสีดำ และรองเท้าส้นสูงสีแดงแรงฤทธิ์ ส่วนเครื่องประดับเป็นสร้อยข้อมือสีทองรูปหัวกะโหลก วันนี้มาในสไตล์พั้งก์ร็อก ฉันชูโทรศัพท์มือถือขึ้นในมุมสี่สิบห้าองศา เอียงใบหน้าเล็กน้อย ตั้งท่าถ่ายภาพอย่างคล่องแคล่ว บรรดารูปสวยๆ ถูกโพสต์ลงในเฟซบุ๊กแล้ว รีบมากดไลค์รูปฉันกันเถอะ!

ด้านข้างไอคอนยกนิ้วโป้งสีน้ำเงินตรงใต้โพสต์นั้นตัวเลขเพิ่มขึ้นไม่หยุด ทำให้ฉันยิ้มอย่างพออกพอใจ

“อ่ะแฮ่ม คุณหนูซิงเฉินครับ” คุณลุงพ่อบ้านเคาะประตูอย่างเก้ๆ กังๆ “เหลือเวลาแค่สามนาทีนะครับ”

ฉันสไลด์โทรศัพท์มือถือ ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา “ ‘ยังมี’ เวลาอีกสามนาทีค่ะ”

“แต่ว่า…คุณชายเล็กแห่งสกุลเจิ้งมาถึงแล้วนะครับ”

“ให้เขารอที่ห้องรับแขกสักประเดี๋ยวค่ะ” ฉันโบกไม้โบกมืออย่างหงุดหงิด ส่วนนิ้วมือก็พิมพ์ตอบกลับข้อความเร็วปรื๋อ

ฉันจัดการกับคำขอเป็นเพื่อนสามสี่รายอย่างไหลลื่น ตอนที่ฉันรู้สึกพออกพอใจและเดินออกมาจากห้อง เวลาก็ล่วงเลยไปสามสิบนาทีแล้ว

“เจิ้งฉู่เย่าล่ะ ตกลงกันไว้แล้วว่าจะมารับไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงไม่ยอมรอ” ฉันไม่พอใจอย่างมาก “ไม่รักษาคำพูด เป็นคนเลวจริงๆ ลุงเต๋อ ไปส่งหนูทีนะคะ”

“ได้ครับ คุณหนู”

คุณลุงพ่อบ้านขับรถไปส่งฉันที่ร้านอาหารสุดหรูสไตล์ฝรั่งเศสแห่งหนึ่งในย่านเน่ยหู ก่อนจะลงจากรถ เขากำชับฉันด้วยความเป็นห่วงว่าหลังจากทำธุระเสร็จแล้วอย่าไปเถลไถล จะต้องเรียกเขาให้มารับกลับบ้าน

คุณลุงพ่อบ้านคนนี้ฉันเรียกเขาว่าลุงเต๋อ เขาเป็นชาวจีนอพยพมาจากแผ่นดินใหญ่รุ่นที่สอง ลุงเต๋อรับราชการทหารมาครึ่งค่อนชีวิต หลังจากปลดประจำการเขาก็มาทำงานอยู่ที่บ้านฉันยี่สิบกว่าปีแล้ว เขาเห็นฉันมาตั้งแต่เด็กจนโต หลังจากที่คุณพ่อเสียชีวิต แม่ใหญ่ก็วุ่นอยู่กับกิจการ ส่วนแม่แท้ๆ วุ่นอยู่กับการช็อปปิ้ง ไม่ค่อยจะสนใจฉันสักเท่าไร ภาระหน้าที่ดูแลฉันจึงตกอยู่ที่ลุงเต๋อ สำหรับฉันแล้วเขาเป็นคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับฉันยิ่งกว่าคนในครอบครัวเสียอีก

ลุงเต๋อไม่มีญาติพี่น้องอยู่ที่ไต้หวัน ภรรยาเสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร จึงไม่มีลูกหลานเลยสักคน สำหรับเขาแล้วสกุลหลินอาจเป็นบ้านหลังที่สองของเขาไปแล้วก็ได้

ฉันกอดคอเขาและถูไซ้แก้มที่แห้งหยาบกร้านของเขาอย่างออดอ้อน “เข้าใจแล้วค่ะ เข้าใจแล้ว ลุงเต๋อนี่จู้จี้จุกจิกเหมือนคุณพ่อของหนูเลย”

“อายุอย่างลุงเป็นคุณปู่ของคุณหนูได้เลยล่ะครับ”

“ฮึ หนูไม่สน หนูมีคุณปู่แล้ว แต่ไม่มีคุณพ่อ หนูอยากให้ลุงเต๋อมาเป็นคุณพ่อ” ฉันขยิบตาให้พลางยิ้ม

ลุงเต๋อหัวเราะอย่างเขินอาย บริเวณหางตาเต็มไปด้วยรอยตีนกา “รีบไปเถอะครับ อย่าให้บรรดาคุณๆ สกุลเจิ้งรอนาน”

พอเห็นเขายืนหลังค่อมปิดประตูรถ ฉันก็รู้สึกเศร้าใจอย่างน่าประหลาด ลุงเต๋ออายุมากแล้วจริงๆ…

ฉันสะบัดหัว สลัดความรู้สึกประหลาดพวกนี้ทิ้งไป แล้วเดินเชิดหน้าเข้าไปในร้านอาหารหรูสไตล์ฝรั่งเศสที่อยู่ตรงหน้า

บริเวณทางเข้าร้านอาหารมีบริกรรอพาไปยังที่นั่ง การตกแต่งโทนสีทองและดำดูเรียบหรู โคมไฟคริสตัลแขวนอยู่บนเพดาน แสงไฟสว่างไสวไปทั่วทั้งร้าน สว่างจ้าจนฉันต้องหรี่ตา ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่ถึงจะคุ้นชินกับแสงไฟที่ละลานตานี้ได้

ร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศสแห่งนี้มีเชฟระดับมิชลินสตาร์เป็นตัวดึงดูด อาหารแต่ละรายการล้วนใช้วัตถุดิบชั้นเลิศที่ขนส่งทางอากาศมายังไต้หวัน แม้ว่าราคาไม่ใช่ถูกๆ แต่ว่ากันว่ามีลูกค้าจองคิวยาวเหยียดไปจนถึงครึ่งปีหลังแล้ว อย่างไรก็ตามอาเมิ่งซีกลับจองโต๊ะได้ตั้งแต่สามวันที่แล้ว ฝีมือขนาดนี้ สมกับที่เป็นผู้สืบทอดที่ประธานกลุ่มบริษัทรื่อเย่าไว้วางใจ

ภายในห้องที่เงียบเชียบ อาเมิ่งซีกับเจิ้งฉู่เย่านั่งรอฉันอยู่นานแล้ว

ตอนนี้ฉันอารมณ์ดี จึงไม่คิดซักไซ้ไล่เลียงเรื่องที่เจิ้งฉู่เย่าไม่ยอมรอฉัน ฉันหย่อนก้นลงนั่งอย่างสง่างามที่สุด สองมือวางประสานไว้บนตัก แล้วยิ้มพลางพูดว่า “บองชูร์ (สวัสดีค่ะ) ทั้งสองท่าน”

เจิ้งฉู่เย่าเม้มปากเล็กน้อย แล้วก้มหน้าพลางสไลด์โทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้านิ่งเฉย ไม่แม้แต่จะกล่าวทักทายสักคำ เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นฉันเป็นอากาศธาตุ เป็นมนุษย์ล่องหน

อาเมิ่งซีพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดโยงเข้าเรื่องทันที “ซิงเฉิน ได้ยินมาว่าในงานปาร์ตี้ริมสระวันนั้นเธอกับฉู่เย่ามีปากเสียงกัน ถ้าเธอไม่พอใจตรงไหน อาจะชดใช้แทนฉู่เย่าให้ก็แล้วกันนะ” พอพูดจบเขาก็ขยิบตาให้เจิ้งฉู่เย่าทีหนึ่ง

แต่เจิ้งฉู่เย่าไม่สนใจเขาและยังคงสไลด์โทรศัพท์มือถือเหมือนเดิม ผ่านไปนานทีเดียวกว่าจะพูดออกมาว่า “ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่”

“นี่มันขอโทษตรงไหนกัน” ฉันมองค้อนตาเหลือก

“ใครพูดขอโทษเธอ ฉันแค่กำลังเล่าความจริง” เขาเงยหน้าขึ้น ในดวงตาซ่อนความโมโหเอาไว้ไม่อยู่ แล้วพูดเตือนความจำฉันว่า “ไม่ได้มีแค่เธอคนเดียวสักหน่อยที่ตกน้ำ”

ท่าทางของเจิ้งฉู่เย่ากวนบาทาชะมัด

ฉันโมโหกัดฟันกรอดๆ ถ้าไม่ระบายมันออกไปฉันต้องไม่สบายแน่นอน ฉันจึงฟ้องเรื่องเขาอย่างไม่เกรงใจเช่นกัน “หนูไม่พอใจอย่างมากเลยค่ะ วันนั้นเจิ้งฉู่เย่าถูกหนูจับได้ว่ายุ่งอีนุงตุงนังอยู่กับพนักงานสาวคนหนึ่งของโรงแรม ทั้งสองคนจับมือถือแขนกัน ดูท่าทางสนิทสนมกันมาก”

