ทดลองอ่าน เกมล่าเดิมพันรัก บทที่ 2 – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

Jamsai

ทดลองอ่าน เกมล่าเดิมพันรัก บทที่ 2

3 of 3หน้าถัดไป

หกคน

มีคนหกคนอยู่ในห้อง

ผู้ชายสี่คน ผู้หญิงสองคน ไม่มีใครคล้ายคลึงกันเลย คนที่อายุมากสุดอยู่ในชุดสูทผูกเนกไท เขาเป็นสุภาพบุรุษสูงวัยผมสีดอกเลา ส่วนคนที่อายุน้อยที่สุดคือเด็กสาวผมสีทองสวมชุดกีฬาขาสั้น

ช่วงบนของเด็กสาวเปลือยเปล่า น้ำตานองหน้า ยืนห่อไหล่อยู่ตรงกลางห้อง

ชายสูงวัยและหญิงสาวอีกคนในชุดสูทถูกมัดมือไขว้หลังไว้ ทั้งสองคุกเข่าลงที่พื้น ใบหน้าแสดงถึงความตกใจและหวาดกลัว แล้วยังมีชายผิวสีรูปร่างสูงใหญ่ที่สวมเสื้อยืด เขากำลังกอดขาตัวเองพร้อมกับร้องครางอย่างเจ็บปวด

ชายสองคนถือปืนยืนอยู่ตรงหน้าของเด็กสาว

“แกมันบ้าไปแล้ว” ชายผิวสีที่ถูกยิงเข้าที่ต้นขามองพวกมันด้วยความเกรี้ยวกราด คำรามเสียงต่ำ แต่ก็มิอาจปิดบังความหวาดหวั่นไว้ได้

ชายที่สวมบูตทหารเงยหน้าขึ้นหัวเราะ “ฮ่าๆๆ แกยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ใช่ไหม ฉันจะบอกอะไรให้ ในที่นี้มีคนอยู่แค่สองประเภท นักล่ากับเหยื่อ พวกฉันเป็นนักล่า ส่วนพวกแกเป็นเหยื่อที่ต้องถูกล่า เหยื่อต้องรอให้นักล่ามาล่าอยู่แล้ว”

“บนโลกนี้ยังมีกฎหมาย” ชายสูงวัยพูดออกไป

ชายที่ถือปืนอีกคนหันกระบอกปืนมาทางชายสูงวัย พูดด้วยน้ำเสียงเย็น “ที่นี่พวกฉันก็คือกฎหมาย ฉันเรียกใครให้อ้าขา คนนั้นก็ต้องอ้าขาให้ฉัน”

ได้ยินดังนั้นสาวผมแดงจึงสูดหายใจลึกๆ เอ่ยว่า “แต่นี่…เธอยังเป็นเด็กอยู่เลยนะ แล้วก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ ฉันว่าพวกนายน่าจะชอบผู้หญิงที่เป็นงานมากกว่า”

“ไม่ต้องรีบร้อน อีกเดี๋ยวก็จะถึงตาแก” ชายที่สวมบูตทหารหัวเราะแล้วชี้ไปที่เพื่อนอีกคนพร้อมพูดว่า “เบลกไม่เหมือนฉัน มันชอบผู้หญิงช่ำชอง รอให้เสร็จจากทางนั้นก่อนแล้วมันมาจัดการแกแน่”

พูดไปก็มองเด็กสาวผมทองด้วยสายตาโลมเลียและข่มขู่ “ถอดกางเกงเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นพวกฉันจะจัดการกับไอ้ปัญญาอ่อนนั่น รวมทั้งไอ้แก่นั่นด้วย แล้วค่อยจัดการพวกแกสองคน ไม่ว่าจะเป็นหรือตายพวกฉันก็จะเอาแกอยู่ดี คิดดูเองแล้วกัน”

เด็กสาวหวาดกลัวอย่างมาก น้ำตาไหลนองหน้า แต่ก็ก้มตัวลงใช้มือที่สั่นเทาถอดกางเกงกีฬาออก

ชายถือปืนทั้งสองคนหายใจแรงจนจมูกบาน ดวงตาเปล่งประกาย เป้ากางเกงดันขึ้นสูง

“คุกเข่าแล้วช่วยฉันถอดกางเกง!” นักล่าที่สวมบูตทหารสั่ง

เด็กสาวร้องไห้ขณะเดินไปข้างหน้า ค่อยๆ คุกเข่าลง ยกมือทั้งสองขึ้นช่วยผู้ชายคนนั้นถอดกางเกง

