Jamsai
ทดลองอ่าน เกมล่าเดิมพันรัก บทที่ 2
หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก
ในป่ากลางดึกกลับไม่ได้เงียบสงัด เธอได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง แล้วก็เสียงนกที่หากินตอนกลางคืนกำลังร้องอยู่ในที่ห่างออกไป
เธอค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่ซ่อนตัวซึ่งเธอหาได้เมื่อตอนหัวค่ำ มันก็คือซอกหน้าผาเล็กๆ ที่ด้านหน้ามีต้นไม้คอยบดบังอยู่ หากไม่สังเกตก็ไม่มีทางรู้ว่าที่นี่คือที่พักของเธอ
สูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดแล้วเธอจึงเดินมายังที่โล่งกว้าง ยามที่ไม่มีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ แสงของดวงดาวจึงสว่างไสว มากมายราวกับยื่นมือออกไปสอยลงมาได้
ช่วงหัวค่ำเธอดูพระอาทิตย์ตกเพื่อบอกทิศทาง ไม่ได้รีบร้อนที่จะมุ่งออกไปยังอาคารพวกนั้น เพียงแค่หามุมเล็กๆ เพื่อพักผ่อนสักครู่
ไม่ว่าอย่างไรเธอต้องไปแน่ แต่เธอก็ไม่ได้โง่พอที่จะไปที่นั่นโดยไม่คิดเตรียมการอะไร
ขณะที่เธอเงยหน้ามองดวงดาวเพื่อพิจารณาว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหน เพียงครู่เดียวเธอก็รู้ว่าเธอไม่รู้จักดวงดาวพวกนั้นเลย คิ้วเรียวขมวดแน่น แต่เธอก็ไม่ได้บึ้งตึงอยู่นานนัก ก่อนจะหันหลังแล้วปีนกลับไปยังตำแหน่งเดิมที่สามารถมองเห็นอาคารพวกนั้นได้
อาคารพวกนั้นยังเปิดไฟอยู่ แม้ไม่ได้สว่างทุกหลัง แต่ก็ยืนยันได้ว่ามีแสงไฟ
จากนั้นเธอจึงมองเห็นดวงจันทร์ปรากฏขึ้นที่ยอดเขา นั่นคือพระจันทร์เสี้ยว
ดีจัง
ไม่ว่าคนจะอยู่ที่ไหนพระจันทร์ก็ยังเหมือนเดิม พระจันทร์เสี้ยวเล็กๆ เหมือนกับมีดโค้งสีเงินสว่าง เธอรู้ดีว่าเธอมีเวลาไม่มากนัก กล้ามเนื้อของเธอยังมีแรง ไม่ได้ลีบเล็กเพราะขาดการออกกำลัง อย่างมากเธอก็ถูกทำให้หมดสติไปแค่หนึ่งถึงสองวัน ไม่ใช่นานเป็นสิบวันหรือครึ่งเดือน
มองเห็นอาคารพวกนั้นที่อยู่ตรงเชิงเขา ยังมีแสงไฟส่องสว่าง แม้จะรู้ว่านี่เป็นกับดักแต่เธอก็ยังคงเดินมุ่งหน้าไปยังอาคารพวกนั้น
การเดินในป่ากลางดึกย่อมยากกว่าเวลากลางวันมากมายหลายเท่า แต่เธอก็เคยชินแล้วที่จะทำอะไรในเวลากลางคืน
‘ก็เหมือนกับแมว’
อยู่ๆ เสียงของผู้ชายคนนั้นก็ดังขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
‘น่าจะมีคนมาผูกกระดิ่งให้เธอนะ’
เขาพูดยิ้มๆ แบบนี้ วันถัดมาเมื่อเธอตื่นขึ้นก็พบว่าที่ข้อมือมีสร้อยข้อมือห้อยกระดิ่งใส่อยู่
ถึงแม้จะผูกกระดิ่ง แต่ถ้าเธอไม่ต้องการให้มีเสียงเธอก็สามารถทำได้ ทว่ามันก็ขัดขวางการเคลื่อนไหวของเธอจนอาจทำให้คนรอบข้างสังเกตได้ง่ายขึ้น เธอควรจะปลดมันออกมา