“โอ๊ะ มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ” อาเมิ่งซีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและแสดงสีหน้าสงสัย “ฉู่เย่า นายกับเด็กสาวคนนั้นเป็น…”

“ไม่รู้จัก ไม่ได้เป็นอะไรกัน” เขาโยนคำตอบแบบขอไปทีอย่างเย็นชา

ฉันเม้มปากและทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ “คิดจะโกหกใครน่ะ”

“ในเมื่อฉู่เย่าบอกว่าไม่รู้จัก เขาก็คงจะไม่รู้จักจริงๆ” เมื่อสังเกตเห็นถึงบรรยากาศตึงเครียดระหว่างการสนทนาของเรา อาเมิ่งซีก็เปลี่ยนเรื่องคุย “ซิงเฉินคงจะหิวแล้วใช่มั้ย”

ในฐานะคุณหนูตระกูลดัง การดูแลหุ่นมีความสำคัญพอๆ กับการบริหารทรัพย์สิน หากไร้รูปร่างหน้าตาที่สวยงาม ไร้ซึ่งทรัพย์สินเงินทอง แบบนั้นก็เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาๆ ที่เป็นโรคเจ้าหญิง

ด้วยเหตุนี้ฉันจึงเหลือบมองรูปภาพสวยๆ ในเมนูอาหารแวบหนึ่ง กลืนน้ำลายแล้วพูดปากไม่ตรงกับใจว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”

“ถึงไม่หิวก็ทานสักหน่อย สั่งอาหารกันเถอะ” อาเมิ่งซียิ้ม พอเขาชูมือขึ้น บริกรที่ยืนคอยบริการอยู่ข้างโต๊ะก็รีบยื่นเมนูอาหารให้ทันที

“ชุดอาหารมังสวิรัติ” เจิ้งฉู่เย่าผลักเมนูอาหารไปข้างหน้า ไม่แม้แต่จะดูสักนิด

“เจิ้งฉู่เย่าทานมังสวิรัติ? ทำไมฉันไม่เห็นรู้เลย” ฉันเงยหน้าขึ้นอย่างงงๆ

“ตอนนี้เริ่มทานแล้ว” เขาพูดใส่หน้าฉันอย่างเย็นชา “เพื่อที่จะพยายามอดทนกับหลินซิงเฉิน เจิ้งฉู่เย่าก็เลยเริ่มเรียนรู้วิธีการฝึกฝนบ่มเพาะคุณธรรม”

เพื่อที่จะพยายามอดทนกับหลินซิงเฉินก็เลยเริ่มทานมังสวิรัติ?

นายทานมังสวิรัติ แต่ฉันชอบทานเนื้อ!

“ซิงเฉิน เธออยากทานอะไร” อาเมิ่งซีรีบพูดไกล่เกลี่ย

ฉันกัดฟันด้วยความอับอายและโมโห แล้วพูดอย่างเป็นจังหวะว่า “สเต๊กเนื้อริบอาย มีเดียมแรร์”

ฉันทานอาหารมื้อนี้ด้วยความเซ็งสุดขีด แต่ไหนแต่ไรอาเมิ่งซีเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว เขาอยากทานข้าวกับเราก็เพียงเพื่อที่จะปฏิบัติภารกิจจับคู่ฉันกับเจิ้งฉู่เย่าให้สำเร็จ

เจิ้งฉู่เย่าทำหน้าบูดบึ้ง ส่วนฉันก็ไม่พอใจ ต่างคนต่างนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา

ในร้านอาหารเปิดดนตรีคลอเบาๆ ฉันฟังแล้วรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย เมื่อเห็นสเต๊กเนื้อที่มีเลือดไหลเยิ้มก็ยิ่งกลืนไม่ลง

“ส่วนชุดยูนิฟอร์มโรงเรียนมัธยมเซนต์เลออน เดี๋ยวเย็นๆ หน่อยอาจะให้คนส่งไปที่บ้าน ชุดสั่งตัดตามรูปร่างของเธอ เธอก็ลองสวมดูนะ ถ้าตรงไหนไม่พอดีตัว…” อาเมิ่งซีเรียกฉันทีหนึ่ง “ซิงเฉิน?”

“โรงเรียนมัธยมเซนต์เลออน?” ระหว่างที่ใจลอย พอได้ยินเสียงของอาเมิ่งซี ฉันก็ตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยได้สติกลับมา “วันรับสมัครผ่านไปนานแล้วไม่ใช่เหรอคะ”

โรงเรียนมัธยมเซนต์เลออนเป็นโรงเรียนผู้ดีเอกชนที่เปิดสอนตั้งแต่ชั้นมัธยมต้นจนถึงชั้นมัธยมปลาย เหล่าคณาจารย์ล้วนแล้วแต่มีคุณภาพ สภาพแวดล้อมภายในรั้วโรงเรียนสวยงาม แน่นอนว่าค่าเล่าเรียนก็สูงตามไปด้วย ถึงกระนั้นก็ยังคงดึงดูดผู้ปกครองจำนวนมากมาแย่งชิงกัน ต่างคนต่างหอบหิ้วธนบัตรกองโตคิดหาทุกวิถีทางที่จะส่งลูกชายลูกสาวของตนเข้ามาเรียนที่นี่ ด้วยเหตุนี้เอง เด็กนักเรียนที่สามารถเข้าเรียนที่โรงเรียนเซนต์เลออนได้ ทางครอบครัวถ้าไม่ร่ำรวยก็ต้องเป็นผู้ดีมีตระกูล

แล้วเพื่อรับใช้เด็กๆ ที่มาจากสังคมไฮโซเหล่านี้ โรงเรียนเซนต์เลออนจึงมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด คนนอกสอดแนมภายในรั้วโรงเรียนได้ยาก ดังนั้นโรงเรียนแห่งนี้จึงได้ชื่อว่าเป็น ‘โรงเรียนมัธยมชื่อดังที่ลึกลับที่สุด’

แต่หากคุณคิดว่าขอเพียงครอบครัวร่ำรวยมีอิทธิพลแล้วก็จะสามารถช่วงชิงเข้าเรียนในโรงเรียนในฝันแห่งนี้ได้ คุณก็คิดผิดแล้วล่ะ ในแต่ละปีโรงเรียนเซนต์เลออนเปิดรับสมัครนักเรียนอย่างอิสระ สร้างแบบอย่างในการรักษาคุณภาพการเรียนการสอนและคุณภาพนักเรียน ดังนั้นการเข้าเรียนจะต้องผ่านการสอบข้อเขียนและสอบสัมภาษณ์ที่เข้มงวด

ต่อให้ฉันจะมีไอคิวสูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบ แต่เรื่องที่ไร้ซึ่งความน่าอภิรมย์อย่างเรียนหนังสือและการสอบนี้ฉันไม่สนใจหรอก แทนที่จะใช้สมองเพื่อรับมือกับการสอบเข้าที่ยุ่งยากซับซ้อนของโรงเรียนเซนต์เลออน สู้ให้ฉันศึกษาเทรนด์แฟชั่นของฤดูกาลถัดไปจะดีกว่า

ฉันจึงพูดเหยียดว่า “โรงเรียนที่มุ่งผลิตแต่นักเรียนที่เป็นโรคเจ้าชายโรคเจ้าหญิงแบบนั้น หนูไม่สนใจไปเรียนหรอก” แล้วฉันก็บังเอิญเห็นเจิ้งฉู่เย่าส่งสายตาดุร้ายเย็นยะเยือกมาทางฉัน

เกือบลืมไปเลย เจิ้งฉู่เย่าก็เรียนที่เซนต์เลออนเหมือนกัน มิน่าล่ะถึงเป็นโรคเจ้าชาย!

“ที่แท้ซิงเฉินก็ไม่ชอบเซนต์เลออน!” อาเมิ่งซีขยับแว่นตามความเคยชิน แล้วมองฉันอย่างไม่สนใจ “แต่ว่า…อาจารย์ใหญ่ของเซนต์เลออนตกลงรับเธอเข้าเรียนเรียบร้อยแล้ว เป็นการรับกรณีพิเศษ ไม่ต้องผ่านการสอบด้วย!”

ไม่ต้องผ่านการสอบ?