นักล่ามองดูเธอ สูดลมหายใจฟืดฟาดพร้อมพูดว่า “อ้าปาก…”

ยังไม่ทันที่จะพูดจบก็ได้ยินเสียงดังมากมาจากเพดาน มันเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิงปืนทันที เห็นแค่อีเตอร์ที่ผูกด้วยสายไฟเจาะทะลุหลังคาเป็นรูใหญ่ แล้วก็มีเสียงดังมาจากทางด้านหลัง มันรีบหันกลับมา เห็นผู้หญิงคนหนึ่งโหนตัวลงมาเหมือนทาร์ซาน มือกำสายไฟแน่น ถีบกระจกแตก บุกเข้ามาด้านในแล้วก็ถีบเข้าที่หัวของเพื่อนมันอย่างแรง

มันหันมาตั้งใจจะยิงปืนใส่ แต่ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ที่พื้นแล้ว ชั่วพริบตาก็มาอยู่ตรงหน้ามัน ขณะที่มันจะลั่นไก เธอก็จับมือที่ถือปืนของมันไว้ได้ กระสุนยังคงพุ่งออกไป แต่เพราะมือถูกเธอจับเอาไว้ กระสุนเลยเบี่ยงทิศไปจากเดิม

ตอนนั้นเองผู้หญิงคนนั้นก็แย่งปืนไปจากมันได้สำเร็จ มันรีบดึงมีดสั้นที่ทหารใช้ออกมาแทงไปที่หญิงสาว แต่เธอก็เบี่ยงตัวหลบได้แบบเฉียดฉิว พลางออกหมัดชกเข้าไปที่ตำแหน่งหัวใจ

หมัดนี้ได้กระชากลมหายใจมันไปชั่วขณะ ถึงกับทำให้ทรุดตัวลงกับพื้น วินาทีถัดมาเธอก็กระโดดยกเข่าขึ้นกระแทกมาที่ขมับของมันอย่างแรง จนมันสลบหมดสติลงที่พื้น

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นและจบลงภายในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งสี่คนมองหญิงสาวตัวเล็กที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน ตรงเข้าจัดการกับวายร้ายทั้งสองคน พวกเขายืนอึ้งจนพูดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่

หญิงสาวคนนี้ก็คือฮั่วเซียงนั่นเอง เธอก้มลงหยิบมีดสั้นที่ตกอยู่บนพื้นแล้วส่งให้เด็กสาวที่กำลังตกใจ

“จัดการแก้มัดให้คนอื่น ฉันจะไปปิดไฟ”

“ปิด…ปิดไฟเหรอ” สาวน้อยกำมีดสั้นไว้แน่น เพราะยังตกใจและสับสนจึงถามออกไปทั้งน้ำตาว่า “ทำ…ทำไมล่ะ”

ฮั่วเซียงมองหน้าเด็กสาวด้วยใบหน้านิ่งแล้วตอบว่า “เพราะเปิดไฟอย่างนี้จะเป็นการบอกนักล่าคนอื่นๆ ว่าที่นี่ยังมีเหยื่อให้ล่า”

ขณะที่พูดเธอก็เดินกลับไปที่บาร์ด้านใน เปิดกล่องคัทเอาท์แล้วแล้วยื่นมือไปสับสวิตช์ลง

ไฟในร้านเหล้าพลันดับลง ทำให้อาคารเก่าหลังนี้กลับเข้าสู่ความมืดมิดอีกครั้ง

 

“คุณเป็นใคร”

“คุณเป็นตำรวจเหรอ หรือเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษ”

“คุณเป็นทหารรับจ้างของพ่อใช่ไหม แล้วคนอื่นล่ะ”

“คุณมาที่นี่ได้ยังไง”

ในความมืด มีคำถามมากมายพุ่งออกมาไม่ได้หยุด

“เงียบ!”

