Jamsai
ทดลองอ่าน เกมล่าเดิมพันรัก บทที่ 1
บทที่ 1
บ่ายสามโมง
ชายหนุ่มลากขาอย่างเหนื่อยล้าเดินกลับมายังพื้นที่เล็กๆ ของตนเอง หลังจากปิดประตูก็ถอดเสื้อโค้ตออกแขวนไว้ที่ราวแขวนเสื้อ เปิดเบียร์กระป๋องดื่มจนหมดแล้วทิ้งตัวลงนอนหลับบนโซฟา
กลางดึก ความหนาวเหน็บและความหิวปลุกเขาให้ตื่นขึ้น ไม่รู้ว่าความหนาวเย็นนี้ได้กระจายตัวปกคลุมไปทุกซอกทุกมุมของห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ เหมือนกับว่าแสงแดดอบอุ่นในยามเช้าเป็นเพียงเรื่องโกหก
เขาเปิดฮีตเตอร์ สังเกตเห็นกระป๋องเบียร์ยังวางอยู่บนพื้น แต่ก็ยังไม่ได้สนใจอะไร เพียงเดินไปที่ตู้เย็นที่อัดแน่นไปด้วยอาหารแล้วหยิบกล่องแซนด์วิชออกมากิน จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้า เดินออกจากออฟฟิศไปอาบน้ำที่ห้องน้ำด้านท้ายเรือ
น้ำร้อนกระทบกับร่างกายที่แข็งเกร็ง ช่วยผ่อนคลายความปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อ เขาออกแรงถูใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครา แล้วถอนลมหายใจยาวอย่างผ่อนคลาย
อีกครึ่งชั่วโมงถัดมาเขาถึงออกจากห้องน้ำกลับไปที่ห้องนอนแล้วเช็ดผมให้แห้ง
ตอนนี้นอกหน้าต่างมีหิมะตกลงมา
หิมะขาวสะอาดค่อยๆ ร่วงหล่น ทิวทัศน์นอกหน้าต่างค่อยๆ ถูกหิมะปกคลุม
เขานั่งลงบนเตียง ความเหนื่อยหน่ายกลับเข้ามาในใจอีกครั้ง ภาพหิมะที่ค่อยๆ ตกลงมานั้นเหมือนจะขับกล่อมให้หลับใหล
เขาสะลึมสะลือ ตั้งใจจะนอนต่ออีกหน่อย
หิมะยังคงร่วงหล่นสู่พื้นดิน ร่วงหล่นลงมาอย่างไร้สุ้มเสียง เขาคิดว่าตัวเองคงจะหลับต่อได้ในอีกไม่ช้า แต่กลับมีความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกนี้ว่าอย่างไร มันรบกวนจนทำให้เขาไม่อาจปล่อยวางได้
มีบางอย่างที่ผิดปกติไป แต่เขาบอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร
ภาพหลังจากที่เดินเข้าประตูมาผุดขึ้นในใจอีกครั้ง
ประตู ราวแขวนเสื้อ ออฟฟิศ โซฟา โต๊ะ นิตยสาร ตู้เย็น เบียร์…
เขาลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เป็นเวลากลางดึกแล้ว บ้านเรือที่สะอาดเอี่ยมนี้เงียบสงบมากเหลือเกิน
ชายหนุ่มลงจากเตียง เดินกลับมาที่ออฟฟิศ เขาก้มลงเก็บกระป๋องเบียร์ นาฬิกาดิจิตอลบนโต๊ะบอกให้รู้ว่าตอนนี้ล่วงเข้าสองนาฬิกาของวันใหม่แล้ว
เขาจำได้ว่าตอนที่กลับเข้ามามองนาฬิกาเป็นเวลาบ่ายสามโมง
ตอนที่กลับมาแล้วพบว่าผู้หญิงคนนั้นไม่อยู่ เขายังคิดว่าเธอน่าจะออกไปซื้อของหรืออาหาร แต่ก็ไม่ใช่ เพราะเธอทำอาหารแช่ไว้แช่เต็มตู้เย็นแล้ว
ในออฟฟิศนั้นเงียบสงัด แสงไฟเล็กๆ จากนาฬิกาดิจิตอลบนโต๊ะส่องสว่างให้เห็นนิตยสารเล่มนั้นกับของที่วางอยู่ข้างบน กุญแจกำลังสะท้อนแสงไฟสีฟ้าของนาฬิกา