ฉันแอบรู้สึกหวั่นไหว ถ้าโยนเรื่องที่ในรั้วโรงเรียนเต็มไปด้วยพวกนักเรียนที่เป็นโรคเจ้าชายโรคเจ้าหญิงทิ้งไปก็ได้ยินมาว่าบรรดาครูผู้ชายที่โรงเรียนเซนต์เลออนล้วนรูปร่างหน้าตาโดดเด่น แต่ละคนสามารถเดินบนแคตวอล์กเป็นนายแบบได้เลย

ฉันแอบกลืนน้ำลาย ในหัวกำลังฉายภาพยนตร์อีโรติกสำหรับผู้ใหญ่อายุมากกว่าสิบแปดปีอย่างสนุกสนาน

“ว่ายังไง” อาเมิ่งซีถาม

“หนูรังเกียจพฤติกรรมการใช้เส้นสายแบบนี้เข้าไส้เลย” ฉันพูดอย่างโอหังอวดดี

“ไม่เรียนจริงๆ เหรอ”

“ไม่ค่ะ”

ได้ยินมาว่าโรงเรียนเซนต์เลออนมีสวนหลังโรงเรียนที่สวยงามสำหรับเหล่าคณาจารย์และเจ้าหน้าที่โดยเฉพาะ ตอนเลิกเรียนบรรดาครูหนุ่มๆ ที่หล่อเหลาและรูปร่างสูงใหญ่จะชอบทำการศึกษาวิจัยด้านวิชาการและทำกิจกรรมกีฬาต่างๆ ในสวนหลังโรงเรียนนี้เป็นที่สุด…ฉันนึกถึงเรื่องราวความรักระหว่างครูกับนักเรียนจำนวนไม่น้อยในเว็บบอร์ดบอยส์เลิฟที่มีฉากหลังเป็นสวนลึกลับหลังโรงเรียน…

ฉันบีบจมูกเพื่อไม่ให้ของเหลวอุ่นๆ และมีกลิ่นคาวไหลออกมา หลังจากที่ไปศัลยกรรมมา ดูเหมือนว่าเส้นเลือดฝอยในโพรงจมูกจะเปราะบางขึ้นกว่าเดิม

“บรรดานักเรียนยกให้โรงเรียนเซนต์เลออนเป็นอันดับหนึ่งของ ‘โรงเรียนมัธยมในฝันที่อยากเข้าเรียนที่สุด’ รักษาตำแหน่งแชมป์ทุกปี นับตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียนมา นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ถูกนักเรียนปฏิเสธที่จะเข้าเรียน” แล้วจู่ๆ มุมปากของอาเมิ่งซีก็อมยิ้มเล็กน้อย “อาจารย์ใหญ่รู้เข้าคงเสียใจแย่เลย”

อาจารย์ใหญ่?

ในเว็บบอร์ดยังลือกันด้วยว่าแท้จริงแล้วสวนหลังโรงเรียนของเซนต์เลออนก็คือตำหนักในของอาจารย์ใหญ่นั่นเอง

ฉันมองเขาอย่างงงๆ แล้วถามคำถามที่แสนจะงี่เง่า “ทำไมอาจารย์ใหญ่ถึงได้กระตือรือร้นอยากให้หนูไปเรียนขนาดนี้ล่ะคะ”

หรือว่าจะเป็นเพราะเสน่ห์ของฉันมิอาจต้านทาน?

เจิ้งฉู่เย่าเหลือบมองฉันอย่างดูถูกและถือโอกาสตอบข้อสงสัยของฉัน “ก็เขานี่แหละ อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนเซนต์เลออน”

อาเมิ่งซีเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนเซนต์เลออน?!

ว้าว! หลินซิงเฉินเธอถูกหวยเข้าให้แล้ว!

ฉันมองไปทางอาเมิ่งซี เขาชูแก้วไวน์แดงบนโต๊ะขึ้นมา จากนั้นทำท่าชนแก้วให้ฉันแล้วถึงค่อยเงยหน้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว ฉันยกไวน์แดงขึ้นมาดื่มตอบด้วยความตื่นเต้นอย่างน่าประหลาด แต่ฉันรีบดื่มเกินไปเลยเผลอทำไวน์แดงเลอะริมฝีปาก งุนงงอยู่สองวินาที เมื่ออาเมิ่งซีเห็นเช่นนั้นก็โน้มตัวมาหาและยื่นนิ้วออกมาเช็ดบริเวณริมฝีปากฉันเบาๆ

“ไม่ต้องกังวล อาจารย์ใหญ่ไม่กินคนหรอก” ในแววตาของอาเมิ่งซีฉายประกายหยอกเย้า แล้วยกนิ้วที่เลอะไวน์แดงขึ้นมาไว้ที่ข้างปากตัวเอง ปลายลิ้นเลียไวน์แดงและยิ้มอย่างร่าเริง “นี่เป็นไวน์แดงชั้นหนึ่ง ทำหกเลอะไป น่าเสียดายแย่”

เกินไปแล้วจริงๆ! อาจารย์ใหญ่ คุณยั่วยวนนักเรียนหญิงแบบนี้มันใช้ได้เหรอ

ฉันเขินอายจนอยากจะมุดหน้าลงไปในแก้วไวน์แดง ก่อนจะไอกลบเกลื่อนสองสามที “ไหนๆ อาเมิ่งซีก็เอ่ยปากแล้ว เห็นแก่ที่อามีความตั้งใจดีขนาดนี้ หนูจะฝืนใจตกลงไปเรียนก็แล้วกัน”

หลังจากทานอาหารเสร็จ อาเมิ่งซีก็พาพวกเราไปที่สวนสาธารณะ เขาหัวเราะพลางพูดว่าการเดินเล่นหลังจากที่ทานอิ่มแล้วดีต่อสุขภาพ เมื่อเดินไปได้สามสี่รอบก็พูดขึ้นมาอีกว่าตอนนี้ยังเช้าอยู่ จากนั้นก็ขับรถพาฉันกับเจิ้งฉู่เย่าไปห้างสรรพสินค้า อาเมิ่งซียัดตั๋วหนังสองใบใส่มือเจิ้งฉู่เย่า “ซิงเฉินชอบดูหนังแนวนี้มาแต่ไหนแต่ไร เดี๋ยวก็ไปดูเป็นเพื่อนเขานะ อาไม่เป็นก้างขวางคอละ”

ดูท่าว่าอาเมิ่งซีตั้งใจจะทำหน้าที่ให้สมกับที่เป็นพ่อสื่อ

ทั้งสองคนเถียงกันอยู่พักหนึ่ง ฉันเลยถือโอกาสหยิบลิปสติกออกมาเติมจนริมฝีปากสีแดงแปร๊ดเหมือนไปกินเลือดใครมา

เจิ้งฉู่เย่ารับตั๋วหนังมาในที่สุด อาเมิ่งซีพูดว่า “เอาใจซิงเฉิน…” ยังไม่ทันจบประโยค เจิ้งฉู่เย่าก็ไล่เขาไปเสียแล้ว

อดรนทนไม่ไหวขนาดนี้เชียวเหรอ

เจิ้งฉู่เย่ามองดูรถยนต์ของอาเมิ่งซีขับจากไป เขาหันขวับกลับมา ดวงตาที่สวยงามแต่เจือความดุร้ายน่ากลัวคู่นั้นมองมาทางฉัน เขาจ้องหน้าฉันอยู่สามสี่วินาทีแล้วก็ขมวดคิ้ว จากนั้นยัดตั๋วหนังใส่ในมือฉันแล้วหมุนตัวเดินจากไป

“นี่ เจิ้งฉู่เย่า!” ฉันตะโกนเรียก “นายจะไปไหน”

เขาตัวสูงช่วงขายาว เผลอแป๊บเดียวก็เดินไปไกลแล้ว ฉันที่สวมรองเท้าส้นเข็มเดินตามอยู่ข้างหลังต้องสะกดกลั้นอารมณ์อยู่หลายครั้งไม่ให้ถอดรองเท้าส้นสูงมาฟาดหน้าผากเขา จนในที่สุดฉันก็ดึงชายเสื้อเขาไว้ได้

เจิ้งฉู่เย่าหันมาทันที เขาหน้านิ่วคิ้วขมวด ถามเสียงเกรี้ยวกราด “หลินซิงเฉิน ตกลงเธอจะเอายังไง”

ดุจริง แต่ฉันเป็นคนชอบเรื่องยากและท้าทายมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แบบนี้ถึงจะมีความสุขเวลาที่เอาชนะได้!

ฉันสบตาเขาตรงๆ แล้วยิ้มพลางย้อนถามว่า “ฉันจะเอายังไง…นี่นายไม่รู้งั้นเหรอ”

“ฉันไม่รู้! เธออยากจะทุบฉันหนึ่งทีหรือว่าจะไปฟ้องก็ได้ แต่ว่าเรื่องในวันนั้นฉันจะไม่อธิบายเพิ่มอีกแน่นอน”

พูดไปพูดมา สุดท้ายก็เพื่อปกป้องผู้หญิงมารยาสาไถยคนนั้นอยู่ดี ชักน่าสนใจแฮะ เมื่อกี้นี้ยังพูดอยู่เลยไม่ใช่เหรอว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่รู้จักกันน่ะ

“ฉันไม่อยากทุบนาย ไม่คิดที่จะไปฟ้อง และก็ไม่ได้ต้องการให้นายอธิบายเรื่องในวันนั้น”

“ถ้าอย่างนั้นเธอต้องการอะไรล่ะ รีบว่ามา ฉันไม่อยากเสียเวลากับเธอ”

พอเห็นเจิ้งฉู่เย่าวางมาดหยิ่งยโสแบบนี้ ฉันก็อยากจะตบเขาสักฉาดจริงๆ

ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ สงบสติอารมณ์เล็กน้อย แล้วเป็นฝ่ายจับมือเขาก่อน ฉันยิ้มได้บิดเบี้ยวมาก “จะดูหนังไม่ใช่เหรอ จะว่าไปแล้วนี่นับเป็นครั้งแรกเลยที่เราเดตกันสองต่อสอง”