เสียงเตือนของฮั่วเซียงทำให้พวกเขาเงียบลงได้ เธอเดินมาหาชายที่ถูกยิง ในห้องที่มืดมิด ปลดเนกไทของชายคนนั้นด้วยความรวดเร็วแล้วมัดไปที่ต้นขาข้างที่บาดเจ็บ ช่วยเขาห้ามเลือดพลางพูดว่า “ฉันชื่อฮั่วเซียง ฉันไม่ไช่ตำรวจ แล้วก็ไม่ใช่หน่วยพิเศษหรือทหารรับจ้างอะไรทั้งนั้น ฉันเป็นนักข่าว ฉันถูกจับตัวมาที่นี่เหมือนกับพวกคุณ”

คำตอบนี้ทำให้คนฟังต้องถอนหายใจ ความสิ้นหวังยังกระจายตัวอยู่ในค่ำคืนที่ยาวนาน

เธอออกแรงมัดเนกไทจนแน่น ผูกเป็นปมแล้วเอ่ยปากพูดว่า “ตอนนี้ถ้าพวกเราไม่อยากจะเจอนักล่าคนอื่นอีก พวกเราต้องออกจากอาคารหลังนี้”

“ไปที่ไหนล่ะ” ชายหนุ่มมองหน้าเธอแล้วถาม

“นอกจากที่นี่แล้วเป็นที่ไหนก็ได้”

ฮั่วเซียงพูดจบก็ดึงเขาขึ้นมา ชายหนุ่มอุทานครั้งหนึ่งแต่ไม่ได้ร้องโอดครวญ ชายสูงอายุเดินเข้ามาช่วย เธอเห็นว่าผู้หญิงอีกคนนั้นได้ช่วยเด็กสาวสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วแล้ว

“จะจัดการสองคนนั้นยังไง ไม่ต้องมัดพวกมันไว้เหรอ”

ขณะที่เธอกำลังพยุงชายหนุ่มเดินออกไปด้านนอก หญิงสาวในชุดสูทก็เอ่ยปากถามขึ้น

“พวกนั้นไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป” ฮั่วเซียงตอบ

“ทำไมล่ะ” ชายสูงอายุเอ่ยปากถามด้วยความประหลาดใจ

“นักล่าไม่เพียงแต่จะฆ่าเหยื่อเท่านั้น พวกมันยังฆ่ากันเองด้วย”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำเสียงอันราบเรียบของเธอหรือเปล่าจึงทำให้ทุกคนนิ่งงัน แล้วตามเธอออกไปด้วยความหวาดกลัว

ฮั่วเซียงไม่ได้พาพวกเขาไปไกลนัก เพียงแค่ย้ายไปอีกตึกซึ่งเป็นอาคารหลังใหญ่ ห่างไปเพียงยี่สิบเมตร ที่นั่นกว้างขวางโอ่โถง บนพื้นมีทางที่ขุดเชื่อมต่อกับเหมืองด้านนอก มีรถเข็นหลายคันจอดทิ้งอยู่บนราง เห็นฝุ่นผงบนพื้นได้อย่างชัดเจน ทำให้รู้ว่าไม่มีคนมาที่นี่นานมากแล้ว

อาคารนี้มีประตูหน้าต่างมากมาย ส่วนใหญ่จะชำรุดเสียหาย ช่วยปิดบังหรือป้องกันอะไรไม่ได้ ฮั่วเซียงพาพวกเขามาอยู่ระหว่างผนังกับรถเข็น ให้ทุกคนอยู่ในความสงบนิ่ง แล้วหยิบปืนกระบอกหนึ่งส่งให้ชายสูงอายุที่สวมชุดสูท

“ใครผ่านประตูบานนั้นเข้ามาก็จัดการยิงซะ”

ชายสูงวัยรับปืนมาโดยไม่ว่าอะไร

“รวมทั้งคุณด้วยเหรอ” ผู้หญิงผมแดงอดที่จะถามไม่ได้

เมื่อได้ยินคำถามนี้ ฮั่วเซียงจึงตอบว่า “ฉันไม่เข้าออกทางประตูใหญ่”

ดูท่าทางเธอเหมือนกำลังจะจากไป เด็กสาวผมทองจึงถามขึ้นด้วยอาการร้อนรน “คุณจะไปไหน”

“กำจัดร่องรอยของพวกเรา”

เธอตอบโดยไม่หน้ากลับมา พุ่งออกไปยังหน้าต่างที่ไม่มีกระจก แล้วหายตัวไปในความมืดมิด

 

ฮั่วเซียงจากไปไม่นานเท่าไหร่ ตอนเธอกลับมาอีกครั้ง ทั้งสี่คนก็ยังอยู่เกาะกลุ่มกันเหมือนกับกระต่ายน้อยที่ซุกตัวอยู่รวมกันด้วยความหวาดหวั่น