แต่เมื่อเธอนอนลงบนเตียง มองดูมือซ้ายที่มีกระดิ่งส่งประกายแวววับนั้นแล้ว เธอก็อดที่จะยกมือขึ้นฟังเสียงเล็กๆ ไพเราะของมันไม่ได้
ตั้งแต่นั้นเธอก็ใส่มันตลอดเวลาไม่เคยถอดจนกระทั่งเมื่อเดือนที่แล้ว
อยู่ๆ ก็มีเสียงบางอย่างดังมาจากทางด้านขวาจากที่ไม่ไกลนัก ทำให้เธอได้สติขึ้น หยุดเดินทันที ก่อนจะรีบทรุดตัวนั่งยองๆ อยู่ในความเงียบสงบ
ป่านี้แม้จะมีต้นไม้ขึ้นรกชัฏแต่ก็ไม่ถึงขนาดจะบดบังแสงจันทร์ได้หมด เธอยังคงมองเห็นต้นไม้ใบหญ้า เมื่อเธอมองไปยังทิศทางของเสียงนั้นก็รู้สึกได้ถึงหัวใจตัวเองที่เต้นเร็วขึ้น
เธอไม่ได้หวาดกลัว ออกจะเคยชินกับสภาพแวดล้อมแบบนี้ด้วยซ้ำ ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เธอต้องมาอยู่ที่นี่ เธอรู้วิธีที่จะจัดการกับความมืด ป่า สัตว์ป่าและสัตว์ร้ายอย่างไร
วินาทีถัดมาก็มีบางสิ่งขยับ
เงาเล็กๆ เคลื่อนไหวใต้แสงจันทร์ เธอรู้ได้ทันที สิ่งนั้นไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่สัตว์ร้าย เป็นเพียงหนูตัวหนึ่ง
หนูตัวเล็กวิ่งเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว แล้วหายลับไปในกอหญ้าอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เธอยังคงนิ่งอยู่ ยังรออยู่อีกสักพัก จนแน่ใจว่าไม่มีสัตว์อื่นหรือคนอยู่แถวนี้อีกจึงได้ยืนขึ้นแล้วมองไปทางอาคารด้านหน้า
ตลอดเวลาที่อยู่ในป่าเธอเคลื่อนตัวไปอย่างเงียบสงบ ไม่ทำให้เกิดเสียงใดๆ
ก่อนออกจากบ้านเรือนั้น เธอถอดสร้อยข้อมือออกไปแล้ว เธอเพิ่งรู้ตัวว่าตอนที่อยู่กับผู้ชายคนนั้นเธอไม่ต้องอยู่ในความเงียบตลอดเวลา ไม่ต้องเป็นเงา ไม่ต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในความมืด ไม่ต้องกังวลถึงอันตรายใดๆ ดังนั้นจึงไม่เคยคิดจะปลดสร้อยข้อมือออก
อยู่ข้างๆ ผู้ชายคนนั้น เธอจะส่งเสียงอย่างไรก็ได้
เขาทำให้เธอเป็นแบบนั้น
แต่ถึงแม้จะล่วงเลยมาหลายปีแล้ว…เธอก็ยังเคยชินกับนิสัยบางอย่างที่ติดตัวมาตั้งแต่เล็ก มันเป็นนิสัยจากความเคยชินและปฏิกิริยาที่ฝังรากลึก เธอจึงมักทำตัวเหมือนเป็นวิญญาณที่อยู่ในป่า
ตอนนี้เองเธอมาถึงส่วนล่างสุดของหุบเขา ขณะที่เริ่มปีนขึ้นไป พระจันทร์เสี้ยวก็ลอยสูงขึ้นไปอีก เธอยื่นมือไปคว้ากิ่งไม้บนเนินเขา มองพระจันทร์เสี้ยวผ่านต้นไม้ แล้วอดที่จะคิดขึ้นมาไม่ได้
ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่
ไม่รู้ว่าจะทำเหมือนเธออยู่รึเปล่า ที่เงยหน้ามองพระจันทร์ดวงเดียวกัน
แสงสีเงินพุ่งเข้านัยน์ตาเขา
ชายหนุ่มได้สติขึ้นหลังจากเมาหลับไป ในขณะนั้นเขาไม่ค่อยแน่ใจว่าอยู่ที่ไหน แล้วเขาก็ไม่ได้สนใจด้วย เขากะพริบตาอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่หลบแสงที่แสบตานั้น เขาพยายามจะขยับศีรษะ ถึงได้เห็นว่าแสงที่แยงตานั้นมาจากสร้อยข้อมือสีเงินที่อยู่ตรงตู้หัวเตียงนั่นเอง
แสงแดดยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างเรือเข้ามากระทบกับสร้อยข้อมือเล็กน่ารักนั่น
เขานอนปวดหัวแทบระเบิดจึงหลับตาลงอีกครั้งพลางซุกหน้าลงกับหมอน แต่กลับได้กลิ่นหอมหวานอ่อนๆ
กลิ่นของเธอ
อยู่ๆ ก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
เขานอนอยู่บนเตียงของเธอ
ในที่สุดเขาก็คิดได้ว่าเธอจากไปแล้ว แล้วยังเรื่องชกต่อยที่ร้านเหล้าเมื่อคืนนี้อีก
ความรู้สึกหงุดหงิดยังคงอยู่ในใจ ไม่ได้หายไปกับการออกแรงในร้านเหล้าเลย แต่แม้ว่าจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึกๆ เอากลิ่นของเธอเข้าไป
ความต้องการตรงส่วนล่างของร่างกายแข็งขืนขึ้นมาอย่างที่ไม่อาจควบคุมได้ ซึ่งก็เป็นอาการเดียวกันกับทุกครั้งที่มองเธอตลอดหลายปีมานี้
ทั้งหมดนี้ได้แต่ทำให้เขายิ่งโกรธ ยิ่งไม่พอใจ และยิ่งเศร้าใจ แต่เขากลับไม่สามารถบังคับตัวเองให้ผละออกจากเตียงที่สะอาด อ่อนนุ่มและเต็มไปด้วยกลิ่นของเธอนี้ได้
มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้สิ เวลาห้าปีที่ผ่านมาเขาไม่ได้อยากจะทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้นจึงไม่เคยแตะต้องเธอ
เขาสามารถทำงานร่วมกับเธอได้ดี เขาเป็นคนบุกตะลุยไปข้างหน้า ส่วนเธอคอยจัดการเรื่องในบ้านโดยเฉพาะ เธอต้องการงานทำ เขาก็ให้งานเธอทำ และเธอยังทำมันได้ดีด้วย
แต่ไหนแต่ไรมาเธอก็เป็นเพียงแค่เพื่อน เป็นแค่หุ้นส่วน เป็นแค่คู่หู
เป็นอย่างนี้แหละดีแล้ว เขาไม่อยากทำลายความสัมพันธ์นี้
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าสิ่งที่เขาทำมาตลอดนั้นถูกต้องแล้ว แต่ตอนนี้เขากลับไม่รู้ว่าหลายปีที่ผ่านมานั้น เพราะอะไรเขาถึงต้องอดทนต่อความพ่ายแพ้ที่ไม่มีวันสิ้นสุดเพื่อเธอ
เขารู้ว่าสักวันหนึ่งเธอจะต้องจากไป
ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา ดังนั้นเขาคิดว่าตัวเองเข้าใจและยอมรับเรื่องนี้ได้จนกระทั่งถึงตอนนี้…ที่เธอจากไปแล้ว
เธอน่าจะตายไปซะ บ้าเอ๊ย! จากเขาไปโดยที่ไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้าสักนิด
ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปสักชิ้น เสื้อผ้า แปรงสีฟัน แม้แต่หวีก็ยังวางอยู่ที่เดิม เธอถึงขนาดปลดสร้อยข้อมือทิ้งไว้แล้วจากไป มีเพียงนามบัตรของหานอู่ฉีที่วางไว้บนโต๊ะเหมือนเยาะเย้ยเขา เหมือนกับว่าเรือลำนี้ ห้องนี้ เตียงนี้ สร้อยข้อมือเส้นนี้ รวมทั้งเขาล้วนไม่มีค่าพอให้คิดถึง
ราวกับเธอกำลังบอกว่าเขาไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับเธอเลย!