เจิ้งฉู่เย่าพ่นออกมาคำหนึ่งว่า “ประสาท” เขาสะบัดมือทิ้งแล้วเดินผ่านฉันไป

เมื่อเห็นว่าเขาจะเดินจากไปอีก ฉันก็เลิกทำตัวสงบเสงี่ยมแล้วกอดเขาจากด้านหลังทันที ซุกหน้ากับแผ่นหลังเขา

“ฉันไม่ได้พูดอะไรผิดนี่นา ไหนๆ ก็จะหมั้นกันแล้ว ไม่เดตกันสักหน่อยก็คงไม่ค่อยเข้าท่าล่ะมั้ง” แก้มฉันแนบกับแผ่นหลังที่ชุ่มเหงื่อเล็กน้อยของชายหนุ่มโดยมีเสื้อเชิ้ตตัวบางกั้นกลาง ฉันรู้สึกได้ว่าเขาตะลึงงันนิดหน่อย แต่ไม่ได้ผลักฉันออกในทันที

“ฉันไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับเธอ” ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยเหลือเกิน

“แม่ฉันบอกว่าความรู้สึกบ่มเพาะกันได้” ฉันยิ้มหวานอย่างหน้าไม่อาย “นายเริ่มกินมังสวิรัติก็เพื่อฉันไม่ใช่เหรอ”

เขากุมหน้าผาก “นั่นมันเพื่อ ‘บ่มเพาะคุณธรรม’ ต่างหาก!”

ฉันขวยเขิน “ไม่เป็นไร ฉันเห็นถึงความพยายามของนายแล้ว”

เจิ้งฉู่เย่าไม่ได้พูดอะไรต่อ อุณหภูมิในบรรยากาศลดฮวบถึงจุดเยือกแข็งทันที

แปลกจัง ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่บนดาวดวงเดียวกัน…ฉันคงจะคิดไปเองล่ะมั้ง

พระเอกมักจะปากไม่ตรงกับใจเสมอ ฉันจึงจำต้องให้กำลังใจเขาอย่างไร้ยางอาย “สู้ต่อไปนะ ไม่แน่ว่าฉันอาจจะใกล้ตกหลุมรักนายแล้วก็ได้”

ได้ยินใครบางคนกัดฟันเสียงดังกรอดๆ ลอยมาแว่วๆ ดูเหมือนว่าเขากำลังพยายามอดทนกับบางอย่างอย่างยิ่งยวด จนสุดท้ายฉันก็ได้ยินเสียงถอนหายใจ “หลินซิงเฉิน เธอรักใครไม่เป็นหรอก”

ฉันรักใครไม่เป็น? ฉันตะลึงงันทันที

เจิ้งฉู่เย่ายังคงหันหลังให้ฉันเหมือนเดิม ฉันมองไม่เห็นสีหน้าเขา ได้แต่พูดเสียงอู้อี้ในลำคอกับแผ่นหลังเขา “ฉันไม่รู้ว่าทำไมนายถึงคิดแบบนี้ แต่ขอบอกตามตรงว่าฉันไม่ได้เกลียดอะไรนายเลย”

“…” เขานิ่งเงียบ

“ถึงนายจะอยู่ ม.ปลาย แล้ว แต่ก็ยังเหมือนเด็ก ม.สอง อยู่เลย ชอบเอาแต่ใจ เผด็จการ แล้วก็ขี้ฉุนเฉียว แถมบางครั้งยังทึ่มเสียเหลือเกิน แต่ว่ารูปร่างหน้าตานับว่าใช้ได้ พอที่จะคู่ควรกับฉันอยู่ ข้อดีที่สุดของนายก็คือครอบครัวร่ำรวย ไหนๆ การแต่งงานเกี่ยวดองกันล้วนส่งผลดีต่อทั้งสองตระกูล งั้นฉันจะให้โอกาสนายได้คบกับฉัน” คำพูดยาวเหยียดนี้อยู่ในก้นบึ้งหัวใจฉันมานานมากแล้ว ตอนนี้พอฉันปลุกความกล้าพูดมันออกมา ใบหน้าฉันก็ร้อนผ่าวตามไปด้วย

เขาสูดหายใจเข้าลึกและพูดด้วยความอัดอั้นตันใจว่า “ไม่มีความรัก การหมั้นกันครั้งนี้เป็นเพียงธุรกิจ เธอไม่ถือสาเลยสักนิดอย่างนั้นเหรอ”

ไม่มีความรัก เป็นเพียงการแต่งงานที่เอาเงินทองมาวางกองกัน…ฉันต้องการแบบนี้มั้ยน่ะเหรอ

เสียงแหลมสูงของแม่ใหญ่พุ่งเข้ามาในหัวฉันทันที

‘การแต่งงานของใครบ้างไม่ใช่เรื่องธุรกิจหรือการซื้อขายแลกเปลี่ยน ผู้ชายแลกเปลี่ยนด้วยเงินทองกับสถานะ ส่วนผู้หญิงแลกเปลี่ยนด้วยความสาวกับกำลังกาย

ไม่ว่ายังไงมันก็เป็นธุรกิจ แน่นอนว่าหากแลกเปลี่ยนมาแล้วได้มูลค่าสูงย่อมดีที่สุด ถ้าไม่ได้ อย่างน้อยก็ควรแลกเปลี่ยนในมูลค่าที่เท่าเทียมกัน

ฉันครุ่นคิดถึงคำพูดของแม่ใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็ช่างน่าอับอายที่ถูกโน้มน้าวจนได้

ฉันจึงส่ายหัว แต่คิดขึ้นได้ว่าเจิ้งฉู่เย่าหันหลังให้ มองไม่เห็นฉัน ฉันก็เลยพูดเสริมว่า “ฉันไม่ถือสา”

“ไม่ถือสา? แค่เพราะครอบครัวฉันมีเงิน?” เจิ้งฉู่เย่าหันขวับมาทันที แล้วเอื้อมมือมาจับแขนฉัน จากนั้นออกแรงผลักฉันกดกับตู้โชว์กระจก “ถึงจะโดนฉันทำแบบนี้ก็ไม่ถือสาเหรอ หืม?”

“เจิ้งฉู่เย่า อย่าทำตัวหยาบคาย…” ฉันตกอกตกใจ แผ่นหลังถูกกระแทกจนรู้สึกเจ็บ ขณะที่เรือนร่างอันร้อนผ่าวของเขาเข้ามาใกล้ ฉันก็พยายามห่อไหล่ “คือว่า…มีอะไรก็พูดจากันดีๆ…”

“อย่าขยับ” เขาพูด น้ำเสียงฟังดูน่ากลัว

จู่ๆ ฉันก็ขี้ขลาดขึ้นมา ไม่กล้าขยับเขยื้อน ได้แต่เบิกตาโต ขนลุกไปทั้งตัว

ฉันเบิกตาโพลงมองดูเขาโน้มตัวลงและเอียงศีรษะเล็กน้อย พออยู่ใกล้กันแบบนี้ แม้แต่ริ้วรอยบางๆ บนริมฝีปากเขาก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

ฉันหดหน้าหนีโดยไม่รู้ตัว ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อยจากการเกร็ง ฉันพยายามสุดชีวิตที่จะสะกดความรู้สึกที่อยากจะผลักเขาออกไป

ทันใดนั้นเองคางก็ถูกมือข้างหนึ่งจับอย่างแรง ริมฝีปากที่เย็นชืดสัมผัสโดนกลีบปากฉันแล้วขบกัดอย่างแรงหนึ่งที จนกระทั่งความรู้สึกเจ็บที่ระคนกลิ่นคาวเลือดเข้าจู่โจม ฉันถึงได้รู้ตัวว่าเขากำลังจูบฉันอยู่!

อ๊าก! จูบแรกที่ฉันอุตส่าห์ถนอมรักษามาสิบแปดปี! คิดไม่ถึงว่าจะถูกเจิ้งฉู่เย่าช่วงชิงไปอย่างง่ายดายเช่นนี้!

เส้นประสาทเส้นหนึ่งในสมองฉันขาดผึงทันที! เรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามความเดือดดาล ฉันสลัดหลุดจากการจับไว้ของเขา แล้วตบหน้าเขาหนึ่งฉาด

เพียะ!

เสียงดังฟังชัดทีเดียว เจิ้งฉู่เย่าถูกฉันตบจนหน้าหัน ภายในเวลาไม่กี่วินาที รอยแดงจางๆ ก็ปรากฏขึ้นที่พวงแก้ม

ด้วยความที่นึกไม่ถึงว่าฉันจะตบ เขาถึงกับตะลึงงัน เอามือปิดหน้าที่แดงเรื่อพลางจ้องฉันเขม็ง สีหน้าเขาดูสับสนอย่างยากที่จะอธิบาย

ฉันก้มหน้าลงโดยอัตโนมัติและมองดูฝ่ามือที่ปวดตุบๆ ของตัวเอง ฉันโมโหจนไม่ได้ยั้งมือ เขาคงจะเจ็บมากเลยสินะ

ขอโทษสิ หลินซิงเฉิน รีบขอโทษเจิ้งฉู่เย่า

ฉันเม้มริมฝีปากล่างที่โดนเขาจูบจนเจ็บ แล้วครุ่นคิดว่าจะเอ่ยปากขอโทษเขาดีไหม แต่คำพูดต่อมาของเขาทำให้ฉันกลืนคำขอโทษลงคอไป

“หลินซิงเฉิน ตั้งใจฟังให้ดีๆ นะ ฉันเกลียดเธอ”

ฉันเงยหน้าขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ ยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ราวกับถูกฟ้าผ่า

“นายเกลียดฉัน?”