เมื่อพวกเขาเห็นเธอแล้วจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก

ฮั่วเซียงถือวิสกี้เก่าที่ยังไม่ได้เปิดขวดมาด้วยขวดหนึ่ง ใช้เหล้าฆ่าเชื้อบนมีดสั้นแล้วผ่าเอากระสุนที่อยู่ในขาของชายคนนั้นออกมา

แม้ว่าเธอจะทำได้อย่างว่องไวและเฉียบคมมากแค่ไหน แต่ชายหนุ่มก็ยังหมดสติไปด้วยความเจ็บปวด

“เขายังโอเคไหม” เด็กสาวถามด้วยความกังวล

เธอตอบอย่างไม่ไยดี “แค่หมดสติไปเท่านั้น”

สาวผมแดงเข้ามาช่วยทำแผลให้กับชายหนุ่มพลางกระซิบถามว่า “คุณเห็นคนอื่นอีกไหม”

“ไม่เห็น” ฮั่วเซียงให้สาวผมแดงทำแผลต่อจากเธอ แล้วเธอก็เช็ดทำความสะอาดรอยเลือดบนมีดสั้น

สาวผมแดงมองเธอด้วยความกังวลใจ เอ่ยปากต่อไปว่า “ถ้าเป็นอย่างที่สองคนนั้นพูดจริงๆ บางทีพวกเราควรจะออกไปไกลอีกหน่อย”

“ถ้าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บพวกเราก็อาจจะไปได้” ฮั่วเซียงมองหญิงสาวที่ดูเป็นคนฉลาดมีความสามารถ เอ่ยอย่างเรียบๆ ว่า “แต่ตอนนี้ในกลุ่มพวกเราไม่มีใครแบกเขาไหว นอกเสียจากเธอคิดว่าทิ้งเขาไว้ที่นี่จะดีกว่า”

สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไป ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงเย็นว่า “ไม่ได้เด็ดขาด พวกเราจะทิ้งเขาไว้ที่นี่ไม่ได้”

“ถ้าอย่างนั้นฉันว่าพวกเราก็คงต้องอยู่ที่นี่กันไปก่อน รอจนเขาได้สติขึ้นมา” ฮั่วเซียงถามหญิงสาวที่มีน้ำใจคนนั้นว่า “คุณชื่ออะไร”

“แอลลี่” หญิงสาวทั้งสองยื่นมือออกมาจับกัน แล้วฮั่วเซียงก็พูดต่อว่า

“อาคารหลังนี้เป็นที่โล่งกว้าง ไม่ใช่ที่ที่เหมาะกับการซ่อนตัว พวกเราไม่มีที่กำบัง แค่มองปราดเดียวก็เห็นทุกอย่างแล้ว อย่างน้อยต้องหาที่ที่สามารถหลบซ่อนตัวได้”

ฮั่วเซียงรู้ว่าชายสูงวัยกับเด็กสาวกำลังฟังอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาทำอะไรโง่ๆ เธอจึงอธิบายต่อ

“เพราะว่ามองปราดเดียวก็เห็นแล้ว ดังนั้นขอเพียงอยู่ติดกับผนังไว้ อยู่ในมุมนี้อย่าขยับตัวไปมา คนข้างนอกจะมองไม่เห็นคุณ นอกเสียจากพวกมันตัดสินใจเข้ามาค้น หมู่บ้านนี้มีที่ให้หลบซ่อนตัวมากมาย ในเมื่อที่นี่สามารถพบเห็นได้ง่าย คนปกติทั่วไปก็จะไม่เลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ในนี้ ดังนั้นจะยุ่งยากเข้ามาค้นหาไปทำไม อีกอย่างอาคารหลังนี้มีทางออกมากมาย ไม่ว่านักล่าจะมาจากทางไหน เราก็สามารถหาทางออกอีกทางหนึ่งได้”

ชายสูงวัยขมวดคิ้ว

“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”

ฮั่วเซียงหันหน้าไปหาเขาแล้วพูดว่า “ฉันเขียนบทความ มีคนไม่พอใจ ดังนั้นจึงจับตัวมาไว้ที่นี่ ฉันเชื่อว่าพวกคุณคงมาอยู่ที่นี่ก็เพราะเหตุผลแบบเดียวกัน พวกคุณทำอะไรบ้างล่ะ”