เขาเดินเข้าไปมองดูกุญแจกับนิตยสารก๊อสซิปเล่มใหม่ล่าสุดที่วางอยู่บนโต๊ะ รวมถึงนามบัตรที่จงใจวางไว้ข้างกัน
แม้จะมีเพียงแสงสลัว แต่เขามองปราดก็รู้ว่านามบัตรใบนี้เป็นของใคร เขาหยิบนามบัตรขึ้นมา มองรูปหน้าปกนิตยสารซึ่งคือเขาเอง
แม้ว่าพวกปาปารัซซี่ไม่อาจจับภาพใบหน้าเขาได้ แต่เขาก็รู้ว่าคนในรูปนี้ก็คือเขา คาดว่าเธอก็คงจะดูออกถึงได้ซื้อนิตยสารเล่มนี้กลับมา
เขานั่งลงบนเก้าอี้หนังหลังโต๊ะทำงาน ก่อนจะดีดนามบัตรใบนั้นกลับไปที่โต๊ะ
ในความมืดมิดอันเงียบสงัด หิมะสีขาวที่ตกโปรยปรายลงมานั้นราวกับจะดูดกลืนทุกสรรพเสียงในโลกนี้ไปจนหมดสิ้น
มือจับกระป๋องเบียร์โยนขึ้นไปในอากาศพลางไขว้ขาวางบนโต๊ะแล้วเอนหลังพิงพนัก ตามองตรงไปในความมืดเบื้องหน้า
เธอจากไปแล้ว
ตามไอ้คนขี้ตืดอย่างหานอู่ฉีไปแล้ว
เขาไม่คิดจะหยิบโทรศัพท์โทรหาเธอ ผู้หญิงคนนั้นมักอยู่ด้านหลังเขาเสมอ คอยช่วยจัดการเรื่องต่างๆ ที่เขาทำทิ้งเอาไว้ เธอไม่มีทางปล่อยให้กระป๋องเบียร์ตกอยู่ที่พื้นนานแบบนี้ และเธอก็คงไม่ทิ้งกุญแจไว้บนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจแบบนี้ด้วย
ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ดีว่าสักวันหนึ่งเธอก็จะต้องจากไป
ยังไงซะ ‘องค์กรเรดอาย’ ก็เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเขาอยู่แล้ว
เขาไม่ได้มีทรัพย์สมบัติมากมาย ไม่ได้มีการงานที่มั่นคง ในฐานะนักสืบเอกชนคนหนึ่งแล้ว รายได้เขาขึ้นๆ ลงๆ ไม่มีความแน่นอนใดๆ ช่วงที่ดีก็ดีมาก หากเป็นช่วงที่ไม่ดีก็เคยถึงขนาดในครึ่งปีไม่มีเงินเข้ามาสักเหรียญ
เขาไม่ต้องการให้ใครมาลำบากกับเขาด้วย
ฟ้าย่อมรู้ว่าเขามีชีวิตอยู่บนเรือ และเรือลำนี้จะไม่จอดอยู่ที่ไหนนานนัก เพราะเขารักอิสระถึงออกมาทำธุรกิจนี้
กับผู้หญิงคนนั้นแล้ว มันเป็นความบังเอิญมาตั้งแต่แรก
เขารู้อยู่แล้วว่าเธอคงอยู่ไม่นาน เธอเป็นคนเก่ง อยู่ในระดับที่ดีเลิศเลยล่ะ ยิ่งมาประกอบกับใบหน้านั่น หากเธอต้องการจะไปเสียอย่าง คนอย่างหานอู่ฉีจะต้องอ้าแขนรับไว้อยู่แล้ว
เสียงประหลาดของโลหะทำให้เขารู้สึกตัวขึ้นมา เมื่อก้มลงมองจึงเห็นว่ากระป๋องเบียร์ที่อยู่ในมือถูกบีบจนบี้แบน
ถึงจะรู้ว่าต้องมีสักวันที่เธอจะหันหลังจากไป ทั้งที่เขารู้ดีอยู่แก่ใจดี แต่เขาก็ไม่คิดว่าเมื่อมันเกิดขึ้นจริงๆ แล้วเขาจะรู้สึกไม่พอใจเช่นนี้
เธอเป็นพนักงานที่ดี เป็นคู่หูที่ดี แต่ก็เพียงเท่านี้เอง
เขาขมวดคิ้วจ้องมองกระป๋องเบียร์ในมือที่ถูกบีบจนบี้แบน แล้วโยนมันลงถังขยะโลหะจนเกิดเสียงกระทบกันก่อนจะเงียบลง
ไปแล้วก็ดีเหมือนกัน
เขาคว้ากุญแจขึ้นมา เดินออกจากออฟฟิศกลับไปที่ห้องนอน ขณะเดินผ่านหน้าต่างเขาก็เขวี้ยงกุญแจทิ้งลงแม่น้ำไป
เสียงกุญแจตกน้ำดังขึ้น แล้วก็จมลงไปในสายน้ำ จากนั้นทุกอย่างก็กลับสู่ความเงียบงัน
เขาไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง เพียงเดินต่อไปล้มตัวลงนอนที่เตียง
เครื่องบินขนาดใหญ่กำลังบินลงจอดสู่ภาคพื้นดิน
หางของเครื่องบินมีสัญลักษณ์เป็นปีกนกสีแดงเพลิง มองแวบแรกจะคิดว่าเป็นนกฟีนิกซ์ แต่เมื่อมองให้ดีก็จะพบว่านั่นคือนกที่มีปากยื่นยาวออกมา มันคือนกกระเรียน ไม่ใช่นกฟีนิกซ์
ที่นี่คืออาคารผู้โดยสารสนามบินนาริตะ กรุงโตเกียว นอกจากเครื่องบินที่มีสัญลักษณ์เป็นนกกระเรียนแดงของสายการบินญี่ปุ่นแล้ว มองจากตรงนี้ยังสามารถเห็นเครื่องบินจากนานาประเทศที่กำลังรอจะทะยานสู่ท้องฟ้าและที่เพิ่งลงจอดอีกมากมาย การจราจรทางอากาศที่คับคั่งทำให้สนามบินนี้เต็มไปด้วยผู้คนจากที่ต่างๆ ของโลก
เพราะที่นี่เป็นพื้นที่ในทวีปเอเชีย ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงมีผมดำ นัยน์ตาดำและผิวเหลือง บ้างก็เป็นนักธุรกิจที่มาเจรจาการค้า บ้างก็เป็นนักเดินทางที่มาท่องเที่ยว
เครื่องบินทะยานขึ้นและลงจอดอย่างต่อเนื่อง เสียงประกาศที่น่าฟังในสนามบินเรียกเตือนให้ผู้โดยสารไปเช็กอินอย่างต่อเนื่อง รับส่งผู้โดยสารเข้าออกตลอดเวลา
เมื่อยี่สิบนาทีก่อนหน้า หญิงสาวในชุดเสื้อโค้ตกันลมสีกากี กางเกงยีนสีฟ้าและสวมรองเท้าบูตสั้นสีดำลากกระเป๋าเดินทางสีดำพร้อมถือกาแฟแก้วหนึ่งเดินเข้ามาในอาคารพักผู้โดยสารเพื่อจะรอขึ้นเครื่อง
เห็นว่ายังมีเวลาอยู่อีกพักใหญ่กว่าจะถึงเวลาที่เธอต้องเช็กอิน เธอจึงปลดผ้าพันคอและถอดโค้ตกันลมออก มองหาที่ว่างเพื่อนั่งลง หยิบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กออกจากระเป๋าเดินทางที่มีรอยขีดข่วนเต็มไปหมด แล้วเริ่มต้นพิมพ์ข้อความลงไป
ผู้หญิงแบบเธอไม่เป็นที่สะดุดตาในสถานที่แบบนี้ เธอเป็นคนผิวเหลือง รูปร่างเล็กกะทัดรัด หน้าตาธรรมดา ดวงตาคู่นั้นไม่ใหญ่ไม่เล็ก ผมก็ไม่สั้นไม่ยาว
เธอไม่ได้แตกต่างกับผู้หญิงญี่ปุ่นทั่วไป เธอแต่งหน้าอ่อนๆ นั่งด้วยท่าทางเรียบร้อย เสื้อผ้าการแต่งกายก็ดูสะอาดเรียบร้อยและปกติดี
หากจะมีสิ่งใดที่ทำให้เธอดูแตกต่างก็น่าจะเป็นการที่เธอดูไม่ได้สนใจคนรอบข้างที่ผ่านไปผ่านมา ไม่ได้เดินออกไปดูเครื่องบินที่กำลังบินขึ้นและลง หรือที่กำลังจอดนิ่งรอรับผู้โดยสารชุดใหม่ เธอเพียงตั้งอกตั้งใจในการพิมพ์บทความนั่น สักพักก็จะหยุดเพื่อจิบกาแฟ
กระทั่งใกล้ถึงเวลาเช็กอินก็เริ่มมีคนเข้ามาในนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ที่นั่งทุกที่ถูกผู้คนจับจองไว้จนหมด รวมถึงที่ว่างข้างๆ เธอด้วย
ผู้โดยสารหลายคนที่นั่งใกล้ๆ เธอ บ้างก็ใช้แท็บเล็ตไปด้วยแล้วก็ใช้โทรศัพท์มือถือไปด้วย พวกเขากำลังพูดคุยถึงข่าวที่เป็นกระแสโด่งดังอยู่ในช่วงนี้