“เกลียดมาก”

“นายเกลียดฉันตรงไหน ฉัน…” ฉันแอบกัดฟัน ในใจรู้สึกเกลียดที่ตัวเองช่างไม่มีศักดิ์ศรี “เพื่อนายแล้ว ฉัน…ปรับปรุงแก้ไขได้!”

“ตา จมูก ปาก เส้นผม การแต่งตัว คำพูด และกิริยาท่าทางของเธอ…” เขานิ่งเงียบอยู่สามสี่วินาที ก่อนผลักฉันออกด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเธอ ฉันเกลียดหมดเลย!”

ฉันจ้องเขาเขม็ง จากนั้นอ้าปากหายใจสองสามทีถึงจะข่มความเดือดดาลที่พลุ่งพล่านเอาไว้ได้

ไม่ไกลนัก มีเสียงร้องดีอกดีใจของพวกเด็กๆ ดังมาจากบริเวณทางเข้าห้างสรรพสินค้าเป็นระยะๆ ตรงนั้นมีคนสวมหัวตุ๊กตาแต่งตัวเป็นคิตตี้กำลังแจกลูกโป่ง ฝูงชนห้อมล้อมกลายเป็นโลกใบเล็กๆ ที่รื่นเริงสนุกสนาน บรรดาผู้คนที่สัญจรไปมาล้วนถูกดึงดูดด้วยเจ้าตุ๊กตาคิตตี้ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นว่าฉันกับเจิ้งฉู่เย่าต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กันอยู่ในมุมมืด บรรยากาศดูตึงเครียด

ผู้ชายที่ช่วงชิงจูบแรกของฉันไปคนนี้ ผู้ชายที่กำลังจะกลายเป็นคู่หมั้นของฉันคนนี้ เขาบอกว่าเขาเกลียดฉัน! เกลียดทุกอย่างเกี่ยวกับตัวฉัน!

ฉันทำอะไรผิด การต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับการแต่งงานเกี่ยวดองกันของตระกูลเศรษฐีครั้งนี้ฉันเองก็ไม่อาจทำตามใจตัวเองได้เหมือนกัน แล้วทำไมฉันถึงได้เป็นฝ่ายที่ดูต่ำต้อยขนาดนี้ล่ะ

ทุกครั้งที่มาเจอเขา ฉันแต่งตัวอย่างตั้งอกตั้งใจเสมอ พยายามทำให้ตัวเองดูสวยสง่า แล้วมายืนอยู่ข้างกายเขาเพื่อให้กลายเป็นคู่รักที่ทุกคนอิจฉา…แล้วเขามีสิทธิ์อะไรมาเกลียดคนอย่างฉัน

จะแพ้ไม่ได้ จะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด!

เจิ้งฉู่เย่าเจ้าคนเลว! ฉัน หลินซิงเฉิน จะทำให้นายรักฉันให้จงได้ รักจนโงหัวไม่ขึ้นเลย ฉันจะทำให้นายต้องเสียใจที่นายพูดกับฉันแบบนี้!

ฉันฉีกยิ้มที่สวยสมบูรณ์แบบและวางท่าหยิ่งยโสที่สุด “เจิ้งฉู่เย่า นายเองก็ตั้งใจฟังให้ดีๆ ยิ่งต่อต้านปฏิเสธยิ่งหนีไม่พ้น สิ่งนี้เรียกว่าโชคชะตา ซึ่งโชคชะตาของนาย…” ฉันอมยิ้ม “ก็คือฉัน หลินซิงเฉิน!”

ตอนหลังเมื่อมาคิดๆ ดู คำพูดที่ฉันพูดกับเจิ้งฉู่เย่านั้นช่างเป็นคำพูดที่คิดเข้าข้างตัวเองเสียเหลือเกิน! จนเมื่อเขาถูกโชคชะตาบีบบังคับให้ยอมรับและตัดสินใจที่จะศิโรราบ ฉันกลับพยายามที่จะหลุดพ้นจากโชคชะตาของตัวฉันเอง

แต่ว่านั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต

ฉันกำลังรอเขาพูดตอกกลับมา แต่คิดไม่ถึงว่านอกจากเขาจะไม่โกรธ ในดวงตาเขากลับฉายแววสงบเยือกเย็นจนเกือบจะดูเศร้าโศกเสียด้วยซ้ำ

เขาจ้องมองฉันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วสะบัดหน้าเดินจากไปทันที หลงเหลือแต่แผ่นหลังที่แสนเฉยชาให้ฉัน

เยี่ยมไปเลย เอะอะก็ทิ้งผู้หญิงไว้บนถนน ช่างมีมาดของพระเอกจอมเผด็จการจริงๆ

หลังจากที่เจิ้งฉู่เย่าเดินจากไป ความเข้มแข็งและหยิ่งยโสของฉันก็เหมือนกับลูกโป่งที่ถูกจิ้มแตก ส่งเสียงดัง ‘ฟู่’ แล้วก็แบนแต๊ดแต๋ น้อยใจ โกรธเคือง เสียใจ…ความรู้สึกด้านลบต่างๆ เอ่อขึ้นมาในใจ ฉันพยายามสงบสติอารมณ์และฝืนกล้ำกลืนน้ำตาลงคอ แล้วเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะเยาะเบาๆ

ฉันพึมพำใส่แผ่นหลังที่ค่อยๆ ลับหายไปของเขา “นั่นเป็นจูบแรกของฉัน เจิ้งฉู่เย่า นายรู้บ้างมั้ย”

จูบแรกของหญิงสาวคนหนึ่ง…แต่กลับถูกคนปฏิบัติอย่างดูถูกดูแคลนแบบนี้

คิดว่าฉันจะแอบหลบไปร้องห่มร้องไห้เหมือนผู้หญิงอ่อนแอบอบบางพวกนั้นเหรอ ไม่ นั่นไม่ใช่สไตล์ของฉันเลย!

การร้องไห้จนน้ำหูน้ำตาไหลเป็นสิ่งที่เด็กสามขวบทำกัน ตอนนี้หลินซิงเฉินไม่ใช่เด็กๆ แล้ว!

ฉันเชิดหน้ายืดอก สะพายกระเป๋าสายโซ่มีพู่ระย้าของแบรนด์อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ และสวมรองเท้าส้นสูงสีแดงเดินส่งเสียง ‘กึกๆๆ’ ดังกังวานไปตลอดทาง ฉันเดินมุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้า ตั้งใจจะช็อปปิ้งให้หนำใจ

เด็กจอมซนสามสี่คนวิ่งเล่นหัวเราะเฮฮาอยู่ตรงประตูหมุนซึ่งเป็นทางเข้า พวกเขากรีดร้องเสียงดังอย่างมีความสุข ทำให้ฉันถูนวดหน้าผากโดยไม่รู้ตัว ด้านหนึ่งก็แอบก่นด่าเด็กพวกนี้ว่าไม่มีใครสั่งใครสอน อีกด้านหนึ่งก็เบี่ยงตัวหลบอย่างระมัดระวัง แต่ทันใดนั้นเองต้นขาก็สัมผัสอะไรบางอย่างที่เย็นเฉียบ…โอ้! ให้ตายสิ!

ฉันตกใจอ้าปากค้างแล้วก้มลงดู ซอสช็อกโกแลตเปื้อนบนกระโปรงฉันหนึ่งดวง ของเหลวเหนียวเหนอะหยดลงมาจากขอบกระโปรงและไหลมาที่ขา เมื่อสายตามองต่ำลงไปอีกก็เห็นเศษไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟตกอยู่บนพื้น

ฉันใช้เท้าเหยียบขยี้จนเละเทะโดยไม่แม้แต่จะคิด!

“อ๊ะ ไอติมของผม…”

เจ้าของไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟตัวน้อยตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยื่นมือสั้นป้อมที่เลอะเทอะออกมาจะแตะที่ต้นขาฉัน ฉันกรีดร้อง

“เด็กบ้า! อย่าแตะต้องฉันนะ!” ฉันออกแรงปัดมือของเขาออก จากนั้นรอยนิ้วมือทั้งห้าก็ปรากฏขึ้นที่แขนขาวเนียนของเด็กคนนี้อย่างรวดเร็ว

“ฮือๆๆๆ แม่จ๋า!” เด็กน้อยตะโกนร้องเรียกแม่

ฉันชักอารมณ์เสียแล้ว

แล้วบริเวณรอบๆ ก็เกิดเสียงดังเอะอะโวยวายขึ้นมา ฉันถูกพวกแม่ๆ ป้าๆ ที่ชอบเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นห้อมล้อมทันที พวกเขาพูดคุยกระซิบกระซาบกันและพากันตำหนิติเตียนฉัน

“หืม ตีเด็ก…”

ฉันไม่ได้ตีเขา แค่ ‘ออกแรง’ ปัดเขานิดหน่อย

“ตีเด็กแบบนี้มันไม่ถูกนะ…”

แล้วจะให้ทำยังไง คนที่ก่อเรื่องคือเด็กคนนี้ ฉันต้องพูดกับเขาว่า ‘ไม่เป็นไร ขอบใจ’ อย่างนั้นเหรอ

“รีบขอโทษเด็กเร็ว ไม่อย่างนั้นพอโตขึ้นเขาอาจมีเงามืดในจิตใจ…”

เขามีเงามืด แล้วฉันไม่มีงั้นเหรอ ชุดแบรนด์เนมตัวสวยของฉันเจ๊งหมดแล้วเนี่ย!