ความโกรธที่คุกรุ่นขึ้นในใจทำให้เขาลืมตา ก่อนจะลุกขึ้นอย่างไม่ชอบใจ ลากขาอันหนักอึ้งไปหยิบถุงขยะ จากนั้นกระชากปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน แล้วก็ของทุกอย่างที่เธอเคยใช้ในห้องนี้ รวมทั้งสร้อยข้อมือเงินนั้นด้วย แล้วนำทั้งหมดใส่ลงไปในถุงขยะ เอาไปทิ้ง
ต่อจากนั้นเขาก็เริ่มเก็บทำความสะอาดบ้านเรือที่รกสกปรกเหมือนเป็นกับเล้าหมูนี้ เขาทำความสะอาดทุกห้อง แล้วยังไปที่ดาดฟ้าเรือเพื่อซ่อมแผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่ชำรุดด้วย
ก่อนที่เธอจะมานั้นเขาก็ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวได้ ตอนนี้เขาก็แค่ใช้ชีวิตคนเดียวต่อไป
ในเมื่อเธอสามารถไปอย่างสิ้นเยื่อใย เขาก็สามารถจะลืมเธอได้เช่นกัน
เขาปลดเชือกที่ผูกไว้ ติดเครื่องเรือ ขณะที่จับเบรกเรือเพื่อที่จะปลดก็นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เขาเม้มปากและขบกรามแน่น โมโหกับความลังเลของตัวเอง
ช่างเรดอาย! ช่างคู่หูเขา! ช่างผู้หญิงคนนั้นสิ!
เขาปลดเบรกเรือและบังคับเรือออกจากท่าเรือ ออกจากที่ที่เขาอยู่มานานกว่าหนึ่งเดือน
ขณะที่บ้านเรือกำลังแล่นออกจากแม่น้ำก็ทำให้เกิดคลื่นเป็นระลอกแล้วระลอกเล่า แต่ไม่นานนักคลื่นเหล่านั้นก็ค่อยๆ หายไป สายน้ำหวนคืนกลับสู่ความสงบอีกครั้ง
หมู่บ้านเล็กๆ นี้สร้างขึ้นเพื่อรองรับการทำเหมืองแร่ มันถูกทิ้งร้าง ป้ายหมู่บ้านก็เก่ามาก ตัวอักษรบนป้ายเลือนรางจนแทบจะมองไม่ออกว่าเดิมเขียนว่าอะไร อาคารในหมู่บ้านเป็นตึกที่สร้างขึ้นมาจากปูนและไม้ หน้าต่างส่วนใหญ่ชำรุด
เธอยืนอยู่หน้าหมู่บ้านคอยสังเกตการณ์อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะมองเห็นเงาคนที่กำลังติดตะเกียงในห้อง เสียงของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าลอยมาให้ได้ยินอย่างชัดเจนในเวลากลางคืน
เธอมองป้าย คิดว่าเมื่อก่อนที่นั่นอาจจะเป็นร้านอาหารหรือบาร์เหล้า
อาศัยความมืดในยามค่ำคืน เธอลอบเลียบตึกที่อยู่ไป มองเห็นหลอดไฟไส้ โปสเตอร์ผู้หญิงในชุดว่ายน้ำที่สีซีดจาง รองเท้าผ้าใบเลอะโคลนเก่าๆ ที่ถูกทิ้งไว้ข้างทางเดิน อีเตอร์* ขึ้นสนิม ถังน้ำ สายไฟ แล้วก็อุปกรณ์การขุดเหมืองต่างๆ
เธอหยิบสายไฟมัดหนึ่งและอีเตอร์ แล้วเดินต่อไป
เหมืองถ่านหิน…