“คุณรู้ไหม พี.เอช. คนที่อยู่เบื้องหลังการเปิดโปงข้อมูลสำคัญทางการเมืองและธุรกิจหลายเรื่องทางอินเตอร์เน็ตในปีนี้มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นผู้หญิง”
“ฉันคิดว่าเพราะข้อมูลที่ พี.เอช. เปิดเผยมานั้นเป็นความลับสุดยอด ก็เลยกลัวว่าจะถูกแก้แค้น จึงต้องใช้นามแฝงว่า พี.เอช. เพื่อปิดบังฐานะตัวเอง แล้วคุณไปรู้ได้ยังไงว่า พี.เอช. เป็นผู้หญิง”
“ข่าวในอินเตอร์เน็ตแชร์กันไปทั่ว คราวที่แล้ว พี.เอช. ถอดรหัสเอกสารลับของรัฐบาลอเมริกัน ดึงความสนใจจากทางอเมริกาได้เป็นอย่างมาก ได้ยินมาว่าเอฟบีไอนำบทความของ พี.เอช. ไปวิเคราะห์ ผลก็คือ พี.เอช. เป็นผู้หญิง คนตะวันออก อายุราวยี่สิบถึงสามสิบปี”
“จริงรึเปล่า”
“ไม่รู้เหมือนกัน” ผู้ชายคนนั้นยักไหล่พลางกล่าวต่อว่า “แถมยังพูดกันอีกว่าในมือของ พี.เอช. มีเอกสารลับของรัฐบาลอเมริกันอยู่ไม่น้อย ยังมีบางคนพูดอีกว่า พี.เอช. มีรายชื่อของจารชนและสายลับที่จารกรรมข้อมูลธุรกิจในหลายประเทศอยู่ในมือ มีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลอเมริกันต้องการจะจับคนคนนี้ให้ได้”
“ฉันว่าไม่ใช่แค่รัฐบาลอเมริกันเท่านั้นหรอก เพราะข้อมูลที่ พี.เอช. เปิดเผยออกมาในปีนี้กระทบต่อทั้งวงการเมืองและวงธุรกิจในหลายประเทศเป็นอย่างมาก มีพวกกลุ่มธุรกิจผูกขาดและนักการเมืองไม่น้อยที่เกลียด พี.เอช. เข้ากระดูกดำ เธอจะต้องถูกจับแน่ แค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น”
“คุณเชื่อแล้วงั้นสิว่า พี.เอช. ต้องเป็นผู้หญิง”
“ครึ่งครึ่งน่ะ”
“ไม่รู้ว่าเธอจะหน้าตาเป็นยังไงเนอะ”
“ไม่แน่อาจจะเป็นสาวที่ขี้เหร่มากก็ได้ ฮ่าๆๆ”
ผู้หญิงที่นั่งข้างๆ นักท่องเที่ยวคู่นั้นยังคงนิ่งกับเรื่องที่ได้ยิน กดบันทึกบทความพลางปิดหน้าจอโน้ตบุ๊กลง แล้วก็เก็บของ
เมื่อใกล้เวลา เสียงประกาศสนามบินก็ดังขึ้น เชิญให้ผู้โดยสารชั้นพิเศษและชั้นธุรกิจเข้าไปเช็กอินก่อน ถึงจะเป็นเช่นนี้ แต่ผู้โดยสารชั้นประหยัดก็พากันลุกขึ้นยืนและเข้าแถวรอหน้าทางขึ้นเครื่อง
เธอไม่รีบร้อนเดินไปเข้าแถว เพียงแต่ลากกระเป๋าเดินทางไปห้องน้ำหญิง ถือโอกาสนี้จัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย เป็นเพราะเธอไม่ชอบเข้าห้องน้ำที่คับแคบบนเครื่องบิน อีกทั้งเธอก็ไม่ชอบการเข้าแถวด้วย
เมื่อได้ยินเสียงประกาศให้ขึ้นเครื่อง พวกผู้หญิงต่างพากันรีบร้อนออกจากห้องน้ำ เธอจึงจัดการเสื้อผ้าไปอย่างสบายๆ ส่องกระจกดูจนแน่ใจว่าปกเสื้อพับเรียบร้อยและผมไม่ยุ่ง จึงได้ลากกระเป๋าเดินทางกับถือโค้ตกันลมเดินออกมาซึ่งเป็นเวลาที่พอเหมาะพอดี
คนที่เข้าแถวรอขึ้นเครื่องผ่านขั้นตอนไปจนเกือบจะหมดแล้ว เหลือผู้โดยสารห้าหกคนกับแอร์โฮสเตสยืนที่อยู่ตรงปากทางขึ้นเครื่อง เธอจึงเดินลากกระเป๋าเดินตรงไปแล้วแสดงบัตรโดยสาร
แอร์โฮสเตสที่เหนื่อยล้ามองบัตรโดยสารของเธออย่างรวดเร็ว แล้วฉีกส่วนหนึ่ง ก่อนจะส่งอีกส่วนหนึ่งคืนให้เธอ
“ขอบคุณ” เธอพูด
แอร์โฮสเตสนิ่งไปเล็กน้อย ฉีกยิ้มพอเป็นพิธี ตอบกลับมาว่า “ด้วยความยินดีค่ะ ขอให้มีความสุขกับการเดินทางนะคะ”
เธอเก็บบัตรโดยสารลงกระเป๋า จากนั้นลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปในทางเชื่อมขึ้นเครื่อง เบื้องหน้าเป็นผู้โดยสารที่เดินเลี้ยวเข้าเครื่องไป ตอนแรกเธอคิดว่าตัวเองเป็นผู้โดยสารคนสุดท้ายแล้ว แต่กลับได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง เธอหันหลังกลับมาหรี่ตามอง พบว่าเป็นสจ๊วตนายหนึ่ง เขายิ้มให้เธอเล็กน้อย แต่เธอสังเกตเห็นว่าเขาเอามือขวาล้วงกระเป๋าไว้ เธอหันหลังจะวิ่ง ทว่าอีกฝ่ายก้าวมาอยู่ตรงหน้าด้วยความรวดเร็ว ยื่นมือมาจับคอเธอไว้ไม่ให้เธอส่งเสียงได้ หญิงสาวพยายามดิ้นรน ขัดขืน แต่เรี่ยวแรงเขามากเหลือเกิน จากนั้นก็เห็นเขาล้วงกระเป๋าด้านขวาเอาเข็มฉีดยาออกมา
วินาทีถัดมา ความเจ็บปวดที่แขนขวาก็เกิดขึ้น ของเหลวเย็นๆ ไหลแทรกเข้าไปในกล้ามเนื้อและหลอดเลือด
เพียงพริบตาเดียวเธอก็ตกอยู่ในสภาพที่ไร้เรี่ยวแรง
หัวใจที่เต้นแรงก็ค่อยๆ เต้นช้าลง เธอไม่อาจขัดขืนต่ออะไรได้อีก ในขณะที่กำลังมึนงงอยู่นั้นเองก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายได้คลายมือที่บีบคอเธอออก แล้วแบกเธอไว้ที่ไหล่
แม้จะเวียนหัวและตาเริ่มพร่าเลือนแล้ว แต่เธอก็ยังมองเห็นผ้าพันคอ เสื้อโค้ตกันลม โทรศัพท์มือถือและบัตรโดยสารของตัวเองตกกระจายอยู่ที่พื้น ชายคนนั้นยังยืนอยู่ที่เดิม เขาไม่ได้พาเธอเดินขึ้นเครื่องไป แล้วก็ไม่ได้พาเธอกลับไปที่เกต แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นทำให้รู้ว่าทางเชื่อมนี้ได้หลุดออกจากเครื่องบินไปแล้ว
ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา ก้มลงเก็บบัตรโดยสารและข้าวของต่างๆ ที่ตกกระจายบนพื้น
หญิงสาวยืนขึ้น ยื่นมือมาเชยคางของเธอ เธอจึงรู้ว่าผู้หญิงคนนี้คือแอร์โฮสเตสญี่ปุ่นที่ยืนต้อนรับอยู่หน้าเกตเมื่อครู่นี้
“ใช่เธอไหม” ชายคนนั้นถาม
“ใช่ ไม่ผิดตัวแน่” แอร์โฮสเตสมองดวงตาของเธอที่ค่อยๆ เลื่อนลอย แล้วตอบเป็นภาษาญี่ปุ่นยืนยันฐานะของเธอ “ใช่เธอ”
แอร์โฮสเตสสีหน้าเย็นชาดึงมือกลับ ทั้งที่เธอควรจะรู้สึกหวาดกลัว หากสุดท้ายก็ได้แต่ปล่อยให้ดวงตาปิดลง ปล่อยให้ตัวยาแทรกซึมเข้าไปในร่างกาย พรากการรับรู้ของเธอไป
ร้อนจัง…
สติสัมปชัญญะค่อยๆ กลับมาในสมองที่ยังงุนงงของเธอ
เธอได้กลิ่นของดินและหญ้า มีนกร้องอยู่ใกล้ๆ และเหมือนมีลมพัดเบาๆ อยู่ที่ข้างแก้มกับแขนที่เปลือยเปล่าของเธอ ลมพัดมาทำให้เกิดเสียงเสียดสีกันเบาๆ ของใบไม้
เป็นเพราะความเคยชินทำให้เธอไม่รีบลืมตาขึ้น เธอยังหมอบนิ่งไม่ขยับตัว แล้วคิดถึงภาพในความทรงจำสุดท้าย
เธอถูกลักพาตัวมาจากสนามบิน
นอกจากเสียงใบไม้เสียดสีกับเสียงนกแล้วเธอก็ไม่ได้ยินเสียงพูดหรือเสียงคนที่ไหนเลย
ปากเธอแห้งผาก แม้ว่าหัวใจจะเต้นเร็วไปสักหน่อย แต่ก็ยังถือว่ามั่นคง มือและเท้าของเธอไม่ได้ถูกมัด แล้วเธอก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีกระดูกหักแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าร่างกายจะรู้สึกเมื่อยล้าไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีบาดแผลที่เธอไม่รู้ที่มาที่ไปเกิดขึ้น
โค้ตกันลมของเธอถูกเก็บไป แต่เสื้อผ้าอื่นๆ บนร่ายกายยังอยู่ครบ บูตสั้นก็ยังสวมอยู่
หญิงสาวพยายามจะลืมตาขึ้น แสงอาทิตย์เจิดจ้าพลันแยงเข้าตาเธอ ทำให้เธอต้องหลับตาลงอีกครั้ง พยายามอยู่หลายครั้งจึงสามารถปรับสายตาให้เข้ากับแสงอาทิตย์ได้
เธอกำลังนอนคว่ำหน้าอยู่บนสนามหญ้า ด้านหน้าของเธอคือหญ้าที่โดนแดดส่องจนแทบจะโปร่งแสง เพราะกำลังคว่ำหน้าอยู่จึงมองไปได้ไม่ไกล เห็นเพียงแค่ต้นไม้มากมายที่อยู่หลังใบหญ้า
เป็นเพราะดวงอาทิตย์ส่องแสงแรงมาก หญ้าที่อยู่ตรงหน้ามีความชื้นไม่มากนัก แสงแดดร้อนแผดเผาหญ้าจนเหลืองกรอบ
กระนั้นเธอก็ยังมองไม่เห็นใครสักคน แต่เพื่อความแน่ใจเธอจึงยังคงนอนหมอบอย่างนิ่งเงียบ แล้วสังเกตไปรอบๆ
มีผีเสื้อลายสีขาวตัวเล็กบินผ่านไป มีมดหลายตัวเดินผ่านหน้าเธอ นอกจากนี้แล้วเธอก็ไม่เห็นว่ามีสิ่งใดเคลื่อนไหวได้อีก
ไม่มีคน
พวกคนที่ลักพาตัวเธอมาตั้งใจทิ้งเธอไว้ในที่รกร้างแห่งนี้
เธอค่อยๆ เท้าแขนดันร่างขึ้นมา มองไปรอบๆ เพื่อหาพิกัดของตัวเอง ก่อนพบว่าเธอถูกทิ้งอยู่ในที่โล่งที่มีต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบ เงาของต้นไม้แสดงให้รู้ว่านี่เป็นเวลาเลยเที่ยงแล้ว
พวกมันเอาเสื้อโค้ตกันลม มือถือแล้วก็บัตรโดยสารของเธอไป แต่นาฬิกาข้อมือ เสื้อ กางเกง รองเท้าบูตยังคงอยู่ในที่ของมัน
นาฬิกาแสดงเวลาบ่ายสองโมงครึ่ง แต่เธอคิดว่าวันนี้ไม่ใช่วันที่เธอถูกจับตัว เธอรู้ว่าที่พวกมันทิ้งนาฬิกาเรือนนี้เอาไว้เป็นเพราะนอกจากความสวยและหน้าที่เพื่อบอกเวลาแล้วมันก็ไม่ได้มีคุณสมบัติพิเศษอื่นอีก
หญิงสาวค่อยๆ ยืนขึ้นมา เธอเห็นรอยเท้าของคนที่พาเธอมาทิ้งไว้ที่นี่ แต่ระยะทางของรอยเท้านั้นมีแค่สองเมตรเท่านั้น ถัดจากนั้นพื้นหญ้ามีรอยถูกทับเป็นเส้นตรงสองเส้น ซึ่งต้องเกิดจากอะไรบางอย่างที่หนักมาก
ในเมื่อที่นี่ไม่มีถนน เธอเดาว่าเธอคงถูกพามาที่นี่โดยเฮลิคอปเตอร์
เธอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีคราม แสงอาทิตย์ยังคงแสบตาอยู่ ท้องฟ้าโล่งไร้สิ่งใดๆ แม้กระทั่งเมฆสักก้อนก็ยังไม่มีให้เห็น และแสงแดดที่ร้อนระอุนี้ก็กำลังแผดเผาผิวหนังเธอจนแสบร้อน
มองดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้านี้แล้วก็ยิ่งมั่นใจว่าเธอไม่ได้อยู่ที่ญี่ปุ่น ตอนที่เรียกรถไปสนามบินนั้นญี่ปุ่นกำลังมีมวลอากาศเย็นพัดเข้ามา พยากรณ์อากาศยังบอกว่าอาจจะมีหิมะตก
นอกเสียจากว่าพวกมันทำให้เธอหลับไปตลอดทั้งฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ เธอคิดว่าพวกมันพาเธอมาในพื้นที่เขตอากาศอบอุ่น
เธอดึงสายตากลับมา ก้าวเดินไปยังต้นไม้เล็กๆ ด้านหน้า เธอไม่คาดหวังว่าคนพวกนั้นจะกลับมา เธอมั่นใจว่าถึงแม้พวกมันจะกลับมาจริงๆ ก็คงไม่ได้มีผลดีอะไรกับตน
เธอยืนอยู่ใต้เงาไม้ แล้วสำรวจดูตัวเองอีกครั้ง
ม้วนแขนเสื้อขึ้น รอยเข็มที่แขนขวายังคงอยู่ แสดงว่าเธอหมดสติไปได้ไม่นาน ส่วนแขนซ้ายก็มีรอยเข็มอีกรอย บอกให้รู้ว่าเธอโดนฉีดยาเพิ่มเข้าไปอีก ตอนนี้เธออยากจะเข้าห้องน้ำซึ่งแปลว่าร่างกายกำลังเข้าสู่สภาวะปกติ
ยาที่ทำให้เธอหมดสติไปนั้นทำให้เธอรู้สึกปากคอแห้งผากมาก เธอต้องการดื่มน้ำมากจริงๆ
หากว่ายังอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อเธอต้องหาน้ำให้เจอ ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ แล้วเธอก็ไม่อยากจะใช้ของเหลวที่ออกจากร่างกายเพื่อดับกระหายหรอกนะ
ยังดีที่ที่นี่มีต้นไม้ซึ่งแปลว่าจะต้องมีแหล่งน้ำอยู่ ดังนั้นเธอจึงเริ่มสำรวจพื้นที่แถวนี้ ก่อนจะรู้ว่าทุ่งหญ้านี้เป็นพื้นที่ราบเพียงแห่งเดียวในบริเวณนี้ เธอถูกโอบล้อมไว้ด้วยป่า และมีภูเขาอยู่ไม่ไกลออกไปนัก ต้นไม้สูงใหญ่พวกนี้ทำให้เธอมองเห็นได้ในระยะที่ไม่ไกลเท่าไหร่ แต่เธอรู้ว่าตอนนี้เธอกำลังอยู่ตรงกลางหุบเขา
ทั้งยังเป็นหุบเขาลึกเสียด้วย
เธอไม่ได้ยินเสียงใดๆ ของมนุษย์ ไม่มีทั้งเสียงดนตรี เสียงเครื่องยนต์รถหรือเสียงมอเตอร์ใดๆ ไม่มีเสียงคนพูดคุยกัน ไม่มีแม้แต่เสียงเครื่องจักรหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กำลังทำงาน
แล้วเธอก็มองรอบๆ ตัวอีกครั้ง ไตร่ตรองเพียงชั่วครู่เธอก็รีบออกจากทุ่งหญ้ากว้างนี้เดินเข้าไปกลางป่า หาสถานที่มิดชิดเพื่อจัดการธุระส่วนตัว แล้วก็เริ่มหาที่ที่น่าจะมีแหล่งน้ำอยู่
กลางป่า เธอไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเสียงฝีเท้าของตัวเอง
ต้นไม้ที่นี่มีมอสขึ้นอยู่เต็มไปหมด ที่พื้นก็ยังมีพวกเฟิร์น ทั้งอากาศก็ชื้นมาก ใบไม้ที่ทับถมกันเป็นกองสูงกำลังส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมา
แสดงว่าที่นี่ไม่ได้แห้งแล้ง เธอต้องหาแหล่งน้ำให้เจอให้ได้
ไม่นานนักเธอก็พบว่าตัวเธอกำลังยืนอยู่บนเนินเขา และต้องเลือกว่าจะปีนขึ้นเขาหรือเดินลงเขาไป เธอยังคงไม่ได้ยินเสียงน้ำ เธอจึงหยุดเดินแล้วมองสำรวจไปรอบๆ
เมื่อดูสภาพโดยรอบแล้วเธอคิดว่าควรจะต้องปีนขึ้นเขา ก่อนจะพบกับสิ่งที่ต้องการ
รอยเท้าสัตว์!
เธอตามรอยเท้าของสัตว์นั่นไปแล้วก็เจอกับลำธารเล็กๆ สายหนึ่งกำลังไหลริน ลำธารนี้มีความกว้างไม่ถึงสองเมตรด้วยซ้ำ แต่มันก็เพียงพอแล้ว น้ำในลำธารนี้ใสสะอาดไร้สิ่งเจือปน เธอนั่งยองๆ อยู่ข้างลำธารพลางใช้สองมือวักน้ำขึ้นมาดื่ม จากนั้นก็ล้างหน้า
ในน้ำนี้จะมีเชื้อโรคหรือพยาธิอยู่หรือไม่ ความคิดนี้ทำให้เธอต้องหยุดชะงัก เป็นเพราะเธออาศัยอยู่ในเมืองมานานถึงได้กังวลกับเรื่องแบบนี้
หลังจากที่ดื่มน้ำเธอก็รู้สึกดีขึ้นมากพลางเริ่มคิดวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ของตัวเอง
เธอไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แล้วก็ไม่แน่ใจด้วยว่าตัวเองอยู่ที่ใด แต่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันเป็นเพราะบทความที่เปิดโปงข้อมูลลับนั่น
ก่อนหน้านี้เธอได้เตรียมใจไว้แล้วว่าตัวเองอาจจะถูกทิ้งไว้ในที่ที่เลวร้ายกว่านี้ก็เป็นได้
อาจเป็นซากสถานที่โบราณในทะเลทรายอันแห้งแล้ง อาจจะเป็นบังเกอร์ในสนามรบที่ถูกทิ้งร้าง หรือดินแดนน้ำแข็งที่หาอาหารเพื่อดำรงชีพได้ยาก ไม่งั้นก็เป็นเกาะที่เต็มไปด้วยสัตว์มีพิษและสัตว์ร้าย
หรืออาจจะเลวร้ายกว่านั้น คือพวกมันฆ่าเธอทิ้งไปเลย
ดังนั้นป่าดิบที่ไร้ผู้คนตรงหน้านี้ก็ไม่ได้เลวร้ายนักหรอก
หลังจากที่ดื่มน้ำต่ออีกอึกเธอก็ลุกขึ้น ทางที่เดินผ่านมานี้ไม่มีต้นไผ่ รอบๆ นี้จึงไม่มีอะไรที่พอจะใช้บรรจุน้ำได้
เธอล้วงหยิบหินแหลมที่เก็บจากข้างทางออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะเริ่มปีนขึ้นเขา ตลอดทางไม่ลืมที่จะทำสัญลักษณ์ที่ต้นไม้หรือหินก้อนใหญ่ๆ เอาไว้
จนกระทั่งเงาของเธอเคลื่อนคล้อยไปอยู่ทางด้านหลังจนสูงเท่าๆ กับตัวเองแล้วนั้น หญิงสาวก็ปีนขึ้นมาถึงยอดเขาลูกแรก
จากนั้นเธอก็มองเห็นกลางภูเขาอีกลูกที่อยู่ตรงข้าม ที่นั่นมีสิ่งก่อสร้างเก่าๆ อยู่หลายหลัง แล้วก็มีปล่องไฟที่ยังมีควันไฟออกมาด้วย
มีคนอยู่ที่นั่น
เธอกำลังคิดจะไปที่นั่น
แต่แทนที่เธอซึ่งไม่ได้เจอผู้คนมาครึ่งวันจะรีบร้อนวิ่งไปที่นั่นทันที เธอกลับมองหาต้นไม้ที่มีใบไม้แน่นและลับตาคนนั่งพักแทน
มนุษย์เป็นสัตว์ที่ต้องอยู่รวมกัน พวกที่จับตัวเธอมาก็รอคอยให้เธอเดินเข้าไปหา
แม้ว่าเธอไม่ได้รู้สึกว่าร่างกายตัวเองมีอะไรที่ผิดปกติ แต่เธอก็รู้ว่าพวกมันจะต้องคอยเฝ้ามองเธอไม่ว่าจากทางใดก็ทางหนึ่ง
นี่มันเป็นเกม
เกมของนักล่า
แล้วเธอก็กลายเป็นเหยื่อที่ถูกล่า