ตำรวจล่ะ ตำรวจเป็นผู้ดูแลประชาชนไม่ใช่เหรอ รีบพาตัวเด็กคนนี้ไปซะ ไม่อย่างนั้นฉันคงจะอดตีเขาไม่ได้!

ฉันมองไปรอบๆ ตัว ดูว่ามีอะไรพอจะอุดปากที่ร้องไห้คร่ำครวญของเจ้าเด็กคนนี้ได้บ้าง และแล้วก็เห็นเด็กชายคนหนึ่งกำอมยิ้มอยู่ในมือและยืนมุงดูอยู่ด้านข้าง

“หนูจ๊ะ พี่สาวให้เงินหนึ่งร้อย ขอซื้ออมยิ้มของหนูหน่อย” เด็กชายเบิกตาโตด้วยความงุนงง เมื่อเขาได้สติกลับมา ธนบัตรสีแดงหนึ่งใบก็อยู่ในมือเขาเรียบร้อยแล้ว ส่วนอมยิ้มถูกฉันจับยัดใส่ปากของเด็กที่ร้องไห้คร่ำครวญคนนั้น

“อย่าร้องไห้เลยนะ” ฉันพูดปลอบเสียงนุ่มนวล “ขืนยังร้องไห้อีก พี่สาวจะเอาอมยิ้มยัดเข้าไปในก้นเธอ!”

เด็กน้อยหยุดร้องไห้ทันที ในปากอมอมยิ้ม แล้ววิ่งหนีไปด้วยสีหน้าตกใจกลัว

“ผมไม่เอาเงิน ผมจะเอาอมยิ้ม!” เฮ้อ ถึงตาเด็กชายที่ถูกฉัน ‘ซื้อ’ อมยิ้มไปร้องไห้บ้างแล้ว “ฮือๆๆๆ หม่ามี้ อมยิ้มผม…”

นี่! เงินหนึ่งร้อยซื้ออมยิ้มได้ตั้งเท่าไร ได้เงินไปแล้วยังจะโวยวายอีก

แม่ของเด็กชายหิ้วของพะรุงพะรังพลางรีบวิ่งมาจากอีกด้านหนึ่ง แล้วยื่นมือมาจูงเด็กชาย “ไม่ต้องร้องนะ เดี๋ยวหม่ามี้ซื้อให้อีกอัน”

เด็กชายร้องไห้สะอึกสะอื้น “คุณป้าคนนั้นดุมาก น่ากลัวมากเลย…”

คุณป้าอะไรกัน ฉันเป็นพี่สาวต่างหาก! พี่-สาว!

ใบหน้าฉันกระตุกไม่หยุด

อดทนไว้ ฉันบอกตัวเองว่าต้องอดทนไว้ คิดเล็กคิดน้อยกับเด็กจนๆ ที่ไม่มีใครสั่งใครสอนมีแต่จะทำให้ตัวเองดูต่ำลง

ฉันคือหลินซิงเฉิน! คุณหนูผู้สง่างามและสูงส่ง!

ตอนนี้ต้องจัดการกับคราบไอศกรีมที่น่าขยะแขยงตรงขาเสียก่อน ฉันเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าอยู่นานสองนาน มีทั้งโทรศัพท์มือถือ บัตรต่างๆ เงินสด…ข้าวของเยอะแยะ แต่กลับหาทิชชูไม่เจอสักแผ่น

การใช้ธนบัตรเช็ดเป็นการกระทำของพวกชอบอวดรวย แต่วินาทีนี้ฉันมีความคิดแบบนี้จริงๆ

ทันใดนั้นเงาดำที่คล้ายภูเขาลูกเล็กเงาหนึ่งทอดลงตรงหน้า มือตุ๊กตาขนาดใหญ่ข้างหนึ่งปรากฏต่อสายตาทันที ฉันไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา “ไปเถอะไป ฉันไม่อยากได้ลูกโป่ง”

เจ้าคิตตี้แบมือออก ฉันถึงได้รู้ว่าในมือเขาถือทิชชูหนึ่งห่อ ฉันยังไม่ทันจะบอกว่าไม่เอา เขาก็ยัดมันใส่ในมือฉันแล้วเดินจากไป เมื่อก้มลงมองดูดีๆ บนห่อทิชชูพิมพ์สโลแกนโฆษณาไว้ว่า ‘ร้านค้าในธีมคิตตี้เปิดร้านใหม่ สินค้าราคาพิเศษทั้งร้าน’

ฉันงงงันอยู่ครู่หนึ่ง ที่แท้ก็เป็นทิชชูเพื่อการโฆษณานี่เอง

พอถูกพวกเด็กๆ ก่อกวนแบบนี้ ฉันก็ไม่มีกะจิตกะใจจะช็อปปิ้งแล้ว ก็เลยโบกเรียกแท็กซี่กลับบ้าน

เพิ่งจะเดินเข้าประตูบ้านมา ฉันก็ได้กลิ่นหอมกรุ่น ทั้งรู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคย

ฉันค่อยๆ เดินตามกลิ่นหอมเข้าไปในห้องครัว

“คุณหนูซิงเฉิน ทำไมไม่ให้ลุงเต๋อไปรับล่ะครับ” ลุงเต๋อหันหน้ามา ดูเหมือนว่าในปากกำลังเคี้ยวอะไรอยู่

“ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูมีคนขับรถอยู่ทั่วทั้งเมืองเลย!” ฉันทำหน้าทะเล้นพลางยื่นหน้าเข้าไปดมกลิ่นที่ข้างปากเขา “ลุงเต๋อ ลุงทานอะไรคะ กลิ่นหอมจังเลย”

“เกี๊ยวครับ คุณหนูคงยังไม่ได้ทานมื้อเย็นใช่มั้ย ลุงเต๋อจะเสิร์ฟจานใหญ่ให้” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของชายชรายิ้มแย้มขึ้นมาทันที

เกี๊ยวร้อนๆ มีไอสีขาวลอยโขมง ราดด้วยน้ำมันพริกสีแดงแจ๋ จากนั้นโรยต้นหอมซอยสีเขียวสด เป็นกลิ่นอายของบ้านเกิดที่ลุงเต๋อเฝ้าคิดถึง

“เกี๊ยวน้ำแคลอรีสูง…” ฉันกลืนน้ำลาย “หนูทาน ‘จานเล็ก’ ก็พอค่ะ”

“ไม่สูงครับไม่สูง คุณหนูสบายใจได้ ลุงเต๋อทำเกี๊ยวไส้หมู เอาไขมันออกหมดแล้ว” ลุงเต๋อเปิดเตาแล้วต้มน้ำอีกรอบ จนกระทั่งเกี๊ยวน้ำชิ้นขาวอวบเสิร์ฟลงบนโต๊ะแล้วก็ยังคงบ่นพึมพำไม่หยุด “คุณหนูผอมเกินไปแล้ว เด็กผู้หญิงต้องอวบๆ หน่อยถึงจะสวย ไม่ต้องไปลดน้ำหนักเหมือนดาราผู้หญิงในทีวีพวกนั้นหรอก! เลี้ยงดูให้คุณหนูผอมจนลมพัดทีก็ตัวปลิวอย่างนี้ พอลุงเต๋อตายไปจะให้อธิบายกับคุณพ่อของคุณหนูว่ายังไงล่ะครับ”

“Stop! เดี๋ยวหนูทานเกี๊ยวให้หมดจานเลยก็ได้ค่ะ!” ฉันเป่าเกี๊ยวให้หายร้อน แล้วป้อนใส่ปากที่พูดเป็นต่อยหอย

ลุงเต๋อกัดเกี๊ยวพลางหัวเราะเหอะๆ

หลังจากทานอิ่มแล้วฉันก็นอนแผ่บนเตียงขนาดใหญ่ คิดทบทวนคำพูดของเจิ้งฉู่เย่าอย่างลึกซึ้ง

เขาบอกว่าเขาเกลียดตา จมูก ปาก เส้นผม การแต่งตัว คำพูด และกิริยาท่าทางของฉัน…เกลียดทุกอย่างเกี่ยวกับตัวฉัน

นอกจากชาติตระกูลที่ฉันไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ที่เหลือก็ไม่ง่ายเหมือนกัน คุณชายสูงศักดิ์อย่างเจิ้งฉู่เย่าชอบผู้หญิงมารยาสาไถยที่เรียบง่ายไม่หรูหราอย่างอวี๋หยางหย่างหรอกเหรอ

พอส่องกระจกดูก็เห็นผู้หญิงที่แต่งหน้าเข้มจัดจ้านและสวยยั่วยวนเหมือนกับนางปีศาจจิ้งจอก…

เมื่อคิดดูดีๆ นอกจากตอนไปร่วมงานเลี้ยงที่เจิ้งฉู่เย่าแต่งตัวค่อนข้างเป็นทางการแล้ว ส่วนใหญ่เขาก็มักจะสวมเสื้อยืดเรียบๆ ไม่มีลวดลายหรือไม่ก็เสื้อเชิ้ตคู่กับนาฬิกาข้อมือโทนสีสดใส แต่งตัวสไตล์เด็กหนุ่มร่าเริง

ส่วนฉันแต่งตัวแบบสวยสง่าดูเป็นผู้ใหญ่ พอไปยืนอยู่ข้างๆ เขาทำให้ดูแก่กว่าเขามากทีเดียว มิน่าล่ะเจ้าเด็กบ้าพวกนั้นถึงเรียกฉันว่าป้า!