“ฉันชื่อเดวิด เป็นพ่อค้า ทำธุรกิจนำเข้าส่งออกในอาร์เจนตินา วิลล์เป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล แอลลี่เป็นผู้ตรวจสอบจากชิคาโก” ชายสูงวัยชี้ไปที่เด็กสาวผมทองแล้วถามว่า “พวกเราอาจจะไปขวางทางใครเข้า แต่เอลิซาเบธเป็นเพียงเด็กอายุสิบสาม จะไปขวางทางใครได้”

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ฮั่วเซียงตอบตรงๆ แล้วมองไปที่เด็กสาว “ตอนเธออยู่โรงเรียนรังแกใครหรือเปล่า”

“ไม่มี หนูไม่เคย” เอลิซาเบธส่ายหน้าปฏิเสธ สีหน้าซีดขาว พูดปากสั่นเล็กน้อย “แต่ว่าพ่อของหนูกำลังจะลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่า”

“นั่นคือสาเหตุสินะ” ฮั่วเซียงพูดเสียงเรียบ “พวกเราขวางทางคนอื่นอยู่ ดังนั้นพวกเราจึงถูกพามาที่นี่เพื่อเป็นเหยื่อที่ถูกล่า”

“ที่นี่มันที่ไหนกัน” แอลลี่เอ่ยปากถาม

“สนามแข่ง ‘เกมนักล่า’ ” ฮั่วเซียงตอบ

“ทำไมเธอถึงรู้อะไรมากมาย” เดวิดมองมาที่เธอถามแล้วถามอีก “นักข่าวไม่ควรจะมีฝีมือดีขนาดนี้ ไม่รู้วิธีการใช้มีดหรือวิธีการพรางตัว เราจะรู้ได้ยังไงว่าเธอไม่ใช่นักล่าอีกคน”

ฮั่วเซียงเงยหน้าขึ้นมองชายผมสีดอกเลาอย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า “จริงๆ แล้วนักข่าวไม่ควรจะมีฝีมือดีขนาดนี้ แต่ฉันไม่ใช่นักข่าวธรรมดา ฉันคือ พี.เอช. ก่อนหน้านี้มีคนเอาข้อมูลเกี่ยวกับเกมนี้ส่งมาให้ฉัน หวังว่าฉันจะเปิดโปงมันทางอินเตอร์เน็ต เพราะงั้นฉันถึงได้รู้เรื่องราวมากมายขนาดนี้”

แอลลี่ตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะเบิกตามองเธอ “พี.เอช. …เดี๋ยวนะ! เธอคงไม่ได้กำลังจะบอกว่าเธอคือ พี.เอช. คนที่เปิดเผยข้อมูลต่างๆ ลงอินเตอร์เน็ต ทำให้นักการเมืองระดับสูงจากหลายประเทศต้องลงจากตำแหน่ง”

“ฉันคิดว่า พี.เอช. เป็นผู้ชายซะอีก” ชายสูงวัยมองเธออย่างไม่เชื่อสายตา

“ไม่ใช่” เธอตอบเรียบๆ

“ฉันเชื่อก็ได้ว่าเธอคือ พี.เอช.” แอลลี่ยกมุมปาก “นี่คงจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครหา พี.เอช. พบ”

“แต่ก็มีคนรู้แล้ว เธอถึงมาอยู่ที่นี่”

วิลล์เอ่ยขึ้นมา ฮั่วเซียงก้มหน้ามองชายหนุ่มที่เจ็บจนหมดสติไป ไม่รู้ว่าเขาได้สติขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่

“ใช่ มีคนรู้แล้ว” เธอมองเขาแล้วพูดว่า “เอฟบีไอวิเคราะห์บทความของฉัน รายงานฉบับนั้นรั่วไหลออกมา ตอนนี้คนเกือบทั้งโลกรู้แล้วว่า พี.เอช. เป็นผู้หญิง ถ้าพวกคุณไม่รู้ข่าวนี้ แสดงว่าพวกคุณต้องอยู่ที่นี่มาแล้วหลายวัน?”