คาดเดาได้ไม่ยากเลย หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้มีเศษถ่านหินสีดำตกอยู่ตามทางเดิน ท้ายหมู่บ้านมีแท็งก์น้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ภายนอกตึกมีเครื่องจักรหนักของญี่ปุ่นที่เก่ามากตั้งทิ้งอยู่หลายเครื่อง เพราะเครื่องจักรกับโปสเตอร์นางแบบชุดว่ายน้ำทำให้เธอเกือบคิดว่าตัวเองกำลังอยู่ในศตวรรษที่สิบเก้า
เธอรู้ว่าเธอไม่ได้อยู่ในญี่ปุ่น ป้ายด้านนอกไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเป็นญี่ปุ่นเลย ยิ่งไปกว่านั้นญี่ปุ่นอยู่ทางซีกโลกเหนือ แต่ดวงดาวที่นี่ไม่ได้บอกแบบนั้น
สถานที่แห่งนี้ถูกทิ้งร้างมาไม่น้อยกว่าสามสิบสี่สิบปี
เธออยู่ให้ห้องสำนักงาน พบแผนที่ในการขุดเหมืองกับปฏิทินที่ช่วยยืนยันสมมติฐานของเธอว่าถูกต้อง ตัวอักษรในปฏิทินเป็นภาษาอังกฤษเหมือนกับป้ายด้านหน้า เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1975
แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่อาจบอกเธอได้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน สมัยก่อนสหราชอาณาจักรได้รับการขนานนามว่าเป็นอาณาจักรที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน แม้ว่าในท้ายที่สุดอาณาจักรนั้นได้ล่มสลายลง แต่ประเทศต่างๆ ในโลกนี้ก็ยังใช้ภาษาอังกฤษอยู่ เธอสามารถอยู่ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น
เครื่องจักรพวกนั้นใช้น้ำมันดีเซลในการขับเคลื่อน เธอยังได้กลิ่นน้ำมันดีเซล แต่ไม่แน่ใจว่าน้ำมันที่เหลืออยู่มีมากน้อยแค่ไหน หรือแม้แต่กระทั่งน้ำมันพวกนั้นยังใช้การได้หรือไม่
ในตึกหลายตึกมีรอยเลือดอยู่มากมาย แต่รอยเลือดพวกนั้นแห้งจนสีเปลี่ยน ดูไม่ออกว่าเป็นเลือดคนหรือเลือดสัตว์ และบอกไม่ได้ว่ามีรอยนี้มานานเท่าไหร่แล้ว
เธออยู่บนถนนที่ถูกกลบไปด้วยดินทราย มองเห็นรอยเท้ามากมายที่แตกต่างกัน ส่วนใหญ่ยังเห็นได้ชัดเจน รองเท้าหนัง รองเท้ากีฬา รองเท้าส้นสูง รองเท้าลำลอง แล้วยังมีรองเท้าปีนเขาและบูตทหาร
เหยื่อและนักล่า…
ในขณะที่เธอกำลังมองดูรอยเท้าอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นทำลายความเงียบสงัดยามค่ำคืนหนึ่งนัด นกฝูงใหญ่ตกใจบินหนีออกจากป่า
เสียงปืนสะท้อนอยู่ในป่า มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น เธอก้าวเดินไปสู่ความมืดมิด ก้าวเข้าไปในเกมของนักล่า