ผู้ชายมักจะถือสาเรื่องอายุ เฮ้อ ฉันเข้าใจ

เมื่อตัวเองค้นพบปมปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานนักฉันก็กลับมาอารมณ์ดีเหมือนเดิม

ในเมื่อค้นพบปัญหาแล้ว แผนการต่อไปก็คือดำเนินการแก้ไข!

วันรุ่งขึ้นฉันเข้าร้านเสริมสวยอย่างเร่งด่วน ขอให้อาจารย์อาข่าย ที่ปรึกษาด้านความงามชื่อดังที่เคยออกรายการ ‘ควีน’ มาช่วยเปลี่ยนลุคใหม่ให้กับฉัน

“ฉันอยากเปลี่ยนลุคใหม่ค่ะ” ฉันครุ่นคิด “อยากให้ดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสาแต่ก็แอบเซ็กซี่ ดูเรียบๆ แต่ก็ให้ความรู้สึกหรูหรานิดๆ แล้วก็ดูธรรมดาแต่ดึงดูดสายตาแบบร้อยเปอร์เซ็นต์!”

เมื่อได้รับคำสั่งของฉัน อาจารย์อาข่าย ช่างแต่งหน้า และช่างทำผมทั้งสามคนต่างก็มองหน้ากันเลิ่กลั่กอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าจะลำบากใจเล็กน้อย

“ช่วยพูดเจาะจงกว่านี้หน่อยได้มั้ยครับ”

แบบนี้ยังเจาะจงไม่พออีกเหรอ

ฉันตบกระเป๋าเงินแบรนด์หลุยส์ วิตตองลงบนโต๊ะ ดูท่าทางอวดรวยอย่างยิ่ง “ถ้าทำออกมาแล้วฉันพอใจ จะจ่ายเพิ่มให้อีกเท่าตัว”

อาจารย์อาข่ายตาเป็นประกาย ทั้งสามปรึกษากันอยู่พักหนึ่งแล้วก็เริ่มลงมือทำงาน

“คุณซิงเฉินผิวพรรณดี ใบหน้าก็สวยเนียนมีมิติ เหมาะกับสไตล์สาวสวยใสเป็นธรรมชาติ” อาจารย์อาข่ายชี้นิ้วเรียวยาวที่ใบหน้าฉัน “ตอนนี้การแต่งตาสีเอิร์ธโทนกับทาปากสีส้มกำลังเป็นที่นิยม คู่กับผมดำตรงนุ่มสลวยเงางาม…”

“สวยใสเป็นธรรมชาติเหรอ” เมื่อนึกถึงดวงตากลมโตใสแป๋วที่ดู ‘เขินอาย’ คู่นั้นของอวี๋หยางหย่าง ฉันก็พยักหน้า “อืม รีบลงมือเถอะค่ะ”

ช่างแต่งหน้าแต้มโลชั่นสำหรับเช็ดเครื่องสำอางบนใบหน้าฉัน แล้วใช้นิ้วมือนวดวนไปมา “ตอนนี้จะเช็ดเครื่องสำอางออกก่อนนะคะ”

คิดไม่ถึงว่าการตัดสินใจเดินบนเส้นทางของหญิงสาวที่มีสกุลรุนชาติจะขรุขระเดินยากลำบากยิ่งกว่าเส้นทางคดเคี้ยวของปีศาจจิ้งจอกที่สวยพราวเสน่ห์เสียอีก

ผมดัดเป็นลอนดูสวยมีเสน่ห์ที่เดิมทียาวประบ่าของฉันทั้งถูกยืดตรงและย้อมเป็นสีดำ กระบวนการใช้เวลาหลายชั่วโมงจนฉันอดสัปหงกไม่ได้ ขณะที่ศีรษะผงกหงึกๆ ฉันก็มักจะเจ็บจนสะดุ้งตื่นเพราะถูกดึงหนังศีรษะ

ตอนนั้นเองเด็กสาวที่เป็นผู้ช่วยก็เข้ามาใกล้ฉันอย่างขลาดกลัว “คุณหลินคะ?”

ฉันถลึงตาใส่เธอ แล้วเค้นเสียงออกมาจากซอกฟันหนึ่งพยางค์ “หืม?”

เธอห่อตัวเล็กน้อย “เล็บปลอมที่มือคุณ อาจารย์อาข่ายบอกว่าต้องถอดออก…”

ฉันมองดูนิ้วทั้งสิบที่ตกแต่งอย่างสวยงาม คริสตัลเม็ดเล็กๆ พวกนี้ของสวารอฟสกี้ ช่างทำเล็บบรรจงติดลงไปทีละเม็ดๆ มันเป็นงานศิลปะนะงานศิลปะ เธอเข้าใจไหม

“สวยใสเป็นธรรมชาติใช่มั้ย” ริมฝีปากฉันเม้มแน่นสนิท สุดท้ายก็หลับตา ลำตัวแน่นิ่ง “งั้นก็ถอดออกเถอะ”

การถอดเล็บที่วิบวับพวกนั้นทำให้ฉันรู้สึกเจ็บปวดเหมือนกับการถอนขนของนกยูงที่เย่อหยิ่งออก เธอเข้าใจไหม

ฉันหมดอาลัยตายอยากเหมือนกับนกยูงที่ถูกถอนขนจนเกลี้ยงแล้วปล่อยให้คนฆ่าแกงตามอำเภอใจตัวนั้น พอนึกถึงว่าตัวเองต้องทนทรมานเพราะคำพูดเหลวไหลที่ว่า ‘ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเธอ ฉันเกลียดหมดเลย’ ของเจิ้งฉู่เย่า ฉันก็โมโหจนเลือดในกายเดือดพล่าน

เจิ้งฉู่เย่า นายคอยดูนะ ฉันจะใช้ความสามารถที่มีอยู่ทั้งหมดมายั่วยวนนาย!

เมื่อถึงตอนที่นายไม่เปลี่ยนใจไปจากฉัน ฉันจะเหยียบย่ำนายให้จมดิน เอาความแค้น ความขุ่นเคืองที่ได้รับในช่วงหลายวันมานี้มอบคืนกลับไปให้นายทั้งหมด!

 

สามสี่ชั่วโมงต่อมา ฉันมองดูผู้หญิงที่อยู่ในกระจกอย่างเหม่อลอย ถามอาจารย์อาข่ายว่า “นี่ฉันจริงๆ เหรอคะ ทำไมถึงรู้สึกว่าหน้าตาตัวเองแตกต่างไปจากเดิมมากเลย”

“อ๋อ! คุณแค่ไม่ชินตาเท่านั้นเอง แต่งแบบนี้ดูสดใสเป็นธรรมชาติมากเลย ดูแล้วเหมือนกับหญิงสาววัยแรกแย้ม!”

ปีนี้ฉันอายุสิบแปดปี ฉันก็เป็นหญิงสาววัยแรกแย้มอยู่แล้ว! ฉันขมวดคิ้ว

อาจารย์อาข่ายรีบหยิบเซ็ตติ้งสเปรย์ขึ้นมา แล้วฉีดใส่ใบหน้าฉันเบาๆ เพื่อให้เครื่องสำอางติดทนนานยิ่งขึ้น “ยิ้ม…ยิ้มหน่อย สาวสวยใสไร้เดียงสาต้องยิ้ม!”

ยิ้ม?

ฉันยกมุมปากที่แข็งทื่อขึ้น แล้วเขาก็ร้องตกตะลึงเสียเกินจริง “เป๊ะเว่อร์! สวยสุดๆ! สวยกว่านางแบบในโปสเตอร์เราเป็นสามสี่ร้อยเท่าเลย!”