“สี่วัน” วิลล์ตอบพลางยกมือขึ้นมาเช็ดเหงื่อ “ผมชื่อวิลล์ ผมตื่นขึ้นมาข้างๆ ถังเก็บน้ำกับอีกสองคน ไมเคิลกับอาลี เมื่อคืนพวกเขาสองคนเข้าไปในป่าเพื่อหาอาหารแต่ไม่ได้กลับออกมา เดิมที…ผมเข้าใจว่าพวกเขาน่าจะหลงทาง”

เธอยื่นมือทักทายตามมารยาท แล้วบอกชื่อตัวเองอีกครั้ง “ฉันชื่อฮั่วเซียง ฉันเพิ่งมาถึงเมื่อวาน ตอนที่ฉันฟื้นขึ้นมา ฉันอยู่ที่ทุ่งหญ้าด้านตะวันออกของเชิงเขา”

“เอลิซาเบธ ฉัน แล้วก็มาร์กาเรตมาถึงที่นี่เมื่อวาน” เดวิดจับปืนแน่น จ้องมองไปที่หน้าต่างเพื่อสังเกตสถานการณ์ภายนอกพลางพูดว่า “พวกเราตื่นขึ้นมาก็อยู่ที่ด้านตะวันตกของสะพานขาด แล้วก็มีคนยิงปืนใส่พวกเรา มาร์กาเรตโดนยิง พวกเราพาเธอหนีมาตามถนน พวกเราคิดว่าถนนเส้นนี้จะเชื่อมไปยังชุมชนแต่มันมาสิ้นสุดแค่ที่นี่”

“ฉัน หลุยส์ แล้วก็ยูเซนมาถึงเมื่อสามวันก่อน ฟื้นขึ้นมาตรงยอดเขาที่จอดเฮลิคอปเตอร์ พวกเราเห็นแสงไฟจึงเดินตามทางมา แต่ถูกคนลอบโจมตีกลางป่า ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่วิ่งหนี พอได้สติกลับมาพวกเขาสองคนก็หายไปเสียแล้ว”

แอลลี่กอดอกด้วยใบหน้าซีดเผือด เม้มริมฝีปาก น้ำตาไหลเป็นทางขณะพูดด้วยอารมณ์โกรธและหวาดกลัว “ฉันเคยได้ยินว่ามีคนเอาคนมาเป็นเหยื่อในเกมการล่า แต่ฉันคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล่าทางอินเตอร์เน็ตเท่านั้น”

“ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องเล่า” ฮั่วเซียงกล่าวเรียบๆ “ที่นี่เป็นสนามล่าเหยื่อ พวกเราเป็นเหยื่อที่ถูกล่า พวกนั้นเป็นนักล่า หากฆ่าเหยื่อได้ก็จะได้รับเงินส่วนแบ่ง”

วิลล์ถามอย่างฝืนๆ ว่า “ในเมื่อคุณรู้ว่านี่คือเกมนักล่า ไม่น่าจะไม่รู้วิธีที่จะออกไปจากที่นี่ใช่ไหม”

“ขอโทษ” เธอรีบพูดต่อ “ฉันไม่รู้”

ถึงแม้พวกเขาจะพยายามปกปิด แต่เธอก็ยังรับรู้ได้ถึงความสิ้นหวัง

จากนั้นเดวิดสูดลมหายใจลึกแล้วถาม “แล้วเธอรู้อะไรเกี่ยวกับเกมวิปริตนี้อีก”

“นี่เป็นเกมพนันอย่างหนึ่ง โดยพื้นฐานแล้วคนเป็นเจ้ามือจะนำเหยื่อกับนักล่ามาไว้ในสนามเดียวกัน ผู้เล่นสามารถลงเงินฝั่งนักล่าหรือเหยื่อก็ได้ ทุกครั้งที่นักล่าสามารถฆ่าเหยื่อได้ก็จะได้แต้มไป ส่วนผู้เล่นก็จะได้เงินเดิมพันที่มากขึ้น”

“แล้วตอนนี้จะทำยังไงดี” แอลลี่ถาม “คุณมีความคิดอะไรไหม”

“พวกเราต้องติดต่อกับโลกภายนอกให้ได้” ฮั่วเซียงบอก

วิลล์กลัวจนเหงื่อตก พูดว่า “ไมเคิล อาลีแล้วก็ผมลองตั้งแต่วันแรกแล้ว ในนี้โทรศัพท์ใช้การไม่ได้ ตรงโน้นมีห้องทำงานอยู่ แต่โทรศัพท์ไร้สายในนั้นก็ใช้การไม่ได้ ของที่อยู่ในนั้นไม่เก่าก็เสีย แม้แต่คอมพิวเตอร์ยังเป็นเครื่องใหญ่ๆ ผมลองเอาวัตถุโบราณพวกนี้ต่อไฟ แต่กลับใช้ไม่ได้สักเครื่องเดียว”

เดวิดสูดหายใจเข้าลึกแล้วเสริมอีก “ทางเดียวที่เชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้ก็คือทางที่ฉันกับเอลิซาเบธเดินมา แต่ก็อย่างที่ฉันพูด สะพานนั่นมันขาดแล้ว ดูเหมือนจะขาดมาหลายปีแล้วด้วย”

ทันทีที่ได้ยิน คนที่นิ่งเงียบมาตั้งแต่ต้นอย่างเอลิซาเบธจึงพูดเสียงเบาๆ

“เพราะงั้นพวกเราก็เลยถูกขังอยู่ที่นี่ใช่ไหมคะ”

คำพูดเบาๆ นี้ทำให้ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบงัน ฮั่วเซียงรู้สึกถึงความหวาดกลัวที่กระจายตัวและกำลังขยายวงกว้าง

สี่คนตรงหน้านี้หน้าตามอมแมม สารรูปดูไม่ได้ ร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยเหงื่อไคลและฝุ่น ไม่มีใครสะอาดเรียบร้อยเลยสักคน สีหน้าแสดงถึงความเหนื่อยล้า ความหวั่นวิตกแสดงออกมาทุกลมหายใจ ไม่อาจสะกดอาการสั่นไหวไม่ให้เผยออกมาได้

ความเงียบที่ทำให้คนหวาดกลัวยังดำเนินต่อไปจนกระทั่งฮั่วเซียงเอ่ยปากขึ้น

“ไม่ใช่” เธอบอกพวกเขา “พวกเราไม่ได้ถูกขังอยู่ในนี้”

ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองเธอเป็นตาเดียว

ฮั่วเซียงมองคนที่อยู่ตรงหน้าแล้วพูดว่า “ฉันไม่รู้ว่าจะออกจากที่นี่ได้ยังไง แต่ฉันรู้ว่าจะทำลายเกมวิปริตนี้ได้ยังไง”

ทุกคนได้ยินเข้าก็ตะลึง

“ทำลายเกม?” แอลลี่มองเธออย่างงงๆ

“นักล่าออกล่า เหยื่อหนีตาย หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตลงทั้งหมด เกมก็จบ”

“เธอรู้ตัวไหมว่าเธอกำลังพูดอะไรอยู่” เดวิดมองเธออย่างตกตะลึง

“รู้สิ” ฮั่วเซียงตอบอย่างสงบนิ่ง “พวกเราจะรอวันตายอยู่ที่นี่ก็ได้ หรือ…พลิกกลับมาเป็นฝ่ายล่า”

 

*  อีเตอร์ เป็นเครื่องมือใช้ในการขุดดิน หัวด้านหนึ่งเป็นเหมือนจอบ หัวอีกด้านหนึ่งเป็นปลายแหลม

3 of 3หน้าถัดไป

Comments

comments

Continue Reading

More in Jamsai

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน หอมเกศา บทที่ 1-2

บทที่ 1 อาจเป็นเพราะสภาพอากาศขมุกขมัวหนาวเย็นยาวนานถึงครึ่งปี ทำให้เครื่องหอมเป็นที่โปรดปรานของชาวต้าเว่ย ได้เติมเครื่อง...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 66-67

บทที่ 66 ผืนฟ้าเหนือฉางอันมืดลง ม่านราตรีคลี่คลุมอีกครั้ง เสียงย่ำกลองแจ้งเวลาวิกาลลอยมาจากหอกลอง หลังกำแพงสูงตระหง่านขอ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 62-63

บทที่ 62 เพียงตวัดตามอง สีหน้าของซู่เซิ่นฮุยก็เคร่งเครียดขึ้นทันที เขาหมุนตัวเดินกลับเข้ามาข้างในแล้วแกะตราครั่งภายใต้แส...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 64-65

บทที่ 64 จวงไท่เฟยหลบร้อนมาพักอยู่บนเขาเซิ่งซานทางตอนเหนือของเมือง วันนี้ซู่เซิ่นฮุยขี่ม้าออกจากที่พักตั้งแต่ฟ้ายังไม่สา...

community.jamsai.com