ทดลองอ่าน ล่ารักเกมอันตราย ตอนที่ 1 – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

Jamsai

ทดลองอ่าน ล่ารักเกมอันตราย ตอนที่ 1

3 of 3หน้าถัดไป

“ถ้าผมบอกว่านี่เป็นบริการรูมเซอร์วิส คุณคงไม่เชื่อสินะ”

เธอกะพริบตาปริบๆ สมองหยุดทำงาน ผ่านไปหนึ่งวินาทีเธอถึงค่อยตระหนักได้ว่าเขากำลังพูดภาษาจีน แถมยังพูดจาติดตลกด้วย

“ตอนนี้…” เธอเหลือบตามองนาฬิกาบนโต๊ะแล้วก็ต้องตกใจ

ตายแล้ว ตีสี่

ดูจากความมืดมิดภายนอกหน้าต่างแล้ว เธอคาดว่าตอนนี้เป็นเวลาตีสี่ ไม่ใช่สี่โมงเย็น

เธอสงบสติอารมณ์มองดูชายที่ยืนอยู่ที่ประตูคนนั้น พูดว่า “…ตีสี่ ฉันว่าคงไม่มีโรงแรมที่ไหนให้บริการรูมเซอร์วิสในเวลานี้หรอก”

เขายิ้มอีกครั้ง ปล่อยลูกบิดประตู แล้วยกสองมือกอดอกยืนพิงกรอบประตูไว้ พูดยิ้มๆ ว่า “เอ ที่จริงแล้วผมแน่ใจว่ามีที่พักหรือโรงแรมไม่น้อยนะที่เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงสามร้อยหกสิบห้าวัน พยายามให้บริการแก่ลูกค้าทุกเวลาที่ลูกค้าต้องการ”

เธอทำเป็นนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ ทั้งที่หัวใจเต้นแรงแทบกระดอนออกจากอก ข้างกายเธอไม่มีสิ่งของใดจะใช้เป็นอาวุธได้เลย

ตอนนี้เป็นเวลาตีสี่ คนส่วนใหญ่คงหลับสนิทกันแล้ว เธอต้องร้องดังแค่ไหนถึงจะปลุกคนให้ตื่นจากการหลับลึกได้

ขณะที่ความคิดนี้แวบเข้ามา เธอก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าทำไมชายคนนี้ถึงมาปรากฏตัวหน้าประตูห้องเธอในเวลาแบบนี้

นั่นเพราะเวลาแบบนี้ทุกคนต่างก็กำลังหลับใหล

ชายตรงหน้าแม้จะไม่ได้เข้ามาใกล้ขึ้น แต่ก็ไม่ได้ถอยออกไปไหน

การที่เขาหยุดอยู่ที่ประตูทำให้เธอใจเต้นรัว เธอได้ยินเสียงตัวเองถามออกไปว่า

“คุณเป็นใคร ทำไมถึงรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ คุณสะกดรอยตามฉันมาหรือ”

เธอแน่ใจว่าเธอไม่รู้จักกับชายตรงหน้า

เทียบกับความตื่นตระหนกของเธอแล้ว เขาดูสงบนิ่งกว่ามาก ร่างบึกบึนของเขาพิงอยู่กับกรอบประตู เธอไม่ได้เปิดไฟในห้อง แสงไฟจากระเบียงจึงทำให้ใบหน้าของเขาตกอยู่ในความสลัว แต่ก็ยังขับเน้นกล้ามเนื้อบนช่วงไหล่ของเขา

เธอเชื่อว่าส่วนอื่นบนร่างกายเขาก็คงกำยำไม่แพ้กัน ภาพฉากเมื่อตอนกลางวันผุดขึ้นในความทรงจำอย่างกะทันหัน เธอจำได้ว่าเขาเหวี่ยงเธอที่ตัวค่อนข้างหนักไปมาได้อย่างง่ายดายเพียงไร แล้วก็จำได้ว่าเขาเอาชนะชายไว้เคราได้อย่างไรทั้งที่มีเธอพ่วงอยู่ด้วย

เธอแน่ใจว่าเขาต่อยเธอสลบได้ในครั้งเดียว

เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ยกมือขึ้นเสยผมแล้วยิ้มอีกครั้ง

เพียงแต่ครั้งนี้รอยยิ้มบนในหน้าเขานั้นดูเหมือนจะจนใจ ตามด้วยถอนหายใจแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ของเธอออกมาจากกระเป๋าหลังกางเกงยีน พร้อมกับพูดว่า “ผมเอากระเป๋าสตางค์ของคุณมา ในนั้นมีนามบัตรของโรงแรม รู้ไหมว่าคุณไม่ควรเขียนเลขห้องไว้บนนั้นจริงๆ นะ”

เธอนิ่งงัน เมื่อเขาโยนกระเป๋าสตางค์มาให้ก็ยื่นมือไปรับอย่างงุ่มง่าม ความจริงเขาโยนได้แม่นมาก เดิมกระเป๋าสตางค์ใบนั้นควรจะหล่นลงมาในอ้อมแขนเธอพอดี แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาเธออ่อนหัดด้านกีฬา อารามตกใจไม่ทันตั้งตัว มือขวาเธอก็ไปปัดกระเป๋าสตางค์ที่สมควรจะรับได้ในตอนแรก ท่ามกลางความวุ่นวายเธอใช้มือซ้ายคว้าคืนมา ผลก็คือใช้แรงมากไปทำให้กระเป๋าสตางค์ลอยข้ามหัว เธอรีบหมุนตัวไปรับด้วยมือขวาแต่รับไม่ได้ จึงรีบยื่นมือซ้ายไปรับ สุดท้ายก็เสียหลักจากเก้าอี้ล้มไปด้านหลัง

ขณะที่กำลังจะลงไปจูบกับพื้น เธอก็ร้องเสียงหลง

กระเป๋าสตางค์กระเด็น เก้าอี้ล้มลงกับพื้น แต่เธอไม่ล้ม

ในห้วงคับขันจวนเจียน ชายคนนั้นเคลื่อนจากทางประตูเข้ามาคว้าเอวของเธอไว้ราวปาฏิหาริย์ เธอไม่ทันได้เห็นหรอก เพราะขาดอีกแค่ไม่กี่เซนติเมตรหน้าของเธอก็จะทิ่มถึงพื้นเพราะความซุ่มซ่าม แต่เธอรู้สึกถึงมือของเขา มือใหญ่และแขนแกร่งที่รั้งและเหวี่ยงตัวเธอไปมาเมื่อตอนกลางวันกลับมาวางบนรอบเอวของเธออีกครั้ง

วินาทีต่อมา เธอถูกดึงขึ้นมาจากพื้น สองเท้าได้ยืนมั่นคงอีกครั้ง

“เหวอ อันตรายจริงๆ คุณไม่เป็นไรใช่ไหม”

บรรยากาศน่าอึดอัดดำเนินไปครู่หนึ่ง

พอตั้งสติได้เธอก็หันขวับ เห็นเขาชูสองมือขึ้นเป็นท่ายอมจำนนแล้วถอยไปข้างหลังก้าวหนึ่ง เอ่ยปากทั้งรอยยิ้ม

“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้”

เธอหน้าแดง ทั้งเคืองทั้งประหม่า ถอยออกมาจ้องหน้าเขาแล้วพูดว่า “ฉันเป็นนักวิจัยประวัติศาสตร์ มาที่นี่เพื่อแลกเปลี่ยนวิจัย ฉันไม่มีของมีค่าอะไรติดตัวทั้งนั้น”

“อันที่จริงแล้วคุณมี” เขาเลิกคิ้วขึ้น นัยน์ตาแฝงรอยยิ้ม

เธอนิ่งไป “ฉันไม่มี”

“คุณมี” เขายังคงชูมือสูงขึ้นเพื่อแสดงว่าไม่มีเจตนาร้าย แต่มือขวากลับชี้ไปยังกระเป๋าที่เธอทิ้งไว้บนเตียงเมื่อตอนกลับมา “ตอนผมเอากระเป๋าสตางค์ของคุณมา ผมยังใส่ของลงไปด้วย”

เธอนิ่งไปอีกครั้ง

ก็ใช่ ตอนนั้นเธอกำลังง่วนอยู่กับการกอบกู้ลามาซู…อัปซาซู ที่จริงเธอไม่ได้สนใจเลยว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่

เวลาเธอออกนอกประเทศมักจะพกกระเป๋าสตางค์สองใบเพื่อความสะดวก ใบหนึ่งเล็กใบหนึ่งใหญ่ ใบเล็กไว้ใส่เศษเหรียญกับธนบัตรไม่กี่ใบ ปกติก็จะใช้เศษเหรียญในกระเป๋าสตางค์ใบเล็ก ในเวลาจำเป็นถึงจะใช้กระเป๋าสตางค์ใบใหญ่ที่มีสิ่งใช้ระบุตัวตน แต่ตลอดทางขากลับนอกจากเงินค่ารถประจำทางก็ไม่ได้จับจ่ายอะไรอีก พอกลับมาถึงก็เอาแต่จดจ่ออยู่กับแผ่นดินเหนียวแผ่นนั้น เลยไม่ได้รับรู้ว่ากระเป๋าสตางค์หายไป

ว่าตามจริงเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเอากระเป๋าสตางค์ของเธอไปตอนไหน ก็ต้องไม่รู้อยู่แล้วว่าเขาใส่ของลงไปตอนไหน

แต่จะว่าไปตอนนั้นออกจะวุ่นวาย เขามีโอกาสทำเรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไรกัน

“ตอนที่คุณล้มลงแล้วเอาแต่กอบกู้เจ้าก้อนหินนั่นไงล่ะ”

คำพูดของเขาที่อยู่ๆ ก็สวนมาทำเอาเธอสะดุ้งได้สติคืน ถึงได้รู้ว่าเมื่อกี้เผลอพูดสิ่งที่สงสัยออกไป

“นั่นไม่ใช่ก้อนหิน แต่เป็นแผ่นดินเหนียวต่างหาก มันคือลามาซู…อัปซาซู ปกติต้องมีเป็นคู่ ผู้คนวางมันไว้หน้าประตูหรือไม่ก็ฝังไว้ที่ฐานประตูบ้านให้เป็นสัตว์เทพทำหน้าที่คุ้มครอง พวกมันเป็นสัตว์เทพที่แข็งแกร่งและมีพละกำลังมาก สามารถปัดเป่าความชั่วร้าย ฉันมีอยู่แล้วตัวหนึ่ง ไม่ง่ายเลยกว่าจะหาคู่ของมันเจอ พวกมัน…” เธอชินกับการตอบคำถาม พูดไปถึงครึ่งค่อยรู้ตัว ไม่รู้ว่าตัวเองจะอธิบายให้เขาฟังไปทำไม แถมชายคนนี้ยังบุกรุกห้องของเธอ เธอเป็นบ้าอะไรเนี่ย กลัวคนไม่รู้หรือว่าเธอเจอของมีค่า

เธอรีบบังคับตัวเองให้หยุดปาก โชคดีที่ผู้ชายตรงหน้าดูเหมือนจะไม่ได้สนใจอัปซาซูบนโต๊ะเลยแม้แต่น้อย

เขาเพียงยักไหล่ พูดว่า “คุณก็น่าจะรู้แล้วว่าตอนนั้นผมไม่ค่อยสะดวก ก็เลยยืมใช้กระเป๋าของคุณ ที่ผมเอากระเป๋าสตางค์คุณมาก็เพื่อจะได้รู้ที่อยู่ของคุณ คุณจะตรวจกระเป๋าสตางค์คุณก่อนก็ได้ ผมรับประกันว่าไม่มีอะไรหายไป ที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อมาเอาของคืน ได้ของแล้วผมจะไป โอเคไหม”

ไม่ค่อยสะดวก? ก็เลยฝากไว้? คำพูดพวกนี้ช่างฟังดูดี เขาในตอนนั้นไม่ใช่ว่าโดนไล่ฆ่าอยู่หรือไง

เธอห้ามตัวเองไม่ให้ก้มลงเก็บกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาตรวจดู ขณะที่จับตาดูชายคนนั้นพูดเธอก็ค่อยๆ ลดมือลง เอื้อมไปที่กระเป๋าของเธอบนเตียง

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ถามความเห็นเธอจริงๆ

เขาคว้ากระเป๋าเธอไปอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบแผ่นโลหะที่เธอไม่เคยพบเห็นมาก่อนออกมาจากกระเป๋าเธอ วัตถุนั้นมีสีดำ และบนนั้นยังมีสายไฟสีสันต่างกัน

เขานำโลหะแผ่นนั้นเก็บใส่กระเป๋ากางเกงที่บั้นท้าย วางกระเป๋าเธอกลับคืนไปที่เดิม

“นั่นคืออะไร”

พอพูดออกไปเธอก็เสียใจทีหลัง รีบยกสองมือขึ้นหันฝ่ามือไปทางเขาแล้วพูด

“เอาเถอะ ไม่ต้องพูด ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ฉันไม่อยากรู้”

เขาเหลือบตาขึ้นมอง ยกมุมปากขึ้นอีกครั้งเป็นรอยยิ้มที่น่าหลงใหล

“ฉลาดนี่” เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “แต่ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังหรอก นี่มันก็แค่…”

“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่อยากรู้…” พอเขาเริ่มเอ่ยปาก เธอก็รีบร้องห้าม

“ชิ้นส่วนของระเบิดลูกหนึ่งน่ะ” แต่เขาไม่หยุด

“ก็ฉันบอกว่าฉันไม่อยาก…คุณว่าไงนะ! คุณวางระเบิดไว้ในกระเป๋าฉันงั้นเหรอ!” เธอมองเขาด้วยความตระหนก “บ้าจริง ฉันบอกว่าไม่อยากรู้ไงล่ะ!”

“ไม่ใช่ระเบิด แค่ชิ้นส่วนส่วนเดียว” เขามองเธอยิ้มๆ “ไม่ใช่ส่วนที่เป็นชนวนสักหน่อย คนที่ไล่ตามผมเมื่อตอนกลางวันเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้าย ตอนแรกพวกเขาจะวางระเบิดในแบกแดด ผมแยกส่วนนี้ออกมา ทำให้ระเบิดใช้การไม่ได้ พอไม่มีปัญญาจะก่อเหตุ พวกเขาถึงได้โกรธขนาดนั้น โชคดีได้ความช่วยเหลือจากคุณ”

พูดพลางเขาก็อาศัยจังหวะที่เธอไม่ทันตั้งตัวก้มลงหอมแก้มเธอ

“ขอบคุณนะ”

เธอพ่นลมพรืด กุมแก้มตัวเองอย่างรวดเร็ว พูดทั้งหน้าแดงจรดใบหู “ฉันไม่ได้ช่วยคุณ!”

“คุณช่วย เพียงแต่คุณไม่รู้” เขาหัวเราะอย่างเบิกบานสุดขีดขณะที่หมุนตัวเดินกลับไปยังประตูพลางพูด “อ้อใช่ ถ้าหากผมเป็นคุณ ผมจะรีบหยิบตั๋วเครื่องบินใบนั้นและเก็บสัมภาระเดินทางกลับบ้านทันที”

“ตั๋วเครื่องบินไหน” เธออึ้ง ถามอย่างงงงัน

“ที่กระเป๋ากางเกงขาสั้นของคุณ”

ชายหนุ่มกล่าวทิ้งท้ายโดยไม่หันมามอง แล้วเดินออกจากห้องของเธอไป

เมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็ล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเองดู พบตั๋วเครื่องบินออนไลน์หนึ่งใบ ในนั้นพิมพ์เป็นชื่อภาษาอังกฤษของเธอ

เธอไม่รู้เลยว่าเขาใส่ตั๋วเครื่องบินลงในกระเป๋ากางเกงเธอตอนไหน เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นจากตั๋วใบนั้นก็พบว่าประตูห้องของเธอปิดเสียแล้ว

ในห้องกลับคืนสู่ความเงียบดังเดิม

หากไม่ใช่เพราะเก้าอี้ที่ล้มลงบนพื้นกับตั๋วเครื่องบินออนไลน์ในมือ เธอคงคิดว่าตัวเองเผลอหลับฝันไป

หัวใจยังคงเต้นรัวเร็วอยู่ในอก

ผ่านไปสักพักเธอค่อยได้สติ รีบเดินไปล็อกกุญแจด้านในบนประตูที่ลืมล็อกก่อนหน้านี้

แต่ว่าแบบนี้ก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี

เธอมองดูรอยพับตั๋วเครื่องบินอิเล็กทรอนิกส์ ก่อนจะสบถเบาๆ

“บ้าจริง”

แม้จะไม่อยากทำตามที่ชายคนนั้นบอก แต่เธอรู้ว่าการแลกเปลี่ยนวิจัยของเธอคงสิ้นสุดเพียงเท่านี้

กลุ่มผู้ก่อการร้าย? ระเบิด?

อย่าล้อเล่นไปหน่อยเลย ต่อให้เธอชื่นชอบเมโสโปเตเมียกับดินแดนระหว่างสองลุ่มแม่น้ำแค่ไหนก็ไม่อยากจะเสี่ยงเอาชีวิตมาทิ้งหรอก

เธอเป็นนักวิจัยคนหนึ่ง ไม่ใช่คนในกองกำลังพิเศษหรือหน่วยปฏิบัติการสอดแนม

สวรรค์รู้ว่าสมัยที่เธอเรียนหนังสือ หนึ่งร้อยเมตรเธอใช้เวลาวิ่งตั้งยี่สิบสามวินาที ถ้าหากชายไว้เครานึกถึงเธอขึ้นมา แล้วบังเอิญเจอเธอตามท้องถนน ต่อให้เธอมีสักเก้าชีวิตก็คงไม่รอด

ผืนฟ้าแผ่นดินกว้างใหญ่ ชีวิตเล็กๆ ของเธอก็ยิ่งใหญ่ ตอนนี้เทคโนโลยีพัฒนาไปไกล เธอกลับประเทศไปแล้วยังสามารถใช้อินเตอร์เน็ตติดต่อกับนักวิจัยที่นี่ได้

ตัดสินใจได้ดังนี้เธอก็กลับไปยังโต๊ะทำงาน เริ่มลงมือจัดกระเป๋าและเขียนอีเมล์ส่งไปขอโทษกับทางศูนย์วิจัยท้องถิ่น แต่งเรื่องว่ามีคนในครอบครัวล้มป่วยต้องรีบกลับไปดูแล

ฟ้ายังไม่ทันสาง เธอก็นั่งรถมาถึงสนามบิน

ไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง เธอก็นั่งอยู่บนเครื่องบินออกจากประเทศแห่งนี้ไป

3 of 3หน้าถัดไป

Comments

comments

Continue Reading

More in Jamsai

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com