ขณะที่รูดบัตรและเซ็นชื่อในสลิป อาจารย์อาข่ายก็ถามโพล่งออกมาว่า “ทำไมคราวนี้คุณซิงเฉินถึงอยากจะเปลี่ยนลุคเหรอครับ”

“เพื่อยั่วยวนผู้ชายค่ะ” ฉันตอบอย่างอารมณ์เสีย

อาจารย์อาข่ายถึงกับแข็งทื่อเป็นหิน

ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน ฉันไม่แม้แต่จะทานมื้อเที่ยง แล้วตรงดิ่งไปที่เคาน์เตอร์แบรนด์สำหรับหญิงสาวในห้างสรรพสินค้าทันที

“ลายจุดเล็กๆ บนกระโปรงสั้นลูกไม้พวกนี้ดูน่ารักสวยหวาน แมตช์ได้กับทุกอย่างเลยค่ะ แล้วก็ยังมีชุดเดรสชีฟองพวกนี้ที่ตรงปลายแขนเสื้อเป็นลายลูกไม้ ทั้งหมดนี้เป็นเทรนด์ฮิตล่าสุดหมดเลยค่ะ” พนักงานสาวที่เคาน์เตอร์พูดแนะนำไม่หยุด

เมื่อเดินออกจากห้องลองเสื้อ ฉันก็จ้องมองตัวเองในกระจก เสื้อเชิ้ตผ้าชีฟองสีขาวคู่กับกระโปรงพลีตสั้นสีฟ้าน้ำทะเล และยังผูกโบน่ารักๆ หนึ่งอันที่คอเสื้อ มุมปากฉันกระตุกอย่างแรง “คุณแน่ใจเหรอว่านี่เป็นสไตล์ที่ผู้ชาย ‘ปกติ’ ชอบกัน”

“แน่นอนค่ะ โดยทั่วไปผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงที่แต่งตัวดูสวยเป็นผู้ใหญ่เกินไป” พนักงานสาวที่เคาน์เตอร์ยืนยันแล้วยืนยันอีก “กระโปรงพลีตสั้นที่มีกลิ่นอายนักเรียนแบบนี้ พวกผู้ชายชอบที่สุดเลย”

กระโปรงสั้นที่มีกลิ่นอายนักเรียน? เพิ่มสายเอี๊ยมเข้าไปก็เป็นเครื่องแบบนักเรียนประถมชัดๆ เจิ้งฉู่เย่าเป็นพวกนิยมเด็กอย่างนั้นเหรอนี่

ความคิดนี้แวบเข้ามาในสมองทันที เมื่อนึกถึงอกไข่ดาวที่ดูเหมือนยังโตไม่เต็มที่ของอวี๋หยางหย่าง…ฉันก็เกิดอาการมวนท้องขึ้นมา แล้วก็รู้สึกพะอืดพะอม คลื่นไส้เล็กน้อย

“คุณน้องแต่งแบบนี้ไปเดตกับแฟน ต้องเหมาะมากแน่นอนค่ะ”

เอ๋ คุณน้อง? ฉันงงงัน หมายถึงฉันน่ะเหรอ

“คุณยังเรียนหนังสืออยู่ใช่มั้ยคะ” พนักงานสาวชวนคุย “คุณดูดีมีออร่าแบบนี้ ต้องเรียนที่มหาวิทยาลัยชื่อดังแน่นอน”

มหาวิทยาลัย? ฉันเพิ่งอยู่ ม.ปลาย เองนะ

ฉันถลึงตาใส่เธอ แล้วหักนิ้วดังกร๊อบๆ เมื่อสังเกตเห็นว่าฉันมีสีหน้าบึ้งตึง พนักงานสาวก็คว้าเสื้อสิบกว่าชุดยัดใส่ในมือฉัน “ชุดพวกนี้ก็เหมาะกับคุณนะคะ! คุณน้องรีบไปลองใส่ดูสิคะ!”

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คำเรียก ‘คุณน้อง’ คำนี้ก็ทำให้ฉันมีความสุขมากอยู่ดี

“ตัวนี้ แล้วก็ตัวนี้…” หลังจากลองเสื้อเสร็จแล้วฉันก็ควักบัตรเครดิตออกมาอย่างองอาจผึ่งผาย “…ไม่เอา นอกนั้นพับใส่ถุงให้ฉันทั้งหมด! ต่อไปฉันอยากจะดูรองเท้าหน่อย”

ตู้เสื้อผ้าของผู้หญิงไม่เพียงขาดเสื้อผ้าอยู่หนึ่งตัวตลอด แม้แต่ในตู้เก็บรองเท้าก็มักจะขาดรองเท้าอยู่หนึ่งคู่เสมอ

แม้แม่ใหญ่จะดุร้ายอยู่สักหน่อย คอยคิดที่จะผลักฉันลงไปในขุมนรก แต่ว่าเรื่องเงินทองเธอตามใจฉันมากเลย

แม้กฎหมายจะระบุไว้ว่าต้องอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ถึงจะมีบัตรเครดิตได้ แต่แม่ใหญ่ก็ยังคงให้บัตรเสริมกับฉันหนึ่งใบ เท่าที่รู้บัตรหลักเป็นบัตรเครดิตแบล็กไดมอนด์ที่ไม่จำกัดวงเงิน ถึงแม้บัตรในมือฉันจะเป็นบัตรเสริม แต่อานุภาพก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน หลังจากบรรดาพนักงานสาวที่เคาน์เตอร์วิ่งไปส่งข่าวให้กัน เพียงไม่นานไม่ว่าฉันเดินไปที่ไหนก็มีพนักงานบริการยิ้มแย้มแจ่มใสคอยต้อนรับตลอด ขาดก็แต่ไม่ได้ปูพรมแดงเท่านั้น

ฉันซาบซึ้งในหลักการอันลุ่มลึกที่ว่า ‘เงินทองไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ไม่มีเงินไม่ได้เด็ดขาด’ อีกครั้ง

สวรรค์อยู่แห่งหนใดน่ะหรือ สวรรค์ก็คือเวลาที่คุณมีบัตรเครดิตไม่จำกัดวงเงิน ไม่ว่าเดินไปที่ไหนก็ล้วนเป็นสรวงสวรรค์ทั้งสิ้น!

ขณะที่ฉันมีสีหน้าภูมิอกภูมิใจและโอ้อวด มีผู้คนห้อมล้อม ในหูได้ยินคนเหล่านี้พูดคุยเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว แต่ไม่รู้ทำไม…กลับยิ่งเอือมระอาขึ้นเรื่อยๆ

หางตาฉันเหลือบเห็นตุ๊กตาคิตตี้ที่คุ้นเคย เขากำลังยืนแจกลูกโป่งให้กับผู้คนที่มาช็อปปิ้งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้าง เด็กๆ ห้อมล้อมขอถ่ายรูปกับเขาด้วยความตื่นเต้นดีใจ ใครเข้ามาเขาก็ไม่ปฏิเสธ มือซ้ายจูงเด็ก ส่วนมือขวาอุ้มเด็ก ใบหน้านั้นไม่มีปากและสีหน้าดูเรียบเฉย แต่ฉันกลับรู้สึกว่าเขากำลังยิ้มอยู่ เป็นรอยยิ้มจริงใจที่ออกมาจากหัวใจ

ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ! ถึงได้มองออกว่าคนที่สวมหัวตุ๊กตาแมวไม่มีปากกำลังยิ้มอยู่

แล้วจู่ๆ คิตตี้ตัวนั้นก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สายตามองทะลุผ่านฝูงชนมากมายมายังฉันที่อยู่ไกลๆ แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเองฉันก็สบเข้ากับดวงตาดำขลับของเจ้าแมวไม่มีปาก

ฉันยืนอยู่เงียบๆ หน้าร้านแบรนด์เนมที่สว่างไสวสวยงาม ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัวดูเหมือนว่าจะหยุดนิ่ง แล้วฉันก็ค่อยๆ ฉีกยิ้มราวกับต้องมนตร์สะกด…เฮลโล คิตตี้!

ขอบคุณนะสำหรับทิชชู

ไม่เป็นไร ดูเหมือนว่าจะได้ยินเขาพูดแบบนี้

สวรรค์! ฉันต้องเบลอไปแล้วแน่เลย! คิดไม่ถึงว่าฉันจะส่งสายตาให้กับคิตตี้ที่ไม่รู้ว่าเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย!

เสียงดังอื้ออึงของผู้คนลอดเข้ามาในหูฉันอีกครั้ง ฉันสะบัดหัวแล้วซื้อๆๆ เซ็นสลิปบัตร เอาของใส่ถุง…ฉันช็อปแหลกลาญ

ในวันนั้นฉันยังไปทานอาหารเย็นกับคิตตี้ด้วย และถือโอกาสแวะไปดื่มเหล้ากันนิดหน่อย ดูเหมือนว่าจะเกิดอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นด้วย

นี่เป็นแมวปีศาจ! ใช่แน่นอน! ไม่ผิดแน่! ฉันถึงได้ติดกับเขาเพียงแค่มองตาเขาแวบเดียว!

กว่าฉันจะได้สติกลับมาจริงๆ ก็เป็นเช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว จากนั้นก็พบเรื่องที่ทำให้ต้องทรุดฮวบอย่างแรง…ฉันหลินซิงเฉิน คุณหนูผู้สง่างามน่าเกรงขาม กอดอยู่กับคิตตี้จอมชั่วร้ายตัวนี้ตลอดทั้งคืน!

นี่มันอะไรกันนี่

จากนิยายรักกระโดดไปนิยายแฟนตาซีอย่างนั้นเหรอ

หรือว่าฉันทะลุมิติจากโลกแห่งความจริงไปสู่โลกแห่งการ์ตูน?

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

sangdow Marcom: